[ต่อค่ะ]
.
.
.
ท้ายทอยผมถูกปล่อยให้เป็นอิสระขณะที่ร่างกายถูกดันจนชิดติดผนังห้องน้ำ ริมฝีปากของเราสองคนบดแน่นพอๆกับร่างกายที่แนบสนิทไร้ช่องว่าง ผมกำลังเคลิ้มไปกับจูบหนักๆ ที่พี่ปูนมอบให้เลยทำไม่สนใจฝ่ามือใหญ่ที่เคลื่อนตะปบลงกับแก้มก้นทั้งสองข้าง ผมกอดพี่ปูนราวกับคนไร้สติแถมยินยอมให้หน้าขาแกร่งแทรกเข้ามากลางหว่างขาตัวเอง ยิ่งปลายลิ้นแสนช่ำชองเลาะเล็มในปากผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งปล่อยตัวมากขึ้น...ยอมแม้กระทั่งให้พี่ปูนขยำก้นผมไปมา เคล้าคลึงมันด้วยสองมือแสนซุกซน
เมื่อเนื้อตัวเปล่าเปลือยแนบชิดถูไถกันไปมา มันก็ไม่ยากนักที่ความต้องการจะจุดติดขึ้น ดาบสองเล่มค่อยๆ พองขยายตัวบดเบียดผิวเนื้อกันไปมา พี่ปูนเริ่มแนบน้ำหนักตัวเข้ามามากขึ้นพร้อมๆ กับที่ลมหายใจของเราเริ่มขาดห้วง เมื่อริมฝีปากผละออกจากกันพี่ปูนก็ไม่ได้ปล่อยให้มันว่างงาน มันยังคงตามมาเลาะเล็มลำคอเรื่อยจนถึงลาดไหล่ ปล่อยให้ริมฝีปากแสนว่างของผมเปล่งเสียงครางเครือเป็นระยะ
ผมอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมทุกอย่าง... ถ้าพี่ปูนต้องการผมอาจจะทำกับพี่ได้เลยในตอนนี้ ผมจะชดเชยในครั้งแรกของเราที่ผมทำไปโดยไร้สติ ถ้าครั้งนั้นมันห่วยแตก ครั้งนี้มันจะต้องดีกว่าเป็นร้อยเท่า ผมหมายมาดในใจพลางเริ่มรุกมากขึ้น ผมจูบปลายคางพี่ปูนเบาๆ แลบลิ้นไล้เลียลงมาจนถึงเนินอกแล้วครอบความร้อนรุ่มบนตุ่มไตสีน้ำตาล เรียกเสียงครางยาวออกมากจากปากเจ้าของ พี่ปูนดูจะไม่ชินเท่าไหร่ที่มีคนมาดูดนมให้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรับรู้ได้ถึงความเสียวที่พาให้แตงร้านที่แนบท้องผมอยู่พองตัวขึ้น
ผมเดาว่าความอยากเข้าครอบงำพี่ปูนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว วัดจากการที่มันไซ้คอผมแรงขึ้น กัดบ้าง ขบบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ปล่อยให้มันทำอยู่ฝ่ายเดียว ผมเล่นยอดอกพี่ปูนจนหนำใจพลางจูบหนักๆ ไปทั่ว ทิ้งรอยไว้บ้างเพื่อเป็นการเอาคืน และเมื่อพี่ปูนเรียกร้องจูบจากปากผมอีกครั้งสมองของผมก็หมุนติ้วไปหมด เราไม่ได้แตะต้องแก่นกายกันเลยด้วยซ้ำแต่มันก็ยังแข่งกันเบ่งบานเพราะหน้าท้องที่บดบี้ไปมา ลมหายใจของเราเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมคงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างเพื่อสานต่อ ขณะที่ในหัวผมกำลังเลือกตัดสินใจว่าจะพลิกตัวพี่ปูนติดกำแพงดี หรือจะพากันเดินออกไปทำบนเตียงแบบปกติดี...บางอย่างก็คืบคลานเข้ามา
ผมสะดุ้งเฮือกกับสิ่งที่ไม่คาดคิด อารมณ์วาบหวามและความมาดมั่นหดลง ผมมองสบสายตาหื่นๆ แบบยั้งไม่อยู่ของพี่ปูนแล้วขนลุกซู่ไปทั่วร่าง สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้ใจอย่างร้ายแรงที่สุด ผมเริ่มดิ้นหนี ไอ้พี่ปูนก็ออกแรงกดผมติดกำแพงมากขึ้น มันใช้ปากไซ้คอผมแรงจนรู้สึกเจ็บนิดๆ ขณะที่ฝ่ามือนั้นก็แหวกแก้มก้นผมออกแล้ว...แล้วใช้นิ้วมือ...นิ้ว...เอิ่ม...เขี่ย ต...ตูดผม
“ไม่เอา” ผมกัดฟันพูด
“น่านะ...” ไอ้พี่ปูนก็ตอบกลับพลางขบใบหูผมเบาๆ
“ไม่ได้”
“ได้...มันเข้าได้”
เชี่ย!!! เข้าอะไร!? เข้าไปไหนวะ!? “ไม่ๆ พี่ทำอย่างนี้ไม่ได้”
“...คนเป็นผัวเมียกันจะทำอะไรกันก็ได้”
“แต่พี่จะทำกับผัวตัวเองแบบนี้ไม่ได้!!”
ได้ผล! ไอ้พี่ปูนชะงักกึก มันเลื่อนมือออกจากปราการด่านสุดท้ายมาจับเอวผมไว้แทน ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองผมนิ่ง หัวคิ้วขมวดแน่น ริมฝากขยับไปมาคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บกลืนแล้วซบหน้าลงกับไหล่ผมแทน อารมณ์ที่เปลี่ยนไปกระทันของพี่ปูนทำให้ผมเป็นห่วงนิดๆ
“ไม่ได้จริงๆ เหรอ”
เชี่ย! เสียงอ่อยแบบนี้นี่คือคุณมึงอ้อนใช่มั้ย? นี่ผมโดนอ้อนเหรอวะเนี่ย
“มันก็...” ผมรีบหุบปากฉับทันที ความดีใจเกือบทำให้ประตูชัยของผมถึงกับอยู่ในจุดวิกฤตอย่างที่ไอ้โป้ยเป็นห่วงเสียแล้ว นี่สินะคือการคบกันของผู้ชายกับผู้ชาย มันคงสามารถสลับด้านกันได้ตลอดเวลาเหมือนบอลเปลี่ยนฝั่งสนามสินะ เวรแล้วไงไอ้ลุง! หมายความว่าผมต้องเป่ายิงฉุบเลือกข้างเวลาจะทำสวนกันงั้นสิ แล้วคนเป่ายิงฉุบไม่เก่งอย่างผมมิต้องถูกพรวนจนหลุมกลายเป็นบ่อหรอกเรอะ!
“ไม่ได้ๆ ไม่เอาอะ” ผมปฏิเสธขาดใจทั้งที่ยังแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดชาวสวนผู้หวังถลุงหลุมเล็กๆ ให้เบิกบาน หัวเด็ดตีนขาดผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด ดูขนาดตัวไอ้พี่ปูนสิ ถ้าขืนให้มันกดผมล่ะก็คงได้เละคาที่นอนแน่ ไหนจะแตงเกรดพิเศษของมันอีก ชิบเป๋ง!! ต่อให้ซื้อดินมาเป็นคันรถก็คงกลบหลุมผมให้เรียบตึงเหมือนเดิมไม่ได้หรอก
“นิดนึงก็ไม่ได้เหรอ” ไม่ว่าเปล่า ไอ้พี่ปูนมันยังซุกปากลงกับแก้มผมไปมา ...หมาชัดๆ นี่มันเซนต์เบอร์นาร์ดใช่มั้ย
“มันมีนิดหน่อยด้วยหรือไงวะพี่ เรื่องแบบนี้น่ะ!”
“ก็มีนะ” เจ้าของมือที่เริ่มลูบคลำก้นผมอีกครั้งตอบด้วยเสียงกรุ้มกริ่มชวนขนหัวตั้ง “อย่างเช่น...ใส่นิ้วเข้าไป”
พ่อครับช่วยลุงด้วย!
ไอ้พี่ปูนกอดผมไว้แน่นจนแทบจะฝังตัวลงไปในกำแพงห้องน้ำ ในขณะที่ผมดิ้นรนเหมือนลูกหมูรอขึ้นเขียง ไอ้นิ้วเวรตะไลก็แหวกแก้มก้นผมออก นวดคลึงเมามันเหมือนนวดแป้งซาลาเปา แถมยังเอานิ้วถูๆ วนๆ ตรงช่องทางวันเวย์ไปด้วย ยอมรับเลยว่ากลัวมาก กลัวจนฉี่จะราดเลยด้วยเอ้า! สมองก็เอาแต่นึกถึงคำสอนของพ่อไปมา ‘ถ้าเราชนะความกลัวได้ เราจะกลายเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง’
ผมยอมเป็นกิ้งก่า ไส้เดือนเลยครับพ่อ! แต่พี่ปูนแม่งน่ากลัวขนาดนี้ ผมจะเอาชนะมันได้ยังไง!!
“ฮือ~ ไม่เอานะพี่ปูน” น้ำตาลูกผู้ชายหยดแหมะ มันน่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแต่ใครสนล่ะ! ขอแค่ให้เมียเห็นใจไว้ชีวิตประตูชัยของผม ต่อให้ปล่อยโฮออกมาผมก็ยอม
“ร้องไห้ทำไม?” พี่ปูนถามเสียงนุ่มที่เจือความขบขัน
“ไว้ชีวิตตูดผมเถอะนะ” ผมเบะปากบอกเสียงสะอื้น แต่อย่างน้อยไอ้เมียเฮงซวยก็ยกมือออกจากก้นแล้วเปลี่ยนมาประคองสองแก้มผมแทน หน้าตามันเหมือนคนอยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออกที่เห็นน้ำตาผมไหลออกมาเป็นทางอย่างหมดสภาพ “แตงยักษ์ของพี่ต้องทำมันฉีกแน่ เลือดสาดกระจายต้องกลายเป็นริดสีดวง”
ผมหวังว่าคำอ้อนวอนของตัวเองจะเป็นผล แต่ในขณะที่หนอนผมเหี่ยวเฉาด้วยความหวาดกลัว แตงร้านคัดเกรดของพี่ปูนกลับเบ่งบานแทงหน้าท้องผม ไม่ต้องมองก็พอเดาได้จากประสบการณ์ว่าตอนนี้หัวแตงนั้นบานฉ่ำน่ากลัวแค่ไหน ผมจะไม่รอดใช่มั้ย? ผมต้องโดนแน่ๆ เลยใช่มั้ย? ผมอยากจะผลักมันออกใจจะขาด แต่ติดที่ว่าตัวพี่ปูนใหญ่จนบังผมมิด แถมสถานะแฟนมันค้ำคอผมอยู่ ถ้าเกิดผลักมันออกไปพี่ปูนก็จะคิดว่าผมรังเกียจและขยะแขยงซึงผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด...ผมแค่กลัว
พี่ปูนจับหน้าผมให้เงยขึ้นรับจูบ ไล้ลิ้นเลียน้ำตาผมที่กำลังสั่นเทาเพราะความหวาดระแวง แต่เมื่อลืมตามองคนตรงหน้า ผมกลับพบเพียงว่าพี่ปูนกำลังอยู่ในโหมดของขึ้น หน้าตามันมีความต้องการฉายชัดเจนมาก ทั้งดวงตายังส่องประกายพรึบพรับน่าหวาดหวั่น
“เมียจ๋าอย่าทำผัวเลย” ผมส่ายหน้าพรืด
“งั้นอ้อนพี่หน่อย”
“ปุริม~ ที่รักครับ” ผมหมดความอายอย่างสิ้นเชิง เลื่อนมือเข้าโอบหลังพี่ปูนแน่น “ลุงกลัวอะ อย่าทำลุงเลยนะ ลุงสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดี นะๆ ปุริม”
“แค่นี้เองเหรอ?...แต่พี่อยากกอดลุงนี่นา” น้ำเสียงคล้ายไม่พอใจทำเอาผมใจแป้ว ตามมาด้วยการกลืนน้ำลายเอื้อก เมื่อมือของพี่ปูนเลื้อยลงมาที่จุดล่อแหลมอีกครั้งพร้อมกับนวดเฟ้นอย่างเมามัน พี่ปูนจูบขมับผม ซุกไซ้ซอกคอด้วยลมหายใจแรงร้อน “ของพี่มันปวดไปหมดแล้ว พี่อยากจะใส่มันเข้าไปในนี้ ให้ช่องทางเล็กๆ นี่บีบรัดเอาไว้ กระแทกเข้าไปจนกว่าตรงนี้จะจำรูปร่างของพี่ได้ จนกว่าพี่จะแน่ใจ...ว่าลุงจะเป็นของพี่คนเดียว”
ทำไมมันเป็นคำพูดหยาบโลนที่ทำให้ผมหน้าร้อนได้อย่างนี้นะ
พี่ปูนดูมีความมุ่งมั่นมาก และหน้าผมก็ร้อนจนจะไหม้ แถมหัวใจก็ยังเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ผมอาจจะไม่รอดเป็นแน่ แต่พัทลุงจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง ในขณะที่ริมฝีปากของพี่ปูนเริ่มทำให้ผมเคลิ้มขึ้นอีกครั้ง ในหัวผมครุ่นคิดไปถึงกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน ใช่! หนังสือการ์ตูนที่ผมอ่านเรื่องนั้น ‘พี่น้องเหล็กไหลแห่งวงการนักแปรธาตุ’ แม้ไม่รู้ว่ามันจะแลกเปลี่ยนได้เท่าเทียมหรือไม่ แต่ผมก็ต้องดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
ไวเท่าความคิด ผมก็ลดมือลงไปจับแตงร้อนๆ ที่ใกล้เคียงขีปนาวุธเข้าไปทุกที เป็นผลให้พี่ปูนสะดุ้งเล็กน้อยพลางส่งเสียงครางแผ่วเบาอยู่ข้างหูผม
“ปุริม...” ผมพลิกใบหน้า กระซิบข้างหูเจ้าของแตง “ลุงอมให้นะ”
พี่ปูนมองหน้าผมในทันที และชั่วเสี้ยวเวลาก่อนที่มือใหญ่จะเปิดน้ำจากฝักบัวให้ราดรดฟองสบู่แห้งกรังออกไปจากตัวเราทั้งสองคน ผมเห็นแต้มสองตาว่าพี่ปูนแย้มยิ้มออกมา ...เป็นรอยยิ้มแห่งความชั่วช้าไร้ซึ่งคำบรรยาย นี่ผมไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังใช่มั้ย? หรือไม่ใช่? ผมกำลังงุนงง จับต้นชนปลายกับรอยยิ้มชั่วๆ นั้นไม่ได้ แต่มันสำคัญที่ไหนล่ะ ในเมื่อพี่ปูนลากผมที่เนื้อตัวเปียกปอนออกจากห้องน้ำไปด้วยความรื่นเริง
แรงเหวี่ยงทำให้ร่างตกลงบนที่นอนพอดิบพอดี ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่งทำใจก่อน มองพี่ปูนที่เดินผึ่งผายตามมา เนื้อตัวเปลือยเปล่าไม่ต่างกันหากสรีระนั้นน่ามอง หยดน้ำเกาะพราวไปทั่วร่างยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่ให้ผู้ชายคนนี้เป็นเท่าทวี ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อพี่ปูนเดินตรงเข้ามา อวดสายพันธุ์แตงที่ชาวสวนทุกคนอยากมีไว้ครอบครอง
ผมไม่เคยกินแตงของใครมาก่อนเลยในชีวิต หวังว่าแตงดุ้นแรกนี้จะไม่ทำให้ผมกรามค้างนะ
“ผมไม่เคยนะพี่” ผมชิงออกตัวไว้ก่อน พยายามไม่สบสายตาหรือว่าแตงที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า พี่ปูนยืนประชิดติดขอบ ใช้นิ้วเชยคางผมขึ้น ผมมองเหลือบตามองรอยยิ้มกริ่มสมใจของพี่ปูน ก่อนจะผสานสายตาเข้ากับแตงร้านที่กำลังสั่นระริกตรงหน้า
“อย่าให้ฟันครูดนะ” พี่ปูนหอบหายใจแรงอย่างตื่นเต้น “ทำแบบที่พี่ทำให้ลุงไง”
โอ้โห!! ผมจะไปดูดจ๊วบๆ อย่างนั้นได้ยังไง ของๆ พี่มันไม่ใช่แตงกวาจุ๋มจิ๋มน่ารักนะ! แค่เข้าปากยังว่าไม่น่าจะรอดเลย แล้วถ้าอมจนมิดผมไม่ขย้อนมื้อเย็นออกมาเลยเรอะ! บ้าเอ๊ย... น่ากลัวเกินไปแล้ว
ห้องเงียบๆ ยิ่งขับเสียงลมหายใจอย่างหื่นกามของพี่ปูนให้ฟังดูน่าขนลุก ผมเองก็จับจ้องสิ่งตรงหน้าด้วยลมหายใจรุนแรงไม่แพ้กัน แต่ไม่ใช่เพราะอารมณ์ขึ้นอยากจะพุ่งเข้างับหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมกำลังต่อสู้กับตัวเองไม่ให้กรีดร้องต่างหาก เหมือนตกอยู่ในหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง ที่พระเอกอย่างผมต้องมานั่งเผชิญหน้ากับปิศาจตาเดียว มันจ้องหน้าผมเขม็ง พยายามสะกดผมให้ขวัญเสียจนต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน
ผมกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอ จ้องหน้าปิศาจตรงหน้าสลับกับมองพญามารอย่างชั่งใจ ในที่สุดวันนี้ก็เกิดขึ้นกับผมจนได้ แต่ถ้าเพื่อรักษาเอกราชให้ยั้งยืนสืบไปแล้วนั้น...การเสียสละแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าคุ้ม
“เดี๋ยวก็ท้องหรอกลุง”
“ผมแยกเขี้ยวให้กับเสียงแซว ไม่มีประโยชนืที่จะยื้อเวลาต่อไป! ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น ผมหลับตาปี๋ยามที่ริมฝีปากจรดประทับลงบนหัวแตง ขนทั่วร่างลุกชันอย่างสุดจะห้าม ได้แต่ร้องครวญครางหาพ่อผู้ล่วงลับอยู่ในใจ ปากผมสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วครับพ่อ~ ปากที่ไม่เคยแตะต้องหอยแครงหรือแตงของใครมาก่อนตอนนี้ได้แปดเปื้อนเจือราคีไปแล้วครับ
“ฮึ่ม!”
เสียงครางในลำคอดังขึ้นอย่างพึงพอใจเมื่อผมครอบปากลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ พยายามห่อริมฝีปาก ไม่ให้แตงร้านถูกกระทบกระเทือนด้วยซี่ฟัน พี่ปูนครางยาวราวกับสาสมใจ ปลายนิ้วขยุ้มเส้นผมจนเจ็บด้วยแรงอารมณ์ แต่ผมละความเจ็บนั้นไป มุ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับของในปาก รู้สึกว่ากรามเริ่มปวด นึกไปถึงว่าถ้ากรามดันค้างขึ้นมา ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปให้หมอรักษา ดังนั้นแม้ว่าผมจะมีความตั้งมั่นแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรละเลยสุขภาพตัวเอง
ผมเหลือบมองพี่ปูนหลังจากคายของออกมา น้ำลายปะปนกับหยาดน้ำลื่นๆ จนแยกกันไม่ออก เพื่อไม่ให้ขาดช่วง ริมฝีปากก็แนบไปตามความยาว จูบบ้าง เม้มบ้าง พี่ปูนขยับตัวอย่างอึดอัด แต่ก็ยังปราณีมากพอที่จะไม่สวนสะโพกให้มันดูน่ากลัวไปกว่านี้ แม้เทคนิคจะยังไม่ดีเลิศ แต่พี่ปูนควรจะให้คะแนนความตั้งใจของผมเต็มสิบ มือใหม่อย่างผมพยายามเขมือบของร้อนเข้าปากจนน้ำหูน้ำตาเล็ด เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย
อ้วกเกือบพุ่งออกมาหลังจากผมพยายามกลืนแตงเข้าไปตามการกระตุ้น แต่ยังได้ไม่หมดผมก็ต้องรีบคายมันออกมา ไม่เห็นเหมือนตอนพี่ปูนทำให้ผมเลยสักนิด อย่างน้อยตอนนั้นพี่ปูนก็ดูเซ็กซี่ไม่ได้อนาถเหมือนผมตอนนี้
“อา...ลุง” เสียงต่ำยังครางต่อเนื่องเมื่อหน้าที่ของผมยังไม่บรรลุ อะไรที่พี่ปูนเคยทำให้หนอนน้อยผมมีความสุขผมก็พยายามงัดเทคนิคนั้นออกมาเท่าที่สามารถ ยิ่งพี่ปูนครางเท่าไหร่ราวกับว่าผมยิ่งฮึกเหิมมากเท่านั้น ยิ่งเมื่อผมเหลือบตามองขึ้นไปก็จะเห็นดวงตาคมทอดมองมาที่ผมเสมอ มันฉ่ำปรือด้วยแรงพิศวาสที่ริมฝีปากผมเสกสรรขึ้น เซ็กซี่เสียจนหนอนน้อยตรงหว่างขาผมพองตัวขึ้นเรื่อยๆ
พี่ปูนยิ้มกริ่ม มองมันด้วยสายตาเร่าร้อนจนใบหน้าผมแทบไหม้เป็นจุล มือหนาลูบแก้มผมไปมาขณะเคลื่อนตัวเนิบนาบกับปากผม แต่ก่อนที่ผมจะหมดลมตาย เจ้าของแตงก็ถอนตัวออกไปให้ผมได้โกยอากาศเข้าปอดอย่างหิวกระหาย ผมหอบจนตัวโยนปล่อยให้พี่ปูนลูบหัวลูบแก้มผมเพื่อผ่อนคลาย ใบหน้าผมเปื้อนน้ำอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ทั้งน้ำมูก น้ำตา น้ำลาย แล้วก็น้ำยางใสๆ จากหัวแตง แต่พี่ปูนก็ยังโน้มตัวลงมาจับหน้าผมไปจูบ กวาดลิ้นไปทั่วจนผมเสียวสันหลังวืด ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยึดแขนพี่ปูนเอาไว้ยามที่ถูกดันจนหลังแตะลงกับที่นอนนุ่มๆ
“อืม...” พี่ปูนครางอย่างมีความสุข ใบหน้าหล่อเหลาผละออกมามองผมด้วยสายตาเชื่อมหวาน เอ่ยคำพูดที่ผมชอบฟังด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาผมดำดิ่งลงห้วงหฤหรรษ์ช้าๆ “เด็กดีของพี่...”
อย่าเลยนะครับ
อย่าให้ผมต้องบรรยายอะไรมากไปกว่านี้เลย แค่นี้ผมก็แทบจะเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดแล้ว เอาเป็นว่า...คืนนี้ผมได้ลองท่วงท่า 69 ที่เคยเห็นแต่ในคลิปวีดีโอเป็นครั้งแรก มันช่าง...น่าอาย! ถ้าไม่ต้องไปปีนป่ายยกก้นลอยเหนือหน้าใครคงจะดีกว่านี้มาก
.
.
.
ฮัดชิ่ว!!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงและการสั่นสะเทือน สองตากระพริบปริบๆ ท่ามกลางแสงสว่าง เมื่อตั้งสติได้จึงพบว่าตัวเองนั้นนอนซบอยู่บนอกพี่ปูน แขนขากอดก่ายอย่างกับอีกฝ่ายกลายเป็นหมอนข้างอย่างสมบูรณ์ หัวผมเคลื่อนไหวขึ้นลงตามแรงหายใจของพี่ปูน มันเป็นความรู้สึกแปลกพิกลแต่ก็คันหัวใจพิลึก ได้นอนฟังเสียงหัวใจเต้นของพี่ปูนมันก็มีความสุขดีเหมือนกัน เสียงตุบๆ ดังสม่ำเสมอเกือบจะทำให้ผมเคลิ้มหลับไปอีกรอบ
ฮัดชิ่ว!!
แต่เสียงจามจากหมอนข้างใบโตก็ทำให้ผมต้องขยับตัวโงนเงนขึ้นมานั่ง มิน่าผมถึงว่าอากาศมันเย็นเหลือเกิน ก็เราสองคนเล่นนอนโป๊กันแบบที่ว่าหาผ้าห่มไม่เจอนี่เอง เพราะงี้พี่ปูนถึงได้จามถี่ขนาดนั้น ผมจำต้องขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเดี่ยวที่นอนเบียดกันมาตลอดคืน แล้วก้มหยิบผ้าห่มที่ตกลงพื้นขึ้นมาห่มให้พี่ปูนจนมิดถึงคอ แต่แทนที่พี่แกจะหลับพริ้มเหมือนพวกนางเอกในนิยาย กลับผวาเฮือกลืมตาขึ้นมองผมเสียอย่างนั้น
“...ลุง?”
“หืม?” ผมโน้มตัวลงไปให้คนนอนเห็นหน้าอย่างชัดเจน “หลับเหอะนะ ผมแค่ห่มผ้าให้”
“...ต้องไปถ่ายรูป” พี่ปูนพูดราวกับคนละเมอ ใบหน้าที่ยังติดงัวเงียอยู่ทำให้ผมยิ้มขันพลางเมองไปยังนาฬิกาติดผนัง เพิ่มตีสี่ครึ่งเท่านั้นเอง กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นยังพอมีเวลาถมเถ...
เอ๋?
“เชี่ย!!” ผมร้องเสียงดัง หลังจากนั้นผมก็วิ่งเหมือนอยู่ในดงระเบิดเลยครับ ลืมไปเลยว่าจะมีคนมารับตอนตีห้า ผมคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำแบบที่ไม่สนใจพี่ปูนอีกเลย กว่าจะชำระคราบแห้งเกรอะกรังตามผิวจนสะอาดก็เล่นเอาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเหตุการณ์มันตีวนเข้าหัวสมอง แต่ด้วยความรีบเร่งผมจึงขจัดความเขินอายด้วยการถูสบู่อย่างรุนแรงแล้วรีบออกมาแต่งตัว
“ทำไมไม่นอน” พี่ปูนนั่งเหม่ออยู่บนที่นอน เนื้อตัวยังเปลือยเปล่าแต่มีผ้าเช็ดตัวพาดไหล่เตรียมพร้อมอยู่
“บอกแล้วว่าจะไปด้วย” ผมเดินออกมาให้พ้นจากประตูห้องน้ำเมื่อพี่ปูนลุกขึ้นเตรียมเดินสวนเข้าไป “พี่วางเสื้อที่ซื้อมาให้ไว้บนเตียงนู้นนะ รอพี่ด้วยล่ะ”
สั่งความเสร็จก็เดินเบลอๆ หายเข้าไปในห้องน้ำบ้าง ผมเดินตรงไปยังเตียงว่างที่ยังไม่ได้ผ่านการใช้งาน บนผ้าปูสีขาวมีเสื้อผ้าครบชุดวางไว้อย่างลวกๆ ผมไม่รู้ว่าพี่แกไปหาซื้อมาให้ตอนไหน แต่...โอย~ หัวใจผมคันยิบๆ อีกแล้วอะ
.
.
.
แม้ว่าจะเลยเวลาที่นัดมาเกือบสิบนาที แต่เจ้าหน้าที่ที่รออยู่ก็ยังคงยิ้มให้เมื่อพวกเราเดินไปสมทบ ระหว่างนั่งรถกอล์ฟไปยังตีนเขา พี่ไกด์ก็อธิบายโน่นนี่นั่นไปเรื่อยอย่างชำนาญ ดูรื่นเริงขัดกับเวลามาก ไม่เหมือนพวกผมสองคนที่ยังนั่งกันเงียบ ร่างกายผมยังเพลียอยู่เลยด้วยซ้ำแต่ดูจะดีกว่าพี่ปูนเล็กน้อย รายนั้นผมว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่อาการหวัดรับประทานแล้วล่ะ
ขณะนี้เวลา 5 นาฬิกา 45 นาที
ผมก้าวเท้าอีกเป็นก้าวสุดท้ายก่อนจะหยุดยืนหอบแฮ่กๆ เป็นหมาหอบแดดสะท้านสายลมบนผากว้าง ที่สูงพอจะเห็นทิวทัศน์รอบๆ ได้ ถ้าไม่ติดว่าพี่ไกด์ที่เดินขึ้นเขามาพร้อมกันยังอยู่ในอาการสบายๆ แล้วล่ะก็ ผมคงทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นแบบหมดแรงแล้ว การเดินขึ้นเขานี่มันนรกแตกจริงๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแบบผม มันเหนื่อยจนหัวใจเต้นตุ้บๆๆๆ รัวเร็วน่ากลัวจะทะลุออกมา กระเป๋ากล้องห้อยคอที่ไม่ได้หนักอะไรมากมาย ตอนนี้เหมือนผมห้อยเหล็ก 10 กิโลเอาไว้ โงหัวแทบจะไม่ขึ้นเลยทีเดียว
“โชคดีจังครับ ผมกลัวว่าจะไม่ทันเหมือนกัน” พี่ไกด์หนุ่มหน้าเข้มหุ่นนักกีฬา เดินยิ้มแฉ่งมาหาผมพร้อมกับขวดน้ำในมือยื่นส่งให้ ผมซึ่งใกล้ตายก็ฉวยรับไว้แบบไม่อิดออด “ช่วงนี้พระอาทิตย์ขึ้นเร็วครับ...คุณพัทลุงนั่งพักตรงโขดหินแถวนั้นก่อนเถอะครับ”
“ขอบคุณนะครับ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้ต้องรอ” ผมก้มหัวให้อย่างจริงใจไปหนึ่งที ซึ่งไกด์ก็ดูจะไม่ติดใจอะไร
“ไม่ต้องคิดมากเลยครับ เดี๋ยวผมจะรออยู่แถวโน้นจะได้ไม่เกะกะนะครับ” พี่ไกด์เอ่ยอย่างใจดี “แต่อย่าไปใกล้ผามากนักนะครับ ถึงจะตีไม้กั้นไว้ แต่บางจุดก็ยังเปิดโล่งอยู่”
“ผมไม่ใช่คนถ่ายรูปผาดโผนขนาดนั้นหรอกครับ”
“ได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจครับ” พี่ไกด์หัวเราะออกมาพาให้ผมยิ้มตามไปด้วย
“ขอบคุณมากครับ” พี่ปูนโพล่งขึ้นมากลางสนทนาที่แสนละมุน เสียงเข้มๆ นั้นตัดอารมณ์เสียจนพี่ไกด์ถึงกับตีหน้างง “ไปทางโน้นกันดีกว่า พี่ว่าสวยดี”
แล้วผมก็ถูกลากออกไปยังทิศทางที่พี่ปูนนำเสนอ แต่พอไปถึงพี่ปูนกลับปลีกตัวไปยืนเป็นนายแบบการท่องเที่ยว แล้วปล่อยให้ผมได้ทำงานไปตามเรื่อง ขณะที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากชอบฟ้าอย่างเชื่องช้า ผมก็ตามเก็บภาพเหล่านั้นได้หลายภาพ แสงสีทองคล้ายจะขับไล่ความมืดครึ้มให้หายลับไป สาดแสงปะทะความเขียวขจีให้ส่องประกายระยิบระยับ ผมสูดอากาศสดชื่นเข้าปอดให้มากที่สุดท่ามกลางเสียงไพเราะของเหล่านกที่เริ่มออกหากิน ผมยกกล้องขึ้นเก็บภาพแหล่งกำเนิดสรรพสิ่งอีกครั้งขณะมันลอยเอื่อยเหนือหมู่เมฆหมอกจางๆ ถ้าตอนนี้เป็นฤดูหนาว ภาพตรงหน้าผมจะสวยงามแค่ไหนกันนะ
“สวยนะ...” ผมหันไปมองคนที่ก้าวมายืนข้างผม พี่ปูนจับจ้องแสงแรกตรงหน้าด้วยความนิ่งงัน แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าความสวยงามมันไม่ได้ตราตรึงลงไปในใจพี่ปูนเลย
“พี่ไม่ชอบเหรอ?” ผมลดกล้องลง พยายามบังคับสายตาให้จับจ้องแต่ภาพตรงหน้า
“ทำไมคิดอย่างนั้น...พี่บอกว่าสวยนี่นา”
“ไม่รู้สิ สีหน้าพี่ นัยน์ตาของพี่ มันไม่ได้บอกอย่างนั้น” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป ก็เลยต้องรีบเสริมขึ้นมาในทันที “ผมก็แค่เดาเอาน่ะ”
“ใช่...สำหรับพี่เมื่อก่อนนั้น ภาพตรงหน้านี้มันก็แค่ดวงอาทิตย์ที่โลกหมุนรอบตัวเองเพื่อกลับมาเจอมันอีกครั้ง เปลี่ยนจากกลางคืนเป็นกลางวัน มันก็เป็นของมันอยู่แบบนี้ตามกฎเกณฑ์ เสียเวลาเปล่าที่จะมัวไปชื่นชม”
ผมรพอมองออกว่าพี่ปูนเป็นพวกขี้เหงา...แต่ ณ ช่วงเวลานี้ที่ผมพึ่งค้นพบอีกอย่างว่า ส่วนหนึ่งของพี่ปูนนั้น มันช่างมืดมิดและอ้างว้างเหลือเกิน มันคล้ายกับว่าถ้าบอกให้คนๆ นี้ เดินไปเพียงลำพัง เขาก็คงไม่คิดอ้อนวอนใครให้ร่วมทางแน่
ผมคว้ามือพี่ปูนมาจับไว้ราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นให้ ผมเหลือบตามองพี่ปูนซึ่งเลิกคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ผมยิ้มตอบกลับความสงสัยนั้นด้วยการเงียบ คงไม่มีใครอยากจะปล่อยให้คนคุ้นเคยเดินเปียกฝนในป่าชื่นที่อ้างว้างหรอก ต่อให้ในอนาคตคนที่อยู่เคียงข้างนี้ไม่ใช่ผม...แต่ผมก็ยังหวังให้มีใครสักคนที่พี่ปูนอนุญาตให้เดินจับมือเคียงกันไป
“พี่แค่ยังไม่เจอครับ...” ผมไม่เคยคิดว่าน้ำเสียงตัวเองจะฟังดูอ่อนโยนได้ขนาดนี้ แต่เมื่อนึกถึงภาพที่ผมคิดไว้มันก็ทำให้ใจมีความสุขขึ้นมา “คนที่จะทำให้พี่ไม่เหงายามค่ำคืน คนที่จะทำให้พี่อยากอยู่ด้วยไปทั้งวัน พี่แค่ยังไม่เจอ...คนที่จะมาเป็นโลกทั้งใบของพี่ก็เท่านั้นเอง”
พี่ปูนนิ่งมองผม แต่แล้วริมฝีปากก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา มันสว่างสดใสราวกับแสงแรกที่ฉายส่องอยู่ในตอนนี้ “ถ้าความหมายของมันเป็นแบบที่ลุงว่า...” พี่ปูนละสายตาจากผม หันไปทอดมองภาพความงามเบื้องหน้าแล้วอมยิ้มออกมาอีกครั้ง ผมมองคนข้างๆ เนิ่นนานจนกระทั่งพี่ปูนคว้ามือผมไปจับเอาไว้แน่น แล้วพูดคำต่อประโยคด้วยเสียงหนักแน่น
“พี่เจอคนๆ นั้นแล้วล่ะ”
“...........”
“และสำหรับพี่ในตอนนี้ ภาพตรงหน้า...มันสวยงามจริงๆ”
ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่า ‘คนนั้น’ คือผม?
ก็ในเมื่อฝ่ามือของพี่ปูนนั้นกุมมือผมไว้แน่นเสียขนาดนี้ มองตาผมอย่างนี้ ยิ้มให้ผมแบบนี้...คงไม่ได้พูดถึงพี่ไกด์หรอกใช่มั้ย? แต่ความเขินมันมากจนเกินกว่าจะขอคำยืนยันเป็นกิจจะลักษณะได้ ผมเลยได้แต่ทำตีเนียนอมยิ้ม แล้วเอียงหัวซบไหล่แก้เก้อ นึกกลัวว่ามันจะถามกลับให้ผมต้องลงไปชักดิ้นชักงอให้อายพี่ไกด์ แต่พี่ปูนก็ทำเพียงแค่กุมมือผมเอาไว้เงียบๆ ให้ผมได้ปล่อยใจเพื่อคิดในเรื่องเดียวกันนี้
โลกของผมชื่อว่า
ปุริมแล้วรึยังนะ?
______________________________________________________________________________TBC.
ช่วงนี้ลงช้าไปมาก
หัวหน้าใจร้ายจัดเวรเยอะมากจริงๆ T^T ครึ่งเดือนหน้าเห็นเวรแล้วแทบสิ้นใจ
ลงนิยายช้าหน่อยนะคะ ถึงจะยังเป็นหอยทาก แต่ก็พยายามเป็นหอยทากเพิ่มเทอร์โบน้าาาา
ขอบคุณที่รออ่านกันนะคะ
