ตอนที่ 14 _ความลับไม่มีในโลก
อย่าได้สงสัยว่าท้ายที่สุดแล้วส้มตำร้านกระเด้งนั้นอร่อยหรือไม่ เพราะกว่าที่ผมกับพี่ปูนจะเกี่ยวก้อยกันลงมากิน ของทุกอย่างบนโต๊ะก็เซ็งจนไม่รู้จะเซ็งยังไงแล้ว แต่จากการพรีเซนต์ของแม่ค้าและรสชาติหมูตกครกที่จกชิมไปก่อนหน้านั้น ผมต้องขอบอกว่าไว้มีโอกาสจะกลับไปชมการกระเด้งอันน่าตื่นตาอีกแน่นอนครับ
หลังจากอิ่มหนำกับอาหารมื้อเย็นที่กลายเป็นมื้อดึก ก็ถึงคราวแปรงฟันแล้วเข้านอน ตัวพี่ปูนไม่ร้อนแล้วเมื่อได้รับการออกกำลังกายติดต่อกันหลายชั่วโมง นับว่าเป็นการเสียเหงื่อที่ได้ประโยชน์มากในครั้งนี้ แม้จะไม่สบายตัวผมสักเท่าไหร่ก็ตาม
‘วันนี้ผมกลับบ้านแล้วนะ แล้วตอนเย็นมีนัดกับคุณดาหลาไปกินสุกี้แล้วก็ช้อปปิ้ง’
นั่นคือสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนในขณะที่แต่งตัวเตรียมพร้อมจะออกจากห้อง ผมกะเวลาให้ออกแต่เช้าสักหน่อยเพื่อเวลาทำงานจะได้มากขึ้นอีกนิด รถไม่ติด ไม่ต้องหงุดหงิดหัวใจ แต่หลังจากพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเริงร่า เจ้าของห้องกลับตีหน้ามุ่ย เดินดุ่มๆ ตรงเข้ามาประทุษร้ายผมชนิดที่ตั้งตัวกันไม่ทัน
“อ๊ะ! อ๊า~ พอแล้วพี่ปูน”
ครับ...นี่คือสภาพปัจจุบัน
จากโถงทางเดินด้านล่างก็ถูลู่ถูกังกันมาจบที่บนโซฟา เสื้อยืดถูกดึงทึ้งไปมาจนค้างเติ่งคาคอ ต่อให้แขนข้างหนึ่งถอดออกไปได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ส่วนกางเกงยีนส์นั้นถูกโยนทิ้งหายไป กางเกงในก็เช่นกัน... ส่วนคนที่ถูกผมบังคับให้หยุดงานอีกวันนั้นสวมเพียงแค่กางเกงนอนขายาวเดินลงมาส่งเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ก็ยังอยู่ติดตัวเพียงแค่ถูกร่นลงมาก็กองตรงหน้าขา
ความแตกต่างชัดเจนแม้กระทั่งท่วงท่าที่เป็น
นี่คือเช้าที่อากาศสดใสเหมาะแก่การนั่งรถเมล์ไปทำงาน ไม่ใช่การนั่งคร่อมตัวผู้ชายด้วยกันแล้วกินแตงร้านเป็นอาหารเช้า ใช่! แตงนั้นมีประโยชน์ แต่เมื่อคืนผมก็กินไปเยอะแล้วไม่ต้องการกินเพิ่มอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ชาวสวนผู้โหดเหี้ยมก็ปลุกปล้ำยัดแตงเข้าปากผมจนได้ ไม่ทราบว่ารมต.กระทรวงเกษตรจะจัดการกับพืชผลล้นปากในตอนนี้ได้อย่างไร ตำรวจจะลงโทษชาวสวนเหิมเกริมคนนี้ได้มั้ย
ช่วยหน่อยเถอะครับ...ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ~
“อื้ม! พอแล้วปุริม” ผมพยายามโหย่งก้นหนี แต่ก็ถูกกดรั้งให้กลับมาสู่ตำแหน่งเดิม “เอานิ้วออกซะที! ลุงแสบ”
“แต่ทำไมตรงนี้ยังแข็งปั๋งอยู่ล่ะ” กล่าววาจาหยอกล้อเสร็จปั๊บ หนอนน้อยของผมก็ถูกคว้าเข้าปากคนช่างพูดปุ๊บ นิ้วก็จ้วงเข้าจ้วงออกหลุมแบบไม่กลัวเป็นตะคริว ตอนนี้ผมระบมไปหมด เรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือติดร่าง ไอ้เสียวมันก็เสียวอยู่หรอกแต่มันไม่ใช่เวลา!
ผมปรือตามองของในมือ ตอนนี้แตงร้านเกรดพรีเมี่ยมคงใกล้เวลาเก็บเกี่ยวเต็มที เพราะมันพองใหญ่จนน่ากลัวแถมยังแข็งเป็นเนื้อสาก ถ้าไม่ใส่ปุ๋ยเร่งโตล่ะก็ วันนี้ผมคงไม่ต้องไปทำงานมันแล้วล่ะ -- คิดได้ดังนั้นก็อ้าริมฝีปากกลั้นใจอมแตงเข้าไป พยายามโขกหัวดูดรั้งจนสุดฝีมือ ชาวสวนชั่วก็ไม่รอช้าที่จะงัดเสยช่วยกันเป็นอย่างดี
โอย~ จะอ้วกอยู่แล้วโว้ย
“นิ่มมากเลยลุง...ซี๊ด~” เสียงหื่นกระหายดังคลอไปพร้อมกับเสียงคราง “สามนิ้วแล้ว...อา~ พี่อยากจะ...อ๊ะ! อื้ม!!”
แล้วผมก็เก็บเกี่ยวแตงจากสวนนี้ได้อีกครั้ง
เสียงหอบหายใจของพี่ปูนรุนแรงเสียจนร่างผมที่นอนทับอยู่เคลื่อนไหวตามจังหวะเข้าออกของลมหายใจ ผมเองก็เหนื่อยไม่ต่างกันเท่าไหร่ นอนนิ่ง อิงหน้าซบเนินหญ้ามองแตงเหี่ยวๆ ด้วยลมหายใจรวยริน ใบหน้าเปรอะน้ำคาวไปทั่ว ในปากนั้น...อย่าพูดถึงเลยครับ
ผมไม่เคยมีเซ็กส์ที่หยาบโลนลามกสกปรกขนาดนี้มาก่อน การคบกับพี่ปูนนี่ช่างเปิดโลกทัศน์แปลกใหม่ ได้รู้ว่าการมีเซ็กส์นั้นเร่าร้อนแถมยังรุนแรงได้เหมือนในหนัง AV ไม่ใช่แค่การกอดจูบลูบคลำอย่างอ่อนโยนแล้วแพนกล้องไปยังโคมไฟ หรือจูบกันอย่างดูดดื่มแล้วตัดภาพไปจบที่ตอนเช้าเราอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน...ผมเชื่อแล้วว่ามันมีแต่ในละครเท่านั้นเอง ชีวิตจริงมันหยาบโลนกว่านั้นเยอะ พี่ปูนทำให้บทรักที่ผ่านๆ มาของผมกลายเป็นพวกไก่อ่อนไปเลย
“เปลี่ยนท่าหน่อย” มือใหญ่ตบก้นผมเบาๆ “มาคร่อมหน้าพี่สิ เดี๋ยวพี่ช่วย”
“ไม่ต้อง...”
“ลุงยังไม่ถึงเลยนี่”
“พอแล้ว...” ไม่ใช่ว่าผมอึดถึกกว่าเดิมหรอกครับ แต่น้ำแรกน่ะพี่ปูนได้จากผมไปตั้งครึ่งทางก่อนแล้ว
“ขืนยังซุกหน้าอยู่ตรงนั้น ถ้าพี่จัดให้อีกรอบก็อย่ามางอแงนะ”
เท่านั้นแหละผมถึงได้ยอมขยับตัว พี่ปูนก็ช่วยเหลือจัดท่าทางให้อย่างใจดี เมื่อตั้งหลักได้พี่ปูนก็จัดการรีดพิษหนอนออกไปด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที พี่ปูนปล่อยให้ผมนอนเบี่ยงตัวกอดหัวอยู่ท่านั้นเพื่อคลายความร้อนในตัวโดยที่ก้นก็ถูกนวดคลึงไปด้วย บอกตามตรงว่าขาชาจนสั่น หน้าหลุมก็เจ็บแถมในหลุมยังร้อนผ่าวปนแสบอีกต่างหาก ปวกเปียกไปทั้งตัว... ทำไมผมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ก่อนไปทำงานด้วย
“เด็กดีของพี่” ร่างผมไถลลงมากองบนตักเมื่อพี่ปูนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ริมฝีปากอมยิ้มพรายพลางหอมแก้มผมแรงๆ อีกสองฟอด “พี่จะพาไปอาบน้ำนะ แล้วเราค่อยไปทำงานด้วยกัน”
ผมไม่สนอะไรทั้งนั้นแหละ อุ้มผมไปเถอะ! ผมจะกอดพี่เป็นลูกลิงขึ้นไปแบบนี้แหละ... ผมว่าตัวเองต้องกลับมานั่งคิดถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์นี้ใหม่แล้ว คนอย่างผมน่ะหรือจะกดพี่ปูนได้ เท่าที่ดูจากทุกวันนี้...เหอะๆ ไม่มีทาง!!
“ไว้เราไปซื้อเสื้อผ้าของลุงกันนะ ลุงอยากได้ตัวไหนพี่จะซื้อให้หมดเลย” น้ำเสียงพี่ปูนรื่นเริงมาก ไอ้ผมก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกขวา ปล่อยให้คนตัวโตใช้ฟองน้ำชุ่มครีมลูบเนื้อลูบตัวไปเงียบๆ อย่างคนใช้ความคิด “แล้วเราก็เก็บไว้ที่นี่ดีมั้ย? เวลาลุงมาค้างจะได้มีเสื้อเปลี่ยนตลอด”
เดี๋ยวก่อนนะ! วันนั้นผมเมามาก...มากจนพี่ปูนบอกว่าผมอ้วกออกมา
“หรือจะหาโน้ตบุ๊กอีกสักเครื่องดี? ลุงจะได้เอางานมาทำได้...ดีมั้ย?”
“อืมๆ ดีครับ”
แล้วคนเมาขนาดนั้นเนี่ยมันโด่เด่กันไหวด้วยเหรอวะ?
“มีน้ำหอมกลิ่นหนึ่งให้บรรยากาศเข้ากับบุคลิกของแม่ลุงเลย ถ้าพี่ซื้อให้ ลุงว่าคุณน้าจะชอบรึเปล่า?”
“ชอบครับชอบ”
แล้ววันนั้น...วันนั้นพี่ปูนเป็นคนขับรถพาผมกลับไป...?
“แล้วพี่สาวลุงชอบอะไรล่ะ พี่จะได้ซื้อฝากด้วย”
“อืม...อะไรก็ได้”
หมายความว่าพี่ปูน...ไม่ได้เมา...?
“ลุง?”
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น...
“ลุง...”
ถ้ามันเป็นแบบนั้น...
“พัทลุง!!”
เฮือก!!
ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหู ความคิดทุกอย่างเตลิดเหมือนลูกบอลที่ถูกเตะลอยออกไป ผมกระพริบตาปริบๆ มองผู้ชายตรงหน้าที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น
“มีอะไร?”
“ลุงเหม่อ...ไหวรึเปล่า?” คำถามนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงห่วงใย ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะมองรอบตัวที่คลับคล้ายว่าจะเปลี่ยนไป เวรกรรม! นี่ผมออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อก้มตัวลงมองร่างกายตัวเองก็พบว่าเสื้อผ้านั้นถูกใส่ให้ครบชุด เสื้อเชิ้ตที่ออกจะใหญ่ไปสักนิดยี่ห้อดัง กับกางเกงยีนตัวใหม่ที่หลวมไปสักหน่อย และตอนนี้ก็มีมือของพี่ปูนกำลังช่วยสอดสายเข็มขัดเข้าตามห่วงให้
“ทำเหมือนผมเป็นเด็กอนุบาลไปได้”
“ก็แต่งให้จนเสร็จแล้วไม่เห็นจะว่าอะไรเลยนี่” พี่ปูนบอกน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ไปทำงานไหวแน่นะ”
“อืม แค่ขาสั่นนิดหน่อย”
“พี่ขอโทษนะ อยู่ใกล้ลุงทีไรพี่คุมตัวเองไม่ค่อยจะได้เลย” ริมฝีปากอุ่นยื่นประทับข้างแก้มอีกครั้ง ได้ยินแบบนี้แล้วผมจะไปโมโหยังไงได้ แล้วที่สำคัญเป็นตัวผมเองทั้งนั้นที่ตามใจพี่ปูนตลอด
“นั่งรอก่อนนะ พี่แต่งตัวแป๊บ” ผมเดินไปลงนั่งรอตรงอาร์มแชร์ ไม่ออกปากห้ามปรามแต่อย่างใด ก็เมื่อครู่พี่ปูนพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่ามีพลังเหลือเฟือที่จะทำงานขนาดไหน
.
.
.
"เฮ้ย? ทำไมมึงดูโทรมจังวะ"
เสียงเพื่อนโป้ยทักทายผมทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะทำงาน อันที่จริงมันมองมาตั้งแต่ที่ผมเดินตามหลังพี่ปูนขึ้นบันไดมาแล้วล่ะ สีหน้ามันอมยิ้มมองมาแปลกๆ แต่มันก็ยกมือไม้ทักทายพี่ปูนปกติ
"มึงก็ดูรื่นเริงผิดปกตินะ" ผมหันไปบอกมันบ้าง ปกติแล้ววีรภาพก็ไม่ใช่คนชอบตีหน้าขรึมหรือมุมปากตกแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าระรื่นเหมือนเดินอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์เหมือนกัน "เมื่อคืนมีอะไรดีๆ รึไง ได้หญิงเหรอ?"
"ได้นะ...แต่ไม่ใช่หญิง" ริมฝีปากจุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย พอให้คนฟังฉงนแล้วก็เปลี่ยนเรื่องตามเคย "ว่าแต่มึงเถอะ เมื่อคืนคงไม่ได้กลับบ้านล่ะสิ"
"อ...อืม" ผมหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเพื่อนโดยตรงทันที "แฟนกูยังไม่หายดีไง อีกอย่างที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วย กูเลยค้างเป็นเพื่อนอีกคืน"
เครื่องคอมฯ เริ่มการทำงาน ผมจ้องมองจอภาพพยายามทำตัวนิ่งเฉยไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างค้นหา ไอ้โป้ยอาจจะกำลังส่งกระแสจิตเข้าไปล้วงความลับในไส้ติ่งผมอยู่ก็เป็นได้
“คงดูแลเหนื่อยล่ะสิ มึงถึงได้โทรมปานนี้”
“อืม กูดูแลดีมาก” ผมได้แต่ขบฟันเข่นเขี้ยวตอบออกไป ถ้าโป้ยรู้ว่าผมนั้นทุ่มเทแค่ไหน มันคงร้องไห้ให้กับความเหนื่อยยากของผมแน่ๆ ขนาดตัวผมเองยังรู้สึกเลยว่าเป็นการทุ่มเทที่เกินไปจริงๆ
ว่าแต่...
“โป้ย...กูถามอะไรหน่อยดิ” เสียงคลิกเมาส์ดังขึ้นเป็นระยะ การทำงานไปด้วยพร้อมกับถามเหมือนอยากรู้อยากเห็นน่าจะช่วยป้องกันจิตสัมผัสของโป้ยได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ว่า”
“มึงเคยไปดื่มกับพี่ปูนใช่ป่ะ พี่เขาคอแข็งรึเปล่าวะ?”
“พอๆ กับกูล่ะมั้ง?”
“งั้นแสดงว่าแข็งมาก”
“มีอะไรวะ? อยากรู้ไปทำไม” โป้ยเหลือบมองผมเล็กน้อย
“อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้รึไง” ผมแสร้งทำเสียงรำคาญเพื่อนเล็กน้อย แต่ความอยากรู้มันท่วมท้นเสียจนตัดบทหนีไปเรื่องอื่นไม่ได้ “แล้วมึงจำคืนที่พี่ปูนเก็บกูได้ที่ผับรึเปล่า?”
คราวนี้ไอ้โป้ยทิ้งงานของตัวเองเพื่อหมุนเก้าอี้มาเผชิญหน้าผมเต็มตัว ใจก็อยากจะจับเข่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนเหมือนกัน แต่เรื่องมันดันกระทบกระเทือนอธิปไตยส่วนตัวเนี่ยสิ
“กูชักจะสนใจเรื่องที่มึงคิดแล้วสิ”
“จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ไง ก็เลยอยากรู้เฉยๆ” ปากผมยังเฉไฉต่อไปได้ แต่รู้ตัวเองได้เลยว่าอีกไม่นานหรอก! ขืนโป้ยมันตั้งใจซักขึ้นมา ผมคงเล่าหมดเปลือกชนิดทุกซอกทุกหลืบแน่นอน
“อะ -- เอาเป็นว่ากูจำได้ แล้วไง?”
“พี่เขาเมารึเปล่าวะ?”
ผมรอคำตอบจากเพื่อน แต่จนแล้วจนเล่าโป้ยก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา ความเงียบอันแปลกพิกลนี้ทำให้ผมยอมหันหน้าไปเผชิญสายตาคนข้างๆ โป้ยนั้นกำลังมองผมนิ่งๆ แต่แววตานั้นคล้ายกำลังประเมินบางอย่างอยู่
“ว่าไงล่ะ?” ผมกระตุ้นย้ำ
“แค่โทรคุยกัน กูจะไปรู้ได้ยังไง” มันถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก
“แล้วถ้าฟังแค่เสียงล่ะ?”
“...มึงอยากจะรู้ไปทำไมวะลุง”
โป้ยไม่เคยบ่ายเบี่ยงเวลาผมต้องการคำตอบอย่างจริงจังเลยสักครั้ง...รึอาจจะเคย? แต่ตอนนี้ผมอยากให้มันตอบสิ่งที่ผมอยากรู้ออกมาสักที สองตาผมจับจ้องเพื่อนเขม็ง ส่งแววตาคาดคั้นที่ทำเอาอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
“เออ! ถ้าแค่เสียงที่กูฟัง...พี่ปูนไม่ได้เมา”
โป้ยมองผมเงียบๆ เหมือนกับสังเกตปฏิกิริยาหลังจากที่ได้คำตอบ ใบหน้าที่แสดงเอกลักษณ์สองสัญชาติได้อย่างลงตัวมีแววครุ่นคิดเล็กน้อย ปากเผยอคล้ายอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบแล้วหันกลับไปทำงานต่อโดยไม่สนใจผมอีกเลย เมื่อเห็นว่าการสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ ผมก็เริ่มลงมือทำงานของตัวเองบ้าง แต่ไม่วายที่หัวสมองยังคงครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนี้อยู่
การแสดงออกของโป้ยเหมือนรู้บางเรื่องแต่พูดออกมาไม่ได้ หรืออาจจะไม่ใช่เรื่องที่มันควรเข้าไปยุ่ง แต่ผมมั่นใจอยู่อย่างว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายแน่นอน เพราะถ้ามันเป็นเรื่องที่จะสร้างความเดือดร้อนหรือร้ายแรง โป้ยจะต้องพูดออกมาและปกป้องผม การเป็นเพื่อนกันมาเกือบตลอดชีวิตทำให้ผมพูดได้เต็มปากว่า โป้ยไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่มันจะไม่มีวันปล่อยให้ผมเจอเรื่องเลวร้ายเด็ดขาด
ผมเชื่อใจเพื่อน
ซึ่งสรุปออกมาได้ง่ายๆ ว่าในคืนเกิดเหตุนั้น พี่ปูนไปเก็บผมที่สภาพเมาเยี่ยงหมาได้ที่ผับ และขับรถพาผมกลับไปด้วย และได้มีการโทรบอกเพื่อนสนิทของผู้เสียหาย ซึ่งจากคำให้การของพยานคนดังกล่าวพี่ปูนไม่เมา อันหมายถึงว่ามีสติครบถ้วน
แล้วคนเมาปลิ้น จะปล้ำผู้ชายตัวโตสติสมบูรณ์ได้อย่างไร?
...
...นอกเสียจากว่า...!!
.
.
.
ไม่คิดเลยว่าพี่ปูนจะทำเรื่องแบบนี้... ทุกครั้งที่เรากอดกันพี่เขาไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรืออย่างไร เขาแอบหัวเราะเยาะในใจหรือเปล่ายามผมเตลิดตกใจในวันแรกที่เห็นว่าเรานอนบนเตียงด้วยกัน ผมที่รู้สึกผิดกับความไร้สติในวันนั้น ผมคิดว่าตัวเองปลุกปล้ำพี่ปูน ยอมรับผิดชอบจนเบนเข็มขึ้นมาบนทางสีรุ้ง ยอมสารพัด พลีกายให้ทำสารพัน
แต่ทั้งหมดมันกลับเป็นเรื่องหลอกลวง...
พี่ปูนเห็นผมเป็นคนโง่เง่า ที่จะไม่มีวันคิดเท่าทันได้หรือยังไง
ความขมุกขมัวเกิดขึ้นในใจเล็กๆ มันก็จริงที่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ตลอดมาพี่ปูนทำให้ผมเชื่อไปในทางนั้นมันจะต่างอะไรกับการโกหก แต่อีกใจหนึ่งผมก็เข้าใจ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น คงไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะ...
เฮ้อ~ ทำไมความรักของผมครั้งนี้ถึงได้วุ่นวายมากขนาดนี้นะ
ฟ่อว~
เสียงข้อความเข้าดึงสติผมออกมาจากการใช้ความคิด ผมเหลือตามองหน้าจอมือถือที่สว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับป๊อบอัพข้อความ พี่ปูนส่งข้อความมาง่ายๆ ว่าด้วยการชวนไปกินข้าวกลางวัน ผมถึงเริ่มตั้งสติตัวเองอีกครั้งเมื่อมองเห็นเวลาปัจจุบัน นี่ผมหมกมุ่นกับเรื่องเกือบจะไร้สาระแบบนั้นจนเวลาผ่านมาเนิ่นนานปานนี้
“เชี่ย!” เสียงอุทานเบาๆ หลุดมาจากปาก เมื่อหน้าจอคอมฯ เต็มไปด้วยความวิบัติของการเหม่อลอยในเวลางาน สิ่งง่ายๆ ที่ผมช่ำชองอย่างการลงสีนั้นเรียกได้ว่าผิดเพี้ยนไปหมด ตัวอักษรก็กระจัดกระจายด้วยฟอนต์น่าเกลียดที่ไม่เข้ากัน
ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นเล็กๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสมาธิในการทำงาน ผมจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างไร ถ้าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกันจนเสียงาน
ฟ่อว~
เสียงข้อความดังอีกครั้ง เดาว่าพี่ปูนอาจจะแอบมองอยู่จากภายในห้องทำงานของตัวเองก็ได้ เมื่อเห็นผมไม่แม้แต่จะหยิบมือถือขึ้นมาอ่านถึงได้ส่งมาย้ำๆ
ฟ่อว~
ผมยังคงตั้งมั่นกับการแก้งาน แต่ก็ยังไม่วายแอบมองข้อความที่เด้งขึ้นมา อันที่จริงผมไม่รู้ว่าจะพูดกับพี่ปูนยังไงดี ไม่รู้ว่าจะเริ่มการสนทนาแบบไหนที่จะไม่ทำให้เราทั้งคู่ตะขิดตะขวงใจ ผมคงกำลังทำให้พี่ปูนฉงน ในเมื่อตอนเช้านั้น เราเพิ่งจะ...เอิ่ม...ผ่านความเร่าร้อนกันมา
ฮึ้ย!! ตั้งสติหน่อยพัทลุง
งานที่ไม่เป็นไปตามแผนถูกแก้ทีละจุด ความหงุดหงิดใจสงบลงได้ในที่สุด และดูท่ามันจะถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับคนอื่นแทนเสียแล้ว
เสียงประตูเปิดออกในระดับที่ดังกว่าปกติ ผมนิ่งฟังเสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามาจนกระทั่งหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงาน เงาร่างใหญ่บดบังแสงไฟทะมึนน่ากลัวไม่เบา แต่ผมก็ยังทำใจแข็งเฉยชาต่อไปทั้งที่ใจเริ่มหวั่น
“พัทลุง” เสียงพี่ปูนเย็นเยียบ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสติแตกแบบกระชากหัวผมให้ตอบคำถาม
“อะไรครับพี่” ผมถามกลับ แต่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอ
“...เข้าไปคุยกับพี่ที่ห้องหน่อย” พูดจบ พี่ปูนก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไป ตามด้วยเสียงปิดประตูที่เหมือนจะดังขึ้นกว่าเดิม
งานเข้าหนักแล้วมึงไอ้ลุง… แต่ผมเป็นผู้เสียหายนะเฮ้ย! ต้องเป็นผมที่ควรจะปึงปังหรือเปล่าวะ? แข็งเข้าไว้สิลุง! จะปล่อยให้อีกฝ่ายเหิมเกริมกับเราอยู่ช้างเดียวได้ยังไง
ฟันขบกันกึกๆ พยายามเค้นพลังความเป็นชายออกมาให้มากที่สุด ถึงชนะไม่ได้ผมก็ต้องทำให้เสมอตัว เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงพี่ปูนก็เป็นฝ่ายทำไม่ดีก่อน ผมจะยอมลงให้ง่ายๆ ได้ยังไง
“มึง...มึงโอเคนะ” เสียงโป้ยดังขึ้นขณะที่ผมลุกขึ้นอย่างมาดมั่น ผมมองหน้าเพื่อนที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล
“กูโอเคทุกอย่าง”
“ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา กันนะมึง” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ผมก็ยิ้มรับคำอวยพรแปลกๆ ของไอ้โป้ยไว้ เพื่อออกเดินเท้ามุ่งหน้าสู่อาณาจักรยักษ์ใหญ่
ลมเย็นๆ ตีเข้าร่างทันทีที่เปิดประตูเพื่อแทรกกายเข้าไป พี่ปูนกำลังนั่งนิ่งใช้สายตากวนความกดอากาศให้ต่ำลงจนหายใจไม่สะดวก ผมเดินตรงไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานสีดำเข้มเหมือนใบหน้าเจ้าของมันตอนนี้
“เกิดอะไรขึ้น?” พี่ปูนชิงพูดก่อน เสียงนั้นห้วนสั้นแบบกรุ่นความโมโหเอาไว้ “เมื่อเช้าเรายังดีกันอยู่เลย...ลุงโกรธอะไรพี่”
เอาไงดีวะลุง? มึงควรจะพูดออกไปเลยดีมั้ย? หรือจะรอให้ถึงช่วงเวลาเหมาะกว่านี้ดี?
“พี่ไลน์ไปลุงก็ไม่อ่าน ไม่แม้แต่จะหยิบขึ้นมาดูด้วยซ้ำ!”
เสียงพี่ปูนชักจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ เอาวะไอ้ลุง!! จะปล่อยให้คนผิดลอยนวลต่อไปได้ยังไง!
“พี่ยังจะให้ผมคุยกับพี่ได้อย่างสบายใจอยู่อีกเหรอ ในเมื่อพี่ทำเหมือนผมเป็นคนโง่มาตั้งนาน” ผมพยายามเลือกน้ำเสียงโทนพระเอกค่อนแคะนางเอก แม้จะไม่ใส่อารมณ์จนเกินไปแต่ก็ยังคงบ่งบอกได้ว่าไม่พอใจ และนับว่าประสบความสำเร็จพอดู เมื่อท่าทีขึงขังของพี่ปูนหายวับไปในทันที
“...ลุง...พูดเรื่องอะไร”
“ก็พูดถึงเรื่องในคืนนั้นไง”
ความตกใจแผ่บนใบหน้าหล่อเหลาของชาวสวนไร่แตง ริมฝีปากบางอ้าหุบอ้าหุบเหมือนเลือกคำพูดออกมาไม่ได้ แต่กระนั้นสองมือก็ยังยันร่างสูงของตัวเองขึ้นมายืนแบบคนสิ้นหวัง จากรูปการทั้งหมด คงไม่ต้องให้ผมอธิบายจนชัดเจนก็คงพอจะรู้ว่า ‘คืนนั้น’ ของผมเป็นคืนเดียวกับที่พี่ปูนกำลังคิดอยู่
“พี่...”
“พี่คิดว่าผมจะงี่เง่าไม่ฉุกใจคิดเลยเหรอ? พี่คิดว่าจะปิดไปได้อีกนานแค่ไหน”
“ลุง ฟังพี่ก่อนนะ” คนตัวโตก้าวเท้ามาหาผม แต่เมื่อเห็นชัดว่าผมถอยหลังหนี ร่างนั้นก็หยุดยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาหมดลานไข “ให้พี่ได้อธิบายนะ”
“ไว้ก่อนเหอะ” ผมเลือกคำที่คิดว่าดีที่สุดออกมาอย่างรวดเร็ว “ให้เวลาผมอีกหน่อยแล้วเราค่อยคุยกัน...”
ผมจำต้องเบือนหน้าหลบสายตาเว้าวอนที่เห็น หัวใจเต้นตุบตับอย่างรู้สึกผิดแบบที่ไม่ควรจะเป็น ผมไม่ชอบสีหน้าแบบนี้ของพี่ปูนเลยจริงๆ มันเหมือนเขื่อนร้าว คล้ายถ้ากะเทาะอีกสักนิดคงได้พังพินาศลงมา แต่ผมก็ยังทำใจรับเรื่องราวง่ายๆ ไม่ได้ พี่ปูนทำให้ผมต้องพบจุดเปลี่ยนในชีวิตขนานใหญ่ แล้วจะให้ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง
ในเมื่อพี่ปูนน่ะ...
ในเมื่อเมื่อพี่...
v
v
v