= MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)  (อ่าน 66115 ครั้ง)

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 35

:: ทาวน์ ::




เครื่องปรับอากาศส่งเสียงครางหึ่งๆ ในเวลาเกือบสามทุ่ม ลมหนาวตกกระทบสองร่างที่กำลังกอดกันนัวเนียบนโซฟา กระดุมเสื้อชุดนอนถูกปลดออกอย่างรีบร้อนด้วยฝีมือคนที่มีอายุน้อยกว่า ใบหน้าหล่อในเวลานี้แสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบังจนผมเกิดอาการเขินอายเพราะห่างหายเรื่องอย่างว่ามานาน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรงที่ตัดสินใจมีอะไรกับผู้ชาย... ต้องเริ่มยังไงดี

สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคือการนอนมองการกระทำของเจ็ท พยายามกลั้นเสียงครางน่าอายที่หลุดลอดออกมายามเขาไล้ลิ้นร้อนลากเลียบริเวณซอกคอ มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเป็นคนเริ่มเองเป็นไหนๆ ยิ่งได้เห็นแก้มสีเรื่อเพราะแรงอารมณ์ของเขา ยิ่งทำให้อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้นจนต้องจิกเล็บลงบนโซฟาโดยไม่กลัวว่ามันจะขาด

“เจ็ท อย่าแกล้ง”
ผมว่าเสียงดุใส่คนที่กำลังเล่นกับตุ่มไตสีหวาน ดูดดุนขบเม้มสลับกับการใช้ปลายลิ้นสะกิดหยอกล้อจนสติแทบเตลิด เจ็ทผงกหัวขึ้นมองด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ คลี่ยิ้มหวานพลางก้มลงจูบกลางอกก่อนขยับโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหู

“เสียวเหรอครับ”
ฟึ่บ

เสียงหมอนอิงลอยหวืดกระแทกหัวทุยของคนบนร่าง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยยกเข่ากระทุ้งหน้าท้องแกร่งไปอีกครั้ง ถ้าจะล้อเลียนกันแบบนี้เปลี่ยนจากมีเซ็กซ์เป็นต่อยกันดีกว่าไหม

“ถ้ายังพูดมากอีกกูจะไปนอน”
ผมผลักเจ็ทออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินเข้าห้องนอนเพราะตรงนี้คงไม่ปลอดภัยนักถ้าใครพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาเจอหนังสด แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะเข้าใจผิดเพราะอ้อมกอดแข็งแรงรีบรวบเอวสอบไว้ทันทีแถมด้วยการใช้จมูกถูไถตรงแนวกระดูกสันหลังเป็นเชิงอ้อน

ผมไม่เคยแพ้ใครมาก่อน แต่มีมันคนแรกนี่ล่ะที่ชนะมาตลอด หึ

“ผมขอโทษครับ จะไม่ถามแบบนั้นอีกแล้ว”
เจ็ทบอกเสียงอ่อยก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะประทับลงบนบั้นเอวอย่างแผ่วเบาแล้วไล้สูงขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังจนรู้สึกว่าขนอ่อนในกายลุกชัน มันช่างวาบหวามจนแทบหมดแรงทรงตัว แย่จริงๆ ที่ยอมให้เด็กคนนี้เข้ามายึดหัวใจ

“กูจะเข้าห้อง”
ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งโดยไม่หันไปมองลูกหมาที่ยืนสลดอยู่ด้านหลังเพราะอยากแกล้งเอาคืนที่ชอบตั้งคำถามน่าอายแบบนั้นออกมา ไม่ใช่ว่าโกรธแต่มันทำให้ยิ่งเขินและมีอารมณ์เพิ่มขึ้น ไม่คิดว่าคนกากจะเชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงขนาดนี้ แต่พอคิดว่าเขาคงผ่านมาเยอะก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา นี่สินะอาการหึง... ตลกดีว่าไหม

“พี่ทาวน์...”
ทำไมต้องเรียกชื่อด้วยเสียงสั่นๆ คล้ายกำลังจะร้องไห้ด้วยวะ แต่ต้องใจแข็งเข้าไว้

“ปิดแอร์กับทีวีด้วยล่ะ”
ผมใช้โทนเสียงเดิมมันเรียบเฉยแต่แฝงความดุ ซึ่งเจ็ทน่าจะคิดว่าโดนโกรธทั้งที่มันไม่ใช่... ว่าที่หมอก็ไม่ได้ด้อยเรื่องการแสดงหรอกนะ

“พี่โกรธผมเหรอ ขอโทษจริงๆ ครับ ผมมันปากเสียเอง”
หลังจากจบประโยคนั้นก็ได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจนต้องรีบกลับหลังหันเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นคือเจ็ทกำลังฟาดมือลงบนแก้มของตัวเองเพื่อเป็นการลงโทษที่พูดอะไรไม่เข้าท่า แม่ง เด็กบ้า เคยตามความคิดผมทันบ้างไหม โง่จริงๆ เลย

ผมรีบจับข้อมือของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วโน้มตัวลงไปประกบจูบอย่างเร่าร้อน เบียดกายแนบชิดจนรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกัน เสื้อยืดที่เจ็ทใส่อยู่ตอนนี้เกะกะเหลือเกิน อยากกระชากมันให้ขาด ชอบทำตัวเป็นหมาหงอยอยู่ได้ น่ามันเขี้ยวฉิบหาย

“กูแค่อาย ไม่ได้โกรธ เข้าใจไหม”
ผมผละตัวออกแล้วอธิบายอย่างใจเย็นพร้อมสบตาสื่อความหมาย มือเรียวลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของเจ็ทด้วยความเอ็นดู ทุกวันนี้ยังสงสัยว่ามีแฟนหรือรับเลี้ยงหมาโกลเด้นกันแน่

“อ่า... งั้นต่อได้ใช่ไหมครับ”
เจ็ทมองอย่างมีความหวังแต่ไม่แสดงท่าทีจนน่าเกลียดว่าตัวเองหื่นทั้งที่เป้าตุงขนาดนั้น ผมเบนหน้าหนีเมื่อรู้จุดโฟกัสของตัวเองแล้วหมุนตัวไปอีกทาง เป็นปกติที่ผู้ชายส่วนมากอยากรู้อยากลองและมีความต้องการทางเพศสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่รักมันจะรู้สึกมากเป็นพิเศษ

“อืม... ในห้องนะ”
ผมตอบแค่นั้นก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปที่ห้องพัก เกือบเดินชนประตูเพราะสติตกหล่นกลางทาง อยากกอดเจ็ทให้ช้ำไปทั้งตัว อยากกัดแสดงความเป็นเจ้าของ อยากทำให้ทุกคนรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นของใคร วันนี้เด็กนั่นกล้าใส่เสื้อกล้ามโชว์รอยสักให้ทั้งหนุ่มและสาวมองกันขนาดนั้น น่าตีไหมล่ะ ที่เห็นเงียบๆ ไม่พูดอะไรก็แค่เก็บอาการเท่านั้น หวงจนแทบหาผ้าคลุมให้

ผมทิ้งตัวลงบนปลายเตียงแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยถ้าเกิดไม่มีเสียงเปิดประตูพร้อมกับร่างกายที่มีเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว แบบนี้มันยั่วกันเห็นๆ

ผมจ้องสัดส่วนของคนตรงหน้าอย่างไม่เขินอาย ไล่ตั้งแต่ลาดไหล่กว้างจนถึงช่วงวีเชฟตรงหน้าท้อง ไรขนอ่อนทำให้เจ็ทดูเซ็กซ์ซี่น่าขย้ำขึ้นอีกเท่าตัว รอยสักรูปเข็มทิศตรงกลางอกทำให้ลุคของเขายิ่งดูดิบเถื่อนกระตุ้นอารมณ์ เกิดมายี่สิบปีเพิ่งเคยมีอยากมีอะไรกับผู้ชายเป็นครั้งแรก ให้ตายเถอะ ความรู้สึกมันอธิบายไม่ถูกจริงๆ ตื่นเต้น เร้าใจ เสียว วาบหวามยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

“มองแบบนั้น จะกินผมเข้าไปทั้งตัวหรือเปล่าครับ”
เจ้าของรอยสักเข็มทิศย่างเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าแสดงถึงความต้องการ เขาโน้มตัวลงใช้จมูกสัมผัสไล้ไปตามแนวลำคอขาว ความรู้สึกวาบหวามแล่นสู่ท้องน้อย นิ้วเรียวจิกเกร็งจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่คามือ

เด็กนี่จะเชี่ยวชาญในการปลุกอารมณ์มากเกินไปแล้ว

“ใคร... จะกินใครกันแน่”
ผมถามเสียงกระท่อนกระแท่นก่อนจะเอียงใบหน้าเพื่อรับสัมผัสให้มายิ่งขึ้น สองมือขยับเอื้อมไปลูบไล้หน้าอกแกร่งลากปลายนิ้วตามร่องกล้ามเนื้อหน้าท้อง เจ็ทเผลอครางเสียงต่ำและกลบเกลื่อนมันด้วยการฝากรอยสีกุหลาบไว้บนหัวไหล่

คำว่า ‘เจ้าเล่ห์’ ผุดขึ้นในสมองทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากหยักของแฟน การกระทำเมื่อครู่ไม่ได้ทำเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหน้าอาย แต่เป็นอุบายในการแอบแสดงความเป็นเจ้าของอย่างแนบเนียนเท่านั้น ผมโอบแขนรอบเอวสอบแล้วรั้งเจ็ทเข้ามาใกล้ก่อนแนบริมฝีปากลงบนหน้าท้องแกร่ง ดูดดึงจนมันขึ้นรอยแดงไม่ต่างกัน

เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางของผมขึ้นแล้วโน้มตัวลงมากดจูบอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นร้อนแทรกผ่านริมฝีปากเข้ามาเกี่ยวตวัดแลกเปลี่ยนความหวานจนเกิดเสียงดังเฉอะแฉะ ไม่ได้รู้สึกอายแต่มันเพิ่มพูนความต้องการได้ผลดีจนน่ากลัว พูดง่ายๆ คือของขึ้นแล้ว...

ถ้าเกิดผมคลั่งความเป็นเจ็ทคงไม่ผิดใช่ไหม

“ถ้าเป็นพี่ แบบไหนผมก็ยอมทั้งนั้นล่ะครับ”
เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูก่อนจะตามมาด้วยการกดจมูกลงบนแก้มของผม ถูไถเบาๆ อย่างออดอ้อน อยากจับตีก้นซะให้เข็ด ทำไมซนแบบนี้

“งั้นมึงรับ กูจะรุก”
ผมบอกเสียงจริงจังก่อนกระชากคนยืนให้ล้มตัวลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว คราวนี้จะไม่ปล่อยให้เดินเกมตามใจชอบอีกแล้ว อยากเจ้าเล่ห์ดีนัก โดนเอาคืนบ้างคงไม่เป็นอะไร

“เอาจริงเหรอ...”
เจ็ทถามด้วยเสียงตื่นๆ ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่มือปลาหมึกกลับลูบไล้อยู่บนต้นแขนของผม อ้อยอิ่ง ออดอ้อน ยั่วเย้า มันน่านัก เดี๋ยวจะจัดหนักจนลุกไม่ขึ้นเลยคอยดู

“จริงสิ กูเคยล้อเล่นที่ไหน”
ผมเอ่ยย้ำก่อนจะโน้มตัวลงครอบครองตุ่มไตสีหวาน เจ็ทสะดุ้งเฮือกแล้วแอ่นอกรับสัมผัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อปิดกลั้นเสียงครางน่าอาย

เขาจะรู้ไหมว่าผมรอฟังเสียงแห่งความสุขนั้นมานานแค่ไหน ไม่ยอมให้ปิดปากเงียบหรอก คอยดู

“อะ เอางั้นก็ได้ครับ ผม... พร้อม!”
ผมเกือบหลุดคำเมื่อเจ้าเด็กใต้ร่างทำท่าฮึกเหิมทั้งๆ ที่มือชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่เขาบอกว่าพร้อมก็คงต้องจัดให้อย่างเดียวล่ะนะ คืนช้าเดี๋ยวมารผจญโผล่มาอีกจะแย่ แต่คนอย่างไอ้ทาวน์คงกินบุฟเฟ่ต์จนเก็บนั่นล่ะ ตะกละปานนั้น

“หึ ห้ามเปลี่ยนใจทีหลัง”

“ครับ!”

ผมขุดความเป็นผู้นำของตัวเองด้วยการปลุกปั่นอารมณ์ของคนใต้ร่าง ทั้งไซร้ซอกคอ หยอกล้อยอดอก สร้างรอยสีหวานบนหน้าท้องแกร่ง ไล่ปลายลิ้นร้อนไปตามขอบกางเกงตัวจิ๋ว อ้าปากงับเอวยางก่อนจะดึงลงอย่างหมิ่นเหม่ เจ้าหนอนน้อยใกล้จะออกมาเผชิญโลกกว้างแล้วสินะ

“พะ พี่ทาวน์ ตรงนั้นโคตร อา... เสียว”
เสียงครางในลำคอดังขึ้นเมื่อผมแนบริมฝีปากลงบนท่อนเนื้อร้อนที่ตอนนี้แข็งขื่นอยากระบายออกเต็มแก่ มือเรียวค่อยๆ ดึงปราการชิ้นสุดท้ายลงจนพ้นข้อเท้า แลบลิ้นไล่เลียไปตามความยาวอย่างไม่นึกรังเกียจ อ่า... ความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่บรรยายไม่ได้จริงๆ

“ชอบสินะ”
ผมเอ่ยเย้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นใช้มือจับท่อนเนื้อร้อนรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ ครั่งแรกกับปากคงไม่ไหวเพราะยังไม่ชำนาญเท่าไหร่ กลัวทำให้เจ็บจนหมดอารมณ์ เจ็ทแอ่นสะโพกรับทุกสัมผัสที่ถูกมอบให้ ดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นหวานฉ่ำจนแทบละลายหัวใจผู้กระทำ

“อืม ~ ก็ตอนช่วยตัวเองไม่รู้สึก อะ อา ดีขนาดนี้”
ทั้งคำพูดและเสียงครางที่ผมปรารถนาจะได้จนทำให้สติขาดผึ่งลงอย่างรวดเร็ว มันสุดขีดจำกัดความอดทนที่มี

“พูดมาก”
ผมเอ่ยเสียงดุแล้วใช้นิ้วกดส่วนปลายขยี้เบาๆ เพื่อแกล้งคนที่นอนหอบหายใจ ร่างกายของเจ็ทกระตุกเฮือกก่อนมือหนาจะเอื้อมมาดึงหัวไหล่ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นผสมกลิ่นยาสีฟันรสมิ้นท์

“ไม่อยากให้ผม อึก พูด ก็จูบปิดปากสิครับ”
ขนาดทรมานจนใบหน้าบิดเบี้ยวแต่ไม่วายแสดงความกะล่อนออกมาให้เห็น ด้วยความมันเขี้ยวผมเลยประกบจูบแล้วกัดริมฝีปากของเจ็ท ถ้าไม่กลัวโดนล้อจากผู้ร่วมทริปคงทำให้เลือดออกไปแล้ว

“เจ้าเล่ห์นะ”
ผมผละออกแล้วว่าเสียงดุก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงข้สงกันก่อนจะเอื้อมมือดึงแขนเจ็ทให้ขึ้นคร่อมแทน คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวได้แต่ทำหน้าเหวอๆ ส่งสายตาแสดงความสงสัย เอียงคอมองอย่างมึนงง ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ อยากกัดให้จนเขี้ยวไปทั้งตัวเลย

“พี่ ทำไม...”
ปลายประโยคขาดหายไปกับอากาศ แต่บริบทมาแบบนี้ก็เดาไม่ยาก ‘ทำไมถึงทำแบบนี้’

ผมไม่ตอบในทันทีแต่กลับยกแขนเรียวขึ้นคล้องคอเด็กด้านบน กดท้ายทอยลงเพื่อลิ้มลองริมฝีปากหยักอีกครั้งก่อนจะผละออกแล้วจ้องตาเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญ

“กูรู้ว่ามึงกลัวการเป็นรับ”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ประดับร้อยยิ้มอ่อนโยนไว้บนใบหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเจ็ทอาจจะทำตัวงอแง งี่เง่า ขี้แยบ่อย แต่เขากลับเอาใจใส่และดูแลกันได้ดีเกินคาด ใครจะเป็นฝ่ายรับหรือรุกนั้นไม่สำคัญเท่ากับความรักที่มีให้กัน

รู้ตั้งแต่แรกว่าเจ็ทไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาแค่อ่อนไหวในเรื่องของความรู้สึก และการที่ยอมรับการเป็นฝ่ายรับทั้งที่แสดงออกว่าอยากรุกมาตลอดก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ‘นายภาคินสามารถยอมนายเมืองเหนือได้ทุกอย่าง’ ไม่แปลกที่ครั้งนี้ผมจะเป็นฝ่ายยอมบ้าง ด้วยความเต็มใจ

“มะ ไม่ใช่แบบ...”
ผมใช้นิ้วแตะริมฝีปากหยักเพื่อเป็นการบอกให้เขาหยุดพูด ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววฉงนจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา หมากำลังงงสินะ

“มึงทุ่มเทกับความรักครั้งนี้มาก เพราะฉะนั้น นี่คือรางวัลของเด็กดี อยากทำอะไรก็ทำ แต่ขออย่างเดียว...”
ผมไม่ขยายความไปมากกว่านั้นเพราะอยากให้เจ็ทสบายใจและไม่กังวลกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น รู้แค่ว่าใครเป็นรุกเป็นรับก็พอ ถ้ารู้เหตุผลเดี๋ยวจะซึ้งจนไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี

“อะ อะไรครับ”
ริมฝีปากหยักสั่นระริกแต่ดวงตาคมกลับทอประกายแห่งความดีใจจนผมอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปตบแก้มเขาเบาๆ

“อย่าเรียกกูว่า ‘เมีย’ หลังจากวันนี้”
ผมเอ่ยเสียงเบาแต่แฝงความดุไว้อย่างล้นเหลือ คนถูเตือนทำแค่คลี่ยิ้มหวานแล้วโน้มลงมาพูดชิดริมฝีปาก คลอเคลียเหมือนลูกหมา

“ได้สิครับ ผู้ชายคงไม่อยากให้ใครเรียกว่าเมียหรอก”
พูดจบก็เลื่อนลงไปแตะจูบลงตำแหน่งหัวใจก่อนจะถูคางเบาๆ ลงบนยอดอกจนรู้สึกร้อนวูบที่ส่วนอ่อนไหว ให้ตายสิ อย่าอ้อนด้วยวิธีแบบนี้

“ไม่ใช่ อึก หรอก”
เกือบส่งเสียงครางออกไปตอนที่ริมฝีปากขบเม้มตุ่มไตสีหวานอีกครั้งและอีกครั้ง จะหยุดคุยนิ่งๆ สักสองสามนาทีไม่ได้เลยหรือไงกัน

“แล้ว...”

“กูแค่เขิน อีกอย่างคือไม่ชินเพราะเคยเป็นแต่ผัวคนอื่น”
ใครจะหาว่าผมปากแข็งไม่ได้แล้วนะ พูดเองก็เขินเอง ทำไมลำบากแบบนี้วะ

“โธ่ จะน่ารักไปถึงไหนครับแฟน”
ไอ้เด็กนี่ก็ชอบชมว่าน่ารักอยู่เรื่อย แต่ครั้งนี่ผมกลับรู้สึกดีเพราะสามารถดึงความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมาใช้ได้ทันที ก่อนหน้านี้เจ็ทเป็นเด็กช่างยั่วใช่ไหม ต่อไปนายเมืองเหนือก็ไม่แพ้กันหรอก

“หึ ถ้ากูน่ารักก็ ‘กอด’ แน่นๆ แล้วกัน”

“อย่าเสียใจทีหลังนะครับพี่ทาวน์ ที่ยอมผม”

ผมขอย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตตอนนี้เลยได้ไหม การที่ตกกระไดพลอยโจรยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำนั้นถือเป็นความผิดพลาดจริงๆ เพราะหลังจากบทสนทนาจบลงกางเกงนอนพร้อมด้วยชั้นในก็ถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว แก่นกายที่เริ่มพองตัวถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหยักช่างเจรจานั่น ปลายลิ้นร้อนทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีจนกลั้นเสียงครางแทบไม่อยู่

แรงดูดดุนส่วนปลายทำให้ผมบิดเร่าด้วยความเสียวซ่าน พยายามใช้มือผลักเจ็ทออกแต่ไม่สำเร็จเพราะไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน ความรู้สึกเปียกชื้นตรงนั้นมันเป็นสัญญาณอันตรายจริงๆ นะ พอสักทีเถอะ...

“อึก อืม อย่าดูด ตะ ตรงนั้น เดี๋ยวแตก”
เพราะกลัวมันจะฉีดเข้าปากเจ็มเลยต้องพยายามห้าม ใครมันจะอยากกินน้ำของคนอื่นบ้างล่ะ

เชื่อแล้วว่าสุถาษิต ‘ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเป็นความจริง เพราะหลังจากนั้นเจ็ทยิ่งเพิ่มแรงดูดมากขึ้นแถมด้วยการขยี้ปลายลิ้นลงมาถี่ๆ จนสุดท้ายความอดทนแตกเป็นเสี่ยง อีกนิดเดียวก็จะเลอะแล้ว

“จะ เจ็ท... ไอ้เด็กบ้า”
ผมด่ามันเสียงกระท่อนกระแท่น ใจอยากเบี่ยงตัวหนีแต่ร่างกายกลับแอ่นรับทุกจังหวะที่เจ็ทมอบให้ เด้งสะโพกส่วนใส่ปากอย่างน่าอาย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอะไรกับผู้ชายได้ แม่ง... แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ แถมยังโคตรรู้สึกดีอีกด้วย

“พี่ทาวน์โคตรน่ารักเลยว่ะ ตัวแดงไปหมด”
ชมไม่ว่าแต่ไอ้หน้าตามันเขี้ยวนั่นคืออะไร อะ อย่าดูดแบบนั้นสิ จะตายอยู่แล้ว

“เพราะมึงไง อะ อา... อึก แฮ่ก”
พูดยังไม่ทันจบทุกอย่างที่อดกลั้นมาก็ทะลักจนล้นออกจากริมฝีปากหยักที่ครอบครองส่วนอ่อนไหวลงไปอีกครั้ง ผมแทบพลิกตัวซุกหน้าลงกับหมอนเพราะอาย แต่ตืดที่ได้ยินเสียงไอ้ค่อกแค่กของเจ็ท สมน้ำหน้า หาเรื่องดีนัก

“ทาวน์ขี้โกง เสร็จก่อนได้ไง”
คำพูดคำจาน่าเตะให้เลือดกลบปาก แต่ผมดันชอบที่เจ็ทเรียกชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีคำนำหน้า มันเหมือนเราสนิทกันไปอีกขั้น แต่อย่างที่รู้ว่าต้องฟอร์มจัดไว้ก่อนเดี๋ยวเด็กจะได้ใจกันไปใหญ่ แค่นี้ก็ตกเป็นเบี้ยล่างมากเกินพอแล้ว

“หุบปาก”
ผมออกคำสั่งเสียงดุแล้วเอื้อมมือเช็ดคราบขุ่นที่ติดอยู่ตรงมุมปากแต่เจ็ทไวกว่าเพราะเขาแลบลิ้นเลียมันจนเกลี้ยง แม่ง... อายจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว

“ผมจะเริ่มของจริงแล้วนะครับ ถ้าเจ็บก็บอกนะ”
เจ็ทโน้มตัวลงจูบหน้าผากก่อนจะขยับตัวลงต่ำเพื่อเริ่ม ‘ของจริง’ อย่างที่พูด ผมอยากวิ่งหนีแต่ทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงัก ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม อารมณ์มาเต็มขนาดนี้ก็ทำให้มันจบๆ ไปเถอะ

“อืม กู... ให้แค่รอบเดียวนะ กลัวพรุ่งนี้จะเดินไม่ไหว”
ที่จริงแค่กลัวว่าเพื่อนจะจับได้ว่าผมเสร็จไอ้เด็กนี่แล้วก็เท่านั้น เพราะปากแข็งเคยพูดไว้ว่าคบกันไม่ถึงสามปีไม่ยอมหรอก เกลียดตัวเองชะมัด

“ผมอุ้มได้นะ ถึงพี่จะตัวเท่าผมก็เถอะ”
ยังจะมากวนตีนอีก ให้สไลด์หมอนช่วยตัวเองดีไหม

“เดี๋ยวกูเตะ”
ผมยกเท้าขึ้นเป็นการยืนยันคำพูดจนเจ็ทผวารีบเก็บหนอนน้อยที่ตอนนี้กลายเป็นมังกรทันที กลัวอะไรขนาดนั้นวะ

“ล้อเล่นนะครับ”
หัวเราะแห้งตบท้าย ดูน่าสงสารจนต้องคล้องคอดึงลงมาจูบเพื่อเป็นสัญญาณให้เริ่มกระทำสักที ขืนปล่อยไว้นานความอายคงท่วมท้นมากกว่านี้

ผมโคตรเกลียดแฟนตัวเองตรงที่มันชอบเล้าโลม ยามเมื่อปลายลิ้นแตะลากผ่านช่องทางด้านหลัง ชอนไชอย่างชำนาญจนเสียวไปทั้งร่าง บิดเร่า จิกเกร็ง เม้มริมฝีปาก ทำทุกอย่างเพื่อสะกดกลั้นแรงอารมณ์ แต่มันไม่ได้ผลเลย...

“อ๊ะ แม่ง อืม มะ มันแน่น”
เมื่อนิ้วแรกสอดใส่เข้ามาในช่องทาง ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดและไม่ชิน แทบหุบขาหนีแต่โดนคำพูดกระแทกใส่เต็มๆ จนได้แต่นอนถลึงตาใส่คนปากดี พูดออกมาได้ยังไงวะ

“โคตรฟิต”
มึงไม่อายแต่กูอาย!

“เจ็ท!”
เผลอตะโกนเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนความอาย แต่เจ็ทคงเข้าใจผิดว่าผมโกรธที่ทำให้เจ็บ โธ่เว้ย ทำหน้าเป็นหมาหงอยแล้ว เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจจับกดซะเลย

“ขอโทษครับพี่ทาวน์”
ปากขอโทษแต่นิ้วกลับขยับ นี่มันคนเจ้าเล่ห์ชัดๆ แต่ที่บ้าสุดๆ คือผมดันเคลิ้มกับมันซะได้ จากที่เคยอึดอัดกลายเป็นเริ่มเสียว...

“อึก อา... ระ เรียกแค่ชื่อก็ได้”
ผมไม่สามารถควบคุมสติได้แล้วจริงๆ เมื่อนิ้วที่สองและสามเพิ่มขึ้น ขยับเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ไม่ช้าไปไม่เร็วไป สร้างความวาบหวามจนปล่อยเสียงครางหลุดลอดออกมาอย่างไม่อาย

“โอย ผมจะทนไม่ไหวแล้ว”
เจ็ทโอดครวญอย่างน่าสงสารเพราะต้องทนสร้างความเคยชินกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในช่องทางของผม

“กะ ก็รีบทำสักที หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ผมก็แค่ไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อก็เท่านั้น อย่าคิดลึกกันเลย

“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับ”
เสียงกระดี๊กระด๊าจนอยากถีบให้ตกเตียง เจ็ทหยิบถุงยางที่ถูกเตรียมไว้มาสวมด้วยมืออันสั่นเทา สงสัยคงตื่นเต้น ผมอยากจะขำแต่ขำไม่ออกในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องตกเป็น ‘เมีย’ อย่างสมบูรณ์แบบ

เจลหล่อลื่นถูกป้ายเพิ่มลงมาแล้วตามด้วยแกนกายอุ่นที่ค่อยๆ สอดแทรกผ่านช่องทาง ผมจิกมือลงบนเตียงแน่เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่เป็นวงกว้าง ขนาดของเจ็ทใหญ่เกินไป

“จุก... อึก”
รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เมื่อความเป็นเจ็ทแทรกเข้ามาจนสุด จุกไปถึงคอหอยเลยมั้ง โคตรเจ็บ ไม่เอาแล้วได้ไหมวะ

“ผมขอโทษ ให้หยุดทำไหม”
ถามด้วยเสียงอ่อยๆ มองตาละห้อยแบบนั้นใครมันจะใจร้ายได้ลงคอ แพ้ทางไอ้เด็กคนนี้ทุกที

“ไม่ต้อง... ค่อยๆ ขยับ อย่ารีบ”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมรับแรงขยับที่กำลังจะเกิดขึ้น ในช่วงแรกมันเจ็บจนร่างแทบแหลกแต่พอใช้เวลาสักระยะกลับรู้สึกได้ถึงความเสียวซ่าน

“อะ อา... เสียว”
ผมครางเสียงหวานเมื่อเจ็ทกดย้ำตรงจุดกระสันหลายครั้งอย่างไม่ปรานี ร่างกายขยับโยกไปตามจังหวะร้วมรักที่ส่งให้ ด้วยความหมั่นไส้เลยเลื่อนมือไปจิกตรงหน้าขาของเขาเพื่อระบายความเสียวแทนที่จะเป็นผ้าปูที่นอนสีขาวโง่ๆ นั่น

“ซี๊ด โคตรดีเลย”
เสียงบ่นงึมงำมาพร้อมกับจังหวะที่เร่งเร้ามากยิ่งขึ้น มือหนาทำหน้าที่รูดรั้งแก่นกายของผมได้เป็นอย่างดี สอดคล้องราวกับวงดนตรีบรรเลงเพลงเพราะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงเฉอะแฉะช่วยโหมกระพือแรงอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นอีกขั้น อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงสวรรค์สักที

“จูบ... หน่อย”
ผมร้องขอเสียงแหบพร่า ไม่อยากครางแล้ว มันแสบคอไปหมดเลย

“ครับแฟน”
เจ็ทตอบรับก่อนจะทำตามคำขอร้องอย่างเร้าร้อน ดูดเม้ม ไล่เลีย ขบกัด ทุกๆ อย่างที่หมายถึงการจูบ... ไม่อยากจะชมเลยว่าเขาเก่ง

“อะ อืม ระ เร็วอีก”

“ทาวน์ขี้ยั่วว่ะ”
กระแทกเข้ามาจนผมตัวลอยวืด เสียว... ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

“มึงก็ขี้อ่อยเหมือนกัน อะ อา...”

เจ็ทกระแทกตัวถี่ๆ ติดต่อกันหลายครั้งจนหัวสมองของผมขาวโพลนไปหมด รู้ตัวอีกก็ตอนที่ทำนบเขื่อนแตกเป็นสายขาวขุ่น เลอะเปรอะเปื้อนจนเดือดร้อนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นของกันและกันเมื่อครู่ต้องจัดการความเรียบร้อยแทน

ผมนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมากเพราะปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ดวงตาปรือปรอยใกล้ปิดลงทุกที ไม่คิดว่าแค่เป็นฝ่ายถูกกระทำจะเหนื่อยขนาดนี้ ถ้าเจ็ทขอต่ออีกรอบคงไม่มีเรี่ยวแรงไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้นแน่นอน ไอ้ความทะนุถนอมก็มีในช่วงหลัง พอแรงอารมณ์หนักขึ้นทุกอย่างดูเร่าร้อนรุนแรงไปหมด สภาพเลยออกมาเดี้ยงอย่างที่เห็น

“พี่ทาวน์ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้นะ”
คนยิ้มร่าเพราะรู้สึกสบายตัวเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว มือหนาลูบลงบนหัวอย่างแผ่วเบาจนผมแทบจะปิดตาลง มันเป็นวิธีกล่อมให้หลับชนิดหนึ่ง ไม่รู้หรือไงเจ็ท คืนนี้กูยังอยากคุยกับมึงอยู่นะ

ได้ยินคำเรียกตัวเองที่เหมือนเดิมแล้วรู้สึกหงุดหงิดจนต้องย้ำความทรงจำของแฟน

“ทาวน์”
บอกแค่นี้คงเข้าใจ

“อ่า... ครับทาวน์ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้เนอะ”
ผมอยากขอบคุณเหลือเกินที่ตอนนี้เจ็ทเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ แถมทำตัวดีรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ ที่จริงก็อยากลุกไปอาบน้ำแต่สภาพร่างกายคงไม่เอื้ออำนวย ขอเป็นคนเห็นแก่ตัวนอนสบายๆ สักวันเถอะ

“อืม เบาๆ ด้วย ปวดตัวมาก”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมออกไปขอยาที่หน้าฟร้อนท์ให้นะ”
เจ็ททำท่าจะลุกออกไปแต่ผมรั้งข้อมือไว้ ถึงขนาดที่เตรียมถุงยางกับเจลหล่อลื่นมา แค่ยาคงไม่มีทางลืมหรอก

“ไม่ต้อง มีอยู่ในซิปกระเป๋าด้านหน้า”
บอกเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ความรู้สึกภายในแทบมุดเตียงหนี เจ็ทจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงล่ะ ฉิบหาย

“โห เตรียมพร้อมสุดๆ”
เจ้าเด็กแสบพูดล้อเลียนให้ผมได้อายเล่นๆ หน้าเน้อเห่อร้อนไปหมด อยากจะบ้าตาย

“มีแฟนหื่นก็แบบนี้”
แต่ผมก็เป็นสายแข็งพูดออกไปตรงๆ แถมยังทำใจกล้าจ้องตาอีกคนอย่างไม่ลดละ

“พูดงี้เดี๋ยวมีต่ออีกสักยก ผมยังไม่อิ่มเลยนะเนี่ย”
เจ็ทโน้มตัวลงมาใช้จมูกถูไถข้างแก้มจนผมต้องผลักเขาออกไปไกลๆ ถ้าเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้งคงไม่พ้นการต่อรอบสอง แถมไอ้เสียงกระเส่านั่นก็ชวนเคลิ้มอีกด้วย ไม่ไหว แพ้ตลอดแบบนี้โคตรแย่

“เอาตีนไปแดกก่อนไหม”
พูดได้แต่ปากเท่านั้นเพราะตัวแทบขยับไม่ได้ ตาก็จะปิด เพลียกว่าตอนเรียนอีกมั้งเนี่ย

“ล้อเล่นครับๆ เช็ดตัวดีกว่าเนอะ”
เจ็ทยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้แล้วลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อหาอุปกรณ์ในการเช็ดตัว ผมคลี่ยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างที่มีรอยเล็บประปราย อบอุ่นกว่านี้คงหาไม่ได้แล้วสินะ ขอบคุณที่เข้ามาจีบในวันนั้นและอดทนรอจนถึงทุกวันนี้

“อืม ฝันดีล่วงหน้า”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพราะความอ่อนล้า รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่ขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากชวนให้ใจเต้นรัว อ่อนโยนจัง

“ครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วก็... ขอบคุณนะครับที่ยอมเป็นของผม”
ประโยคสุดท้ายผมได้ยินไม่ชัดนักเพราะสติกำลังเลือนลาง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของตัวเองพิสูจน์มันได้ดีว่าคงเป็นคำพูดที่ทำให้มีความสุขเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหนแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามานั้นช่างมีอุณหภูมิสูงเหลือเกิน ผมพลิกอย่างเชื่องช้าแต่ไม่วายต้องนิ่วหน้าเพราะยังรู้สึกปวดตัว มือเรียวเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเพื่อดูเวลา เที่ยงสิบนาที... สายจนไม่รู้จะสายยังไง อีกอย่างคือคนที่นอนกอดกันทั้งคืนกลับหายสาบสูญ

ถ้าเกิดเจ็ทฟันแล้วทิ้งจะยิงหัวให้กระจุย คอยดู




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมพยายามเดินให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่าคงไม่พบเจอใครในที่พักในเวลานี้เพราะคงออกไปเที่ยวกันหมด แต่เปล่าเลย เปิดประตูออกมาก็เจอไอ้ฟายืนอยู่ด้านหน้า มันกำลังกดโทรศัพท์เล่นเกมอย่างเมามัน

“วันนี้พายุจะเข้าปะเนี่ย คนอย่างไอ้ทาวน์ตื่นซะเที่ยง”
นึกว่าจะรอดแต่กลับโดนทักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไอ้ฟาละสายตาจากโทรศัพท์แบบไม่เสียดายคะแนนในเกม มันเดินวนรอบตัวผมคล้ายสำรวจหาความผิดปกติ

“เรื่องกู”
ผมตอบปัดๆ แล้วพยายามทำหน้านิ่งทั้งที่รู้สึกเสียดด้านหลัง เจ็บจนอยากร้องไห้ นั่งยาก ลุกยาก แถมยังเดินยากอีกต่างหาก

“แหมๆ มีเสียงแหบเซ็กซี่แถมหน้าซีดด้วย ไม่สบายเหรอวะ”
ถึงจะเอ่ยปากแซวแต่ก็เอื้อมมือมาวัดอุณหภูมิร่างกายให้ ผมยืนนิ่งให้มันทำตามใจเพราะไม่อยากทำตัวผิดสังเกต อีกอย่างคือไม่กล้าขยับตัวมาก แช้วนี่ไอ้ตัวต้นเหตุความเจ็บหายหัวไปไหน อย่าบอกนะว่าหนีเที่ยว

“เออ มึงจะไปไหนก็ไป ขวางทางเดิน”
ผมเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินไปยังห้องครัวขนาดย่อม หิวจนไส้จะขาด หวังว่าคงเหลืออะไรให้กินบ้าง

“เกรี้ยวกราดแต่เช้าเลยฮะ แล้วทำไมเดินแปลกๆ วะมึง หรือว่า... ได้กับไอ้เจ็ทแล้ว!”
ไอ้ฟาที่เดินตามมาทักขึ้นอีกรอบจนผมเกือบสะดุดเท้าตัวเองล้มหน้าคะมำ หันไปถลึงตาใส่มันเพื่อข่มขู่แต่มีหรือคนกวนตีนจะกลัว โคตรพลาด

“เสียงดัง ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ”

“ตกลงอะไรยังไง ไหนเล่า! พวกกูออกไปเที่ยวแป๊ปเดียว น้องทาวน์กลายเป็นเด็กใจแตกแล้วเหรอ”
คำขู่ไม่ได้ช่วยให้มันสงบสติอารมณ์ได้เลยสักนิด แถมยังเพิ่มความอยากรู้ด้วยการจับไหล่ผมเขย่าจนรู้สึกเจ็บไปหมด ไม่ไหวแล้วเว้ย!

“เหี้ยจริงไอ้ฟา มันก็เรื่องธรรมชาติ”
ผมสะบัดมือมันทิ้งแล้วใช้หลังพิงผนังอย่างหมดแรง ทั้งอายทั้งเจ็บ มีอะไรบัดซบมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

“ธรรมชาติที่มึงยอมเป็นเมียน้องเจ็ทอะเหรอ”
สัด สาบานว่านั่นปากคนไม่ใช่ปากหมา ต่อยสักทีดีไหม

“อยากเลือดกบปากหรือไง”

“ท้องปะเนี่ย ขี้หงุดหงิดโคตร”
ยังไม่หยุดอีก

“ฟา...”
ผมเรียกมันเสียงต่ำเพื่อให้รู้ว่าจะต่อยมันจริงๆ ถ้าหากยังล้อไม่เลิก

“ไม่ล้อแล้วๆ กูขอโทษ”
ปากบอกไม่ล้อแต่หน้าตานี่กวนตีนฉิบหาย

“เออ หาเบาะรองนั่งให้หน่อย”
ผมขยับเดินต่อแล้วออกปากใช้งานเพื่อนเพราะตัวเองคงเดินไปเดินกลับไม่ไหว ไอ้ฟาก็แสดงความมีน้ำใจด้วยการพยักหน้ารับ แต่ไม่วายกัดกันอีก

“ครั้งแรกก็งี้ ครั้งต่อไปชิวๆ เชื่อกู”
ปรมาจารย์ด้านนี้ว่างั้น... ผมกำลังจะตอบอะไรบางอย่างกลับไปแต่ปลายสายตากลับเห็นเจ็ทที่เดินออกจากห้องของไธกับจิณณ์ ความคิดบ้างอย่างแล่นเข้าในสมองจนเผลอยกยิ้มมุมปาก

“ครั้งต่อไปกูจะเปลี่ยนตำแหน่งบ้าง”
ผมแกล้งพูดเสียงดังจนคนที่กำลังเดินเข้ามาหาชะงักกึก ดวงตาคมเบิกกว้าง ปากอ้าพะงาบๆ อย่างน่าสงสาร เอาคืนที่มันหายหัวแถมยังไม่ยอมปลุกอีกต่างหาก

“เฮ้ย เอาจริงดิ”
ไอ้ฟาที่กำลังวางเบาะนุ่มลงบนเก้าอี้ถึงกับหันมาถามด้วยความอยากรู้

“หึหึ”
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปแต่หันไปยักคิ้วกวนใส่เจ็ทแทน เดินหนีเข้าห้องนอนทำไมวะนั่น แอบไปร้องไห้หรือเปล่า

“หัวเราะบ้าอะไรเนี่ย”

“กูแค่สนุกที่ได้แกล้งคน”

“อะไรวะ”
ไอ้ฟาเกาหัวแกรก

“ช่างเหอะ ช่วยยกมื้อเช้ามาให้กูหน่อย”
ผมบอกปัดแล้วบอกสิ่งที่ต้องการ กินข้าวเพิ่มพลังเพื่ออกไปเที่ยวกันดีกว่าเนอะ

แผนการขับรถรอบเกาะถูกยกเลิกเพราะผมตื่นสาย ทริปวันนี้เลยเริ่มต้นด้วยการเที่ยวหาดป่าตองอันเลื่องชื่อ ค่อยๆ ไล่ลงมาตามสถานที่ต่างๆ จนสิ้นสุดที่แหลมพรหมเทพ แต่เพราะอากาศร้อนมากกว่าปกติบวกกับสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเลยทำให้เดินเซจนถูกจับสังเกตได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้แฟนตัวดีนี่ล่ะ

“เหมือนจะมีไข้นะครับ กลับวิลล่าไหม”
คนที่เข้ามาประคองเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ผมรีบโบกมือปัดๆ เพื่อเป็นการบอกว่าแค่นี้สบายมาก

“ไม่เป็นไร”

“แต่ทาวน์ตัวร้อน”
เจ็ทไม่ยอมแพ้เพราะเขาสัมผัสตัวผมอยู่เลยรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกาย ใบหน้าหล่อยับยู่ดูกังวลเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องห่วง”
ผมยังคงปากแข็ง ถ้าขอกว่าไม่สบายทุกคนในทริปจะพลอยหมดสนุกไปด้วย ดีหน่อยที่ตอนนี้เราเดินรั้งท้ายขบวนเลยไม่มีใครสังเกตเห็น

“ทาวน์ไม่ดื้อสิครับ ผมเป็นห่วงนะ”
เจ็ทกระชับมือที่โอบรอบเอวแน่นขึ้นแล้วมองกันด้วยสายตาอ้อนวอนจนผมยอมแพ้ จะพาไปไหนก็ไปเลย เอาที่คุณแฟนสบายใจครับ

“ตามใจเลยครับ”

สุดท้ายผมก็ได้สารถีมาคนหนึ่งเพราะมันอยากกลับไปนอนเนื่องจากเมื่อคืนเมาจนแฮงค์หนักตอนนี้เลยยังมึนๆ และปวดหัว ไอ้แฮมไม่มีทีท่าว่าจะล้ออะไร ชีวิตมันสนใจแต่เรื่องกินเท่านั้นล่ะ เรื่องชาวบ้านไม่ค่อยยุ่ง

พอถึงวิลล่าผมแทบกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนหลับทันทีแต่กลับโดนเจ็ทรั้งตัวเอาไว้ ทำไมต้องมาขัดใจตอนนี้ด้วย ไม่น่ารักแล้วนะมึง

“เช็ดตัวหน่อยนะ”
เพิ่งอาบน้ำไปสามสี่ชั่วโมงเอง จะอะไรนักหนาวะ

“หึ ไม่เอา จะนอนแล้ว”
ผมปัดมือเจ็ททิ้งแล้วคลานขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล ความง่วงส่งผลให้ลืมความเจ็บปวดไปจนสิ้น กระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงช่วงคอ พักเถอะ ร่างกายมันบอกแบบนี่

“แต่มันจะไม่สบายตัวนะครับ”
ยังไม่เลิกเป็นห่วงจนเกินพอดีอีก แต่ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็มีความสุขเหมือนกัน

“มานอนด้วยกัน”
ผมไม่สนใบหน้าบึ้งตึงของเจ็ทแล้วดึงตัวเขาให้นอนลงข้างๆ กัน เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวายทิ้ง ไม่จำเป็นต้องเช็ดตัวก่อนนอนสักหน่อย แค่ยาหนึ่งกำมือก็เพียงพอแล้ว

“เดี๋ยวสิ อย่าเปลี่ยนเรื่องนะทาวน์”
เจ็ทบอกเสียงดุก่อนจะใช้มือดึงแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ไม่เจ็บแต่เริ่มรำคาญแล้ว อยากนอนกอดไม่รู้หรือไง คนป่วยมักชอบงอแง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ไม่แสดงออกตรงๆ

“นอนเถอะน่า ง่วงแล้ว”
ผมตบเตียงปุๆ แล้วใช้สายตาหมาน้อยกับมันบ้าง คราวนี้คนใจบางถึงกับรีบคลานขึ้นเตียงแล้วเข้ามากอดอย่างรู้งาน มือหนาค่อยๆ ลูบหัวทุยเพื่อกล่อมให้เข้าสู่นิทรา

“เด็กน้อยของเจ็ท รักนะครับ”

“อือ”
รักเหมือนกัน



--------------------------------------------

ใครเชียร์ เจ็ททาวน์ สมหวังแล้วนะ ~
แต่ใครที่เชียร์ ทาวน์เจ็ทไม่ต้องเสียใจนะยู
ยังไงพี่ทาวน์ก็ดูหล่อกว่าเจ็ทอยู่ดี 5555

เราแต่งเอ็นซีไม่ค่อยเก่งเนอะ ติชมกันได้นะ

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ptp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ขุ่นแม่ เขาได้กันแล้ว ฮือออออ ดีงามมม #แอบอยากให้ผลัดกัน  :z3: :z3:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 กรี๊ดดดด เจ็ทไม่นกแถมยังได้รุกอีก ถ้าพี่ทาวน์ไม่รักมากคงไม่ยอมรับให้ :-[

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ก็คิดเอาไว้แล้วละว่าพี่ทาวแกสปอยแฟนขนาดนั้นคงยอมแน่ๆ 555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งื้ออออออออออออออ ใจบางอ่ะเนี้ยยยย :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 36



หลังจากทริป ‘เอา’ แต่ใจที่ภูเก็ตจบลงการเปิดเทอมใหม่มาเยือนอีกครั้งซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เนื่องจากพี่ทาวน์ต้องย้ายกลับไปอยู่คอนโดของตัวเอง อยากรั้งแต่ก็ดูงี่เง่าเกินไป ถึงแม้ว่าเป็นแฟนกันบางครั้งพื้นที่ส่วนตัวก็สำคัญ ให้อิสระ ไม่จำกัดขอบเขต แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย

ถึงจะบอกว่าอยากให้อิสระกับเขาแต่เมื่อเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ผมกลับทุรนทุรายคิดถึงสัมผัสอุ่นๆ จากคนที่ได้ชื่อว่าแฟนเลยทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการโกหกว่าแอร์เสีย ก๊อกน้ำรั่ว หรือแม้กระทั่งคนข้างห้องเสียงดัง มาวันนี้ข้ออ้างที่คิดได้คือ ‘หม้อหุงข้าวพัง’ สมเหตุสมผลดีว่าไหม ขอค้างกับพี่ทาวน์คงไม่เป็นไรหรอก... มั้ง

ผมเพิ่งได้รถคันใหม่มาจากพี่เขยเนื่องในโอกาสอยากให้เพราะว่ามีแฟนแล้ว จะได้ทำหน้าที่ ‘สามี’ ไม่ขาดตกบกพร่อง สนับสนุนให้น้องเอาใจ ‘เมีย’ เยอะๆ เหมือนตัวเองไม่มีผิด แถมยังสอนอีกว่า ต้องเคารพ เชื่อฟัง และซื่อสัตย์ สรุปคือพ่อบ้านเกียมัวนั่นเอง แต่นายภาคินคือพ่อบ้านใจกล้าเว้ย จำไว้!

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าโมงเย็นซึ่งเด็กคณะแพทย์ปีสามกำลังทยอยลงมาจากตึก หนึ่งในนั้นมีพี่ทาวน์ที่ง่วนอยู่กับการยัดชีทลงกระเป๋าเพื่อจะเดินมาขึ้นรถ ผมเป็นคนอาสามารับเขาถึงที่โดยให้เหตุผลว่า ‘อยากทำ’ เนื่องจากต่างคนต่างเรียนหนัก กว่าจะได้เจอกันในวันว่างคงอีกนาน ทั้งหมดคือข้ออ้างของคนติดแฟนเพียวๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม

ผมยืนพิงสะโพกกับรถนิสสันจู๊คสีขาวสะอาดตาแล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งให้บุคคลที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ แต่สิ่งที่แปลกออกไปคือแก้มทั้งสองข้างกลับเป็นสีแดงเหมือนไปวิ่งมา สงสัยจะโดนพี่ฟาล้อเลียนอีกตามเคย เขินแล้วโคตรน่าฟัด เอ้ย น่ารักจริงๆ

“จะใส่แว่นกันแดดทำไม”
เขาถามเมื่อเดินมาถึงริมฟุตบาท มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอาหนังสือที่ยัดลงกระเป๋าไม่หมดฟาดเข้าที่ต้นแขนเต็มแรงจนเผลอนิ่วหน้าเพราะเจ็บ

“ทาวน์ตีผมทำไมอะ”
ผมถามเสียงอ่อยแล้วลูบแขนตัวเองป้อยๆ บรรเทาความเจ็บ พี่ทาวน์จ้องเขม็งแต่ไม่ยอมพูดอะไรก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดประตูรถสอดตัวเข้าไปนั่ง ไอ้เราก็ได้แต่เดินวนไปฝั่งคนขับด้วยความงงงวยแถมด้วยเกาหัวประกอบ คือไม่เข้าใจทั้งคำถามและการกระทำของเขาเลย

“คิดว่าหล่อนักเหรอไง”
ผมขึ้นรถปุ๊บก็โดนยิงคำถามใส่ปั๊บจนได้แต่อ้าปากหวอ ทำไมพี่ทาวน์ดูโมโหเรื่องแว่นกันแดดจังวะ ปกติก็ใส่ตลอดตอนขับรถ แล้ววันนี้คืออารมณ์เสียเพราะอะไร ท้องหรือเปล่า ไอ้เราก็มีน้ำยาเหมือนกันนี่หว่า (ระวังโดนพี่ทาวน์กระทืบม้ามแตกนะ)

“เปล่าครับ ก็ใส่...”
ผมชะงักกึกเมื่อเห็นสายตาอาฆาตของพี่ทาวน์มองมา อยากจะบอกว่าแทบกดแตรแทนปุ่มสตาร์ทรถเลยทีเดียว บรรยากาศก็อึมครึมแปลกๆ กูจะตายคารถไหมหนอ...

“ทีหลังไม่ต้องมารับ”
พี่ทาวน์บอกเสียงแข็งแล้วพยักพเยิดให้รีบออกรถ แต่ผมยังคงนั่งเบลอเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยโดนหยิกเข้าที่ท้องแขน โอเค ไปก็ได้จ้า ลึกๆ ได้แต่คิดว่ากูแอบเป็นชู้กับใครโดนไม่รู้ตัวหรือเปล่าวะ แฟนทำไมต้องเกรี้ยวกราดแบบนี้ใส่ด้วย

“อ้าว... แต่ผมจะไม่ได้เจอทาวน์เลยนะ”
ผมเพิ่งวิเคราะห์ประโยคเมื่อครู่ของเขาได้เลยรีบโวยวายใหญ่โตทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาแสดงความกังวลอย่างเต็มที่ แต่พี่ทาวน์กลับขบกรามแน่นแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น สรุปแล้วเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหน ใครก็ได้ช่วยกระซิบบอกที

“กูไปหาที่คณะมึงเอง”
พี่ทาวน์ยังยืนยันว่าไม่ให้ไปรับเหมือนเดิม แถมยังยอมลงทุนไปหาผมที่คณะแทน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ผมขับรถมารับสะดวกกว่านะ”
ลองพยายามพูดในสิ่งที่คิดเผื่อพี่ทาวน์จะหลุดเหตุผลจริงๆ ออกมาบ้าง หรือเรียกการกระทำนี้แบบภาษาชาวบ้านว่า ‘หลอกถาม’ นั่นเอง

“อย่าดื้อ”
แต่คนเรียนหมอคงฉลาดและรู้เท่าทันคนสมองกลวงอย่างผม โดนบอกว่าดื้อเฉยเลยเว้ย

“เฮ้ย เปล่านะพี่ แค่อยากอำนวยความสะดวกให้”

“ไม่ต้อง”
เสียงแข็งยิ่งกว่าหินมาพร้อมกับสายตาเชือดเฉือนที่บางครั้งอาจจะทำให้ผมเจ็บตัว สมองมึนงงเพราะคิดสาเหตุที่ทำให้พี่ทาวน์ตึงใส่กันได้มากขนาดนี้ไม่ออก หรือเผลอทำอะไรไม่ถูกใจไปหรือเปล่าวะ แค่เรื่องใส่แว่นกันแดดคงไม่ใช่ประเด็นหลักแน่นอน มันต้องมีเงื่อนงำ

“โกรธอะไรหรือเปล่าครับ”

“กำลังจะโกรธเพราะมึงเซ้าซี้นี่ล่ะ”
อารมณ์หงุดหงิดมาเต็มจนผมได้แต่อ้าปากหวอ ความฉิบหายกำลังจะมาเยือนคนขี้สงสัยสินะ

“ห๊ะ... ดะ เดี๋ยวสิครับ”
ผมนี่แทบเหยียบเบรกหัวทิ่มเมื่อพี่ทาวน์ขู่ว่าจะโกรธจริงๆ ตั้งแต่คบกับมายังไม่เคยเจอความเกรี้ยวกราดแบบนี้มาก่อน และไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้วิธีแบบไหนในการง้อ

“ยังไม่หยุดพูดอีกเหรอ”
พี่ทาวน์กดเสียงต่ำแล้วเอื้อมมือเปิดเครื่องเสียงจนมันดังกระหึ่มลั่นรถ ซาวน์ดนตรีหนักๆ ทำให้ผมแทบอ้วก หูจะแตกแล้วเว้ยแฟน!

“ทำมะ... อื้อ!”
ผมยังพูดไม่ทันจบนิ้วมือเรียวก็ป้ายเข้าที่ปาก สัมผัสได้ถึงรสชาติเค็มปะแล่มจากเหงื่อ ครั้นจะถุยออกก็กลัวโดนโกรธ ไอ้จะกลืนเข้ามันก็ดูโรคจิตชอบกล ไม่ได้นึกรังเกียจ แต่รู้สึกอยากเลียพี่ทาวน์ไปทั้งตัวมากกว่า โอยสรุปกูต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์แบบนี้เนี่ย เครียดยิ่งกว่าเขาทำหน้าตึงใส่อีก

“เงียบๆ สักที จะนอน”
พี่ทาวน์ดุใส่ก่อนจะปิดหนังตาลงหลีกหนีเจ้าหนูจำไมที่ยังจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วงัดความหื่น เอ้ย งัดสมาธิขับรถไปส่งแฟนที่คอนโดจะดีกว่า

เกือบสองชั่วโมงที่ต้องเผชิญรถติดยามเย็นในช่วงวันศุกร์ ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าลานจอดรถใต้คอนโดของพี่ทาวน์อย่างไม่ลังเลและไม่สนว่าคนข้างตัวขมวดคิ้วจนเป็นปมมากแค่ไหน วันนี้ไม่ยอมกลับไปนอนเหงาที่ห้องคนเดียวแน่ๆ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีเมคอัพคลาสแต่เช้า...

“มาส่งเสร็จก็กลับไปได้แล้ว”
พี่ทาวน์พูดเมื่อเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นลานจอดรถ ผมที่กำลังจะปิดประตูถึงกับชะงักค้างแล้วรีบพุ่งเข้าไปออดอ้อนคุณแฟนทันที ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้แผนการจะพังไม่เป็นท่า!

“ขอขึ้นไปส่งบนห้องนะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ เพื่อเพิ่มความน่าเอ็นดู พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่ส่ายหัวเหมือนคนปลงตกแล้วเดินนำลิ่วไปขึ้นลิฟท์ ท่าทางแบบนั้นก็เท่ากับคำอนุญาตล่ะวะ สุภาษิต ‘ด้านได้อายอด’ นี่มันเรื่องจริงทั้งนั้น

พี่ทาวน์เดินนำหน้าโดยไม่รู้ว่าคนที่เดินตามหลังกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน ในหัวสมองเอาแต่คิดวกวนถึงแผนการที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า มุมปากก็คอยแต่จะยกยิ้มเผยความชั่วร้าย ตั้งแต่คืนวันที่วิลล่าผ่านมาผมก็ไม่เคยหยุดความอยากสัมผัสร่างกายขาวเนียนของเขาได้อีกเลย มันคือความฉิบหายที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ เพราะกลัวโดนด่าว่าโรคจิต...

“ถึงแล้ว กลับไปสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมถึงกับสะดุ้งเฮือกตาถลน เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงหน้าห้องของพี่ทาวน์แล้ว เพราะมัวแต่จินตนาการภาพอนาจารเลยทิ้งสติสตังเกลื่อนกลาด อยากจะบ้าตายจริงๆ

“คือว่าวันนี้ เอ่อ...”
ผมเริ่มแผนการอย่าแยบยลบวกด้วยการทำหน้าเศร้าๆ เพื่อให้เข้ากับเหตุผลขอค้างพี่ที่เตรียมมาอย่างดี แต่พี่ทาวน์จะเชื่อไหมนั่นอีกเรื่อง...

“อะไร”
น้ำเสียงราบเรียบปกติไม่ได้แสดงอาการสงสัย แต่ในแววตานั้นกลับมองมาอย่างรู้ทัน ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากแถเท่านั้น หน้าด้านเข้าไว้แล้วทุกอย่างจะดีเอง เชื่อเถอะ คืนนี้ไม่พลาดแน่ๆ เพราะก่อนหน้านั้นพังไม่เป็นท่ามาหลายรอบแล้ว

“หม้อหุงข้าวที่ห้องเสียน่ะครับ!”
หลับตาตะโกนอัดหน้าเขาแบบไม่คิดชีวิต แล้วเพิ่งสำนึกได้ว่ามันโคตรบ้าบอก็ตอนที่เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังไม่หยุด พอเงยหน้ามองก็เห็นพี่ทาวน์ตัวสั่นกึก ตลกอะไรขนาดนั้น หม้อหุงข้าวเสียเรื่องใหญ่ระดับชาตินะเว้ย

“หึ ห้องกูไม่มีหม้อหุงข้าวให้มึงใช้หรอกนะ”
ความฉิบหายพุ่งชนหน้าเต็มๆ จนได้แต่ยืนนิ่งสำนึกความโง่ ลืมไปได้ยังไงว่าเขาไม่ทำอาหารกินเอง... ควายล้วนๆ ไม่มีวัวผสมเลยกู

“แต่ว่า...”
ผมยังไม่ละความพยายาม ทำหน้าตาออดอ้อนแฟนอย่างเต็มที่จนพี่ทาวน์ถึงกับต้องเอนหลังพิงประตู กอดอกมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ไม่รู้ทำไมถึงเสียวสันหลังแปลกๆ

“ให้พูดอีกครั้ง”
นั่นไง ควายก็คือควาย คนอัจฉริยะก็เก่งอยู่วันยันคำ สุดท้ายผมก็โดนพี่ทาวน์ไล่ต้อนจนมุม ไม่สามารถหาข้ออ้างที่ดูมีสาระได้อีก ถ้าอย่างนั้นคงต้องเอาความรู้สึกเข้าสู้พร้อมด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น

“คือ... ผมคิดถึงทาวน์นี่”
ผมบอกเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะกลางแขนหมายกอดคนตรงหน้า แต่โดนมือเรียวยันหน้าผากจนหงายหลังซะก่อน โธ่ ก็แค่อยากแสดงความคิดถึงให้ลึกซึ้ง กลัวไม่เชื่อคำพูดกันไง...

“ก็แค่นั้น พูดแต่แรกก็จบ จะค้างก็ค้าง”
พี่ทาวน์ตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อแล้วหมุนตัวไปแตะคีย์การ์ด ประตูห้องถูกเปิดออกเชิญชวนให้รีบพุ่งเข้าไป แต่ความคิดซับซ้อนก็ทำให้ทุกอย่างชะงักแม้แต่เขาที่กำลังก้าวเท้า

“ทาวน์... ไม่คิดว่าผมงี่เง่าเกินไปเหรอ”
ผมรั้งข้อมือขาวไว้แล้วถามด้วยเสียงขาดห้วง กลัวว่าเขาจะบอกว่าทำตัวงี่เง่าเพราะห่างกันเป็นเวลาไม่นาน

“ไม่ กูเข้าใจ มึงก็อย่าคิดเองเออเอง”

“แล้วทาวน์คิดถึงผมไหม...”
ผมมันคนช่างตื๊อ จะด่าอะไรก็เอาเลย เต็มที่ครับ

“อนุญาตแบบนี้ยังต้องถามอีกเหรอ”
เออเนอะ เขายอมให้ค้างยังจะเอาอะไรอีก แต่คนมันอยากฟังจากปากว่า ‘คิดถึง’ ไง กระชุ่มกระชวยดีออก

“ทาวน์น่ารักว่ะ”
ผมกัดฟันพูดเพราะต้องข่มอาการอยากฟัดเขาไว้ด้วย ถ้าไม่ติดว่ายืนอยู่หน้าประตูคงจัดการคนน่ารักจนน่วมไปแล้ว

“จะเข้าห้องไหม ถ้าไม่จะปิดประตู”
พี่ทาวน์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินเข้าห้องไปแบบสบายๆ แต่ทำให้ผมสะเทือนถึงหัวใจ รีบแทรกตัวผ่านช่องแคบทันที จะมาตายน้ำตื้นตอนนี้ไม่ได้นะเว้ย อุตส่าห์พยายามมาตั้งขนาดนี้

“โหย อย่าโหดสิครับแฟน”
บุ้ยปากใส่เขาแต่ก็โน้มตัวขโมยหอมแก้มด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะรีบวิ่งหลบฝ่าเท้าของพี่ทาวน์ที่ยกขึ้นเตรียมถีบ ไม่ได้กินคนเจ้าเล่ห์อย่างนายภาคินหรอกครับ วันนี้เตรียมตัวมาดี หึหึ

ผมทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มที่อบอวลด้วยกลิ่นตัวของพี่ทาวน์ ซุกหน้าลงถูไถด้วยรอยยิ้มปริ่มจนคนที่กำลังเก็บของถึงกับส่ายหน้าอย่างปลงๆ ก่อนจะโยนขวดน้ำดื่มเย็นจัดมาให้ ดีหน่อยที่รับทัน ไม่อย่างนั้นหน้าผากคงปูดเป็นลูกมะนาว

พี่ทาวน์ถอดเสื้อผ้าแบบไม่เกรงใจสายตาหื่นๆ ของผมที่คอยแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา ไอ้น้ำดื่มที่ลงคอไปเมื่อครู่แทบพ่นออกทางจมูกเมื่อกางเกงนักศึกษาร่นไปกองอยู่ที่พื้น ภาพที่เห็นตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเสื้อเชิ้ตปิดต้นขาอ่อนอย่างหมิ่นเหม่ชวนให้ใจสั่นยิ่งกว่าแผ่นดินไหว รู้สึกเหมือนสึนามิเลือดกำเดาจะทะลักออกมา โอย... สาบานสิว่าแค่เตรียมตัวอาบน้ำตามปกติไม่ได้ยั่ว!

และผมก็ได้คำตอบเป็นการที่พี่ทาวน์หันมายิ้มยั่วแล้วยักคิ้วให้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอน ไม่ได้ยั่ว แต่ ตั้งใจแกล้ง เจ้าเล่ห์นักนะครับแฟน คืนนี้จะโดนเอาคืนจนรู้เรื่องเลย!

ผมข่มอารมณ์ด้วยการถือวิสาสะเปิดทีวีดูรายการเพลง ช่วงนี้ใครไม่รู้จัก ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ คงเชยสุดๆ ขนาดโจชัวร์ยังร้องได้นับประสาอะไรกับคุณน้าทั้งหลายที่เอามาเต้นแร้งเต้นกาทุกเวลาว่าง ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟานี่ตัวดีเลย เข้ากันดีเหลือเกินแต่ไม่ลงเอยสักที จะเป็นยังไงต้องติดตามตอนต่อไป

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงคนขี้แกล้งก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่หนักกว่าเมื่อครู่ ผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดบังร่างกาย หยดน้ำพราวบนตัว เส้นผมเปียกที่ถูกเสยขึ้น รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากนั่นมันทำให้ผมแทบกระโจนออกจากโซฟาภายในวินาทีเดียว โอย ยกมือปากน้ำลายแทบไม่ทัน

พี่ทาวน์เมินสายตาหื่นกามแล้วเบี่ยงตัวไปยืนเลือกเสื้อผ้า แผ่นหลังกว้างน่าซบนั้นดึงดูดผมให้ทิ้งรีโมททีวีแล้วจ้ำอ้าวไวๆ ไปหา หัวใจเต้นโครมครามเมื่อพี่ทาวน์ขยับขาจนรอยเกิดรอยแยกเห็นไปถึงไหนต่อไหน ยุบหนอ พองหนอ มันไม่ยอมยุบแล้วทำไงดี...

“ทะ ทาวน์...”
เสียงของผมแห้งผากเมื่อเข้าประชิดตัวพี่ทาวน์จนได้กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆ มือหนารวบกอดเอวสอบโดนไม่สนว่าเสื้อนักศึกษาจะเปียก อ่า... ก่อนจะไปกินข้าวขอขย้ำของหวานก่อนได้ไหม ตอนนี้ความอดทนอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว

“ทำอะไรของมึง”
พี่ทาวน์ไม่ได้สะบัดตัวออกแต่ก็ไม่ได้ยืนนิ่งให้กอดเฉยๆ เพราะเขาดันพลิกตัวมาเผชิญหน้า ริมฝีปากสีชมพูเผยอออกเล็กน้อย น่าจูบจนไม่อยากตอบคำถามอะไร แล้วทำไมผมต้องกลืนน้ำลายลงคอขนาดนี้ด้วยวะ

“ทาวน์ยั่ว”
ผมก้มลงกระซิบข้างหูด้วยเสียงสั่นเครือและหมายที่จะกดจูบตรงซอกคอเพราะมันเขี้ยวกลิ่นและความขาวของมัน แต่เหมือนเจ้าของรู้ทันเลยผละตัวออกห่างแล้วจ้องตาเขม็ง โธ่... ขอแต๊ะอั๋งหน่อยเดียวก็ไม่ได้ ขี้เหนียวจังวะแฟน

“ตอนไหน”
เขาถามก่อนเอามือเปียกชื้นไล้ไปตามกรอบหน้าของผม ค่อยๆ เลื่อนลงไปจนถึงแผงอกที่ขยับขึ้นลงอย่างเร็วเพราะตื่นเต้น ลุ้นว่าต่อไปพี่ทาวน์ของเขาจะทำอะไรต่อไป นี่ขนาดไม่ยั่วนะ ถ้าเกิดยั่วต้องผลักกันแล้วขึ้นคร่อมเลยหรือเปล่า

“ทุกตอนเลย”
ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะ แต่จริงๆ ผมคงหื่นกามไปเอง ก็นี่มันพี่ทาวน์ตัวขาวๆ หอมๆ นุ่มนิ่มนี่หว่า

“มโนว่ะ”
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นพร้อมร่างกายที่ผละออกจากกัน เขาหันกลับไปเลือกเสื้อผ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมที่อยู่ด้านหลังกำลังแย่ อารมณ์มันมาแล้วคงไม่หายง่ายๆ หรอก อยากกอดพี่ทาวน์ต้องทำยังไง

“ทาวน์ครับ...”
ผมไม่ละความพยายามโดยการเรียกชื่อเขาด้วยเสียงแหบพร่าแล้วกดจูบลงบนลาดไหล่ขาวเนียนอย่างออกอ้อน ใช้จมูกถูไถเบาๆ เผื่อพี่ทาวน์จะเกิดอารมณ์ร่วมบ้าง แต่เปล่าเลย เหตุการณ์ราบเรียบเหมือนช่วยคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ นายภาคินอยากร้องไห้

“ว่าไง”
ถามกลับมาเสียงนิ่งแต่ใบหูกลับแดงเหมือนมะเขือเทศ ผมรู้สึกใจชื้นและเห็นหนทางสู่สวรรค์อยู่รำไร อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พี่ทาวน์กำลังใจอ่อนแล้ว หึหึ หมาโกลเด้นก็มารยาเยอะนะเออ

“ขอได้ไหม จะไหมไหวแล้ว”
ผมรวบเอวสอบเข้าประชิดลำตัวอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายร้อนผ่าวของทั้งคู่

“ห้องน้ำมี เชิญ”
เย็นชากว่านี้ก็ภูเขาน้ำแข็งแล้วครับ แต่คนอยากผมที่มีไฟราคะแผดเผาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ดูเลวยังไงไม่รู้...

“มันไม่ฟินอะ ทาวน์ ~”
ใช้น้ำเสียงอ้อนคล้ายตอนโจชัวร์อยากได้ของเล่น ไม่คิดว่ามันจะได้ผลเพราะดูปัญญาอ่อน แต่พี่ทาวน์กลับหมุนตัวมาเผชิญหน้า

“ถ้าจะทำต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ผมนี่แทบกรี๊ดลั่นห้อง ตอนนี้ไม่ว่าจะข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ยอมทั้งนั้น มีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถอะบอกเลย พร้อมเปย์มาก! ถ้าเป็นหมาคงหูตั้งหางกระดิกรัวแน่นอน

“ได้สิครับ ทาวน์อยากได้อะไรว่ามาเลย”
ผมขโมยจูบริมฝีปากคนตรงหน้าด้วยความมั่นเขี้ยว สอดแขนทั้งสองข้างกอดกระชับเขาเข้ามาแนบชิดจนปลายจมูกแตะกันเบาๆ ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบไหปลาร้าให้หัวใจเต้นแรง อยากข้ามขั้นตอนไปขึ้นเตียงเลยได้ปะ ตึงจะแย่แล้ว

“ข้อหนึ่งไปอาบน้ำให้เรียบร้อย ส่วนข้อสองมื้อเย็นกูจะให้มึงเลี้ยง”
ข้อแลกเปลี่ยนเยอะจนผมแทบจะปฏิเสธ แต่พอประมวลผลดีๆ แล้ว เอาก็เอาวะ ดีกว่าพี่ทาวน์ให้รอไปอีกเดือน สองเดือน ไม่ก็สามเดือน ลงแดงตายกันพอดี

“สบายมาก!”
ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นพร้อมฉีกยิ้มกว้างทั้งทีในใจกังวลว่ากลับมาจากอาบน้ำคงหมดอารมณ์กันพอดี แต่ไม่เป็นไร เชื่อเถอะว่าคนช่างยั่ว แค่กๆๆ คนช่างแกล้งต้องหาวิธีปลุกมันอีกจนได้

“บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นหัวละสามพันนะ”
ห้าพันตอนนี้ก็ยอมบากหน้าไปยืมตังค์จิณณ์แล้วล่ะครับ เพื่อสวรรค์บนเตียง

“ย่อมได้ครับ ~ เพื่อแฟน”
หอมแก้มมัดจำไว้สองฟอด อ่า... โคตรชื่นใจ

“หึ เพื่อความหื่นกามของมึงมากกว่าครับแฟน”
เกลียดคนรู้ทัน แต่ก็รักความเป็นพี่ทาวน์นะ

เรื่องบนเตียงของพวกเราผ่านเลยมาจนถึงเวลาเกือบสามทุ่มเลยเป็นอันต้องยกยอดอาหารญี่ปุ่นไว้เป็นวันพรุ่งนี้ช่วงเที่ยงหลังจากผมเลิกเรียนโดยพี่ทาวน์อาสาไปส่งและไปรับ ช่างน่ารักอะไรเยี่ยงนี้จนเผลอไม่ได้ที่จะมอบจูบหวานๆ ให้อีกหนึ่งครั้ง หลังจากจัดหนักไปสองรอบ

ผมหอบสังขารที่ดูสดใสมากกว่าอ่อนเพลียเข้าครัวทำอาหารหลังจากที่ลงไปเดินเตร่ที่มินิมาร์ทใกล้ๆ คอนโดมา ได้ไส้กรอก ไข่ไก่ ซอสปรุงรสขวดเล็ก ซุปก้อน ข้าวไรซ์เบอร์รี่แช่แข็งและข้าวโพดต้ม สรุปเมนูวันนี้คือข้าวผัดไส้กรอกกับแกงจืดไข่น้ำ ง่ายๆ เบาๆ อิ่มสบายท้อง (ห้องพี่ทาวน์มีกระทะไฟฟ้าที่พี่แฮมเอามาฝากไว้และมีไมโครเวฟสำหรับทำอาหารแช่แข็ง...)

หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็ลงมือเนรมิตเมนูทั้งสองภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตักข้าวผัดใส่จาน ตักแกงจืดไข่น้ำใส่ถ้วยยกถาดไปเสิร์ฟถึงข้างเตียงเพราะพี่ทาวน์บ่นว่าปวดเอวมาก ผมที่เป็นตัวต้นเหตุในตอนนั้นก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ก้มหัวขอโทษไปหลายรอบ ก็มันเพลินอ่า

“ลุกขึ้นมากินข้าวกันเถอะครับ”
ผมยกจานข้าวและถ้วยแกงจืดวางบนโต๊ะแล้วจัดการเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้เรียบร้อย

“อืม ช่วยหน่อย”
พี่ทาวน์ร้องขอด้วยใบหน้าอ่อนเพลียจนผมต้องรีบเข้าไปประคองตัวให้เขาลุกขึ้นก่อนจะจัดแจงเอาหมอนรองหลังให้นั่งพิงกับหัวเตียง การดูแลเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งมันก็ทำให้เราได้รับรอยยิ้มกลับมา อิ่มใจจัง

“ทำไมตักมาแค่นี้ ไม่กินเหรอ”
ไม่แปลกที่จะโดนถามเพราะผมตักข้าวใส่จานใบเดียว

“กินครับ ใช้จานเดียวกันนี่ล่ะ ง่ายดี”
เนียนไหมล่ะ ความจริงแล้วแค่อยากทำตัวโรแมนติกใส่แฟนบ้างก็แค่นั้น ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมีเรื่องเซอร์ไพร์สให้กันเลย

“หึ จะป้อนด้วยใช่ไหมล่ะ”

“เฮ้ย รู้ความคิดผมได้ไง”
ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ พี่ทาวน์อ่านใจคนได้เหรอ จบหกปีนี่ไปต่อทางสายจิตแพทย์ไหม วิเคราะห์คนเก่งเหลือเกิน

“กูฉลาด”
จ้า ผมมันโง่ที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเฉลยคำตอบให้พี่ทาวน์ตั้งแต่เอาช้อนส้อมมาคู่เดียวแล้ว...

ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที อาหารทุกอย่างหายวับไปกับตาแม้กระทั่งน้ำแกงจืดยังไม่เหลือ ผมรู้สึกว่ามื้อนี้อร่อยมาก กินเองบ้างป้อนพี่ทาวน์บ้าง โคตรมีความสุข ก่อนจะปลีกตัวไปทำงานต่อก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หลักๆ แล้วไม่พ้นพี่ฟากับไอ้ฟาร์ม ดูเหมือนคืบหน้าแต่ความจริงไม่ได้ขยับความสัมพันธ์ไปไหน คนหนึ่งทอดสะพานแทบตาย อีกคนเอาปากดีแต่ไม่กล้าทำ ต้องเอาไอ้ตังค์เป็นตัวอย่าง เห็นเงียบๆ แบบนั้นถ้าเป็นผู้หญิงคงท้องจนใกล้คลอดแล้ว

พอรู้สึกว่าอาหารเริ่มย่อยพี่ทาวน์ก็ลุกไปแปรงฟันเพื่อเตรียมเข้านอน ส่วนผมก็หยิบงานที่ยังทำไม่เสร็จและต้องส่งพรุ่งนี้ขึ้นมาทำต่อ ช่วงเวลากลางคืนสมองแล่นดีกว่า ไม่ได้ดองไว้จนเปรี้ยวนะเว้ย

ผมเดินกลับมาบริเวณส่วนห้องนอนแล้วพบว่าพี่ทาวน์กลับขึ้นเตียงแล้ว แต่ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ

“ทาวน์ครับ”

“.....”

“ทาวน์”
คนโดนเรียกสะดุ้งเล็กน้อย เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์

“ว่าไง”

“เป็นอะไรครับ ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น”
ผมถามก่อนทิ้งตัวลงที่ว่างข้างๆ แล้วใช้นิ้วกดวนระหว่างคิ้วให้คลายออก ก่อนนอนทำหน้าเครียดแล้วเมื่อไหร่จะหลับได้

“ปวดหัวนิดหน่อย”
เขาบอกก่อนปิดเปลือกตาลง ผมเลยไม่เซ้าซี้ต่อถึงในใจจะรู้ดีว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“งั้นนอนพักดีไหม เดี๋ยวผมปิดไฟให้”

“ไม่ต้องหรอก มึงจะทำงานต่อนี่”

“เดี๋ยวผมขยับไปทำตรงโซฟาก็ได้”
ตอนแรกก็กะว่าจะปลีกวิเวกไปทำงานไกลๆ พี่ทาวน์อยู่แล้วเพราะไม่อยากรบกวนเวลานอน

“อยู่ตรงนี้ล่ะ”
คำพูดของเขาทำให้ผมต้องหลุดหัวเราะ ไหนจะมือที่จับแขนไว้แน่นอีก น่ารักไม่มีใครเกินเลยจริงๆ

“อ้อนเหรอครับ”
ผมถามเสียงหยอกล้อก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวนั่นด้วยความมันเขี้ยว พี่ทาวน์ไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับซุกหน้าลงมามากขึ้น คงอ้อนจริงๆ นั่นล่ะ

“อืม”

“น่ารักจัง”
ก้มลงจูบหน้าผากหนึ่งฟอดก่อนจะผละไปเอาอุปกรณ์ทำงานมานั่งที่พื้นข้างเตียง

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ความเงียบทำให้ผมที่กำลังพักมือต้องออกปากถามคนบนเตียงโดยไม่หันไปมอง เพราะกลัวว่าอาการอยากลวนลามเขาจะกลับมาอีก บางที ‘ลักหลับ’ ก็น่าตื่นเต้นดี หึหึ

“ทาวน์หลับหรือยัง”
ผมตัดสินใจก้มหน้าลงทำงานต่อเพราะเหลืออีกไม่มากก็จะเสร็จแล้ว แต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบหลังคอทำให้มือหยุดชะงัก

“ยัง”
คำตอบมาพร้อมริมฝีปากอุ่นกดลงมาตรงซอกคออย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก ผมระบายยิ้มแล้ววางงานในมือเพื่อหันไปคุยกับพี่ทาวน์ อ้อนโคตรๆ ตั้งแต่คบกันมาก็วันนี้ล่ะ

“ไม่ง่วงเหรอ”
ผมขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมของเขาเล่น

“นั่งมองมึงทำงานก็เพลินดี”
อยากจับฟัดสักทีสองที

“หลงเสน่ห์ผมล่ะสิ”
ผมบีบปลายจมูกพี่ทาวน์ด้วยความมันเขี้ยว รู้หรอกว่าเพลินที่ฝีมือวาดรูปมากกว่าหน้าตา

“อืม”
แต่คำตอบรับกลับทำให้ผมต้องเอียงคอมองเพราะเหนือความคาดหมาย บทจะตรงก็ตรงเกิน หัวใจตั้งรับไม่ทันเลย

“ไม่ปฏิเสธเหรอ”

“หลงจริงๆ ไม่อยากโกหก”
โอย จะละลายแล้วครับ รู้สึกแก้มร้อนเหมือนสาวน้อยโดนจีบเลย

“ขอเวลาเขินสักห้านาทีได้ไหม”
ผมก้มลงหอมแก้มพี่ทาวน์ไปหลายฟอดเพื่อแก้เขินจนโดนมือเรียวตีเข้าที่ต้นแขนเต็มแรง เจ็บแต่คุ้มค่า ยอมครับ

“เว่อร์ไป”

“นิดนึงน่า ผมทำงานต่อนะ”
ได้กำลังใจแล้วก็ควรทำงานต่อให้เสร็จ แต่กลับโดนพี่ทาวน์สอดแขนรั้งเอวสอบไว้

“เจ็ท...”
เสียงเรียกนั่นทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึกๆ เพราะมันทั้งสั่นและเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

“ครับ”
ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากเม้มจนขึ้นสีขาว เรื่องเครียดที่เคยสงสัยกำลังจะถูกเปิดเผยแล้วล่ะ

“พรุ่งนี้... พ่อกูจะมาที่นี่”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมถึงกับเกร็งไปทั้งร่างกาย พ่อของพี่ทาวน์เป็นบุคคลที่หาวิธีกีดกันความรักของพวกเราทุกวิถีทาง ถึงมันจะไม่แรงมากนักแต่ก็ไม่น่าไว้ใจ

“หา งั้นผมเก็บของกลับคอนโดตอนนี้เลยดีกว่า”
ผมลนลานมือสั่นแต่พี่ทาวน์กลับขยับมากอดกันไว้จนแน่น ไม่ใช่ว่าอยากทิ้งให้เขาเผชิญหน้าพ่อคนเดียว แต่การที่อยู่ด้วยกันอาจจะทำให้ยิ่งมีปัญหาหนักขึ้น

“ไม่ต้องไป เขาจะว่ายังไงก็ช่าง”

“แต่มันจะทำให้ทาวน์กับพ่อมีปัญหากันนะครับ”
ผมพลิกตัวกลับไปกอดตอบแล้วลูบหลังคนที่ตัวสั่น รู้ว่าเขาตัวแต่ก็อยากทำให้เรื่องระหว่างเรามั่นคงมากยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้นในสายตาของพ่อตัวเองที่ไม่ยอมรับ

“อยู่ข้างกู เราจะผ่านเรื่องนี่ไปด้วยกัน”
พี่ทาวน์ซุกหน้าลงกับลาดไหล่แล้วพึมพำเสียงอู้อี้จนผมต้องระบายยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนเพิ่มแรงกระชับกอดมากยิ่งขึ้น

“ถ้าทาวน์พร้อม ผมก็พร้อมครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สัญญาว่าจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้แน่ๆ”
จบคำพูดก็ยกมือเรียวๆ ของแฟนขึ้นมาจูบยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างและร่วมเผชิญปัญหาไปด้วยกัน

“ขอบคุณ”
มันช่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในความรู้สึก แต่ผมกลับส่ายหัวเพราะอยากได้คำขอบคุณที่มากกว่านี้ มันคือวิถีของคนโลภมากนั่นเอง

“จูบแทนได้ปะ”
ผมถามเสียงทะเล้นเพื่อให้พี่ทาวน์เลิกเครียด ผลตอบรับคือเขารีบผละออกแล้วล้มตัวนอนดึงผ้าห่มปิดจนถึงใต้จมูก โธ่ ทำไมช่างน่าเอ็นดูขนาดนี้วะเมีย แค่กๆ แฟนก็ได้

“หึ จะนอนแล้ว”
มันคือวิธีการหนีของว่าที่คุณหมอที่ได้ผลดีทุกคราวนั่นล่ะ เด็กดีอย่างผมจะว่าอะไรได้นอกจากส่งเขาเข้านอนด้วยการมอบจุมพิตบนหน้าผากมน

“ฝันถึงผมด้วยนะครับ”
ความสุขของคนเรามันก็เท่านี้ล่ะ เห็นแฟนกินอิ่มนอนหลับก็สบายใจแล้ว

ผมเพิ่งได้รู้ความจริงเรื่องที่พี่ทาวน์ดูไม่สบอารมณ์เมื่อตอนเย็นจากพี่ฟา เขาก็แค่หึงหวงที่มีผู้หญิงในคณะของตัวเองพูดถึงแฟนมากเกินไป ก็ช่วยไม่ได้อะเนอะ คนมันหล่อ... ถุย เอาเป็นว่าโคตรดีใจเลย จะโมโหใส่อีกกี่ครั้งก็พร้อมถ้ามาจากเหตุผลนี้น่ะนะ



----------------------------------

มันก็จะหวานๆ ใส่น้ำตาลเยอะหน่อยเนอะตอนนี้
ตอนหน้าเราจะมาเคลียร์เรื่องพ่อตากันเน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งานต่อสู้กับพ่อตาไปอีกกก o22

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
หึหึ...คนพี่ขี้หวง คนน้องขี้เห่อ   ช่างเป็นคุณแฟนที่สมกัน

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 37




ผมโทรเรียกไอ้ไธให้มารับงานและใบลากิจไปส่งอาจารย์ตั้งแต่เช้าตรู่ มันโวยวายเล็กน้อยแต่เมื่อรู้เหตุผลก็มอบกำลังใจมาเต็มกระบุง แถมเย็นนี้จะเลี้ยงหมูกระทะอีกด้วยถ้าสามารถผ่านด่านพ่อตามหาโหดไปได้ มีเพื่อนพ่วงตำแหน่งพี่เขยก็ดีแบบนี้

หลังจากร่ำลาเพื่อนเสร็จก็ถึงเวลาที่ผมต้องทำหน้าที่แฟนโดยการเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าสำหรับวันนี้ เมนูคงไม่พ้นข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ใส่ไข่แกล้มด้วยไส้กรอกทอด ถ้าหากมีเวลาคงได้กินอะไรที่ดีกว่านี้ ส่วนพี่ทาวน์ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง สงสัยใช้พลังงานมากไป

กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงและเป็นเวลาเดียวกันที่พี่ทาวน์ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวฟูฟ่อง หน้ามันเยิ้ม แต่ในความคิดของผมเขายังดูดีเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ ร่างสูงเดินเซเข้ามาหาก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากร่างกายอีกคน กอดรับอรุณมันรู้สึกดีจนแทบบ้า อยากหันไปกดจูบหนักๆ แต่ติดตรงที่กำลังชงกาแฟอยู่

"อ้อนแต่เช้าเลยนะครับคุณแฟน"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกดน้ำร้อนจากเครื่องทำกาแฟใส่แก้วพลางรอฟังคำตอบ พี่ทาวน์ใช้หัวชนหลังดังปึกๆ หลายครั้งคล้ายกับว่ากำลังเขิน

"เปล่า"
เขาซบหน้าลงกางแผ่นหลังอีกครั้งแล้วนิ่งไป ถ้าไม่ใช่การอ้อนแล้วที่ทำอยู่มันคืออะไร ผมชักตามไม่ทันแล้ว

"ถ้าอย่างนั้นคืออะไรครับ"
ผมพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้า คนมึนถอยหลังพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์แล้วหาวหวอดใส่หนึ่งครั้งแทนคำตอบ ยังไม่อยากตื่นสินะ

"ง่วง เหนื่อย เพลีย"
รู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ เลยว่ะ

"ขอโทษครับ"
ผมว่าเสียงอ่อยก่อนจะโอบเอวพี่ทาวน์เอาไว้แล้วโน้มตัวลงจุ๊บแก้มเพื่อไถ่โทษ แต่รู้สึกว่าได้กำไรเต็มๆ

"ตลก ทำก็ทำด้วยกัน ขอโทษทำไม"
พี่ทาวน์ส่งนิ้วมาดีดหน้าผากดังป๊อกทำให้ผมต้องรีบยกมือลูบเพื่อบรรเทาความเจ็บ

"ก็..."
ผมกำลังจะพูดต่อว่า 'ถ้าเมื่อคืนไม่เอาแต่ใจเกินไป สภาพทาวน์คงไม่เป็นแบบนี้' แต่กลับโดนคนตรงหน้าสวนขึ้นซะก่อน

"อาบน้ำให้หน่อย"
เสียงที่ใช้เนิบนาบจนเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่คนฟังอย่างผมถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เมื่อครู่เขาบอกว่าอะไรนะ โอย รู้สึกเหมือนหัวใจจะวายเลย

"ห๊ะ ผมหูฝาดไปหรือเปล่า"
มองหน้าเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง แต่พี่ทาวน์ทำแค่เพียงไหวไหล่แล้วหันหลังให้ ยั่วไม่ยั่วล่ะแบบนี้

"จะช่วยหรือไม่ช่วย"
สลัดเสื้อผ้าเตรียมลงอ่างได้เลยครับแฟน!

"ยอมชงกาแฟใหม่เลยครับ!"
กาแฟจะเบิร์น จะไหม้ จะขมจนแดกไม่ได้ก็ช่างแม่งเถอะครับ ของหวานมาเสิร์ฟถึงปากขนาดนี้จะพลาดได้ยังไง

กว่าจะ 'อาบน้ำ' เสร็จทั้งคู่ก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงทำให้อาหารเย็นชืดจนต้องจัดการอุ่นมันใหม่แล้วนั่งกินท่ามกลางบรรยากาศขัดเขิน ต่างคนต่างเหลือบมองหน้ากันก่อนจะหลบไปคนละทาง คงไม่ต้องบอกว่าน้ำให้อ่างกระเพื่อมและกระจายแค่ไหน... ความรู้สึกโคตรแปลกใหม่เลยว่ะ อืม

"เจ็ท..."
พี่ทาวน์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน เขาวางช้อนลงแล้วใช้มือเท้าคางมองตรงมาทางนี้ ผมที่กำลังจะงับข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเลยชะงักมือแล้วขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"แบบเมื่อกี้ไม่เอาแล้วนะ"
เขาพูดจบแล้วก้มหน้าลงเพื่อปิดบังแก้มสีแดงระเรื่อไว้ ผมถึงกับมืออ่อนปล่อยช้อนล่วงกระทบถ้วยกระเบื้อง ควรรู้สึกยังไงดีวะที่แฟนเอาเรื่องแบบนี้มาพูดบนโต๊ะอาหาร แล้วไอ้ท่าทางเขินอายคืออะไร โอย กูจะบ้าตาย

"ทะ ทำไมครับ"
ผมถามเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่แน่ใจว่าคำตอบจะไปทิศทางไหน ชอบหรือไม่ชอบยังไง

"น้ำมัน... เข้าไปข้างใน"
เสียงพี่ทาวน์แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน แต่ผมกลับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงชัดเจนในความทรงจำ อยู่ๆ ก็หน้าแดงตามเฉยเลย แม่ง

"คะ ครับ"
ไปไม่ถูกเลยจ้า พี่ทาวน์ช้อนตามองแล้วคลี่หวานตอบกลับมา ใจพังแล้วครับ ละลายเหลวเป๋วไม่เหลือชิ้นดีเลย อยากถามกลับว่าชอบบนเตียง ระเบียง โซฟา หรือห้องครัวก็กลัวจะโดนฝ่าตีนยันหน้าเอา ฮึย ค่อยๆ ทดลองไปทีละแห่งก็แล้วกัน ครั้งนี้อ่างไม่ผ่าน...

ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้นเสียงออดจากหน้าประตูก็ดังขึ้นเรียกให้เราทั้งคู่สะดุ้งและเหลือบมองนาฬิกาติดผนังอย่างพร้อมเพรียง เก้าโมงสี่สิบเจ็ดนาที คนที่นัดไว้คงมาก่อนเวลาพอๆ กับความวุ่นวาย ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยว่าใคร คุณพ่อตาอย่างแน่นอน

"เดี๋ยวผมลุกไปเปิด..."

"เดี๋ยวกูไปเอง มึงเก็บถ้วยไปล้างเถอะ"
พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วพยักพเยิดให้ผมเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้าง ความจริงแล้วอยากออกไปเผชิญหน้ากับพ่อตาพร้อมๆ กัน แต่ถ้าเขาต้องการแบบนี้ก็จะไม่ขัด

"ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำเย็นๆ ไปให้นะ"
ผมส่งยิ้มให้กำลังใจก่อนจะรวบเก็บทุกอย่างบนโต๊ะลงอ่างล้างจาน ได้ยินเสียงครางรับเบาๆ จากทางด้านหลังตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป ก็ได้แต่ภาวนาให้เรื่องไม่เลวร้ายเกินไป

ผมพยายามตั้งสมาธิจดจ่อกับการล้างจานแต่หูก็ดันสนใจสิ่งที่สองพ่อลูกคุยกัน แค่คำเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน ทักทายแบบทั่วไป ไม่มีความพิเศษ ไม่มีการบอกคิดถึง เป็นความอึดอัดระหว่างพ่อกับลูกอย่างแท้จริง

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือของผมสั่นจนเกือบทำจานตกแตก ถึงจะยืนอยู่ในครัวแต่มันเปิดโล่ง ยังไงๆ พ่อพี่ทาวน์ก็ต้องเห็นกันอยู่ดี และเป็นดังคาดเมื่อเสียงทุ้มแปลกหูถามขึ้น

"ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่"
ผมหันกลับไปไหว้ผู้มาเยือนทันทีที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย หน้าตาแสดงออกถึงความไม่พอใจเมื่อเห็นคนอื่นในห้องลูกชาย

"ผม... มาขอค้างกับพี่ทาวน์น่ะครับ"
ตอบไปตามความจริงก่อนจะเดินออกจากครัว ถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้กันสักที 'เรื่องของเรา'

"บ้านช่องก็มีทำไมไม่กลับ"
เขายังคงเค้นหาคำตอบที่มีเหตุผลในการขอค้างมากกว่านี้ แต่พี่ทาวน์กลับดึงทุกอย่างกลับไปหาตัวเอง แล้วส่งสัญญาณมือให้ผมขยับมายืนข้างๆ

"พ่อ มีธุระอะไรครับ"
คำถามห่างเหินนั้นทำให้คนเป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วแน่นมองหน้าลูกชายด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา นั่งไขว่ห้าง ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจนผมรู้สึกหวั่น ถ้าวันนี้เราทั้งคู่แพ้คงลำบากน่าดู

"ต้องมีธุระด้วยหรือไงถึงจะเหยียบที่นี่ได้"

"ก็เปล่า แต่พ่อไม่เคยมาที่นี่"
พี่ทาวน์นั่งลงพร้อมๆ กับผม เราเว้นระยะห่างพอประมาณ ถึงยังไงก็ควรเกรงใจพ่ออยู่ดี

"หึ เพราะแกทำตัวแย่ ฉันเลยต้องมาดูพฤติกรรมไง"
ประโยคนั้นทำให้ผมเกร็งไปทั้งตัว พยายามสังเกตสีหน้าของพี่ทาวน์ว่ารู้สึกยังไง พบว่าทุกอย่างยังปกติดี เพียงแต่มือทั้งสองข้างขยำขากางเกงจนยับ

"ผมทำอะไร"
น้ำเสียงเย็นชาถามกลับโดยไม่กลัวเกรง เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อที่ไม่ลดการวางท่าข่มกันเลย

"คบกับเด็กคนนี้ยังแย่ไม่พออีกหรือ"
เขาปลายตามองผมอย่างไม่พอใจก่อนจะจ้องหน้าพี่ทาวน์ สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าทุกคนกำลังเดินหน้าเข้าสู่สนามรบแล้ว

"มันไม่ได้แย่"

"เพศเดียวกันยังจะปฏิเสธอีกหรือ"

"ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"
พี่ทาวน์กัดฟันกรอด มือทั้งสองกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อปลอบให้เขาใจเย็นลงบ้าง ไม่อย่างนั้นคงทะเลาะกันใหญ่โตแน่ๆ

"พี่ทาวน์ ใจเย็นครับ"
ผมกระซิบเสียงเบา พี่ทาวน์พยักหน้ารับแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการระงับอารมณ์ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเดือดได้ที่เมื่อโดนลูกชายสวนไปแบบนั้น

"ฉันนี่ไงเดือดร้อน ลูกชายคนเดียวที่เลี้ยงมากับมือกลายเป็นเกย์ คิดว่ามันน่าภูมิใจนักหรือไง!"
เขาตวาดเสียงดังลั่นจนหน้าดำหน้าแดง แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและอัดอั้น ผิดหวังที่ลูกชายไม่ได้เดินตามทางที่ตัวเองขีดไว้ พี่ทาวน์นิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่รับรู้ได้ว่าเขากำลังจะร้องไห้ ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกแล้ว ถึงใครหาว่าเป็นเด็กไร้มารยาทก็ยอม

"พี่ทาวน์ไม่ได้เป็นเกย์ครับ! เราก็แค่รักกัน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องมองผู้ใหญ่ด้วยแววตาเด็ดเดียว พวกเราไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ แค่นายภาคินรักนายเมืองเหนือก็เท่านั้น

พี่ทาวน์เบิกตาโตมองผมด้วยความตกใจ คงไม่คิดว่าลูกหมาตัวนี้จะกล้างัดข้อกับนายใหญ่ของเจ้านายตัวเอง เขาเป็นคนพูดเองว่าต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน แล้วใครจะปล่อยให้แฟนสู้อยู่คนเดียวล่ะ มันไม่แฟร์จริงไหม

"หึ จะรักกันไปได้สักกี่น้ำ พอเบื่อก็ทิ้งขว้างตามประสาเด็ก เจอใครที่ดีกว่าก็เลิกกันอยู่ดี"
ที่พ่อพี่ทาวน์พูดมันเป็นความจริงของมนุษย์โลก แต่ก็ไม่เสมอไป สายตาดูถูก สายตาเหยียดหยามทำให้ใจฟ่อแต่ความอบอุ่นที่ได้รับจากมือเรียวทำให้ผมมีแรงสู้ขึ้นอีกครั้ง ยังไงวันนี้เราทั้งคู่ก็ต้องชนะ

"พ่อไม่มีสิทธิ์ดูถูกความรักของพวกเรา"

"ฉันเป็นพ่อแก ฉันผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ฉันรู้ดี น้ำหน้าอย่างพวกแกไปกันไม่รอดแน่นอน"
ถ้อยคำทำร้ายจิตใจยังคงถูกขุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย แต่มือที่กุมกันไว้แน่นของพวกเรานั้นเป็นตัวยืนยันว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะไม่ไหวกันจริงๆ

"เพราะพ่อตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันดีแบบนี้ไง ถึงทำให้แม่ทนไม่ได้!"
พี่ทาวน์ตะโกนเสียงดังลั่นจนผมสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันที่จะได้ฉุดรั้งข้อมือของคนสติหลุด คนแก่กว่าก็เงื้อมือและฟาดเข้าที่ใบหน้าของลูกชายเต็มๆ

"ไอ้ทาวน์!"

"คุณลุง!"
ผมตะโกนเสียงดังไม่แพ้ใครแล้วรีบประคองตัวพี่ทาวน์กลับเข้ามาในอ้อมกอดอย่างหวงแหน รีบสำรวจใบหน้าที่โดนฟาดนั่นด้วยความว้าวุ่นพบว่ามุมปากแตกจนเลือดซึมและบวมเป่ง ต้องหากล่องปฐมพยาบาล!

"หึ ถึงขนาดทนไม่ได้เลยเหรอครับ คำพูดแทงใจดำสินะ"
พี่ทาวน์ไม่ยอมหยุดพูดทั้งที่ตัวเองเจ็บจนแทบขยับปากไม่ได้ ผมรีบคว้าเอาทิชชู่มาซับเลือดตรงมุมปากให้เขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะนึกโทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ก่อนที่ฉันจะตบแกอีกครั้ง"
เขาชี้หน้าพี่ทาวน์อย่างเอาเรื่อง มือไม้สั่นเทาด้วยความโกรธจัด แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบเมื่อครู่อีกแน่ๆ เลยเอาตัวเองเป็นเกราะป้องกัน

"พ่อก็เป็นแบบนี้ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยมองว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง ผมเสียใจแค่ไหนก็มองข้ามตลอด"
เป็นช่วงเวลาที่พี่ทาวน์ใช้คำพูดเปลืองที่สุด ความในใจที่เก็บไว้พรั่งพรูเหมือนเขื่อนแตก น้ำตาหยดใสไหลลงบนแก้มโดยไม่มีเสียงสะอื้น เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความอ่อนแออย่างที่สุดของเขาจริงๆ ผมโอบกอดอีกคนโดยไม่สนสายตาของผู้เป็นพ่อ เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้สึกอันเปราะบางอีกแล้ว ต้องรักษา ต้องประคองไม่ให้มันแตกสลาย

"ฉันไม่อยากให้แกเดินทางผิด ความรักแบบนี้ไม่มีความมั่นคง ไหนล่ะสิ่งที่ยืนยันว่าพวกแกจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"
เสียงของคนเป็นพ่ออ่อนลงแต่ดวงตายังคงเป็นวาวโรจน์ ผมกำลังจะอ้าปากตอบในสิ่งที่คิด สิ่งยืนยันในโลกนี้ว่าคนๆ หนึ่งจะรักคนๆ หนึ่งตลอดไปมันไม่มีรูปร่างให้เห็น แต่มันคือความรู้สึกล้วนๆ

"ถ้าหมายถึงทะเบียนสมรสกับลูกสักคนคงใช้ไม่ได้ครับ ไม่ว่าจะเพศไหนความรักก็เป็นเรื่องไม่แน่นอนอยู่ดี จดได้ก็หย่าได้ จริงไหม พ่อกับแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ผมเห็น"
พี่ทาวน์กลับเป็นคนพูดซะเอง แถมท้ายด้วยการตอกย้ำสิ่งผิดพลาดของผู้เลี้ยงดู ผมรู้ว่าเขาเสียใจแต่มันอาจจะเป็นแค่เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้พ่อคิดทบทวนอะไรได้บ้าง

เขาถามหาสิ่งยืนยันทั้งๆ ที่ตัวเองเคยมี แต่ปัจจุบันมันเป็นแค่เพียงความทรงจำแสนเลือนราง

"พี่ทาวน์..."
ผมเรียกคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง ลูบหลังมือเพื่อให้กำลังใจ ถ้าหากว่าวันนี้เราไม่ชนะใจพ่อแล้วจริงๆ ก็คงต้องยอมถอยก่อน หลังจากนั้นคงต้องเตรียมตัวกันใหม่ ไม่มีคำว่าแพ้แน่นอน

"กูไม่เป็นไร"
พี่ทาวน์คลี่ยิ้มบางให้ทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน ผมถือวิสาสะใช้นิ้วป้ายมันออก สบตาสื่อความหมายว่า 'คนๆ นี้ จะอยู่ข้างกายเสมอ ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม' ความรักอบอวลอยู่รอบตัวเราแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะมาคุขนาดไหน

"นั่นสินะ มีทะเบียนสมรส มีลูก ก็ใช่ว่าความรักจะยืนยาว ฉันมันแย่เองที่บังคับแกไปซะทุกอย่าง แต่แกมั่นใจเหรอว่าจะรักผู้ชายอย่างเด็กคนนี้ได้จริงๆ"
คนเป็นพ่อเค้นยิ้มไม่ยอมสบตาลูกชาย เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าคล้ายคนหมดหนทางไปต่อ ผมเข้าใจทุกคนดี ฝั่งหนึ่งกลัวความไม่มั่นคงและเป็นห่วงแต่แสดงออกแข็งกระด้าง ส่วนอีกฝั่งแค่ต้องการให้ยอมรับความรักในครั้งนี้ก็เท่านั้น

"ผมกับเจ็ทเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว พ่อคิดว่าผมรักมันไหมล่ะ"
พี่ทาวน์พูดเสียงเรียบโดยไม่แสดงท่าทีเขินอาย ซึ่งต่างจากผมที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ทั้งตกใจทั้งกลัวว่าอีกคนจะบันดาลโทสะ เหลือบตามองก็พบว่าคุณลุงทำสีหน้าอึกอักจนได้แค่คำรามเสียงต่ำ

"แก..."

"คุณลุงครับ... ยอมให้ผมกับพี่ทาวน์ได้รักกันเถอะนะ"
ผมเลื้อยลงจากโซฟาเพื่อนั่งบนพื้นแล้วพูดขอความกรุณาจากผู้ใหญ่ด้วยแววตาอ้อนวอน เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วจ้องหน้าแบบไม่วางตา จะให้ถอยตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ต้องสู้เท่านั้น

"เธอจะดูแลลูกฉันได้หรือไง เด็กกว่า การงานก็ยังไม่ได้ทำ ทุกวันนี้ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ เอาอะไรมาเป็นหลักประกันล่ะ"
น้ำเสียงทุ้มถามกลับมาไม่แฝงแววโกรธเคืองหรือโมโหแต่มันกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงลูกเพียงคนเดียวของเขา ผมคลี่ยิ้มบางแล้วส่ายหน้า ตอนนี้ไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น มีแค่ตัวกับหัวใจ

"ไม่มีครับ ผมรู้ว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ผมจะคอยรัก ดูแล ห่วงใย เป็นกำลังใจ ค่อยช่วยเหลือ อยู่ข้างๆ พี่ทาวน์ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจกับสีหน้ามุ่งมั่น ถึงแม้เวลานี้อะไรๆ มันจะดูเลื่อนลอยไปทุกอย่าง ไม่มีหลักประกัน มองไม่เห็นอนาคต แต่ความรักสามารถทำให้คนเรามีความพยายามสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้

ต่อไปนายภาคินและนายเมืองเหนือจะมีอนาคตที่ดีร่วมกันอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ ในขณะที่พี่ทาวน์ก็ส่งยิ้มมาแล้วพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำพูดทั้งหมดนั่น ซึ้งล่ะสิ แฟนน่ารักใช่ไหมล่ะ หึหึ เดี๋ยวเก็บไว้ถามกันสองคนเนอะ

"ใครๆ ก็พูดได้ทั้งนั้น"

"ผมพร้อมพิสูจน์ทุกอย่างที่พูดออกไปครับ ถ้าคุณลุงเห็นแล้วบอกว่ามันน้อยไป ผมก็จะพยายามให้มากยิ่งขึ้น"
ไม่มีคำว่ายอมแพ้สำหรับนายภาคิน ก็เล่นรักลูกชายเขามากจนแทบถวายหัวให้อยู่แล้ว ใครจะให้นายเมืองเหนือจากไปง่ายๆ ไม่มีทาง

"หึ แล้วฉันจะคอยดู"
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำกับคำพูดนั้นทำให้ผมกับพี่ทาวน์มองหน้ากันก่อนจะหันขวับไปมองต้นตอ รอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องของเราผ่านไปด้วยดีแล้วใช่ไหม แต่ดูเหมือนคนเป็นลูกชายต้องการคำตอบที่แน่ใจเลยเอ่ยถามอีกครั้ง

"นี่ตกลงว่า..."

"จะคบก็คบกันไป แต่ถ้าเรียนแย่ลงพวกแกเตรียมเลิกกันได้เลย"
ในอนาคตคุณคงจะได้เห็นหมออัจฉริยะ 'นายแพทย์เมืองเหนือ' อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าพี่ทาวน์ทำได้ ส่วนผมก็พยายามในส่วนของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

"พ่อ... ขอบคุณครับ"
พี่ทาวน์ยกมือไหว้แล้วเอ่ยเสียงสั่น เขาเม้มปากกลั้นน้ำตาแต่สุดท้ายก็ไม่ไหวอยู่ดี ผมเลยถือวิสาสะเอื้อมไปเช็ดในอีกครั้งแล้วหันไปขอบคุณผู้ใหญ่

"คุณลุง ขอบคุณนะครับ"

หลังจากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายและรวมถึงพ่อพี่ทาวน์ได้กลับไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ผมนอนเล่นเกมในโทรศัพท์อย่างสบายใจเพราะเย็นนี้จะได้กินหมูกระทะฟรี ส่วนแฟนที่น่ารักก็กลับเข้าสู่โหมดเด็กขยันเช่นเคย เชื่อแล้วว่าการเรียนหมอนั้นต้องเป็นกิ๊กกับหนังสืออยู่ตลอดเวลาจริงๆ

ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้วแน่นแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างคนสงสัยหนัก มันเป็นภาพที่บุคคลทั่วไปคงเห็นได้ยากนัก คนหลงแฟนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเขาอยู่ในสภาพไหนยังไงก็มองว่าน่ารักเสมอ

เสียงเตือนเกมโอเว่อร์ทำให้ผมสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าเผลอมองพี่ทาวน์นานไป เจ้าตัวช้อนตาขึ้นมองก่อนจะส่งเสียงหัวเราเบาๆ ตอกย้ำว่าสะใจ อ่านหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่าถูกจ้องหรือเปล่า แบบนี้ก็เสียเซลฟ์หมดอะดิ

"สมน้ำหน้า"
พี่ทาวน์พูดลอยๆ แต่กลับทำให้ผมหน้าหงิก อุตส่าห์ตั้งใจเล่นจนผ่านมาเกือบถึงด่านสุดท้ายอยู่แล้วเชียว มันเพราะใครกันที่หว่านเสน่ห์ไปทั่ว...

"เพราะทาวน์เลย อยากน่ารักก่อนทำไมล่ะ"
ผมโบ้ยความผิดให้อีกคนแบบเต็มๆ แล้วดึงแขนเขาให้ขึ้นมานั่งตัก จอมรับว่าใช้แรงเยอะมากเพราะขนาดตัวไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ดีตรงที่พี่ทาวน์ไม่ขัดขืนและยอมง่ายๆ

"กูแค่นั่งอ่านหนังสือ"
มือเรียวดีดป๊อกลงบนหน้าผากของผมหลังพูดจบ คงหมั่นไส้ในความหลงแฟนล่ะมั้ง ก็คนมันรักให้ทำยังไง

"ไม่ว่าทาวน์จะทำอะไร ผมก็มองว่าน่ารักทั้งนั้นล่ะครับ"
ผมโน้มตัวขโมยหอมแก้มทั้งสองข้างด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนมางับจมูกโด่งๆ นั่นให้พี่ทาวน์ด่าเล่น

"ประสาท"
โอย มีความสุขจัง ถึงโดนด่า แต่พี่ทาวน์ก็หน้าแดงล่ะวะ ฟัดสักทีสองทีหรือลากยาวขึ้นเตียงเลยดีกว่าวะ

"เขินก็บอกว่าเขินสิแฟน"
ผมยังไม่วายหยอกล้อแฟนบนตักอย่างสนุกสนาน บีบแก้มบ้าง บีบจมูกบ้าง ยิ่งไม่โดนปัดป้องยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ถึงขนาดโน้มตัวลงประกบจูบปากเลยทีเดียว ชื่นใจจัง

"หึ กูหิวข้าวแล้ว มึงพร้อมเสียเงินสามพันหรือยัง"

"ขอแวะตู้เอทีเอ็มก่อนนะ ไม่มีเงินติดตัว"
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะปกติจะพกเงินในกระเป๋าไม่เกินหนึ่งพันบาท มีมากก็ใช้มากเลยต้องจำกัดตัวเองไว้ พี่ทาวน์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือมาดึงติ่งหูกันเล่น โอย อย่ายั่วแบบนี้ ใจไม่ดีครับ

"ไม่ต้อง กูล้อเล่น แค่บะหมี่หน้ามหา'ลัยก็พอแล้ว"

ห้ามหลงแฟนผมนะเฮ้ย หวง!

ผมขับรถของพี่ทาวน์ออกมาจากคอนโดในเวลาเกือบเที่ยงวัน รถติดนารนับครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ดีหน่อยที่ร้านบะหมี่หน้ามหา'ลัยเป็นแบบติดแอร์ ไม่อย่างนั้นคงกินไปเช็ดเหงื่อไปเนื่องจากวันนี้อากาศด้านนอกร้อนอบอ้าวคล้ายกับว่าอีกไม่นานฝนจะตก

"หูย พวกมึงถ่อมากินข้าวถึงนี่เลยเหรอวะ"
ได้ยินเสียงทุ้มแหบทักขึ้นไม่ไกลทำให้ผมและพี่ทาวน์ต้องเงยหน้าขึ้นจากเมนูแล้วเจอเข้ากับนักกินตัวยงอย่างพี่แฮม วันนี้เขาแต่งตัวดีกว่าปกติ เสื้อเชิ้ตสีเข้มพับแขน กางเกงยีนส์ขายาว แว่นตากันแดดสีชา ทรงผมที่เซ็ตอย่างเรียบร้อย เหมือนกำลังออกเดท

แต่เดี๋ยวก่อน คนที่เดินตามกันมาเป็นผู้ชายนี่ แถมหน้าตาดีซะด้วย ให้ความรู้สึกแบบคุณชายเนี๊ยบๆ เจ้าสำอาง และหยิ่งพอตัว มันหมายความว่ายังไง ผมสงสัยจนอยากถามแต่รอดูท่าทีของพี่ทาวน์ก่อนดีกว่า

"อืม แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้"
คำถามของพี่ทาวน์ก็ปกติทั่วไปยามเจอเพื่อน แต่พี่แฮมกลับมีท่าทีเลิ่กลั่กคล้ายโดนจับผิด นี่มันแปลกเกินไปแล้ว

"เอ่อ... คือ มาทำธุระน่ะ"
พี่แฮมฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนความรู้สึกลนลานที่ฉายแววในดวงตา คนข้างตัวก็เหมือนจะรับรู้ถึงบรรยากาศมาคุเลยก้มลงกระซิบแล้วเดินหนีออกไปอีกด้านหนึ่งของร้าน

"แล้วนั่นใคร"
อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้จักหรือไม่ได้มาด้วยกันนะ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้น

"พะ พี่ที่รู้จักกัน เรียนอยู่บริหาร"
ทำไมต้องพูดเสียงตะกุกตะกักด้วยวะ แบบนี้ต่อมเผือกยิ่งทำงานหนักขึ้น พี่ทาวน์ยังเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเลย

"เหรอ มากับเขาว่างั้น"

"มาคนเดียวเว้ย เพิ่งเจอกันเลยชวนมากินข้าวเฉยๆ"
พี่แฮมบอกเสียงจนคนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว ขนาดพี่คนที่มากับเขายังร่วมด้วย แต่ดูเหมือนไม่พอใจมั้งเพราะหน้าบูดเชียว ต้องมีซัมติงกันแน่ๆ ไอ้เจ็ทนอนยันเลย

"อืม ไปเถอะ พี่เขาจะรอนาน"
พี่ทาวน์โบกมือไล่เพื่อนคงเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตานานๆ พี่แฮมรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วเดินหนีไปเลย หาโอกาสปลีกตัวอยู่สินะ หึหึ

"ทาวน์... ผมว่ามันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ พี่แฮมมีพิรุธแปลกๆ"
ผมกระซิบกระซาบแล้วเหลือบตามองคนที่เพิ่งเดินหนีไป พี่ทาวน์ส่ายหัวปลงๆ ก่อนจะแจกมะเหงกให้หนึ่งครั้ง ชี้นิ้วลงบนเมนูเป็นสัญญาณ

"สนใจแต่คนอื่น เอาเรื่องตัวเองก่อนเถอะจะแดกอะไร"
ดุ ดุจังเลย แต่ก็รักนะเออ

"แฮ่ เอาบะหมี่น้ำหมูแดงต้มยำครับ"

มื้อเย็นจากร้านหมูกระทะกลายเป็นร้านเหล้าเนื่องจากสาเหตุที่ว่าโต๊ะมันเต็ม จริงๆ ปูเสื่อนั่งพื้นเอาก็ได้ใครจะกว้าว่าอะไร ถิ่นพี่ฟาซะอย่าง

บรรยากาศสบายๆ เคล้าเสียงดนตรีหวานภายในร้านทำให้พวกเราเลือกนั่งบริเวณเอ้าท์ดอร์เพราะอากาศถ่ายเทมากกว่าส่วนด้านในที่เน้นการโยกย้ายส่ายสะโพกเป็นหลัก เมนูอาหารมากมายทยอยเสิร์ฟโดยบริกรหน้าตาสวยใส เธอยิ้มตลอดเมื่อหันไปเจอพี่ทาวน์ ผมรู้ว่าแฟนกำลังโดนอ่อยแต่ต้องนิ่งไว้ ถ้ามีอะไรมากกว่านั้นค่อยออกตัว

จิณณ์ลงมือจิ้มหมูมะนาวเข้าปากเป็นคนแรกแล้วชมเปราะว่ารสชาติอร่อยกว่าที่เคยกินมาทั้งหมด ทุกคนที่ได้ลองชิมก็พยักหน้าเห็นด้วย มื้ออาหารผ่านไปท่ามกลางเสียงพูดคุยสัพเพเหระ แกล้งบ้าง เย้าหยอกบ้างตามประสาคนสนิทกัน พอเหล้าเข้าปากอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น แม้กระทั่งความในใจ

คนชอบเฉไฉอย่างจิณณ์กล้าบอกรักไอ้ไธกลางวงเหล้า ตบท้ายด้วยการกระชากหัวมาหอมฟอดใหญ่ ใครไม่อายแต่กูอายแทนเว้ย โดนมองอย่างกับตัวประหลาด ไหนจะโทรศัพท์นับสิบที่ยกขึ้นเก็บรูปนั่นอีก เชื่อเถอะว่าพรุ่งนี้ดังไปทั้งมหา'ลัยแน่ๆ เมาแล้วเรื้อนฉิบหายเลยพี่กู



ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมกับไอ้ไธปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพราะทนไม่ไหวจริงๆ พี่ทาวน์ก็ยังคงเป็นคนใจดีที่รับดูแลคนเมาอย่างจิณณ์ เราทั้งคู่ยืนฉี่ข้างกันและใช้เวลาถามไถ่ถึงไอ้ฟาร์มที่หายเข้ากลีบเมฆ ชวนแดกเหล้ายังปฏิเสธ โคตรแปลก ส่วนไอ้ตังค์ไม่ต้องไปสนใจหรอก คงโดนไอ้เอยนอนกกเหมือนปกติ หวงกันอย่างกับไข่ในหิน เฮ้อ

"ไอ้ฟาร์มมันหายหัวไปไหน"

"เฝ้าว่าที่เมียมันโน่น"

"ห๊ะ พี่ฟาเป็นอะไรวะ"

"ป่วย..."

"จริงเหรอ ทำไมพี่ทาวน์ไม่เห็นพูดอะไร"

"ป่วยอ่อย มึงรู้จักปะ"
นี่คงเป็นศัพท์ใหม่ 'ป่วยอ่อย' โอ้โห เทพจริงๆ ไอ้ไธ

"อ้อ... กูหวังว่าไอ้ฟาร์มจะฉลาดพอ"

"เออ อ่อยขนาดนั้นยังปล่อยให้หลุดมือได้ก็โคตรควายแล้ว"

ผมกับไอ้ไธเดินไปที่โต๊ะด้วยความร่าเริงหลังจากได้ปลดทุกข์แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเจรจาอะไรบางอย่างกับพี่ทาวน์ ท่าทางของเธอดูก็รู้ว่าต้องการอ่อยเต็มที่ถึงแม้หน้าตาจะใสซื่อน่ารักก็ตาม

"พี่ทาวน์เสน่ห์แรงว่ะ"
ไอ้ไธพูดลอยๆ ก่อนจะหันมายักคิ้วกวน ผมเบ้ปากใส่เพราะรู้สึกไม่ชอบใจ มีคนมาเกาะแกะแฟนมันน่าภูมิใจตรงไหนวะ

"เออ"

"นั่นๆ เธอก้มต่ำขนาดนั้นเห็นไปถึงสะดือแล้วมั้ง"
ไอ้ส้นตีน มึงสนุกนักหรือไง หัวเราะอยู่ได้ ถ้าเป็นจิณณ์โดนอ่อยบ้างล่ะ แม่ง หงุดหงิดโว้ย

"มึง! ไม่ต้องพากย์ก็ได้เว้ย"
ผมหวังกระทืบเท้ามันให้จมพื้นแต่ไอ้ไธเสือกไหวตัวทันขยับไปห่างเป็นคืบ โอย โมโห!

"แหม ถ้าหวงก็เดินเข้าไปสิครับ มายืนแอบดูทำซากอะไร๊!
จะเสียงสูงหาใครไม่ทราบ ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วยืนพิงต้นไม้ใหญ่แถวนั้น

"ไม่อยากทำตัวงี่เง่า"
กลัวเขาจะเบื่อถ้าเห็นผมแสดงท่าทีหึงไม่เป็นเรื่อง เธอก็แค่เข้ามาชวนคุยไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวนี่ ส่วนพี่ทาวน์ก็ยังนิ่งตามสไตล์เขา จิณณ์แม่งไร้ประโยชน์จริงๆ เมาหลับได้ไงวะ!

"งั้นก็รอดูต่อไป"
ไอ้ไธขยับเข้ามากอดบ่าเป็นการให้กำลังใจ ผมพยักหน้ารับเพราะมันเป็นทางออกที่เวิร์คสุดในเวลานี้

ผ่านไปเกือบสิบนาที พี่ทาวน์เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยแต่เขาขยับตัวหนีเมื่อเธอพยายามแนบชิด ส่งโทรศัพท์ให้คล้ายกับว่ากำลังขอช่องทางติดต่อ

"เฮ้ย พี่ทาวน์หันมาว่ะ"
ในจังหวะนั้นพี่ทาวน์หันมาทางทีพอดีเราเลยมีเวลาสบตากัน เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะรับโทรศัพท์จากเธอ กดอะไรบ้างอย่างลงไป พูดคุยอีกเล็กน้อย แล้วแยกจากกัน ผมควรรู้สึกยังไงวะ

"เออ กลับโต๊ะได้ยัง เมื่อยแล้วเนี่ย"
ไอ้ไธรีบถามเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปแล้ว

"เออๆ"

ผมกลับมาถึงโต๊ะด้วยหัวสมองว่างเปล่า ภาพเมื่อครู่ที่เห็นมันบอกได้ว่าพี่ทาวน์ให้บางอย่างกับเธอไปจริงๆ ความรู้สึกตอนนี้สับสนไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ต้องมีเหตุผลที่ดีสิ

"ทาวน์..."

"ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น"

"คือ... กลัวจะหึงจนทำตัวงี่เง่าน่ะครับ"
ผมตอบเสียงแผ่วแล้วนั่งลงที่เดิมโดยไม่มองหน้าพี่ทาวน์ ทุกอย่างดูอึดอัดและวางตัวไม่ถูก อยากถามให้แน่ใจว่าเมื่อครู่เขาคุยอะไรกับเธอบ้างแต่ไม่กล้าจริงๆ

"เธอขอไลน์"
เหมือนเขาจะรู้ความคิดของผมเลยเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังก่อน ดวงตารีที่มองมานั้นไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกยังไง

"ให้ไปหรือเปล่า"

"อืม"
ผมเผลอบีบแก้วในมือแน่นเมื่อได้รับคำตอบกลับมาแบบนั้น พี่ทาวน์ยังคงจ้องมองกันอยู่เหมือนเดิม ไอ้ไธที่นั่งฝั่งตรงข้ามถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยต้องแกล้งสำรวจนั่นนี่ของจิณณ์ไปเรื่อย บรรยากาศอึมครึมจนน่ากลัว

"ทำไม..."
เสียงแผ่วหลุดรอดจากริมฝีปากหยัก ผมยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวจนหมด เขากำลังแกล้งโกหกกันอยู่หรือเปล่า มันไม่สนุกเลยนะ

"ไลน์มึง"

"ห๊ะ"
แก้วในมือแทบร่วงลงกับพื้น ดีหน่อยที่ผมคว้าไว้ได้ทัน ทำไมทำแบบนั้นวะ... เล่นอะไรของเขาเนี่ย

"กูบอกให้เขาไปขออนุญาตมึง ถ้าจะคุยกับกู"
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อ อยากตะโกนให้ลั่นร้านว่าแฟนโคตรขี้แกล้ง ผู้หญิงคนนั้นคงน้ำตาแตกไปแล้วมั้งถ้าเห็นเจ้าของไลน์... ควรสงสารเธอดีหรือเปล่า

"แสบนะเนี่ย"
ผมหัวเราะขึ้นบ้างก่อนจะเอื้อมมือไปดึงแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว ปล่อยให้จิตตกอยู่ตั้งนานนะคนเรา!

"หึ ไม่หึงแล้วนะเด็กดี"
โธ่ พูดแบบนี้ใครจะกล้าหึงต่อล่ะครับคุณแฟน ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือเลยจ้า



-------------------------------------

เรื่องดราม่าผ่านไปแล้วเนอะ หลังจากนี้คงหวานจนเลี่ยนเลยมั้งเนี่ย 55555

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
หวานมากเลย ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะน่ารักขนาดนี้นะเนี้ยตอนแรกเห็นโหดๆ ผ่านด่านคุณพ่อไปได้ดีใจ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เจ็ทสมหวังสักที ไม่นกแล้วนะ
แถมอาจจะฟินล้ำหน้าชาวบ้านก็ได้

ทาวน์คือดี เป็นแฟนแล้วละมุน
ปากไม่แข็ง แต่เขิน เลยทำโหด

ไม่มีใครฟินเท่าเอยแล้วมั้ง หวงยังกับลูกน้อย
ตังค์มาวินมาก ตอนนี้การ์ตูนคือเรื่องรอง
เรื่องอ้อนและติดแฟนเป็นเรื่องหลัก

ไธน่ารักดี ห่วงเพื่อนไม่ต่างกับห่วงจิณณ์
ดูแลเจ็ทดีไปอีก กับจิณณ์เลยทำให้มากกกว่า
จิณณ์เป็นคนตลก คือไม่อยากย้ายเท่าไหร่เลยเนาะ

ฟาร์มเอ้ยย ที่ผ่านมา คือภาพลวงตาหรอ
กว่าจะได้พี่ฟา ก็คงแห้งไปก่อนละ
ฟาก็ปูทางสุดๆ แทบจะตะครุบก็หลายรอบ

แฮมมีพิรุธนะ ทำมีความลับ
เค้าคนนั้นเป็นใครกัน มาบอกซะดีๆ

โจชัวร์น่ารัก หนูไม่หมูเนาะ
แค่กำลังโต เลยมีพุง

น่ารักดีค่ะเรื่องนี้ ผู้ชายเรื่องนี้อ่อนไหวดี แบบละมุนก็มีมาก
คือไม่ได้พระเอกจ๋า แบบหวั่นไหวไม่เป็น ชอบค่ะ
แถมเค้าก็ดูแลกันดี ทั้งฟีลเพื่อน และฟีลแฟน

ผ่านเรื่องพ่อไปได้ด้วยดี ขอบคุณที่ไม่ดราม่านานค่ะ
เจ็ททำทาวน์เปลี่ยนไป ติดความเป็นเจ็ทอย่างถาวร

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 38




เรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องรักก็รุ่ง แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือเรื่องเรียนเพราะช่วงนี้ต้องปั่นงานส่งอาจารย์ก่อนสอบกลางภาค เวลานอนแทบไม่มี อย่าถามว่าได้คุยกับแฟนบ้างหรือเปล่า ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว มุมใครมุมมัน เหมือนเช่นตอนนี้

ผมยึดโต๊ะหน้าทีวีเป็นฐานที่มั่นใช้ในการทำงานออกแบบร้านกาแฟ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกขยำทิ้งบนพื้นจนเกลื่อนกลาดเพราะวาดมาไม่รู้กี่รอบก็ไม่ได้ดั่งใจ หัวสมองตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก หิวก็หิว มีอะไรวุ่นวายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

ดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วได้แต่อมยิ้ม สัปดาห์นี้พี่ทาวน์ยอมย้ายสำมโนครัวมาอยู่ด้วยกันชั่วคราวด้วยเหตุผลกากๆ ของคนติดแฟน ‘ก็มันคิดถึง’ ตอนแรกเกือบโดนปฏิเสธ แต่เพราะผมโดนสาวน้อยที่คณะจีบแถมยังชวนไปกินบิงซูต่อหน้าต่อตาเลยเปลี่ยนใจ ถึงเขาจะไม่พูดตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไง หึงน่ารักชะมัด

ความคิดทุกอย่างจบลงเมื่อผมเลื่อนสายตากลับมาเจอกระดาษว่างเปล่าแผ่นใหม่ตรงหน้า ความสุขกลืนหายไปพร้อมกับสติที่แตกจนเผลอร้องโวยวายเสียงดัง ผลที่ได้คือก้อนกลมๆ ถูกขว้างเข้าเต็มหัวโดยฝีมือคนร่วมห้อง

“ทาวน์ขว้างกระดาษใส่ผมทำไมเนี่ย”
ผมลูบหัวป้อยๆ แล้วมองพี่ทาวน์ด้วยใบหน้าสงสัย เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่ลุกขึ้นแล้วก้าวมาทางนี้ จะโดยเขกกะโหลกที่ทำเสียงดังปะวะเนี่ย รบกวนการอ่านหนังสือไปแบบนั้น

“แหกปากทำไม”
จบคำถามเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้านหลังของผม ใบหน้าหล่อโน้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตรงกลางศีรษะ ถ้าหากเงยขึ้นไปจะเกิดอะไรขึ้นนะ แม่ง... ขโมยจูบสักทีดีไหม อ่อยถึงที่ขนาดนี้

“คิดงานไม่ออกครับ”
บอกเขาเสียงอ้อนก่อนจะถือวิสาสะวางหัวซบลงบนตักนิ่ม ช้อนตามองใบหน้าเรียบเฉยของคนด้านบนอย่างขอกำลังใจ แต่ได้รับกลับมาแค่การครางรับเบาๆ ในลำคอ

“พยายาม เดี๋ยวก็คิดออก กูจะไปอ่านหนังสือต่อแล้ว”
พี่ทาวน์ตบแก้มกันเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้เลิกเกาะแกะสักที แต่ผมที่ยังอยากงอแงใส่เลยดื้อไม่ยอมขยับไปไหนแถมยังซุกจมูกถูกับต้นขาขาวที่โผล่พ้นกางเกงออกมา หอมกลิ่นสบู่ฉิบหาย... อยากดมทั้งตัวเลยเว้ย

“ทาวน์ยังไม่ให้กำลังใจผมเลยนะ”
แอบจุ๊บต้นขานุ่มไปหนึ่งครั้งก่อนจะโดนแจกมะเหงกลงกลางหัวเต็มๆ พี่ทาวน์สะบัดตัวแล้วลุกหนี มองผมด้วยสายตาดุ นั่นเขินหรือโกรธแยกไม่ออกเลย

“เรื่องเยอะ”
เขาพึมพำด่าเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสืออ่านต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ทาวน์เวอร์ชั่นใส่แว่นตาโคตรน่าหลงใหล ผมเคยแอบถ่ายรูปเอาไว้เยอะแยะแต่เจ้าตัวไม่รู้ วันไหนไม่ได้อยู่ด้วยกันเวลาคิดถึงก็เอามานอนดู จูบหน้าจอโทรศัพท์บ้าง บางครั้งมีอารมณ์ก็แทบเลีย (ขอร้องอย่าด่าแรง น้องเจ็ทเป็นคนบอบบาง)

ผมเท้าคางมองพี่ทาวน์อยู่นับสิบนาทีเพราะยังคิดงานไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนสายตาดุจ้องมาทำให้ต้องรีบกุลีกุจอหาดินสอจับมันขีดๆ เขียนๆ จากตอนแรกที่โดนก้อนกระดาษปาหัว ต่อไปอาจจะเป็นกระป๋องน้ำอัดลมบนโต๊ะของพี่ทาวน์ก็ได้

ในตอนที่กำลังจะขยำกระดาษทิ้งอีกครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ดวงตาคมเหลือบเห็นสลิปเปอร์ลายหมีคุมะที่จิณณ์ซื้อให้หยุดอยู่ไม่ไกล ผมหดคอโดยอัตโนมัติเพราะคิดว่าพี่ทาวน์คงรำคาญ ก็นายภาคินเล่นเดี๋ยวฟึดฟัด เหลาดินสอ ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินวนรอบห้อง แอบสูบบุหรี่คลายเครียด ล้วนแต่ทำลายสมาธิคนอื่นทั้งนั้น

“เจ็ท”
เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อทำให้ผมยิ่งหดคอจนคางแทบชิดหน้าอก มือทั้งสองข้างยกขึ้นบังหัวเพื่อลดการกระแทก แต่ผ่านไปเกือบหนึ่งนาทีกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจริงๆ แล้วพี่ทาวน์แค่จะมาบอกว่าหิว

“เงยหน้าขึ้นมาหน่อย”
แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยอมเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะพบว่าพี่ทาวน์อยู่ใกล้กันมาแค่ไหน พูดง่ายๆ คือตาไม่สามารถโพกัสได้ มันเบลอไปหมด และคงได้กลิ่นบุหรี่ที่แอบไปสูบที่ระเบียง (นานๆ ครั้งคงไม่เป็นไร)

“ทาวน์มีอะ... อุบ”
คำถามทั้งหมดถูกหยุดด้วยริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาก่อนที่ลิ้นชื้นจะแทรกผ่านรอยแยกเพื่อเกี่ยวตวัด ดูดดุน ไล่ต้อนหาความหวาน เราสองคนแลกเปลี่ยนน้ำลายอยู่ครู่ใหญ่เมื่อเริ่มหายใจติดขัดจึงผละออกจากกัน

“อยากได้นักไม่ใช่หรือไง”
พี่ทาวน์พูดเสียงหอบแล้วยกหลังมือเช็ดคราบน้ำใสๆ ตรงมุมปาก ใบหน้าหล่อแดงระเรื่อจนอยากจะดึงลงมาจูบอีกสักรอบ ถ้ากลายเป็นคนโลภมากก็อย่าโทษกันเลย มีแฟนซึนก็แบบนี้ ปากอย่างการกระทำอย่างแต่ฟินไปยันโลกหน้าจริงๆ คอนเฟิร์ม

“ทาวน์...”
ผมครางชื่อเขาได้แค่นั้นเพราะหัวใจเต้นโครมครามอย่างหนัก ไอ้อาการหลงแฟนมันผุดเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ดในป่าเวลาฝนตกซะอีก ไม่ต้องคิดว่านายภาคินจะนอกใจเมื่อไหร่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ตกบ่วงพี่ทาวน์แบบยอมถวายชีวิตเลย

“ให้เวลาทำงานอีกสองชั่วโมง เริ่มหิวแล้ว”
พี่ทาวน์พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินกลับไปอ่านหนังสือในมุมของเขาตามเดิมโดยที่ยังไม่เลิกหน้าแดง ผมหลับตาปี๋แล้วคลี่ยิ้มกว้าง กำลังใจทะลุปรอทเลยเว้ย อีกไม่นานคงได้แบบบ้านในฝันมาครอบครองแน่ๆ

“รับทราบครับ!”
ตอบรับเสียงดังฟังชัดก่อนเอื้อมหยิบกระดาษใบใหม่ขึ้นมาทำงาน แต่ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ลอยมาจากแฟน

“แปรงฟันด้วย เหม็นบุหรี่”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนให้กันแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“อ่า...”
จะต้องรู้สึกยังไงดีวะเนี่ย เขาแค่เตือนเรื่องกลิ่นปากแต่ผมดันคิดถึงตอนจูบ ตายแน่ๆ ไอ้หมาเจ็ท มึงจะหมกมุ่นกับเรื่องพี่ทาวน์จนงานไม่เดินไม่ได้นะ!

เวลาล่วงเลยเข้าสู่บ่ายสามทำให้ผมต้องวางมือจากงานเพราะเสียงท้องร้อง ลืมไปสนิทว่าพี่ทาวน์ให้เวลาทำงานแค่สองชั่วโมง แต่เป็นเขาเองที่ไม่ทักท้วงอะไรยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างมีความอดทน นับถือจริงๆ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ทั้งหลงและรักมาก

ผมลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยก่อนจะลากสังขารเปลี้ยๆ ไปหาว่าที่หมอ โน้มตัวลงกอดรอบคอแล้วฝังจมูกลงบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา พี่ทาวน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ปัดป้อง ถือว่ายังไม่ถึงขั้นรำคาญ

“ขอโทษนะครับ ที่ทำงานเกินเวลา”
ผมบอกเสียงอ่อย วางคางลงบนไหล่กว้างก่อนจะขโมยหอมแก้มเขา พี่ทาวน์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องตามสไตล์คนซึนแห่งปี

“อืม จะแต๊ะอั๋งอีกนานไหม หิวข้าว”
พี่ทาวน์หรี่ตามองก่อนจะปิดหนังสือเล่มหนาลง ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วกอดจูบลงข้างขมับหนักๆ

“โอ๋ ปะๆ เดี๋ยวป๋าพาไปกินข้าวนะคะ”
ผมบอกเสียงทะเล้น เกลี่ยแก้มขาวเล่นพลางอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพี่ทาวน์บูดบึ้งอยากกับไปกินรังแตนที่ไหนมา

“แดกตีนกูก่อนไหม”
เสียงดุๆ มาพร้อมกับแรงฟาดที่แขนทำให้ผมต้องรีบผละออกอย่างรวดเร็ว ยืนซี๊ดปากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง คนบ้าอะไรมือหนักได้โล่

“โหดอีกแล้วแฟน”
ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ เบะปากใส่อย่างกับเด็กน้อยแถมด้วย

“มึงกวนตีนก่อนเอง”
พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วแยกเขี้ยวใส่ แต่ผมกลับมองว่ามันน่ารักมากกว่าน่ากลัวเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาต่ออีกนิดหน่อย

“กวนใจต่างหาก”
พร้อมกับส่งมินิฮาร์ทไปให้ก่อนที่หมอนอิงใบเขื่องจะลอยผ่าอากาศมาดังเฟี้ยว ยืนยันว่ามันโคตรแรง โอย ดีนะที่หลบทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนแผ่บนพื้นอย่างแน่นอน

“เจ็ท...”
เสียงแข็งแล้วเว้ย ผมควรเลิกกวนตีนกวนใจแฟนสักที ถ้ามากกว่านี้อาจจะตายได้

“ครับๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”

“เออ”

มื้อเที่ยงควบเย็นของเราจบลงที่ปิ้งย่างมังกรเขียวอ้วนตุ๊ต๊ะเนื่องจากหิวจนไส้แทบขาด ต่อด้วยไอศกรีมสเวนเซ่นชุดเอิร์ธเควก เดินย่อยอาหารด้วยการซื้อของเข้าบ้านเพราะตู้เย็นโล่งจนพี่ทาวน์บอกว่าเสียบปลั๊กไว้ก็เปลืองไฟเปล่าๆ พรุ่งนี้ก็เลยกะว่าจะทำอาหารกินตั้งแต่เช้ายันค่ำ เอาให้เบื่อฝีมือผมกันไปเลย

ผมทำตัวเป็นแฟนที่ดีด้วยการขันอาสาเข็นรถแล้วให้พี่ทาวน์เป็นคนเลือกว่าอยากกินเมนูอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องสลับตำแหน่งกันเพื่อความสะดวกในการหยิบจับของที่ต้องการ เขาบอกว่าจะให้คนที่ไม่เคยทำอาหารเลือกวัตถุดิบคงเป็นไปไม่ได้ ก็จริง เมื่อก่อนจิณณ์ก็จะเป็นคนจัดการเองทุกอย่างเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันย้ายไปอยู่กับผัว แค่กๆ แฟนแล้ว ก็เลยห่างจากหน้าที่นี้ไป

“อยากกินอะไรครับ”
ผมถามเมื่อเราหยุดตรงที่แผนกของสด ไม่ว่าจะเป็นผักหรือเนื้อ อาหารทะเล รวมไปถึงผลไม้ พี่ทาวน์ไม่ตอบกลับในทันทีแต่เอื้อมมือหยิบลูกพีชขึ้นมาดูแล้ววางลง ทำแบบนี้อยู่สองสามรอบก่อนส่ายหัวดิกเป็นเชิงปฏิเสธ

“กูคิดไม่ออก อยากทำอะไรก็ทำ”
พี่ทาวน์ไหวไหล่อย่างคนไม่เรื่องมาก แล้วเดินหนีไปทางตู่แช่เย็นที่มีบรรดาโยเกิร์ตและนมหลากหลายรสชาติอยู่ในนั้น ผมยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างพลางคิดถึงเรื่องอกุศล อยากทำอะไรก็ทำเหรอ หึหึ เข้าทางล่ะ

“งั้นกลับคอนโดครับ”
ทำเสียงตัวปกติ ใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งจะได้ดูโปรฯ พี่ทาวน์คงจับไม่ได้ว่าลึกๆ มีบางอย่างแอบแฝงอยู่

“ไหนว่าจะซื้อของ”
พี่ทาวน์เอียงคอมองด้วยความสงสัย คิ้วสวยขมวดจนเกือบเป็นปม มือที่ถือถังโยเกิร์ตไซส์ยักษ์หยุดชะงัก ผมคลี่ยิ้มหวานตอบแล้วโน้มตัวลงเพื่อกระซิบข้างใบหู

“ก็อยากกินทาวน์”
ผมแกล้งพ่นลมหายใจใส่เบาๆ ก่อนผละออกมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่โดยไม่สนว่าจะโดนคนอื่นมอง เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง มีแฟนคลับคู่เจ็ททาวน์คอยสนับสนุนเป็นอย่างดี ส่วนคนที่เกลียดพวกเราก็ช่างเจสอย่าเอามาคิดให้บั่นทอนจิตใจ

“เดี๋ยวกูเอาถังโยเกิร์ตปาหัวแม่ง”
พี่ทาวน์กัดฟันกรอดแล้วยกถังโยเกิร์ตขึ้นอย่างที่พูด ไอ้คนกากอย่างผมเลยสละรถเข็นแล้วถอยหลังหนีไปไกลหลายก้าว ส่งยิ้มแห้งให้แล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ จะไม่เล่นแบบนี้แล้วค่ะแฟน ~

“ล้อเล่นจ้า งั้นมื้อเช้าเอาเป็นหมี่ซั่วน้ำหมูสับแล้วกันเนอะ”
ผมพาเขาเปลี่ยนเรื่องเผื่อจะช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดในครั้งนี้ พี่ทาวน์ส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนพยักหน้ารับโดยไม่ทักท้วงอะไร

“ติดใจมาจากภูเก็ตว่างั้น”
ที่เขาถามแบบนั้นก็เพราะ ‘หมี่ซั่ว’ คืออาหารพื้นเมืองของจังหวัดภูเก็ต น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ก๊วนเรามีพี่แฮมนักแดก แค่กๆ ซะอย่าง ไม่มีพลาดแน่นอน รสชาติคล้ายๆ แกงจืดบ้านเรานั่นล่ะ แต่ผมว่ามันอร่อยกว่านะ

“ก็มันอร่อย”
ฉีกยิ้มแป้นเหมือนเด็กห้าขวบที่เจอของกินถูกใจ

“สู้กูไม่ได้หรอก”
หือ ผมได้ยินพี่ทาวน์พึมพำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า หูหาหื่นตลอดเลยกู

“ห๊ะ ทาวน์ว่าอะไรนะครับ”


“อยากกินข้าวต้มแห้ง”
พี่ทาวน์บอกเสียงดังฟังชัดก่อนจะหมุนตัวแล้ววางถังโยเกิร์ตลงในรถเข็น ออกเดินลิ่วๆ กลับไปยังทางอาหารสดโดยไม่สนว่าผมตามไปหรือเปล่า แค่บอกว่าอยากกินข้าวต้มแห้งทำไมต้องหูแดงด้วยวะคนเรา แปลกจริงๆ

“อ้อ ได้ๆ งั้นไว้เป็นมื้อเย็นเนอะ แล้วมื้อเที่ยงกินอะไรกันดี”
ผมรีบเข็นรถเร็วๆ เพื่อตามพี่ทาวน์ให้ทันแล้วพูดเสียงเจื้อยแจ้วเรื่องเมนูอาหารต่อ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะช่วยคืดสิ่งที่อยากกิน

“กะเพราหมูสับกับไข่เจียว”
เมนูอาหารจากปากแฟนทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ เพิ่งกินไปเมื่อวานเอง พรุ่งนี้ก็จะกินอีกเหรอ แต่ไม่เป็นไร ตามใจพี่ทาวน์อยู่แล้ว

“โอเคครับผม!”

พวกเรากลับมานั่งเข้ามุมอย่างเคยหลังจากอาบน้ำกันเรียบร้อย เสียงเปิดหนังสือกับเสียงดินสอขีดเขียนช่างคล้องจองกันจนต้องเผลอยิ้มออกมา ถึงจะไม่ได้พูดคุยแต่อุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ใกล้ๆ

แบบบ้านหลังน้อยของผมดำเนินไปได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นโดยไม่ขยำกระดาษทิ้งอีกเลย ส่วนพี่ทาวน์อ่านชีททบทวนเป็นรอบที่สอง ตอนที่กำลังจะหันไปถามเขาว่าจะเอานมอุ่นสักแก้วไหมเพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้วคงหิวเอาเรื่อง แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเรียกเข้าของโทรศัพท์

Rrrrr

ชื่อหน้าจอที่แสดงทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง ดึกปานนี้แล้วพี่ฟามีธุระอะไร หรือมีปัญหาเรื่องไอ้ฟาร์มไม่ยอมกลับบ้าน (สองคนนั้นลงเอยกันเรียบร้อย ขึ้นเตียงก่อนเป็นแฟนซะอีก ไม่ใช่ไอ้ฟาร์มเป็นคนรุกนะ พี่ฟาโน่น อ่อยแถมยังเริ่มก่อน แจ่มไหมล่ะ)

“ครับพี่ฟา”
ผมกรอกเสียงตามปกติลงไปแล้ววางดินสอในมืออีกข้างลงถือเป็นการพักไปในตัว เหลือบมองพี่ทาวน์เล็กน้อยก็พบว่ารายนั้นยังอยู่ท่าเดิม ขยันสมเป็นว่าที่หมอจริงๆ

‘เปิดประตูหน่อย’

“ห๊ะ อะไรนะครับ”
ผมมัวแต่ภูมิใจในตัวแฟนเลยไม่ทันได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด อะไรเปิดๆ วะ งง

‘กูอยู่หน้าห้องมึง เปิดประตูที’
คราวนี้พี่ฟาแน่นชัดทุกคำจนผมเกือบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เสียงดังทะลุออกมาด้านนอกจนพี่ทาวน์ถึงกับหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เฮ้ย พี่มาทำอะไรเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบพี่ทาวน์แต่ส่งยิ้มให้แทนแล้วถามพี่ฟากลับ มีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องบุกห้องคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ด้วยวะ ไม่คิดว่าจะเข้านอนแล้วหรือไง

‘ติวดิ ไอ้แฮมก็มาด้วยกัน’
ได้ยินเสียงทักทายจากพี่แฮมแว่วเข้ามาเป็นการยืนยัน ทุกอย่างพังหมด อุตส่าห์แพลนจะออกกำลังกายยามดึกกับพี่ทาวน์สักหน่อย ทำไมต้องมีมารผจญด้วยวะ ยอมไม่ได้!

“เดี๋ยวๆ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ปะ”
ห้าทุ่มนะพี่ ควรกลับไปป้อนนมไอ้ฟาร์มแล้วตบตูดกล่อมมันหลับมากกว่า อย่ามาขัดความสุขน้องเลย ขอร้อง!

‘โต้รุ่งครับคืนนี้ รีบๆ มาเปิดเลย!’
อยากจะกรี๊ดให้ผนังห้องร้าวเพราะปลายสายทำเสียงขมขู่

“พี่จะมาขัดเวลาเข้าหอไม่ได้นะเว้ย”
ผมลดเสียงลงเพราะกลัวพี่ทาวน์จะได้ยินก่อนใช้มืออีกข้างนวดขมับเพื่อบรรเทาความเครียด โอย งานก็ยังไม่เสร็จ อารมณ์ก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย มีอะไรเลวร้ายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

‘เรื่องมึงสิ เด้าหมอนไปเถอะ ถ้ายังไม่ยอมเปิดประตูกูจะฟ้องไอ้ทาวน์ว่ามึงจะปล้ำมันคืนนี้’
โอ้โห ผมนี่ลุกขึ้นยืนอย่างไว สลิปปงสลิปเปอร์ไม่ต้องใส่แม่งแล้ว

“โอย ขอเถอะ ผมเปิดให้ก็ได้”
ผมกดตัดสายแล้วสาวเท้าฉับๆ ตรงไปยังประตูห้อง แต่โดนเสียงทุ้มรั้งเอาไว้ซะก่อน

“คุยกับใคร”

“พี่ฟาครับ”
ผมตอบไปตามความจริง โกหกไปก็เท่านั้น

“หืม โทรมาทำไม”

“บอกว่าอยู่หน้าห้อง จะมาติว ให้ผมไปเปิดประตู”

“อ๋อ ไปเปิดสิ”
สีหน้าพี่ทาวน์ไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่วิเคราะห์จากบทสนทนาเมื่อครู่เขาคงไม่ได้นัดเพื่อนให้มาที่นี่ แต่ก็ยังเต็มใจเปิดครอสติวให้ ช่างมีน้ำใจปานนางสาวไทย ผมขอร้องไห้ได้ไหมล่ะ

“ทาวน์... ไล่เพื่อนกลับไปไม่ได้เหรอครับ อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนอะ”
ผมเริ่มออกอาการงอแงแล้วตรงเข้าไปกอดรอบคออีกคนจากทางด้านหลัง ใช้จมูกดุนดันตรงซอกคอเป็นการอ้อน เผื่อว่าพี่ทาวน์จะเห็นใจแล้วบอกเพื่อนให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่เปล่าเลย คำตอบมันช่างบาดใจ

“ใกล้สอบแล้วมึงต้องเข้าใจ”

“ผมเข้าใจนะ แต่นี่มันดึกแล้ว จะติวก็ค่อยมาพรุ่งนี้สิ”
นายภาคินไม่ยอมแพ้ เรื่องเวลาก็เป็นส่วนสำคัญในการติว ดึกๆ ต้องพักผ่อนไม่ใช่หรือไง

“ถ้างั้นกูย้ายกลับคอนโดตัวเอง จะได้ไม่รบกวนมึง”
ประโยคถัดมาทำให้ผมตัวชาตั้งแต่หัวจรดเท้า มือที่เคยกอดรอบคอถูกคลายออกช้าๆ ดวงตาคมสั่นระริก พยายามอ้อนขอให้มานอนด้วยกันแทบตาย แต่เขาจะกลับเพราะมีเรื่องเพื่อนเข้ามาน่ะนะ ควรรู้สึกยังไง

“.....”

“เจ็ท...”
พี่ทาวน์ครางเรียกชื่อกันเสียงเบา มือเรียวเอื้อมมาหาแต่ผมกลับเบี่ยงตัวหลับก่อนจะตอบกลับไป

“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้”

ผมย้ายตัวเองเข้าห้องนอน ทำใจไว้แล้วว่าคืนนี้คงไม่มีคนให้กอด ความน้อยใจถาโถมจนเผลอแสดงอาการเย็นชาใส่พี่ทาวน์ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเกลียดกันหรือยัง ส่วนงานก็ไม่ขยับ หัวสมองว่างเปล่า ทำได้แค่นั่งมองท้องฟ้ายามราตรีผ่านบานกระจก ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้

ผมมันแย่ ผมรู้ตัว แต่ทำไมถึงแก้นิสัยแบบนี้ไม่ได้กันนะ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงปลายเตียง ดีแค่ไหนที่ไม่ล้มกลิ้งบนพื้น นอนแผ่มองเพดานอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน

เมนูแรกของวันคือหมี่ซั่วที่ผมต้องเปิดสูตรหาจากอินเตอร์เน็ต นานๆ ครั้งเข้าครัวก็มีงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ได้อาหารเช้ากลิ่นหอมหน้าตาน่ากินมาจนได้ รสชาติก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี ขั้นตอนต่อไปคงต้องปลุกคนอื่นๆ ทั้งที่ในใจอยากกลับเข้าห้องมากเพราะยังรู้สึกแย่กับคำพูดของพี่ทาวน์

เสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกเกร็ง พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร เช้าขนาดนี้ก็มีแค่พี่ทาวน์ที่ตื่นไหว เนื่องจากคนอื่นมีเวลานอนเท่าไหร่ก็จัดไปเต็มที่ทุกที

“ผมเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ทุกคนแล้วนะ”
ผมบอกโดนที่ไม่หันไปมองแล้วปิดเตาก่อนจะผละตัวออกมาจากหม้อหมี่ซั่ว เปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมจืดขวดใหญ่ เช้านี้คงทรยศความอยากกินของตัวเองด้วยการดื่มนม

“อืม แล้วมึงจะไปไหน”
พี่ทาวน์ถามในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าหนีไปจากตรงนี้

“ทำงานต่อครับ”

“เดี๋ยวก่อน”
เขารั้งข้อมือกันเอาไว้ พวกเราสบตากันโดยไม่มีใครยอมใคน ผมเห็นความไม่มั่นใจของพี่ทาวน์ คงคิดไม่ตกกับเรื่องเมื่อคืน

“ครับ”

“โกรธเหรอ”
น้ำเสียงอ่อนลงจนผมเผลอเม้มปากแน่น ความรู้สึกข้างในกำลังตีรวนผสมปนเปไปหมด ต้องทำยังไงดี

“เปล่าครับ ขอตัวนะ”
ผมทำได้แค่ยิ้มบางก่อนจะแกะมือของพี่ทาวน์ออกช้าๆ โดนหนีบขวดนมไว้กับแขน

“เจ็ท... ตั้งใจทำงานนะ”
เขาเว้นวรรคประโยคเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็กลายเป็นคำให้กำลังใจธรรมดาๆ ที่ผมเคยชอบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแย่

“ครับ”

ผมเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว รู้ตัวว่างี่เง่าแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ความรู้สึกแม่งโคตรเหี้ยจริงๆ เข้าใจว่าใกล้ช่วงสอบ เรื่องติวก็สำคัญ แต่ผมดันอยากได้เวลาจากพี่ทาวน์ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันทั้งวัน ชีวิตมนุษย์ไม่รู้จักคำว่าพอจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ

ควรเตรียมคำพูดขอโทษกับการกระทำโคตรงี่เง่าของตัวเองไว้ เจอหน้ากันอีกครั้งจะได้เข้าใจกันสักที

เวลาผ่านไปนานเท่าที่จะรู้สึกหิวอีกครั้ง ผมวางมือลงเมื่องานถึงแปดสิบเปอร์เซ็น บิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบสะสมจากการนั่ง ดวงตาคมเสมองไปที่ประตูแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงคนที่อยู่ด้านนอก ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อสร้างความกล้า แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง ไม่มีใครนอกจากพี่ทาวน์หรอก

ก๊อกๆ

“ครับ”
ผมเปิดประตูออกไปก็เจอพี่ทาวน์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นของผม ตอนนี้ความน้อยใจทั้งหมดแทบหายจนหมด ทำไมต้องทำตัวแบบนี้นะคนเรา ง้อโดยไม่มีคำพูดอะไร บ้าเอ๊ย หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน

“จะบ่ายโมงแล้ว”
เขาเกริ่นแค่นั้นทำให้ผมคิดไปเองว่าโดนทวงอาหารมื้อเที่ยง จากที่ดีใจกลายเป็นห่อเหี่ยวเข้าโหมดทะมึนอีกครั้ง ทั้งที่จะขอโทษแต่ปากกลับพูดไม่ออก

“อ๋อ ขอโทษทีครับ เดี๋ยวจะรีบเตรียมมื้อเที่ยงให้เนอะ”
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อออกไปด้านนอก แต่พี่ทาวน์กลับจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น มองกันด้วยสายตาที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึก

“ไม่ต้อง จะมาถามว่าหิวหรือยัง”

“ทำงานเพลินจนลืมหิวไปแล้วครับ”
ผมโกหกคำโตเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นห่วงกันบ้างหรือเปล่า

“กู... ทอดไข่ดาวไว้ให้ หวังว่าคงกินได้”
เสียงพูดอ้อมแอ้มกับสัมผัสที่คลายออกทำให้ผมเบิกตากว้างเพราะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้าครัวกลับลงมือทอดไข่ดาวไว้ให้ผมกิน บ้าไปแล้ว... นี่กูกำลังทำตัวโคตรเหี้ยใส่แฟนอยู่ใช่ไหมวะ

“ทาวน์...”

“กูขอโทษที่พูดว่าจะกลับคอนโดเมื่อคืนนี้”
พี่ทาวน์เป็นฝ่ายขอโทษก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมรีบส่ายหัวรัวๆ เพื่อปฏิเสธมัน เขาไม่ผิดสักหน่อย ทำไมเรื่องเป็นแบบนี่ไปได้

“ผมต่างหากที่งี่เง่า ขอโทษนะครับ”
ดึงอีกคนเข้ามากอดแล้วลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะรู้สึกขนาดนี้ ตาแดงก่ำราวกับอยากร้องไห้เต็มแก่

“อืม อย่าคิดมาก กูแค่ไม่อยากกวนมึง แต่ลืมคิดไปว่ามึงก็อยากอยู่ด้วยกัน”
พี่ทาวน์ตบหัวผมปุๆ คล้ายกับการปลอบเด็กน้อย มันทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวในตอนแรกกลับมาพองฟูอีกครั้ง เขาก็แค่หลงลืมบางอย่าง แต่ไม่ได้ละเลย

“ไม่เป็นไรครับทาวน์ ผมแย่เอง จะพยายามปรับปรุงตัวนะ”
กระชับกอดคนในอ้อมแขนมากขึ้น พี่ทาวน์ก็ทำไม่ต่างกัน

“อืม กูก็จะพยายามใส่ใจมึงมากกว่านี้”
โธ่... คนดีของผม

“ครับ นี่ติวกันไปถึงไหนแล้ว”
ผมผละออกแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ว่าถ้ายังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนอาจจะเถียงกันจนทะเลาะใหญ่โตก็เป็นได้

“หึ ไอ้ฟากับไอ้แฮมกลับไปแล้ว”
พี่ทาวน์ก็เหมือนจะเข้าใจในการกระทำของผมเลยหัวเราะเสียงต่ำแล้วไหวไหล่ให้กับความว่างเปล่าทางด้านหลัง ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเราสองคนอีกแล้ว ทำไม...

“อ้าว...”
ผมเกาหัวแกรกๆ ขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือทุกคนเอือมกับคนกากๆ จนหนีหายกันไปหมด

“มันบอกให้กูมาง้อ ‘สามี’ ซะ เห็นทำหน้าเหมือนหมาหงอยแล้วทนไม่ได้”
ห๊ะ เดี๋ยวนะ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย

“ทาวน์เรียกผมว่าอะไรนะ”
ต้องถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าไอ้คนที่ขอสงวนคำว่าเมียเนี่ยกล้าเรียกผมว่าสามีจริงๆ เหรอวะ หูฝาดไปแน่ๆ แม่ง สงสัยต้องหาสำลีปั่นสักหน่อย

“ไม่ใช่กู พวกนั้นต่างหาก”
อยากจะถามว่าถ้าพี่ไม่เอนเอียงตามเพื่อนจะกล้าพูดคำว่าสามีต่อหน้าผมเหรอ แต่ยั้งปากไว้ดีกว่าเพราะไม่อยากโดนกระทืบตายซะก่อน

“กำลังจะฟินอยู่แล้วเชียว”
แกล้งทำหน้ามุ่ยหวังว่าเขาจะเรียกสักครั้งให้ชื่นใจ แต่กลายเป็นว่าถูกหัวเราะเสียงต่ำใส่ โธ่ มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ สินะตัวกู

“หึ ออกมาทำงานข้างนอกเถอะ”
เหงาล่ะสิ ทำเป็นชวนคนอื่นเขา น่ารักจริงๆ เลยแฟน

“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปขนอุปกรณ์ออกมาเนอะ”
ผมหมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่อโกยอุปกรณ์ทำงานแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงคนด้านหลังดังขึ้น

“อืม อย่าขี้งอนนักนะ ‘คุณสามี’ กูขี้เกียจง้อ”
มันแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจนจนเผลอมือสั่น ร่างกายร้อนวูบไปทั้งตัวจนอยากแก้ผ้า ตายแน่ๆ ทาวน์แอทแทคขนาดนี้ต้องรู้สึกดีใจขนาดไหนวะ โอ๊ย แม่จ๋าพ่อจ๋าเตรียมสินสอดสิบล้านมาขอลูกสะใภ้ที ไม่ไหวแล้วเว้ย อยากบินไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศด้วย จะเอา จะเอา คนนี้!

“โอย ผมจะบ้า”
พึมพำได้แค่นั้นก็หมุนตัวกลับมาขโมยหอมแก้มพี่ทาวน์หนักๆ ไปหลายครั้ง หัวใจจะวายแล้วเว้ย

“อะไร”
พี่ทาวน์ปัดป้องยกใหญ่เมื่อมือของผมเริ่มอยู่ไม่สุก เกือบโดนเสยปลายคางแล้วถ้าผละออกมาช้ากว่านี้ เสียบวาบเลยกู

“ทาวน์แม่ง ทำไมน่ารักแบบนี้”
ยอมรับว่ามันเขี้ยวจนต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเพื่อไม่ตรงไปฟัดเขาในตอนนี้ ท่องไว้สิวะว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงวัน

“ชอบไม่ใช่เหรอ”
มือเรียวเอื้อมมาประคองแก้มทั้งสองข้างของผม เราสบตากัน สื่อความรู้สึกทุกอย่างผ่านทางนั้น

“ชอบสิครับ แต่ถ้ามันฝืนตัวเอง ทาวน์ก็ไม่ต้องทำนะ”
ผมวางมือทาบทับลงในตำแหน่งเดียวกันก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ถึงจะชอบพี่ทาวน์โหมดน่ารัก ปากตรงกับใจ แต่อะไรก็ไม่ดีไปกว่าการที่เขาเป็นตัวของตัวเอง นายภาคินรักนายเมืองเหนือที่ตรงนั้นล่ะ

“หึ กูทำตัวแบบนี้กับคนที่เป็นแฟนเท่านั้นล่ะ รู้เอาไว้ว่ามันเป็นความเต็มใจ ไม่ใช่การฝืนแสดงออกให้มึงมาหลงรัก เข้าใจไหม”
อยากตะโกนให้ก้องโลกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้คนอย่างพี่ทาวน์เป็นแฟน ขอบคุณที่วันนั้นเขาตกลงปลงใจคบกับผมไม่ใช่คนอื่น รัก รักที่สุด

“รักทาวน์มากขึ้นอีกแล้วครับ”
ก็ไม่รู้หรอกว่าการบอกรักสำครับคู่อื่นมันต้องน้อยหรือมากขนาดไหนที่จะเหมาะสมและพอดีจนไม่น่าเบื่อเกินไป แต่สำหรับผมกับพี่ทาวน์แล้วนั้น เวลาไหนอยากพูดก็พูด เพราะคำว่า ‘รัก’ ได้ยินทีไรก็รู้สึกดีทุกครั้ง

“หึ เหมือนกัน เด็กโง่ของพี่ทาวน์”
อ่า อย่าน่ารักเรี่ยราดแบบนี้ได้หรือเปล่า อยากจะปั้นตัวพี่เป็นก้อนกลมๆ แล้วยัดใส่ปากกลืนลงท้องจริงๆ ไม่อยากให้ใครพบเจอเลย

เขาเรียกผมว่าเด็กโง่ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นจะยอมเป็นหมาโกลเด้นโง่ๆ ให้เลี้ยงตลอดไปเลยแล้วกัน



---------------------------------------

เจ็ทก็ยังเป็นเจ็ท ทาวน์ก็ยังเป็นทาวน์
หวานไม่มาก แต่รักกันมากนะจ๊ะ.. 5555555

ตอนต่อไปจะเห็นความน่ารักของพี่ทาวน์เพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
น่ารักแบบซึนๆ น่ะนะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้น้า อีกสองตอนจะจบแล้ว
มารอเจ็ททาวน์ออกมาในรูปแบบหนังสือไปพร้อมๆ กันนะ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งุ้ยยยยย งั้ยยยยยยยย :impress2:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 o18 o18 :-[ สามีภรรยา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งที่ 39




การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของคนที่แต่ละวันหมดเวลาไปกับการเรียนและตำราเล่มหนา วันนี้เขากลับตรงมาบอกว่าอยากทำอาหารเป็นให้ผมช่วยสอนหน่อย แค่เมนูง่ายๆ ก็ได้ แต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร ไม่ว่าจะไปถามใคร คำตอบคือ ‘ไม่รู้’ หรือ ‘มันคงเครียดเรื่องเรียนเลยหาทางระบาย’ เอาวะ เลยตามเลยก็แล้วกัน

ช่วงเช้าของวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอวลของความรัก ผมมองใบหน้ายามหลับของพี่ทาวน์ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกให้รู้ว่าเขายังคงอยู่ในนิทราหวานๆ ตื่นนอนแล้วเจอคนที่เรารักมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก รู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น และมีความสุข

เขาขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วซุกใบหน้าลงบนอกแกร่ง ดวงตารีปรือขึ้นมองกันก่อนจะปิดลงอีกครั้ง มีใครหลายคนบอกว่าตอนแฟนงัวเงียน่ารักโคตรๆ ซึ่งมันก็จริง แถมยังน่าฟัดอีกต่างหาก บ้าจริง ผมคิดว่าตอนเช้ากับการที่น้องชายเคารพธงชาติมันเป็นเรื่องปกติแต่ไอ้หื่นตลอดเวลาคงเป็นเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่สามารถรักษาได้ตราบใดที่ยังรักพี่ทาวน์อยู่

“มองทุกวันไม่เบื่อหรือไง”
เสียงแหบๆ ติดอู้อี้ดังขึ้นเพราะเขาฝังจมูกลงกลางอกของผม มือเรียวไร้ไปตามลายสักอย่างแผ่วเบา หลังจากเสร็จกิจเมื่อคืนยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น ต้องข่มใจขนาดไหนวะ ถึงจะนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนได้ โอย

“มองแฟนไม่มีเบื่อหรอกครับ”
ผมหยอดไปตามประสาคนที่อยากให้แฟนเขิน ทั้งที่รู้ว่าผลสุดท้ายพี่ทาวน์คงหน้านิ่งใส่เหมือนเดิมและเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ครั้งนี้เขากลับนิ่งก่อนจะช้อนตาเยิ้มๆ มองกันจนรู้สึกหวิวในช่องท้อง ยั่วไม่ยั่ว โปรดแถลงไข

“ปากหวาน”
นิ้วเรียวถูกไล้ไปตามกลีบปากหยักอย่างแผ่วเบา บางครั้งถ่ายน้ำหนักกดคลึงจนรู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพี่ทาวน์ยังไม่หยุดแกล้งกันแบบนี้ ผมจะไม่ทนแล้วนะ ไม่สนด้วยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างด้วย

“อยากชิมเหรอ”
ผมถามจบแล้วอ้าปากงับนิ้วเรียว ดูดดุนเบาๆ เพื่อทำให้อีกคนมีอารมณ์ร่วม แต่ไม่ถึงสิบวินาทีพี่ทาวน์ก็กระตุกนิ้วออกไปพลางมองกันด้วยหางตา

“หึ เหม็นน้ำลายบูด”
เขาไม่พูดเปล่ายังเอามือชุ่มน้ำลายป้ายลงบนแก้มของผมเป็นการเช็ดทำความสะอาด แถมส่งท้ายด้วยการกระตุกยิ้มพร้อมยักคิ้วกวน ทุกอย่างเป็นอันจบเฮ ไม่ได้คร่อม ไม่ได้กิน

“โธ่ หมดกันความโรแมนติก”
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วนอนมองเพดานอย่างหมดหวัง ขณะที่จะปิดเปลือกตาลงเพื่อหลับอีกครั้งกลับมีเงาดำทาบทับลงมาพร้อมด้วยสัมผัสหนุ่มหยุ่นตรงริมฝีปากเพียงเสี้ยววินาที แต่เท่านั้นกลับทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว

จุ๊บ

เสียงนั่นยิ่งทำให้รู้ว่าคนที่เขินน่ะ มันตัวผมเองต่างหาก โธ่เว้ย แพ้ทางนายเมืองเหนือทุกครั้งจริงๆ

“จะออกไปวิ่งนะ”
น้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมั่นไส้เอ่ยบอกพร้อมกับร่างสูงที่ดีดตัวขึ้นจากเตียง บิดตัวทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ผมคว้าหมับเข้าที่เอวสอบแล้วซุกหน้าลงบนซอกคอขาว กลิ่นตัวที่ไม่สามารถบรรยายได้แต่กลับดึงดูดนี่มันสุดยอดจริงๆ ทั้งหลง ทั้งรัก จนโง่หัวไม่ขึ้นแล้ว

“เดี๋ยวสิครับ ทำแบบนี้แล้วคิดจะหนีเหรอ”
ผมกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือหนาเริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้หน้าท้องที่มีมัดกล้ามเนื้อสวย วนนิ้วรอบสะดือจนไล่ต่ำไปจนถึง... หมับ

“แบบไหน”
พี่ทาวน์คว้าข้อมือกันไว้แน่นก่อนที่มันจะจับโดนของสงวน น้ำเสียงช่างสั่นเครือบ่งบอกให้รู้ว่าเขาก็เริ่มมีอารมณ์แล้วเหมือนกัน แต่อย่างว่าแฟนผมใจแข็ง ถ้าไม่ก็คือไม่ ปล้ำก็ได้แต่โดนตีน

“ก็เมื่อกี้ไง จุ๊บๆ น่ะ”
ผมทำเสียงจุ๊บๆ เลียนแบบเหตุการณ์เมื่อครู่ กำลังจะกดปากลงบนซอกคอขาวเพื่อทบทวนความจำแต่กลับโดนมือเรียวผลักหัวจนคอแทบเคล็ด รุนแรงกว่านี้ได้อีกเยอะจ้าแฟน

“แล้วไง”
แข็งยิ่งกว่าเพชรก็พี่ทาวน์นี่ล่ะ

“ผม ‘อยาก’ น่ะสิครับ”
หน้าด้านกว่าปูนซีเมนต์ก็ไอ้เจ็ทนี่ล่ะ

“ไปเตะบอลสิ”
คำตอบช่างเรียบนิ่งเหมือนแนะนำให้ผมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เอาจริงนะ เคยได้ยินมานานแล้วว่ามีเซ็กซ์ให้ไปเตะบอล คือมันช่วยได้จริงเหรอ งงในงง

“มันช่วยได้จริงเหรอวะพี่”
คำถามพาซื่อหลุดออกจากปากทำให้คนในอ้อมกอดถึงกับหลุดขำจนไหล่สั่น เขาพลิกตัวมาเผชิญหน้ากันก่อนที่มือเรียวจะตบลงบนแก้มอย่างหยอกล้อ

“หึ กูว่ามือน่ะช่วยมึงได้แน่ๆ บาย”
แล้วพี่ทาวน์ก็ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนผมที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับคว้าได้แต่อากาศ ล้มหน้าคะมำไถไปกับเตียงนอน แม่ง เจ็บจมูกฉิบหาย!

“อย่าหนีสิครับ!”
แสบนักนะทาวน์ เดี๋ยวนี้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วย ถ้าจับได้เมื่อไหร่ ยับแน่!

หลังจากที่ปล่อยพี่ทาวน์ไปวิ่งส่วนผมก็เตรียมมื้อเช้าตามประสาพ่อบ้านที่ดี เมนูวันนี้เป็นอะไรที่กินง่ายอย่างโจ๊กไข่ขาวไก่ฉีกแคลอรี่ต่ำ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าน้ำหนักของเราทั้งคู่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีเวลาออกกำลังกายเท่าที่ควรเนื่องจากต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพราะใกล้สอบปลายภาคเรียนแล้ว

ผมตักโจ๊กไข่ขาวใส่ถ้วยก่อนจะโรยหน้าด้วยไก่ฉีก ไข่ลวก ต้นหอม ผักชี และพริกไทยดำป่น เตรียมพร้อมสำหรับมื้อเช้า แค่รอให้พี่ทาวน์อาบน้ำเสร็จเท่านั้น

ระหว่างที่นั่งรอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอัพเดทข่าวสารบ้านเมืองตอนนี้ แจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นแชทเด้งขึ้นมาเป็นอย่างแรก ผมจิ้มอ่านข้อความนั้นก่อนที่จะต้องส่ายหัวให้กับความบ้าบิ่นของฝาแฝด

Phokin
วันนี้จะรุกไอ้ไธ มึงเป็นกำลังใจให้กูหน่อย


จิณณ์บอกแบบนี้เป็นรอบที่ล้าน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นลุกขึ้นมารับให้ไอ้ไธทุกที ทั้งที่เพื่อนผมมันยอมทุกอย่างได้อยู่แล้ว

Phakin
รุกอะไรของมึง


แกล้งโง่พิมพ์ถามไปแบบนั้นก่อนจะกดเข้าไอจีบ้าง ช่วงหลังๆ มานี่แทบไม่ได้อัพรูปอะไรเลย ล่าสุดคงเป็นตอนที่คบกับพี่ทาวน์ใหม่ๆ

ครืด ~

เสียงโทรศัพท์สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าทำให้ผมละความสนใจจากไอจีแล้วกดสลับแอพกลับไปที่เก่า อ่านสิ่งที่พี่ชายส่งมาแล้วได้แต่หัวเราะก๊าก คราวนี้ผิดคาดกับคำตอบสุดๆ

Phokin
รุกอ่อย ให้ผู้ชายคร่อม พอใจยัง!


วันนี้ยอมรับสภาพตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิด้วยเว้ย

Phakin
ลืมกินยาเหรอ ปกติเห็นอยากเป็นผัวไอ้ไธจะตาย


ผมรู้ว่าปากมันก็พูดไปอย่างนั้นเพราะโดนเพื่อนล้อว่าหล่อซะเปล่าแต่ดันกลายเป็นเมียคนอื่น เดี๋ยวนี้คนจะรุกหรือรับมันไม่ได้มองกันที่หน้าตาแล้ว เขาวัดกันที่ลีลาบนเตียงน่า พวกหัวโบราณเอ๊ย

Phokin
ได้ที่ไหน! ตอนนี้หาเวลาว่างให้กูได้คุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราวก่อนเถอะ จะผัวจะเมียก็เอาทั้งนั้น


อันนี้เขาเรียกคิดถึงหรืออดอยากวะ... ผมไปไม่เป็นเลย

Phakin
มัวแต่คุยกับกูอยู่ เสียเวลาไปตั้งเท่าไหร่แล้วจิณณ์ ผัวมึงจะปั่นงานอีกแล้วมั้ง

Phokin
ไอ้เจ๊ก ขอให้มึงอดกินพี่ทาวน์ตลอดชาติ!


มึงไม่แช่งกูก็นกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเว้ย เจ็บ จุก อยากร้องแต่ทำได้แค่เสียใจเบาๆ ฮึก (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนก็จัดหนักจัดเต็มไปตั้งสองรอบแล้วนี่)

ผมเลิกสนเรื่องจิณณ์หลังจากที่พี่ทาวน์เดินเข้ามาในครัวพร้อมกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดัง อยากเข้าไปซุกไซร้ให้หนำใจแต่ทำได้แค่ยิ้มรับแล้วแนะนำเมนูอาหารของวันนี้ก่อนจะลงมือกินอย่างเงียบๆ จนถ้วยเกลี้ยง แสดงว่าอร่อยจริงจัง ปลื้มใจ ~

เพราะวันนี้เจ้าของห้องคือพี่ทาวน์หน้าที่ล้างจานเลยตกเป็นของเขาโดยปริยาย ผมมองแผ่นหลังกว้างนั่นก่อนจะยกยิ้มให้กับจินตนาการในสมอง ถ้าหากวันหนึ่งเราทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกวันก็คงดี

ตื่นมาก็เจอเขาเป็นคนแรก ก่อนนอนก็เจอเขาเป็นคนสุดท้าย สุขยิ่งกว่าสุขซะอีก ว่าไหม

“วันนี้อยากทำเมนูอะไรครับ”
ผมเอ่ยถามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กันบนโซฟา เขาเอียงคอมองเล็กน้อย ขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด อยากทำอะไรกับอยากกินอะไรคือสิ่งที่ตอบยากที่สุดในชีวิตรองลงมาจากข้อสอบวัดผลแล้ว

“อืม... ไก่ทอดเกาหลี”
แอดวานซ์ไปอีก แต่ไม่มีอะไรที่นายภาคินคนนี้ทำไม่ได้

“โอเคครับ แต่เราต้องออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ ซื้อปีกบนกับปีกกลาง”
จริงๆ แล้วถ้าจะทำอาหารกันที่นี่คงต้องซื้อเครื่องปรุงและอุปกรณ์ทุกอย่าง เลยกะว่าออกไปห้างแล้วกลับคอนโดผมดีกว่า ซึ่งพี่ทาวน์คงเห็นด้วย

“ขี้เกียจ”
แต่คำตอบนั้นทำให้ผมแทบเสียการทรงตัว แบบนี้ไม่เท่ากับว่าต้องซื้อทุกอย่างยกเซ็ตเลยหรือไง

“แต่ถ้าทาวน์ไม่ออกไปกับผม เครื่องปรุงกับอุปกรณ์ทุกอย่างต้องซื้อใหม่ทั้งหมดนะ”
ผมบอกอย่างใจเย็นแล้วรอดูปฏิกิริยาตอบกลับ ซึ่งมันคือการที่พี่ทาวน์เอียงคอและขมวดคิ้วใส่กัน

“ถ้าไม่ซื้อจะทำยังไง”
เขาวางหนังสือในมือลง ตั้งใจรอฟังคำตอบจากปากผมอย่างเต็มที่ โธ่ ว่าที่คุณหมอ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่รู้หรือไงว่าโคตรน่ารัก (ความหลงพี่ทาวน์ไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆ)

“ไปทำที่คอนโดผมไง”

“ไม่ทำแล้วได้ปะ”
อยากจะร้องโอ้โห แต่ทำได้แค่คลี่ยิ้มละมุนให้เขา ทำไมวันนี้แฟนขี้เกียจเดินทางจังวะ กิ๊กกับหนังสือจนผมแอบน้อยใจแล้วเนี่ย

“งั้นทาวน์รออยู่ที่นี่ ผมไปไม่เกินชั่วโมง เดี๋ยวกลับมารับครับ”
ผมเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้เขาไปแล้วเตรียมตัวออกจากห้องเพื่อไม่เป็นการเสียเวลามากกว่านี้ เพราะถ้าถึงช่วงเที่ยงวันรถจะติดมากกว่าปกติ

เขานิ่งไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่นานสองนานจนผมก้าวขาเกือบถึงประตูห้องก็มีเสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับสัมผัสอุ่นที่ข้อมือ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สมกับเป็นพี่ทาวน์

“หึ ไปด้วย”

“เลิกขี้เกียจแล้วเหรอครับ”
หันกลับไปถามด้วยเสียงทะเล้นเลยได้ค้อนวงใหญ่ตอบกลับมาพร้อมแรงบีบข้อมือ คงกะว่าเอาให้กระดูกแหลกไปเลยสินะ ร้ายจริงๆ ผู้ชายของผมเนี่ย

“คิดได้ว่าอยากกินนมเมล่อน”
เขาบอกก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับปล่อยมือออก ท่าทางมีพิรุธจนผมเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เอาวะ ลองเชิงดูหน่อยคงไม่เป็นไร

“ผมซื้อมาฝากก็ได้”

“เจ็ท...”
โดนเรียกชื่อด้วยโทนเสียงต่ำขนาดนี้ ผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าทำไมพี่ทาวน์ถึงอารมณ์แกว่งไปแกว่างมานัก

“กลัวจะมีคนมาจีบผมก็บอก”
พูดอย่างคนเหนือกว่าแล้วกระตุกยิ้มมุมปากส่งให้พี่ทาวน์ที่กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ไม่ไกล เขาง้างมือฟาดลงบนแขนผมเต็มแรง แต่ดีที่สามารถขยับหลบได้ทน เกือบช้ำเป็นลูกกระท้อนแล้วไหมล่ะ

“กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น”
เขาปฏิเสธเสียงแข็งก่อนจะผลักไหล่กันให้พ้นจากทางเดินเพื่อตรงไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู ผมมองแผ่นหลังกว้างแล้วได้แต่ยิ้ม ยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหูกับความหึงหวงแบบซึนๆ นี้ ปากมองไม่แต่การกระทำโคตรชัดเจน แฟนหนอแฟน โกหกไม่เก่งเลยรู้ตัวไหม

“แต่ผมงี่เง่านะ กลัวมีคนมาจีบทาวน์ตลอดเวลาเลย”
จากที่จะล้อเขาก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายแสดงความหึงหวงแทน ผมขยับตัวเข้าไปแนบชิดก่อนถือวิสาสะโอบรอบเอวสอบแล้วกดฝังจมูกลงบนลาดไหล่กว้างอย่างออดอ้อน มารยาสาไถจะมีมากกว่าผู้หญิงอีกมั้งกูเนี่ย

“กูหล่อล่ะสิ”
แหม... บุคคลหลงตัวเองแห่งปีพอๆ กับผมเลยนะแฟน แต่เถียงไม่ได้หรอกเพราะเขาเป็นอย่างที่พูดจริงๆ

“โคตรหล่อเลยครับ”
พูดจบก็เลื่อนปากประทับลงข้างแก้มด้วยความมันเขี้ยว นัวเนียอยู่แบบนั้นจนหนำใจโดยไม่โดยพี่ทาวน์ทำร้ายร่างกาย มันคือความฟินขั้นสูงสุดจริงๆ

“มีมึงเป็นแฟนแค่คนเดียวก็ปวดหัวจะตายห่าแล้ว ไม่อยากมีภาระเพิ่ม เข้าใจนะ”
พี่ทาวน์ถวายมะเหงกให้หนึ่งลูกก่อนจะผละตัวหนีอ้อมกอดสุดอบอุ่น ใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบังแถมด้วยท่าทางที่เขาเอาสันมือเคาะข้างขมับประกอบคำพูดนั้น ผมแทบล้มทั้งยืน หมดแรงเอาดื้อๆ ควรรู้สึกยังไง ใครก็ได้บอกที

“โอย ผมควรดีใจหรือเสียใจดีวะเนี่ย”
บ่นพึมพำไปอย่างนั้นแต่ความจริงก็ยอมรับฟังเขาทุกอย่างนั้นล่ะ นายภาคินคือตัวอย่างทาสของความรักฉบับสมบูรณ์ ลิมิเต็ดอิดิชั่นด้วย มีคนเดียวในโลกซึ่งบัดนี้มีเจ้าของชื่อทาวน์และคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

ไอ้คนขี้เกียจเมื่อหลายนาทีที่แล้วกลับเป็นคนอาสาขับรถด้วยตัวเอง ไม่มีเหตุผลแถมยังบังคับให้ผมนั่งเงียบๆ แบบไร้ปากเสียงอีกด้วย กว่าจะถึงห้างก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง วนหาที่จอดอีก ปาเข้าไปบ่ายโมงพอดี

ผมคว้ารถเข็นได้ก่อนแล้วยิ้มร่าเมื่อพี่ทาวน์ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ วันนี้เขามาแปลกตรงที่บริการความสะดวกให้กันแทบทุกอย่าง แต่เอาเถอะ จะไม่ถามให้เสียเรื่องแถมเสี่ยงโดนด่าอีก อยากน่ารักยังไงเอาให้เต็มที่เลยครับ นายภาคินคนนี้ยังเดินไหวแม้มีเซๆ บ้างก็ตามที

“ทาวน์ ซื้อโซจูไปกินกับไก่ทอดดีปะครับ”
ในขณะที่เดินผ่านแผนกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายาวก็หยุดชะงักลง ดวงตาคมสอดส่ายหาของมึนเมาสไตล์เกาหลี ถ้าได้แกล้มกับไก่ทอดคงเข้ากันเป็นอย่างมาก แต่ว่าที่คุณหมอกลับแยกเขี้ยวใส่

“ไม่ดี”
เสียงเย็นจนผมขมวดคิ้วยุ่ง คิดไม่ตกจริงๆ ว่าไม่ดียังไง เพราะปกติดื่มแอลกอฮอล์พี่ทาวน์ก็ไม่เคยห้าม แปลก โคตรแปลก

“ทำไมอะ”

“กลิ่นเหมือนเหล้าขาว”
หืม... ปกติพี่ทาวน์ไม่เคยบ่นเรื่องกลิ่นโซจูเลยนะ มันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ แล้วเขาจะเดินหนีผมทำไม ทำตัวมีพิรุธน่าสงสัย

“เดี๋ยวนี้ปรับปรุงใหม่ มีรสพีชแล้วนะ กลิ่นไม่ค่อยแรงด้วย”
ผมพยายามบอกอีกครั้งขณะที่เข็นรถตามร่างสูงไปแผนกขายอาหารสด พี่ทาวน์ตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องเหมือนเผลอตัวลวนลามเขา

“ไม่ให้กิน”
พี่ทาวน์ยื่นคำขาดก่อนจะส่งหมัดตรงมาที่ต้นแขนของผม เจ็บจนต้องซี๊ดปากแต่ไม่วายถามเขากลับด้วยเสียงอ้อนๆ

“ทำไมอ่า”
ไม่ได้อยากดื่มโซจูขนาดนั้น แต่อยากรู้เหตุผลที่แท้จริงของการห้ามมากกว่า

“ปกติไม่เมาก็หื่นจะตายห่าอยู่แล้ว”

“.....”

“พอเมา แม่ง... กูจะตายทุกที”
คนตอบหน้าแดงเถือกเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว แต่ผมกลับคลี่ยิ้มกว้างเหมือนถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง โอย อยากจะจับพี่ทาวน์ฟัดตรงนี้เลย คนบ้าอะไรโคตรน่ารัก

“แต่ก็ชอบใช่ไหมล่ะครับ”
ผมโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของพี่ทาวน์ก่อนจะผละออกมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ คนวอนโดนตีนก็นายภาคินของนายเมืองเหนือนี่ล่ะ แม่ง เสี่ยงตายสุดชีวิต แต่เพื่อความฟินต้องยอม

“ลองมาเป็น ‘เมีย’ ดูบ้างไหมล่ะหืม”
ผลตอบกลับทำให้ผมรีบคว้ารถเข็นมุ่งตรงไปที่แผนกขายน้ำอัดลมทันที ไอ้การที่จะให้สลับตำแหน่งมันก็ได้ แต่ขอทำใจสักปีสองปีแล้วกันเนอะ...

“โอ้ งั้นซื้อน้ำอัดลมไปกินก็ได้ครับ เนอะๆ อร่อยเหมือนกันเลย”
เฉไฉเอาตัวร้อยไปเรื่อยแล้วหยิบน้ำอัดลมหลากสีใส่รถเข็น ได้ยินเสียงหัวเราะหึดังมาจากข้างหลังพร้อมด้วยคำสบประมาทที่ผมยอมรับแบบไร้คำเถียง ฮือ

“ไอ้กาก”
จ้า กากก็กาก คนเรามันติดใจเป็นฝ่ายรุกไปแล้วจะให้ทำยังไงเล่า จริงๆ แล้วเคยถามพี่ทาวน์อยู่เหมือนกันว่าอยากสลับตำแหน่งบนเตียงบ้างหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ ‘อย่าทำเรื่องให้ยุ่งยาก’ ก็เท่ากับว่าแบ็คทูเบสิค หวานหมูจริงๆ หึหึ

ผมบอกวิธีการทำไก่ทอดเกาหลีให้พี่ทาวน์ฟังอย่างละเอียดก่อนผละตัวออกไปหุงข้าวและเตรียมทำแกงกิมจิใส่เนื้อวัว แบ่งหน้าที่กันชัดเจนเพื่อร่นระยะเวลา เกือบบ่ายสามแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากข้าวเช้าเลย รอชิมฝีมือแฟนสุดใจ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็เตรียมทุกอย่างจนเสร็จ ในขณะที่กำลังตักแกงกิมจิใส่ถ้วยนั้นพี่ทาวน์ก็เทปีกไก่ที่หมักทิ้งไว้ลงในกระทะ เสียงซู่ซ่าของน้ำมันการันตีได้เป็นอย่างดีว่ามันต้องออกมาหน้าตาน่ากินแน่นอน

“พี่ทาวน์ระวังน้ำมันกระเด็นใส่ด้วยนะครับ”
ผมเตือนด้วยความหวังดีเพราะคนที่เคยทำอาหารใหม่ๆ จะไม่ระวังตัวเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทันขาดคำคนที่อยู่หน้าเตาก็ก้าวถอยหลังมาชนกันอย่างจัง ได้ยินเสียงซี๊ดปากเบาๆ จนต้องหมุนตัวกลับไปถามด้วยความตกใจ

“เป็นอะไรครับ!”
ผมรีบมองสำรวจแฟนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าแขนของเขามีจุดแดงๆ หลายแห่ง พี่ทาวน์พยักพเยิดหน้าบอกสาเหตุก่อนจะถอนหายใจออกมา คงหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ระวัง

“ล้างแผลด้วยน้ำเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเอายามาทาให้”
ผมบอกอย่างรีบร้อนแล้วมุ่งตรงไปทางกล่องปฐมพยาบาลทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาพี่ทาวน์กลับเอื้อมมือมารั้งไหล่กันไว้ สีหน้าดูแย่มากจนต้องหยุดชะงัก

“แต่ไก่จะไหม้”
โธ่ นึกว่าห่วงเรื่องอะไร

“ไม่หรอกครับ เราใช้ไฟอ่อน วางใจได้”
ผมบอกพลางคลี่ยิ้มให้เขาวางใจ พี่ทาวน์ลังเลมองกระทะทอดไก่อยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ

“อือ”

พี่ทาวน์นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนผมก็เปิดหลอดยามาตั้งแต่ไกล เกือบสะดุดขาตัวเองล้มเพราะรีบเดินเกินเหตุ ใส่ยาให้เขาเสร็จเรียบร้อยก็รับหน้าที่ทำอาหารต่อโดยไม่ฟังเสียงงอแงจากคนบาดเจ็บ จะไม่ปล่อยให้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ถ้าอยากทำจริงๆ ขอเป็นเมนูที่ไม่ต้องทอดดีกว่า

เขานั่งรอเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าว่ารู้สึกยังไง แถมยังฆ่าเวลาด้วยการหยิบชีทเล่มหนาขึ้นมาอ่านปิดกั้นการพูดคุย สงสัยจะงอนที่โดนห้ามทำอาหารมื้อนี้ทั้งที่ตั้งใจมาตั้งแต่เมื่อวานแน่นอน ก็คนมันเป็นห่วงนี่ กลัวเจ็บตัวไปมากกว่านี้

ผมตักไก่ทอดพักไว้แล้วเปลี่ยนกระทะเพื่อทำน้ำซอส ได้ยินเสียงเปิดกระดาษจากทางด้านหลังแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ เหตุการณ์แบบนี้ควรง้อด้วยวิธีไหนวะ

ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำให้ผมกลับมาสู่โลกความเป็นจริง นึกว่าพี่ทาวน์จะปิดปากเงียบตลอดทั้งวันแล้วซะอีก

“เจ็ท...”

“ครับ”

“ทำไมเมื่อกี้ไม่ใช่ยาสีฟันล่ะ”
อ้อ... มีครั้งหนึ่งผมเคยโดนน้ำมันกระเด็นใส่แล้วรีบเอายาสีฟันป้ายแล้วพี่ทาวน์มาเห็นจังหวะนั้นพอดี แต่ฝ่ายนี้เฉไฉว่าไม่มีอะไรเลยไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจากเขา ฮือ ก็ว่าแล้ว ทำไมถึงโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ แถมหัวเราะใส่กันอีก ร้ายมาก

“อ๋อ... ไปศึกษาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้วครับ”
หัวเราะแห้งๆ พร้อมกับเกาท้ายทอย โคตรอาย

“เหรอ”

“อื้อ ก็แฟนเป็นถึงว่าที่หมอนี่ครับ ทำอะไรผิดวิธีคงไม่ดีเท่าไหร่”

“หึ หิวแล้ว ใกล้เสร็จหรือยังล่ะ”
เชื่อว่าเขาคงแอบยิ้มอยู่แน่ๆ

“เสร็จแล้วครับๆ ~”

เรานั่งกินข้าวไปคุยกันไปเรื่อย เรื่องดินฟ้าอากาศบ้าง เรื่องเรียน เรื่องสอบ หรือแม้กระทั่งอนาคตของการคบกัน มันก็เป็นธรรมดาของคนที่จริงจังในความรักและอยากใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะเจอใครที่ดีกว่าพี่ทาวน์ แต่ถึงแม้วันหนึ่งเกิดเจอขึ้นมาก็คงไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน

“ปีหน้ากูอาจจะไม่มีเวลาให้มึงเหมือนเก่า”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่ดวงตากลับฉายแววเป็นกังวล ผมพยักหน้าเข้าใจในจุดนี้เพราะพี่ทาวน์กำลังจะขึ้นปีสี่และต้องเรียนทุกวิชาภายในโรงพยาบาล

“ครับ ผมเข้าใจ”
ผมคลี่ยิ้มให้กับเขาก่อนยกแก้วน้ำขึ้นจิบ พี่ทาวน์พยักหน้ารับแต่ไม่วายขมวดคิ้วแสดงความเครียดออกมาอย่างชัดเจน สงสัยคงแปลกใจที่นายภาคินไม่งอแง โธ่ แอบมีแผนเด็ดรออยู่เท่านั้นเอง

“มึงไม่งอแงเหรอ ปกติติดกูจะตาย”
พี่ทาวน์หรี่ตามองอย่างสงสัยแต่ผมก็ยังเนียนไปตามประสาคนเจ้าเล่ห์

“โตแล้วครับ ต้องเข้าใจแฟนสิ”

“เหรอ งั้นก็ขอบคุณที่เข้าใจกัน”
พี่ทาวน์คลี่ยิ้มละมุนส่งให้ นั่นล่ะ สัญญาณของคนติดกับดักแล้ว เยส!

“ครับ แต่ว่า...”
ผมรีบแทรกขึ้นทันทีแล้วเว้นวรรคเพื่อให้เขาถาม

“อะไร”
คิ้วขมวดจนแทบผูกโบว์ได้แล้ว โอ๊ย น่าแกล้งฉิบหาย แต่พอก่อน เดี๋ยวความหวังจะพังไม่เป็นท่า

“พี่ทาวน์ย้ายมาอยู่กับผมได้ไหมครับ ที่นี่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่านะ”
ผมเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วคว้ามือนุ่มมาจับไว้ ใช้สายตาหมาน้อยมองคนตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ ถึงจะไม่มีเวลาให้ แต่การย้ายที่อยู่มันทำให้เราเจอกันอย่างแน่นอน

“หึ กูก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างมึงไม่งอแงมันแปลก”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำก่อนจะแจกมะเหงกให้ปมไปหนึ่งที หูย เจ็บมากแต่เชื่อว่าโคตรคุ้ม

“ก็แบบว่า... ผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วนี่ครับ”
หลุบตาลงต่ำอย่างคนสำนึกผิด แต่เปล่าเลย แค่อยากให้พี่ทาวน์ใจอ่อน

“อืม จะไม่เบื่อหน้ากูหรือไง เจอกันทุกวัน”

“ไม่หรอกครับ ผมรักพี่ทาวน์นี่นา”

“อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
โธ่ แฟนกลายเป็นคนคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“ผมรักใครไม่มีวันเบื่อหรอก จะรักตลอดไปด้วย”
ผมยืนยันเสียงหนักแน่นแล้วกดริมฝีปากลงบนหลังมือของพี่ทาวน์ ส่งถ่ายความรู้สึกไปให้เขาว่ารักมากแค่ไหน

“ตลอดไปของมึงมันนานแค่ไหน หนึ่งวินาที หนึ่งนาที หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี"
เขาแกะมือออกจากการเกาะกุมแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทิ้งตัวลงบนตักของผม เราเผชิญหน้ากัน เป่ารดลมหายใจใส่กัน แตะปลายจมูกถูไถกันอย่างแผ่วเบา โอย โคตรอีโรติกจนแทบคิดอะไรไม่ออกเลย

"ตลอดชีวิตของผมครับ"
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นหลังจากพี่พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ เชื่อว่าคุยกันแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานคงจบลงบนเตียง

"หึ น้ำเน่าว่ะ คิดว่ากูจะเชื่อเหรอ”
แต่ทุกอย่างกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อพี่ทาวน์ผละออกไปแล้วใช้นิ้วดีดป๊อกลงบนสันจมูกของผม ยอมรับว่าเจ็บแต่ไม่ยอมแพ้ ก็คนมันจริงใจ

“ผมพิสูจน์ได้นะ”

“ยังไง”

“คอยดูกันต่อไปครับ ถ้าผมผิดคำพูด ยอมให้กระทืบเลย”
ไม่ได้พูดติดตลก แต่ถ้าวันไหนผมผิดคำพูดจริงๆ จะยอมให้กระทืบจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลย ที่กล้าท้าเพราะมั่นใจในตัวเองว่าไม่มีทางหมดรักพี่ทาวน์แน่นอน

“หึ ตกลงตามนั้น”
ตกลงง่ายจังวะ แต่เชื่อว่าเขาก็คิดไม่ต่างจากผมตรงที่ว่าเราจะรักกันตลอดไปได้จริงๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องของอนาคตก็เถอะ

“แล้วเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันล่ะครับ”
ผมวนกลับมาถามเรื่องเดิมเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะไม่ยอมตกลง ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเกิดการงอแงแบบปกติอย่างแน่นอน คนติดแฟนยังไงมันก็แก้นิสัยนี้ยาก โธ่ อีกสิบปีก็ไม่รู้ว่าทำได้หรือเปล่า

“โทรไปขอพ่อตามึงสิ ถ้าเขาอนุญาตกูก็ไม่มีปัญหา”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะลุกออกจากตักของผมแล้วหนีไปซะดื้อๆ ทิ้งให้นายภาคินทำท่าฮึดฮัดอยู่คนเดียว

ถ้าเขาจะเล่นกันแบบนี้ ผมเป็นคนย้ายไปอยู่คอนโดพี่ก็ได้เว้ย แมนพอ!



--------------------------------------

ตอนหน้าจะจบแล้วน้า ฮือ ~
คอมเม้นท์ติชมกันได้เนอะ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
โอ้โหหหหหหหหหห เจ็ทคนแมนนนนนน :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
จ้าาา  อิเจ็ทคนแมน 555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
แข่งครั้งสุดท้าย




ช่วงที่พี่ทาวน์ต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบโรคศิลป์นั้นทำให้เราไม่ได้คุยกันเลย เหมือนขาดการติดต่อ แต่ผมก็ทำได้เพียงอดทนและทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ การเรียนเป็นสิ่งสำคัญเพราะฉะนั้นแล้วเขาต้องทุ่มเทอย่างที่สุดแน่นอน

กว่าจะได้มาเจออีกครั้งก็คือวันงานพิธีมอบเสื้อกาวน์สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ขึ้นปีสี่ ความฉิบหายคือผมดันตื่นสาย ลนลานแทบตกเตียงตายจนโดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างไอ้ฟาร์มด่าหูชา แต่ดีที่ยังมาทันเพราะว่าที่คุณหมอทั้งหลายยังไม่ออกมาจากหอประชุม

“มึงหอบเหี้ยอะไรมาเนี่ย”
ไอ้ฟาร์มถามเสียงเครียดแล้วใช้สายตามองของขวัญในมือผมเหมือนมันคือสัตว์ประหลาด ก็แค่ไม่ใช่ดอกไม้อย่างที่ใครๆ หอบมาให้ว่าที่หมอก็เท่านั้น กูอยากแตกต่างบ้างไม่ได้หรือไง

“ตุ๊กตาไง มึงเห็นกล่องถุงยางเหรอ”
ผมแทบจะเอาของในมือปาใส่หัวเพื่อนรัก ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นตุ๊กตาหมาไซบีเรียนขนาดพอกอด ไม่ใช่ตัวเหี้ย

“ตุ๊กตาหมาเนี่ยนะ มึงเห็นพี่ทาวน์เป็นเด็กหรือไง”
ไอ้ฟาร์มเบ้ปากมองหน้าผมสลับกับหน้าหมาในมือ อันที่จริงก็คิดไว้แล้วว่าคำถามแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครหอบตุ๊กตาเด็กน้อยแบบนี้มาแสดงความยินดีให้ว่าที่หมอในอนาคตหรอก แต่ดอกไม้มันซ้ำซากจำเจ คนนั้นก็มี คนนี้ก็มี เห็นแล้วเบื่อ

“ทำไม ดอกไม้ให้ไปเดี๋ยวแม่งก็เหี่ยว สู้ของกูไม่ได้หรอก”
ผมกอดตุ๊กตาอย่างสุดหวงแล้วเชิ่ดใส่เพื่อนอย่างมั่นใจว่าพี่ทาวน์คงเห็นดีเห็นงามด้วยเรื่องดอกไม้จะเหี่ยว ขนาดไอ้ฟาร์มยังถือถุงน้ำหอมแบรนด์ดังมาเลย

“เออๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว เดี๋ยวพี่ทาวน์ด่าแน่ เชื่อกู”
มันเอื้อมมือมาตบหัวตุ๊กตาด้วยความมันเขี้ยวแล้วยิ้มเยอะเย้ยจนผมแอบใจแป้ว ที่จริงแล้วนอกจากหมาในอ้อมแขนก็ยังมีของขวัญพิเศษเป็นปากกาและกำไลข้อมือทองคำขาวที่ทางบ้านฝากมาให้อีกหนึ่งวง

“คอยดูก็แล้วกัน หึหึ”
ผมไม่ยอมแพ้หรอก เชื่อว่าตุ๊กตาตัวนี้คงเป็นที่โปรดปรานของคนชอบหมาแต่ไม่มีความสามารถในการเลี้ยงแน่นอน (พี่ทาวน์อยากเลี้ยงหมา แต่เนื่องจากตัวเองอยู่คอนโดเลยล้มเลิกความตั้งใจ ดูได้จากรูปถ่ายสมัยยังคบกับพรีม คอลเล็คชั่นเจ้าหน้าขนเยอะกว่าคนซะอีก)

หลังจากที่เราทั้งคู่เถียงเรื่องของขวัญกันเสร็จก็พากันไปหาที่นั่งรอบรรดาว่าที่คุณหมอออกจากหอประชุม พูดคุยเรื่องโน่นนี่ฆ่าเวลาไปเรื่อย ไม่เว้นแม้กระทั่งการนัดแนะไปเที่ยวก่อนจะตกนรกที่เขาเรียกกันว่าการตัดโมฯ ปีนี้ยับแน่ๆ โต้รุ่งชัวร์อย่างไม่ต้องสงสัย

ถัดมาก็เป็นเรื่องไอ้ฟาร์มที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไปอีกขั้น ได้เป็นแฟนกับคนที่ตัวเองชอบถึงแม้ข้ามขั้นเลยเถิดเป็นผัวเมียกันก่อนสถานะจะเกิด แต่ถ้าพี่ฟาไม่อ่อยแรงคงไม่มีวันนี้ ใครเริ่มก่อนไม่ต้องคิดเยอะแล้ว ปัจจุบันเพศไหนก็มีความเท่าเทียม ดูอย่างผู้หญิงพวกนั้นที่หอบดอกไม้ช่อโตพุ่งเข้าหานักศึกษาแพทย์สิ เขาเพิ่งออกมาจากหอประชุมนะเว้ย ให้หายใจบ้างก็ได้!

หนึ่งในนั้นคือว่าที่คุณหมอใส่เสื้อกาวน์ยาวหน้าตาหล่อเหลาอดีตเดือนคณะพ่วงมหา’ลัย พี่ทาวน์ยังเป็นคนเดิม ไม่แสดงอารมณ์ ไม่แสดงสีหน้าว่าตัวเองรู้สึกยังไง เขาทำแค่รับของขวัญที่ถูกยื่นไปให้อย่างมีมารยาท ผมดันคิ้วกระตุก ขยำบีบตุ๊กตาในมือจนแทบไส้แตก รู้สึกไม่ชอบใจพวกเธอที่ไม่เว้นระยะห่าง แอบกระแซะ แตะนั่นแตะนี่แฟนคนอื่น มากเกินไปแล้ว...

“โห... โคตรฮอต”
ขนาดไอ้ฟาร์มยังอุทานออกมากับความฮอตของพี่ทาวน์ สาบานได้ว่าพวกผมหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ไม่มีใครสนใจเพราะที่นี่มันงานรับเสื้อกาวน์ นักศึกษาแพทย์จะได้รับความนิยมก็ไม่แปลก

“จะรุมแฟนกูทำไมกันนักหนาวะ นั่นๆ จะเอาดอกไม้ทิ่มหน้าอยู่แล้ว!”
ตอนแรกก็ว่าจะเก็บอาการไม่อยากเข้าไปวุ่นวายเวลาแห่งความสุขของแฟนคลับสักเท่าไหร่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วพี่ทาวน์คงหลุดพ้นจากตรงนั้นได้ยาก ก็พวกเธอยังยืนรุมเขาอยู่แบบนั้นทั้งที่ของขวัญก็ให้ไปแล้ว ต้องการอะไรกันอีก

“เฮ้ย ใจเย็นๆ แฟนคลับก็งี้ล่ะน่า ส่วนมึงเป็นแฟนครับก็เข้าไปช่วยพี่ทาวน์ถือของหน่อย”
ไอ้ฟาร์มบอกให้ผมใจเย็นแตามือกลับผลักหลังกันยิกๆ ให้รีบเดินเข้าไปหาพี่ทาวน์ ประโยคแรกกับประโยคหลังทำไมมันย้อนแย้งฉิบหายเลยวะ ขมวดคิ้วใส่แม่งเลย

“แต่ว่ากูก็ไม่อยากแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าขนาดนั้นปะ”
ถ้าเดินเข้าไปตอนนี้สายตาของพวกเธอต้องเต็มไปด้วยความสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมคู่จิ้นของพี่ทาวน์ถึงมางานนี้ได้ สนิทกันเหรอ หรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ถึงพวกเราจะไม่เคยปิดบังสถานะแต่น้อยคนนักจะเชื่อว่านายภาคินกับนายเมืองเหนือรักกันจริงๆ

“หรือมึงจะรอให้สาวๆ พวกนั้นลากพี่ทาวน์ไปซะก่อน”
มีแต่ควายเท่านั้นล่ะที่จะยอม!

“สัด ใครจะไปยอมวะ”
เตรียมพุ่งเข้าไปเต็มที่แล้วเนี่ย รอจังหวะเหมาะๆ ก่อนสิวะ กลัวพี่ทาวน์จะด่าให้เพราะผมตื่นสายมาไม่ทันก่อนเขาเข้าหอประชุม

“งั้นรีบๆ ไปเสนอหน้าซะ กูจะไปหาเมียเหมือนกัน โอ๊ย ไอ้เหี้ยพวกนั้นอย่าลวนลามพี่ฟาสิวะ!”
ผมถึงบางอ้อทันทีเมื่อเห็นไอ้ฟาร์มชี้ตรงไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์เกือบสิบคนที่ยืนล้อมคนหน้ารักอยู่ไม่ไกล มันเต้นเร้าๆ เหมือนมีใครเอาไฟมาลนก้น หึ แฟนมึงก็ฮอตไม่ต่างกันนักหรอก แต่ก่อนจะปล่อยไปขอแซวหน่อยเถอะ คันปากมาก

“เต็มปากเต็มคำ”
ผมหมายถึงคำว่า ‘เมีย’ ที่มันใช่เรียกพี่ฟาน่ะนะ

“ทำไม ได้กันแล้วจะเรียกยังไงก็ได้”
มันตวัดสายตามองแล้วตอบผมด้วยสีหน้าผู้ชนะ อยากจะถุยน้ำลายใส่ให้รู้แล้วรู้รอด ไอ้กากเอ๊ย กว่าจะได้เขาเฝ้าอยู่เป็นปีๆ เฮ้อ

“จ้า ไอ้พ่อบ้านใจกล้า”
หมั่นไส้แรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ

ผมปล่อยเพื่อนเข้าสู่วงตีนแล้วเดินมุ่งตรงไปหาพี่ทาวน์ที่ยังคงโดนสาวๆ พวกนั้นรุมอยู่ ไม่มีใครยอมแพ้ใคร บางคนแต่งหน้าซะสวยจนจำไม่ได้ แล้วนายภาคินหน้าสดนี่พอสู้ไหวปะวะ

พอถึงระยะที่สามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่ทาวน์กับพวกเธอผมถึงกับขมวดคิ้วแน่น ตุ๊กตาในมือถูกบีบอีกครั้ง ถ้ามันไส้แตกจริงๆ คงต้องซื้อใหม่ ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้ออกตัวแรงจัง

“พี่ทาวน์คะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
ขอถ่ายรูปหรือจะเซลฟี่พูดให้มันถูกหน่อย แล้วนั่นจำเป็นต้องเอารองพื้นไปถูหน้าพี่ทาวน์ขนาดนั้นไหม โว๊ย หงุดหงิดเว้ย

“พี่ทาวน์คะ ดอกไม้ค่ะ หนูตั้งใจซื้อมาเลยน้า”
ยื่นดอกไม้ให้น่ะเข้าใจ แต่ส่งสายตาอ่อยเขาน่ะมันไม่ใช่แล้วน้อง นั่น ‘เมีย’ พี่ โปรดทำความเข้าใจด้วย อยากลงไปดิ้น จะทนไม่ไหวแล้ว

“พี่ทาวน์ ~ ไปเดทกันนะคะ”
อ่า... หันขวับไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ดเลย กล้ามาก กล้าสุดๆ ต่อหน้าแฟนคลับด้วยกันก็ไม่กลัว ผมนี่อยากแทรกเข้าไปแล้วบอกว่า ‘ผัวพี่ทาวน์มาแล้วครับ’ แต่ทำได้แค่เกาหัวแรงๆ แล้วเอ่ยเรียกชื่อเขา ปล่อยให้พวกเธอคุกคามมากกว่านี่ไม่ได้ ต้องเบรก

“เอ่อ ทาวน์ครับ”
ทุกคนหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว โอ้โห กูควรถอยกลับไปรอที่รถไหมอะ

“เจ็ท... มาแล้วเหรอ”
พี่ทาวน์รีบปลีกตัวออกมาหาผมแทบทันทีโดยไม่สนว่าบรรดาสาวๆ จะมองพวกเราแบบไหน ขอโทษที ความสำคัญมันต่างกันอะเนอะ

“ครับ ขอโทษที่ตื่นสาย”
ผมตอบแล้วคลี่ยิ้มบาง จริงๆ แล้วสำนึกผิดแต่สะใจที่ได้เห็นหน้างงๆ เอ๋อๆ ของพวกเธอมากกว่า

“กูไม่นอนด้วยก็งอแงเชียวนะ”
เดี๋ยว... พี่ทาวน์อย่าเพิ่งเดินเรือตอนนี้สิวะ ทุกคนตาถลนมองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแล้ว ไอ้เขินมันก็เขินนั่นล่ะเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์กล้าพูดขนาดนี้

“ก็...”
ไปไม่ถูกจริงๆ แล้วกู ก็พี่ทาวน์ดันยืนเบียดจนแทบสิงกันขนาดนี้ หัวใจจะวายเว้ย

“กรี๊ด พวกพี่นอนด้วยกันเหรอคะ!”
ผมสะดุ้งเกือบคว้าพี่ทาวน์มากอด แต่ดีที่เบรกทัน จะกรี๊ดหาอะไรครับผมนึกว่าแมลงสาบบินเข้ากระโปรง!

“ครับ เรื่องปกติ”
ชงเข้มกว่าแม่ยกคู่จิ้นก็กัปตันเรือนี่ล่ะครับ เอาให้พังกันไปเป็นแถบๆ

“ทาวน์ ผมว่ามัน...”
ผมจะเอ่ยปรามเพราะรู้สึกว่าพวกเธอบางคนจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่ชวนพี่ทาวน์ไปเดท

“เฉยๆ เถอะ ช่วยถือของด้วย”
พี่ทาวน์มองดุก่อนจะส่งของในมือให้ผมช่วยถือ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้งกันอยู่สองคนจนมีหน่วยกล้าตายเอ่ยปากถามจนได้

“พวกพี่เป็นอะไรกันเหรอคะ”
คำถามสุดเบสิก และคำตอบก็โคตรเรียล

“แฟนครับ ขอตัวนะ”
ชัดเจนกว่าคำพูดคือการที่พี่ทาวน์คว้ามือผมไปกุมเอาไว้แล้วพากันเดินหนีออกจากความวุ่นวาย ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาจากด้านหลังแล้วรู้สึกสยองชะมัด ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่คาดเดาได้โซเชี่ยลคงร้อนระอุเป็นไฟ

“ทาวน์ บอกไปแบบนั้นจะดีเหรอครับ”
ผมหยุดเดินเพื่อถามให้แน่ใจว่าที่เขาทำลงไปนั้นคิดว่าดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม เพราะพี่ทาวน์ไม่ใช่คนที่แสดงออกภายนอก จะให้ตั้งท่าสังเกตทั้งที่เขาปิดบังคงยาก

“ดีสิ จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับกูสักที”
พี่ทาวน์หันมาจิ้มให้ทั้งตาทั้งปากยืนยันว่าดีจริงๆ แต่ผมยังลังเลเพราะกลัวว่าที่เขาทำลงไปเพราะอยากให้คนเป็นแฟนสบายใจและไม่คิดมาก ก็นายภาคินมันขี้หึงขี้หวงจนชาวบ้านรู้ทั้งประเทศแล้ว

“ถ้าพวกเขาไม่ชอบขึ้นมาจะทำยังไงครับ กลัวพี่โดนมองด้วยสายตาแย่ๆ”
ส่วนตัวผมไม่สนใจโลกมานานแล้ว ก็ห่วงแต่ความรู้สึกคนเป็นแฟนนี่ล่ะ

“เราไม่จำเป็นต้องแคร์คนทั้งโลก ใส่ใจความรู้สึกคนข้างๆ ก็พอ”
พี่ทาวน์เอื้อมมือข้างที่พยายามทำให้ว่างมาขยี้หัวกันอย่างทุลักทุเล ผมพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มตอบกลับจนปากจะฉีกถึงหู ยอมรับว่าเขินหน้าแทบไหม้ หัวใจเต้นแรงแทบละลาย นี่สินะความรัก มันทั้งหอมหวานและสวยงามชวนหลงใหล

“โหย ซึ้งน้ำตาจะไหลเลย”
ผมเย้าด้วยเสียงทะเล้นเพราะไม่อยากให้ต่างคนต่างเขินอยู่แบบนี้ พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนๆ ก่อนจะผละออกแล้วหอบหิ้วของขวัญในมือต่อ เอาไปทิ้งดีไหมเนี่ย เห็นแล้วขัดลูกตาฉิบหาย

“หึ ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยสิ”

“รูปคู่เหรอ”
ผมถามพาซื่อทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้ว นานครั้งที่จะได้ถ่ายรูปคู่กัน อัพลงไอจีคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม... ก็คนมันเห่อ

“อืม แล้วตุ๊กตานั่นของกูหรือเปล่า”
พี่ทาวน์ชี้มาที่ตุ๊กตาหมาตัวนิ่มที่ผมใช้แขนหนีบมันไว้ ถ้าเขาไม่ทักคงลืมให้ไปแล้ว แม่ง มัวแต่หงุดหงิดจนไม่ได้ให้ของขวัญเลย

“อ้อ ใช่ครับ ผมเอามาให้เป็นของขวัญ”
ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะวางของชิ้นอื่นๆ ในมือลงแล้วจัดการยื่นตุ๊กตาที่แสนภูมิใจนำเสนอไปตรงหน้าเขา มีการ์ดแสดงความยินดีใบเล็กหนีบกับคลิปไว้ตรงใบหู พี่ทาวน์ไม่ได้รับไปในทันทีแต่ขมวดคิ้วมองเหมือนเห็นมันเป็นของแปลก... ฉิบหาย คำพูดของไอ้ฟาลอยมาเลย โดนด่าแน่กู

“เห็นกูเป็นโจชัวร์เหรอ”
จึก... โดนถามเหมือนไอ้ฟาเลย โธ่ ถ้าตอบว่าพี่น่ารักเหมือนโจชัวร์จะโดนไล่ถีบรอบมหา’ลัยหรือเปล่าวะ ถ้าเมื่อไหร่ซื้อบ้านสักหลังเป็นของตัวเองได้ จากตุ๊กตาหมาคงกลายเป็นตัวจริง ให้เลี้ยงสองตัวเลย!

“คือ...”

“ตุ๊กตาหน้าเหมือนมึงดี กูชอบ”
หูย เข้าอ่อนแทบล้มทั้งยืน พี่ทาวน์แอบบอกชอบผมทางอ้อมหรือเปล่า ร้ายนะเนี่ย แฟนใครหว่า โอย อยากกลับคอนโด จะฟัดให้หนำใจเลย

“ชอบผมหรือตุ๊กตา”
ผมถามย้ำในขณะที่โน้มหน้าเข้าไปใกล้ คนรอบด้านกลายเป็นอากาศธาตุทันทีเมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคน ถ้าไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ใครจริงไหม

“ทั้งสอง”
คนตอบแก้มขึ้นสีระเรื่อน่ารักน่าหยิก ผมรีบผละตัวออกก่อนจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว หันหน้าหนี เม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็หลุดพูดอยู่ดี ก็มันเก็บไว้ไม่ได้แล้ว

“โอย ทำไมน่ารักขนาดนี้วะ”
อยากปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องจริงๆ ยืนยันรอบที่ล้าน

“หึ ไปเรียกไอ้แฮมมาถ่ายรูปให้สิ ยืนอยู่ตรงนั้น”
จอมเปลี่ยนเรื่องชี้โบ้ชี้เบ้ให้มองเพื่อนที่ยืนอยู่ไม่ไกล รายนั้นกำลังยืนคุยอยู่กับใครบางคน ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นผ่านๆ ผมพยายามนึกจนในที่สุดก็ถึงบางอ้อ เอาจริงดิ!

“เฮ้ย นั่นมันรุ่นพี่ที่เราเจอกันเมื่อวันนั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมถึง...”
หอบดอกกุหลาบช่อโตมาล่ะวะ กอไผ่ของพี่แฮมน่ารื้อค้นฉิบหาย ความลับไม่มีในโลก จำไว้!

“อืม เดี๋ยวชัวร์เมื่อไหร่มันคงเปิดตัวเอง”
สรุปว่าจะไม่มีใครสนผู้หญิงกันแล้วใช่ไหม... เออ แค่คบเพศเดียวกันอะไรๆ มันก็สบายกว่าเยอะ แถมไม่ต้องกังวลเรื่องท้องด้วย หึหึ (สมองคิดอยู่แค่นี้จริงๆ สินะ ไม่มีเวลาไหนเลิกหื่นได้เลย เฮ้อ)

ผมทิ้งพี่ทาวน์ไว้กับกองของขวัญแล้วเดินออกมาจับผิด เอ้ย เรียกพี่แฮมให้ช่วยไปเป็นตากล้อง รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้นเมื่อเป้าหมายทำท่าจะเอนหัวไปซบไหล่รุ่นพี่คณะบริหารคนเดิมที่เคยเจอกันในร้านก๋วยเตี๋ยว ประเจิดประเจ้อขนาดนี้ไม่ต้องเปิดตัวแล้วมั้ง

“พี่แฮม”
ผมแกล้งเรียกเสียงใสโบกมือทักทายหลังจากแอบดูอยู่นาน เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกรีบผละตัวออกห่างจากรุ่นพี่ทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวัล ดวงตากรอกไปมาเหมือนกำลังเตรียมคำโกหกแต่ไม่ลืมที่จะตั้งคำถามชวนมีพิรุธ

“เฮ้ย! มะ มึงมาได้ไง”
ก็รู้ๆ ว่าผมเป็นอะไรกับใครยังเสือกตั้งคำถามแบบนั้น โธ่ พ่อนักกินริอ่านจะมีความลับ หึหึ

“เอ้า ก็แฟนผมเรียนหมอเหมือนกันเถอะ ทำไมจะมาไม่ได้วะ”

“อะ เออ กูลืมไป”
หน้าเสียไปอีก โอย อยากจะขำก๊ากแต่ต้องเก็บอาการเดี๋ยวไก่ตื่น

“พี่ทาวน์ขอให้ช่วยไปถ่ายรูปให้หน่อย”
ผมบอกธุระที่อุตส่าห์เดินมาหาเขา พี่แฮมขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ห๊ะ ทำไมต้องกู”

“ไม่ได้เหรอ”
ทำหน้าหมาอ้อนไปทีหนึ่งแต่ดูเหมือนพี่แฮมกำลังจะปฏิเสธผมเลยเหลือบตามองรุ่นพี่คณะบริหาร คราวนี้คนมีพิรุธถึงกับเดินมาตบบ่ากันทันที แหมให้ไกลถึงดาวอังคารคงน้อยไปเนอะ

“เฮ้ย เรื่องแค่นี้ ได้ดิ ปะๆ”
กอดคอผมอย่างสนิทสนมแล้วรีบออกแรงผละให้เดินไปข้างหน้า แต่นายภาคินมันคนดีไงเลยเป็นห่วงคนที่ยืนดูเหตุการณ์เงียบๆ ไม่หือไม่อือคล้ายพี่ทาวน์เลยว่ะ โคตรเดาอารมณ์ยาก

“แล้วพี่คนนั้น...”

“หา เอ้อ กะ ก็รุ่นพี่ที่รู้จักไง”
จ้า นึกว่าลืมไปแล้วว่าแนะนำตัวรุ่นพี่กับพวกผมว่ายังไง ถ้าไม่สนิทเขาจะมางานรับเสื้อกาวน์แบบนี้เหรอพี่แฮม... โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่เนอะ!

“ผมยังไม่ได้ถามอะไรเลย ร้อนตัวนะเรา”
ผมว่าเสียงล้อแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มมองสลับระหว่างพี่แฮมกับรุนพี่คนนั้น เขากลบเกลื่อนโดนการเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับใบหน้ากันก่อนบังคับให้มองตรงไปจังพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล แม่ง กระดูกคอแทบเคลื่อน!

“โอ๊ย ไม่มีอะไรหรอก รีบๆ ไปถ่ายรูปเหอะ”
ถ้ากูยังขืนนิ่งอยู่ที่เดิมคงโดนว่าที่หมอจับเชือดแน่นอน

หลังจากที่ใช้งานตากล้องจำเป็นเสร็จก็ได้เวลาที่เราจะแยกย้ายไปทำธุระอย่างอื่นต่อ วันนี้มีงานรับเสื้อกาวน์แล้วยังมีการย้ายคอนโดของพี่ทาวน์อีกด้วย ฤกษ์ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว โอย ตื่นเต้นจนอยากลงไปดิ้นกับพื้น

ในขณะที่ผมรอรับเสื้อกาวน์จากพี่ทาวน์นั้น ว่าที่หมออีกคนก็เดินตรงมาทางนี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้านหลังมีขี้ข้ากิตติมาศักดิ์เดินตามต้อยๆ และเหมือนมันกำลังประสบปัญหาการถือของ โง่ไม่โง่ก็ทำช่อดอกไม้ตกกระจายบนพื้นล่ะวะ เกลื่อนจ้า ภารโรงด่ามึงแน่ๆ

“พวกมึงจะไปไหนกันต่อปะ”
ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วมองผมสลับกับเพื่อนของตัวเอง มีแอบยิ้มกริ่มสงสายตารู้ทันให้อีกด้วย เดี๋ยวนะพี่ฟา นี่ยังไม่ได้แสดงท่าทางแปลกๆ เลย ล้อเลียนกันตลอดเว้ย

“กลับไปขนของ”
คนตอบเป็นพี่ทาวน์ไม่ใช่ผม เพราะอีกคนส่งน้ำมาให้ดูดพอดี บริการระดับพรีเมี่ยมหาได้จากแฟนนี่ล่ะ ประทับใจสุดๆ

“ขนไปไหนไอ้เมือง”
พี่ฟาขมวดคิ้วแน่นแล้วโน้มตัวมาใกล้เป้าหมาย สายตาคาดคั้นอย่างเต็มที่ แต่มีหรือพี่ทาวน์จะหวดหวั่น รายนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสาเข็มอีก

“ย้ายคอนโด”
ตอบเหมือนบอกว่าไปกินข้าวเที่ยง หึหึ เฉยชาสุดๆ

“ห๊ะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง จะย้ายไปไหนอะ”
พี่ฟาถึงกับเข้าไปเขย่าแขนเพื่อนด้วยความอยากรู้ พี่ทาวน์ฟาดมือซุกซนนั่นแล้วขยับมาเบียดผมเพื่อหนีการเกาะแกะ

“คอนโดไอ้เจ็ท”
เสียงเบาแทบกระซิบแค่ไอ้คนหูดีกลับแทบป่าวประกาศให้คนรอบหอประชุมรับรู้ ใจเย็นๆ ครับ พวกผมจะแต่งงานเมื่อไหร่ค่อยทำแบบนี้แล้วกัน

“หง่อว! พัฒนาโคตร”
พี่ฟาบอกปากแซวแล้วเข้ามากระแซะไหล่เพื่อนแรงๆ จนพี่ทาวน์เซมาชนผมทั้งตัว ดีที่คว้าเอวสอบไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงหน้าคะมำจับกบบนพื้น

“จะไปช่วยขนเหรอ”
อย่าหาความเขินจากพี่ทาวน์ในเวลานี้ เพราะเขากำลังต้อนเหยื่อให้ติดกับมากกว่า การย้ายที่อยู่ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้ามีคนช่วยเพิ่มขึ้นคงดี

“เปล่าเว้ย ถามเฉยๆ เดี๋ยวกูจะพาเด็กน้อยไปกินข้าวเที่ยงละ”
พี่ฟาชี้ไปทางไอ้ฟาร์มที่ยังวุ่นวายกับการเก็บกลีบกุหลาบบนพื้น ปลายหางตาเห็นพี่ทาวน์เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ส่วนผมอยากจะหัวเราะให้คอแตก คนหลงแฟนนี่ไม่ได้มีแค่กูคนเดียวสินะ เด็กน้อยล้าอะไรตัวอย่างกับควาย

“เอาใจกันจริง”

“นิดนึงน่า สามีกูทั้งคนอะ”
โอ้โห ทั้งผัวทั้งเมียเลยจ้า

“อายปากบ้าง”
พี่ทาวน์ถึงกับส่ายหัวเพราะทนความเป็นพี่ฟาไม่ได้ ออกตัวแรงกว่านี้ก็ซุปเปอร์คาร์ติดเทอร์โบแล้วครับ

“คิก งั้นกูไปแล้วน้า แต่งเมื่อไหร่บอกกูด้วย”
พี่ฟาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะวิ่งไปลากไอ้ฟาร์มให้เดินตามดูเหมาะสมกันเหลือเกินคู่นี้ ส่วนพี่ทาวน์ทำได้แค่ตะโกนไล่หลังเพื่อนทั้งที่หน้าแดงเถือก ไม่รู้ว่าเขินหรือโกรธ

ผมยัดของทุกชิ้นไว้หลังรถก่อนจะเอื้อมหยิบไม้แขวนเพื่อเก็บเสื้อกาวน์ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินวนกลับไปฝั่งคนขับเพื่อทำหน้าที่สารภีให้กับคุณแฟน เขานั่งหลับตานิ่งๆ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอคงกำลังผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ปล่อยให้พักผ่อนแล้วกัน

รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากลานจอดไปตามเส้นทางมุ่งสู่คอนโดหรู ผมเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะก็พบว่าเขาลืมตาแล้วและกำลังง่วนอยู่กับการหาคลื่นวิทยุเพื่อฟังเพลง คลาสสิกไปอีก

“ทำอย่างที่พี่ฟาบอกดีไหมครับ”
ผมรอโอกาสพูดเรื่องนี้ตั้งแต่ขึ้นรถมา ไม่ใช่แค่อยากแกล้งให้เขาเขิน แต่กำลังจริงจังกับความสัมพันธ์ของพวกเรามากขึ้นไปอีกขั้น

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะฮัมเพลงสากลตามวิทยุ

“ก็เรื่องแต่งงานไง”
ผมพูดจบทุกอย่างก็เงียบลงทันที แอบหวั่นใจว่าจะถูกพี่ทาวน์ด่าแต่กลับผิดคาดเมื่อโดนตั้งคำถามกลับมา

“หึ มีเงินมาขอกูเหรอ เรียกแพงนะ”
เหนือความคาดหมายคือการถามหาสินสอดเว้ย ผมแทบจะเหยียบเบรกแล้วตอบคำถามของพี่ทาวน์อย่างจริงจัง แต่คิดทบทวนดูแล้วคงมากเกินไปเลยทำแค่ชะลอรถแล้วพูดสิ่งที่คิด

“ชีวิตของผมทั้งหมด พอไหมครับ”
ถ้าเขาตอบว่าไม่พอผมกลายเป็นหมาเลยนะ ลุ้นฉิบหาย มือชื้นเหงื่อหมดแล้วเนี่ย

“ไม่ลงทุนเลย”
พี่ทาวน์ส่งนิ้วมาเคาะหัวกันแล้วเบะปากใส่ มันน่ารักจนผมแทบพุ่งไปจูบ แต่ตอนนี้ขอเคลียร์เรื่องสินสอดก่อน



ต่อด้านล่างจ้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ก็ตอนนี้ผมไม่มีรายได้เป็นของตัวเองนี่น่า”
ผมบอกเสียงอ่อย ทำหน้าเศร้าคล้ายลูกหมาโดนเจ้าของทิ้ง ส่วนพี่ทาวน์ก็หัวเราะชอบใจที่ได้เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของแฟนตัวเองก่อนจะเอื้อมมือมาโคลงหัวกันด้วยรอยยิ้มละมุน ตบหัวแล้วลูบหลังปะเนี่ย

“เรียนจบค่อยมาคุยเรื่องนี้ใหม่”
แสดงว่าผมมีหวังใช่ไหม! เผลอเหยียบเบรกจนหัวทิ่มทั้งคู่เลยโดนพี่ทาวน์ต่อยแขนเขาให้แบบไม่ยั้งมือแถมด้วยการแยกเขี้ยว แต่อย่าคิดว่านายภาคินจะกลัว ตอนนี้อยากรู่เรื่องแต่งงานมากกว่า

“ทาวน์... จะยอมแต่งกับผมเหรอ!”
ผมทำตาวิบวับใส่พี่ทาวน์ ตอนนี้เราอยู่หน้าคอนโดพี่ทาวน์แล้ว ดีหน่อยที่เมื่อครู่ไม่มีรถตามหลัง ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคงโดนโกรธเป็นเดือนแน่

“กูพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
เอ้า... แล้วประโยคนั้นไม่ได้หมายความแบบนี้เหรอ หมาหงอย หมาเหงา หมาเศร้ามาครบ ฮึก

“ง่ะ...”

“ไปๆ ถ้าชักช้ากูไม่ย้ายคอนโดแล้วนะ”
คราวนี้พี่ทาวน์ทำเสียงดุก่อนพยักพเยิดหน้าให้ผมขับรถเข้าลานจอดสักที ทำไมชีวิตช่างโหดร้ายแบบนี้!

“ตกลงแล้วห้ามเปลี่ยนใจครับ!”

หลังจากที่รวมพลคนย้ายของได้สี่ชีวิต มีผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธ และคนสุดท้ายคือจิณณ์ ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงในการขน จัดห้องใหม่กันเรียบร้อยก็นอนแผ่อยู่บนพรมหน้าทีวี ไม่ไหวจริงๆ เหนื่อยอย่างกับไปวิ่งรอบสนามสิบกิโลเมตร

“กูจะนอนห้องเก่าจิณณ์แล้วกัน”
คนที่นอนบนโซฟาพูดขึ้นลอยๆ ทำให้ผมลืมตาพรึบด้วยความตกใจ ย้ายมาอยู่ด้วยกันแต่นอนคนละห้องคืออะไรวะ

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ได้ไงครับ ย้ายมาแล้วก็ต้องนอนกับผมสิ”
ผมโวยวายเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองพี่ทาวน์ด้วยสีหน้าเครียดขึง ไม่เอาแบบนั้นนะเว้ย นายภาคินมันเป็นคนโลภมากไง อยากมีพี่ทาวน์ไว้ข้างตัวทุกวันและนอนกอดทุกคืน

“ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ”
พี่ทาวน์ลุกขึ้นนั่งไม่ต่างกันแต่กลับกอดอกแล้วมองผมอย่างคาดคั้น เหตุผลดีๆ สักข้อคงไม่มีหรอก มีก็แค่เด็กขาดความอบอุ่นและติดแฟน

“อยากนอนกอดแฟนนี่นา”
ผมบุ้ยปากเหมือนเด็กโดนขัดใจ ดวงตาคมช้อนมองคนบนโซฟาอย่างออดอ้อนหวังว่าเขาจะอ่อนให้ แต่พี่ทาวน์ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างการวางมือลงบนหัวกันแล้วโคลงเบาๆ ท่าทางคล้ายเจ้าของเอ็นดูหมาที่เลี้ยงไว้ โธ่แฟน...

“ถ้าวันหนึ่งกูไม่อยู่ขึ้นมาจะทำยังไง”
ทำไมอยู่ๆ เข้าโหมดดราม่าวะ ผมขมวดคิ้วแล้วจับมือพี่ทาวน์มาบีบไว้แน่น ทำไมพูดแบบนั้น ใจจะพัง

“พี่คิดจะทิ้งผมเหรอ!”

“กูหมายถึงเวลาไม่ว่างเจอกัน”
โป๊ก โดนเคาะหัวจนมึนเลย เจ็บอะ

“อ๋อ... ก็คงคิดถึงพี่”
ผมยิ้มแห้งตอบกลับพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวป้อยๆ พี่ทาวน์มองก่อนจะถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้ม อารมณ์แปรปรวนเหลือเกินที่รัก

“ไม่งอแงเหรอ”

“งอแงสิ แต่ไม่ทำให้ลำบากใจแน่นอน”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง แล้วเนียนซุกหน้าลงกับต้นขาขาวๆ ที่โผล่พ้นกางเกงตัวจิ๋วออกมา ถูไถแก้มเบาๆ อย่างออดอ้อน ชอบช่วงเวลาแบบนี้ที่เขาไม่ปฏิเสธแถมด้วยการหัวเราะ

“น่ารัก”
คำชมทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะถือวิสาสะกดจูบลงบนต้นขาขาวอย่างทะนุถนอม จริงๆ อยากกัดมากกว่าแต่กลัวโดนถีบยอดอกจนจุก

“ตอนนี้เรามีเวลาให้กันก็ควรใช้มันให้คุ้มไม่ใช่เหรอครับ”
เหตุผลเบสิกที่ผมพูดออกมาจากความรู้สึก ไม่มีการปรุงแต่งให้ฟังดูดี เพราะความเป็นจริงแล้วเวลาของเราทุกคนเดินเร็วยิ่งกว่ารถซุปเปอร์คาร์ซะอีก ควรใช้มันให้คุ้ม

“หึหึ โอเค กูยอมแพ้”
พี่ทาวน์บอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงด้วยความมันเขี้ยว หลังจากนั้นก็โถมน้ำหนักทับกันเต็มๆ ฟัดกันไปฟัดกันมาจนหอบเหนื่อยไปอีกรอบ อยากตะโกนว่ามีความสุขให้ก้องโลกจริงๆ

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผมเปียกลู่กับชุดนอนย้วยๆ เห็นพี่ทาวน์กำลังเปิดตู้เย็นแล้วรื้อของอยู่ทำให้ต้องเดินเข้าไปถามด้วยความอยากรู้ ทำอะไรของเขานะ

“อยากกินอะไร”
อีกฝ่ายคงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้าไปเลยเอ่ยปากถามตัดหนาก่อน ผมชะงักกึกก่อนที่รอยยิ้มตรงมุมปากจะผุดขึ้น ตั้งแต่เริ่มทำอาหารเป็นเขาก็น่ารักขึ้นเป็นกอง

“หืม ทาวน์จะทำเหรอครับ”

“อืม”

“เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ ให้ผมทำเถอะ”
ไม่ใช่ว่าเขาทำไมอร่อย แต่ผมอยากให้พักผ่อนมากกว่า ก็เล่นตื่นตีห้าไม่เพลียยังไงไหว

“อยู่เฉยๆ น่า”
นายภาคินโดนดุแล้วไง แถมโดนก้านผักบุ้งฟาดเอาด้วย

“ทำไมล่ะครับ ผมอยากให้ทาวน์พักผ่อน”
ผมก้มลงเก็บซากผักบุ้งเมื่อครู่ทิ้งลงถังเพราะสภาพมันซีดจนเกินเยียวยา พี่ทาวน์หยุดรื้อค้นตู้เย็นแล้วหันมาจ้องกันเขม็ง

“กูอยากเอาใจแฟนไม่ได้หรือไง”
โอย ชอตนี้น้องยอมแล้วครับพี่ ผมก็อยากเอาทาวน์เหมือนกัน... (มันใช่เหรอเจ็ท)

“ทาวน์กำลังยั่วผมนะ”
ผมเดินเข้าไปประชิดตัวเขาแล้วโน้มใบหน้าลงจนปลายจมูกของเราแตะกัน มือหนารวบเอวสอบมากอดไว้ รั้งให้ร่างกายแนบกัน

“มโน”
โดนดีดปลายคางดังป๊อก เจ็บแต่ไม่ยอมแพ้!

“ก็ทาวน์แม่งทำตัวน่ารักอีกแล้ว”
ครวนี้ผมขโมยจูบคนตรงหน้าได้ ก่อนจะผละออกแล้วโดนพี่ทาวน์แยกเขี้ยวใส่ ฮือ น่ารักจนใจจะพัง เมียใครเนี่ย!

“มึงก็หื่นตลอดเวลา”
ยอมรับหน้าด้านๆ เถียงไม่ออกเลยจ้า

“ไม่ได้เหรอ คิดถึงจะแย่”
ห่างกันเป็นเดือน น้องเจ็ทคิดถึงพี่ทาวน์สุดๆ เลย

“งอแง”
ว่าผมแต่แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศคืออะไรครับ แล้วนิ้วเรียวที่เกลี่ยกรอบหน้ากันคือยั่วใช่ไหมหรือยังไง

“นะครับ น้า”
อ้อนทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาแถมด้วยการซุกจมูกลงบนต้นคอขาว แม่งเอ๊ย หอมจนอยากจะเลียไปทั้งตัว ทำไม ทำไมกูหื่นแบบนี้!

“ไม่”
แทบล้มทั้งยืน ไม่นะ ผมต้องไม่แพ้

“พี่ทาวน์ของน้องเจ็ท ~”
อ้อนขั้นแอดวานซ์ถึงจะโคตรอายก็เถอะ แต่เหมือนมันจะได้ผลเพราะพี่ทาวน์หน้าแดงกว่าเดิมบวกกับการขบกรามแน่น

“ไอ้เจ็ท...”
พี่ทาวน์เรียกดันเสียงต่ำแล้วเลื่อนมือลงมาขยำอกเสื้อของผมจนยับยู่ยี่ก่อนที่ใบหน้าจะซบลงเหมือนต้องการหลีกหนีสายตาหวานช่ำที่จ้องมองอยู่

“ไม่รักผมเหรอ”

“เกลียดมึงมั้งทุกวันนี้”
ทุบอกผมอีก จะเขินรุนแรงเกินไปแล้ว แต่โคตรน่ารัก หูแดงด้วย!

“งั้นขอไม่ได้เหรอ...”
ลองพยายามอีกครั้งด้วยการกระซิบข้างหูแล้วแกล้งแลบลิ้นเลียซอกคอขาว พี่ทาวน์สะดุ้งเฮือกก่อนปัดป่ายมือจนตบเข้าหน้าผมเต็มๆ โอย ซี๊ดเลยกู

“รำคาญ”
พี่ทาวน์สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดแล้วจ้องหน้ากันเขม็ง

“.....”
ผมนิ่งเงียบแล้วก้มหน้าลงต่ำ ยอมแพ้ก็ได้

“จะทำอะไรก็ทำ แต่ขอสเต็กปลาหิมะ หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว โซบะกุ้งเทมปุระมาแลกก็พอ”
ตอนนี้หูฉลามน้ำแดงผมก็หามาให้พี่ได้ครับ เชื่อสิ!

ตั้งแต่วันนั้นที่ร้านดอกไม้จนถึงวันนี้ ผมอยากขอบคุณพี่ทาวน์ที่ยอมใจอ่อน ยอมให้รัก ยอมให้ดูแล และใช้ชีวิตร่วมกัน ต่อจากนี้ไปขอสัญญาว่าถึงแม้จะมีอุปสรรคผ่านเข้ามามากมายแค่ไหนก็จะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่มีวันปล่อยมือพี่ทาวน์อย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรจะบอก นอกจากว่า ผม ‘ชนะใจหมอ’ แล้วนะ




-----------------------------------------------

จบแล้ว ~ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาอย่างยาวนานน้า
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ติชมและให้กำลังใจ
เรื่องภาค 2 เรายังไม่ได้วางแพลนเลย ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคต ฮือ

ติดตามเรื่อง Match ต่อกันได้ในแบบรูปเล่มนะ รับรองว่าตอนพิเศษจะทำให้ฟินสุดๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ชนะใจหมอไม่พอ อ้อนจนพี่มันใจอ่อนยอมตามใจตลอด
 :-[ :-[ :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งื้ออออออ จบแล้วหรอออ ยังไม่อยากให้จบ ชอบบบบบอะชอบบบบบบบบบ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
พลาดเรื้องนี้ตั้งแต่แรกได้ไง ชอบมากค่ะ
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ

ขอบคุณคุณคนเขียนมากค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พี่ทาวน์ทำอะไรหรือพูดแบบไหนเจ็ทสามารถมโนได้หมดว่าพี่ทาวน์ยั่ว555555 หื่นตลอด ขอบคุณค่ะสนุกมาก รอเรื่องต่อไปนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด