◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◦●สมภารกับไก่วัด●◦|| *แจ้งข่าวหนังสือ* || 5-3-63 หน้า 54 ||  (อ่าน 302404 ครั้ง)

ออฟไลน์ Moonuglygirl

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ yumenari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
คิดถึงน้องลุง เมื่อไหร่จะมาน้อ  :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ tnphol

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
โอ้ยยยยย เขินมากกกกกกก

ออฟไลน์ NongJesZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอนานแล้วววววว คิดถึงลุงมากกกกกกกกกก :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
ตอนที่ 11 _ไก่อ่อนสอนขัน_




“ฮัดชิ่ว!!” 

เสียงจามดังลั่นรถแคบๆ ผมไม่ทราบหรอกว่าละอองน้ำลายมันกระจัดกระจายไปมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ มันกระเด็นไปนอนเล่นบนพวงมาลัยรถแล้วหนึ่งหยดใหญ่ๆ ใจจริงแล้วผมอยากจะดึงเสื้อขึ้นมาปิดจมูกป้องกัน แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้พี่ปูนเข้าใจว่ารังเกียจ ผมก็จำต้องปั้นหน้านิ่งๆ เอื้อมหยิบทิชชู่หลังรถมาแล้วทำการเช็ดเศษน้ำบ่อน้อยที่เปรอะเปื้อนออกให้แบบเนียนๆ

“ฮัดชิ่ว!!!”

เต็มๆ... เต็มหลังมือผมเลยทีเดียว  “พี่ควรจะปิดปากป่ะวะ? ซกมกจริง”

“โทษๆ มันห้ามไม่ทันน่ะ”  พี่ปูนทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหายใจไม่สะดวกพลางยื่นมือมาตรงหน้าผม  “ทิชชู่หน่อย”

ผมดึงทิชชู่จากกล่องส่งให้คนขับรถสองแผ่น จากนั้นค่อยดึงให้ตัวเองอีกสามแผ่นเพื่อมาเช็ดหลังมือ พี่ปูนรับไปได้ไม่ทันไรก็ส่งเสียงจามอีกครั้ง ตามด้วยเสียงพรืดจากจมูก ฟังดูนอกจากลมแล้วคงมีสารคัดหลั่งปนมาด้วยแน่นอน ผมรีบเอื้อมมือไปด้านหลังอีกรอบเพื่อเทถุงใส่ขนมที่เพิ่งซื้อออกมาใช้เป็นถุงขยะชั่วคราวแล้วยื่นให้พี่ปูนหย่อนของทิชชู่ใช้แล้วทิ้ง พลางดึงกระดาษแผ่นใหม่ให้อีกเท่าตัวเพื่อกันการซึมเปื้อน

“จามขนาดนี้ผมว่าต้องมีคนด่าพี่อยู่แน่ๆ”  ผมเน้นเสียงอย่างมั่นใจ พี่ปูนเหลือบหันมามองผมด้วยตาเชื่อมๆ แวบหนึ่งแล้วหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ  “พี่ต้องไปทำอะไรใครไว้ชัวร์”

“คงไม่ได้หมายถึงตัวเองใช่มั้ย?”

“เปล๊า! ผมจะไปด่าพี่เรื่องอะไร๊?”  เสียงสูงระดับเทเนอร์ของผมเรียกลมหายใจสั้นๆ ผ่านรูจมูกของพี่ปูนได้อย่างหนักแน่น  “เอาจริงๆ นะผมว่า…! -- อี๋~”

เสียงแห่งความขยะแขยงดังลั่นรถ ผมรีบดึงทิชชู่ด้วยความเร็วแสง แล้วจัดการป้ายมันลงที่รูจมูกของพี่ปูนที่เหมือนไม่รู้ตัวว่าน้ำมูกใสๆ ได้ไหลย้อยออกมา สองนิ้วบิดบี้ปีกจมูกไปมา พยายามเค้นน้ำมูกประหนึ่งบีบน้ำมะนาว พี่ปูนส่งเสียงอู้อี้คล้ายจะหายใจไม่ออก แต่ผมไม่สนใจ ยังคงใช้ปลายนิ้วคลึงเค้นน้ำเหนียวหนืดให้ออกมา

“สั่งออกมาเลยนะ”

สิ้นคำผม เสียงพรืดก็ดังมาอีกระรอก มีการสั่นสะท้านในโพรงจมูกเล็กน้อย และเมื่อผมออกคำสั่งอีกครั้ง พี่ปูนก็พ่นลมหายใจออกมาแรงกว่าเดิม ผมดึงมือกลับ มองพี่ปูนที่สีหน้าเริ่มย่ำแย่ ปลายจมูกแดงก่ำ ตาฉ่ำเยิ้มขึ้นทุกที ส่วนผมมองทิชชู่ในมือที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมด้วยหางตาก่อนจะทิ้งมันลงถุงขยะ แล้วพบว่าไอ้ความเหนียวนุ่มที่ขยันโฆษณากันนั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวงชัดๆ

“จอดรถ”  เสียงเรียบๆ จากผม ทำให้พี่ปูนหันมามองอย่างงุนงงแต่ก็ยินดีตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางให้ ผมรีบเช็ดมือให้สะอาด หันมามองสภาพร่างกายคนข้างๆ แบบเต็มตา พี่ปูนดูเปื่อยมาก โทรมมาก  “เปลี่ยนที่เลย เดี๋ยวผมขับเอง”

“ไม่ต้องๆ พี่ขับได้”

“อย่าเถียงนะ หวัดกินแล้วไม่รู้ตัวรึไง”

“แต่...”

“ลงจากรถ!”   ผมเพิ่มเสียงอีกเท่าตัวเพื่อข่มขวัญและปรากฏว่ามันก็สำเร็จเสียด้วย พี่ปูนลงจากรถไป เพื่อเดินอ้อมมาอีกด้านกลางแดดเปรี้ยง ส่วนผมก็อาศัยจังหวะข้ามเบาะไปแบบสบายๆ ทันทีที่พี่ปูนขึ้นมานั่งผมก็จัดการยื่นกล่องทิชชู่พร้อมกับถุงขยะให้ถือไว้

“ขอบใจนะ”   พี่ปูนพูดขึ้นเบาๆ โดยที่สองตาเอาแต่จ้องอยู่กับของสองสิ่งในมือ ผมว่ามันคงอายเล็กน้อยที่มาหมดสภาพต่อหน้าผม แต่ผมกลับรู้สึกเหนือขึ้นมาทันทีที่พี่ปูนอ่อนลง ก็มันจะมีสักกี่ครั้งว้า~ ที่ผมข่มพี่ปูนได้สำเร็จ   “พี่ว่าต้องเป็นเพราะเมื่อคืนแน่ๆ”

ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตามคำคาดคะเนแล้วก็เห็นจริงอย่างนั้น ก็เราสองคนเล่นตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันท่ามกลางแอร์เย็นๆ แล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น แถมยังต้องมาเดินออกกำลังกายแต่เช้ามืดอีก ไหนจะเหงื่อ ไหนจะเปล่าเปลือย แถมยังเพลียแรงอีก ไม่เป็นหวัดบ้างก็ไม่ใช่คนแล้ว...? ไม่สิ คนปกติน่ะนะ ส่วนผมมันร่างกายแข็งแรงมาแต่อ้อนแต่ออกแล้ว

“เราก็ทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมลุงถึงไม่เป็นอะไรเลยวะ?” 

“ผมเป็นคนแข็งแรงไง พี่น่ะอ่อนแอเป็นคุณหนูไปได้”   ผมออกรถพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยาม แต่การจะกัดพี่ปูนน่ะ ถ้าไม่ได้เกิดเป็นร็อตไวเลอร์คงทำไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ

“นั่นสินะ ผู้ดีอย่างพี่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ได้ถึกทนเป็นควายเหมือนลุง”

น้ำเสียงเนิบนาบส่งเสียงน่าฟังทันทีทันใด แล้วเมื่อหันมามองสบตากับผม ริมฝีปากน่าดีดก็เหยียดยิ้มอ่อนให้ -- เห็นมั้ยครับ? ผมได้รับคำเยินยอแค่ไหน นอกจากจะกลายเป็นไพร่โดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว ยังได้เป็นควายน้อยผู้น่ารักอีก แม่ม!

“โหย~ งั้นผมต้องรีบพาพี่ไปโรง’บาลรึเปล่าเนี่ย กระหม่อมบางเป็นคุณชายแบบนี้ เกิดมาตายห่าคารถตอนนี้ก็แย่น่ะสิ”  ผมซัดไปหนึ่งดอกเบาๆ น้ำเสียงแบบเอื้ออาทรควบวิตกกังวลอย่างชัดเจน แต่เน้นบางคำให้พอเป็นกระษัย แน่นอนว่าผลตอบรับที่ได้คือสายตาจิกแรงที่ผมแอบเหลือบไปเห็น

“ปากแกเนี่ยนะ...”  น้ำเสียงพี่ปูนกึ่งขบขันกึ่งจริงจัง  “มันน่าจูบซะให้เลือดกบ”

ผมยิ้มค้างแล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป เงียบสิครับจะรออะไร? ขืนต่อล้อต่อเถียงต่อผมคงได้เลือดกบปากจริงๆ ตั้งแต่ได้มันมาเป็นเมียนี่ทำให้ระดับความกล้าของผมลดลงหลายส่วนเลยทีเดียว จะเถียงจะด่าก็ต้องคอยยั้งปากเอาไว้ เขาจะขู่อาฆาตอะไรก็ต้องเงียบฟัง ผมว่าการเป็นแฟนกันว่ายากแล้วนะ แต่การเป็นผัวผู้ชายสักคนนี่มันยากยิ่งกว่าอีก แถมยังไม่มีเพจไหนให้คำปรึกษาในส่วนนี้ซะด้วย ผมก็เลยจำต้องต่อสู่กับราชสีห์น้อยตัวนี้เพียงลำพัง

.
.
.

ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเดินทางเข้าเขตกรุงเทพฯ ผมไม่เคยขับรถคนเดียวด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีพี่ปูนนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ก็เถอะ แต่หลังจากผมเปลี่ยนมือมาขับแทนได้ไม่นาน พี่แกก็เข้าสู่ห้วงนิทราในทันใด ดีนะว่าก่อนออกมาจากรีสอร์ทได้ชวนกันไปกินข้าวเที่ยงตุนไว้แล้ว เพราะกะจะยิงยาวไม่แวะรายทาง ขนมนมเนยของผมก็พร้อมสรรพ ฉีกถุง เปิดขวดดื่มได้อย่างสะดวกสบายสุดๆ

แต่หมดขนมไปก็หลายถุง เสียงฉีกถุงห่อกร๊อบแกร๊บดังก้องรถขนาดไหน พี่ปูนก็ไม่มีเอ๊ะอ๊ะตื่นขึ้นมาดูเลย และในฐานะสามีที่ดีผมก็ไม่รีรอที่จะขุดเอาผ้าห่มหลังรถกับหมอนรองคอมาหนุนให้คนป่วยบ้าง ก็ไม่ได้ทำดีหวังผลอะไรหรอกนะ แค่อยากจะรู้ว่ามันจะประหลาดใจเหมือนที่ผมรู้สึกในตอนนั้นรึเปล่า? ผมเองก็ไม่คิดว่าพี่ปูนจะใส่ใจขนาดนั้น ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในกรอบอบอุ่นของผ้าห่มผืนบาง พร้อมกับหมอนรองคอแสนสบาย หัวใจมันก็คันยุบยิบขึ้นมาจนต้องรีบเบี่ยงประเด็นไปลงที่ความหิว ...มันเป็นความประหลาดใจที่ทำเอาเขินได้น่าดูชมเชียวล่ะ

เมื่อมาถึงคอนโดผมก็วนขึ้นอาคารจอดรถทันที ไม่รู้ว่าพี่ปูนมีที่ประจำหรือไม่อย่างไร แต่ผมก็เอาสะดวกเข้าว่าไว้ก่อนเมื่อเห็นรถคันหนึ่งกำลังจะออกจากบริเวณใกล้ลิฟต์ และสกิลการจอดรถเข้าซองอันเลื่องชื่อของผม ก็เกือบทำเอากระจกข้างครูดกับข้างเสาไปหนึ่งที หมุนพวงมาลัยไปมาอยู่หลายรอบกว่าจะเข้าที่เข้าทาง ผมต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ทำรถคนอื่นพังคามือ  เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับสนิทเรียบร้อยก็ถึงคราวปลุกคนข้างๆ ผมให้ตื่นขึ้นสักที

“พี่ปูน”  ผมส่งมือเขย่าร่างที่นอนนิ่งเงียบไปด้วย  “พี่ปูนถึงแล้วนะ”

“อืม...”  เสียงครางต่ำๆ เบาหวิวจนผมกังวล  “อืม...ขอบใจนะลุง”  พี่ปูนขยับตัวจัดท่านั่งอย่างงัวเงีย มันหยิบๆ จับๆ ที่ผ้าห่มแล้วหันมายิ้มให้ผมหนึ่งที ผมคงจะรู้สึกมีปฏิกิริยาตอบรับมากกว่านี้หรอกนะถ้าอยู่ในสภาพปกติ แต่นี่พี่ปูนหน้าโทรมมาก แถมยังตาปรือฉ่ำเหมือนคนจะมีไข้ เสียงที่พูดออกมาก็เหมือนถูกเสมหะกั้นไว้ในลำคอ

“ผมว่าพี่เริ่มเป็นมากแล้วว่ะ”

“อือ นอนพักเดี๋ยวก็หาย”

“หวัดนะพี่ ไม่ใช่แฮงค์เหล้า”  ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมพลางจับผิวเนื้อตามแขนเพื่อวัดอุณหภูมิ  “ไปโรง’บาลกันป่าว”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอกน่า พี่เป็นหวัดบ่อย”

“ไอ้บ่อยของพี่นี่มันแค่ไหนอ่ะ”

“เมื่อก่อนปีนึงก็สักสี่-ห้าครั้งได้ แต่หลายปีหลังก็น้อยลงแล้ว”  พี่ปูนพูดไปก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาขยำเป็นก้อนแล้วโยนข้ามไปเบาะหลัง ตามด้วยหมอนรองคอที่หมดประโยชน์แล้ว  “พี่มียาเก็บไว้ กินยานอนพักสักคืนก็ดีขึ้นแล้ว”

คร้านจะเถียงกับคนดื้อดึง ผมจึงคิดว่าเลยตามเลยไปกับพี่ปูนคงจะดีที่สุดในตอนนี้  “งั้นผมไปส่งพี่ที่ห้องแล้วกัน”

“ไม่ต้องๆ พี่ไปเองได้ ลุงกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวต้องส่งรูปให้กรอีก”

“ผมแค่อยากจะดูให้แน่ใจว่าพี่หลับจริงๆ หรอก แล้วก็จะกลับเลย”

“เพื่อ?”

“...เป็นห่วงไม่ได้รึไง”   ผมถามเสียงห้วนอย่างเริ่มรำคาญ  “ได้เปล่า? ถ้าไม่ได้ก็จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ”

พี่ปูนมองหน้าผมนิ่งๆ ราวกับกำลังค้นหาบางอย่าง หากไม่กี่วิต่อมาสายตานั้นก็หลุบต่ำพร้อมกับพ่นรอยยิ้มเผล่ออกมาคล้ายจะอิ่มเอมเต็มที และหลังจากนั้นผมก็ต้องหิ้วสัมภาระของคนสองคนเต็มสองแขน เดินตามหลังคุณชายท่านที่แม้จะอ่อนเปลี้ยแต่ก็เดินลิ่วไม่มีรั้งรอ

“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”  นั่นคือประโยคแรกเมื่อเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อย พี่ปูนทิ้งผมให้ยืนเดียวดายแล้วเดินเอื่อยๆ ขึ้นบันไดไป

ผมวางถุงข้าวของส่วนตัวลงแถวประตู จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าของพี่ปูนเดินตามขึ้นไปบนห้องบ้าง อย่างน้อยก็ต้องเคลียร์พวกของที่ใช้แล้วออกเพื่อลงตะกร้า มีเสียงน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ ผมเลยถืออากาสมองรอบๆ เพื่อสำรวจความสกปรก และก็เห็นกองเสื้อผ้าตกอยู่บนเตียงบ้าง บนพื้นบ้าง ทั้งที่ตะกร้าผ้าก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เห็นแล้วจิตวิญญาณของพ่อบ้านก็ลุกฮือขึ้นมา ผมเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วลงตะกร้าก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนเสียใหม่ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะว่ามันยังคงเป็นลายเดิมเหมือนครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเมื่อห้าวันก่อนน่ะสิ!

หลังจากนั่งเคลียร์กระเป๋าเสื้อผ้าให้พี่ปูนได้ไม่เท่าไหร่ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก พร้อมกับความหอมและไออุ่นๆ พี่ปูนเดินออกมาโชว์ทุกสัดส่วนที่โผล่พ้นจากผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่พันด้านล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่ แม้จะเห็นผมกำลังนั่งกับพื้นเพื่อจัดการสัมภาระส่วนตัวให้ก็ไม่มีคิดถามไถ่หรือห้ามปราม ซ้ำยังเดินโทงๆ ไปล้มกับที่นอนแล้วนิ่งไปเลย

“พี่ปูน?”

“อืม...”

“มาใส่เสื้อผ้าก่อน”  ผมลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าแค่เสียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล ผมถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าและคว้าเสื้อยืดสักตัวที่น่าจะใส่นอนได้อย่างสบายกับกางเกงผ้านิ่มขายาว เดินตรงเข้าไปหาคนที่ยังนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งเป็นศพแล้วเขย่าร่างไปมา

ปฏิกิริยาโต้ตอบของพี่ปูนเชื่องช้ากว่าทุกครั้ง กว่าจะยกมือขึ้นมาปัดป้องได้ ผมก็จัดการพลิกร่างหนาหนักสำเร็จไปแล้ว แววอ่อนเพลียปรากฏบนสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด แม้สายตาจะสามารถส่งสัญญาณความไม่พอใจมาก็ตาม แต่ผมถือคติว่าคนป่วยก็เหมือนเสือไม่มีเขี้ยว จะขู่ฆ่าอาฆาตยังไงก็น่ากลัวพอจะเป็นแค่แมวเท่านั้นเอง เพราะงั้นผมจึงจ้องตอบสายตาดุดันนั้นอย่างไม่กลัวเกรง พร้อมทั้งยักไหล่ให้ซะหนึ่งทีเป็นการกวนอารมณ์

“งั้นใส่ให้ด้วย”

ผมอยากจะดีดนิ้วใส่ปากที่พ่นคำดื้อดึงออกมาเหลือเกิน แต่โบราณเขากล่าวไว้ว่า ‘อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนไม่สบาย’ เพราะงั้นสิ่งที่ผมแสดงออกมาจึงมีเพียงแค่รอยยิ้มที่เหยียดออกมาประดับหน้า กับแรงฉุดคนตัวโตให้ลุกขึ้นแบบสุดกำลัง พี่ปูนลุกขึ้นมานั่งได้สำเร็จ แต่เนื่องจากไร้การจัดท่าทางทำให้ผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างอยู่แหวกกว้าง จนเห็นไปถึงแตงกวาเหี่ยวๆ กับไข่ไก่ไร้คุณภาพที่โปะด้วยสาหร่ายเส้นพรอมแพรม

“จะมีสักวันที่พี่รู้สึกกระดากอายบ้างมั้ย?”

“หึ ถ้ามันขนาดเท่าของลุงพี่ก็คงอายนะ”

“ไอ้พี่ปูน!!”  แม่ง~ กลายเป็นผมที่อายเลย! ก็พ่อพอใจให้เท่านี้นี่หว่า คนเราจะโลภมากไปทำไมวะ เอาแค่พอมีพอใช้ก็พอแล้วป่ะ?  “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ไปแต่งตัวแล้วกินยาด้วย!!”

ไอ้พี่ปูนมันขำแบบคนไม่มีแรง แต่ก็ยอมขยับเขยื้อนตัวลุกออกจากเตียงไปด้วยตัวเอง และก็ตามธรรมดาของคนชอบแกล้ง ไม่สิ ตามธรรมดาของคนหน้าด้าน พี่ปูนแม่งปลดผ้าขนหนูออกจนหมดแล้วค่อยใส่กางเกงเรียกเสียงว้ากจากผมไปอีกรอบ ผมต้องเดินประกบมันไปตลอดทางเพื่อให้มั่นใจว่าพี่ปูนเดินไปกินยาแล้วจริงๆ กว่าจะเดินกลับมาขึ้นเตียงนอนได้อีกรอบผมต้องเบ่งเสียงโวยวายไปตลอดทาง

“ครั้งแรกเลยนะเนี่ย”  พี่ปูนพูดพลางอมยิ้ม สายตาเชื่อมเพราะไข้อ่อนๆ มองผมที่กำลังจัดการห่มผ้าให้ ผมยื่นมือไปอังหน้าผากที่เริ่มร้อนผะผ่าวก่อนจะถามกลับ ดูจากอาการแล้วคืนนี้คงเป็นหนักแน่ๆ ผมคงต้องออกไปหาซื้อแผ่นลดไข้มาไว้ให้ซะแล้ว

“เรื่องอะไร” 

“ไม่สบายแล้วมีคนดูแลน่ะ” 

“พอเราโตขึ้นเราก็หลงลืมเรื่องสมัยเด็กอ่ะ มันไม่มีทางที่ผมจะเป็นคนแรกในเรื่องนี้ได้หรอก”  อย่างตัวผมยังลืมอะไรหลายๆ อย่างเลย อย่างจูบแรกที่คิดว่ามีกับแฟนที่สุดแสนจะน่ารัก แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นป้าที่ฉกชิงจูบแรกของผมไปตั้งแต่สามวันหลังลืมตาดูโลก

“ก็คงจะจริง”  พี่ปูนแค่นยิ้ม ดวงตาคมทอดมองไปยังเพดานห้องราวกับนึกย้อนไปยังอดีตอันไกลโพ้น สายตาที่เหม่อไกลนั้นมันด้านชาเกินกว่าจะคิดว่าเป็นการนึกย้อนถึงความสุขเมื่อวัยเยาว์

“นอนนะ...ผมจะอยู่เป็นเพื่อน”  ผมไม่ชอบสีหน้าแบบนี้ของพี่ปูนเอาซะเลย เห็นทีไรสัญชาตญาณความเป็นพ่อมันคอยแต่จะลุกโชนขึ้นมา อยากจะปลอบ อยากจะกอด อยากจะยอมให้ไปซะทุกเรื่อง...

“ไปเหอะ พี่อยู่ได้”  พี่ปูนหันมายิ้มเจือจางให้ผม  “ใกล้ค่ำแล้วด้วย”

ถ้าแววตากับคำพูดมันจะไปทางเดียวกันล่ะก็ ผมคงจะลุกขึ้นบ๊ายบายแล้วกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะ แต่สีหน้าที่ปั้นแต่งว่าเข้มแข็ง เหมือนว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะเหลือแค่ตัวเองนั้น ไม่ว่าใครมองก็คงไม่อาจทิ้งไปง่ายๆ หรอก เหมือนแมวบาดเจ็บที่แม้จะต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็ระแวดระวังกลัวทุกมือที่ยื่นเข้าหา

ท่ามกลางสายตาจับจ้องของคนป่วย ผมลุกขึ้นปีนป่ายจนไปล้มตัวนอนอีกด้านได้สำเร็จ จัดท่าทางให้สบายตัวสำหรับนอนตะแคง พี่ปูนมองทุกอิริยาบถด้วยความสงสัย และเมื่อขาของผมยกพาดเข้ากับเอวสอบปั๊บ พี่ปูนก็หลิ่วตามองปุ๊บ

“เดี๋ยวติดหวัด”  เสียงตักเตือนระคนขบขันดังขึ้นใกล้ๆ แต่แทนที่จะปัดป้อง พี่ปูนกลับเคลื่อนกายเข้าหาจนสองร่างใกล้ชิด มือหนึ่งรั้งขาผมขึ้นสูงกว่าตำแหน่งเดิมเล็กน้อยให้พอสบายตัวคนโดนทับ อีกมือก็สอดใต้คอเพื่อโกยหัวผมเข้าไปซุก  “เกิดอะไรขึ้น?”

“อยากให้อยู่ หรืออยากให้ไป”  ผมถามสั้นๆ กะว่าจะเป็นการถามครั้งสุดท้ายสำหรับวันนี้ และถ้าขืนยังไล่ให้ผมกลับอีกผมก็จะไปแน่ๆ

และคำตอบสำหรับคำถามนั้นคือวงแขนที่กระชับร่างผมเข้าหา ขาข้างหนึ่งของพี่ปูนก่ายทับผมเอาไว้ เราสองคนอยู่ในสภาพงูที่ขดตัวพันกัน ผมไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนด้วยคำพูด แต่ถ้าแค่นับว่าร่างกายผมถูกพันธนาการแน่นหนาจนกระดิกไม่ได้นั้น ก็พอจะกระจ่างได้ถึงความต้องการที่พี่ปูนสื่อออกมาแล้ว

.
.
.

‘เมี้ยว!!!’

ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแมวที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น เพื่อพบกับความร้อนจัดของผิวเนื้อที่โอบรัดผมอยู่ เสียงลมหายใจของพี่ปูนแรงและเร็วกว่าปกติ หน้าอกที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าผมกระเพื่อมขึ้นลงอย่างกับเป็นลูกสูบ แต่ตอนนี้ผมต้องขอไปจัดการกับเสียงเรียกเข้าแสนน่ารักน่าชังที่มาจากโทรศัพท์มือถือของตัวเองเสียก่อน

กว่าจะแงะแต่ละส่วนออกมาจากท่อนแขน ท่อนขาของพี่ปูนได้นั้นเล่นเอาเหงื่อไหลให้ต้องปาดกันเลยทีเดียว แถมเนื้อตัวยังปวดแปลบเพราะนอนฝืนผิดท่าอีกต่างหาก และขาที่อุตริยกก่ายสะโพกคนอื่นซะตั้งนานสองนานนั้นก็แทบจะหุบไม่ลง ผมพาร่างบอบช้ำของตัวเองเดินไปแถวตู้เสื้อผ้าอันเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายก่อนขึ้นเตียง มือถือผมกำลังร้องเมี้ยวๆ อย่างอดทน แต่เดาว่าเจ้าของรูปที่สว่างวาบอยู่บนเครื่องคงใกล้หมดความอดทนเข้าไปทุกที

“ฮัลโหล~”  ผมกดรับสายด้วยเสียงที่เบาที่สุดเพี่อไม่ให้ไปรบกวนคนที่กำลังนอนอยู่

“จะไม่กลับบ้านทำไมไม่โทรมาบอกยะ!”  เสียงแหลมของพี่สาวคนเดียวแว้ดเข้าหูในทันที

ส่วนการทักทายแบบปุถุชนเขาทำกันน่ะลืมไปได้เลย เมื่อผมพยายามมองหานาฬิกาแล้วพบว่ามันบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเสียงป้าถึงได้ขุ่นเคืองขนาดนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาบ้านผมมีกฎง่ายๆ อยู่ว่า ‘ถ้าไม่กลับบ้านกรุณาแจ้งก่อนสามทุ่ม’ นั่นหมายความว่าผมโดนใบเหลืองไปหนึ่งใบแล้วเมื่อคราวที่ไปเมาและได้พี่ปูนเป็นเมีย ถ้าคราวนี้ผมโดนอีกก็จะเป็นใบแดง แปลว่าผมจะต้องโดนลงโทษ

“ลุงขอโทษนะป้า”  ผมพยายามใช้เสียงอ่อนเข้าสู้

“ไม่ต้องเลย วันนี้แม่ค้างที่หอพักเพราะต้องต่อเวรเช้าด้วย ฉันอยู่บ้านคนเดียวนะเนี่ย”

“โทษๆ แต่ลุงกลับไม่ได้อ่ะ”  เสียงป้ายิ่งฮึดฮัดไม่พอใจ ผมลังเลว่าจะบอกออกไปดีหรือไม่ว่าแฟนตัวเองไม่สบายจำต้องอยู่เฝ้า แต่ขืนบอกตอนนี้ป้าต้องยิ่งปรี๊ดหนักกว่าเดิมแน่  “ลุงต้องเร่งทำงานให้เสร็จน่ะ พรุ่งนี้ต้องส่งแต่เช้าเลย”
“เอากลับมาทำที่บ้านเหมือนทุกทีสิ”

“คือ...มันงานใหญ่อ่ะ นี่ทำกับน้องอีกคนหนึ่ง กลับไปทำที่บ้านไม่ได้หรอก”  ผมได้แต่ขอโทษป้าในใจ เพราะคำโกหกของผมทำให้พี่สาวเชื่อจนยอมลดความโมโหลง นี่ถ้าเกิดว่าเรื่องแตกขึ้นมาล่ะก็ หัวกบาลผมได้มีรอยแยกแน่

“เออ--“

“น่ารักที่สุด...งั้นป้าล็อกประตูหน้าต่างให้ดีนะ อย่าลืมคล้องกุญแจประตูรั้วด้วย ดึกๆ ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกก็ไม่ต้องลงไปดู เอาโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวด้วยมีอะไรรีบโทรมา เข้าใจป่ะ”  ผมสั่งเสียงเข้มด้วยความเป็นห่วง เพราะเมื่อเดือนก่อนในหมู่บ้านเพิ่งถูกยกเค้าไปสองหลัง ถึงจะไม่ใช่บริเวณใกล้กันแต่ก็ห่างจากซอยบ้านผมไปแค่สองซอย เพราะงั้นผมพอเข้าใจที่ป้ากลัวได้

ถึงผู้หญิงบ้านผมจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี และต่อให้ผมเป็นลูกคนเล็ก เป็นคนที่เด็กที่สุด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้าน…

แม้จะเป็นการจำใจก็ตามทีแต่ป้าก็ยอมว่าง่ายวางสายไป และก็ถึงคราวที่ผมต้องมาจัดการกับคนป่วยที่กำลังนอนตัวร้อนอยู่บนเตียง คงเพราะพิษไข้เลยทำให้สีหน้าพี่ปูนดูทรมานเล็กน้อย เหงื่อซึมตามหน้าผากจนชุ่ม ผมปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นก็ถึงคิวรื้อตู้หาผ้าขนหนูเพื่อมาเช็ดตัว หลังจากนั้นก็เตรียมน้ำอุ่นใส่อ่างใบย่อมเพื่อเริ่มปฏิบัติการ ผมยืนเท้าสะเอวเบื้องหน้าพี่ปูน ขบคิดว่าจะทำยังไงกับผู้ชายตัวใหญ่(กว่าผม)คนนี้ดี

“พี่ปูน...”  ผมเรียกเบาๆ ข้างหู แต่ก็ตามที่คาด ไม่มีเสียงตอบรับอะไรให้ได้ยิน แต่เมื่อผมเริ่มลงมือปลุกปล้ำเพื่อถอดเสื้อยืดออก ดวงตาของคนป่วยก็ลืมตามองผมอย่างอ่อนแรง  “ผมจะเช็ดตัวให้ ถอดเสื้อหน่อยนะ”

พี่ปูนโงนเงนลุกขึ้นมาถอดเสื้อให้แต่โดยดีแล้วล้มลงไปนอนอีกครั้ง ผมบิดผ้าชุบน้ำพอชุ่มแล้วเริ่มเช็ดหน้าเป็นอันดับแรกและโปะผ้าไว้บนหน้าผากหนึ่งผืน ส่วนผืนที่สองเช็ดลงมาตามลำคอก่อนโปะทิ้งไว้รอบคอเพื่อลดความร้อน และด้วยความที่ผมมีพยาบาลคนสวยส่วนตัว เลยได้วิชาการเช็ดตัวลดไข้ติดตัวมาด้วย และสิ่งง่ายๆ ที่ผมจำไว้ก็คือเช็ดทุกส่วนทวนเข้าหาหัวใจ นั่นหมายความว่าเช็ดจากล่างขึ้นบนเพื่อเปิดรูขุมขนให้ความร้อนระบายออก ผมยกแขนพี่ปูนที่แสนจะง่อยเปลี้ยขึ้นเพื่อลูบผ้าตั้งแต่หลังมือเรื่อยไปจนถึงต้นแขน ลงน้ำหนักเล็กน้อยแต่ก็ไม่แรงเกินไป จากนั้นก็เป็นส่วนหน้าและแผ่นหลัง

พี่ปูนดูสบายตัวขึ้นมาก แต่กว่าผมจะใช้ผ้าแห้งซับความชื้นทั้งหมดออกก็แทบจะเป็นลม การเช็ดตัวลดไข้ที่ดีคือใช้เวลา15-20นาที และห้ามทาแป้งทับ ยังดีที่พี่ปูนไม่มีบ่นหนาวหรือตัวสั่นหงึกหงัก หลังจากใส่เสื้อให้เสร็จเรียบร้อย ผมก็เหลือผ้าหนึ่งผืนโปะหน้าผากเอาไว้แล้วไปจัดเก็บอุปกรณ์ และถือโอกาสนี้อาบน้ำไปด้วยในตัว กว่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว ขณะที่คิดว่าจะทำอะไรต่อดีหางตาก็พลันไปสบเข้ากับสายตาหนึ่งคู่ที่มองมาเงียบๆ

ผมยิ้มให้พี่ปูนเล็กน้อย แต่ในเมื่อได้โอกาสเหมาะจึงรีบเดินออกจากห้องลงไปหยิบน้ำเข้ามาให้ดื่ม ผมกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งแก้วกับหลอดที่แกะมาจากซองของร้านสะดวกซื้อ พี่ปูนยังมองผมตาปริบๆ แม้ขณะดูดน้ำอย่างกระหาย

“นอนนะ จะได้หายไวไว”

“..........”  พี่ปูนไม่ตอบ แต่เอื้อมมือออกมาดึงเสื้อผมเอาไว้อย่างกับเด็กกลัวโดนทิ้ง ผมนั่งลงกับพื้นข้างเตียง เล่นจ้องตากับคนมองเงียบๆ ทั้งที่การสื่อสารเดียวที่มีคือการจ้องตาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดแต่อย่างใด อารมณ์ประมาณจ้องตากับแมวเหมียวที่ให้ทั้งความรู้สึกอยากแกล้งและขำขันในคราวเดียวกัน

“อยากให้นอนด้วยป่าว?”  ผมแกล้งถาม แต่ใครจะไปคิดว่าคนที่นอนมองตาปริบๆ จะขยับเขยื้อนหัวขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับ ทำเอาผมต้องถามย้ำด้วยรอยยิ้ม  “เอาจริงดิ?”

“จริง...”

สิ้นคำสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงแหบขัด ผมก็ลุกขึ้นไปปิดไฟ และคลำทางปีนขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย ที่นอนยวบยาบเล็กน้อยขณะที่ผมจัดแจงท่าทางการนอนของตัวเอง ผ้าห่มผืนนุ่มถูกห่มมิดถึงคอ แต่ขณะที่กำลังฝืนตาให้หลับ ร่างทั้งร่างก็ถูกโกยเข้าหาความร้อนอบอุ่นกว่าผ้าห่มผืนหนาจะให้ได้

พี่ปูนกอดผมไว้แน่น ยกขาผมข้างหนึ่งขึ้นไปก่ายกับสะโพกดังเช่นก่อนหน้านี้ แนบร่างร้อนระอุเข้ามาจนน่ากลัวว่าผมจะต้องติดไข้แน่นอน ขาพาดเกยก่ายตัวผมแน่น ล็อกไว้ในท่วงท่าที่สุดแสนจะไม่สบายเอาเสียเลย แต่ถึงกระนั้น...ไม่กี่นาทีท่ามกลางความเงียบ ลมหายใจของพี่ปูนก็ดังสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าคนป่วยได้หลับใหลไปแล้ว เหลือแค่ผมเท่านั้นที่ยังฝืนนอนไม่ได้ อาจเพราะว่าเพิ่งตื่นขึ้นมา อาจเพราะว่าความร้อนจากพี่ปูนทำให้ผมไม่สบายตัว

หรือที่จริงแล้ว...เพราะเสียงหัวใจที่เต้นดังเกินไปนะ?
 

.
.
.
[มีต่อจ้า]

ออฟไลน์ L@DYMELLOW

  • กำลังงงๆ เพราะหาทางลงจาก “คาน” ไม่เจอ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 356
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +826/-4
    • facebook
.
.
.
   
รุ่งเช้าวันต่อมา

ผมแงะตัวเองออกจากที่นอนก่อนเจ้าของห้องที่ยังคงนอนเปื่อยแบบไม่สบายตัวสักเท่าไหร่ จากสัมผัสทางฝ่ามือนั้น คนป่วยยังคงมีไข้อยู่แม้จะน้อยลงจากเมื่อคืนอยู่มาก ต้องยกความดีความชอบให้กับยาปฏิชีวนะกับพ่อบ้านผู้เพียบพร้อมอย่างผมที่คอยตื่นมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวลดไข้ให้เป็นพักๆ นอกจากพี่ปูนจะได้รับเกียรติเป็นชายคนแรกในชีวิตผมแล้ว ยังได้เป็นมนุษย์เปื่อยคนแรกที่ผมประคบประหงมดูแลใกล้ชิดอย่างนี้

“พี่ปูน...”  แต่ผมเป็นผู้ชายที่ต้องทำมาหากินซ้ำยังมีงานค้างรอส่งอยู่อีก เป็นห่วงก็ส่วนหนึ่ง แต่จะให้ดูแลตามติดทั้งวันคงไม่ไหว  “พี่ปูนลืมตาหน่อย”

ผมเขย่าหัวไหล่คนป่วยไปมาพลางรออย่างใจเย็น ไม่นานนักพี่ปูนถึงเริ่มขยับตัวไปมาแล้วพลิกตัวหันกลับมามองผม ใบหน้ากระชากมดลูกของเซ็กส์ซี่กายแห่งปีนับว่าหมดสภาพไปพอสมควร ดวงตาคมที่พยายามลืมขึ้นมามองผมนั้นเชื่อมเยิ้มเพราะพิษไข้ซ้ำยังมีขี้ตาหนึ่งก้อนเกาะอยู่ตรงหัวตาซ้าย ตอหนวดเริ่มผุดให้เห็นประปราย ...โธ่ถัง~ เมียผมช่างป่วยไข้ได้สภาพอนาถเหลือเกิน แต่อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยอมยื่นปลายนิ้วไปแงะขี้ตาแล้วดีดออกนอกเตียงให้อย่างนี้หรอก

“เป็นไงมั่ง?”  ผมถามพลางแอบเช็ดนิ้วลงกับกางเกงนอน

“อือ ดีขึ้นแล้ว”

“ถ้าเทียบกับเมื่อวานน่ะนะ”  ผมรีบแย้ง  “พี่ยังมีไข้อยู่เลย เดี๋ยวผมหาข้าวให้กินนะจะได้กินยา”

“จะทำให้พี่เหรอ?”  รอยยิ้มวาดหวังของพี่ปูนฉาบใบหน้าในทันใด ทำให้ผมต้องแก้ความเข้าใจผิดเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

“จะโทรสั่งให้ต่างหาก ตู้เย็นบ้านพี่นอกจากน้ำกับเบียร์แล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่าง มาม่าสักห่อยังไม่มีในตู้เก็บเลย”

“ต้องโทษลุงนะ เป็นเมียประสาอะไรไม่ดูแลคุณภาพชีวิตพี่เลย”  การป่วยไข้ไม่ได้ทำให้ความปากดีลดลงเลยสินะ นี่ถ้าพี่ปูนแข็งแรงดีผมคงดึงหมอนมาอุดปากให้เงียบแล้วล่ะ แต่เฮ้ย!

“เดี๋ยวบิดนมเลย! ไม่สบายแล้วเบลอเหรอห๊ะ? พี่ต่างหากที่เป็นเมียผม”

“เอ๊ะ? พี่เหรอ?”  ไอ้พี่ปูนทำหน้าเหรอหราใส่ มองยังไงก็กวนตีนผมอยู่แน่ๆ ช่างเป็นเมียที่หาความน่ารักไม่เจอเลยจริงๆ

“ตลกแล้ว”  ผมยืดตัวขึ้นมองคนป่วยที่นอนเลิกคิ้วใส่อย่างกวนอารมณ์ นี่ขนาดมันไม่สบายยังมีแรงสร้างความหงุดหงิดให้ผมได้ ช่างน่าดูแลปรนนิบัติเหลือเกิน!

“วันนี้ผมต้องเข้าออฟฟิศนะ พี่ก็อยู่บ้านกินข้าว กินยาแล้วก็นอนพักเยอะๆ รู้รึเปล่า?”  หลังจากบิดขี้เกียจอีกรอบ ผมก็กระเถิบตัวลงจากเตียงโดยที่ไม่ลืมหันมาดึงผ้าห่มให้คนป่วยขึ้นมามิดถึงคอ พี่ปูนยิ้มให้ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนแรง

ผมโทรสั่งข้าวต้มหมูสับให้คนป่วยจากร้านอาหารในคอนโด ระหว่างรอนั้นก็จัดเก็บนู่นนี่นั่นไปพลางๆ เป็นการฆ่าเวลาและอดที่จะสรรเสริญเจ้าของห้องในใจไปด้วยไม่ได้ เพียงแค่ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผมไม่ได้มาที่ห้องนี้ทำให้พี่ปูนสามารถเปลี่ยนมันเป็นรังหนูได้ เสื้อสูทก็วางโยนไปเรื่อย หนังสือก็กองระเกะระกะ ซากถุงเท้าถูกโยนแบบไร้ทิศทางชนิดที่หาคู่กันไม่เจอ การจะเป็นคนแบบนี้ได้เนี่ยต้องโตมายังไงวะ!

กว่าที่ผมจะออกมาจากคอนโดได้ก็ต้องสู้รบปรบมือกับเมียให้กินข้าวกินยาซะก่อน กำชับความสั่งเสียกันอีกสักเล็กน้อยก่อนที่พี่ปูนจะส่งสายตาละห้อยมองผมที่กำลังจะหมุนตัวออกจากห้อง  เห็นดังนั้นความชุ่มชื่นในหัวใจก็บังเกิดขึ้น จึงทำการอุกอาจเดินเข้าไปจุ๊บกระหม่อมเมียรักสักเล็กน้อยก่อนจะรีบเผ่นออกจากห้องไปด้วยความขัดเขิน นี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิตพ่อบ้าน! ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กว่าพ่อมักหอมแก้มแม่เสมอเวลาไปทำงานตอนเช้า มันจั๊กจี้ดีอย่างนี้นี่เองแม่ถึงได้เอียงหน้ารับปากพ่อได้ไม่มีเบื่อสักวัน

เมื่อการเดินทางด้วยช่องทางขนส่งสาธารณะพาผมมาถึงป้ายที่ต้องการ เดินต่อได้ไม่เท่าไหร่ก็ถึงที่หมายปลายทาง แต่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าสู่อาณาเขตของบริษัทโทรศัพท์มือถือของผมก็ส่งเสียงเหมียวๆ ให้ต้องหยิบขึ้นมาดู

“ทำไมไม่นอน!”  เพียงแค่เห็นชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ผมก็กลืนคำรับสายแบบมีมารยาททันที 

“เมื่อไหร่จะกลับล่ะ”  แน่ะ! ทำเป็นเลี่ยงคำถาม

“ผมเพิ่งจะมาถึงเองนะ สองเท้ายังไม่ได้เหยียบเข้าออฟฟิศเลย”  ผมพูดพลางเดินตรงไปเรื่อย

“ลุงไปตั้งนานแล้วนะ ทำไมเพิ่งถึง”

“รถเมล์มันจอดทุกป้ายนะพี่ รถก็ติดจะตายชัก”  ผมพ่นลมออกปากอย่างเหนื่อยใจ คนร่ำรวยก็อย่างนี้ล่ะนะ ไม่ได้เข้าใจหรอกว่าการเดินทางด้วยรถเมล์ต้องใช้เวลาและการอดทนขนาดไหน

“คราวหลังก็เอารถพี่ไปสิ”  สองมือที่กำลังจะผลักประตูกระจกชะงักค้างไปเล็กน้อย ผมลอบส่ายหัวให้กับอีกฝ่ายพลางผลักประตูเข้าไปรับอากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ ยกมือสวัสดีป้าแม่บ้านอย่างทุลักทุเลไปเล็กน้อยจึงเดินก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดไปห้องทำงาน

“ไม่เอาหรอก ผมไม่ชอบยืมของใคร ถ้าเกิดผมขับไปเฉี่ยวชนแล้วจะยุ่ง”  สิ้นคำตอบ ผมได้ยินเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจขึ้นเบาๆ แต่คำพูดต่อมาก็ไร้ซึ่งแววบังคับหรือคะยั้นคะยอใด

“งั้นเสร็จงานแล้วรีบกลับนะ”

“พี่ก็หาข้าวกลางวันกินด้วย อย่าลืมกินยา แล้วก็นอนได้แล้ว”  ผมกำชับเสียงเข้มเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเงยหน้าไปผสานสายตากับเพื่อนที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเบื้องหน้า ผมรีบบอกวางสายแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ยกมือไหว้พี่เปี๊ยกก่อนเดินผ่านเลยไปยังโต๊ะของตัวเอง

ท่ามกลางสายตาจับจ้องของโป้ย ผมก็หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าระหว่างรอเครื่องคอมฯ ทำงาน แต่ถึงจะทำเป็นไม่รับรู้แต่ในเมื่อมันจงใจจ้องเสียขนาดนี้จะให้ไม่รับรู้ก็คงไม่ได้

“จ้องหน้าหาเรื่องเหรอมึง”  ผมเขี่ยลูกเปิดสนามก่อน พร้อมกับหันไปขมวดคิ้วมองเพื่อนรักกลับบ้าง

“กูกำลังมองหน้าคนตอแหล”  ไอ้โป้ยเหมือนแย่งบอลจากเท้าผมไปเตะเข้าตุงตาข่ายอย่างไรอย่างนั้น ผมกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ  “อย่ามาแกล้งโง่”

“ไม่ได้แกล้ง กูโง่จริง” 

“ก็จริงของมึง”  ไอ้โป้ยทำหน้าเหม็นเบื่อเล็กน้อยจึงเริ่มเฉลยที่มา  “เมื่อคืนกูคุยกับป้า เลยได้รู้ว่าที่แท้แล้วมึงไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องอยู่ทำงานด่วนที่ออฟฟิศ”

ผมหน้าซีดทันทีที่ได้ฟัง  “ล...แล้วมึงบอกป้าว่ายังไง” 

“กูเป็นเพื่อนมึงนะลุง...”  โป้ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำเอาผมระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่โบราณว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน แค่ผมเห็นรอยยิ้มเหยียดประดับบนใบหน้าเพื่อนก็แทบอยากจะเก็บลมหายใจที่พ่นออกกลับคืน  “อะไรที่เพื่อนทำไม่ดีเราก็ต้องช่วยกันแก้ไขใช่มั้ย?”

“...อย่าบอกนะว่า”

“ก็ตอนนี้ไม่มีงานด่วนจริงๆ นี่หว่า”  โป้ยยกยิ้ม  “กูก็เลยบอกป้าไปตามตรง”


ไอ้เพื่อนชั่ว!!


“มึงนี่มัน จิ๊! กูจะด่ายังไงดีวะเนี่ย”

ตายๆ คราวนี้ไม่ตายก็อาจเลี้ยงไม่โตแน่! นางสาวปราจีนไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวสวยชีวิตดี๊ดีเท่านั้น เวลาร้ายยังอาฆาตได้เหมือนงูอีกด้วย แล้วนี่ผมก็ดันไปโกหกแถมยังโป๊ะแตกเพราะไอ้เพื่อนหน้าเนื้อใจเสือคนนี้อีก ปกติแล้วไอ้โป้ยก็ภาษีดีกว่าผมอยู่แล้ว มีหรือที่ป้าจะไม่เชื่อน้ำคำของมัน

“เพื่อนเลว!”

“แล้วมึงไปนอนที่ไหนล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นบ้านแฟนคนที่มึงว่า”

“ไม่เสือกดิ!”  ผมสะบัดหน้าหนีมันจนคอแทบเคล็ด ไม่อยากจะทนมองหน้าเพื่อนไม่รักดีอย่างนี้ได้อีกต่อไป มันลืมไปแล้วสินะว่าใครเป็นคนดูต้นทางให้ตอนแอบขโมยวิกผมคุณครูสมัยประถม ลืมไปแล้วสินะว่าใครเป็นคนคอยรับหน้าให้เวลามันทิ้งผู้หญิงอย่างกับทิชชู่ใช้แล้วน่ะ!

“กูก็เสือกชีวิตมึงได้คนเดียวเนี่ย เห็นใจกันบ้าง”  หน้าด้าน! ยัง! ยังจะยื่นหน้ามายั่วโมโหอีก!!  “แก้มตูมจะแตกแล้วมึง! กูล้อเล่นน่า”

ผมสะบัดหน้าหนีนิ้วโป้ยที่ยื่นมาจะบิดแก้มเหมือนเคย แต่แทนที่มันจะเข้าใจว่าผมโมโหดันหัวเราะเยาะซะงั้น

“ตั้งแต่มีผัวนี่สะดีดสะดิ้งเหลือเกินนะ”

“กูมีแต่เมียนะโป้ย”  เสียงผมนี่ตึงจนแทบจะดีดดังผึงอยู่แล้ว แต่ไอ้คนข้างๆ ก็ยังทำลอยหน้าลอยตากวนบาทาไม่หยุด

“เหรอ~”  ผมผลักหน้ามันแรงๆ แล้วตัดสินใจที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับมันอีก ไอ้โป้ยก็ทำแค่ยักไหล่ไม่ใส่ใจแล้วก็ทำงานของตัวเองต่อไปเหมือนเดิม

ตกกลางวันขณะที่ต่างคนต่างลังเลว่าจะกินอะไรกันดี ป้าจิ๋มแม่บ้านก็เดินขึ้นมาบอกว่าคุณกรที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกซื้อของกินมาฝากเยอะแยะ ไอ้โป้ยไม่รอช้ารีบเผ่นลงบันไดไปเป็นคนแรก ส่วนผมต้องอยู่ช่วยพี่ริชแงะพี่เปี๊ยกออกจากคอมฯ เสียก่อน กว่าจะลงไปถึงมุมกาแฟด้านล่าง หรือที่พวกเรามักจะเรียกกันว่าโรงทาน ก็เจอเพื่อนเห็นแก่กินนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างๆ เจ้ามือรูปหล่อ ปากเคี้ยวหยุบหยับน่าหมั่นไส้

“พี่ซื้อมาเผื่อทุกคนเลย กินกันเยอะๆ นะ”  พี่กรบอกอย่างใจดี ผายมือไปยังอาหารการกินบนโต๊ะทรงรีราวกับนายแบบโฆษณา ไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำผมก็เดินริ่วไปนั่งติดกับเพื่อทันที กวาดตามองอาหารญี่ปุ่นมากมายตรงหน้า

“น้ำลายหกแล้วไอ้ลุง ซกมกจริงมึง”  โป้ยแขวะเสียงดัง แต่ผมก็หาใส่ใจไม่ ลงมือหยิบตะเกียบจกปลาดิบประเดิมทันที

“คุณกรมีนัดสัมภาษณ์นิตยสารนี่ครับ”  พี่ริชนั่งลงพร้อมกับพี่เปี๊ยก ตาก็มองอาหารมากมายไปด้วย

“เผอิญว่าเสร็จเร็วน่ะ เห็นร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดีก็เลยซื้อมา”  พี่กรบอกด้วยรอยยิ้มเทวดา  “ป้าจิ๋มกินเยอะๆ นะ ผมซื้อมาเผื่อพวกเด็กๆ ด้วย อย่าลืมเอากลับไปนะครับ”

“ไอ้อาหารญี่ป่งญี่ปุ่นนี่ป้าไม่ถนัดหรอกค่ะ แต่พวกเด็กๆ คงชอบกัน ขอบคุณนะคะคุณกร”  ป้าจิ๋มยิ้มกว้างจนรอยตีนกาขึ้นชัดเจน ผมก็เห็นแกชิมนั่นแตะนี่นิดหน่อยตามประสา ป้าจิ๋มแกคอส้มตำ ร้านไหนเด็ด ร้านไหนโดน ซอกซอยไหนแกรู้หมด

“พี่กรมีถ่ายละครเรื่องใหม่ใช่มั้ยครับ ผมเห็นทางทีวี”  พี่ริชเริ่มชวนคุยตามประสาแฟนครับ 

“เริ่มถ่ายมาพักนึงแล้วล่ะ คราวนี้เป็นบทร้ายด้วย”  คนตอบถอนหายใจเล็กน้อยอย่างกับหนักใจ แต่จากหางตาที่ผมมองอยู่ก็เห็นว่าพี่กรออกจะยิ้มแย้มเมื่อคีบปลาดิบใส่จานให้โป้ย

“อ้าว! ไม่ใช่พระรองเหรอครับ”

“มันเป็นร้ายแบบดราม่าน่ะ เนื้อเรื่องเข้มข้น ไว้รอติดตามกันนะครับ”  คำตอบแบบนักแสดงพร้อมกับการกระพริบตาให้เรียกเสียงกรี๊ดจากพี่ริชชนิดห้องสะเทือน เคยได้ยินเจ๊แกบอกว่าเมื่อก่อนก็ไม่ได้สนใจติดตามอะไรรู้แค่ว่าหล่อกว่าพระเอกบางคนเท่านั้น แต่พอได้มาทำงานร่วมกันก็เกิดอาการหลงใหลปักใจเป็นแฟนคลับ แต่พี่ริชก็ยังคงเป็นพนักงานที่ดีเรียก ‘คุณกร’ แบบให้เกียรติเสมอ

“อัพเดตเรื่องหัวใจหน่อยครับ”  ผู้สื่อข่าวจำเป็นถามต่อ ดูท่าจะไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกแล้ว

“ก็ยังโสดครับ เหงาหน่อย แต่ก็พอทนได้”

“กรี๊ดดด/ เอ๊ยยย”  คราวนี้มีเสียงผมร่วมประสาน ทำไมมันฟังแล้วจั๊จี้หัวใจขนาดนี้วะเนี่ย! ผมกับพี่ริชนี่เขินจนตัวบิดกันไปแล้ว ป้าจิ๋มกับพี่เปี๊ยกก็อมยิ้มตามสไตล์ แต่เพื่อนโป้ยกลับยกมือเท้าคางมองหน้าพี่กรชนิดที่เรียกว่าตาสบตา

“หมายความว่าพี่อยากมีแฟนแล้วสิ?”

ทั้งคู่สบตากันอยู่หลายวิท่ามกลางกินอาหารญี่ปุ่นเจือบรรยากาศแปลกๆ คนร่วมโต๊ะแทบจะหยุดหายใจเพื่อรอฟังคำตอบ จนเมื่อพี่กรหลุบตาคล้ายยอมแพ้ ใบหน้าของดาราหนุ่มหล่อหันมาโปรยยิ้มให้ผู้รอคำตอบทั้งหลายประหนึ่งพวกเราเป็นนักข่าวบันเทิง

“ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตดีกว่าเนอะ”

ขณะที่พี่ริชกำลังโห่แซวด้วยความเสียดาย โป้ยเป็นคนเดียวที่แค่นยิ้มออกมา มันคีบยำสาหร่ายสีเขียวปึ้ดเข้าปากอย่างสงบนิ่งพลางเหลือบมองรอยยิ้มหวานของพี่กร ผมเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ พลางลอบสังเกตการณ์ไปด้วย มุมปากมันบิดขึ้นเล็กน้อยอย่างกับหมั่นไส้ติดหมัดขึ้นมา และจู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา

“ไม่ใช่ว่าพี่มีคนที่แอบชอบอยู่หรอกเหรอ?”

หื้ม??

ทุกสายตารวมทั้งผมพากันหันขวับจับจ้องไปที่พี่กร ถ้าใช่อย่างที่ไอ้โป้ยพูดล่ะก็คงต้องเป็นข่าวที่แม้แต่ปาปารัซซี่ไม่มีทางรู้แน่ แต่เดี๋ยวก่อน!!

“แล้วมึงไปรู้เรื่องพี่เขาได้ยังไง”  ผมแหวใส่มัน ผมก็นึกว่าโป้ยจะเสือกแค่เรื่องของผมเท่านั้น ไม่คิดว่าต่อมจะโตขนาดนี้

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูจะรู้ไม่ได้”  คนข้างๆ หันมองผมด้วยสีหน้ายิ้มเยาะแวบเดียวก่อนจะกลับไปคาดคั้นคุณดาราที่จู่ๆ ก็นั่งตัวแข็งค้างเสียอย่างนั้น  “ผมพูดถูกหรือผิดครับพี่”

“..........”

“ตอบให้ถูกนะครับพี่ เพราะถ้าตอบผิด...ผมเสียใจแย่”

ไอ้โป้ยจัดไปอีกดอก พวกผมได้แต่กลืนน้ำลายเอื้อกลุ้นว่าปลายทางของคำถามจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับที่โป้ยดูสนุกสนานเหลือเกิน

“พี่ขอขึ้นไปเคลียร์งานก่อนนะ”  ไม่ผิดตามแบบฉบับเดิมสักเท่าไหร่ สุดท้ายพี่กรก็หลีกหนีสถานการณ์ออกไปด้วยรอยยิ้มหวาน ไม่แม้แต่จะเหลือบหันไปทางโป้ยอีกเลย

ตัดกลับมาที่วงข้าวที่เหลือ คนเริ่มจุดชนวนดูจะอารมณ์ดี๊ดีอย่างน่าตบ มันเริ่มลงมือจับตะเกียบคีบนั้น เคี้ยวนี้เข้าปากไม่หยุด ไม่ได้สนใจรอบวงที่คันปากอยากจะเผือกแทบตายสักนิด พี่เปี๊ยกกับป้าจิ๋มน่ะช่างเถอะ แต่ผมกับพี่ริชนี่ต่อมสงสัยสั่นระริกจนใจกระตุกแล้ว สองคนผลัดกันส่งสายตาไปมาว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“อร่อยว่ะ”  ไอ้โป้ยวางตะเกียบ ยกน้ำขึ้นซัดอึกๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน  “กูไปทำงานต่อนะ”

“เดี๋ยวดิวะ!”  ผมรีบโพล่งออกไปเพราะถูกพี่ริชสะกิดด้วยปลายเท้าอย่างแรง  “มึงนั่งลงเคลียร์ก่อน”

“เรื่อง?”  ไอ้โป้ยถามกลับเสียงใสพลางเดินตบพุงออกมานอกบริเวณโต๊ะ

“ก็ที่มึงถามพี่กรอย่างนั้นมันเสียมารยาทนะเว่ย แล้วที่มึงพูดด้วย”  ผมล่ะคาใจสุดๆ กับประโยคสุดท้าย ต่อให้พี่กรแอบชอบใครอยู่แล้วเพื่อนผมมันไปเกี่ยวอะไร มึงจะเสียใจทำซากอะไร เอ๊ะ? หรือว่ามันเป็นแฟนคลับพี่กร?

“จุ๊ๆ คนมีผัวแล้วอย่าเสือกสิครับ”  มันทำจุ๊ปากหลิ่วตาให้ผมแล้วก็สะบัดตูดเดินออกจากห้องไปทันที ดู๊ดูมันทำ! ว่าพี่ริชทำไมวะ!

“ต๊าย~ เด็กหยาบคาย”  พี่ริชเต้นเลยสิครับงานนี้  “คนมีสามีก็สนใจเรื่องชาวบ้านได้นะยะ!”

“ใช่! เพื่อนหยาบคาย”  ผมรีบชะเลียในทันทีทันใด  “การมีผัวใช่ว่าจะต้องหยุดเสือกซะหน่อย”

“สาบานว่าแกไม่ได้หลอกด่าพี่” 

“เปล่านะพี่”  ผมส่ายหน้าพรืดกับสายตาจิกที่อีกฝ่ายส่งมา การเปลี่ยนเป้าหมายในชั่วพริบตาเป็นผลให้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่หัวเราะขบขันกันเสียงใส

“เราว่าโป้ยไม่ได้พูดถึงริชหรอก”  พี่เปี๊ยกเอ่ยเสียงนุ่ม ยิ้มให้เพื่อนจนตาเป็นสระอิ

“อ้าว? งั้นมันก็ว่าป้าจิ๋มน่ะสิ”

“อ๊าย! จะมาว่าป้าทำไมล่ะคะ ป้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย”  ป้าจิ๋มแกก็รีบโบกมือโบกไม้ปกป้องตัวเองทันที

“ถ้าไม่ใช่ริชกับป้าจิ๋มจะเป็นใครได้อีกล่ะ”

พี่เปี๊ยกอมยิ้มกับคำถามของเพื่อนแล้วจึงหันมามองผม  “พี่เห็นโป้ยมองลุงตอนพูดนะ...”  พูดจบพี่แกก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอีกคน ทิ้งคนสามคนให้นั่งมองหน้ากันตาปริบๆ

“ต๊าย~”  พี่ริชทำลายความเงียบด้วยเสียงสูงลากยาว สายตาที่มองผมเหมือนผีเห็นผีด้วยกันขึ้นมาทันที  “ร้ายนะยะ ซุ่มผู้เอาไว้ก็ไม่บอก”

“ไม่...ไม่ใช่”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง ยุคสมัยนี้มันเรื่องปกติไม่ต้องเขินหรอกค่ะ”  ป้าจิ๋มกลับมองผมด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ  “ถ้าเปิดเผยออกมามันอาจจะทำให้คุณลุงมีความสุขขึ้นกว่านี้ก็ได้นะคะ”

“ไม่นะป้า...ผม”

สองสาวพากันลุกขึ้นเดินมาตบไหล่ผมด้วยความเข้าใจ ไม่มีใครเอ่ยถามความจริงสักนิด ทำไมไม่ให้ผมอธิบายบ้าง แล้วนั่น! จะเดินหนีไปไหนกัน!? กลับมาให้ผมเล่าความจริงก่อน! ผมมีเมียตัวใหญ่แค่นั้นเอง! แค่สูงกว่าผมหนึ่งช่วงหัว อกผายไหล่ผึ่ง สวนแตงก็พันธุ์งามน้ำดีเกรดส่งออกนอก...ก็เท่านั้นเอง

ทำไมโป้ยมันชอบกล่าวหาว่าผมเป็นผู้รักษาประตูนัก ถึงจะฝึกซ้อมมาไม่กี่สนามแต่ผมก็เป็นตัวยิงที่ใช้ได้นะ

เพื่อนเลวทราม!! ขอให้มันกรรมสนองต้องตกเป็นเมียผู้ชายในสักวันหนึ่งด้วยเถิด สาธุ!!





-------------------------------------------------------TBC.


หายไปนานน่าจะสองเดือนนิดๆ ย่อตัวขออภัยงามๆ เลยค่ะ
งานยุ่งจนเปลี้ยไปหมด พอมีเวลาว่างก็หมดแรงจะทำอะไรได้แต่สลายตัวเป็นหอยทากขี้เกียจ

กลับมาคราวนี้ก็มาชนกับเดือนตุลาเข้าอีก สองจิตสองใจว่าจะรอให้พ้นเดือนนี้ไปก่อนดีมั้ย แต่ก็ติดค้างคนอ่านมาตั้งนานแระ
ก็เลยตั้งใจจะทยอยลงสลับกับกระต่ายจนถึงวันที่ 12 นะคะ (ห้ามเข้าใจผิดว่าลงทุกวันเด็ดขาดนะ มันเสียประวัติหอยทาก!)
และนับจากวันที่ 13 - 31 จะของดลงเรื่องใดๆ อีกครั้ง เพื่อเป็นการไว้อาลัยนะคะ

จึงเรียนมาเพื่อทราบ // ขออภัยในความเอื่อยเฉื่อย

L@DY MELLOW

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2017 02:04:12 โดย L@DYMELLOW »

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
กลับมาต่อแล้ว ดีใจจริงๆ แถมพี่กรกะลังจะโดนรุก... น่าติดตามๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เมื่อไหร่ลุงจะรู้ตัวคะ  :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มา  :mew1: :mew1: :mew1:

กินข้าวไป อ่านไป
ผิดต่อเรื่องมาก ผิดต่อผู้ร่วมพักอาศัยในคอนโดจริงๆ
ผลก็คือ ฮา กร๊าก ลั่นคอนโดตอนเช้าตรู่  :laugh: :mew2: :mew2:
เรื่องมีผัว ที่ลามไปหาพี่ริช ป้าแม่บ้าน
แล้วพี่เปี๊ยกตัดจบมาที่ลุง กร๊ากกกก :m20: :m20: :m20:

พี่ปูน ต้องซาบซึ้งมาก ที่ตอนไม่สบายแล้วสามีดูแล
ยิ่งคนที่ขาดความอบอุ่นทางครอบครัวด้วยแล้ว
ยิ่งประทับใจ ผูกพันทวีคูณ
ลุง น่ารักสุดๆ
พี่ปู ลุง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พี่กร ยังไม่กล้ากับโป้ยต่อไป
โป้ย รุกเลย อุตส่าห์ตามมาทำงานด้วย
ทั้งที่ทำที่อื่นได้เงินมากกว่า
 เพราะชอบพี่กร เกินกว่ารุ่นพี่
ต่างฝ่ายต่างนิ่งดูเชิงกันนานไปแล้วนะ
จนคู่พี่ปูน ลุง ล้ำหน้าและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ลุงเอ้ยยยย เขารู้กันหมดแล้วว่าหนูน่ะมีผัว เมื้อไกร่ตัวหนูเองจะรู้ละคะะะ รอพี่ปูนมาแสดงจริงจังอยู่ใช่ม้าาา อิอิ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คำแช่งของลุงจะเป็นจริงไหมหนอ รู้สึกว่าโป้ยจะเมะนา
รอตอนต่อไปค่ะ

ปล. เพิ่มระยะห่างระหว่างบรรทัดอีกสักนิดนะคะ เพื่อความสบายตา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
พี่ปูนไปไหนไม่รอดแล้วเจอน้องลุงโหมดนี้

ขอให้คำแช่งของน้องลุงเป็นจริงนะ  :hao7:

 :pig4: :กอด1: :L1:


ออฟไลน์ yumenari

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาเถอะ มาดีแล้ว ดีใจจนตัวสั่น 555555

เน่ๆ ผัวลุงดูแลอย่างดีเบยยย

รักโป้อะเล่นซะพี่กรจุก

เด้วเจอเล่นคืน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ยินดีต้อนรับกลับเล้าค่ะ

จากนี้ขอให้งานไม่หนักเกินไปนะคะ

-----------------
อยากมีผัวแบบลุง ช่างน่ารักน่าฟัดเหลือเกิน
และขอให้โป้ยโดนพี่กรรุกสักที หมั่นไส้ไอ้อาการรู้ไปหมด หูตาแพรวพราวนั่นเหลือเกิน!

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
อร๊ายมาต่อแล้ว ดีใจมาก

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
คิดถึงลุงมากกก

ตอนนี้ลุงแมนมากกก


55555 สมกับเป็นผัวจริงๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เห็นอัพตอนใหม่แล้วแทบไม่เชื่อสายตา ฮ่าๆ รอลุงมานานมากกก ไม่คิดเลยว่าพอมาทีจะเจอกับพี่ปูนป่วย ฮ่าๆๆ พอป่วยแล้วความน่าหมั่นไส้ลดลงพอประมาณดูน่าเอ็นดูเชียว ลุงก็แสนดีเหมือนเดิมพี่ปูนควรจะดีใจนะคะที่มีสามีดีๆแบบนี้  :hao3:

ส่วนคู่โป้ยกร เราหมั่นไส้โป้ยนะชอบทำว่าเหนือว่าพี่กรตลอดเลยจนบางทีอยากให้มีตอนที่พี่มันไปชอบคนอื่นนะ โป้ยจะได้รู้สึกซะบ้าง

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพื่อนน่าจะได้เมียเป็นผชนะลุง แต่พี่กรเป็นผัวจะดีต่อใจมาก เราเชียร์พี่กรผัวอะเอาจริง 555

ลุงน่ารักมาก น่ารักเว่อร์ ๆ พี่ปูนก็งอแงดี

ออฟไลน์ ก้มหน้าก้มตา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
 :mew1: :hao7: :hao5:
กลับมาแล้ววววววววววว
เม้นก่อนอ่านเลยคร๊า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด