[เรื่องสั้น] Since the love song - จนกว่าจะถึงเพลงรัก 13 - Special [31.07.60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Since the love song - จนกว่าจะถึงเพลงรัก 13 - Special [31.07.60]  (อ่าน 2860 ครั้ง)

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************

Since the love songs
จนกว่าจะถึงเพลง
ร้องเพลงเศร้ามาก็มาก
กว่าจะได้ร้องเพลงรักก็ตอนที่....
นริศ - กวิน
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 13:37:33 โดย sunnandsky »

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
01
 
 
 
 
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดสักแห่ง ~ ~
 
"มันเป็นไรอ่ะ"
 
ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านของเพื่อนร่วมแก๊งทำเอาคนที่นั่งคำนวณผลแล็ปอยู่ชักเซ็งจนต้องเปิดปากถามให้รู้เรื่องกันไปข้าง เกื้อเพ่งตามองอาการที่แลดูว่าจะคุ้น ๆ ของเพื่อนรักด้วยความสงสัย
 
"อกหัก"
 
คราวนี้เพื่อนอีกสองคนถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบตากันเมื่อมีผู้รู้อาสาบอกถึงสาเหตุอาการหมาบ้าเข้าสิงพระเอกของแก๊ง สายตาทุกคู่ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจเมื่อทราบถึงสาเหตุแต่กลับแสดงความอ่อนใจเมื่อนึกได้ว่าเพื่อนของตัวเองถูกบอกเลิกมาอีกแล้ว ทั้งที่หน้าตาก็ดี เรียนก็อยู่ในระดับท็อป ฐานะทางบ้านก็ใช่ว่าจะด้อยไปกว่าใคร แต่กลับไม่มีแม่สาวคนไหนทนคุณชายนริศหรือนิคได้นานกว่าหกเดือนสักคน
 
"ดูดิ๊ นั่งงุ่นง่านยังกะหมาบ้า ใครเข้าหน้าไม่ติดสักคน" เสียงกระซิบกระซาบที่ตั้งใจให้คนเจ้าอารมณ์ได้ยินของนิว ทำให้เบสต้องรีบตะปบปากคนตัวเล็กไว้ก่อนที่นิคจะถลามาปาดคอญาติผู้พี่แต่อายุเท่ากัน
 
ดวงตาเรียวมองมือหนาที่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนตามอารมณ์ก็ทำหน้าแหยง โอ้ย!เห็นแล้วเบสกลัวเถอะ เกิดนิคมันบ้าเอามีดมาไล่กระซวกพวกเขาตอนนี้ที่นี่มิกลายเป็นห้องซ้อมผีสิงเรอะ หมอนี่ไว้ใจไม่ได้หรอก ยิ่งมีนิวคอยเติมเชื้อไฟอย่างนี้ เขาไม่รู้ว่าที่บ้านของไอ้สองคนนี้เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานมาแบบไหน ถึงได้ร่ำ ๆ จะมีเรื่องกันได้ตลอดเวลาที่โอกาสมาถึงเบสส่งสายตาไปหาเกื้อที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะตัวเล็กขณะที่นิ้วเรียวก็กระหน่ำลงไปบนแอพพลิเคชันแชทของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด...
 
ใบหน้าหล่อจัดบิดเบี้ยวขัดใจกับผลแล็ปที่คำนวณได้ เกื้อปาปากกาลงบนโต๊ะ ไม่ทำแล้วโว้ย! คืนนี้ค่อยว่ากันใหม่เถอะ ผ่านไปแค่อึดใจเดียวมือเบสทายาทอสูรก็ล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารชนิดเดียวกันกับของเพื่อนขึ้นมามองแล้วจึงส่งข้อความตอบกลับไปบ้าง 'อยากรู้ก็ถามสิ' และไม่ต้องรอนานไปมากกว่านั้นอีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาอีกครั้ง 'มึงถามดิ๊ กูไม่สนิทกับมัน' เกื้อจิ๊ปากพร้อมกับถลึงตาใส่เจ้าของข้อความ ไม่สนิทแต่ทุกวันนี้ก็แทบจะกินนอนบ้านมันได้เนี่ยนะ เกื้อทำท่าฮึดฮัดขัดใจพองามสุดท้ายจึงยอมพยักหน้าแบบเสียไม่ได้ ต่อให้ดึงดันยังไงลองมาอีหรอบนี้ก็ไม่พ้นเขาอยู่ดีละวะ
 
ใบหน้าคมเข้มหันไปหาตัวต้นเหตุความอึมครึมของห้องซ้อมในวันนี้ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์พระเอกละครเรื่องใหม่ล่าสุด.. 'ทำเป็นรักแทบตายสุดท้ายมาบอกเลิกกู' เป็นไง ชื่อเรื่องบาดใจดีมั้ยล่ะ!
 
"นิค มึงเลิกกับน้องแม็กกี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ" คงด้วยความไม่เสถียรของอารมณ์บวกกับคำถามแทงใจ ทำเอาสามชีวิตที่นั่งจ้องรอคำตอบหัวใจกระตุกวาบกับสายตาเย็นเยียบที่คนอกหักส่งมา ริมฝีปากสีเลือดเหยียดออก สะบัดรอยยิ้มเย็นชาใส่เพื่อนผู้โชคร้าย
 
"เมื่อวาน..จบนะ ไม่ต้องถามต่อ กูไม่อยากพูดถึง" ให้คำตอบเสร็จก็ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสัมภาษณ์ช่วงแรก รายละเอียดปลีกย่อยเป็นเรื่องของอนาคตซึ่งไม่ยากถ้าอยากจะรู้ ก็ไอ้น้ำยาคายความลับของของพวกมักเกิ้ลอย่างเขามันไม่ได้ปรุงยากเหมือนสัจจะเซรุ่มของพวกพ่อมดหมอผีในวรรณกรรมเยาวชนบันลือโลกอย่างแฮรี่ พอตเตอร์นี่นา จะด้อยกว่าก็ตรงที่ต้องใช้ปริมาณมากกว่าก็เท่านั้น
 
นริศทิ้งสายตาขุ่นมัวใส่เพื่อนทั้งสามชีวิตอีกครั้งแล้วจึงปล่อยตัวเองเข้าสู่โลกส่วนตัวต่อไป ร่างสูงเอนกายลงพิงกับโซฟาตัวเล็กดังเดิมแล้วจึงปิดเปลือกตาไม่รับรู้อะไรอีก มือหนายกขึ้นเค้นคลึงขมับทั้งสองข้างด้วยเรื่องที่คิดไม่ตก
 
ทำไม..คำถามสั้น ๆ ที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า 'ขอให้เลิกกัน'
 
เธอบอกว่าเขาไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยอยู่ด้วยในเวลาที่ต้องการ ไม่โรแมนติกอย่างแฟนคนอื่น สุดท้ายยังตราหน้าให้เขาเจ็บร้าวกับคำกล่าวหาที่แสนรุนแรงว่าบทรักของเขามันไม่ได้เรื่อง! เออเว้ย! แล้วไอ้ที่ร้องครวญครางจะเป็นจะตายตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นมันเรื่องลวงโลกของเจ้าหล่อนหรือไง
 
สุดท้ายลมหายใจที่ติดขัดก็ถูกพ่นออกจากจมูก ชายหนุ่มลืมตาแล้วสบถกับตัวเองเบา ๆ เผลอพูดดังไปสิจะได้เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของชมรมดนตรีผู้รักเสียงนินทามากกว่าเสียงเพลงไปได้
 
เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจอาการฟาดงวงฟาดงาของตนเองแล้วเพราะเพื่อนแต่ละคนดูจะมีโลกส่วนตัวกับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองนิคจึงปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
 
ทางด้านสามทหารเสือที่ยังคงนั่งปักหลักอยู่กลางห้อง อาศัยเทคโนโลยีนินทาเพื่อนด้วยความเมามัน และประเด็นล่าสุดที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารของนิวก็คือ..คืนนี้จะจับพระเอกละครไปกรอกน้ำยาคายความลับที่ไหน ความเงียบแปลกประหลาดของห้องชมรมทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ขมวดคิ้วแปลกใจ มือน้อยปลดกระเป๋าสะพายข้างออกจากไหล่แล้วเดินไปวางบนโต๊ะตัวเล็ก ทั้งที่ไอ้สามทหารเสือมันก็อยู่ครบ ประธานชมรมคนใหม่ก็ด้วยแล้วทำไมวันนี้มันถึงไม่มีเสียงตีรันฟันแทงเหมือนทุกที
 
กวินหรี่ตามองเป็นคำถามถึงความเงียบที่ไม่ชอบมาพากลแล้วจึงขยับเท้าเข้าไปหาคนที่เป็นเหมือนน้องชายคนสนิท ร่างเล็กเบียดตัวลงนั่งกับนิวพลางรับโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเต็มไปด้วยข้อความของอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน หลังจากนั่งอ่านจนได้ความกระจ่างแล้วกวินก็ลุกขึ้นยืน คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่เดินอาด ๆ เข้าไปที่มุมห้องโดยไม่สนใจอารมณ์ดำทะมึนของฝ่ายที่นั่งอยู่ ทันทีที่เข้าถึงตัวมือเล็กก็ตบลงบนหัวไหล่ห่อเหี่ยวของนริศด้วยความแรงที่มากกว่าแผ่นดินไหวระดับเจ็ด..
 
ปั่ก!
 
นิคเงยหน้าขึ้นมองคนที่ประทุษร้ายตัวเองทันที ใบหน้าหล่อจัดไร้รอยยิ้มปรายตามองเจ้าของมือที่วางอยู่บนไหล่ คิ้วเข้มมุ่นเข้าแฝงรอยรำคาญใจให้อีกฝ่ายได้เห็นอย่างชัดเจน
 
"เป็นอะไรไปไอ้หนู มานั่งอึมครึมกดดันชาวบ้านเค้าแบบนี้กลัวไม่มีใครเหม็นขี้หน้าหรือไง" คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย(?)จากคนช่างเจรจาไม่ได้รับการสนใจจากฝ่ายที่ยังคงสร้างความอึมครึมปิดกั้นตัวเองด้วยความเงียบ และเมื่อเห็นว่าน้องชายร่วมวงยังเงียบ คนที่ไม่ค่อยมีความอดทนกับอะไรนาน ๆ จึงหมุนตัวกลับหลังเพื่อไปทำหน้าที่รองประธานชมรมดนตรีสากลให้คุ้มกับที่ได้รับตำแหน่งมา
 
คนตัวเล็กเสียบสายกีตาร์ตัวเก่งเข้ากับลำโพงขนาดเล็กที่ใช้ซ้อมเป็นประจำจัดแจงทดสอบเสียงอยู่ชั่วครู่แล้วจึงกระตุกยิ้มให้สามชีวิตที่ยังคงนั่งปักหลักนินทาเพื่อนอยู่กลางห้อง
 
เสียงกระแอมไอดังคล้ายเป็นสัญญาณให้ทุกสรรพสิ่งนิ่งเงียบเพื่อรับฟังความไพเราะจากนักดนตรีร่างเล็ก มือบางกรีดลงไปบนสายกีตาร์ก่อนเริ่มเข้าสู่ตัวโน้ตแรกและทำนองเพลงที่คุ้นหูก็ลอยขึ้นมา..
 
"อย่ามาให้เจออีกเลย เฉยเฉยไปเลยดีกว่า
เจ็บเกินไปที่จะคบหา ไม่อยากจะมองเห็นหน้าใครใคร
ไปไกลไกลให้ห่างกัน เห็นแล้วฉันยิ่งเจ็บใจ
ไม่อยากจะได้ยินอะไร จากเธอฉันไม่อยากฟัง "

 
ทันทีที่เข้าสู่ท่อนฮุกนักร้องเบอร์หนึ่งของชมรมก็ลากเอาไมค์ตัวเก่งพุ่งไปเสียบกับลำโพงตัวที่หันหน้าเข้าหามุมห้องดำทะมึน นิวกรอกเสียงลงไปด้วยอารมณ์สนุกจนล้นปรี่ผิดกับเนื้อหาของเพลงที่เศร้าลึกบาดใจใครบางคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ในมุมมืด
 
"อยากจะมองฟ้าที่ว่างเปล่า เหงาเหงาคนเดียวลำพัง
ให้รอยร้าวมันเจือจาง ให้ใจมันดีกว่านี้บ้าง"

 
และเมื่อเข้าสู่เนื้อเพลงท่อนที่ต้องการมอบเป็นพิเศษให้กับนักร้องเบอร์หนึ่ง(อีกหนึ่งคน)ของวง เบสและเกื้อก็เดินเข้าไปร่วมสมทบกับมือกีตาร์หน้าหวานแล้วแหกปากตอกย้ำช่วงสุดท้ายของท่อนฮุกให้เข้าไปถึงใจเพื่อนร่วมวงอย่างพร้อมเพรียง
 
"อยากให้เธอนั้นลืมทุกสิ่ง และทิ้งฉันไว้ลำพัง
ฉันต้องการทบทวนบางอย่าง อยากอยู่เงียบเงียบคนเดียว... โว้วววว"
   
"กับเธอฉันคงไม่มี ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
เมื่อเราเดินอยู่คนละทาง ก็อย่าตอกย้ำให้ช้ำเกินไป
เธอจะเดินไปจากฉัน ฉันก็เสียทุกอย่างไป
โปรดอย่าบอกว่าเพราะอะไร อย่าเลยฉันไม่อยากฟัง
ใครจะดีจะร้ายยังไง ฉันไม่ต้องการฟัง
อยากจะปลดปล่อยทุกทุกอย่าง
อยากอยู่ลำพัง อยากอยู่คนเดียว ..
โว้วววว โวววววววว โหว้วววว โหวววววววววววว"

 
แถมท้ายสุดยังใจดีอิมโพรไวซ์นอกรอบให้อีกคนละทีจนคนที่เพิ่งอกหักมาหมาด ๆ อยากจะกระทืบขอบคุณเรียงคน!!
 
นิคพ่นลมออกจมูกแรง ๆ หวังระบายความเจ็บช้ำที่ถูกซ้ำเติม แต่ก็นั่นแหละ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนไอ้วงดนตรีมหาภัยนี่ทำร้าย อยู่ชมรมนี้หน้าตาดีอย่างเดียวไม่ได้หรอกจิตต้องแข็งด้วยไม่งั้นมีหวังได้ฆ่าตัวตายวันละหลายสิบรอบ ก็ไอ้ชมรมดนตรีสากลนี่มันมีสโลแกนอยู่ว่า 'ใครช้ำต้องซ้ำให้ตาย!' น่ะสิ
 
ร่างสูงกระแทกหลังกับโซฟาเมื่อเสียงปรบมือเปาะแปะราวกับผู้ชมมีนับล้านดังประสานกันขึ้นมาเมื่อจบเพลง
 
 
มือกีตาร์คนเก่งกลั้นยิ้มจนแก้มพองเมื่อแอบเห็นว่าไอ้หนุ่มมุมห้องทำได้เพียงส่งเสียงจิ๊จ๊ะบอกว่าขัดใจ แต่ไม่มีกำลังจะทำอะไรมากกว่านั้น ก็ลองอาละวาดสิ นอกจากจะอกหักเพราะถูกสาวทิ้งแล้วยังจะคอหักเพราะโดนกีตาร์ฟาดอีกรายการ
 
หลังจากจบการแสดงสดที่จัดเป็นพิเศษเพื่อคนอกหักแล้วกลุ่มนักร้องประสานเสียงโดยมิได้นัดหมายจึงเก็บข้าวของระเกะระกะให้เข้าที่เข้าทางดังเดิมเพื่อขยายพื้นที่เตรียมซ้อมแบบเต็มวงสำหรับงานกู้ดบายซีเนียร์ที่จะมาถึงในอีกเดือนกว่า ๆ
 
ความจริงแล้วในชมรมของพวกเขามีคนที่กำลังจะเรียนจบในปีนี้อยู่สี่คน แต่ถ้านับเฉพาะคนที่อยู่ในวงดนตรีมหาภัยนี่ก็มีแค่สอง ซึ่งสองคนนั้นก็คือประธานและรองประธานชมรม
 
หลังจากลากเอาเครื่องดนตรีออกมาตั้งวงกันกลางห้องแล้วแต่ละคนก็เข้าประจำที่ โดยที่มือกลองของวงกระหืดกระหอบเข้ามาถึงห้องซ้อมทันตามเวลาที่นัดไว้แบบไม่มีขาดไม่มีเกิน ธรพร่ำพูดขอโทษพร้อมกับบอกเหตุผลที่มาถึงช้าเพราะต้องเอางานไปส่ง ดวงตาคมเข้มสบประสานกับคนที่ยืนอยู่หลังอิเล็กโทนแล้วก็พยักหน้าให้แบบที่รู้กันสองคนว่าเป็นการรายงานตัวจากนั้นจึงเดินเข้าไปประจำที่
 
ดวงตากลมใสของคนที่เป็นหัวหน้าวงกวาดมองสมาชิกแต่ละคนที่กำลังปรับเสียงเครื่องดนตรีของตัวเองอยู่ กวินทำหน้าเมื่อยเมื่อหันไปเจอนักร้องนำอีกคนของวง ใบหน้าของนิคห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ท่ายืนพักขาทิ้งสะโพกบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังเบื่อหน่ายเพียงใด ท่าทางไร้อารมณ์ร่วมกับเพื่อนพ้องในวงจุดความไม่ชอบใจให้เกิดขึ้นในความรู้สึกของคนที่รักเสียงดนตรียิ่งกว่าสิ่งใด กวินยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ชักจะทนระอาใจกับอาการอกหักรักคุดที่ส่งผลกระทบกับคนอื่น ๆ ของนริศไม่ไหวสุดท้ายจึงตัดสินใจเรียกชื่อตัวการแล้วพูดขึ้นมาเรียบ ๆ
 
"นิค ถ้าวันนี้ไม่ไหวจะกลับไปก่อนก็ได้นะ นายไม่พร้อมเดี๋ยวจะทำวงล่มเปล่า ๆ ที่เหลือพวกเราซ้อมกันเองได้" ถ้อยความที่ชี้ชัดออกมาว่ากำลังตำหนิเจ้าของชื่อในประโยคทำเอาสายตาทุกคู่ย้ายไปรวมกันที่ใบหน้าหวานของคนพูด แต่สายตาของกวินกลับจับนิ่งอยู่เพียงใบหน้ามึนงงของนริศ ริมฝีปากได้รูปเตรียมจะขยับเป็นคำพูดบางอย่าง แต่คนตัวเล็กกว่ากลับหันหน้าไปหาน้องชายร่วมวงคนอื่นแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าพร้อมโดยไม่สนใจท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของคนที่ถูกทำเหมือนว่าเป็นตัวปัญหาในวันนี้
 
เก่งนักนะคุณกวิน ไอ้เรื่องกดดันคนอื่นเนี่ย!
 
เมื่อฝ่ายที่โดนตำหนิซึ่งหน้าเห็นว่าคนเป็นพี่ไม่ได้สนใจจึงหันซ้ายหันขวาหาเพื่อนร่วมวงคนอื่น เกื้อที่กำลังวุ่นกับการตบเบสส่ายหน้าเบา ๆ แล้วขยับปากบอกโดยไม่มีเสียงว่าให้ร้องต่อไปโดยไม่ต้องสนใจกวิน และนิวก็ยื่นหน้ามาบอกให้ทำแบบเดียวกัน เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงขยับไมค์ในมือให้มั่นกว่าเดิม ร่างสูงถอนใจเล็กน้อยกับโหมดเอาจริงของกวิน ถ้าไม่ติดว่าความรับผิดชอบมันค้ำคออยู่ตัวเป้งพ่อจะสะบัดตูดเดินออกไปจากชมรมให้รู้กันไปข้างเลยว่าครั้งนี้งอนจริง!
 
 
 
นริศพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเสียงตัวโน้ตสุดท้ายหยุดลง มือหนาสอดไมค์ไว้กับขาตั้งดังเดิม ทุกคนแลดูกระตือรือร้นที่จะเก็บของมากกว่าอ้อยอิ่งเช่นทุกครั้ง ทำงานกันเร็วแบบนี้แสดงว่ามีที่จะไปกันต่อแน่ ๆ คนเพิ่งถูกทิ้งดุนลิ้นกับแก้มในขณะที่ชั่งใจว่าจะไปสรวลเสเฮฮากับเพื่อน ๆ หรือหลบไปบำบัดสภาพจิตเพียงลำพัง เสียงแลกเปลี่ยนความคิดเสนอชื่อร้านดังมาให้ได้ยินโดยไม่มีใครเอ่ยปากชวนไอ้บื้อที่กำลังม้วนเก็บสายไมค์เงียบ ๆ (คนเดียว) นี่ถ้ามีสปอร์ตไลค์ส่องกลางหัวอีกนิดนริศเป็นพระเอกเอ็มวีได้เลยนะเว้ย!
 
"ร้านพี่ใหม่มั้ย วันนี้วันศุกร์ผมมีบัตรลดสีฟ้า" เป็นเกื้อที่ตะโกนขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่ามีบัตรลดประจำวันอยู่ ร้านที่ว่าคือร้านของพี่ใหม่ประธานชมรมคนก่อนโน้นที่เรียนจบจากคณะวิศวกรรมแต่ดันไปเปิดร้านเหล้าแถมยังไปได้สวยมากกว่าใคร ๆ ในย่านเดียวกัน
 
นิคแอบเห็นว่ามีหลายคนพยักหน้าสนับสนุนเพราะเห็นว่าทางกลับบ้านตนเองต้องผ่านร้านที่พูดถึงอยู่แล้ว เห็นดังนั้นก็เป็นอันตกลง ข้อสรุปอยู่ร้านพี่ใหม่ ว่าแต่ จะออกไปกันแล้วก็ยังไม่มีใครชวนเขาเลยนะ!
 
ใบหน้าคมเข้มที่วันนี้ราบเรียบแถมหดหู่ผิดปกติไม่ได้ทำให้คนที่มองอยู่นึกเห็นใจ นิคกำลังได้รับผลกรรมจากการฟาดงวงฟาดงาไม่ดูตาม้าตาเรือ กวินยกสายกระเป๋าสะพายข้างขึ้นพาดไหล่ แล้วคว้าเอากระเป๋ากีตาร์มาถือไว้ หันซ้ายหันขวาตรวจตราความเรียบร้อยแทนประธานชมรม ที่วันนี้มาร่วมซ้อมไม่ได้แล้วจึงพบว่ายังเหลือสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องซ้อม
 
นริศอ้อยอิ่งในการเก็บสัมภาระของตัวเองทั้งที่มีกระเป๋าให้ดูแลเพียงแค่ใบเดียว มือหนาคุ้ยนั่นจับนี่เก็บของไม่(ยอม)เสร็จซักทีจนคนรอปิดห้องเริ่มจะมีอารมณ์(อีกแล้ว) ดวงตากลมหรี่ลงด้วยนึกมุ่งร้ายกับอาการไม่สนใจโลกของน้องชายร่วมวง ปลายเท้าเล็กขยับตบกับพื้นเป็นจังหวะเดียวกันกับการนับเลขหนึ่งถึงสิบในใจ
 
เล่นแง่..นริศกำลังเล่นแง่กับเขา
 
ทั้งที่คนอื่นออกไปรอที่ลานจอดรถข้างตึกชมรมหมดแล้ว แต่ไอ้หมอนี่มันยังเอ้อระเหย ถ้าไม่ติดว่าเขามีหน้าที่ปิดห้องชมรมตลอดเดือนนี้อย่าหวังว่ากวินจะยืนรอไอ้เด็กกวนประสาทนี่แบบนี้เลย               
 
"นายจะเก็บของอีกนานมั้ย" น้ำเสียงที่ฟังแบบไหนก็รู้ว่าคนพูดไม่พอใจลอยมาเข้าหู อ่า เขาจะปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาดีมั้ยน้า~~
 
ใบหน้าคมยังคงเรียบเฉย แต่อาการปรายตามองมาแวบหนึ่งทำให้กวินรู้ว่านิคฟังอยู่  ก็ได้..ในเมื่อต้องการแบบนี้กวินก็ไม่ว่า ร่างเล็กหมุนตัวกลับเดินดุ่มไปที่ประตู ก้าวเท้าด้วยความเร็วที่ไอ้คนขี้งอนไม่ทันได้ตั้งตัว กวินกระชากประตูเปิดด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับที่มืออีกข้างหนึ่งตะปบลงบนสวิตช์ไฟข้างประตู เพียงเท่านั้นห้องชมรมก็มืดลงทันตา ร่างเล็กก้าวพ้นบานประตูพร้อมกับหันไปเสียบกุญแจ แล้วปิดล๊อกจากด้านนอกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายจากคนที่อยู่ด้านใน กวินยิ้มหวานให้กับบานประตูที่ถูกทุบโครม ๆ แล้วจึงเดินจากไป
 
เสียงโวยวายที่ดังลอดออกมาทำให้หลายคนสนใจ โดยเฉพาะคนที่ยืนรออยู่ที่ลานจอดรถ นิวมองกวินที่เดินมาคนเดียวด้วยความสงสัย ห้องชมรมปิดไฟหมดแล้วนี่หว่า น้องชายตัวเล็กปรี่เข้ามาหากวินเพื่อถามหาคนที่ควรจะเดินมาด้วยกันแต่กวินกลับโยนลูกกุญแจให้แล้วบุ้ยใบ้ว่าต้นตอของเสียงร้องโวยวายนั่นคืออะไร เห็นดังนั้นนิวก็จ้ำพรวดโดยไม่ต้องคิดจนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันงงแตก
 
นิววิ่งไม่คิดชีวิตไปที่ห้องชมรม ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลแต่ตอนนี้หัวใจของนิวเต้นเร็วมาก มือเล็กสั่นในขณะที่เสียบลูกกุญแจเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็พบว่านิคยืนแนบแผ่นหลังกับบานประตูกอดกระเป๋าแน่นหลับตาปี๋
 
โว้ย! แล้วมันก็โง่ไม่เปิดไฟเนาะ ไอ้เด็กกลัวผีเอ้ย!
 
สภาพดูไม่ได้...คำนี้คงเหมาะสมที่สุดหลังจากที่นิวเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับใครบางคน ทุกคนรู้ว่านิคกลัวผีจนขึ้นสมอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าหมอนี่เกลียดการอยู่คนเดียวในห้องมืด ๆ จับจิต เพราะจินตนาการเรื่องผีของมันสุดโต่งเข้าขั้นเทพ อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็สามารถประติดประต่อให้เกิดเป็นตำนานผีได้อย่างง่ายดาย เพราะแบบนี้นิวเลยต้องรีบไปช่วยมันออกมาจากห้องชมรมไม่งั้นพี่กวินอาจจะถูกจับข้อหาฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้
 
ใบหน้าหล่อจัดไม่มีรอยยิ้ม แต่กระนั้นเมื่อกวินเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ นิคก็กระโดดผลุงตามเข้าไปนั่งข้าง ๆ โดยไม่ต้องให้เรียก ชายหนุ่มสะบัดหน้าออกไปมองนอกตัวรถโดยไม่สนใจคนขับที่กำลังกลั้นยิ้มจนสุดความสามารถ
 
เมื่อเห็นว่ารถอีกคันที่เกื้อกับนิวนั่งอยู่ขับผ่านหน้าไปแล้วคุณคนขับหน้าหวานก็แตะคันเร่งเบา ๆ เคลื่อนรถตามออกไปโดยมีเมอเซเดสของธรตามมาติด ๆ เป้าหมายคือร้านของพี่ใหม่
 
ถ้าถามว่าทำไมนิคถึงต้องตามมานั่งรถคันเดียวกันกับกวินทั้งที่พี่กวินเพิ่งแกล้งเขาให้เกือบหัวใจวายตายคำตอบก็มีเพียงอย่างเดียวคือรถคันอื่นไม่มีที่ว่างสำหรับนิค เพราะเดี๋ยวเกื้อจะต้องไปแวะรับพี่พีชกับแบงค์ที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย สองคนนั้นอยู่ชมรมการแสดงเหมือนกัน และสองคนนั้นก็เป็นคนรักของเกื้อแล้วก็นิวด้วยเหมือนกัน ส่วนอีกคันที่ธรขับอยู่ไม่บอกก็รู้ว่าตุ๊กตาหน้ารถชื่อเบส เพราะงั้น..นิคก็เลยต้องมานั่งทำหน้าเลิศ ๆ เป็นตุ๊กตาหน้ารถของกวินไงล่ะ
 
แล้วอีกอย่างเขาจะขับรถมาเรียนเองทำไมให้ยุ่งยากในเมื่อติดรถพี่กวินมาได้อยู่แล้วทุกวัน เผอิญว่าจับพลัดจับผลูได้มาอยู่คอนโดเดียวกัน แล้วก็นะถ้าไม่รู้จะบอกให้ว่าที่บ้านพี่กวินน่ะรวยจะตาย จะเลี้ยงเด็กไว้ซักคนก็ไม่เสียหายหรอก
 
คุณป๋าของพี่กวินเป็นประธานบริษัทผลิตเครื่องนอนยักษ์ใหญ่ของประเทศนี้เชียวนะ(ไม่อยากจะคุย) ในขณะที่พ่อกับแม่ของนริศเป็นแค่เจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ ที่มีสาขาอยู่ทั่วทั้งเอเชีย ดังนั้นเขาจึงปวารณาตัวเป็นเด็กเสี่ยของกวินเสมอมา พี่กวินรักน้องรักนุ่ง ใครขออะไรถ้าให้ได้ก็ไม่เคยขัด ขนาดลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างนิวพูดเล่น ๆ ว่าอยากได้รถซักคันเป็นของขวัญวันเกิด เช้าวันต่อมาพี่กวินก็ถอยรถคันใหม่ให้ทันที แถมคันบังคับพร้อม เสียดายนิวเล่นไม่ค่อยเป็นเขาจึงขู่เอามาเก็บเป็นสมบัติของตัวเอง
 
เห็นมั้ย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากเป็นเด็กของเสี่ยกวินได้ยังไง หึหึ ก็ว่าไปนั่น เด็กเสี่ยกวินบ้าอะไรล่ะ กวินน่ะใจดีกับคนทั้งโลกแหละ ยกเว้นผู้ชายที่ชื่อนริศ!
 
ทุกวันนี้ที่ขออาศัยติดรถไปเรียนด้วยก็เพราะขี้เกียจขับรถไปเอง วันไหนไม่ต้องไปรับแฟน(ซึ่งก็นาน ๆ ครั้ง)นิคก็จะขอติดรถกวินไปเรียน เพราะเรียนเสร็จยังไงก็ต้องเข้าชมรมอยู่แล้ว ทางเดียวกันไปด้วยกันกลับด้วยกัน ประหยัดน้ำมันดีออกและก็เพราะแบบนี้แหละ(มั้ง) ถึงไม่มีใครทนเขาได้(นาน)
 
นริศเป็นคนติดเพื่อน ชอบเข้าชมรมเพราะรักเสียงดนตรีและได้นินทาคนโน้นคนนี้สนุกสนาน เรื่องผู้หญิงความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่บางทีมันก็น่าปวดใจที่ไม่มีใครรักนิคที่ตัวตนจริง ๆ เลยซักคน พวกเธอเรียกร้องต้องการเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ชีวิตของเขามีอะไรมากกว่าการต้องไปเดินต้อย ๆ ตามแฟนซื้อของ หรือนั่งเอาเท้าเขี่ยกันในร้านไอติมหวานแหวว แบบนั้นมันไม่เกิดประโยชน์แล้วก็ดูไร้สาระ สู้เอาเวลามาซ้อมดนตรียังจะดูมีค่าซะกว่า แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนคิดแบบนี้เลยสักคน (โอเค กลับมานินทากวินต่อกันดีกว่า)
 
กวินไม่เคยทำอะไรให้เขาฟรี ๆ หรอก อาทิตย์ไหนที่เขาติดรถไปเรียนด้วยมากกว่าสามวัน อาทิตย์นั้นเขาจะต้องล้างรถให้กวิน แต่ถ้าไปด้วยกันทั้งอาทิตย์ก็ต้องเพิ่มดูดฝุ่นในรถด้วย เลิศไหมล่ะเสี่ยกวิน! ถ้ามื้อไหนนิคขอมากินข้าวด้วยมื้อนั้นเขาจะต้องล้างจานทั้งหมดที่เสี่ยแช่ไว้ ถ้าวันไหนเขาขอให้ติวให้วันนั้นต้องมีขนมไปเซ่นไหว้เสี่ยด้วย อ้อ..เขาบอกไปหรือยังว่าเขากับพี่กวินเรียนคณะเดียวกันแถมยังเอกเดียวกันด้วย แบบนี้ไง ถึงไปไหนไม่รอด หนีกันไม่พ้น เชอะ!
 
เสียงเพลงในรถยังคงเป็นเพลงเดิมที่ฟังอยู่ทุกวัน แต่แปลกที่นิคเองก็ไม่เคยเบื่อเช่นเดียวกันกับเจ้าของรถที่กำลังฮัมเพลงไปพร้อมกับการเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัย พอเพลงเล่นไปถึงท่อนฮุกทั้งคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องแข่งกัน และมันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน..
           
ถ้าจะมีใครซักคนที่รับมือกับนริศได้ ก็อาจจะเป็น..กวินคนนี้ละมั้ง..
.
.
.

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2017 15:45:31 โดย sunnandsky »

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
‘ไม่มีคำว่าสงบถ้าอยู่ครบแก๊งค์' คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้เสมอกับสมาชิกชมรมดนตรีสากล เพราะตอนนี้ใหม่กำลังส่งไมค์ต่อไปให้ 'มิค' ที่เพิ่งตามมาถึง ทันทีที่รู้ถึงสาเหตุของการเลี้ยงฉลอง ใหม่ก็เปิดห้องคาราโอเกะไซส์ใหญ่สุดให้สมาชิกชมรมรุ่นน้องเป็นของขวัญทันที เรื่องของเรื่องก็มาจากมิคประธานชมรมที่กำลังจะเรียนจบในปีนี้ได้รับทุนไปเรียนต่อไกลถึงฝรั่งเศสเลยเป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่สมาชิกในชมรม เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ป่าวประกาศให้ได้หน้าก็ไม่ใช่ชมรมดนตรีมหาภัยแล้ว
 
ทั้งที่มิคที่ไปติดต่อเรื่องทุนเพิ่งจะตามมาถึงที่งานเลี้ยงขนาดย่อมแต่ดูเหมือนทุกคนจะเป็นกันเองมากโดยการแสดงอาการ'กรึ่ม'ให้เห็นกันอย่างชัดเจน ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาฉ่ำเยิ้มและหวานย้อย เสียงร้องเพลงก็ชักเป๋ แต่กระนั้นทุกคนก็ยังมีแรงลุกมาชนแก้วกับเจ้าภาพของงานอย่างปรีติยินดี
 
ใบหน้าหวานออกจะแดงเรื่อตามระดับแอลกอฮอล์ที่วิ่งอยู่ในกระแสเลือด ความจริงกวินไม่ได้ตั้งใจจะดื่มมากแบบนี้ แต่เป็นเพราะวันนี้เขาอยากจะแสดงความยินดีกับพี่มิคจริง ๆ พอมีใครยื่นแก้วมาก็เลยชนเรียบ
 
ความจริงแล้วกวินเป็นรุ่นน้องของพี่มิคหนึ่งปี เพราะพี่มิคเรียนสถาปัตย์จึงต้องใช้เวลารียนถึงห้าปี แต่กวินเรียนดนตรีแค่สี่ปีก็จบแล้ว พี่มิคเป็นคนเก่ง เก่งทั้งเรื่องเรียน เรื่องดนตรีและการใช้ชีวิต เขารู้จักพี่มิคมาสี่ปีเพราะเข้าชมรมดนตรีตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งจึงสนิทกันมากกว่าใคร ๆ
 
พี่มิคเป็นพี่ชายที่แสนใจดี ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง กวินที่เป็นลูกชายคนโตจึงค่อนข้างถูกใจที่ได้มาเจอคนที่สามารถเป็นคล้ายพี่ชายให้กับเขาได้ กับพี่มิคแล้วกวินจะเป็นเด็กขี้อ้อนเพราะอ้อนแล้วได้ผล เอาแต่ใจบ้างแต่ก็ไม่บ่อยจนเกินงาม ที่สำคัญอยู่ด้วยแล้วสบายใจ นั่งคิดถึงวันเก่า ๆ เพลิน ๆ ก็มีกรอบเงาสูงใหญ่เคลื่อนเข้ามาบดบังแสงไฟสีอ่อนที่ส่องอยู่กลางห้อง เสียงทุ้มเจือแววหงุดหงิดเอ่ยถามกวินเบา ๆ
 
"พี่..พี่กะจะดื่มให้ตายไปเลยหรือไง" อ้าว! ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไรมากไหมวันนี้มันถึงได้ขัดขาเขาทั้งวัน กวินสะบัดหน้าหนีนิคที่ยืนค้ำหัวอยู่และเมื่อหันไปเจอเบสกำลังเต้นท่านกกระเรียนอยู่กับนิวใบหน้าหวานก็คลี่ยิ้มอย่างถูกใจเดี๋ยวกวินจะไปสู้ด้วยท่าเต้นนกฟลามิงโก้
 
"นายอย่ามาขัดฉันน่า ถ้าอยากกลับบ้านก็ไปก่อนเลย" ไม่ว่าเปล่า กวินยังล้วงกระเป๋าหากุญแจรถให้นิคอีกต่างหาก ชนะเลิศ กวินชนะเลิศศศศ เด็กเสี่ยกวินจิ๊ปากขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับกุญแจมาแต่โดยดี
 
โบราณบอกว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง เพราะแบบนี้นิคเลยซุกกุญแจรถใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วกลับไปนั่งคอตกอยู่ข้าง ๆ เกื้อเหมือนเดิม
 
ถามว่าตอนนี้เศร้าอะไรมากกว่าระหว่างอกหักกับอกเหี่ยว นิคคงต้องบอกว่าอย่างหลัง เชื่อขนมกินได้เลยว่าคืนนี้เขาต้องตามเช็ดอ้วกกวินทั้งคืนแน่ ๆ ก็เสี่ยเมาแล้วเป็นภาระตลอดอ่ะ เซ็ง!
 
นิคนั่งเงียบ ๆ มองเพื่อน ๆ ที่กำลังกิน ดื่ม ร้องเพลง แล้วก็นินทาชาวบ้าน(ขาดไม่ได้หรอกข้อนี้) ความจริงเขาเองก็ไม่ได้ต้องการทำตัวแปลกแยกเพียงแต่มันมีบางอย่างรบกวนจิตใจมันเลยสนุกได้ไม่เต็มที่ จริงอยู่ที่ว่าเขาเพิ่งอกหักแต่ถ้าว่ากันตามตรงแล้วความเศร้ามันมีได้ไม่ถึงครึ่งของความเหนื่อยใจ หรือบางทีคนอย่างเขาอาจจะไม่เหมาะกับการมีแฟน
 
เขาอาจจะผิดเองที่ชอบใช้เวลากับเพื่อนมากกว่าไปขลุกอยู่กับแฟน ทั้งที่ตอนที่เริ่มคบกันพวกเธอเองก็บอกว่า เข้าใจเรื่องที่เขาไม่มีเวลาให้ นิคให้ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นขอให้ได้คบกันก็พอ เสนอมาขนาดนี้เขาเป็นผู้ชายใจดีก็เลยสนองตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอนานไปพวกเธอกลับเรียกร้องเพิ่มมากขึ้น นิคไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องตั้งเงื่อนไขให้ความรักมากมายขนาดนั้น
 
..หรือความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่ความรัก..
 
 
เสียงเพลงจังหวะแช่มช้าดังเข้ามากระทบหู เพียงแค่ตัวโน้ตแรกเขาก็รู้ว่าเพลงนั้นคือเพลงอะไร ไอ่เสี่ยวธรมันเลือกเพลงนี้เพื่อจะร้องกับคุณเบส โดยมีเกื้อ แบงค์ นิวและพี่พีชนั่งทำตาหวานใส่กันโดยไม่เกรงใจฟ้าดินเป็นตัวประกอบ เออเว้ย เขาลืมไปได้ไงว่าในนี้มันคนมีคู่ทั้งนั้น คิดได้ดังนั้นดวงตาคมก็กวาดมองหาสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่มีคู่เหมือนกันกับเขา...อ้าว คุณกวินหายไปไหน พี่มิคก็ด้วย พอมองหาพี่ชายคนสนิทไม่เจอนิคก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วส่งสัญญาณบอกนิวว่าจะไปห้องน้ำ เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นพยักหน้ารับรู้จึงเดินออกมาสูดอาการสำหรับคนโสดข้างนอกห้อง
 
โว้ย! จะบิลท์ให้มันแหววไปไหนเนี่ย
 
ร่างสูงก้าวเท้าไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่มุ่งไปสู่หลังร้าน อย่างนิคน่ะไม่ใช้ห้องน้ำสำหรับลูกค้าหรอก มันไม่เท่ ห้องน้ำส่วนตัวของพี่ใหม่จะอยู่ในโซนหลังร้านที่ต้องเดินเลยห้องครัวไป พอดีเขาเป็นลูกค้าวีไอพีเลยรู้ดีว่าอะไรอยู่ตรงไหน ชาย
หนุ่มส่งยิ้มให้พนักงานเสิร์ฟอาหารที่เดินผ่านไปอย่างเป็นกันเองก่อนจะไปหยุดที่ทางแยกจะไปห้องน้ำกับประตูหลังร้าน
 
มือหนาเตรียมจะดันประตูออกไปหวังจะลัดเลาะไปยังโซนที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่แต่สายตาที่ดีมาตั้งแต่เกิดมันดันเหลือบไปเห็นชายเสื้อของใครบางคนโผล่มาจากมุมเลี้ยวที่จะไปยังห้องน้ำเสียก่อน และนิคคงจะไม่สนใจถ้าไม่มีชื่อที่แสนจะคุ้นหูลอดมาให้ได้ยิน
 
"พี่รักกวิน..รักมานานแล้ว"
 
อ่า...เขาควรจะยืนฟังต่อเพื่อรอดูว่า'กวิน'จะตอบรับ'พี่'คนนั้นว่ายังไง หรือควรจะทำไม่รู้ไม่เห็นแแล้วเดินออกมา จิตฝ่ายดีสั่งให้นิคเดินหนีไปจากตรงนั้นเพราะนั่นคือเรื่องของคนอื่น แต่เนื้อแท้และตัวตนของเขากลับสั่งให้สองขาปักหลักแล้วเงี่ยหูฟังให้ชัดกว่าเดิม เอาเถอะ ถือซะว่ามันเป็น'นิสัยที่ฝังลึก'ของสมาชิกชมรมดนตรีมหาภัยก็แล้วกัน..
 
ร่างสูงขยับตัวเข้าไปแนบกับผนังร้านแล้วยืนนิ่งรอฟังคำพูดถัดไป เขาอยากรู้ว่ากวินจะตอบว่ายังไง ผู้ชายที่หวงความเป็นตัวเอง มีชีวิตอยู่กับเสียงดนตรี ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้าใกล้เส้นความเป็นส่วนตัว กวินจะตอบรับประโยคบอกรักจากรุ่นพี่ที่เคารพด้วยคำพูดแบบไหน...เขาอยากรู้จริง ๆ
 
เนื้อเสียงบางเบาที่กระแอมไอขึ้นมาทำเอานิคสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจของนิคเต้นแรงเมื่อสำนึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ คือการแอบฟังเรื่องส่วนตัวของคนอื่น(ที่ไม่อื่นเท่าไหร่) เขากำลังจินตนาการถึงใบหน้าของพี่กวินในขณะที่เค้นหาคำตอบสำหรับพี่มิค
 
ใบหน้าของพี่กวินจะเรียบสนิทเหมือนทุกครั้งที่มีเด็กหนุ่มผู้หลงใหลใบหน้าหวานล้ำเอาดอกไม้มาฝากให้หรือเปล่า หรือจะเป็นใบหน้าที่กำลังคลายยิ้มอ่อนโยนถ้าเปลี่ยนเป็นขนมนมเนยจากเด็กสาวผู้หลงใหลในความเท่ยามที่เจ้าตัวกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์  แต่ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าแบบไหนสุดท้ายคำตอบที่เหล่าคนกล้าได้รับก็คือคำ’ปฏิเสธ’อยู่ดี
 
ในความเงียบที่แสนจะเป็นใจทำให้นิคได้ยินเสียงถอนหายใจชัดเจน กวินไม่รู้หรือไงว่าการถอนหายใจในสถานการณ์แบบนี้เป็นอะไรที่เสียมารยาท แต่..ก็นั่นแหละ ที่ผ่านมาหมอนี่เคยสนใจความรู้สึกใครอื่นที่ไหนกัน และเขาคิดว่าถึงจะเป็นพี่มิคก็คงไม่ได้รับการยกเว้น
 
นิคเตรียมตัวให้พร้อมที่จะขยับหนีทันทีหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดพุ่งพรวดออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะยังเล่นเกมจ้องตากันอยู่ ..
 
กวินถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่เบือนหน้าหนีสายตาเว้าวอนของมิค การถูกบอกรักโดยไม่ได้ตั้งตัวทำให้เขาไปไม่เป็น ยิ่งเป็นคำบอกรักที่มาจากรุ่นพี่ที่เคารพยิ่งไปไม่ถูก จริงอยู่ที่เขาชื่นชอบพี่มิคแต่กระนั้นมันก็ไม่เคยเกินเลยไปจากคำว่าพี่น้อง เขาไม่เคยรู้ว่าพี่มิครัก เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ มันบีบรัดและอึดอัดเกินไป กวินรู้ว่าพี่มิคต้องการคำตอบรับแบบใด พี่มิคไม่ได้ต้องการให้เขา‘รับรัก’ในทันที ผู้ชายคนนี้เพียงต้องการให้เขาเก็บคำ'บอกรัก'ที่ได้รับมากลับไป'พิจารณา'
 
และถ้าเขาตอบออกไปแบบนั้นมันก็จะหมายถึงการที่พี่มิคได้เข้ามายืนบนเส้นความเป็นส่วนตัวของเขา และมันก็มากพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการก้าวไปในขั้นที่ลึกเข้ามาเรื่อย ๆ
 
พี่มิคฉลาดและเขาคิดว่าตอนนี้ต้องเพิ่มคำว่า'มาก'เข้าไปด้วย กวินเคยถูกสารภาพรักแต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาจนมุมได้แบบนี้ ทุกคนที่ผ่านมาล้วนจัดฉากหวังให้เขาเห็นถึงความตั้งใจและนั่นทำให้คนเหล่านั้นพลาด กวินรู้ล่วงหน้าว่าจะเจอกับอะไรจึงบ่ายเบี่ยงและหาทางปฏิเสธได้ทุกครั้ง แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำเหมือนใคร ๆ พี่มิคใจเย็น เลือกที่จะรอเวลาที่เหมาะสมและจู่โจมเขาในสถานที่ที่ไม่น่าจะมีใครมาบอกรักกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงไร้โอกาสที่จะทักท้วงเมื่อพี่มิคเอ่ย'คำนั้น'ออกมา
 
ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอด เสียงเดียวที่ดังอยู่ในตอนนี้คือเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วของตัวเขาเอง มิคยืนนิ่งสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าราบเรียบของกวิน ดวงตาที่มักจะพราวระยับกลับไร้ความรู้สึกใด ๆ เขารู้ว่ากวินไม่รักเขาและไม่เคยแม้แต่จะคิดเป็นอื่น และไม่ว่ากวินจะตอบแบบไหนเขาก็พร้อมจะยอมรับ เขาไม่หวังว่าจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการอยู่ลึก ๆ เขาเพียงแค่หวังว่ากวินรับรู้ความรู้สึกของเขาและเก็บไปคิด..
 
เขาอยากให้กวินคิดถึงเขาและมองเขา'ต่าง'ไปจากในวันที่ผ่านมา หลังจากนี้มิคหวังว่าตัวเองจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นในสายตาของกวิน
 
แต่มิคก็ทำได้เพียงแค่...หวัง
 
เพราะกวินก็ยังคงเป็นกวิน คนที่ไม่ยอมให้ใครเข้ามามีอิทธิพลเหนือไปกว่าความคิดและอารมณ์ของตนเอง คนตัวเล็กกว่ากดยิ้มที่ตั้งใจให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาลำบากใจมากเพียงใดกับการเอ่ยความในใจของพี่ชายคนสำคัญในครั้งนี้ กวินไม่ได้หลบตาในยามที่เอ่ยปากปฏิเสธความรักและความหวังดีของมิค ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยแววของความแน่วแน่เพราะสิ่งที่กำลังจะพูดคือความจริง
 
"ขอโทษครับ แต่ผมรักพี่แบบพี่ชายคนหนึ่งและความรู้สึกของผมมันจะไม่มีวันเป็นอย่างอื่น ผม..ขอโทษจริง ๆ ครับ"
 
กวินค้อมตัวต่ำก่อนจะยิ้มอีกครั้งและคราวนี้รอยยิ้มของกวินเป็นรอยยิ้มที่โล่งใจ คำพูดของกวินไม่ได้สวยหรู เพราะเขาหวังเพียงให้คนฟังเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการบอก กวินไม่สามารถรักมิคในรูปแบบอื่นได้นอกจากคำว่าพี่น้อง ถ้าพี่มิคเข้าใจ รูปแบบความสัมพันธ์ของเราก็จะดำเนินไปอย่างเดิมอย่างที่เคยเป็นมา แต่หากว่าไม่...ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของเราก็จะหยุดลงและเราก็จะกลับไปเป็นแค่เพียงคนรู้จักกัน
 
นิคยืนหอบหายใจอยู่ระหว่างซอกประตูห้องเก็บของ เขาเกือบจะพลาดเพราะมัวแต่เพลินกับการรอฟังคำตอบของกวิน นิคยืนนิ่งมองปลายเท้าตัวเองพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงเดินของอีกสองชีวิต เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าลับไปแล้วจึงค่อย ๆ แง้มประตูแล้วโผล่หน้าออกมา ชายหนุ่มตบเท้าเข้าห้องน้ำแล้วล้างมือล้างแขน สุดท้ายจึงสะบัดน้ำใส่เสื้อผ้าให้เปียกเป็นด่างดวง แบบนี้คนอื่นจะได้รู้ว่าเขาไปห้องน้ำมาจริง แต่ก็นั่นแหละ.. ใครมันจะมานั่งจับผิดเขาวะ
 
ร่างสูงแทรกกายผ่านประตูกลับเข้าไปนั่งในห้องคาราโอเกะซูเปอร์วีไอพีดังเดิม นิคกวาดตามองรอบห้องแล้วจึงพบว่ากวินกำลังนั่งจ้องแก้วในมือส่วนพี่มิคกำลังคุยกับธร ถึงแม้ใบหน้าจะติดรอยยิ้มแต่เขาคิดว่าพี่มิคไม่ได้สนุกเหมือนตอนแรกที่มาถึง และกวินก็คงเป็นเหมือนกัน
 
การได้รู้ความลับของคนอื่นทำให้นิคเห็นอะไรมากกว่าที่ใคร ๆ เห็น ชายหนุ่มยกแก้วในมือขึ้นจิบ สลับกับการแอบมองปฏิกริยาของรุ่นพี่ทั้งสอง เขารู้ว่าพี่มิคกำลังรู้สึกอย่างไร แต่ที่เขาไม่รู้คือกวินกำลังรู้สึกแบบไหน...ก็ใช่น่ะสิ กวินน่ะเป็นพวก'หักอก'เป็นกิจวัตรแต่เขามันพวก'อกหัก'เป็นประจำ ถ้าเขาเข้าใจความรู้สึกของกวินก็แปลกแล้ว ชิชะ น่าหมั่นไส้!!
 
"อะ แฮ่ม อะ แฮ่ม" เสียงกระแอมไอในลำคอเรียกให้ทุกคนในห้องหันไปสนใจคนสองคนที่ยืนถือไมค์อยู่หน้าจอทีวี  ใบหน้าของเบสกับนิวดูมีความสุขจนเปล่งปลั่ง แถมยังส่งยิ้มหวานเยิ้มให้นิค จนไอ้คนที่กำลังหลุดออกจากความคิดเรื่องรุ่นพี่ทั้งสองคนเกิดอาการหางตากระตุกแปลกๆ
 
"เพลงปิดท้ายที่เราจะร้องในวันนี้ขอมอบให้กับท่านประธานชมรมดนตรีสากลคนต่อไปในปีการศึกษาหน้า ใครที่ร้องได้ช่วยกันร้องด้วยนะคร้าบบบบ" นิคยกมือตบหน้าผากดังผลัวะ แค่ทำนองเพลงที่ดังขึ้นมาเขาก็รู้ว่าความซวยมาเยือนแล้ว  ทราบครับทราบว่าต้องการขยี้ประเด็นอกหักของพี่นิคคนนี้...แต่ว่า หึหึ ไม่ทันแล้วมั้ง
 
ทำนองเพลงคล้ายว่าจะคุ้นหู เนื้อหาคล้ายว่าจะตรงประเด็นกำลังขับเคลื่อนความมาคุในใจของใครบางคน ที่ไม่ใช่นิค...คำว่าร้องเพลงเดียวโดนใจประธานชมรมทั้งสองคนคงจะใช้ได้กับเหตุการณ์นี้
 
"อยากปักป้ายแขวนขึ้นแผ่นเท่าฝา
ประกาศให้คนรู้ว่าบ้านนี้หนามีชายอกหัก ~ ~ "
 
หึหึ นอกจากนิคกับเจ้าของเรื่องแล้วจะมีใครอีกบ้างที่รู้ว่าในห้องนี้มีคนอกหักถึงสองคน โธ่ รู้ก็บ้าแล้ว นั่งมองตากันหวานซึ้งเป็นคู่ ๆ แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจคนอื่นวะ นิสัย!
 
บทเพลงบาดอารมณ์ยังคงดังกระทบแก้วหูแต่นาทีนี้นิคมีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าอาการจุกในอกแล้วล่ะ นิคแค่นยิ้มแปลก ๆ มองหน้าผู้หวังดีแต่ละคนแล้วก็แอบถอนหายใจเงียบๆ พี่มิคยังคงนั่งคุยกับธรราวกับไม่มีเสียงเพลงรบกวน แต่เขาก็ยังแอบเห็นว่ารุ่นพี่หน้าหล่อคอยมองกวินเป็นครั้งคราว และในที่สุดคุณนักร้องทั้งสองท่านก็พาบทเพลงเข้าสู่ท่อนสุดท้ายแล้วปิดฉากได้อย่างสวยงาม ทันทีที่เพลงจบแต่ละคนก็รีบเก็บกระเป๋าราวกับว่าคนที่ช้าจะต้องจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมดในวันนี้ ทั้งที่พี่ใหม่ก็ประกาศปาว ๆ ว่าจะเลี้ยง ไอ้พวกขี้งกเอ้ย!
 
งานเลี้ยงคืนนี้จบลงด้วยดี และในที่สุดก็ถึงเวลากลับบ้านกลับช่องไปนอนไตร่ตรองดูว่าเหตุการณ์คืนนี้เขาควรจะตีแผ่ให้คนอื่นฟังดีหรือเปล่า~~ นิคจะเข้าไปขอบคุณพี่มิคดีมั้ยน้า อย่างน้อยตอนนี้กวินก็ดูเหมือนว่าจะสร่างเมาแล้ว ร่างเล็กกำลังยกกระเป๋าพร้อมกับควานหากุญแจรถเห็นดังนั้นนิคจึงก้าวเข้าไปหาคนที่ทำหน้ายุ่งอยู่
 
"กุญแจรถพี่อยู่ที่ผม" กวินเงยหน้าขึ้นมองผู้หวังดีที่ก้าวมาประชิดตัวแล้วพยักหน้าว่ารับรู้ ใบหน้าหวานติดจะแดงเรื่อแต่นิคว่าวันนี้กวินเก็บอาการมึนเมาได้ดีกว่าที่เคย มันก็แน่อยู่แล้วแหละ ลองว่าไม่มีเหตุการณ์บอกรักสะเทือนฟ้าดินสินิคคงได้แบกกวินกลับบ้านไปแล้ว
 
"ไปกันเถอะ" ว่าจบก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กวินเดินดุ่มออกจากห้องไปเป็นคนแรกตามด้วยนิค แล้วหลังจากนั้นใครจะไปใครจะมาเขาก็ไม่รู้แล้วล่ะ กวินไปหยุดที่เคาน์เตอร์คิดเงินเพื่อบอกลาพี่ใหม่ ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มละมุนในตอนที่โค้งตัวขอบคุณรุ่นพี่เจ้าของร้าน
 
"ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วยนะครับพี่" ใหม่มองดูน้องชายตัวเล็กที่มากพิธีกว่าปกติด้วยแววตามึนงงเล็กน้อย ก่อนที่จะมีอีกหนึ่งมนุษย์ขยับก้าวมายืนชิดกับกวิน นริศยกมือไหว้รุ่นพี่เหมือนกับที่กวินทำ แต่กลับเอ่ยวาจาที่แตกต่างกันราวกับว่ามากันคนละคณะ
 
"หวังว่าพี่จะให้พวกผมมารบกวนบ่อย ๆ นะครับ ขอบคุณคร้าบ" ว่าจบก็ส่งยิ้มทะเล้นแล้วโบกมือลาเจ้าของร้านทันที ไอ้ตัวกวนเผ่นแน่บไปแล้วก่อนที่กวินจะก้าวยาว ๆ ตามไป ใหม่มองตามคู่ป่วนแห่งปีแล้วก็ส่ายหน้าเบา ๆ คนนึงเป็นบ้า คนนึงขี้เมา เขาไม่แปลกใจเลยที่มันยังคบกันได้มาจนถึงทุกวันนี้ ประหลาดทั้งคู่..
 
เมื่อหลายคนเดินมาถึงลานจอดรถก็พบว่านิคเตรียมพร้อมจะออกรถแล้ว คุณเจ้าของรถที่ไม่ได้รับความไว้วางใจให้จับพวงมาลัยถูกเปลี่ยนไปนั่งทำหน้าเลิศ ๆ แทนที่เด็กเสี่ยกวิน และเมื่อนิวเดินเข้ามาใกล้ตัวรถร่างสูงก็ลดกระจกลงเพื่อบอกลาคนที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย
 
"กลับก่อนนะ ฝากบอกพี่พีชด้วยว่าไม่ต้องขับรถเร็ว" นิวพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วจึงยกมือขึ้นโบกลาพี่ชายคนสนิทที่พยักพเยิดหน้ามาให้
 
"พี่กลับก่อนนะ"
 
"ครับ  ขับรถดี ๆ ล่ะ" ตอบรับกวินแล้วประโยคหลังคนตัวเล็กจึงหันกลับมาสั่งคนขับรถของเสี่ยกวินอีกครั้ง นิวถอยออกมายืนมองไฟท้ายรถคันเล็กของกวินแล้วจึงเดินไปเข้าไปหาประธานชมรมการแสดงที่จอดรถรออยู่ ร่างเล็กโบกมือให้ธรกับเบสแล้วจึงก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ นิวรู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ในกระเป๋ากางเกง และเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามีหนึ่งข้อความจากคนขับรถของกวิน ใบหน้าเล็กคลี่เป็นรอยยิ้มบางเมื่ออ่านข้อความจบ..
 
‘พรุ่งนี้จะโทรหา กรุณาชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้ให้เต็ม!’
 
ภายในรถคันเล็กยังคงเงียบ ก็จะไม่ให้เงียบได้ยังไง ในเมื่อไอ้คนขับก็ขับไปส่วนเสี่ยน่ะหลับสบายไปแล้ว ตลอด เป็นแบบนี้ตลอด พอเมาละก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาไม่น่าดีใจไปก่อนเลยเถอะเพราะสุดท้ายไอ้คนที่ต้องแบกกวินกลับห้องก็ยังเป็นนิคคนนี้อยู่ดี!
 
นิคหันไปมองคนที่ปรับเบาะเอนนอนตั้งแต่เขาออกรถ เสี้ยวหน้าหวานเรียบสนิทเข้ากันดีกับลมหายใจสม่ำเสมอ เปลือกตาบางพริ้มหลับดูไม่สนใจโลก ชายหนุ่มเบะปากใส่คนนอนแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ สบายจริงพ่อคุ๊ณ
 
"ถอนหายใจทำไม.." อ้าว ไม่ได้หลับนี่หว่า ชิชะ แกล้งเมาแล้วจะให้เขาจ่ายค่าทางด่วนหรือไง
 
"พี่หลับไปเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วผมปลุก"
 
"นายรำคาญฉันหรือเปล่า" มาละ พอเมาแล้วก็แบบนี้ เล่นบทโศกตลอด โถ ๆ ๆ ๆ เสี่ยครับ ผมจะรำคาญเสี่ยได้ยังไง  ในเมื่อเสี่ยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของผมนะครับ!
 
เหอะ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละวะ นิคทำอาหารไม่เป็นแถมร้านแถว ๆ คอนโดก็ใช่ว่าจะอร่อยนักหนา ไปหากินที่อื่นก็แพง สู้ฝากท้องกับเสี่ยกวินก็ไม่ได้ อร่อย สะอาด ประหยัด ที่สำคัญไม่ต้องไปไหนไกลให้เสียเวลาเล่นเกม โอ๊ย สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
 
"เปล่า ผมคิดเรื่องตัวเองน่ะ"
 
"เรื่องที่โดนบอกเลิกมาน่ะเหรอ" โอ๊ย แล้วพี่จะย้ำทำไมเนี่ย เรื่องบางเรื่องรู้แล้วเก็บไว้ก็ไม่เสียหายนะเว้ย
 
"อือ.."
 
"นายรู้สึกแบบไหนเวลาที่โดนบอกเลิก.." ขอบคุณสำหรับคำถามนะครับคุณกวิน!
 
ร่างสูงละสายตาจากรถราบนถนนเพื่อหันไปมองหน้าคนถามให้ชัดและกวินก็กำลังมองมา ดวงตาคู่โตมีแววหวานกว่าปกติแต่นิคก็ไม่ได้แปลกใจ ชายหนุ่มหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม เวลาที่เมากวินก็เป็นแบบนี้ประจำ แต่คราวนี้รู้สึกว่าจะพูดรู้เรื่องกว่าทุกทีแฮะ
 
ชายหนุ่มบิดยิ้มแปร่งปร่าขณะที่นึกหาคำตอบให้อีกฝ่าย ความจริงมันก็อาการทั่ว ๆ ไปตามสูตรผู้ชายถูกบอกเลิก เสียใจ เสียหน้า รู้สึกแย่ ประมาณนี้ ว่าแต่ที่ถามนี่ต้องการจะย้ำใช่มั้ยว่าไม่เคยโดนทิ้ง ชิ เสี่ยน่าหมั่นไส้อีกแล้วว่ะ!
 
"พี่อยากรู้ไปทำไม"
 
"ก็เปล่า เห็นนายโดนบอกเลิกบ่อย ๆ เลยอยากรู้ว่ามันเป็นไง" ระดับน้ำเสียงของคนพูดยยังคงราบเรียบไร้จุดหมาย ไม่มีอาการกวนประสาทหรือล้อเลียนให้สะดุดใจแต่ถึงยังนั้นมันก็ตรงประเด็นเกินกว่าคนที่เพิ่งถูกบอกเลิกมาหมาด ๆ จะทนเงียบไหว
 
"ใช่สิ ผมไม่เหมือนพี่นี่ ที่จะได้เป็นฝ่ายบอกเลิกเป็นประจำน่ะ" อึก! พูดจบก็เกิดอาการสะดุดลมหายใจตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่น่าตกใจเท่ากับสายตาเรียบนิ่งที่อีกฝ่ายเหลือบมองมา ชิบหายแล้วกู ประชดไปแบบนั้นจะโดนท่านตบบ้องหูมั้ยวะ
 
คนตัวเล็กขยับตัวปรับเบาะขึ้นมานั่งในระดับเดียวกับคนขับ วินาทีนี้นิคอยากกระแทกเท้าลงกับเบรกจนจมมิด ให้กวินถูกแรงกระชากของรถหัวทิ่มคอนโซลแล้วหมดสติไป พอตื่นขึ้นมาจะได้จำไม่ได้ว่านิคพูดอะไรออกไป  แฮ่~ ก็แค่คิดน่ะนะ เขาไม่กล้าทำจริงๆหร้อกกกก
 
"ฉันเห็นนายที่หน้าห้องน้ำ" จบข่าว(ภาคปกติ) ต่อไปเชิญพบกับข่าวด่วน นักศึกษาหนุ่มหน้าตาดี(มาก)โดนฟาดกบาลตายคารถโดยนักศึกษารุ่นพี่ร่วมสถาบัน..
 
"เอ่อ ผม..ผม….พี่ ผมน่ะ..ผม.." ผมผิดไปแล้ววววววว
 
"นายว่าฉันใจร้ายมั้ย" น้ำเสียงราบเรียบที่หลุดรอดผ่านริมฝีปากสีสดออกมาทำให้คนฟังหายใจไม่ทั่วท้อง กวินถามราวกับว่าไม่ได้ต้องการคำตอบ ดวงตากลมยังคงจับจ้องไปยังท้องถนนด้านหน้า ร่างเล็กไม่มีทีท่าสนใจกับอาการกระอักกระอ่วนของนิคแม้แต่น้อย
 
"ฉันคงดูใจร้ายมากที่พูดออกไปแบบนั้น.." เพราะยังต้องใช้สมาธิในการขับรถ นิคจึงไม่ได้หันไปมองหน้าคนพูด เขาไม่รู้ว่ากวินกำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่พูดตัดพ้อตัวเอง แค่ฟังไม่ได้ทำให้นิคเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อมากนัก น้ำเสียงไม่มั่นใจในตัวเองช่างแปลกหูเมื่อคนพูดคือกวิน และในบรรดาความรู้สึกที่ส่งผ่านมาพร้อมกับถ้อยคำเหล่านั้น มีหนึ่งความรู้สึกที่ชัดเจนเสียจนเขาคิดว่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้ากระจกที่สะท้อนภาพของตัวเอง นิคมั่นใจว่าคนพูดกำลังรู้สึก'เหงา'
 
"ทำไมพี่ไม่หาใครสักคนมาดูแล" คำถามเรียบง่ายแต่ยังคงใช้ได้กับทุกคนหลุดรอดออกมา นิคไม่ได้มองหน้าคนฟังตอนที่ถามออกไปแต่ก็นึกเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงกำลังทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไรเหมือนเคย..
 
"ฉันดูแลตัวเองได้.." นิคระบายลมหายใจยาวกับคำตอบที่ได้รับ เส้นแบ่งความเป็นส่วนตัวของกวินเด่นชัดขึ้นในความรู้สึก เส้นที่หนาและหนักกดทับทุกอณูภายในรถคันเล็กให้เกิดเป็นความเงียบ เกินกว่าจะอดทนกับความกดดันที่แผ่ออกมานิคตัดสินใจเปิดไฟให้สัญญาณเพื่อพารถเข้าไปจอดริมทาง ดวงตาคมตวัดมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาคู่คมจับนิ่งที่ใบหน้าของคนเป็นพี่..
 
"ผมไม่ได้หมายถึงตัวพี่..หัวใจของพี่ต่างหากที่ต้องการคนดูแล พี่กำลังเหงา"
 
"อ้อ..แล้วก่อนที่จะเถียงผมช่วยหยุดคิดก่อนด้วย" สำทับอีกประโยคด้วยความอาจหาญ แถมยังกล้าวางนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากบางที่ทำท่าว่าจะเผยอเป็นคำพูดแก้ต่างให้ตัวเอง กวินอาจจะปิดบังตัวตนจากใครคนอื่นได้แต่ไม่ใช่กับเขา
 
มีคนเคยบอกไว้ว่าคนที่กำลังเหงามักจะเข้าใจกัน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ กวินเหงาอย่างที่เขากำลังเหงา..
 
และในค่ำคืนนี้...เรากำลังรู้สึกถึงความเหงาไปด้วยกัน




////////////////////

*นิยายเรื่องนี้เคยเป็นแฟนฟิคมาก่อนนะคะ แจ้งให้ทราบไว้ก่อนเผื่อเข้ามาอ่านแล้วคุ้นๆ หรือสงสัย ;)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2017 15:44:45 โดย sunnandsky »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอ๋..จะชอบกันรึป่าว เสี่ยกะเด็กเสี่ยนี่่!! :z1:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กว่าจะถึงเพลงรัก
02
 
หลังจากพูดเรื่องหัวใจไป กวินก็เกิดอารมณ์อยากดราม่าขั้นสุด พ่อเจ้าประคุณใช้อำนาจเจ้าของรถ จึงบังคับให้เขาแวะที่มินิมาร์ทก่อนถึงคอนโดแล้วท่านก็ลงไปเหมาลังเบียร์มาอย่างกับว่าจะกินซักสามวันติดกัน -ไม่ต้องถามนะว่าใครเป็นคนแบกลังพวกนั้น หึหึ- พอกลับถึงห้องก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดลังนั่งซัดคนเดียวโลด ซักแอะก็ไม่ชวนไอ้คนที่มันยืนหัวโด่อยู่กลางห้อง เดือดร้อนให้คุณนริศคนนี้เชิญตัวเองเข้าไปร่วมวงหน้าด้าน ๆ
 
ยิ่งดื่มก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ วงเหล้าที่มีคนเพียงแค่สอง อันที่จริงจะเรียกวงก็ไม่น่าถูกเพราะเราไม่ได้นั่งหันหน้าเข้าหากัน เราเพียงแต่นั่งข้างกันตรงกลางมีขวดเบียร์ทั้งเปล่าและไม่เปล่าตั้งอยู่ระเกะระกะ  กวินดื่มเก่งนิครู้ แต่ต่อให้ดื่มเก่งแค่ไหนกวินก็แค่คนธรรมดาไม่ได้มีสติล้นฟ้าที่จะสามารถดื่มเบียร์ไปเกือบลังแล้วแต่ก็ยังไม่เมา และนิคก็ไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายไอ้หนุ่มนักดนตรีทั้งสองก็เมาพับเกยกันอยู่หน้าโซฟา
 
เสียงโครกครากที่ดูคล้ายว่าจะมาจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้ทำให้นิคสะดุ้งตื่นในความมืด ใครปิดไฟวะ..
 
ร่างสูงพยายามยันตัวขึ้นยืนแล้วค่อยสืบเท้าไปยังต้นเสียง มือหนาดันบานประตูออกกว้างแล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปสำรวจด้านในก่อนจะพบว่ากวินกำลัง'บูม'ชักโครกอยู่ โหยยย โคตรเท่!
 
"พี่อ้วกเรอะ" ส่งเสียงถามไปก่อนถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่กวินกำลังเป็นอยู่คืออะไร นิคเกาะบานประตูมองอีกฝ่ายโบกมือไปมาพร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้ยานคางด้วยสายตาเอือม ๆ
 
"อือ นายไปนอน...เถอะ เดี๋ยวหาย มึน  แล้ว ฉันจะ ออกไปเอง ไปเถอะ ไม่ต้อง ห่วงร้อกกกก" อวดเก่ง! สองคำที่ผุดออกมาทันทีที่ได้รับคำตอบจากคนที่แม้แต่จะยืนก็คงไม่ไหว ถ้ามีสติเต็มร้อยเหมือนทุกทีนิคก็คงจะเดินหนีกวินเวอร์ชั่นนี้ไปให้ไกล แต่ตอนนี้ ตอนที่สติของเขายังถูกฉาบเคลือบด้วยแอลกอฮอล์ที่พล่านเต็มกระแสเลือดนิคจะทำมึนเป็นคนดีช่วยไอ้รุ่นพี่ไม่เจียมตัวก่อน
 
ร่างสูงโซเซตามเข้าไปในห้องน้ำ มือหนายื่นไปลูบแผ่นหลังเล็กของคนที่กอดชักโครกสีขาวอยู่ ใบหน้าคมยู่ลงทันที กลิ่นอ้วกวิ่งมาปะทะจมูกดูจะหนักหนากว่าที่คิดไว้
 
หื่อ แม่งสุดจะทนเถอะ แต่ทำไงได้อารมณ์คนดีมันปะทุถ้าไม่ได้ช่วยกวินคืนนี้นิคคงนอนไม่หลับ ความรู้สึกผิดที่เป็นตะกอนลอยคว้างในความคิดบอกกับเขาว่าอาการเมาไม่รู้เรื่องของกวินในคืนนี้เกิดจากไอ้นิสัยปากไวไม่เข้าเรื่องของนิคเอง ถ้าเขาไม่พูดเรื่องหัวใจอีกฝ่ายคงจะไม่ดราม่าขนาดนี้หรอก..
 
หลังจากที่อีกฝ่ายหยุดบูมชักโครกนานพอจนแน่ใจได้ว่าจะไม่ขย้อนเอาอะไรออกมาอีก นิคก็ถือแก้วน้ำมาให้คนตัวเล็กกว่าล้างปาก ความจริงอยากจะเอาน้ำราดไปทั้งตัวให้สะใจเล่น แต่คิดไปคิดมาเขาว่ามันไม่คุ้ม ก็ใครมันจะมีแรงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กวินวะ ถึงจะเมาน้อยกว่าแต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้เรื่องหรือมีแรงเหมือนปกติซะเมื่อไหร่ กวินน่ะเห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้แต่เตี้ยล่ำนะเว้ย รุ่นพี่เขาคนนี้มันแมนนี่ ปาเกียวเชียวล่ะ พูดน้อย ต่อยหนัก เกิดพ่อเจ้าประคุณอาละวาดขึ้นมา ไม่ต้องทายให้เสียเวลาเลยว่าไอ้หน้าไหนมันจะซวย!  เพราะงั้นคืนนี้ก็นอนกันตามมีตามเกิดเถอะนะ
 
เห็นอีกฝ่ายครึ่งหลับครึ่งตื่นโงนเงนไปมาอยู่ตรงอ่างล้างหน้านิคก็เลยล็อคแขนคนเมา(กว่า)ไว้แล้วค่อยลากบ้างประคองบ้างจนไปถึงห้องนอนของเจ้าตัว พอปล่อยปุลงบนเตียงกวินก็ขยับตัวควานหาหมอนใบเก่ง เจอปุ๊บก็ปรับท่านอนให้ได้อย่างใจแล้วจึงปล่อยเสียงกรนคร่อกออกมาทันที เออเว้ย ช่างเป็นผู้ชายเรียบง่ายเสียจริง เห็นดังนั้นนิคก็เกี่ยวเอาหมอนหนุนที่ว่างอยู่อีกใบมากอดไว้แล้วจึงทิ้งตัวลงกองแหมะข้างเตียงบ้าง ผ้าห่มไม่มีก็ช่างมัน ตอนนี้เขาร้อนตับจะแตกเพราะอิทธิฤทธิ์เบียร์ลังนั้นจนจะแก้ผ้านอนได้อยู่แล้ว สุดท้ายคนที่พยายามฝืนเปลือกตามาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ผล็อยหลับไปง่าย ๆ ไม่ต่างจากคนที่นอนอยู่บนเตียง สรุปว่าน๊อคทั้งมุมแดงมุมน้ำเงิน..
.
.
เสียงเพลงปลุกใจให้ฮึกเหิมดูเหมือนจะดังก้องมาจากป้อมปราการบนเนินเขา เสียงฝีเท้าม้าที่เร่งตามมาเขาเดาว่าคงเป็นของแม่ทัพเกื้อ นิคอยากหันกลับไปมองให้แน่ชัดแต่ก็ไม่สะดวกนักเนื่องจากแขนข้างที่ถนัดตอนนี้มันกลับชาจนไร้ความรู้สึก หากแต่ถ้าฝ่ายที่ไล่ตามมาไม่ใช่ท่านเกื้อเล่า เขาคงสิ้นชื่อตรงนี้กระมัง..
 
"นริศ!" ห่ะ ชื่อเขา! เจ้าคนนั้นเรียกชื่อเขา แต่ไม่ใช่เสียงแม่ทัพเกื้อ นิคพยายามจะเบี่ยงตัวกลับไปมองให้แน่ว่าผู้ใดกันที่ร้องเรียกชื่อเขาจนก้องไปทั้งเนินแห่งนี้ แต่หากแขนข้างนั้นก็ยังคงไร้ความรู้สึก ชายหนุ่มกัดฟันเพื่อเบือนหน้ากลับไปมองทั้งที่ไม่ลดความเร็วฝีเท้าของม้าที่ควบอยู่ลงแม้แต่น้อย ทันทีที่หันกลับไปเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแรงกระชากให้ตกจากหลังม้าและใบหน้าของคนผู้นั้นก็ปรากฏในทันใด..
 
"พี่..พี่กวิน" เสียงแหบต่ำอย่างคนที่เพิ่งตื่นนอนเล็ดลอดจากริมฝีปากซีดเซียว ใบหน้าที่เคยหล่อจัดสะท้านฟ้าดินบัดนี้บิดเบี้ยวจนคนมองแทบจะไล่ให้ไปเกิดใหม่ นิคเบ้ปากเมื่อพยายามจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง แขนข้างขวารู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนดันตัวเองไม่ขึ้น อา..ไอ้ที่แขนไร้ความรู้สึกในฝันเมื่อกี้เป็นเพราะเขานอนทับแขนตัวเองหรือวะเนี่ย
 
"เออ ฉันเอง นายเป็นอะไร" เมื่อคนตัวเล็กทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าก็ทำให้นิคมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดขึ้น และเท่าที่มองคร่าว ๆ กวินน่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีกลิ่นหอมลอยคลุ้งตามเข้ามา อ้อ นี่คงจะหิวละสิ ถึงได้รีบตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าหาข้าวหาปลากินน่ะ คน(เกือบ)อ้วนก็แบบนี้แหละ ชีวิตนี้มีแต่กิน ริมฝีปากได้รูปเหยียดยาวตามสิ่งที่เจ้าตัวคิดอยู่ ถ้าไม่รู้ก็จะบอกให้นะครับว่าการได้แอบจิกกัดกวินในใจเป็นความสุขหนึ่งของนิคเลยล่ะ
 
"เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรผมแค่ฝันนิดหน่อย"
 
"แล้วจะ'ฝัน'ต่อมั้ย" คิ้วเข้มกระตุกพรวดทันทีที่สบตาคนถาม สายตาที่เต็มไปด้วยแววล้อเลียนพร้อมกับเน้นย้ำคำว่าฝันมันทำให้เขานึกรู้ว่าไอ้ที่ถามว่าจะฝันต่อน่ะหมายถึงอะไร นิคแทบจะเขวี้ยงหมอนตามคนที่ลุกพรวดแล้วเดินจ้ำออกจากห้องนอนไป โว้ย!! กวิน ไอ้รุ่นพี่ขี้เมา เขาไม่ได้แร้นแค้นจนต้องมานอนฝันเปียกเอาเองนะเว้ย!
 
หลังจากถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเพลงรับอรุณของกวิน นิคจึงจิกหัวพาตัวเองกลับไปห้องพักที่อยู่ชั้นถัดไป ชายหนุ่มทำเป็นเมินมองกองชีทประกอบการเรียนที่อยู่บนโต๊ะหนังสือตอนที่เอากระเป๋าไปวาง ร่างสูงสาวเท้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วจึงเดินฮัมเพลงเข้าห้องน้ำไปแบบมึน ๆ ได้ข่าวว่าไอ้คนที่เมาหนัก(กว่า)ตอนเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ใช่นิค แต่ทำไมเช้านี้.ในหัวเขามันถึงได้ปวดตุบตับแบบนี้วะ!
           
เมื่ออาบน้ำให้หายจากความซกมกแล้วเจ้าของตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีมหาภัยก็จ้ำเท้าไปรูดม่านในห้องนอนให้ปิดสนิทชนิดที่ว่าไม่ยินดีต้อนรับแสงสว่างจากทางใดทั้งนั้น จากนั้นจึงพาตัวเองไปที่เตียงนอนหลังใหญ่มุมห้อง ขอนอนอีกรอบเถอะเดี๋ยวตอนบ่ายค่อยตื่นมาว่ากันใหม่ มือหนาตลบผ้าห่มคลุมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า หวังใจว่าจะนอนเอาแรงสักงีบก่อนจะไปเผชิญความโหดร้ายของโจทย์เพลงที่อาจารย์ชัยยศให้มา คิดมาได้ไงวะไอ้โจทย์ทำอารมณ์ร้องเพลงจีบสาวเนี่ย
 
ขอบอกกก ขอบอกกกกก บอกกันไว้ตรงนี้เลย ถึงจะอกหักบ่อย แต่คนอย่างนิคไม่เคยจีบใครก่อนนะครับ!
                 .
.
เสียงเพลงที่ตั้งใจเปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนระหว่างที่เก็บกวาดทำความสะอาดห้องถูกแทรกด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ คนที่กำลังตั้งใจกับการถูพื้นหน้าโซฟาชะงักมือก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตไว้ตรงข้างโทรทัศน์ขึ้นมาอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
 
'หนูนิว' เห็นดังนั้นกวินจึงกดรับ
 
"ว่าไงหนูนิว"
 
((พี่กวิน ทำไรอยู่ครับ))
 
"ทำความสะอาดห้องน่ะ"
 
((ผมโทรมารบกวนพี่หรือเปล่า))
 
"นิดหน่อย.."
 
((โธ่ พี่อ่ะ โกหกบ้างก็ได้นะครับ)) เสียงน่ารักกระเง้ากระงอดที่ส่งมาทำให้กวินนึกภาพใบหน้าเรียวเล็กของคนที่อยู่ปลายสายได้ไม่ยาก คงจะทำหน้ายู่ใส่เขาอยู่ละสิไอ้ตัวเล็ก
 
"ก็ไม่ได้อะไร รบกวนแต่คุยได้ไง แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า"
 
((ผมจะชวนพี่ไปทะเลกัน อาทิตย์หน้าพี่ว่างมั้ยครับ พอดีพี่พีชถอยกล้องตัวใหม่มา แล้วผมเห็นว่าพี่เองก็ชอบถ่ายรูป ไปด้วยกันนะครับ ชวนไอ้เสี่ยวไปด้วย เดี๋ยวผมกับมันจะเป็นนายแบบให้พี่กับพี่พีชเอง)) กวินคำนวนตารางชีวิตในวันอาทิตย์หน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนึกถึงหน้าไอ้เสี่ยวที่รุ่นน้องพูดถึงไปด้วย เขาน่ะว่างอยู่แล้ว แต่ไอ้เสี่ยวนี่สิ ช่วงนี้ปีสามเหมือนจะมีกิจกรรมเยอะแล้วหมอนั่นมันก็มาสคอตของรุ่นเลยต้องรับหน้าที่เยอะแยะตามระดับหน้าตา
 
"นิวลองโทรไปถามนิคเองนะว่าว่างมั้ย ส่วนพี่ว่างอยู่แล้ว น่าจะไปด้วยได้ ดีเหมือนกันไม่ได้พาลูกชายไปเที่ยวนานแล้ว"
 
((โอเคครับ เรื่องไอ้เสี่ยวไม่มีปัญหาอยู่แล้วเดี๋ยวผมคุยเอง ตกลงว่าพี่กวินไปนะ ผมจะได้ชวนเกื้อกับเบสไปด้วย))
 
"ดี ๆ ไปกันเยอะ ๆ สนุกดี"
 
((งั้นผมไม่รบกวนแล้ว พี่ไปทำงานต่อเถอะ แล้วยังไงผมจะโทรมาบอกรายละเอียดอีกที แล้วเจอกันนะครับ))
 
"อือ แล้วเจอกัน"
 
กดตัดสัญญาณเสร็จก็วางโทรศัพท์ให้ชาร์จแบตต่อ จากนั้นกวินก็ลากเอาไม้ถูพื้นเข้าไปยังโซนที่เป็นห้องครัวแล้ววางมันไว้ตรงซอกระหว่างตู้เย็นกับเคาน์เตอร์ซิงค์ล้างจาน คนตัวเล็กเดินกลับมาที่หน้าเตา เปิดฝาหม้อที่มีซุปเห็ดข้น ๆ อยู่ในนั้นออกดู กลิ่นหอมของอาหารมื้อสายของวันทำเอาน้ำย่อยในท้องกวินหลั่งมากกว่าปกติ แต่กระนั้นคุณคนดีก็ยังนึกห่วงไปถึงไอ้เด็กที่เพิ่งกลับห้องไป กวินตักซุปใส่ถ้วยใบขนาดพอดีแล้วจึงเดินไปหยิบขนมปังในจานที่ปิ้งรอไว้แล้วเดินออกไปที่โซฟากลางห้อง รีโมทคอนโทรลสองสามอันที่วางระเกะระกะอยู่แถวนั้นถูกหยิบขึ้นมาใช้งานทีละอันเมื่อเจ้าของห้องกดปิดเพลงจากเครื่องเสียงแล้วเปลี่ยนไปเปิดโทรทัศน์แทน
 
กวินเริ่มมื้อแรกของวันไปพร้อมกับรายการเพลงที่มีสาว ๆ วิ่งวุ่นเต็มหน้าจอ ก็เปล่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูสาว ๆ แต่บางครั้งเพลงพวกนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจแปลก ๆ ให้กับนักแต่งเพลงมือสมัครเล่นอย่างเขาได้เหมือนกัน บางครั้งความสุขของการฟังเพลงมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเสพ
           .
.
ร่างสูงที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับกลองชุดในห้องซ้อมส่วนตัวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคนที่นอนซุกอยู่บนโซฟาสีทึบตรงมุมห้อง ธรก้าวข้ามสิ่งกีดขวางระหว่างทางก่อนจะไปหยุดที่หน้าโซฟา มือหนาแตะปลายผมคนนอนแผ่วเบาแล้วจึงออกแรงขยี้อย่างมันเขี้ยว
 
"โทรศัพท์แหนะเบส" เจ้าของชื่อครางอือยาว ๆ แล้วจึงปัดโทรศัพท์ไปให้ไกลจากตัวอีกนิด
 
"รับดิ รับเลยแล้วบอกว่าฉันอ่านหนังสืออยู่ ห้ามรบกวน" ว่าจบก็ซุกหน้าเข้าหาหมอนใบเขื่องไม่สนใจใครอีก เห็นดังนั้นธรจึงต้องหยิบโทรศัพท์อีกฝ่ายมาดูและเมื่อเห็นว่าชื่อคนที่โทรเข้ามาเป็นเพื่อนคนสนิทจึงกดรับทันที
 
"ว่าไงนิว" คนปลายสายไม่แปลกใจเท่าไหร่นักเมื่อได้ยินเสียงห้าวของใครอีกคนที่ไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์
 
"ธรหรอ เราว่าจะชวนไปทะเลอะ ไปเปล่าอาทิตย์หน้า" น้ำเสียงอ้ำอึ้งของคนอีกปลายสายทำให้นิวลอบยิ้ม
 
"ไม่ต้องรีบตัดสินใจก็ได้เราแค่โทรมาชวนไว้ก่อน ถ้าเบสตื่นแล้วค่อยถามหมอนั่นละกัน" สมกับเป็นนิวจริง ๆ รู้ด้วยว่าเบสกำลังหลับ ธรส่ายหน้าไปมา
 
"อือ ได้ความว่าไงแล้วเดี๋ยวฉันโทรบอกนะ"
 
"อือ ไปกันเยอะ ๆ สนุกดี แค่นี้นะ หวัดดี.." วางสายปั๊บธรก็พบว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นมานั่งสลึมสะลือรออยู่แล้ว ร่างสูงขยับเข้าใกล้คนที่นั่งโงนเงนไปมาแล้วจึงดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าหาอ้อมกอดแล้วกดริมฝีปากเข้าที่ขมับหอมด้วยความเอ็นดู
 
"ไม่นอนต่อแล้วเหรอ" คนในอ้อมกอดยู่หน้าเป็นคำตอบ
 
"นิวโทรมาว่าไงอ่ะ"
 
"ไม่ว่าไง แค่โทรมาชวนไปทะเล อยากไปป่าวววว" ท้ายประโยคคนใจดีจงใจลากเสียงยาวเพิ่มความน่าสนใจให้ทริปนี้อย่างออกนอกหน้า ก็พาแฟนไปทะเล..โอกาสแบบนี้หาได้ง่าย ๆ ที่ไหนกัน
 
"ไป ๆ ใครไปบ้างอ่ะ"
 
"นิวไม่ได้บอกไว้ แต่ก็คงไม่พ้นหน้าเก่าหรอก" หน้าเก่าที่ว่าก็ไอ้ชมรมดนตรีมหาภัยของมหาวิทยาลัยไงล่ะ 'นินทานอกสถานที่' ไม่ต้องตั้งชื่อทริปให้สวยหรูหรอก เพราะยังไงสุดท้ายมันก็เหลือแค่กิจกรรมเดียวนี่แหละที่ทำร่วมกันมาตลอดเวลาไปเที่ยวด้วยกัน..
 
"งั้นก็ต้องไปดิ พลาดได้ไง ขืนไม่ไปก็โดนนินทา" นั่นไง.. ไม่ทันขาดคำ! ธรยกคนตัวเล็กกว่าออกจากอกแล้วจึงเดินไปรินน้ำในตู้เย็นมาให้คนที่นั่งรออยู่ ขืนไม่ทำให้ตาสว่างรับรองว่าเดี๋ยวต้องล้มตัวนอนต่อแน่ ๆ รายนี้..
           
#เด็กเสี่ยกวิน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เสี่ยค่าตัวแพง..มาติ๊ดเดียวเอง :hao4:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
03

 
แสงสีส้มอ่อนจางจากปลายฟ้าคือสิ่งที่มองเห็นเป็นอันดับแรกเมื่อรูดผ้าม่านเปิดออก ชายหนุ่มพลิกตัวกลับลงไปนอนบนเตียงด้วยความเกียจคร้านอีกครั้ง มือหนาควานหาโทรศัพท์ที่จำได้ว่าก่อนจะนอนเขาโยนทิ้งไว้แถว ๆ ใต้หมอนหนุนเมื่อเจอแล้วจึงกด ๆ ลงไปสองสามทีแล้วรอสาย
 
"พี่..มีอะไรกินบ้างอ่ะ ผมหิว" ไม่ต้องเกริ่นบทนำให้เสียเวลา ทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์ก็ส่งเสียงถามถึงเรื่องที่ต้องการรู้ทันที
 
((มีซุปเห็ดเหลือนิดหน่อย อาหารหนัก ๆ ยังไม่มี))
 
"แล้วพี่หิวมั้ย พิซซ่าเปล่า เดี๋ยวผมโทรสั่งเองแล้วให้ไปส่งห้องพี่ ผมเพิ่งตื่นอ่ะขออาบน้ำแป็บนึงแล้วจะลงไปหา"
 
((อือ พิซซ่าก็ได้ เอาเป็บซี่ขวดใหญ่ด้วยนะ เพิ่มไก่กับลาซานญ่า อ้อ แล้วเดี๋ยวหยิบโน้ตเพลงที่นายเอาไปวันก่อนมาให้ฉันด้วย))
 
"คร้าบ งั้นแค่นี้นะแล้วเดี๋ยวผมลงไป" แหมะ ได้ทีละสั่งเป็นชุดเชียวนะเสี่ย นี่ท่าทางจะหิวเหมือนกันละสิ  ริมฝีปากสีสดขมุบขมิบนินทาคนปลายสายด้วยความนึกสนุก
 
"อือ ไม่ต้องรีบนะ รอไก่หมดค่อยมา" สั่งความเสร็จไม่ต้องรออีกฝ่ายตอบกลับคนตัวเล็กก็กดตัดสายทิ้งทันที แบบนี้รับรองไม่เกินยี่สิบนาทีหมอนั่นโผล่ก็หน้ายาว ๆ มาแล้ว กวินวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะมองไปรอบตัว เผลอหลับไปนิดเดียวฟ้าเริ่มมืดซะแล้ว คนตัวเล็กยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะเตาะแตะไปที่ห้องน้ำเพื่อทำตัวเองให้สดชื่น นี่ถ้านิคไม่โทรมาปลุกสงสัยว่าเขาคงจะเผลอนอนไปอีกนาน
 
หลังจากล้างหน้าให้สดชื่นไม่นานอาหารที่สั่งไปก็มาถึง กวินเหลือบตามองนาฬิกาที่แปะอยู่บนฝาผนังห้องก็พบว่าผ่านไปเกือบสี่สิบห้านาทีแล้วหลังจากที่นิคโทรมาหา ทุกทีหมอนั่นมันไม่ได้ช้าแบบนี้ สงสัยว่าวันนี้คงมีอะไรซักอย่าง แต่ยังไม่ทันที่กวินจะได้กดโทรศัพท์ไปตามคุณชายก็เคาะประตูห้องเรียกเสียก่อน
 
กวินมองคนที่เพิ่งแทรกตัวผ่านเข้ามาในห้อง มือน้อยเอื้อมไปรับเอากีตาร์โปร่งพร้อมกับโน้ตเพลงมาไว้ เพื่อปล่อยให้คนที่ยังติดสายคุยโทรศัพท์ต่อ ได้ยินเสียงอือ ๆ ออ ๆ ว่าอาทิตย์หน้าว่าง ไปด้วยได้ ก็นึกรู้ว่านิวคงจะโทรมาชวนน้องชายไปทะเลด้วยอย่างที่ตั้งใจ เห็นดังนั้นกวินจึงเอาของที่นิคยัดใส่มือมาให้ไปวางไว้ข้างโซฟาแล้วจึงไปเตรียมอุปกรณ์รับประทานอาหารรอ ปล่อยให้อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ไปเรื่อย ๆ ครู่เดียวจึงรู้สึกถึงแรงสะกิดจากข้างหลัง
 
"เด็กพี่จะคุยด้วยอะ" โทรศัพท์เครื่องสีดำถูกยื่นมาตรงหน้าก่อนที่มือหนาจะรับเอาจานและช้อนไปถือไว้เอง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มละมุนยามที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู นิวส่งเสียงมาบอกว่าทริปทะเลแสนงามอาทิตย์หน้าเป็นอันว่าคอนเฟิร์มเพราะทุกคนว่างหมดยกเว้นแบงค์ที่ติดไปธุระกับครอบครัว เมื่อปลายสายวางหูไปแล้วกวินจึงได้ฤกษ์หันมาสนใจคนที่กำลังตั้งหน้าแงะกล่องพิซซ่า ทั้งที่ในปากมันยังคาบน่องไก่ไว้
 
"กลัวมันจะไม่ติดคอตายหรือไง" กวินส่งเสียงถามไปด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ แต่กลับได้รับค้อนลูกใหญ่กลับมาเต็ม ๆ ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางขณะที่เทเป็บซี่ใส่แก้วใบยักษ์ของตัวเอง หลังจากนั้นจึงเทใส่อีกแก้วที่ดูแล้วคล้ายโอ่งมากกว่าแล้วจึงยื่นไปให้เจ้าของมันที่นั่งตาแป๋วรออยู่..สงสัยว่าไก่จะติดคอ..
 
"พี่...งานของอาจารย์ชัยยศวิชาขับร้องอ่ะ แกจะให้โจทย์เพลงมาแล้วให้เราหาเพลงไปร้องแสดงอารมณ์ในคลาส ตอนพี่เรียนพี่ได้โจทย์อะไรจำได้ป่ะ" คำถามจากคนที่เพิ่งแทะไก่หมดไปทำเอากวินนิ่งไปครู่หนึ่ง จำได้ว่าตอนที่เรียนวิชานี้ทุกคนจะได้รับโจทย์เพลงต่างกันไป แล้วต้องหาเพลงไปร้องและแสดงให้เข้าถึงเพลงนั้น ตอนนั้นเขาได้โจทย์เกี่ยวกับการแอบรักใครสักคน คราวนั้นเขาเล่นกีตาร์แล้วร้องเพลงไปด้วยแถมยังอินกับเพลงจนเพื่อนในคลาสบางคนปาดน้ำตาตามป้อย ๆ
 
"โจทย์เป็นเพลงเกี่ยวกับแอบรัก แล้วฉันก็ร้องเพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้" นิคเลื่อนสายตาจากกล่องพิซซ่าไปเป็นใบหน้าของคนที่นั่งข้างกัน น้ำเสียงเศร้าลึกเกินจำเป็นของกวินดูจะกระทบใจเขาบ่อยเกินไปแล้ว คนพูดยังคงมองไปข้างหน้า สายตาของกวินแฝงแววบางอย่างจนคนมองรู้สึกอิ่มตื้อ
 
บางที..นิคก็รู้สึกว่าความเย็นชาของกวินเป็นเหมือนเปลือกนอกที่ใช้หลอกตาใคร ๆ ก็เท่านั้น..
 
เสียงคุยหงุงหงิงขณะที่กินพิซซ่าทำให้บรรยากาศยามเย็นไม่น่าเบื่อเกินไปนัก สองพี่น้องคนละตระกูลยังคงนั่งถกปัญหาในวงการเพลงไปเรื่อย ๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวงดนตรีเกิดใหม่มีให้ได้ยินสลับกับเสียงแย่งน่องไก่ที่แม้จะสั่งเพิ่มแล้วแต่ก็เหมือนว่าจะไม่เคยพอสำหรับผู้ชายในวัยกำลังโตสองคน
 
"ทำไมพี่ถึงเลือกเพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้.." น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นดังขึ้นเป็นคำถามหลังจากที่รายการเพลงช่วงหัวค่ำจบลง กวินปรายตามองน้องชายร่วมคณะพลางยักไหล่
 
"ก็โจทย์เป็นเพลงแอบรัก นายจะให้ฉันร้องเพลงขอบคุณที่รักกันหรือไง" ริมฝีปากหนาเหยียดออกตอบรับคำประชด
 
"ก็เปล่า แค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงเลือกเพลงนี้ เอาจริงเพลงแอบรักเพลงอื่นมันก็มีออกจะเยอะ.."
 
"เพลงมันเพราะแล้วก็...ตอบโจทย์" คนถามพยักหน้าหงึกหงักขณะส่งเสียงครวญเพลงในลำคอ เนื้อเพลงที่พยายามนึกคิดจนสุดเซลล์สมองว่ามัน'ตอบโจทย์'ของกวินยังไง นิคค่อนข้างแน่ใจว่าไอ้ที่ว่าตอบโจทย์ที่บอกมาเมื่อกี้คนข้าง ๆ เขาไม่ได้หมายความถึงแค่โจทย์เพลงที่อาจารย์ให้มาเท่านั้นแต่มันต้องลึกซึ้งกว่า..
 
นั่งฟังน้องชายคนสนิทร้องเพลงที่ชอบในลำคอไปสักพักก็ชักเคลิ้ม ดวงตากลมเหม่อมองไปยังแสงไฟด้านนอกเพลงว่าเพราะแล้วแต่เสียงคนร้องกลับเพราะกว่า กวินชอบเสียงของนิค ชอบเวลาที่นิคร้องเพลงให้ฟัง มือเล็กเปลี่ยนมายกขึ้นเท้าคางมองอีกฝ่ายเมื่อคนตัวสูงร้องมาถึงท่อนที่ตนเองชอบมากที่สุด
 
"ไม่เคยเผยความในใจ
หากวันใดเผยใจกลัวเก้อ
เฝ้าคอยแต่หลงละเมอ
ยามเมื่อเธอห่างไป
อยากให้เธอได้มองเห็นใจฉันหน่อย
แต่เพียงน้อยคือหนึ่งมิตรเคยชิดใกล้
จะคู่ควรเสมอเธอเพียงใด
สุดแต่ใจของเธอ.."

 
เมื่อจบท่อนก็เงียบกันไปทั้งสองคน เพลงมันชวนให้เศร้าจริง ๆ นั่นแหละ ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดมิดคลุมเครือ แม้จะมีแสงไฟให้ความสว่างแต่ในบางมุมก็ยังอยู่ในเงามืดและมันก็ไม่ต่างจากหัวใจบางดวง
 
"คิดอะไรอยู่" ดวงตาคู่คมเคลื่อนจากแสงไฟด้านนอกกระจกบานหนามายังใบหน้าของคนที่นั่งเคียงกันเมื่อได้ยินคำถามจากเจ้าตัว ร่างสูงเหยียดขายาวออกไปหลังจากนั่งขัดสมาธิทับกันไว้นานพร้อมกับพ่นลมหายใจไปด้วย
 
"คิดเรื่องเพลง ไม่รู้จะเอาเพลงอะไรดี งานนี้อาจารย์ให้คะแนนเยอะซะด้วย ผมอยากได้เอ" กวินมองหน้าคนพูดก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ นิคเป็นมนุษย์ที่จัดว่าเสียงดีมาก น้ำเสียงทุ้มนุ่มเป็นดั่งพรที่สวรรค์ประทานให้เจ้าตัวโดยเฉพาะ ทักษะในการขับร้องเองไม่ด้อยไปกว่าใคร ไม่งั้นมันจะได้เป็นนักร้องนำของวงดนตรีมหาภัย เอ้ย มหาวิทยาลัยได้ไงล่ะ เพียงแต่บางครั้งการที่เจ้าตัวร้องเพลงได้ดีมากจนไม่ต้องพยายามมันทำให้ดูเหมือนว่านิคไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมในการร้องเพลง ถ้าจะพูดง่ายๆก็คล้ายกับว่ามัน'ไม่อิน'นั่นแหละ..
 
"อย่างนายได้อยู่แล้ว..มั้ง" มั้ง..เหรอ!
 
"ทำไมต้องมีมั้ง"
 
"อ้าว ก็ฉันไม่ใช่อาจารย์ชัยยศ ไม่ได้เป็นคนให้เกรดจะไปรู้ได้ไงว่านายจะได้อะไรแน่ เพียงแต่คิดว่าเสียงแบบนายไม่น่าจะพลาดหรอก ถ้าไม่โง่ทำข้อสอบไม่ได้น่ะนะ" ใช่สิ.. เกรดคุณท่านมีแต่เอกับบีบวกนี่หว่า อาจารย์รักหลงกันทั้งคณะเกียรตินิยมไม่ต้องลุ้นเพราะยังไงก็ได้แน่ ๆ คนอะไรน่าหมั่นไส้ไปทุกอย่าง หน้าตาก็ดี เรียนก็เก่ง บ้านก็รวย แถมมีสไตล์เป็นของตัวเอง เสียอย่างเดียวไม่ยอมมีแฟน อ๊ะ! หรือกวินจะแอบรักใครถึงได้อินกับเพลงขนาดนั้น..
 
"พี่แอบรักใครอยู่..." แล้วกูก็ปากไวอีกแล้ว! นิคยิ้มแหยยามที่หันไปมองคนข้าง ๆ สายตาของกวินกลับไปเรียบนิ่งอีกแล้ว เส้นแบ่งบ้าบอนั่นผุดชัดจนนิคนึกกลัว แต่ยังไม่ทันได้ผวาไปมากกว่านั้นอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนี นิสัยปากเร็วนี่เขาไปติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ โดยปกติแล้วนิคไม่ใช่คนที่พูดไม่คิดเพียงแต่ว่าบางอย่างเวลาอยากรู้มาก ๆ ปากมันก็ถามไปแบบยั้งไม่ทันแล้วผลมันก็ปรากฏแบบที่เห็น..
 
นริศมองอีกฝ่ายที่หันไปเก็บกล่องพิซซ่าเปล่าใส่ถุงแล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ นี่แหละกวินตัวจริง อย่าหวังจะได้คำตอบถ้าคุณท่านไม่อยากบอก ไม่มีการอิดออดให้มากความถ้าไม่อยากพูดถึงก็แค่ทำหน้าไม่รับรู้แล้วแล้วตีมึนจากไปพร้อมกับเมฆหมอกอึมครึม มือหนารวบเอาจานช้อนแก้วน้ำที่ใช้แล้วขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนของครัว หลบไปล้างจานดีกว่า ใบหน้าเรียบเฉยของกวินในตอนนี้มันน่ากลัวเกินไป นิคเป็นคนบอบบางแถมจิตใจยังอ่อนไหวความโหดร้ายในบรรยากาศตอนนี้เขารับไม่ได้..
 
หรือที่จริงแล้วนิคอาจจะไม่ใช่คนอ่อนไหว เขาก็แค่กลัวจะโดนฟาดกบาลตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง -*-
 
หลังจากล้างจานเสร็จนิคก็ยังคงอ้อยอิ่งหาผ้าแห้งมาเช็ดจานจนเอี่ยมแล้วเก็บใส่ตู้ให้เรียบร้อยทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกทำ เขาใช้เวลาในครัวจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงหยุดปล่อยออร่าความน่ากลัวแล้วถึงโผล่หน้าออกมาเพื่อพบว่าพื้นที่ว่างตรงหน้าโซฟาเต็มไปด้วยกองกระดาษหลายแผ่นโดยมีกวินนั่งขัดสมาธิกอดกีตาร์อยู่ตรงกลาง โหย เอาดินสอทัดหูซะด้วย เท่มาก เสี่ยเท่มากกกกก เห็นดังนั้นคนที่มีชะนักติดหลังจึงเดินไปคว้ากีตาร์ของตัวเองมาแล้วทรุดลงนั่งตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่ก่อนพร้อมกับเอ่ยปากถามราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
"พี่ทำอะไรเยอะแยะ" ไม่ถามเปล่า คนคอยาวยังชะโงกหน้าไปมองรายละเอียดในกระดาษที่อีกฝ่ายใช้เขียนโน้ตเพลงอีกอย่าง
 
"แกะเพลงใหม่เอาไว้เล่นปลายเทอม ท้ายคลาสอาจารย์ให้เล่นส่งท้าย" คนฟังเอียงหัวด๊อกแด๊กยิ้มกริ่ม
 
"ปลายเทอมยังอีกนาน ตอนนี้พี่ช่วยผมหาเพลงก่อนนะ จะร้องวันจันทร์นี้แล้วเนี่ยยังไม่ถึงไหนเลย เออ ผมว่าจะเล่นกีตาร์แล้วร้องแบบพี่อ่ะ พี่ว่าผมเอาเพลงไรดี" กวินช้อนตามองคนพูดที่นั่งอยู่ตรงหน้า
 
"โจทย์ของนายคืออะไร"
 
"จีบ..." สั้น ง่าย ได้ใจความ จีบ..ดวงตากลมหรี่มองเจ้าของโจทย์เพลงแล้วพยักหน้าเบา ๆ
 
"เอางี้ ถ้าสมมติว่าพี่จะจีบผม พี่จะร้องเพลงอะไร" คนตัวเล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง จีบ'นิค'ใช่มั้ย... มือบางขยับกีตาร์ในท่าเตรียมพร้อมวางปลายนิ้วบนคอร์ดก่อนจะค่อย ๆ เริ่มทำนองเพลงด้วยความแช่มช้า ดวงตาคู่สวยมองสบกับคนตรงหน้าไม่ละไปไหน
 
"ไม่เคย รักใคร ~ เท่า...ติ๋ม~
มีติ๋มคนเดียว ที่ทำให้..หวั่น .. ไหว~
มีติ๋ม คนเดียว เป็นหนึ่งในดวง.. ฤทัย~
ไม่เคย รักใคร .. รักใคร .. รักกกใคร .. รักกกกกใคร ~ ~ ~
เท่าติ๋มมม.. เลยยยยย~ ~ ~ "

 
"คุณกวินครับ ผมจริงจังอยู่อย่าเพิ่งเล่น" โอ้โห ลุคนี้เข้มมาก! กวินขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นอีกนิดหลังจากกลั้นหัวเราะยามที่มองใบหน้านิคบิดเบี้ยวไม่ได้ดั่งใจ
 
"ก็จริงจังไง เพลงนี้ฉันเปลี่ยนทำนองให้นายสด ๆ เลยนะ จีบแบบน่ารัก ๆ ไง"
 
"น่ารักบ้าไรล่ะ เสี่ยวมากกว่า!"
 
"ก็เข้ากับหน้าดีไม่ใช่เรอะ.."
 
"พูดดีไป พี่หาเรื่องแกล้งผมตลอดแหละ เมื่อวานก็ขังผมไว้ในห้องชมรม" กวินยักไหล่ใส่คนรู้ทันแล้วจึงวางกีตาร์ลง
 
"ขังอะไร ฉันถามไปแล้วเห็นเงียบก็นึกว่าไม่มีใครอยู่" เหอะ! นิคมองตามคนตัวเล็กที่ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเร็ว ๆ ไปที่ชั้นหนังสือมุมห้อง กวินไล้มือไปตามสันหนังสืออยู่ครู่เดียวก็ดึงหนังสือเพลงกลับมาสองสามเล่ม
 
"อ่ะ เอาไปเลือก อยากได้เพลงไหนก็ลองเล่นดู เดี๋ยวจะฟังให้" มือหนาเอื้อมมารับหนังสือเพลงไปแล้วก็พลิกดูไปเรื่อย ๆ แล้วก็สะดุดใจเมื่อเจอเพลงที่จำได้ว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นที่สุดของการแอบรัก
 
"ทำไมตอนนั้นพี่ไม่ร้องเพลงมุมล่ะ ออกจะเศร้าปนซึ้ง แถมยังดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง" กวินสบตาคนถามครู่หนึ่ง หน้าหวานส่ายไปมา
 
"มันไม่ตอบโจทย์.." ตอบเพียงแค่นั้นกวินก็ยกหูฟังอันใหญ่ครอบหูจนมิดแล้วกดเร่งเสียงในเครื่องเล่นเพลงในระดับดังสุด ร่างเล็กเอนหลังลงพิงกับโซฟาแล้วหลับตาปิดกั้นทุกการการสื่อสารจากโลกภายนอก นิคมองคนที่พาตัวเองเข้าโลกส่วนตัวแล้วก็นึกปลง เดี๋ยวหาเพลงได้ค่อยเรียกให้ฟังแล้วกัน รายนี้ไม่ได้หลับจริง ๆ หรอก อย่างมากก็แค่นอนฟังเพลงบิลท์ตัวเองนั่นแหละ บางทีเขาก็แอบเห็นว่ากวินไม่เปิดเพลงด้วยซ้ำเอาหูฟังครอบอย่างเดียว แต่แบบนั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่าอย่าได้รบกวนไม่งั้นอาจจะโดนเหวี่ยงไปนอกโลกได้
 
คนประหลาด..
 
หลังจากที่ปล่อยให้คนประหลาดนอนบิลท์อารมณ์สุนทรีอยู่สักพัก คนปกติที่ลองเล่นเพลงนั้นเพลงนี้จนพอใจก็สะกิดไหล่มนเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองบ้าง นิคจัดแจงท่าทางให้ดูเหมือนนั่งอยู่หน้าคลาสรอคนที่เพิ่งขยับตัวขึ้นมานั่งตรง ๆ ดวงตากลมของกวินจับจ้องท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง
 
"พี่ฟังนะ แล้วดูว่าผมร้องเป็นไงบ้าง" ว่าจบก็เริ่มกรีดนิ้วกับสายกีตาร์ ทำนองเพลงคุ้นหูเมื่อครั้งที่เรียนมัธยมลอยมาให้ได้ยิน กวินกัดริมฝีปากล่างกลั้นยิ้ม ไอ้เสี่ยวเอ้ย!!
 
"เป็นบุญที่ทำให้มาพบเธอ
ดลใจให้เราได้มาพบเจอเธอกับฉัน
จะมองอย่างไรเราก็ดูเข้ากัน
จะมองกี่ทีก็มีในตาซุกซนจนอยากฝัน
ก็ทำเอาประหม่าเลย
ก็ทำเอาประสาทเลย
สงสัยเหลือเกินว่าเธอนั้นเป็นใคร
ก็แค่เดินไปเฉียดเธอ
ก็แค่เดินไปแตะเธอ
ได้ทักสักคำก็พร้อมยอมตาย"

 
มือบางคว้ากีตาร์ตัวเองขึ้นมาก่อนจะเริ่มจับคอร์ดตามด้วยความคุ้นเคย เพลงกวน ๆ ที่ชอบใช้เล่นแซวคนโน้นคนนี้ในชมรมดูจะเป็นที่พออกพอใจทั้งสองฝ่าย
 
"ก็น้องดูดี เจอะอย่างนี้โดนใจ
เรี่ยมเร้เรไรอะไรจะปานนั้น
อยากถามชื่อเธอ ส่งดอกไม้ให้กัน
ได้รักสักวัน ยอมหมดเลย.."

 
"เป็นไง เจ๋งมั้ย ผมว่าเพลงนี้ก็ตอบโจทย์นะ พี่ชอบว่าผมเสี่ยวผมเลยจัดให้" กวินหัวเราะในลำคอพร้อมพยักหน้ารับ
 
"ก็ดีนะ เกิดนายร้องเพลงซึ้ง ๆ แล้วอารมณ์มันสะดุดเวลาหันไปมองเพื่อนในห้องแล้วคะแนนมันจะตก ไอ้พวกชอบแซวมันก็มีอยู่ถ้าร้องเพลงนี้ไปเลยก็จะได้ตัดปัญหา เสี่ยวไปเลยได้ใจเพื่อนในห้องด้วย"
 
"งั้นก็เอาเพลงนี้แหละ นี่ถ้าได้เล่นเป็นวงจะยิ่งฮานะ หรือผมควรพาไปทั้งวง"
 
"เล่นนอกเวลาค่าตัวฉันแพงนะ" นิคเบ้ปากใส่คนที่โก่งค่าตัวเล่นแล้วจึงถือโอกาสเลื้อยตัวลงนอนข้าง ๆ รุ่นพี่คนสนิท มือบางเอื้อมไปคว้าหมอนที่อยู่บนโซฟามาสอดรองศีรษะได้รูปแล้วดีดหน้าผากคนนอนด้วยความหมั่นเขี้ยวไปหนึ่งที
 
"เพิ่งจะตื่น ง่วงแล้วหรือไง"
 
"เปล่า แต่อิ่มเลยง่วง"
 
"กินแล้วนอนระวังจะอ้วน" คนถูกว่าคว้าเอามือขาวจัดของคนพูดมาจับ ๆ ดึง ๆ โหย คุณกวินคนหล่อ หุ่นดี ผอมเพรียว ว่าคนอื่นดูตัวเองยังเนี่ย
 
"พี่จะชั่งน้ำหนักแข่งกับผมมั้ย.."
 
".............." เงียบ ไม่ตอบ ตอบไม่ได้ละเซ่~
 
นิคเงยหน้ามองคนที่เงียบไป กวินเบือนหน้าออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกดวงตาคู่สวยเหม่อมองไร้จุดหมายคล้ายจะครุ่นคิดแต่นิคกลับมองไม่เห็นความเศร้าในดวงตาคู่นั้นเช่นที่ผ่านมา กระไอบางอย่างดูอุ่นอวลในความรู้สึกยามที่แนบฝ่ามือประสานกัน นริศไม่รู้ว่ากวินจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่สำหรับเขาแล้วสัมผัสที่เพิ่งได้รับมันทำให้ไม่อยากละมือออกจากกัน
 
มันไม่ได้พิเศษกว่าเวลาที่จับมือกับใครคนอื่น เพียงแต่อะไรบางอย่างมันทำเขาหยุดเวลาไว้ตรงนี้
อะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
อะไรบางอย่างที่บางที..
บางที..

#เด็กเสี่ยกวิน

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เจอกันวันพุธน๊า~
 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เสี่ยแอบหลงรักใคร????  :m28:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
04

เสียงโหวกเหวกจากนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เพิ่งทยอยออกจากห้องเรียนบนชั้นสองดังลอดมาถึงลานม้าหินอ่อนที่ชั้นหนึ่ง หลายคนเงยหน้ามองขึ้นไปว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้ไอ้พวกลิงทั้งหลายทำเสียงดังไม่เกรงใจรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะ แล้วก็ได้คำตอบเมื่อมีเสียงพูดคุยมาให้ได้ยินจากหลายคนที่เพิ่งเดินลงมาถึงชั้นล่างสุด คลาสขับร้องของอาจารย์ชัยยศดูจะเป็นที่กล่าวขวัญถึงทุกครั้งเมื่อใกล้ถึงปลายเทอม นักศึกษามากหน้าหลายตาที่เดินพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันออกมาจากห้องเรียนเกี่ยวกับเพลงและการแสดงของเพื่อนแต่ละคนดูจะได้อารมณ์มากกว่าช่วงเวลาที่อาจารย์เปิดให้วิพากษ์วิจารณ์ในห้องเรียนเสียอีก
 
รุ่นน้องที่เพิ่งเดินผ่านโต๊ะไปที่กำลังคุยถึงความเสี่ยวของไอ้นิคเพื่อนร่วมชั้นทำให้คนที่เพิ่งปลดหูฟังออกหลุดยิ้ม เท่าที่จับใจความได้กวินคิดว่าไอ้เสี่ยวคงได้ 'A' ในวิชานี้อย่างที่เจ้าตัวหวังไว้ ด้วยเสียงร้องบวกกับหน้าตาและความสามารถทางการแสดงอีกนิดหน่อยไม่น่าจะทำให้นริศพลาดได้คะแนนในระดับสูงไปได้ เด็กคนนั้นเก่งและกวินเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องไปได้ไกลบนเส้นทางสายดนตรี...
 
ดวงตาคู่หวานกวาดไปบนกระดาษโน้ตอีกครั้งหลังจากที่ถูกทำให้ให้สมาธิหลุด เพลงที่จะเล่นวันนี้เป็นเพลงใหม่ที่กวินเพิ่งแกะเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ แต่ยังไม่ทันได้ทวนอีกรอบสมาธิที่หาได้ยากยิ่งก็ต้องหลุดลอยอีกคราและคราวนี้ก็เป็นฝีมือมนุษย์ที่กำลังถูกเพื่อนฝูงกล่าวขวัญถึงมากที่สุดนั่นแหละ นริศวางกระเป๋ากีตาร์ที่ใช้หากินในวันนี้ลงบนม้านั่งแล้วจึงหย่อนตัวเองลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้าง ๆ กวิน
 
"โอ้ยยย เหนื่อย เหนื่อยมากกก" ไม่บ่นเปล่ายังลากเสียงยาวให้รู้อีกด้วยว่าเหนื่อยจริง กวินเงยหน้ามองคนที่มาถึงก็โวยวายด้วยความอ่อนใจ มือเล็กควานลงไปในเป้แล้วหยิบขวดน้ำออกมาก่อนยื่นไปตรงหน้าคนเหนื่อย
 
"ขอบคุณครับ" ว่าจบก็เปิดฝาขวดยกซดไม่สนใจหลอดแต่อย่างใด กวินมองท่าทางรีบเร่งแล้วก็ได้แต่กลัวว่ามันจะสำลักน้ำเข้าซักนาทีแต่สุดท้ายน้ำก็หมดขวดโดยที่นิคยังอยู่ดีเหมือนเดิม มือหนาปิดฝาขวดน้ำเปล่า ๆ แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง..
 
เมื่อก่อนนิคกินเสร็จก็ทิ้ง ดื่มเสร็จก็ขว้างไม่ได้สนใจอะไร แต่พออยู่กับกวินนานเข้าก็ซึมซับนิสัยประหลาด ๆ มา กวินมักจะเก็บขวดน้ำทั้งหมดที่ดื่มไปแล้วไว้ท้ายรถ ทั้งน้ำเปล่า น้ำหวาน ขวดเหล้า ขวดเบียร์ เก็บทุกขวด(ถ้าเก็บได้) ที่ท้ายรถคันเล็กของเจ้าตัวจะมีถุงไว้ใส่ขวดโดยเฉพาะ ส่วนเหตุผลที่เก็บก็เพราะว่าจะเอาไปให้หลานของคุณป้าแม่บ้านขาย ถ้าอาทิตย์ไหนได้กลับบ้านกวินก็จะขนขวดทั้งหมดที่สะสมไว้กลับไปให้เจ้าหนูหลานของแม่บ้านที่บ้าน ตอนแรกนิคก็ไม่เข้าใจว่ากวินจะทำไปเพื่ออะไร แต่พอได้ตามไปที่บ้านคุณชายครั้งหนึ่งแล้วได้เห็นสีหน้าดีใจของเด็กน้อยในยามที่รู้ว่ามีคนช่วยหารายได้พิเศษให้นิคถึงรู้ว่าบางครั้งเรื่องเล็ก ๆ ของบางคนอาจจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของอีกคนก็ได้ หลัง ๆ มาพอดื่มน้ำเสร็จนิคก็จะเก็บไว้ไปใส่หลังรถเสี่ยเพื่อฝากไปให้เด็กน้อยผู้ขยันหาเงิน
 
นิคไม่เคยต้องลำบากหาเงินด้วยตัวเอง กวินก็เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดเวลาที่จะจ่ายเงินซื้ออะไร แต่พอมาอยู่กับกวินนิคกลับกลายเป็นคนที่คิดแทบทุกอย่าง กวินเคยบอกไว้ว่าถ้าจะกินแบบหรูต้องไม่ให้เหลือ จากนั้นมานิคก็ไม่เคยกินทิ้งกินขว้าง จากนิสัยเคยใช้เงินเป็นเบี้ย เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จะจ่ายแต่ละบาทยังต้องคิดแล้วคิดอีก จนตอนนี้เพื่อนบางคนยังหาว่าเขางก...แต่ก็นั่นแหละ พอได้งกแล้วเขากลับรู้สึกดี บางครั้งยังแอบภูมิใจที่เงินในบัญชีที่พ่อกับแม่โอนใส่ไว้ให้เหลือไปถึงอีกเดือน
 
"วันนี้มีเพลงใหม่นะ" แล้วก็เป็นเสียงของคนข้าง ๆ ที่ฉุดนิคกลับมาจากความคิด คนตัวสูงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางกับโต๊ะพลางพยักหน้าเอื่อย ๆ ส่วนอีกมือก็แบไปขอหูฟังมาหนึ่งข้างเมื่อได้มาแล้วก็จับยัดหูทันที ปล่อยให้เสียงเพลงไหลผ่านประสาทการรับฟังไปสักครู่ นักร้องนำของวงดนตรีมหาภัยก็ยักไหล่
 
"ถ้าเป็นเพลงนี้ก็สบาย ไม่มีปัญหา เสียงผมดีกว่านักร้องนำอีก..พี่ว่าป่ะ" คนตัวเล็กกว่าเบ้ปากกับคำพูดเยินยอตัวเอง ความภาคภูมิใจเด่นชัดในน้ำเสียงจนคนฟังแอบหมั่นไส้ แต่ทั้งอย่างนั้นกวินก็ไม่ได้เถียงออกไป เพราะสิ่งที่นิคพูดคือสิ่งที่กวินกำลังคิด
 
"พี่ วันนี้เลิกชมรมแล้วเราไปกินหมูจุ่มกันนะไม่ได้กินนานแล้ว ไปกันสองคน เดี๋ยวผมเลี้ยงเองนะ นะ นะ" กวินมุ่นคิ้วประหลาดใจเมื่อได้ยินคำว่าไปกันสองคน ไอ้หมอนี่มันกินอะไรผิด ทุกทีจะต้องลากคนโน้นคนนี้ไปจนร้านเขาจะแตกเพื่อหาคนช่วยหารค่าข้าว แต่วันนี้มาแปลก บอกให้ไปกันสองคนแถมจะเลี้ยงอีกด้วย..
 
"ทำไมไม่ชวนคนอื่นไปด้วย นิว เกื้อ เบส ธ.." มือหนายกขึ้นมาในท่าปางห้าม(ชวน)ญาติสกัดรายชื่อแต่ละมนุษย์ที่กวินเพิ่งไล่เรียงมา
 
"ผมเบื่อ อยู่กับพวกนั้นมันเอาแต่แซวผมเรื่องแฟนทิ้ง ขนาดไม่เจอกันเสาร์อาทิตย์ยังส่งข้อความมาเยาะเย้ย ไอ้พวกชอบมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น คราวหน้าใครเลิกกับแฟนผมจะไปเช่าป้ายคัทเอาท์ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ไปทั้งประเทศเลยคอยดู!" จบประโยคพร้อมกับพรูลมหายใจยาวเหยียด กวินอยากจะขำแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะงอแงไปมากกว่านี้
 
โถ~เด็กน้อย.. ที่แท้ก็งอนเพื่อน
 
 
 
สองร่างที่เดินเคียงกันเข้ามาถึงห้องซ้อมเรียกความสนใจจากอีกสองสามคนที่กำลังจัดแจงเครื่องดนตรีกันอยู่ได้เป็นอย่างดี นิวเปิดยิ้มกว้างขวางต้อนรับพี่ชายสุดที่รักไม่ต่างจากเบส ในขณะที่นิคยกมือไหว้ประธานชมรม ที่กำลังปรับเสียงกีตาร์ ตัวเก่งอยู่ก่อนปรายตามองไปยังคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกันและก็ทันได้เห็นว่ากวินก็กำลังทำแบบเดียวกันกับตนเอง นิคนึกรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมีเรื่องสนุกให้ดูในชมรม ความลับในคืนวันนั้นเขายังไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครฟังแม้กระทั่งนิวที่สนิทกันที่สุดและในตอนนี้เขาก็คิดว่าความลับนั้นไม่สมควรจะแพร่งพรายให้ใครรู้อีกต่อไป
 
นิคไม่รู้ว่าทำไม..แต่วินาทีนี้เขารู้เพียงว่าความลับนั้นทำให้เขาเข้าถึงกวินมากกว่าใคร ๆ โลกของกวินอาจจะไม่ได้เปิดกว้างต้อนรับเขาแต่ตอนนี้ประตูบานนั้นก็ไม่ได้ปิดตายเช่นกัน เส้นกั้นความเป็นส่วนตัวที่เขาอนุมานเอาเองว่าสามารถแหย่เท้าเข้าไปได้แล้วหนึ่งข้างมันทำให้เขารู้สึก'เหนือ'กว่าใคร ๆ แม้กระทั่งพี่มิค..
 
 
 การซ้อมแบบเต็มวงวันนี้ผ่านไปด้วยดี..อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยของประธานและรองประธานชมรมดนตรีแห่งนี้
 
นิคยืนม้วนเก็บสายไมค์ด้วยท่าทีเงียบเฉยไม่สนใจใครแต่สายตากลับสอดส่องไปยังมุมห้องที่ตอนนี้กวินกำลังยกกล่องแอมป์ไปเก็บโดยมีประธานชมรมอาสาเข้าไปช่วย หลายครั้งที่เขาเห็นว่าพี่มิคพยายามจะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายไปยังกวินแต่กระนั้นมนุษย์ประหลาดก็สามารถหลบเลี่ยงได้ตลอดสองชั่วโมง
 
ก็เรื่องพวกนี้มันของถนัดเสี่ยเขานี่ ไม่ว่าจะเป็นหลบเลี่ยง ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ละทิ้ง วางเฉย กวินทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย ๆ โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองว่าคนที่ถูกกระทำจะรู้สึกแบบไหน และตอนนี้คุณชายท่านก็กำลังทำอยู่โดยการก้มหน้าก้มตาเก็บโน้ตเพลงใส่ซองแล้วยัดใส่เป้ สายตากวินจับนิ่งที่กระเป๋า ล้วง ๆ ควัก ๆ อยู่อย่างนั้นทั้งที่พี่มิคกำลังชวนไปกินข้าว.. ห่ะ ไปกินข้าว!
 
"ต้องขอโทษพี่จริง ๆ แต่วันนี้ผมไม่ว่างครับ มีนัดแล้ว" และนั่นคือคำตอบจากปากคนถูกชวน..
 
ดีมาก อย่างน้อยเสี่ยก็ไม่ลืมว่านัดกับเด็กไว้แล้ว..นิคแอบเห็นว่าพี่มิคทำหน้าไม่ถูกไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใจดีเช่นทุกครั้ง
 
ไม่รู้ทำไมแต่ตอนนี้นิคกำลังรู้สึกดี ดีมาก ๆ ด้วย ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าใครอีกคนกำลังรู้สึกแย่อย่างที่สุดก็ตาม เขาไม่เคยคิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่มิค เขาให้ความเคารพรุ่นพี่ผู้เป็นประธานชมรมมาโดยตลอด แต่สิ่งที่กวินกำลังแสดงออกมาทำให้เขาตระหนักถึงความมีตัวตนในสายตาของอีกฝ่าย เขารู้ว่ากวินต้องการเลี่ยงที่จะต้องออกไปกินข้าวกับพี่มิคจึงบอกออกไปว่ามีนัดแล้ว และก็ไม่บังเอิญว่าวันนี้กวินมีนัดอยู่จริงแล้วก็เป็นนัดกับเขาด้วย..
 
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับก่อนนะครับ" ว่าจบเสี่ยท่านก็โค้งตัวบอกลาตัดฉับเยื่อใยทุกอย่างทางสายตาที่รุ่นพี่ร่างสูงพยายามส่งผ่านมาให้เห็นใจ คนตัวเล็กก้าวผ่านกองข้าวของของน้องชายร่วมวงทั้งหลายแล้วโบกมือลาทุกคนเร็ว ๆ และมันก็เร็วเสียจนคนที่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องคนเดียวในใจต้องรีบกวาดข้าวของส่วนตัวลงเป้แล้วคว้าโน้ตเพลงสามสี่แผ่นมาหนีบไว้ขณะที่โบกมือลาทุกคน นิคกระเตงข้าวของที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยดีกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามกวินออกไปที่ลานจอดรถข้าง ๆ ห้องชมรมก่อนที่จะพลาดกลายเป็นเด็กตกรถ วุ้ย! ตกลงว่าเสี่ยมันจำได้หรือเปล่าว่านัดเด็กไว้ หมูจ่งหมูจุ่มอะไรนั่นตกลงจะได้กินมั้ยวะ
 
นิควิ่งหอบมาถึงรถก็พบว่ากวินยังยืนรออยู่ ก็ยังดีที่นึกได้ว่ายังมีน้องชายอีกคนขอติดรถไปด้วย นี่ถ้าเสี่ยทำมึนขับรถออกไปคนเดียวเขาจะกลับเข้าไปปาดคอพี่มิคทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอด
 
"ขับรถให้หน่อย" คนตัวเล็กโยนกุญแจรถมาให้ทันทีที่นิคก้าวมาหยุดอยู่ข้างกัน จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งในรถ รอคนขับที่ยังพยายามจะจับต้นชนปลายอยู่ ถามว่าเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้มั้ยตอบได้เลยว่าเข้าใจ แต่ในความเข้าใจนิคก็ยังงง ๆ เมื่อนึกไม่ออกว่าจะคิดหาเหตุผลในการกระทำ(ประหลาดๆ)ของกวินไปทำไมคนที่เพิ่งได้กุญแจรถมาก็เดินอ้อมไปยังประตูฝั่งคนขับเพื่อทำหน้าที่ที่เพิ่งถูก'ยัดเยียด'มา..
 
เอาเถอะ หากินข้าวก่อนดีกว่าแล้วหลังจากนี้โลกจะแตกก็ช่างมัน..
 
 
ร้านหมูจุ่มที่นิคพากวินมาเป็นเพียงร้านข้างทางเล็ก ๆ ที่ความอร่อยไม่ได้เล็กตามขนาดของร้าน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาที่นั่งด้วยความคุ้นเคยที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งก่อนจัดแจงสั่งสารพัดหมูชุดใหญ่โดยไม่ถามความเห็นของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแม้แต่คำเดียว เอาน่า เสี่ยเป็นคนกินง่ายไม่ได้เรื่องมากอย่างผู้หญิงที่เขาเคยพามา มันสบายใจตรงที่นิคอยากกินอะไรก็สั่งแบบนั้นไม่ต้องทำท่าเอาอกเอาใจใครให้เสียเวลาโซ้ยของอร่อย นี่แหละข้อดีของการไปไหนมาไหนกับเพื่อน(รุ่นพี่)ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน..
 
"ผมเลี้ยงน้ำเปล่านะ จะกินน้ำอย่างอื่นพี่ต้องจ่ายเพิ่ม เพราะมันไม่ได้อยู่ในโควต้า" ผ่านไปสักครู่อยู่ดี ๆ คนที่เคาะมือเล่นกับโต๊ะระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟก็หันมาบอก กวินแค่นยิ้มใส่ไอ้ขี้งกแล้วจึงยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟบ้าง
 
"เอาเบียร์ขวดนึงครับ" คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันผิวปากวิ้วทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยสั่งอะไรเพิ่ม กวินยิ้มให้น้องชายคนสนิทแล้วเอ่ยเสียงชื่น
 
"ถ้าอยากดื่มก็สั่งเองนะ พอดีมันไม่ได้อยู่ในโควต้าของนายเหมือนกัน.."
 
"โหย ผมอุตส่าห์พามาเลี้ยงอ่ะคนเรา" กวินได้ยินคำค่อนแคะเต็มสองหูแต่ก็ยังคงนั่งยิ้มไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนขี้บ่นบ่นไปเรื่อยตามประสา เถียงไปก็เท่านั้น เดี๋ยวมันก็หาเรื่องอื่นมาบ่นเขาได้อีก สู้นั่งเงียบ ๆ เก็บแรงไว้จ้วงหม้อแข่งกับมันดีกว่า งานนี้ใครเร็วคนนั้นอิ่ม!
 
ตะเกียบสองคู่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่าปริมาณหมูบนโต๊ะจะเหลือเพียงเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กที่ไหลย้อยลงมาตามแนวคางได้รูปบอกได้ว่าสมรภูมิอาหารในวันนี้ดุเดือดเพียงใด นิคยังคงไม่ยอมแพ้แม้จะจิ้มได้แต่เนื้อหมู แล้วตับ ไต ไส้(หวาน) กระเพาะ เซี่ยงจี้ มันหายไปไหนหมดวะ!
 
ดวงตาคู่คมตวัดมองคนที่นั่งคว้านตะเกียบในหม้อด้วยท่าทางสบาย ๆ ใบหน้าหวานมีเหงื่อซึมอยู่ตามขมับแต่ก็ไม่ได้มากมายอย่างเขา รุ่นพี่ตัวเล็กดูจะเพลิดเพลินกับอวัยวะ(ของหมู)ทุกส่วนที่เขาประกาศหาไปเมื่อครู่ แถมยังกระดกเบียร์โชว์เป็นครั้งคราว มีความสุขเกินไปแล้วครับคุณกวิน ทั้งที่ตอนที่ออกมาจากห้องชมรมยังดูหงุดหงิดอยู่แท้ ๆ พอเขาเอาอาหารมาล่อเข้าหน่อยอารมณ์ดีมาเชียว เหอะ น่าหมั่นไส้!
 
"แล้วพี่จะเอาไงต่อไป" เสียงห้าวเจือความอยากรู้อยากเห็นที่ส่งมาจากอีกฟากของโต๊ะทำเอาคนที่กำลังเพลินกับการจ้วงหม้อหยุดมือทันที กวินเลิกคิ้วเป็นคำถามย้อนกลับไปราวกับไม่เข้าใจประโยคเมื่อครู่
 
"ผมหมายถึงพี่จะเลี่ยงพี่มิคแบบนี้ไปตลอดน่ะเหรอ" คราวนี้คนถูกถามถอนใจยาวพลางวางตะเกียบลงบนจาน ดวงตาคู่สวยจับนิ่งที่ใบหน้าคนถามโดยไม่ได้พูดอะไรทำเอานิคชักหวั่นใจ แต่ก็นั่นแหละ เขาอิ่มแล้วเลยลองถามดูถ้าเสี่ยจะพังโต๊ะตอนนี้ก็ช่างปะไร และด้วยความอาจหาญจากพลังหมูจุ่ม คราวนี้นิคไม่ได้หลบสายตาที่จ้องมา ร่างสูงยืดตัวตรงต่อตากับอีกฝ่ายอย่างกระหายในคำตอบ
 
"มันมีทางไหนที่ดีกว่านี้บ้างล่ะ" ใช่ มันมีทางไหนที่ดีกว่าสิ่งที่กวินกำลังทำอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่รักษาน้ำใจเอาไว้แน่ ๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือรุ่นพี่ที่เคารพถึงแม้จะไม่ชอบใจถึงเพียงไหน แต่เขาคิดว่าแค่คำปฏิเสธแบบตรงไปตรงมาก็คงมากพอแล้ว เขาคิดว่าพี่มิคคงต้องการเวลาทำใจและระยะเวลาที่เหลือนับจากนี้จนถึงปลายเทอมคงช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดหวังนั้นได้ เขารู้ว่าพี่มิคเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่รุ่นพี่ทำในวันนี้ก็เพียงแค่ต้องการทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นกวินก็ยังกลัว เขารู้ดีว่าถ้ายังกลับไปให้ความสนิทสนมในแบบที่ผ่านมามิคจะตัดใจได้ยากยิ่งกว่า
 
เพราะกวินรู้ว่าสิ่งที่อันตรายต่อหัวใจมากที่สุดคือความใกล้ชิด...
 
"นั่นสินะ จะให้ไล่ตะเพิดไปก็ใช่ที่ คนเราเจอกันทุกวันแถมยังรู้สึกดี ๆ ต่อกันมานาน อีกอย่างพี่มิคก็ใช่ว่าจะเลวร้ายซะที่ไหน เฮ้อออ นี่ละน้า มารักคนที่ไม่สมควรจะรักมันก็เจ็บแบบนี้แหละ" กวินนั่งหมุนตะเกียบมองคนที่กำลังออกความเห็นอย่างเมามันและมันก็ยังไม่รู้ตัว คุณนักร้องนำยังคงวิจารณ์เรื่องของเขาอย่างออกรส
 
 "ทั้งที่ก็เห็นตัวอย่างมาไม่น้อยก็ยังไม่ยอมตัดใจ ทำเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟไปได้.. " กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนจากหมุนตะเกียบมาเป็นเท้าคางมอง
 
“...........”
 
"เอ่อออ แต่ก็นั่นละนะ พี่ออกจะหน้าตาดี จะมองให้หล่อก็หล่อจะน่ารักก็ใช่ย่อย หัวก็ดี เล่นดนตรีก็เก่ง แถมบ้านรวย ใครเห็นใครรู้จักก็ต้องรักเป็นธรรมดา แหะ ๆ ๆ พี่อย่ามองผมแบบนั้นสิ พี่ก็รู้ผมมันพวกผีเจาะปากมาพูด ลืมตัวไปนิดหน่อยเลยออกทะเลซะไกล" สายตาวาววับที่จับจ้องอยู่ทำให้คนพูดเริ่มรู้ตัวว่าวันนี้ชักจะเกินเลยไปมากโข นิคยกมือขึ้นโบกไปมาด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนทำเป็นสำรวจอาหารบนโต๊ะ
 
"เราคิดเงินกันดีกว่า เดี๋ยวเบียร์ขวดนี้ผมเลี้ยงพี่เลยก็ได้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แค่นี้เอง" ว่าจบก็หันซ้ายหันขวายกมือเรียกหาพนักงานเพื่อให้คิดค่าเสียหายในวันนี้ ร่างสูงพยายามมองไปรอบกายตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ใบหน้าเรียบนิ่งของกวิน แหมะ อุตส่าห์บิลท์ให้อารมณ์ดีมาตลอดมื้อ ดั๊นมาตกม้าตายตอนจบ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้กวินก็ยังคุยกับเขาเรื่องหัวใจบ้าง ไม่ใช่ปิดปากเงียบเหมือนทุกทีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากรู้อะไรมากมายเพียงแต่ว่าตั้งแต่เล่นดนตรีร่วมวงกันมาก็มีแค่รุ่นพี่ตัวเล็กนี่แหละ ที่เขาไม่เคยได้สอดรู้สอดเห็น(เออ ยอมรับก็ได้วะ)เกี่ยวกับเรื่องของหัวใจเหมือนใครคนอื่น
 
นริศลอบมองคนที่กำลังยืนถูมือรอเขาเอาเงินทอนอยู่หน้าร้านด้วยความเหนื่อยใจ กวินนิ่งไปอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่ชิน เพียงแต่บางทีเขาก็อยากให้กวินระบายออกมาบ้าง เขายอมรับว่าแม้จะดูสนิทกันที่สุด แต่หลายครั้งกวินก็ปฏิบัติราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ควรจะได้รับความไว้วางใจให้รู้ในเรื่องส่วนตัว ก็จริงที่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวบางเรื่องก็ไม่เห็นจะต้องเก็บเป็นความลับคอขาดบาดตายขนาดนี้...ใช่ นิคเป็นคนคิดอะไรง่าย ๆ แบบนี้แหละ ไม่เหมือนกวินที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน  นิคไม่อยากเป็นคนอื่นสำหรับกวิน ไม่อยากเป็นแค่รุ่นน้องที่สนิทกันแค่บางเวลา เขาแค่อยากแบ่งปันความทุกข์ของกวินบ้างไม่ใช่เพียงแค่เล่นดนตรี กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เล่นสนุกด้วยกันไปวัน ๆ
 
เขาอยากเป็นเพื่อนแท้ ไม่ใช่คนที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตหนึ่งแล้วก็ผ่านไป..
 
ระยะทางจากร้านหมูจุ่มไปที่รถจอดอยู่ไม่ได้ไกลกันมากนักแต่วันนี้นริศกลับรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ใช้เดินมันยาวนานมากเกินไป ความเงียบที่มาพร้อมกับความอึดอัดอึมครึมที่อีกฝ่ายจงใจสร้างขึ้นมันทำให้นิคหนาว ๆ ร้อน ๆ จนทำตัวไม่ถูก กวินไม่พอใจอะไรอีก เรื่องที่เขาพูดมาก เรื่องที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หรือทุกเรื่อง..
 
"พี่โกรธผมเหรอ" และในที่สุดนิคก็หมดความอดทน ชายหนุ่มคว้าแขนคนที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นขณะเดินไปที่รถไว้ มือหนากระชับแน่นกับท่อนแขนขาวพร้อมทอดสายตามองหาคำตอบจากใบหน้าราบเรียบปราศจากอารมณ์..
 
"เปล่า.." ร่างสูงถอนหายใจกับคำตอบสั้น ๆ นั้น ประหยัดคำพูดกันเข้าไป..
 
"แล้วพี่เงียบทำไม พี่รู้มั้ยว่าบางครั้งผมก็ทำตัวไม่ถูก เดี๋ยวพี่ก็ใจดีคุยเล่นไม่มีอะไรแต่ถ้าพี่พอใจจะเงียบพี่ก็เลิกคุยแล้วกลับเข้าโลกส่วนตัว ปล่อยให้ผมเคว้งทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนี้ บางทีผมก็เหนื่อยเวลาที่ต้องรับมือกับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของพี่" นิคชะงักไปอึดใจแล้วสูดลมเข้าปอดลึก ๆ เมื่อนึกรู้ว่าระดับเสียงดูจะเพิ่มขึ้นตามระดับอารมณ์ ถึงบริเวณนี้จะไม่มีคนอื่นแต่เขาก็ไม่ควรจะทำเสียงดังใส่คนตรงหน้า แม้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดตอนนี้มันก็มาจากเจ้าตัวทั้งนั้น
 
นิคพยายามสบตากับคนที่กำลังเบือนหน้าหนี สายตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ เหนื่อยล้า และสุดท้ายมันก็ส่งผลไปถึงกระแสเสียงที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา...แผ่วเบาและอ่อนแรง
 
"พี่กวิน...สนใจความรู้สึกของผมบ้างสิ ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่พี่ พี่..." เท่านั้น นิคพูดได้เท่านั้น ชายหนุ่มปล่อยแขนของคนตรงหน้าก่อนจะล้วงกุญแจรถออกมาแล้ววางมันลงบนฝ่ามือเจ้าของตัวจริง..
 
ร่างสูงก้าวผ่านกวินไปช้า ๆ ใบหน้าคมคายมองตรงไปเบื้องหน้าตามทิศทางการก้าวเดิน โดยไม่ได้หันกลับมามองใครอีกคนที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง กวินกำกุญแจรถแน่นจนรู้สึกเจ็บไปทั้งฝ่ามือ ใบหน้าหวานก้มต่ำในขณะที่เฝ้าวนเวียนคิดถึงคำพูดของคนที่เพิ่งเดินจากไป
 
...สนใจความรู้สึกของผมบ้างสิ...
 
...บางทีผมก็เหนื่อย...

 
อยู่ด้วยกันมานานนริศไม่เคยรู้เลยหรือว่าเขาคนเป็นยังไง ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ตัวเลยหรือว่า’ได้’อะไรจากเขาไปบ้าง อะไรที่นิคได้แต่คนอื่นไม่เคยได้ พื้นที่เล็ก ๆ ในโลกส่วนตัวของเขา ทุกด้านที่ไม่เคยเปิดเผยให้คนอื่นได้รู้ ด้านมืดที่เขามักจะใช้รอยยิ้มปิดบังไว้มีเพียงนิคเท่านั้นที่ได้เห็น สิ่งเหล่านี้ที่เขาหวงแหนมากที่สุด ทุกอย่างที่รวมเป็นกวินทุกสิ่งที่เขาทำลงไป มันทำให้คนที่ได้รับอึดอัดและลำบากใจ เขาไม่เคยพูดออกไปแต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็คิดว่านิคอาจจะรับรู้ แต่ไม่เลย นิคไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ได้รับจากเขาคือความพิเศษ ผู้ชายคนนั้นมองว่ามันคือสิ่งเลวร้ายที่ต้องทนรับมาตลอด หากกวินด้านชาไร้ความสนใจและไม่เคยมองเห็นความรู้สึกของใครอย่างที่นิคกล่าวหาแล้วที่ผ่านมา อีกหลายอย่างที่เขาทำลงไป สิ่งเหล่านั้นเรียกว่าอะไร..
 
กวินอาจจะผิดเองที่ไม่เคยพูด ทั้งยังชอบแสดงท่าทางเอาแต่ใจ แต่เพราะเขาคิดมาตลอดว่านิคจะเข้าใจความเป็นกวินมากกว่าใคร แต่สุดท้ายคืนนี้เขาก็ได้คำตอบ  นิคไม่เคยเข้าใจเขาเลย...
 
ร่างเล็กกดเปิดล็อคประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับ กระเป๋าเป้และกระเป๋ากีตาร์ ของนิคยังคงวางอยู่ที่เบาะหลัง คนตัวเล็กปรับเบาะให้ขยับไปข้างหน้าอีกนิดเนื่องจากช่วงขาที่ยาวต่างกันกับคนที่ขับรถมาตอนแรก แต่เมื่อจะถอยรถก็พบว่ากระจกมองหลังยังอยู่ผิดจากตำแหน่งเดิมของเขาด้วยเหมือนกัน มือเล็กเอื้อมไปปรับความสูงของกระจกมองหลังให้อยู่ในระดับสายตาของตนเอง ระหว่างนั้นในความคิดก็หวนกระหวัดไปถึงสารถีคนสำคัญที่เวลานี้ไม่รู้ว่าเดินไปถึงไหนแล้ว แผ่นหลังสูงใหญ่ของอีกฝ่ายในตอนที่เดินจากไปไม่ชินตามากนักเพราะที่ผ่านมานริศมักจะเดินตามเขาเสมอ แม้จะอยู่คนเดียวได้แต่เขารู้มาตลอดว่าการมีนริศอยู่ด้วยมันดีกว่ามาก
บางทีคราวนี้เขาคงจะเอาแต่ใจเกินไปเหมือนที่อีกฝ่ายว่ามาหรือบางทีหมอนั่นก็อาจจะเหนื่อยกับเขาแล้วจริง ๆ
และบางทีครั้งนี้ กวินก็อาจจะต้องเป็นฝ่ายทำความเข้าใจแล้วเดินเข้าไปหานริศดูบ้าง
 
 
 
 #เด็กเสี่ยกวิน

ลงทุกวันพุธกับเสาร์นะคะ
แต่เมื่อวานลืม แฮ่ เลยมาช้าไปวันนึง
เจอกันอีกทีวันเสาร์ค้าบบบ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อ่าว..วววว กลายเป็นนิคงอนเสี่ย..ยยยยยย รอจ้า   :o7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ colorlab

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ยังไงกัน สองคนไม่รู้ใจตัวเองกันหรอ
สนิทกันมากเลยลำบากที่จะพูดแหงๆ
เสี่ยน่ารัก อยากเป็นเด็กเสี่ย

 :z3:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
05

ความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศคือสิ่งที่กวินสัมผัสได้ในครั้งแรกที่โผล่หน้าเข้าไปในห้องนอนสีทึม ม่านหน้าต่างถูกรูดให้ปิดสนิทเหมือนทุกครั้งในเวลาที่เจ้าของห้องต้องการพักผ่อน
 
หลังจากยืนนิ่งให้ดวงตาปรับความคุ้นเคยกับความมืดจนเริ่มมองเห็นอะไรลาง ๆ ร่างเล็กจึงก้าวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลงอย่างใจเย็น กวินจงใจลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายโดยการไม่เอ่ยปากขออนุญาต หรือแม้แต่ส่งเสียงทักทายให้รู้ตัว จนกระทั่งปลายเท้าเล็กไปหยุดที่เตียงนอนหลังใหญ่..
 
ภาพผู้ชายตัวโตนอนซุกหน้ากับหมอนใบเขื่องโดยมีผ้าห่มผืนหนาคลุมไปจนมิดคอคือสิ่งแรกในห้องนอนนี้ที่กวินพยายามเพ่งมองอย่างจริงจัง ใบหน้าคมคายติดจะยุ่งเหยิงแม้กระทั่งตอนที่เปลือกตายังปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะราบเรียบสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงยังวิ่งวนอยู่ในความฝัน คนตัวเล็กตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งห้อยขาบนเตียงกว้างหันหลังให้กับคนนอน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงขยับตัวไปมา แต่กระนั้นทุกอย่างในห้องก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบ กวินไม่ได้หันไปมองว่าอีกฝ่ายตื่นแล้วหรือเพียงแค่ขยับตัวในขณะที่ยังหลับอยู่ ผู้บุกรุกจงใจปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องนอนแห่งนี้ต่อไปโดยการนั่งรออย่างใจเย็น..
 
นริศนอนนิ่งมองแผ่นหลังที่แสนคุ้นตา เขารู้สึกตัวตั้งแต่ที่กวินทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง นอนรอไปเรื่อย ๆ ว่าเมื่อไหร่คนที่เข้ามาในห้องนอนของเขาโดยพลการจะเอ่ยปากเรียกแต่ผ่านไปนานกวินก็ยังเงียบ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อึดอัด ถ้ากวินไม่พูดเขาก็จะนอนไปเรื่อย ๆ วันนี้เขามีเรียนตอนบ่ายสอง..
 
เฮ้ย! แต่วันนี้วันอังคารพวกปีสี่ไม่มีเรียน คิดได้ดังนั้นคนที่นอนซุกผ้าห่มอยู่จึงเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์แล้วยกขึ้นมาดูเวลา หกโมงเช้าเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน กวินมาทำอะไรแต่เช้า...
 
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านหลังทำให้กวินรู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว คนตัวเล็กเอี้ยวตัวไปมองเจ้าของห้อง นริศยังนอนอยู่ที่เดิมแต่ดวงตาคู่คมที่มองมาทำให้กวินรู้ว่าถึงเวลาแล้ว…
 
ร่างเล็กขยับตัวถดเข้าไปข้างในเตียงอีกนิดแล้วจึงเอนหลังลงวางศีรษะพาดขวางไปบนหน้าท้องแบนราบที่อยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำตาลไหม้ผืนนุ่มแล้วนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น...
 
ไม่มีคำพูดใดระหว่างคนนอนและหมอนจำเป็น คนตัวเล็กกว่าปล่อยเวลาให้เดินไปเรื่อย ๆ มือบางถือวิสาสะควานเข้าไปแถว ๆ ใต้หมอนหนุนแล้วดึงเอาเครื่องเล่นเพลงของนริศออกมา มือบางสอดหูฟังใส่หูตัวเองแล้วจึงกดเปิดเพลงด้วยท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ..
 
เวลาผ่านไปนาน จนกระทั่งกวินรู้สึกถึงจังหวะลมหายใจที่เปลี่ยนไปจึงหันไปสบตากับคนที่นอนนิ่ง ๆ เป็นหมอนใบใหญ่ให้ตนเอง
 
"หนักเหรอ.." คำถามสั้น ๆ จากคนที่ใช้นริศต่างหมอนอยู่นานดังมาให้ได้ยิน ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรอีกฝ่ายก็ส่งคำถามต่อไปตามมาติด ๆ
 
"เหนื่อยหรือเปล่า.." ว่าจบก็ยันตัวเองขึ้นมานั่งเหมือนเดิมแล้วกดปิดเครื่องเล่นเพลงก่อนจะวางสอดไว้ใต้หมอนเหมือนเดิม
 
กวินขยับตัวหันหน้าเข้าหาคนนอน ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับนัยย์ตาคมหวานของนริศโดยไม่ได้หลบเลี่ยงอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ
 
 "ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยมาตลอด ขอโทษที่ไม่ได้สนใจว่านายจะรู้สึกยังไงเวลาที่ฉันเอาแต่ใจตัวเอง" มือบางเอื้อมไปคว้ามือหนามาไว้ก่อนแบมันออกแล้ววางปลายนิ้วชี้ลงไปบนนั้น คนตัวเล็กวาดวงกลมลงไปบนฝ่ามือของนิค รอยยิ้มอ่อนจางประดับอยู่บนใบหน้าหวานทำเอาคนมองแทบสะดุดลมหายใจ
 
"โลกของฉันใบแค่นี้เอง มันแคบใช่มั้ยล่ะ เพราะมันแคบมันเลยใส่คนไว้ได้แค่ไม่กี่คน แล้วอีกอย่างโลกของฉันมันไม่ได้กลมหรอกนะ เพราะงั้นถ้าจะมีใครตกขอบโลกไปบ้างก็คงไม่แปลก.."
 
กวินค่อย ๆ กุมฝ่ามือของอีกฝ่ายจนเป็นกำปั้น
 
"แต่สำหรับนาย นายเป็นคนสำคัญในโลกของฉัน โลกของฉัน พื้นที่แคบ ๆ นั่นฉันแบ่งให้นายไปแล้ว แต่ถ้านายเหนื่อยหรือไม่อยากทนกับฉันแล้วนายจะเดินออกไปฉันก็คงห้ามไม่ได้ แต่..ถ้านายไม่อยู่แล้วฉันจะเอาแต่ใจกับใครล่ะ"
 
นริศนอนนิ่งประสานสายตากับคนที่นั่งอมยิ้มแก้มพอง เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างตัวเองกับคนตรงหน้า นิคคิดว่าผ่านมาสามปีเขาเจอกวินมาแล้วทุกเวอร์ชั่น แต่ทำไมเขาพลาดเวอร์ชั่นนี้ไป ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่ใช่เสี่ยกวินใจป้ำกับเด็ก ๆ ในชมรม ไม่ใช่รุ่นพี่กวินที่เท่บาดใจใคร ๆ ไม่ใช่กวินคนน่ารักที่หลายคนหวั่นไหวกับรอยยิ้ม แต่เป็นกวินที่มีคนเดียวในโลกและเป็นโลกแคบ ๆ ที่เวลานี้มีเพียงเขาและเจ้าตัวอยู่ในนั้น..
 
"พี่ง้อผมเหรอ.." ในที่สุดคนที่นิ่งอึ้งไปนานก็หาเสียงตัวเองเจอ
 
"นายกำลังงอนฉันอยู่หรือเปล่าล่ะ" นั่นไง! เมื่อกี้น่ะความฝันแน่ ๆ แต่นี่แหละของจริง นิคจิ๊ปากใส่รุ่นพี่จอมกวนแล้วจึงรั้งข้อมือเล็กเข้าหาตัวโดยไม่ออมแรงเป็นผลให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อยู่ห่างไปหนึ่งช่วงแขนถลาเข้ามาอยู่เพียงแค่ปลายลมหายใจ
 
"ผมงอน งอนมากด้วย แล้วก็จะงอนไปอีกนาน เพราะงั้นพี่ต้องง้อผมเยอะ ๆ เยอะมากกว่านี้.." คนถูกงอนวางปลายคางลงกับแผ่นอกกว้างกรอกตาไปมาทำท่าครุ่นคิด
 
"เอาไงดีล่ะ ฉันง้อใครไม่เป็นซะด้วย"
 
"ก็ที่พี่ทำไปเมื่อกี้เขาก็เรียกว่าง้อไม่ใช่หรือไง"
 
"อ้าว เมื่อกี้นี่คือง้อเหรอ ฉันว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะนอกจากขอโทษ แต่..นายโชคดีนะที่ได้เรียนวิชาภูมิศาสตร์ของกวินเป็นคนแรก ฉันไม่เคยต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องโลกของฉันให้ใครฟัง"
 
"แล้วที่ทำไปเมื่อกี้พี่คิดว่าเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์มั้ยล่ะ" คนตัวเล็กส่ายหน้าจนผมกระจาย
 
"ถ้ามันทำให้ได้คนขับรถของฉันคืนมาอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้นแหละ เมื่อคืนฉันถูกคนขับรถใจร้ายทิ้งให้กลับบ้านเอง ยืนร้องไห้รออยู่นานเขาก็ไม่กลับมาหา..." คราวนี้ร่างสูงยกตัวขึ้นมองใบหน้าหวานให้ชัดขึ้น
 
"เมื่อคืนพี่ร้องไห้ด้วยเหรอ" กวินยิ้มเผล่ทำเสียงขลุกขลักในลำคอ
 
"เปล่า แค่ลองพูดให้มันดูเว่อร์ขึ้นมาอีกนิดเท่านั้นเอง" เท่านั้นเอง..คนที่ถูกล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จัดการพลิกตัวคนที่นอนทับอกอยู่ลงไปด้านล่างพร้อมวางแขนสองข้างล้อมรอบร่างกลมกลึงที่ตกอยู่ใต้อาณัติ
 
"พี่รู้มั้ยว่าคนขับรถนอกจากขับรถแล้วยังทำอะไรได้บ้าง.." กวินสั่นศีรษะจนแทบหลุดเมื่อมองเห็นแววเจ้าเล่ห์วาววับในตาคนพูด มือบางยันแผ่นอกกว้างไว้ สบถสาบานในใจอย่างหนักว่าถ้าหลุดไปได้จะปลดไอ้ตัวร้ายจากตำแหน่งสารถีประจำตัว
 
"ปล่อยก่อนนิค ฉันหายใจไม่ออก" สาว ๆ คนอื่นเวลาที่ถูกเขาคร่อมไว้แบบนี้ไม่เห็นจะมีใครผลักออกสักคน นริศอยากจะบอกไปแบบนี้แต่กลัวคนที่ไม่สาวจะเปลี่ยนจากใช้มือเป็นอย่างอื่นที่มีนิ้วเหมือนกันยันกลับมาแทน
 
เจ้าของเตียงตัดสินใจพลิกกายลงนอนเคียงร่างเล็กที่หอบหายใจแรง ผ่านไปนานจนลมหายใจของคนที่นอนข้างกายกลับมาเป็นปกตินิคจึงยกศีรษะขึ้นวางบนแขนข้างหนึ่ง ชายหนุ่มหันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กแล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่ม..
 
"ขอโทษที่เมื่อคืนผมพูดไม่ดีกับพี่ แถมยังทิ้งไว้คนเดียวอีก" กวินพยักหน้าหงึกหงักรับคำขอโทษนั้นพร้อมรอยยิ้ม
 
“เวลาที่ฉันเงียบไปไม่ยอมคุยหรือตอบคำถาม นายอึดอัดมากหรือเปล่า..” นิคจ้องตาคนถามพลางส่งมือข้างที่ว่างอยู่ไปคว้าเอามือบางมือจับไว้
 
“อะไรที่ผมพูดไปเมื่อคืนก่อน พี่อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ตอนนั้นผมแค่หงุดหงิดที่พี่ไม่ยอมคุยด้วย ซึ่งความจริงมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” กวินเอียงคอช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และท่าทางแบบนั้นมันก็น่ารักจนคนมองอดใจไม่ไหว นิคละมือไปยีผมอีกฝ่ายเล่นแล้วจึงทิ้งตัวลงนอนแผ่หราอีกครั้ง
 
นิคแน่ใจแล้วว่าวันนี้เขาได้เจอกวินในเวอร์ชั่นที่แปลกไปจริง ๆ ท่าทางน่ารักออดอ้อนเพื่อง้องอนขอคืนดีของเจ้าตัวทำให้เขาไปไม่เป็น และคงจะด้วยความเคยชินกับเวอร์ชั่นอึมครึมมันจึงทำให้เขาคิดได้ว่าถ้ากวินทำหน้าเรียบไร้อารมณ์เขาคงจะรับมือได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ กวินเปลี่ยนไป ถึงแม้จะน่าตกใจแต่เขาคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เขารู้สึกได้ว่าคนตัวเล็กกำลังแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ และมันก็น่าดีใจเพราะอย่างน้อยสิ่งที่กวินทำอยู่ตอนนี้มันก็สามารถทำให้ความหดหู่ที่เป็นมาตลอดทั้งคืนของเขากลายเป็นความรื่นรมย์
 
มือหนาควานเข้าไปหยิบเอาเครื่องเล่นเพลงออกมาจากใต้หมอน ส่งหูฟังข้างหนึ่งให้คนที่นอนเคียงกันแล้วก็ยัดอีกข้างหนึ่งใส่หูตัวเอง กดเล่นเพลงเสร็จก็วางไว้ ท่วงทำนองหวานซึ้งของบทเพลงดังขึ้นมา
 
เขาจำได้ว่าเพลงนี้เขาเคยร้องไปเมื่อตอนงานมหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อนโน้น ต้นฉบับของเพลงมีหลายเวอร์ชั่นแต่เวอร์ชั่นนี้คือเวอร์ชั่นที่เขาชอบมากที่สุด เพลงในเวอร์ชั่นอะคูสติกที่มีเสียงแซ็กโซโฟนเพิ่มความอุ่นอวล ร่วมวงกันมาเกือบปีเขาไม่เคยรู้ว่ากวินเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นได้นอกจากกีตาร์และเปียโน จนกระทั่งวันงาน รุ่นพี่ที่ทางวงของเขาขอความช่วยเหลือให้มาเล่นโซโล่แซ็กโซโฟนในเพลงนี้ติดธุระกะทันหันและหาใครแทนไม่ได้ ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่เสียดายแต่สุดท้ายเมื่อได้เวลาแสดงพี่มิคหัวหน้าวงก็บอกให้ขึ้นเวทีโดยละทิ้งปัญหาเรื่องนั้นไว้โดยไม่ได้พูดอะไร พอเริ่มแสดงนิคก็ร้องเพลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงท่อนโซโล่ เขาหันไปมองพี่มิคว่าควรจะเอายังไงต่อไป รุ่นพี่คนเก่งก็บุ้ยใบ้ให้มองไปยังตำแหน่งที่มือกีตาร์อีกคนยืนอยู่ และเขาก็ทันได้เห็นคนที่เล่นแต่กีตาร์มาตลอดคว้าเอาเครื่องเป่าสุดคลาสสิคขึ้นมาแล้วจัดการบรรเลงเองโดยไม่เสียเวลาง้อใคร
 
กวินใช้เสียงแซ็กโซโฟนสะกดทุกคนในบริเวณนั้นจนอยู่หมัด นิคยืนนิ่งมองกวินและเครื่องเป่าที่ได้ชื่อว่าเล่นยากไม่แพ้เครื่องดนตรีชนิดไหนด้วยความเคลิบเคลิ้ม เปลือกตาบางพริ้มหลับดั่งต้องมนต์และนิคก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาถูกท่วงทำนองที่กวินสรรค์สร้างในเวลานั้นสะกดจนจบท่อนโซโล่…
 
ถ้าหลังจากนั้นกวินไม่เงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่ เขาก็คงลืมหน้าที่นักร้องของตัวเองไปอีกนาน
 
วันนั้นกวินทำได้ดีจนเขาคิดว่าท่อนโซโล่แซ็กโซโฟนท่อนนั้นคือโชว์ที่ได้รับเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาว ๆ มากที่สุดในงาน และจนกระทั่งจบเพลงกวินก็ได้โชว์ความสามารถอีกด้านหนึ่งให้เขา(และทุกคนในที่นั้น)ประจักษ์และยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นศิลปินโดยแท้ ..
 
"ผมอยากฟังพี่เป่าแซ็กโซโฟนเพลงนี้อีก" นิควางมือลงบนแขนขาวก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสกับฝ่ามือเล็ก จนกระทั่งนิ้วเรียวเลื่อนไปสอดประสานกันไว้โดยไม่เหลือช่องว่าง นิคไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาทำแบบนี้กับรุ่นพี่คนสนิท ความใกล้ชิดของเราสองคนในวันนี้มันมากกว่าทุก ๆ ครั้ง ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การที่มือของเราจับกันไว้ แต่ยังรวมไปถึง’ความรู้สึก’ของเราสองคน นิคไม่รู้ว่ากวินจะรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่สำหรับเขาแล้วเวลานี้นิคกำลังรู้สึกถึงกวินในหัวใจของเขาเอง เขาพอใจที่ได้นอนจับมือกับกวินไว้แบบนี้และดีใจอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ขัดขืน
 
นริศค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสนั้น สัมผัสที่เขาเพิ่งค้นพบในไม่นานมานี้ว่าสามารถบำบัดความวุ่นวายทั้งหลายได้
 
มือของกวินก็คงเหมือนกับโลกใบเล็ก ๆ ของเจ้าตัว โลกที่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในนั้นได้ นริศเพิ่งรู้ว่าเมื่อเขาจับมือของกวินไว้มันคล้ายกับว่าเวลานี้เขาได้รับสิทธิ์ให้ก้าวเข้าไปในโลกใบนั้นและโลกใบเล็ก ๆ นั่นก็ทำให้เขารู้สึกสงบจนอยากละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วหยุดเวลาไว้ตรงนี้ ตรงที่ ๆ มีเพียงนริศและกวิน..
 
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่มีใครถามว่าทำไม ไม่มีเหตุผลด้วยว่าเพราะอะไร ก็เหมือนในบางครั้งที่เรารู้ว่าสิ่งทำอยู่แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่มันก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังอยากทำ แม้จะรู้ว่าในการกระทำนั้นมีเหตุผลเพียงแค่หนึ่งเดียวคือทำแล้ว'เรา'รู้สึกดี..
 
นริศค่อนข้างแน่ใจว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรักเพราะถึงแม้เขาจะรู้สึกอุ่นอวลในอกแค่ไหนแต่กระนั้นหัวใจของเขาก็ยังคงเต้นด้วยจังหวะเดิม มันไม่ได้ถี่รัวหรือไหวสั่น หากแต่มันคือความอุ่นใจที่เกิดจากความผูกพันและนิคเชื่อว่าระหว่างเขากับกวิน ความรู้สึกนี้จะมั่นคงและยาวนาน..
.
.
.
เจ้าของร่างสูงที่เดินฮัมเพลงเข้ามาใต้ตึกคณะดุริยางคศิลป์ดูจะเรียกความสนใจจากหลายคนที่นั่งทำงานในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี ดวงตาคู่คมกวาดไล่มองหาเพื่อนร่วมคลาสที่มักจะนั่งเล่นกีตาร์แซวสาวกันอยู่แถวนี้ ก่อนจะพบว่าพรรคพวกทั้งหลายได้ย้ายสถานที่จากม้าหินอ่อนใต้ตึกไปเป็นโต๊ะไม้ยาวที่อยู่ข้างตึกแทน ที่รู้ไม่ใช่ว่ามองเห็นแต่นริศได้ยินเสียงพวกมันแซวเด็กปีสองลอดมาให้ได้ยิน ไอ้พวกนี้ชอบกระทำการอุกอาจไม่ค่อยจะเกรงใจใครในที่สาธารณะ(แต่เพราะว่ามันสร้างเสียงหัวเราะได้ทุกคนเลยพร้อมใจกันปล่อยให้ลอยนวลมาจนถึงทุกวันนี้)
 
ใบหน้าหล่อจัดที่หลายคนอิจฉาในวาสนาผู้เป็นเจ้าของระบายรอยยิ้มอ่อนโยนตอบแทนกลับไปในยามที่เด็กปีหนึ่งสองสามคนโค้งตัวทักทาย 'พี่นริศนักร้องนำวงดนตรีของมหาวิทยาลัย' ผู้โด่งดัง
 
หลาย ๆ คนที่ผ่านมาพบเจอมักจะหลงไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของพี่นิค ใบหน้าคมคายติดแววร้ายกาจรวมไปถึงน้ำเสียงทุ้มนุ่มยามที่เอื้อนเอ่ยคำหวานเป็นที่ต้องใจของหญิงสาวค่อนมหาวิทยาลัย แต่หากได้รู้จักถึงแก่นแท้ของพี่นิคแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าหน้าตาหล่อเหลาเข้าขั้นเทพนั้น มันช่างขัดกับนิสัย'เสี่ยวรับประทาน'ของเจ้าตัวเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสาวๆจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาให้นิคแสดงความเสี่ยวใส่ด้วยความเต็มใจ ก็ในเมื่อคุณสมบัติของรุ่นพี่นิคนั้นออกจะครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อ พ่อรวย เรียนดี มีอนาคต แถมยังร้องเพลงเพราะ เพราะงั้นกะอีแค่ความเสี่ยวมันไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคอยู่แล้ว..
 
แพรวมองคนที่กำลังยืนโปรยยิ้มอยู่ท่ามกลางเด็กปีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ นับวันพี่รหัสของเธอจะยิ่งป่วงหนัก แล้ววันนี้เป็นอะไร กินอะไรเข้าไปถึงได้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ร่างบางเดินหอบแฟ้มใส่โน้ตเพลงเข้าไปหารุ่นพี่ปีสามที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานม้าหิน
 
"พี่นิคคคคคค" เสียงใสที่เรียกมาจากทางด้านหลังทำให้นิคต้องหันไปมองก่อนจะพบว่าคนเรียกยืนตาขุ่นจ้องตนเองอยู่
 
"อ้าวววว วอทซับเบบี๋" ทักทายเสร็จก็รีบกุลีกุจอเข้าไปรับแฟ้มหนาปึ้กของน้องรหัสมาช่วยถือ ร่างสูงหันรีหันขวางมองหาโต๊ะที่พอจะว่างเพื่อวางของเด็กสาวเสียงดี
 
"แล้วไปไงมาไงยังอยู่แถวนี้อยู่ล่ะ วันนี้หนูมีเรียนถึงเที่ยงไม่ใช่เหรอ" หนูแพรวของพี่นิคพยักหน้ารับก่อนหลบสายตาพี่รหัสในขณะที่ตอบคำถาม
 
"หนูรอเพื่อนอยู่ เพื่อนเลิกเรียนสามโมง" ได้ยินดังนั้นพี่รหัสของเบบี๋ก็ส่งเสียง 'อู้ววว' ดัง ๆ โดยไม่เกรงใจใคร
 
"เพื่อนที่ว่านี่ใช่พ่อแรปเปอร์ตาคมมั้ยจ๊ะ เฮ้อ ฝากบอกไอ้แดนมันด้วยว่าต่อให้เบบี๋ของพี่นิคมีใจให้แต่ยังไงค่าสินสอดก็ยังต้องจ่ายนะจ๊ะ พี่นิคเรียกไม่แพงหรอกแค่ข้าวมื้อใหญ่ ๆ มื้อเดียวก็พอ" ได้ยินดังนั้นคนเป็นน้องก็ฟาดมือลงบนท่อนแขนของพี่รหัสดังปั่ก!
 
"เดี๋ยวนี้ถึงกับทำร้ายพี่เชื้อเพราะชายอื่นแล้ว เบบี๋ของพี่เปลี่ยนไปนะ เมื่อก่อนยังเห็นวิ่งมาฟ้องพี่เพราะโดนฝ่ายโน้นแกล้งแซวอยู่เลยอะ" พูดไปก็ลูบแขนไปป้อย ๆ เห็นแบบนี้ไอ้เด็กนี่มือมันหนักชะมัด ไม่เข้าใจว่าไอ้เด็กแรปเปอร์นั่นมาชอบได้ไงวะ
 
"ว่าแต่คนอื่นแล้วทำไมวันนี้พี่นิคถึงมาคนเดียวได้ แฟนไปไหนซะล่ะ" ตาคมหรี่มองน้องรหัสอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อพบว่าคนถามถามจริง ๆ ไม่ได้แกล้งแซวให้นิคเสียเซลฟ์เหมือนคนอื่น ๆ ก็นึกได้ว่าเขากับแพรวไม่ได้เจอกันมาเกือบ ๆ หนึ่งสัปดาห์ น้องคงไม่รู้ว่าพี่รหัสของตัวเองเลิกกับแฟนแล้ว..และเราจากกันด้วย’ไม่ดี’
 
"เลิกกันแล้ว" นิคมองคนที่ได้รับคำตอบนิ่งค้างไปหนึ่งจังหวะก่อนใบหน้าหวานจะแสดงความอ่อนใจออกมาแล้วเอ่ยคำที่นิคแทบจะไปลากคอไอ้เด็กแรปเปอร์มาฟังให้ชัดว่าแฟนมันร้ายกาจแค่ไหน
 
"พี่นิคไปเสี่ยวอะไรให้เขาเห็นล่ะ" ยังต้องสงสัยอีกมั้ยว่ายัยแพรวมีใครเป็นพ่อ..ปีศาจเด็กนี่มันลูกสาวของกวินชัด ๆ !
 
"เบบี๋ทำไมร้ายกาจกับพี่แบบนี้ล่ะจ๊ะ ถึงพี่จะเสี่ยว แต่พี่ก็เสี่ยวเป็นเวลานะ" น้องรหัสส่ายหน้าระอาใจแล้วหยิบชอกโกแลตในกระเป๋าออกมาวางตรงหน้าคนอกหักแต่ไม่ยักจะเศร้า
 
"พี่นิค หนูถามจริง ๆ นี่เลิกกับแฟนแล้วจริงเหรอ"
 
"จริงดิ เบบี๋ไม่เชื่อพี่เหรอ"
 
"ก็ดูแล้วไม่เห็นจะมีอาการเหมือนคนอกหักเท่าไหร่ หน้าตาอิ่มเอิบสบายใจ”
 
“พี่นิคได้เขาแล้วทิ้งเปล่าเนี่ย" จบคำถาม แพรวก็รู้สึกถึงม้วนชีทวิชาอะไรซักอย่างกระแทกตรงกลางกระหม่อม แก! ยัยแพรว!! น้องรหัสบ้านไหนมันใส่ร้ายพี่ตัวเองแบบนี้วะ คนตัวเล็กลูบหัวป้อย ๆ เหมือนที่นิคลูบแขนเมื่อกี้ไม่ผิดเพี้ยน
 
"เออ เกือบลืม หนูมีของฝากพี่นิคไปให้พี่กวินด้วย" มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาซองใส่ของเล็ก ๆ ออกมา
 
"อ่ะ เพื่อนหนูฝากมาให้พี่กวิน"
 
"ใคร.." แพรวเงยหน้าจากซองของขวัญเล็ก ๆ ขึ้นมองคนถามทันที อะไร เกิดอะไรขึ้น อยู่ดี ๆ พี่นิคมาเก็กเข้มทำเสียงโหดใส่เธอทำไม
 
"โหย พี่นิคไม่รู้จักหรอก เพื่อนหนูตั้งแต่ตอนมัธยมแล้วเรียนคนละคณะกับเราด้วย"
 
"ผู้ชายหรือผู้หญิง" แพรวทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก็เพื่อนของเธอสั่งไว้ว่าห้ามบอกรายละเอียดอะไรกับพี่กวินก่อนอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเธอบอกพี่นิคไปก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ นริศหมุนของขวัญในมือไปมาขณะรอคำตอบจากน้องรหัส
 
"ผู้ชาย" เท่านั้นซองของขวัญสีหวานก็มีอันปลิวไปตกในถังขยะที่อยู่ใกล้กันกับโต๊ะม้าหินอ่อนที่สองพี่น้องนั่งทันที
 
"เฮ้ย! พี่นิคทำไรน่ะ โยนของคนอื่นทิ้งทำไม" ใบหน้าคมฉายแววดุดันขณะที่เอ่ยปากไขข้อข้องใจให้น้องรหัสฟัง
 
"ไปบอกเพื่อนหนูว่าพี่กวินไม่ว่างรับของพวกนี้ ถ้ามีปัญหาข้องใจบอกให้เพื่อนหนูมาคุยกับพี่ก็ได้..โอเคนะจ๊ะเบบี๋" ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นิคเท้าแขนลงกับโต๊ะข้างหนึ่งก่อนส่งมืออีกข้างไปดีดหน้าผากคนที่นั่งอึ้งอยู่
 
"พี่ไปเรียนก่อนนะ แล้วว่าง ๆ จะพาเบบี๋ไปกินขนม.."




....................

#เด็กเสี่ยกวิน


เจอกันพุธหน้าค้าบบบ ;)
 
 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เสี่ย..ยยยยง้อได้น่ารักมากๆ ส่วนเด็กเสี่ยมีแอบหวงนะจ๊ะ รอค่า  :m18:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
06

 
 
เมื่อตื่นมาอีกครั้งกวินก็พบว่าเจ้าของเตียงนอนสีทึมหายไปแล้ว คนตัวเล็กล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกดูก็พบว่าเวลานี้ในขณะนี้เลยเที่ยงวันมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว น่าตกใจที่เขานอนไปนานถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาผลาญเวลานอนไปกับการครุ่นคิดเรื่องราวระหว่างตนเองกับใครอีกคนจนไม่มีโอกาสได้พักผ่อนแถมยังตามขึ้นมาง้อหมอนั่นตั้งแต่หกโมงเช้า ก็ปลงใจว่าคุ้มแล้วกับการใช้เวลาเพลิดเพลินในโลกของความฝัน

คนตัวเล็กมองเครื่องเล่นเพลงที่วางอยู่ข้างตัว แล้วหยิบขึ้นมากด ๆจิ้ม ๆ ทันทีที่ภาพพื้นหลังหน้าจอปรากฏเขาก็พบว่ามีรูปตัวเองอยู่ในนั้น...ไอ้เสี่ยว! มันบังอาจมากที่แอบถ่ายรูปเขาตอนที่นอนหลับไม่ได้สติ(แถมผมยังชี้ฟูเป็นรังนกหลังโดนพายุ)แล้วเอามาตั้งเป็นภาพพื้นหลังหน้าจอ กวินรู้ว่านริศจงใจทำไว้เพราะรู้แน่ว่าเขาต้องเปิดเพลงฟังแล้วจะต้องเห็นภาพนี้ คนตัวเล็กส่ายหัวไปมาด้วยความอ่อนใจก่อนสไลด์นิ้วเลื่อนโปรแกรมเข้าไปที่โฟลเดอร์ภาพถ่าย รูปเขาไม่ได้มีแค่ที่เห็นตอนนี้หรอก นิคมันเล่นเขาหนักแน่กวินเชื่ออย่างนั้น ร่างเล็กยังคงเลื่อนหารูปตัวเองไปเรื่อย ๆ แล้วในที่สุดก็เจอโฟลเดอร์รูปที่ถ่ายวันนี้ รูปของกวินทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ที่สำคัญไม่มีรูปไหนที่เขาดู'หล่อ'เลยแม้แต่รูปเดียว

เมื่อไล่ดูรูปทั้งหมดก็เบาใจได้ว่าอย่างน้อยรูปพวกนี้เขาก็แค่ไม่หล่อนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรทุเรศบาดจิตถึงขั้นรับไม่ได้..

ร่างเล็กยังคงนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียงกว้างถึงแม้ว่าจะรู้ว่าวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะเป็นรายงานที่ยังค้างส่วนอ้างอิงอยู่หรือแม้กระทั่งเพลงใหม่ที่เพิ่งเริ่มแกะไปได้เพียงครึ่ง อารมณ์อึน ๆ ลอย ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้กวินอยากนอนฟังเพลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น คลื่นความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียยังคงลอยตัวปะปนกับบรรยากาศในห้องนอนนี้ กวินยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าการกระทำของนิคเกิดจากอะไร แต่ถ้าถามว่ามันดีมั้ยเขาคงตอบได้เพียงว่ามันดีมาก ๆ

เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็เริ่มบ่ายหน้ามายังทิศทางที่กวินคิดว่ามันควรจะเป็น..
 
R R R R R R R R R R R

โทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัวส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ กวินยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมองดูชื่อคนโทรเข้าแล้วก็พบว่าคนที่อยู่ปลายสายเป็นน้องชายตัวเล็ก

"ว่าไงหนูนิว"

((พี่ทำอะไรอยู่ ทำไมเสียงเหมือนคนเพิ่งตื่น)) กวินแอบยิ้มคนเดียวเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนทักกลับมา นิวน่ารักแบบนี้เสมอ

"พี่นอนอยู่ไง เสียงเลยเหมือนคนเพิ่งตื่น"

((อ้าวว จริงเหรอครับ ผมโทรมากวนพี่หรือเปล่า))

"เปล่า ไม่ได้กวน พี่นอนเฉย ๆ ไม่ได้หลับ"

((งั้นก็แล้วไป วันนี้ค่ำ ๆ พี่ว่างมั้ยครับ ไปดูหนังกัน)) น้ำเสียงตื่นเต้นเกินจำเป็นทำให้กวินสงสัยไม่น้อย น้ำเสียงของนิวดูตื่นเต้นในยามที่เอ่ยปากชวนเขาแต่ถึงอย่างนั้นกวินก็ไม่ได้ถามออกไปตรง ๆ แต่เลือกที่จะถามเพียงว่านัดวันนี้มีใครบ้าง 

"แล้วมีใครไปบ้าง"

((ตอนนี้มีผมกับเบสสองคน พี่พีชไม่ว่าง ธรก็ติดธุระ เกื้อไปกับแบงค์  อ้อ ส่วนไอ้เสี่ยวยังไม่รู้ชะตากรรมครับ))

"แค่เราสามคนใช่มั้ย"

((ครับ มีพี่ ผม แล้วก็เบส))

"โอเคงั้นไป แล้วให้พี่ไปรับตรงไหนกัน" กวินเอ่ยปากถามอย่างมีน้ำใจ เพราะเขารู้ว่าวันนี้สองคนนั้นไม่มีรถแน่ ๆ ก็เป็นตุ๊กตาหน้ารถจนชินนี่นา

((ที่หน้าคณะพวกผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมนั่งรอแถวนั้นพี่มาถึงก็โทรเรียกได้เลย))

"โอเค แล้วเดี๋ยวเจอกัน" กดตัดสายเสร็จกวินก็จำใจลุกขึ้นจากเตียงนอนที่วันนี้เขาเกือบจะฝังรากลงไปแล้ว คนตัวเล็กจัดการเก็บที่นอนให้เรียบร้อย สำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่ได้ลืมอะไรจึงพาตัวเองกลับห้องไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับนัดเย็นนี้
.
.
.
ร่างหนาที่ผ่านวูบไปด้านหลังไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่รู้สึกตัว จนกระทั่งแดนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ กันแพรวถึงได้สติคืนมา หญิงสาวมองหน้าคนรักที่มาถึงเร็วกว่าที่นัดไว้เกือบครึ่งชั่วโมงด้วยความสงสัย

"ทำไมมาเร็วล่ะ"

"อาจารย์ติดธุระด่วนน่ะ ว่าแต่นั่งเหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวใครก็ฉุดไปหรอก" พอถูกทักว่าเป็นอะไรคนที่ถูกทิ้งให้อึ้งอยู่นานก็นึกขึ้นมาได้ นิ้วเรียวจิ้มไปบนซองของขวัญที่หลังจากพี่รหัสตัวดีจากไปแล้วหล่อนก็รีบไปคว้ามันกลับขึ้นมาจากถังขยะ

"นี่ไง ของขวัญที่เมื่อวานเราเล่าให้ฟังว่ามะตูมฝากมาให้พี่กวินน่ะ"

"แล้วทำไมมันเปื้อนแบบนี้ล่ะ" แพรวมุ่ยหน้าลำบากใจเมื่อนึกไปถึงต้นเหตุรอยเปื้อนนั้น

"พี่นิคเหวี่ยงลงถังขยะน่ะสิ เรารีบไปเก็บกลับมาแทบไม่ทัน" เสียงหัวเราะในลำคอหลุดรอดมาให้ได้ยินทำให้แพรวยิ่งมุ่ยหน้าหนัก ถึงแม้จะแอบดีใจอยู่ลึก ๆ แต่เรื่องวันนี้เธอจะบอกเพื่อนว่ายังไงล่ะ มะตูมคงจะนอนฝันอยู่ว่าพี่กวินของมันจะทำหน้าแบบไหนตอนที่รับของ เธอไม่อยากหักหาญน้ำใจเพื่อนโดยการเดินเข้าไปบอกว่าไอ้พี่รหัสสุดเสี่ยวของเธอกลายร่างเป็นหมาบ้าหวงก้างโยนของฝากของเขาทิ้งไปแล้ว เธอควรจะเอาของชิ้นนี้ไปคืนมะตูมไหม

"เราจะทำยังไงดี เอาของไปคืนมะตูมหรือแอบส่งไปให้พี่กวินด้วยตัวเอง" แดนหรี่ตามองคนกลุ้มใจแล้วจึงเอื้อมมือไปโยกศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู

"อย่าคิดมากเลยน่า พี่รหัสเธอใช่ว่าจะโหดเหี้ยมอำมหิตอะไรแต่ฉันว่าทางที่ดี..ก็โยนทิ้งไปเหอะ" ได้ยินแบบนั้นแพรวก็ฟาดแขนคนรักเหมือนที่ทำกับพี่รหัสก่อนหน้านี้ วันนี้มันวันอะไรทำไมถึงมีคนชอบเข้ามาให้เธอทดสอบพละกำลังเหลือเกิน!

"นี่แดน ฉันเครียดจริง ๆ นะ นายรู้มั้ยว่ามะตูมคาดหวังกับมันมาก" ปากเล็กบุ้ยใบ้ไปที่ซองของขวัญเพื่อบอกให้รู้ว่าเพื่อนเธอชอบพี่กวินจริง ๆ มะตูมเป็นแฟนคลับมือกีตาร์หน้าหวานประจำวงดนตรีของมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปีหนึ่ง จนกระทั่งไม่นานมานี้ถึงได้รวบรวมความกล้าไปซื้อบัตรเข้างานเทศกาลดนตรีเพื่อชวนพี่กวินไปด้วยกัน แล้วดู...ดูสิ่งที่พี่รหัสเธอทำกับบัตรสองใบนั้น โอ้ยยยแพรวจะบ้า!

เห็นท่าทางปวดประสาทของคนรักแล้วแดนก็ได้แต่ยิ้ม ขอโทษที่ผิดที่ผิดเวลาไปนิดแต่ใบหน้าอึดอัดขัดใจมันยิ่งทำให้แฟนเขาน่ารักขึ้นไปอีก ก็ตอนที่จีบใหม่ ๆ เจ้าตัวชอบทำหน้าแบบนี้ใส่เขาแถมยังวิ่งโร่ไปฟ้องพี่รหัสว่าเขาแกล้งอย่างนั้นอย่างนี้ แฟนใครวะน่ารักเป็นบ้า มือหนาเลื่อนไปกอบกุมมือบางไว้ แดนออกแรงบีบเบา ๆ หวังปลอบโยนคนรักแต่มันคงผิดที่ผิดเวลาไปจริง ๆ เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีเสียงตะโกนมาจากหน้าต่างชั้นสามของตึกเรียน

"ประกาศ! ไอ้เสี่ยวนิค น้องรหัสมึงกำลังถูกแตะเนื้อต้องตัวที่ตำแหน่งสิบนาฬิกา รีบมาด่วนเลย" เพียงเท่านั้นมือสองข้างก็ละออกจากกัน แพรวเงยหน้ามองต้นเสียงก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ปีสามเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพี่รหัสของเธอและผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีใบหน้าหล่อเหลาของนริศก็ยื่นออกมาจากหน้าต่างบ้าง ชายหนุ่มมาพร้อมกับชีทที่พยายามม้วนเป็นทรงโทรโข่งเพื่อขยายเสียง

"โย่ววว วอทซับอีกครั้งจ้าเบบี๋ เบบี๋บอกนายแดนไปหรือยังจ๊ะที่พี่สั่งไว้เมื่อกี้น่ะ แต่ไม่เป็นไรไหน ๆ ก็ไหน ๆ เดี๋ยวพี่บอกเอง" ว่าจบก็ทำท่ากระแอมในลำคอเรียกร้องความสนใจ ก่อนยกโทรโข่งจำเป็นจ่อปากอีกครั้ง

"คุณน้องแดนครับ! อย่าได้เหิมเกริมให้มันมากนักถึงน้องรหัสฉันจะมีใจให้นายแต่นายก็ยังต้องจ่ายค่าสินสอดนะ ซึ่งฉันเรียกไม่แพงหรอก ข้าวมื้อเดียวก็พอ.." พูดยังไม่ทันจบดีน้ำเสียงห้วนห้าวก็ดังสวนขึ้นมาแบบที่นิคเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวแถมมันยังดังมาจากหน้าต่างบานถัดไปอีกด้วย

"แดน ถามพี่รหัสแฟนนายดิ๊ว่ามันจะกินอะไร" เป็นการตอบโต้ที่รวดเร็วมาก ไอ้กอล์ฟ ไอ้มนุษย์นามสกุลดัง ไอ้บ้านรวย ไอ้หน้าตาดี ไอ้พี่รหัสของไอ้คุณน้องแดน!

"มึงจะพาไปเลี้ยงทั้งสายรหัสกูมั้ยละ เดี๋ยวกูเรียกนัดรวมตัวตั้งแต่ปีสี่ยันปีหนึ่งเลยกอล์ฟ" นี่ก็ไม่แพ้กัน นริศหันไปถามเพื่อนร่วมชั้นปีที่สะเออะมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

"กูจะชวนมึงกินเหล้า จะไปเปล่า เห็นว่าวันนี้วันอังคารพี่นริศผู้โด่งดังไม่ต้องไปห้องซ้อม แถมแฟนก็ทิ้งไปแล้วเลยคิดว่าตอนนี้มึงควรจะว่างเพื่อเพื่อนอย่างพวกกูบ้างอะไรบ้าง" เป็นการชวนกินเหล้าที่จ๊าบมาก! นิคมองสีหน้าเพื่อนแต่ละคนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ลองว่าวันนี้เขาไม่ไปกับพวกมันมีหวังว่าในหนังสือรุ่นคงไม่มีชื่อนายนริศให้น้อง ๆ รุ่นหลังเห็นเป็นแน่

"เออ ไปครับไป.." ว่าจบก็รีบชะโงกหน้าลงไปด้านล่างอีกครั้ง

"เบบี๋~ พี่นิคไปเรียนต่อแล้วนะจ๊ะ หมดเวลาพักแล้ว บาย ๆ จุ๊บ ๆ" แพรวยกมือบาย ๆ ตอบกลับไปให้คนที่ยืนโบกมืออยู่บนชั้นสามด้วยท่าทางเพลียใจ ถามว่าอายมั้ยก็อาย แต่ทำไงได้เธอโดนปฏิบัติด้วยความเอาใจใส่แบบเสี่ยว ๆ เช่นนี้มาตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง ตอนนี้ก็ชินจนชาแล้วล่ะ

"พี่รหัสเธอนี่ได้ใจจริง ๆ" น้องรหัสของคนถูกชมเบ้ปากใส่ทันที

"ได้ใจในความเสี่ยวน่ะสิ เก่งที่หนึ่งละรายนั้น เสี่ยวเองไม่พอยังจะลากฉันเข้าไปเสี่ยวด้วย ทุกวันนี้พอเดินออกนอกคณะไปฉันยังกลัวอยู่เลยว่าจะเอานิสัยเสี่ยวที่ติดจากพี่นิคไปใช้กับคนอื่น"

"ก็น่ารักดีจะกลัวอะไร ดูพี่รหัสเธอเป็นตัวอย่างสิ แคร์ใครที่ไหนกัน" ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งเข้าตัว มือบางยกห้ามอีกฝ่ายแล้วหันกลับมาสนใจเรื่องของขวัญ

"เดี๋ยวก่อน หยุดพูดเรื่องอื่นก่อนสิ ตกลงซองนี่เอาไงอะ" คนถูกถามยกยิ้มร้าย แตะปลายนิ้วเรียวลงบนซองของขวัญที่เป็นปัญหาแล้วไถมันกลับไปตรงหน้าหญิงสาวผู้รักเพื่อน..

"คืน.." จบไม่ต้องพูดอะไรต่อ แพรวเม้มปากมองคนรักที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเชียร์พี่รหัสเธอขนาดไหน ความจริงเธอเองก็แอบลุ้นกับคู่นี้แต่บังเอิญว่าทางโน้นก็เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่มัธยม ที่ผ่านมาก็เห็นพี่นิคคบกับสาว ๆ คนอื่น พอถูกบอกเลิกได้ไม่กี่วันก็ถูกบอกรักเป็นวัฏจักรไปเรื่อย ๆ เจ้าตัวอาจจะมองไม่ออกหรือไม่ได้สังเกต แต่รู้จักกันมาสองปีแพรวบอกได้เลยว่าคนที่พี่นิคใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดก็คือพี่กวิน..

และมันก็ไม่ใช่แค่เธอ เพราะเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกหลายคนก็ยังเคยเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่าตกลงแล้ว พี่รหัสเธอคบกับใครอยู่กันแน่ระหว่างสาว ๆ ที่ผลัดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หรือพี่กวินปีสี่ แพรวรู้ว่าพี่นิคกับพี่กวินไม่ได้คบกันแต่กระนั้นเธอก็ยังแอบคิดว่าสองคนนั้นต้องมีอะไรมากกว่าที่เธอเห็น คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับแฟนมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่กับพี่รหัสของเธอ..
.
.
.
กว่าจะจัดการตัวเองเสร็จกวินก็ได้ฤกษ์ออกจากคอนโดเกือบ ๆ หกโมงเย็น ยังไม่ถือว่าสายมากนักเมื่อเทียบกับเวลาที่รุ่นน้องทั้งสองคนนัดไว้ ระยะทางจากคอนโดของเขาไปถึงมหาวิทยาลัยไม่ได้ไกลกันมาก ดังนั้นถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่รถค่อนข้างหนาแน่น กวินก็ยังคงเหยียบคันเร่งไปแบบไม่รีบร้อน และเมื่อขับรถเข้าไปในเขตของมหาวิทยาลัยได้เพียงครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ก็ดังมาให้ได้ยิน

"ว่าไง พี่ถึงแล้วนะกำลังจะเข้าไปที่คณะนาย"

((อ่าครับ ผมก็กำลังจะโทรมาบอกว่าผมรอตรงม้านั่งข้างหน้าเลย โอ๊ะ ผมเห็นรถพี่แล้ว เบส ๆ พี่กวินมาถึงแล้ว)) ไม่ต้องพูดต่อให้มากความนิวกดตัดสายกวินทันที และคนที่เพิ่งขับรถเข้ามาถึงก็เห็นว่าน้องชายสองคนกำลังเร่งเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วก็เสร็จพอดีตอนที่กวินเอารถเข้าไปจอดเทียบตรงหน้า

"หวัดดีครับ" พร้อมใจกันทักทายอย่างร่าเริงเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งโดยไม่ต้องให้เจ้าของรถเชิญ นิวยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วจึงบอกว่าเหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าหนังจะฉาย นักดนตรีของมหาวิทยาลัยทั้งสามจึงตกลงใจว่าจะไปหาอะไรกินกันก่อนและร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าประจำก็คือเป้าหมายของคนหิว แน่ละ ตั้งแต่เมื่อวานที่กินหมูจุ่มกับเด็กชายนิคไปก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกวินนอกจากน้ำเปล่าแก้วเดียว
 
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสามคนก็มาเดินเตร่อยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใช้ฝากท้องเป็นประจำในยามที่ยกโขยงมาดูหนังกันที่นี่ ร้านบรรยากาศเป็นกันเองราคาไม่แพงแถมชาเขียวยังอร่อยถูกปาก ที่สำคัญตัวร้านตั้งอยู่บนชั้นเดียวกันกับโรงภาพยนตร์ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปไหนไกล นั่งรอครู่เดียวอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ และโดยไม่ต้องให้บอกพอทุกอย่างวางครบก็ลงมือโซ้ยกันทันที

"พี่ครับ วันเสาร์นี้ที่จะไปทะเลเราออกกันซักเจ็ดโมงเช้าดีมั้ย" คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีกับทริปโอ้ทะเลแสนงามเอ่ยปากถามความเห็นจากคนเป็นพี่

"ก็ดีนะ ไปแต่เช้าจะได้มีเวลาแวะถ่ายรูปไปตลอดทาง แล้วนี่เราไปกันยังไง ถ้าขับรถไปกันเองเจ็ดคนนั่งกันไม่พอมั้ง" เพราะปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ อยู่นิวจึงรีบยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปกากบาทกอล์ฟคำตอบในเบื้องต้นไปให้พี่ชายร่วมวงก่อนจะรีบกลืนแล้วรีบบอก

"โนวๆๆ ไม่ต้องลำบากครับพี่ ทริปนี้ไปกับเสี่ย" ว่าแล้วก็บุ้ยปากใส่เบสที่กำลังโซ้ยเส้นเหลือง ๆ อย่างเมามัน

"ธรบอกว่าจะเอารถตู้ที่บ้านไปครับ สงสัยจะอยากเอาใจแฟนเราเลยพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปด้วย" คราวนี้กวินจึงย้ายสายตาไปมองน้องอีกคนแล้วก็ทันได้เห็นว่าแก้มของมือคีย์บอร์ดคนเก่งเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ นาน ๆ จะเห็นเบสเขินสักที...

"เขินแล้วน่ารักนะเรา" ครั้นจะปล่อยให้น้องเขินแบบเงียบ ๆ ก็ดูจะผิดวิสัย คนที่วันนี้เสียสละตัวเองเป็นเจ้ามือให้น้องทั้งสองคนเลยขอแซวเด็กแลกค่าข้าวก็ยังดี..

"โหยยย นาน ๆ จะเห็นพี่กวินชมใครว่าน่ารักซักที แบบนี้ไม่ต้องกินต่อแล้วมั้งเบส เป็นฉันน่ะอิ่มถึงเดือนหน้าเลยนะ" นี่ก็พูดเกินจริง กวินส่งด้ามตะเกียบไปจิ้มหน้าผากนิวแล้วจึงคิดได้ว่ามีเรื่องคาใจอยู่ ดวงตากลมเขม้นมองน้องชายทั้งสองที่วันนี้ดูเหมือนจะแต่งตัวดีกว่าปกติ

"ว่าแต่วันนี้ดูหนังเสร็จแล้วจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า" ทันทีที่จบคำถามกวินก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศบนโต๊ะมันชะงักไป เบสและนิวหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มกว้างอย่างที่กวินเห็นแล้วนึกรู้ว่าต้องมีอะไรตามมาแน่..

"พี่เนี่ย นอกจากเรียนเก่ง เล่นดนตรีเก่ง ยังเดาเก่งอีกด้วย" กวินหัวเราะในลำคอทันทีที่ได้ยินคำชม มือเล็กวางตะเกียบก่อนจะยกขึ้นกอดอก เอียงคอรอคำอธิบายต่อไป

"ก็วันนี้อ่ะพี่พีชก็ไม่อยู่ ธรก็ติดธุระ ผมสองคนอยากไปเที่ยว แต่ถ้าจะไปกันแค่นี้ก็กลัวว่าเดี๋ยวพี่พีชหรือธรรู้ แล้วเราจะโดนดุเพราะงั้นวันนี้พี่ไปเป็นผู้ปกครองให้ผมกับเบสทีนะครับ" สายตาออดอ้อนสองคู่ที่พร้อมใจกันส่งมาประสานกับดวงตาคู่สวยของคนเป็นพี่ที่วันนี้กำลังจะเลื่อนไปเป็นผู้ปกครองอีกตำแหน่งมันวิ้งวับจนกวินเกือบจะยอมแพ้ในทันที แต่ยังก่อน เขาต้องถามถึงสถานที่ที่ไอ้ตัวดีทั้งสองอยากไป'เที่ยว'เสียก่อน

"แล้วจะไปที่ไหนกันล่ะ" ลองว่ามาแนวนี้โบกมือลาร้านพี่ใหม่ได้เลย รับรองว่าที่ที่นิวกับเบสอยากไปน่ะต้องอโคจรกว่านั้นแน่

"บริค.." ว่าแล้วมั้ยล่ะ ไอ้ร้านเหล้าที่อยู่แถว ๆ มหาวิทยาลัยที่คนแสนจะเยอะแยะและแออัด แต่เปิดเพลงสนุกและบริการดีกว่าร้านอื่น ๆ เพราะแบบนี้เลยมาทำหน้าอ้อนวอนให้เขาเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้พาไปสินะ เพราะถ้าชวนแฟนตัวเองไปรับรองว่าไอ้พวกหวงเข้าไส้อย่างพีชกับธรไม่มีทางพาไปหรืออนุญาตให้ไปแน่ๆ

"บอกพีชหรือยัง แล้วธรรู้มั้ย" ไอ้ยิ้มตาปิดแล้วส่ายหน้าพร้อมกันนี่ความหมายว่าจงใจปิดบังใช่ไหม..

"น้าาาา ถ้าพี่พาไป สองคนนั้นจะได้ไม่ว่า เพราะสองคนนั้นรู้ว่าอยู่กับพี่กวินยังไงก็ปลอดภัย เนอะๆๆๆ" ท้ายประโยคยังอุตส่าห์หันไปพยักพเยิดหน้าใส่กัน กวินจ้องหน้าเด็กอยากเที่ยวพร้อมกับประเมินสถานการณ์ไปในตัว นี่คงเป็นที่มาของน้ำเสียงตื่นเต้นตอนที่นิวโทรไปชวนเขาออกมาดูหนังด้วยกัน ดูท่าจะงุบงิบวางแผนกันไว้หมดแล้วตั้งแต่รู้ว่าแฟนตัวเองไม่อยู่พร้อม ๆ กัน

มันก็เป็นอย่างที่สองคนนั้นบอก ถ้าไปกับเขาทั้งพีชและธรก็คงไม่ว่าอะไร เฮ้อ มองมากันตาละห้อยขนาดนี้กวินเองก็ขัดใจน้องไม่ลง ดูท่าแล้วราตรีนี้คงอีกยาวไกล..

"อืม ไปก็ไป" เท่านั้น...ทั้งเบสและนิวก็แทบจะถลาไปกอดพี่ชายใจดีที่วันนี้จะเป็นไกด์พาเที่ยว
.
.
หลังจากออกจากโรงภาพยนตร์มาแล้วทั้งสามศรีพี่น้องจึงฆ่าเวลาระหว่างที่รอไปเที่ยวด้วยการไปเตร่ดูนักดนตรีเปิดหมวกเล่นริมถนนในย่านการค้าที่เป็นเส้นทางผ่านไปยังร้าน 'Brick'

กวินจอดรถไว้ชิดขอบทางด้านหนึ่งแล้วจึงพาน้อง ๆ เดินชมแสงสีไปเรื่อย ๆ เสียงเพลงจากเครื่องดนตรีคลาสสิคหลายชนิดทั้งเครื่องสายและเครื่องเป่าดังคลอให้ความรู้สึกดีระหว่างทางที่เดิน สุดปลายทางคือน้ำพุเล็ก ๆ ประดับแสงไฟที่กวินคิดเอาในใจว่าจะเดินไปให้ถึงน้ำพุแล้วค่อยเดินย้อนกลับมาที่รถและมันก็คงพอดีกับเวลาที่รออยู่ ใบหน้าของนักดนตรีแต่ละคนดูมีความสุขยามได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากคนดู ทั้งนิวและเบสดูจะตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อได้ยืนซึมซับฝีมือนักดนตรีริมถนนเหล่านี้

"ผมไม่ค่อยได้มาเดินดูอะไรแบบนี้เลย เพิ่งรู้นะครับว่าแต่ละคนฝีมือดีสุด ๆ" เพราะเคยแต่ไปดูนักดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลกในหอประชุมใหญ่ ๆ ที่มีเครื่องเสียงเพียบพร้อมแถมราคาบัตรเช้าชมยังสูงลิบเลยทำให้หลงคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อได้สัมผัสกับวิธีการส่งความสุขแบบเรียบง่ายโดยไม่ต้องอาศัยเวทีใหญ่โตโออ่าอลังการจึงทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ทั้งที่เคยเห็นในยามที่นั่งรถผ่านแต่ไม่เคยหยุดรถเพื่อเข้ามาสัมผัสอย่างจริงจังจนทำให้พลาดความสวยงามเหล่านี้..

"พี่มาบ่อยหรือเปล่าครับ" กวินพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ บางครั้งการได้ออกมาเดินซึมซับความไพเราะเหล่านี้ก็สามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับงานของเขาได้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งในวันที่ต้องการคำปลอบใจเพื่อผ่านวันคืนที่แสนโหดร้ายไปเพียงลำพังเสียงเพลงจากศิลปินผู้ใจดีก็ยังช่วยโอบอุ้มเขาไว้

กวินไม่นิยมแสดงความอ่อนแอให้ใครอื่นเห็น เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะมาเรียกร้องให้คนอื่นสนใจและปลอบโยน เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์สิ่งเหล่านั้นก็เกิดจากใจตัวทั้งสิ้น หากเราเรียนรู้ที่จะหาความสุขให้ตนเองได้ความทุกข์ที่เผชิญก็จะบางเบาไม่ต่างจากสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็จากไป

บ่อยครั้งที่กวินยืนฟังเพลงจนลืมเวลาเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นักดนตรีกำลังจะเก็บของเขาจึงจ่ายค่าเสียงเพลงลงในกล่องตรงหน้าก่อนจะกล่าวคำขอบคุณแล้วเดินจากมาพร้อมความรู้สึกดี ๆ เต็มหัวใจ..แค่นี้เองวิธีการแสวงหาความสุขที่เรียบและง่ายของกวิน

"มีอีกหลายคนที่เล่นดีพี่เลยอยากให้พวกนายได้ลองฟัง เสียดายวันนี้เรามีเวลาไม่นานไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่ละกัน" เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าเลยเวลาที่กะไว้คร่าว ๆ มาเกือบครึ่งชั่วโมง ถ้าไปช้ากว่านี้โต๊ะอาจจะเต็มก่อน เห็นดังนั้นกวินจึงชวนน้องอีกสองคนกลับไปที่รถเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
 
ลานจอดรถของร้าน Brick เริ่มแน่นไปด้วยยานพาหนะหลากหลายยี่ห้อ กวินวนรถไปก็เจอที่ว่างเกือบด้านในสุดจึงไม่รีรอรีบหักพวงมาลัยหันหัวรถเข้าหาที่จอดทันที..

บรรยากาศด้านในร้านยังคงแออัดเช่นทุกครั้งที่เข้ามา กวินไม่ได้มาที่นี่บ่อย ๆ จำนวนครั้งที่มาก็คงไม่ต่างจากไอ้เด็กสองคนที่เดินขนาบข้างนี่เท่าไหร่เพราะทุกทีก็ยกโขยงกันมาจากห้องซ้อมอยู่แล้วดังนั้นจำนวนคนที่มาด้วยยังไงมากกว่าสามชีวิตแน่ ๆ

หลังจากพิจารณาแล้วจึงตกลงใจกันว่าจะเลือกโต๊ะที่อยู่ชิดริมผนังมากกว่าที่จะไปหานั่งแถว ๆ กลางร้าน แสงสลัวกำลังดี ทั้งยังใกล้ทางออกและทางเดินไปห้องน้ำ ผ่านไปครู่เดียวเครื่องดื่มที่สั่งไปก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมสรรพ กวินนั่งมองเด็กในสังกัดที่วันนี้หน้าตาเปลี่ยนไปผสมเครื่องดื่มก็ให้ใจอ่อน ชะรอยว่าจะได้หิ้วปีกกลับทั้งคู่..
 

#เด็กเสี่ยกวิน

ครึ่งทางแล้ว
เจอกันวันเสาร์ค่าาาา ;)


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
จ๊ะเอ๋กะนิคแน่ๆ...จนกว่าจะถึงวันเสาร์   :yeb:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
07

เสียงตะโกนคุยกันโหวกเหวกข้ามโต๊ะในขณะที่มือก็ชี้ชวนกันดูแม่สาวโต๊ะข้าง ๆ ทำให้ชายหนุ่มผู้รักในเสียงดนตรีทั้งหลายเป็นที่สนใจของสาว ๆ หลายคนที่อยู่รายรอบ นริศนั่งเคาะนิ้วกับโต๊ะตามจังหวะเพลงพลางมองเพื่อนร่วมแก๊งสี่ห้าคนวาดลีลายักย้ายส่ายสะโพกที่ดูจะถนัดไม่แพ้ในยามที่จับเครื่องดนตรี ถามว่าสนุกมั้ยก็คงต้องตอบว่าสนุก แต่ก็ยังไม่มากพอ..
 
"กูถามจริงเหอะ มาวันนี้นี่มึงกะซดเหล้าอย่างเดียวเลยหรือไง" ในที่สุดก็ทนไม่ได้จนต้องกระแทกแดกดันออกไป กอล์ฟผสมเครื่องดื่มแบบเข้มจัดส่งไปให้คนที่วันนี้แก้วรั่วบ่อยกว่าชาวบ้านด้วยความหมั่นไส้ ทุกทีถ้ามาด้วยกันไอ้เสี่ยวประจำคณะไม่ได้อยู่เฉยหรอก โดนลากไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ประจำ แต่วันนี้มันกลับสมัครใจนั่งเฝ้าโต๊ะปล่อยให้เพื่อน ๆ ไปออกลีลาแสดงความเสี่ยวกอล์ฟ
 
"ก็มึงชวนกูมากินเหล้า" ตอบไปเรียบ ๆ พร้อมกับแจกยิ้มให้เด็กสาวโต๊ะข้าง ๆ เมื่อเจ้าหล่อนส่งยิ้มมาให้ก่อน
 
"นั่นไง มึงก็ชวนน้องไปเต้นสิ" พอเห็นเพื่อนส่งยิ้มตาเยิ้มให้น้องสาวโต๊ะข้าง ๆ กอล์ฟก็เลื่อนตัวไปกระซิบยุยงอีกฝ่ายแต่กลับถูกปัดความหวังดีทิ้งอย่างรวดเร็ว
 
"ไม่เอา กูไม่ชอบเด็ก.." เป็นคำปฏิเสธที่ตรงมากจนไอ้หนุ่มตาคมต่อความไม่ได้ แต่สุดท้ายกอล์ฟก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อหวนนึกได้ว่าไอ้เพื่อนของเขามันเคยพูดคำนี้แล้วก็ถูก'เด็ก'ตอกกลับจนหน้าหงายมาแล้ว
 
"ระวังจะโดนสวนเหมือนคราวโน้นนะมึง แต่กูว่า‘เด็ก’คนนั้นอะยิ่งโตยิ่งน่ามองว่ะ เสียดาย.." แววตามุ่งร้ายตวัดมองคนพูดทันที
 
"เสียดายอะไร.." ถามเสียงเข้มพร้อมกับจ้องตารอคำตอบจนคนถูกมองชักเสียวสันหลัง กอล์ฟอยากจะถามออกไปว่า'เด็ก'ของมันคนนี้แตะไม่ได้เลยใช่มั้ย แต่ดูแล้วคงผิดเวลาไปสักหน่อย
 
"ก็เปล่า กูก็แค่คิดว่าเขาน่ารักดีแต่เสียดายที่ไม่ยอมมีแฟน หรือ..เขาจะรอมึงอยู่" ตบท้ายประโยคด้วยคำพูดทีเล่นทีจริงแต่ทว่ากลับชวนให้คนฟังเริ่มได้คิดและมันก็คงได้ผลเกินร้อย เพราะตอนนี้คนที่เอาแต่ทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อครู่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม
 
ทำไม...ทำไมนริศไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้
 
"มึงหมายความว่าไง" กอล์ฟส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรสำคัญ
 
"กูก็แค่พูดเล่น ๆ ก็มึงบอกเขาไปว่าไม่ชอบเด็ก เขาก็เลยอาจจะรอให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ ประมาณว่ารอให้หน้าดูแก่เท่ามึงก่อนไง" เปล่า..นี่ไม่ใช่คำตอบที่นิคต้องการ เขารู้ว่ากอล์ฟมันต้องการขุดประเด็นหน้าแก่เกินอายุมาล้อเลียนเขา แต่ตอนนี้นริศไม่ได้เห็นว่ามันสำคัญไปกว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ สิ่งที่เขาอยากรู้คือความหมายของคำว่า'รอ'ต่างหาก...
 
คน ๆ นั้นกำลัง'รอ'ใครอยู่หรือเปล่า..
 
"กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ คุยกับมึงแล้วปวดหัว อ้อ กูว่ามึงหยุดมอมเหล้าตัวเองก่อนดีมั้ย มองชาวบ้านตาเยิ้มแบบนี้อยากโดนทั้งสาวน้อยสาวใหญ่รุมทึ้งหรือไง" ว่าจบก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายย้อนกอล์ฟหมุนตัวออกจากโต๊ะไปทันที เดินลัดเลาะหลบเลี่ยงจากสายตายั่วยวนของสาว ๆ หลายโต๊ะมาได้ สุดท้ายหนุ่มหน้าหล่อก็มาโผล่ที่ข้างฟลอร์ฝั่งเดียวกับห้องน้ำ ร่างที่ผ่านสายตาไปทำให้ปลายเท้าชะงัก แต่สุดท้ายก็ตัดใจแล้วตรงดิ่งเข้าไปทำธุระส่วนตัว เพียงครู่เดียวก็กลับออกมายืนสอดส่ายสายตาหาคนหน้าคุ้นที่เมื่อครู่เหมือนจะเห็นอยู่แวบ ๆ เพ่งมองฝ่าความสลัวสลับแสงไฟวิบวับอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคลายยิ้มเมื่อรู้ว่าใช่แน่
 
เบส... เด็กบัญชีที่อยู่วงดนตรีของมหาลัยเหมือนไอ้เสี่ยวนิค คนที่เขาเคยตามจีบอยู่พักใหญ่ตอนปีหนึ่ง ตอนหลังถึงได้รู้ว่าคนน่ารักมีแฟนอยู่แล้วแถมยังเรียนคณะเดียวกัน ถึงตอนนั้นจะนึกเสียดายมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงตัดใจ
 
ร่างสูงก้าวช้า ๆ เข้าไปหาคนที่กำลังวาดลวดลายเท้าไฟโดยไม่นึกเกรงใจคนรอบข้าง ใบหน้าคมคลี่เป็นรอยยิ้มจางเมื่อเริ่มเข้าใกล้คนที่วันนี้แต่งตัวได้น่ารักกว่าทุกทีที่เคยเจอ ชายหนุ่มปรายตามองสอดส่องโดยรอบอีกครั้งจนแน่ใจว่าธรไม่ได้อยู่แถวนี้ มือหนายกไปแตะไหล่เล็กเรียกร้องความสนใจแล้วก็ได้ผลเบสหันกลับมามองแล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร..
 
“อ้าว กอล์ฟ มาเที่ยวเหมือนกันเหรอ”  คนตัวเล็กตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทำให้ร่างสูงต้องยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด
 
“อืม แล้วเบสมากับใคร”
 
“เรามากับนิวแล้วก็พี่กวิน” ใบหน้าคมผงกขึ้นลงเป็นการบอกว่ารับรู้ ชายหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาอีกทีแล้วจึงพบว่านิวกำลังเมามันกับการเต้นถัดเข้าไปอีกนิดแต่เขาไม่เห็นพี่กวิน
 
"แล้วพี่กวินไปไหนแล้ว" ยื่นหน้าไปถามอีกทีแล้วคนน่ารักก็ยกมือชี้ไปที่โต๊ะทรงสูงมุมในสุด กอล์ฟมองตามปลายนิ้วเล็กไปแล้วก็พบผู้ชายร่างเล็กนั่งหมุนแก้วในมือไปมาคนเดียว ท่าทางคุ้น ๆ เหมือนเห็นใครทำอยู่เมื่อครู่..
 
"เราก็มากันหลายคน ไอ้นิคก็มานะแต่สงสัยมันไม่รู้ว่าพวกเบสก็มาด้วย" เบสพยักหน้ารับแล้วจึงมองหานิวที่หายไปนาน เมื่อเห็นว่าคนน่ารักหันไปสนใจสิ่งอื่นแล้วกอล์ฟจึงบอกลาอีกฝ่ายแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง
 
รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้าเมื่อกอล์ฟกลับมาถึงโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากคนตัวเล็กที่ลอยมาแตะปลายจมูกยามที่เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นจากเดิมมากทั้งที่เขาคิดว่าวันนี้อารมณ์ของตัวเองก็ดีอยู่แล้วในระดับหนึ่ง เบสยังคงน่ารักเสมอแม้ว่าจะผ่านมานานถึงสามปี เขาไม่เคยบอกใครถึงความในใจแม้แต่เจ้าตัว การแสดงออกของเขาเบสไม่เคยรู้ คนตัวเล็กไม่เคยให้ความหวังอื่นนอกจากคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มสว่างสดใสในตอนที่หิ้วน้ำหรือขนมไปฝากเวลาที่เข้าไปเรียนวิชาเดียวกัน ถึงตอนนี้เขาจะไปคบกับคนอื่นแล้ว และถึงแม้จะไม่ได้รักใคร่ชอบพอเบสแบบเดิมแล้วแต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีเสมอเวลาที่ได้รับรอยยิ้มสดใสจากคน ๆ นี้..
 
"ห้องน้ำเขารมกัญชาหรือไง" เห็นเพื่อนรักกลับจากห้องน้ำมาก็เอาแต่นั่งยิ้ม ขนาดว่าเขาเริ่มมึน ๆ บ้างแล้วแต่ก็คงไม่ได้เมาแบบมันละนะ
 
"สาบานมั้ยว่ามึงใช้ปากพูด ขัดคอกูจังเลยนะครับ" คนเมารอยยิ้มหันไปตอบโต้เสียงนกเสียงกาได้เจ็บแสบพอกัน กอล์ฟยกแก้วขึ้นจิบก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
 
"เมื่อตอนไปเข้าห้องน้ำกูเจอเบสกับนิวด้วย" ทันทีที่ได้ยินชื่อสมาชิกแก๊งชมรมดนตรีนิคก็ผงกหน้าขึ้นมาทำตาเยิ้ม
 
"นิวเนี่ยนะ" ทวนชื่อญาติผู้พี่ก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่ง พี่พีชพานิวมาที่แบบนี้ด้วยเหรอวะ ร้อยวันพันปีถ้าไม่มากับพวกเขาที่อยู่ชมรมดนตรีไม่มีทางที่นิวจะได้รับอนุญาตให้มาสถานที่แบบนี้
 
"สองคนนั้นมากับใครวะ กูว่าพี่พีชไม่น่าให้มา" คราวนี้กอล์ฟจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้คน(เริ่ม)เมาแล้วเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์ร้าย
 
"เด็กมึงไง" ตื่นเต็มตา! กอล์ฟขอจำกัดความใบหน้าไอ้เสี่ยวเพื่อนยากด้วยคำ ๆ นี้หลังจากที่รู้ว่าเบสและนิวมากับใคร
 
"ที่สำคัญ ดูเหมือนว่าจะมากันแค่สามคนด้วยนะครับ"
 
"โต๊ะไหน.." สั้น ง่าย ได้ใจความ คำถามที่ส่งออกมาถูกตอบสนองด้วยปลายนิ้วที่ตวัดชี้ไปยังทิศทางที่เพิ่งจากมา
 
"โต๊ะมุมในสุดเลยนะ" ตะโกนตามคนที่เดินจ้ำออกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็วแข่งกับเสียงเพลง เสร็จแล้วก็อยากจะหัวเราะให้ดัง ๆ ไอ้นิคมันติดพี่กวินจริงจัง! ต่อให้มันเคยคบใครมากี่คน แต่เขาเชื่ออยู่อย่างว่าสุดท้ายสองคนนี้ก็คงหนีกันไม่รอด นิคมันจะรู้ไหมว่าเรื่องของมันกับพี่กวินคนทั้งคณะเขาวางเดิมพันกันเยอะขนาดไหน ลองว่าตกลงปลงใจกันขึ้นมาวันใดรับรองว่าวันนั้นได้ปิดคณะเลี้ยงกันแน่ ๆ
 
แค่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างนริศก็รู้แล้วว่าใครที่กำลังนั่งโยกตัวไปมาอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น โชคดีที่กวินเลือกที่จะนั่งหันหลังชิดผนังของร้าน ทำให้คนอื่น ๆ ไม่มีโอกาสเดินผ่านคนตัวเล็ก นอกเสียจากว่าจะเดินเข้าไปหาตรง ๆ อย่างที่นริศกำลังทำ และมันก็มีคนทำก่อนเขาด้วย นิคเห็นว่ามีผู้ชายอีกคนกำลังนั่งสะเหล่อทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่อีกฝั่งของโต๊ะตรงข้ามกับกวิน ชายหนุ่มพยายามแทรกผู้คนเข้าไปที่โต๊ะทรงสูงด้วยความยากลำบาก เด็กสาวและไม่สาวที่จับจองพื้นที่ส่ายสะโพกเต้นเบียดเสียดกันไปมาดูจะเป็นอุปสรรคอย่างมากแต่สุดท้ายเขาก็มาถึงจุดหมาย
 
กวินเงยหน้ามองร่างสูงคุ้นตาก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตนเองอยู่ ใบหน้าคมมีรอยเรื่อลามเลียตามผิวแก้มบ่งบอกปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ดวงตาเยิ้มฉ่ำที่ใช้มองมามีแววกรุ้มกริ่มอยู่ในที
 
นริศไม่ได้สนใจผู้ชายอีกคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับกวิน หน้ามันไม่คุ้นและดูเหมือนว่าคนตัวเล็กก็กำลังรำคาญมันอย่างหนัก
 
"ไม่เห็นพี่บอกผมเลยว่าจะมาเที่ยว" น้ำเสียงตัดพ้อดูจะเข้ากันดีกับริมฝีปากเชิดงอน แต่มันไม่เข้ากับหน้าแกโว้ย! กวินอยากบอกแบบนี้แต่ก็กลัวเด็กชายนิคจะเสียหน้าและงอแง
 
"ก็นายไม่อยู่ให้บอก ฉันรู้ว่าจะต้องมาเที่ยวก็ตอนค่ำแล้ว นิวกับเบสโทรมาชวน" ตะโกนแข่งเสียงเพลงที่เพิ่มจังหวะขึ้นแต่ดูเหมือนคนฟังจะยังได้ยินไม่ชัด ชายหนุ่มขยับกายแทรกหญิงสาวโต๊ะข้าง ๆ จนเข้าใกล้ร่างเล็กได้ แผ่นอกหนาเบียดเข้าหาท่อนแขนกลมกลึงและปลายคางของนิคก็กำลังแนบชิดอยู่กับขมับสวย ตัดอีกมนุษย์ออกจากวงโคจรโดยที่อีกฝ่ายทำได้แค่นั่งมอง
 
"เมื่อกี้พี่พูดอะไรผมไม่ได้ยิน ไหนพูดใหม่อีกทีซิครับ" กระซิบเสียงพร่ากับกลุ่มผมนุ่มติดปลายลมหายใจร้อนผ่าวจนคนถูกเบียดวูบวาบไปทั้งร่าง กวินมองหาทางออกแต่ก็ไม่เจอเมื่อสถานการณ์เป็นใจให้อีกฝ่ายแนบชิดและเขาแน่ใจว่าตอนนี้สติของนริศกำลังถูกสั่นคลอนด้วยแอลกอฮอล์ พอเลื่อนสายตาไปหาคนที่เข้ามาขอนั่งด้วยเมื่อครู่ก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังมองมาด้วยความไม่พอใจ
 
นิคเลื่อนมือโอบเอวเล็กไว้เมื่อรู้สึกว่ายืนได้ไม่เต็มเท้า สองขาไร้เรี่ยวแรงพาร่างโงนเงนไปมาจนฝ่ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงต้องรั้งแขนยาวไว้ด้วยสองมือ กอดกันเต็มรูปแบบเลยทีนี้..
 
"เมามากแล้วนะ" คนตัวเล็กเอียงใบหน้าไปคุยกับคนเมาแล้วจึงรู้ว่าคิดผิด ดวงตาคู่คมกำลังทอดมองคนในอ้อมกอดและมันเต็มไปด้วยแววหวานจับใจ กวินหลบตาอีกฝ่ายก่อนจะเห็นว่าผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามลุกขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร
 
"อือ เมาแล้ว เวียนหัวมากเลย เรากลับกันเถอะ" ตกลงว่านี่จะอ้อนใช่ไหมเขาจะได้รับมือถูก คนตัวเล็กยกมืออีกข้างไปรั้งไหล่หนาไว้ไม่ให้โงนเงนหนักกว่าเก่าแล้วรีบมองหานิวกับเบส สองคนนั้นหายไปในกลุ่มคนบนฟลอร์ตั้งแต่กินเหล้าเข้าไปแก้วแรก ตอนที่มาถึงเขาก็คิดว่าสองคนนั้นกะจะเมาไม่เหลือซาก แต่ที่ไหนได้จิบเหล้าเข้าไปแค่คนละทีสองทีจากนั้นก็ขอตัวไปโชว์ลีลาแล้วก็ไม่กลับมาที่โต๊ะอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้
 
"พี่กวิน...ผมง่วงจัง อยากกลับแล้ว" คราวนี้คนเมาซบหน้าลงไปกับศรีษะกวิน ทำให้มองหาน้องอีกสองคนได้ยากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าโชคยังเข้าข้างกวินเมื่ออยู่ ๆ เขาก็พบว่ารุ่นน้องตาคมร่วมคณะเดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
 
"กอล์ฟ ช่วยพี่ที" ไม่ต้องเกรงใจให้มากเพราะเพื่อนของกอล์ฟกำลังเริ่มทำตัวมีปัญหา มือเล็กขยับส่งตัวคนเมาไปให้คนตัวสูงและหนากว่า
 
"นิคขับรถมาหรือเปล่า.." หันไปถามเด็กในสังกัดที่วันนี้ออกจะทำตัวไม่รู้เรื่องอยู่สักหน่อย
 
"มันขับมาเองครับ เอ่อ แล้วผมก็มากับมัน" กวินพยักหน้าแล้วจึงสั่งความทันที
 
"กอล์ฟช่วยพาหมอนี่ออกไปที่ลานจาดรถรอพี่ทีนะ เดี๋ยวพี่หาตัวนิวกับเบสก่อนแล้วจะตามออกไป" ว่าจบก็ขยับตัวออกจากโต๊ะเข้าไปตามหาน้องอีกสองคนปล่อยให้กอล์ฟลากนิคออกไปด้านนอกร้าน..
 
ใช้เวลาสักพักกวินก็ตามหาน้องท่ามกลางผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดพบ โชคดีที่ไม่มีร่องรอยความเมาบนใบหน้าเด็กหัดเที่ยวและเมื่อกวินอธิบายสถานการณ์ให้ฟังแล้วจึงกลับไปที่โต๊ะเพื่อเคลียร์บิลเตรียมกลับบ้าน จัดการทุกอย่างเสร็จจึงพากันเดินออกจากร้านไป
 
กลุ่มคนขนาดย่อมที่ยืนล้อมอะไรบางอย่างบริเวณทางเดินไปลานจอดรถเรียกความสนใจจากทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี การ์ดของทางร้านสามสี่คนที่เดินไปเดินมายิ่งกระตุ้นการทำงานของต่อมอยากรู้อยากเห็นที่ติดตัวกันทุกคนของสมาชิกชมรมดนตรี เบสและนิวก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปหาคนกลุ่มนั้นและเมื่อเข้าใกล้ในระยะที่พอจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็พบว่ากอล์ฟกำลังเกี่ยวแขนนริศไว้คนละข้างกับการ์ดของทางร้าน ถัดไปอีกนิดมีผู้ชายอีกคนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมถูกการ์ดล็อคแขนไว้ไม่ต่างจากนริศ
 
"นิค" เสียงของนิวเรียกไปแบบนั้นแล้วเจ้าของเสียงจึงถลาเข้าไปหาญาติผู้น้อง
 
"เกิดอะไรขึ้น" ไม่ใช่นิว คำถามนั้นถูกส่งมาจากผู้ชายที่เพิ่งก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ กอล์ฟ กวินจ้องตาคนที่ยืนฮึดฮัดอยู่ก่อนจะหันไปมองหาคู่กรณีของนริศ...ผู้ชายคนนั้น
 
"ผมเดินออกมากับนิค แล้วอยู่ดี ๆ ไอ้หมอนั่นก็ตามมากระชากแขนไอ้นิคมันไว้แล้วก็พูดประมาณว่ามึงหักหน้ากูแล้วก็ต่อยมันซะเลือดกลบปาก แต่พอพวกผมตั้งตัวได้ก็อย่างที่เห็น" หนุ่มตาคมอธิบายสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้วจึงสะบัดหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ กวินทอดสายตามองรอยแตกที่มุมปากบนใบหน้าหล่อจัดแล้วถอนหายใจบ้าง
 
เรื่องนี้มันมาจากเขาแน่ ๆ
 
"แล้วนี่รออะไรกันอยู่"
 
"รอผู้จัดการร้านครับ" กวินพยักหน้ารับรู้เบา ๆ และเพียงชั่วอึดใจผู้จัดการร้านก็ก้าวเร็ว ๆ เข้ามายังกลุ่มที่พวกเขายืนอยู่ หลังจากคุยและจบปัญหาได้โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจต่อกันแล้วเพราะพยานรู้เห็นกว่าห้าคนรวมทั้งการ์ดของทางร้านให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ชายคนนั้นเข้ามาทำร้ายนริศก่อนและทางฝ่ายของนริศก็ได้จัดการเรียกค่าเสียหายคืนไปบ้างแล้วซึ่งถ้าหมอนั่นไม่ยอมจบก็คงจะต้องเรียกตำรวจมาดำเนินการต่อ
 
"แล้วจะกลับกันยังไง" เป็นกอล์ฟเจ้าเดิมถามขึ้นมา ตอนนี้เขาคิดว่าไอ้เสี่ยวควรกลับไปนอนพักได้แล้วแต่รถที่มันขับมาล่ะ
 
"เอางี้ละกัน เดี๋ยวกอล์ฟไปกับเราก็ได้ นิคเอากุญแจรถมาแล้วไปกับพี่กวินเลยฉันจะไปส่งเบสกับกอล์ฟเอง" นิวว่าจบไอ้คนที่เคยบอกว่าเมามากอยู่เมื่อครู่ก็โยนกุญแจรถไปให้ ดวงตาคู่คมโชนแสงด้วยความหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็ต้องมาถูกต่อย เมื่อทั้งสามคนผละไปแล้วก็เหลือแค่คู่กรณีทั้งสอง กวินมองความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทางสายตาแล้วก็พอจะรู้ว่านิคไม่พอใจเรื่องอะไร มือเล็กเอื้อมไปจับมือหนาไว้แล้วออกแรงจูงอีกฝ่ายเดินไปที่รถ คนเดินตามไม่มีท่าทางโงนเงนให้เห็นเหมือนตอนที่อยู่ด้านในร้าน คนตัวสูงวางฝีเท้าตามร่างเล็กไปเงียบ ๆ บรรยากาศคล้ายตอนเช้าตรู่ของวันกลับมาอีกครั้งเมื่อสองร่างเข้ามานั่งเคียงกันภายในรถคันเล็ก
 
"เจ็บมากมั้ย.." คนเป็นพี่ทอดเสียงถามด้วยความอ่อนโยน มือบางแตะอยู่ที่พวงมาลัยแต่ก็ยังไม่ยอมออกรถ
 
"ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้นายต้องเจ็บตัว" ได้ยินดังนั้นคนที่นั่งเงียบก็ส่ายหน้าเบา ๆ ดวงตาคมมองสบกับฝ่ายที่กำลังทำหน้าเจื่อนยอมแบกรับความผิดไว้เองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ความผิดตัว เขารู้ตัวทุกอย่างตอนที่เดินเข้าไปหากวิน พอรู้ว่าตัวเองเป็นคนสำคัญในโลกของกวินความรู้สึกหวงพื้นที่แคบ ๆ นั้นก็เกิดขึ้นในใจ ในเมื่อโลกใบนั้นแคบเพราะฉะนั้นคนอื่นก็ไม่มีสิทธิมาแย่งพื้นที่ของเขา นริศจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพื้นที่ของตัวเอง
 
"เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพี่หรอก คนที่ผิดคือผมกับไอ้หมอนั่นต่างหาก โดนแบบนี้ก็สมควรแล้วหล่ะ" ดวงตาสองคู่สบกันในความมืด ตั้งแต่ตอนเช้าล่วงมาจนถึงช่วงดึกของวัน ดูเหมือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากมายระหว่างเราทั้งคู่
 
แรงขับดันไร้ตัวตนกำลังชักนำให้เขาค่อย ๆ เผยความต้องการในเบื้องลึก นริศมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เมื่อเช้าตรู่เขายังเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับกวินไม่ใช่ความรัก นิคไม่คิดจะหลอกตัวเองแต่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากให้ความเชื่อนั้นกลบทุกความรู้สึกที่กำลังฉายออกมาทางแววตา
 
ยิ่งมองก็ยิ่งเห็น ยิ่งค้นก็ยิ่งพบ ทุกอย่างที่รวมเป็นคน ๆ นี้ ทุกสิ่งที่นริศได้สัมผัส ตัวตนของกวินเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การมอบความรักโดยแท้..
 
กวินกำลังทำให้เขาอยากจะตกหลุมรัก..
 
รถคันเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปจอดสนิทที่ช่องจอดประจำตัว กวินหันไปมองใบหน้าคนที่กำลังนั่งหลับตานิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน มือเล็กเอื้อมไปดันไหล่หนาพอให้รู้สึกตัว ร่างสูงปรือตาขึ้นมองคนขับรถแล้วจึงออดเสียงนุ่ม..
 
"ผมเวียนหัวจัง" กวินส่ายหน้าเบา ๆ มือเล็กยกขึ้นไปปัดผมหน้าเปิดเหม่งคนเมาแล้วเลยขยี้ศีรษะได้รูปอย่างหมั่นเขี้ยว
 
"แข็งใจเดินนิดนึงนะ เดี๋ยวฉันพาไปส่งที่ห้อง" ได้ยินดังนั้นร่างสูงก็สะบัดหน้าไปมา มือหนาเอื้อมมากุมมือบางไว้แล้วเขย่าอย่างเด็กเอาแต่ใจ
 
"ไม่เอา ผมจะนอนห้องพี่ วันนี้ไม่อยากนอนคนเดียว"
 
"ไม่อยากนอนคนเดียวก็ลุกขึ้น ไม่งั้นคืนนี้นายก็นอนในรถนี่แหละ" ว่าจบคนเป็นพี่ก็ชักมือกลับเปิดประตูลงจากรถไป คนตัวเล็กรีบวิ่งอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับแล้วก็ทันรับตัวไอ้คนเมาที่ตอนนี้ดูเหมือนจะหายตะลึงกับการโดนต่อยและกลับมาเมาต่อได้แล้ว นริศถลาเข้าหาร่างเล็กจนอีกฝ่ายเซมาติดข้างรถ แผ่นหลังเล็กถูกดันติดแนบกับตัวรถโดยมีคนเมาทับอยู่ กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัดเป่ารดหน้าผากจนต้องรีบดันตัวอีกฝ่ายออกแล้วประคองด้วยการยกแขนมาพาดไหล่ คนตัวเล็กพาอีกฝ่ายเดินไปกดลิฟต์ด้วยความยากลำบาก โชคดีเหลือเกินที่ช่วงเวลานี้ไม่มีคนอื่นแล้ว และในที่สุดกวินก็ลากเอาคนเมามาทิ้งไว้ที่โซฟาในห้องได้สำเร็จ
 
"นิค...อาบน้ำไหวมั้ย" คนตัวโตเพียงแค่ผงกหัวขึ้นมองแล้วยิ้มจากนั้นจึงทิ้งตัวลงนอนแผ่กับโซฟาเหมือนเดิม โอเค สรุปว่าไม่ไหว..เห็นดังนั้นกวินจึงทิ้งคนเมาให้เป็นภาระของโซฟาไปก่อน คนตัวเล็กเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วจึงเดินเลยเข้าห้องน้ำไป
 
ความเงียบในยามค่ำคืนทำให้ได้ยินเสียงน้ำที่ตกกระทบพื้นกระเบื้องอย่างชัดเจน คนที่เมื่อครู่นอนหลับตานิ่งเงียบค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานห้องที่แสนคุ้นเคย กลิ่นกายของกวินคือกลิ่นเดียวกับที่เขาสูดได้จากหมอนใบโตที่ใช้หนุนอยู่ตอนนี้ กวินชอบกอดหมอนใบนี้เวลานั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์ที่อยู่มุมห้อง หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะมั่นคงกลับตีกระหน่ำเพียงแค่คิดได้ว่าตัวเองได้เผลอคิดเกินเลยกับเจ้าของห้องไปแล้ว นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่นริศเป็นฝ่ายตกหลุมรักใครสักคนก่อน
 
ทั้งที่เคยเปรียบเทียบคนที่เดินแถวเข้ามาสารภาพรักกับกวินว่าเหมือนพวกแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่สุดท้ายเขาเองก็ต้องยอมรับว่าแม้จะร้อนและเผาไหม้แต่'แสงของไฟ'ช่างสวยงาม...


#เด็กเสี่ยกวิน

เสี่ยวเริ่มจะร้องเพลงรักหนักแล้วนะคร๊าาาา
สั้นนิดอย่าเพิ่งหนีกันไปไหน...
เจอกันวันพุธค่ะ

 


 
 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตกหลุมรัก  :ling1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
08
 
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณริมฝีปากทำให้คนที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่รู้สึกตัว นริศพยายามเขม้นมองภาพตรงหน้าเมื่อเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งได้ และภาพที่เห็นก็ยังเป็นคน ๆ เดิม กวินกำลังนั่งมองเขาอยู่ คนตัวเล็กนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนโซฟาตัวเดียวกันกับที่เขานอน นิคเลื่อนสายตาไปที่มือเล็กแล้วก็พบต้นเหตุที่ทำให้เขาตื่น ในมือของกวินมีผ้าขนหนูผืนเล็กที่นิคคิดว่าเจ้าตัวคงจะใช้เช็ดหน้าให้เขาเมื่อครู่
 
"พี่ไม่ต้องเช็ดหรอก เดี๋ยวผมไปอาบน้ำเองก็ได้" ร่างเล็กกลับส่ายหน้าไปมา
 
"ฉันเช็ดแผลให้แล้วถ้าลุกไหวก็ไปอาบน้ำ เสื้อผ้าฉันวางไว้ให้ที่เตียงเสร็จแล้วก็ออกมาทายาแล้วก็กินยาปวด" ว่าจบก็ถดตัวแล้วลุกขึ้นยืนเห็นดังนั้นนริศจึงยื่นแขนสองข้างไปหาคนตรงหน้า กวินจับมือของเด็กขี้อ้อนไว้ก่อนจะออกแรงรั้งเอาคนตัวโตกว่าขึ้นมานั่ง
 
"หิวมั้ย เดี๋ยวฉันทำโจ๊กให้แล้วจะได้กินยา" คนที่ไม่รู้สึกหิวส่ายหน้ารัวปฏิเสธโจ๊กมื้อดึก
 
"โอเค งั้นฉันต้มของฉันซองเดียวแล้วนายดื่มนมรองท้องเอาแล้วกัน" ว่าจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินไปที่ครัวแต่กลับมีมือเด็กบางคนรั้งแขนไว้ เปลี่ยนใจกันแบบปุบปับ "จะกินโจ๊กด้วย.."
 
"จะกินด้วยก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว" เพียงเท่านั้นเจ้าเด็กที่เคยงอแงก็ลุกขึ้นยืน บิดซ้ายบิดขวาเอาตัวขี้เกียจออกจากร่างแล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำไป
 
 
กระจกบานใหญ่บนอ่างล้างหน้าสะท้อนภาพรอยช้ำบนริมฝีปากของนริศอย่างชัดเจน ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาให้กับความซวยในค่ำคืนนี้ ปากแตก มุมปากช้ำแถมยังปวดปร่าไปทุกครั้งที่ขยับแต่เมื่อเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะมาคร่ำครวญนิคจึงเดินเข้าไปอาบน้ำให้เสร็จ ๆ ไป..
 
ผ้าเช็ดตัวผืนสีน้ำตาลเข้มที่พาดอยู่บนราวทำให้มือที่กำลังจะคว้าเอามันมาใช้ชะงักไป ทำไมเขาไม่เคยสังเกตว่าของ ๆ เขาที่อยู่ในห้องนี้มันไม่ได้อยู่แบบคนอื่น ข้าวของของนิควางระเกะระกะคล้ายกับว่าห้องนี้คือห้องของเขา ห้องที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าเขาใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ผ้าขนหนูของเขาไม่เคยถูกพับเก็บไว้ในตู้แต่กลับพาดอยู่บนราวตลอดเวลา แปรงสีฟันที่ไม่ต้องเรียกหาหรือขออันใหม่ในยามที่ต้องการใช้เพราะทุกครั้งมันจะเสียบอยู่ในแก้วเดียวกันกับแปรงสีฟันของผู้เป็นเจ้าของห้อง หรือแม้กระทั่งสบู่ แชมพู ยาสีฟัน เราก็ใช้ยี่ห้อเดียวกันได้โดยไม่เกี่ยงงอน
 
นริศเข้านอกออกในที่แห่งนี้ได้ในขณะที่คนอื่นไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
 
ทั้งที่เมื่อคืนก่อนยังเป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้เขาสนใจความรู้สึกตัวเองบ้าง แต่วินาทีนี้เขากลับรู้สึกเต็มตื้นไปทั้งอก เมื่อคิดได้ว่าตนเองถูกอีกฝ่ายเอาใจใส่มากเพียงใด ยิ่งก้าวเข้าไปในห้องนอนแล้วพบว่าชุดนอน'ตัวเก่ง'วางอย่างเรียบร้อยที่ปลายเตียงก็ยิ่งสะท้อนในอก คำพูดของกวินกลับมาวิ่งวนในห้วงความคิดตอกย้ำว่าสิ่งที่เจ้าตัวพูดมาคือ'ความจริง'ไม่ใช่เพียงคำที่ใช้ง้องอนขอคืนดี
 
'นายเป็นคนสำคัญในโลกของฉัน' กวินไม่เคยพูดแต่บอกทุกอย่างด้วยการกระทำ ถึงตอนนี้นริศจึงทำได้แค่เพียงย้อนถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าแล้วเขาล่ะเคยสนใจความรู้สึกของกวินบ้างไหม..
 
กลิ่นโจ๊กหอมกรุ่นลอยอยู่เต็มบรรยากาศยามที่นริศเปิดประตูออกมาจากห้องนอนคนตัวเล็ก เสื้อยืดคอย้วยสีขาวกับกางเกงบาสเนื้อนิ่มใส่สบายทำให้เจ้าตัวดูผ่อนคลายกว่าเดิม ร่างสูงก้าวเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับคนตัวเล็ก โจ๊กหมูในชามหอมจนเรียกน้ำย่อยรอบดึกให้ทำงาน นิคค่อย ๆ ตักโจ๊กเข้าปากด้วยความระมัดระวัง
 
"เจ็บแผลใช่มั้ย" นิคมองคนถามด้วยรอยยิ้มแล้วจึงพยักหน้าเบา ๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายที่ถูกใส่ใจแต่ก่อนหน้านี้นิคกลับมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น ไม่เคยรับรู้ว่ามันพิเศษสำหรับเขาจนวันนี้
 
"ค่อย ๆ กินนะ เดี๋ยวไปหยิบยามาให้" กวินกินเสร็จแล้ว คนตัวเล็กไม่ได้รอกินพร้อมนิคแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นและมองเขาด้วยความเอาใจใส่ ผ่านไปสักครู่กวินก็กลับมาพร้อมกับยาแก้ปวดและน้ำเปล่าอีกหนึ่งแก้ว
 
"เดี๋ยวกินเสร็จแล้วก็กินยา อย่าลืมทายาแก้ฟกช้ำด้วย หลอดสีฟ้าในกล่องที่วางอยู่ข้างทีวีอะ" หลังจากวางยาแก้ปวดไว้บนโต๊ะให้เสร็จแล้วกวินจึงหันไปจัดเรียงขวดน้ำเปล่าใส่ตู้เย็นแทนขวดที่เอาออกไปดื่ม คุ้ยตู้เย็นไปสักพักก็พบว่าในช่องแช่แข็งมีชอกโกแลตอยู่หนึ่งกล่อง ใจจริงอยากจะเอามากินซะตอนนั้นแต่พอนึกถึงสภาพปากของไอ้เด็กที่มันเป็นคนเอามาแช่ก็ตัดใจวางไว้ที่เดิมเพราะถ้าหยิบออกมาหมอนั่นก็จะต้องอยากกินด้วยแต่ชอกโกแลตแข็งขนาดนี้นิคคงกินไม่ไหวแน่ ๆ เมื่อหันกลับมาอีกครั้งกวินก็พบว่าโจ๊กในถ้วยของคนเจ็บพร่องไปเกือบหมดแล้ว
 
"กินเสร็จแล้วไปบ้วนปาก ยังไม่ต้องแปรงฟันเดี๋ยวมันจะโดนแผล" มือบางเอื้อมไปหยิบเอาถ้วยโจ๊กเปล่าที่เพิ่งหมดลงไปมาถือไว้ขณะรออีกฝ่ายกินยา วันนี้นิคเป็นคนเจ็บจึงได้รับการอนุโลมให้ไม่ต้องล้างจาน เมื่อกวินเก็บแก้วและถ้วยโจ๊กทั้งหมดไปล้างแล้วนิคจึงลุกไปบ้วนปากอย่างที่อีกฝ่ายสั่งไว้ เพียงครู่เดียวก็กลับออกมา ชายหนุ่มเดินไปหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำแล้วเดินไปหาคนตัวเล็กที่อ่างล้างจาน
 
ไหล่เล็กขยับขึ้นลงในขณะที่ล้างเอาฟองสีขาวออกจากจาน ใบหน้าหวานก้มต่ำมองสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยความตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเสมอในยามที่เจ้าของของมันลงมือทำอะไรก็ตาม ทั้งที่มองเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดแต่เขาไม่เคยเก็บมันมาใส่ใจ การกระทำที่แสนเล็กน้อยหากเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงมีแต่จะทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
 
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้จากกวิน และถ้าให้พูดกันตามตรงนริศออกจะมั่นใจว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้สัมผัสความพิเศษที่กวินมอบให้ หลายครั้งที่บ่นตัดพ้อต่อว่าถึงการกระทำร้ายกาจแต่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หรือที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้
 
‘หรือเขาจะรอมึงอยู่..’
 
คำพูดของเพื่อนย้อนกลับมาให้ได้ยินชัดเจนในความรู้สึกราวกับว่าคนพูดยืนอยู่ข้าง ๆ
 
การได้นอนจับมือกับกวินเมื่อตอนเช้าเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเพิ่งตระหนักในเวลานี้...
 
พระเจ้าครับ ถ้าผมจะขอเข้าข้างตัวเอง...
 
ถ้าผมจะขอให้เหตุผลกับทุกการกระทำของคนๆนี้ว่า ‘ความรัก..’
 
นริศยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ตกค้างในกระแสเลือดเมื่อทำปฏิกิริยากับความตื้นตันใจที่กำลังปะทุในอกมันทำให้ความยับยั้งชั่งใจหลุดหายไปราวกับอากาศที่ปลิดปลิว ร่างกายของเขาไม่รับคำสั่งจากสมอง ดังนั้นสิ่งที่แสดงออกมาจึงเป็นการกระทำที่เกิดจากความต้องการของหัวใจล้วน ๆ
 
ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนซ้อนหลังคนที่กำลังล้างจานอยู่ แขนแกร่งสอดรั้งเอวเล็กเข้าสู่อกกว้าง กดจมูกลงกับกลุ่มผมนิ่มก่อนเลื่อนใบหน้าไปกระซิบชิดริมหูคนในอ้อมกอด
 
“ขอบคุณครับ..” คำเดียวที่สามารถพูดได้ในเวลานี้..
 
สัมผัสอ่อนโยนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้กวินตกใจจนเกือบจะปล่อยจานในมือให้หล่นลงไปเป็นเศษกระเบื้อง คนตัวเล็กรีบล้างฟองออกจากจานใบสุดท้ายแล้วล้างมือให้สะอาด ยังไม่ทันได้เช็ดมือให้เรียบร้อยก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ไหล่เล็ก..
 
ไหล่ที่ใครอีกคนกำลังใช้มันซับน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า นริศซุกหน้าเข้าหาลาดไหล่ของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมกอดวางมือเย็น ๆ ลงบนมือหนา แรงกระชับแผ่วเบาพอให้รู้สึกถึงความใส่ใจทำให้น้ำตายิ่งพรั่งพรู ไม่มีคำพูดใดจากคนตัวเล็กแต่ถึงอย่างนั้นนริศก็รู้ว่ากวินเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังบอก..
 
ไม่มีคำถามว่าทำไมให้ลำบากใจที่จะตอบ เมื่อนริศยังคงรักษาความเงียบไว้กวินก็พอใจจะอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อน..
 
ความรู้สึกที่นริศค้นพบในตอนนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่เอาใจใส่ ไม่มองเห็น ไม่รับรู้ของตนเองให้ยิ่งรวดร้าว กวินไม่เคยปกปิดความรู้สึกหากแต่แสดงออกด้วยความสม่ำเสมอ แต่เขากลับมองว่านั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยและธรรมดาเพราะเป็นฝ่ายที่ได้รับจนเคยชิน..
 
ในตอนนี้ แม้กระทั่งคำว่าขอโทษเขาก็ยังไม่กล้าจะพูดมันออกไป
.
.
.
เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกไว้ตอนหกโมงเช้าร้องดังสนั่นไปทั่วห้องนอน มือเล็กควานหาต้นเสียงเมื่อเจอแล้วก็ยัดมันใส่มือคนเป็นเจ้าของก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหัวฟู..
 
กำหนดการในวันนี้คือออกเดินทางเจ็ดโมงเช้า กระเป๋าเดินทางที่เตรียมเรียบร้อยแล้วสำหรับทริปคืนเดียววางอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า คนตัวเล็กไถตัวลงจากเตียงแล้วก้าวเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว สักพักกวินก็ออกมาในชุดที่พร้อมจะเดินทาง กางเกงห้าส่วนสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อยืดสีขาวเพ้นท์ลายกีตาร์ที่นิวให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อต้นปีทำให้เจ้าตัวดูเหมือนเด็กมัธยมจนน่าตกใจ
 
ทั้งที่นัดกับชาวบ้านไว้เจ็ดโมงแต่ตอนนี้ไอ้คนที่มันใช้โทรศัพท์แทนนาฬิกาปลุกก็ยังไม่ยอมโงหัวจากที่นอน ร่างเล็กเดินไปยังเตียงฝั่งที่นริศนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มก่อนจะออกแรงเขย่าไหล่หนา
 
“นิค..ตื่นได้แล้วนะ” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากไอ้คนที่ท่านเรียก..
 
“นิค..” ก็ยังไม่ยอมตื่น..
 
“นิค!” น้ำเสียงห้วนห้าวที่ดังชิดริมหูทำให้คนขี้เซาค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมอง ทั้งที่เพิ่งได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่เขากลับถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ใบหน้างอง้ำแสดงความหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอนฉายชัดบนใบหน้าคมเห็นดังนั้นคนตัวเล็กจึงถามเสียงเรียบ
 
“ไม่ไปแล้วใช่มั้ย ถ้าไม่ไปจะนอนต่อก็ได้ ส่วนของในกระเป๋าฉันจะเก็บออกให้ฝากเฝ้าบ้านด้วยละกัน” ดวงตาคมมองตามคนจริงที่ตอนนี้กำลังเดินเปิดกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมเพื่อจะเก็บเอาเสื้อผ้าของนิคออกแล้วก็ต้องรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัวกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปรั้งมือเล็กไว้
 
“อะไรอะ ไม่ได้บอกว่าไม่ไป ขอเวลาอาบน้ำแป็บเดียวรับรองไม่เกินสิบนาที” ว่าจบก็ถลาไปที่ราวพาดผ้าเช็ดตัวคว้าเอาผืนที่เป็นของตัวเองมาได้ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความรวดเร็ว
 
กวินมองไอ้เด็กไม่รู้จักโตแล้วก็ถอนใจเบา ๆ ผ้าห่มที่กองระเกะระกะถูกรวบมาพับให้เรียบร้อยโดยเจ้าของห้อง ตั้งแต่คืนนั้นหลังจากที่กวินปล่อยให้นิคเสียน้ำตาทำซึ้งจนพอใจเขาก็จูงมืออีกฝ่ายเข้าไปนอน ซึ่งพอถึงเตียงเด็กตัวโตก็ยื่นหลอดยามาตรงหน้าแล้วทรุดนั่งลงบนขอบที่นอนเชิดหน้ารอให้กวินเป็นฝ่ายทายาให้
 
กวินบรรจงป้ายยาลงบนมุมปากหนาด้วยความแผ่วเบา นวดช้า ๆ เพื่อให้ตัวยาซึมและออกฤทธิ์ได้อย่างทั่วถึง แต่เมื่อทาเสร็จไอ้ตัวดีก็บ่นว่าเหม็นยา ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อแผลมันอยู่ใต้จมูกแบบนั้นถ้าอยากหายก็คงต้องทนเหม็นไปอีกหลายวัน จากนั้นกวินจึงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำกลับออกมาก็พบว่านิคนอนซุกตัวหลับตาพริ้มอยู่ในผ้าห่มของเขาเรียบร้อยแล้ว และตั้งแต่คืนนั้นจนกระทั่งตอนนี้หมอนั่นก็ยังไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเองแม้แต่คืนเดียว หนักเข้าก็ไปเก็บเอาสัมภาระข้าวของเครื่องใช้หนังสือหนังหามาวางกองไว้ในห้องของกวินอย่างกับว่าห้องนี้มันจ่ายเงินซื้อด้วยตัวเอง..
 
ถ้ามันเกิดเป็นผู้หญิงพ่อแม่คงหนักใจไม่น้อยที่ลูกตัวเองเก็บข้าวเก็บของมาอยู่กับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้..
 
กวินมองคนที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นระดับเข่ากับเสื้อยืดสีขาวลายไมโครโฟน(ที่เป็นของขวัญจากนิวเหมือนกัน)แล้วจึงเบ้ปากใส่ อย่างนี้มันแต่งตัวเลียนแบบกันนี่หว่า!
 
เมื่อพร้อมออกจากบ้านกวินจึงเดินสำรวจก๊อกน้ำและปลั๊กไฟภายในห้องให้เรียบร้อยอีกครั้งจากนั้นจึงออกมาสมทบกับไอ้คนที่มันยืนแบกเป้รออยู่หน้าประตู กวินกระชับกระเป๋ากล้องบนไหล่แล้วจึงปิดล็อคประตูหน้าห้อง คนตัวเล็กเดินนำเข้าไปในลิฟต์แล้วก็กดหมายเลขชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปให้อีกฝ่ายทำตาโตเป็นคำถาม..
 
“ไปดูห้องนายก่อนสิ เผื่อลืมเสียบปลั๊กอะไรทิ้งไว้”
 
“ไม่ลืมแล้ว เมื่อคืนก่อนผมก็ขึ้นมาดูแล้วรอบนึงอะ” กวินส่ายหน้าไม่ไว้ใจ เมื่อคืนมันบอกว่าลืมเอาสายชาร์จโทรศัพท์มาด้วย แล้วบอกว่าระหว่างที่ไปทะเลจะใช้ของเขาแทนเพราะเสียบกันได้พอดี ทำให้เขาสังหรณ์ใจว่ามันต้องเสียบสายชาร์จทิ้งไว้โดยไม่ได้ดึงออกจากปลั๊กแน่ ๆ เพราะทุกครั้งที่ไปหานิคที่ห้องกวินจะเจอสายชาร์จถูกเสียบคาไว้กับปลั๊กอยู่เสมอ
 
เมื่อเปิดประตูเข้ามากวินก็พบว่าห้องของนิคดูเรียบร้อยกว่าตอนที่เจ้าตัวอยู่เป็นประจำ เพราะคุณแม่ของไอ้เด็กนี่ส่งแม่บ้านมาทำความสะอาดให้วันเว้นวัน แล้วยิ่งพอไม่มีคนทำรกห้องก็เลยดูดี (แต่ตอนนี้ห้องของเขากำลังรกมากและคงไม่ต้องบอกว่าเป็นเพราะใคร) กวินเดินสำรวจจนทั่วแล้วก็พบว่าสายชาร์จโทรศัพท์ไม่ได้คาปลั๊กอยู่แต่ม้วนไว้อย่างเรียบร้อยจนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวมันเป็นคนเก็บเอง คนตัวสูงยักคิ้วใส่กวินสองจึ๊กซึ่งแปลได้ความว่า ผมบอกแล้วใช่มั้ย หน้าตามันทะเล้นจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่กอดเขาร้องไห้ในคืนนั้น มือเล็กเงื้อขึ้นหมายจะดีดหน้าผากไอ้คนที่มันกำลังทำหน้าเยาะเย้ยตนเองแต่กลับถูกฝ่ายนั้นคว้าข้อมือไว้ นิคฉีกยิ้มยักคิ้วใส่ตาคนตัวเล็กกว่าที่กำลังฮึดฮัดไร้ทางสู้ เปล่าไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ เพียงแต่ของที่กวินสะพายอยู่นั้นออกจะเป็นของรักของหวงของเจ้าตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูปหรือกีตาร์ตัวเก่ง ลองว่าทำอะไรรุนแรงลงไปถ้าพลาดข้าวของเสียหายดูท่าว่าจะไม่คุ้ม..
 
และด้วยเหตุผลเหล่านี้มันเลยทำให้คนที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าทะลุปรุโปร่งยิ่งได้ใจ กวินจะรู้ตัวไหมว่าตั้งแต่คืนที่เผลอทำตัวใจดีให้ใครอีกคนยืมไหล่ซับน้ำตาในความตื้นตัน คน ๆ นั้นก็ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าจะเริ่มปฏิบัติการ’ค้นใจ’เพื่อหา’ความหมาย’ในทุกการกระทำของกวิน..
 
จริงอยู่ว่านริศอาจจะไม่เคยจีบใครก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่เป็นเสียหน่อย ของแบบนี้มันต้องมีครั้งแรก ความรู้สึกลิงโลดประทุขึ้นในอกทุกครั้งที่คิดว่ากวินอาจจะมีใจให้เขาบ้างและมันก็เป็นแรงผลักดันให้เขาลองทำในสิ่งที่เคยคิดมาตลอดว่าทำไปก็ไร้ค่า จากการที่ใช้ชีวิตด้วยกันมานาน เห็นความผิดพลาดของคนอื่นมาหลายครั้ง โดยเฉพาะที่พี่จองโมทำลงไป นิคจึงเรียนรู้ที่จะไม่เดินดุ่มเข้าหา วิธีการพุ่งเข้าชนไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ความเสี่ยวในสายเลือดมันบอกเขาว่ากับคน ๆ นี้ ต้องใช้วิธีหลิ่วตาตาม
 
นิคส่ายหน้าไปมาคล้ายกับจะบอกอีกฝ่ายว่าต่อให้ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างสูงเลื่อนฝ่ามือไปกุมกระชับกับมือเล็กแล้วออกแรงจูงให้เดินไปที่หน้าห้องหลังจากที่เดินไปหยิบเอาสายชาร์จมาใส่กระเป๋าแล้ว นริศจัดการล็อกประตูเรียบร้อยโดยไม่ยอมปล่อยมือกวินให้เป็นอิสระ จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่างสุด ลามไปจนตอนที่รถตู้ของธรมาจอดรับนิคก็ยังดึงมือกวินให้ขึ้นมานั่งข้างกัน
 
เพราะออกเดินทางกันแต่เช้า ดังนั้นเมื่อผ่านไปสักพักทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถที่จับจองเบาะหลังสุดเพื่อนั่งซุกกันกับเบสแค่สองคน เบาะกลางที่มีพีชนั่งยิ้มกับถนนหนทางให้นิวลงไปนอนขดตัวหนุนตัก หรือเบาะหน้าสุดที่เป็นของกวิน คนตัวเล็กนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงปล่อยให้ไอ้เด็กบางคนเอนศีรษะมาพิงไหล่ ส่วนเกื้อที่วันนี้มาเดี่ยวก็อาสาไปนั่งข้างหน้าคู่กับพี่คนขับ
 
หลังจากผ่านการนั่งรถกินขนมชมวิวบ้างหลับบ้างราวสามชั่วโมงคณะนักเดินทางผู้มีเสียงดนตรีอยู่เต็มหัวใจก็มาถึงท่าเรือสำหรับข้ามไปยังเกาะเล็ก ๆ ที่เป็นเป้าหมายของทริปนี้..
 
เมื่อขนสัมภาระลงจากรถตู้ลงเรือเร็วที่จองไว้แล้วคุณชายธรจากตระกูลดังก็สั่งความให้คนขับรถกลับมารับอีกทีพรุ่งนี้ตอนเย็น ใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีทั้งหมดก็มาถึงรีสอร์ทท้ายเกาะ น้ำทะเลใสแจ๋วอย่างที่วาดหวัง แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำอีกหลายรายการให้เลือกเล่นได้เต็มที่ งานนี้คงได้เปลี่ยนสีผิวกลับบ้านกันแน่ ๆ
 
บ้านพักแต่ละหลังที่จองไว้มีบริเวณเป็นของตัวเอง พวกเขาจองบ้านพักสองหลังติดกันเพราะหนึ่งหลังมีห้องนอนสองห้อง โชคดีที่นิวจัดการทุกอย่างไว้ก่อนแล้วบ้านพักที่พวกเขาได้จึงเป็นหลังที่หันหน้าออกสู่ทะเล หลังจากเอาข้าวของสัมภาระไปเก็บเรียบร้อยก็ได้เวลาลงน้ำ ไม่มีใครรีรอเนื่องจากมีเวลาแค่สองวันหนึ่งคืน ดังนั้นเมื่อกวินออกมาจากห้องพักก็พบว่าไม่มีใครแล้ว
 
กวินสะพายกระเป๋ากล้องเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านพัก สายลมหอบเอากลิ่นทะเลมาปะทะกับใบหน้าให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ คนตัวเล็กเดินเข้าไปหาพีชที่กำลังทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ กับกล้องตัวใหม่ที่กวินไม่กล้าจะแตะเท่าไหร่เพราะราคามันมากกว่าค่าเทอมของเขาไปเกือบสามเท่า ชายหนุ่มหันมาหากวินพร้อมกับทำหน้าเมื่อย
 
“ถ่ายแล้วสวยดีนะ แต่ฉันยังไม่ชินเท่าไหร่ ถนัดกับไอ้ยักษ์มากกว่าเสียดายน้องชายเอาไปพังจนซ่อมไม่ได้เลย” กวินฟังแล้วก็คิดไปถึงกล้องตัวเก่าของพีช คนตัวเล็กกว่ายกกล้องในมือขึ้นโชว์เพื่อบอกว่าของเขายังอยู่ดี กล้องตัวนั้นเขากับพีชไปซื้อพร้อมกันตอนที่ขึ้นปีสองด้วยเหตุผลที่ว่าจะลงเรียนถ่ายรูป ซื้อพร้อมกันยี่ห้อเดียวกันแล้วสุดท้ายก็เอามาถ่ายด้วยกันเกือบจะทุกงาน กวินรู้จักกับเพื่อนคนนี้เพราะเคยไปเล่นกีตาร์ให้กับเพลงที่ใช้ในการแสดงละครเวทีที่พีชได้รับบทเป็นตัวเอกตั้งแต่ตอนที่อยู่ปีหนึ่ง
 
“เดี๋ยวก็ชินน่า นายถ่ายรูปสวยอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว” ว่าแล้วก็บุ้ยใบ้ให้ลองเก็บภาพ เอ่อ อะไรวะนั่น! กวินมองไอ้แก๊งนักดนตรีแล้วก็ขำพรวดออกมา เกื้อ นิค ธร ในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทตัดกับผิวขาวจัดอวดกล้ามเนื้อแก่สายตาประชาชีที่มันเดินผ่าน แต่กับท่อนล่าง..กวินเดาเอาว่ามันต้องนัดกันซื้อมาใส่แน่ไอ้กางเกงลายดอกสีชมพูแป๊ด เขียวอี๋ เหลืองอ๋อย สามสีสามคนนั่น แล้วไม่ทราบว่าสน๊อกเกิลกับตีนกบตีนเป็ดตีนไก่ที่มันสรรหามาใส่ประดับร่างมันก็นัดกันซื้อหรืออย่างไรทำไมมันถึงได้สีเดียวกับกางเกงกันทั้งสามคน
 
“เฮ้ย พีช ลองถ่ายสามคนนั่นดิ๊ อยากรู้ว่าสีจะสวยมั้ย” คนโดนทักยกกล้องขึ้นเก็บภาพเสร็จก็พอดีกับที่นายแบบทั้งสามคนเดินเข้ามาถึงใต้ร่มไม้ที่กวินนั่งอยู่กับพีช
 
“พี่สองคนไม่เล่นน้ำเหรอครับ” เสียงทุ้มต่ำมีสัมมาคารวะถูกส่งมาจากคุณชายธรเจ้าของกางเกงสีเหลือง
 
“ยังไม่เล่นตอนนี้อ่ะ ร้อน เดี๋ยวถ่ายรูปพวกนายกันก่อนแล้วตอนเย็น ๆ ค่อยลง” ร่างสูงเดินมาหมายจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับกวินแต่ก็ช้ากว่าก้นใหญ่ ๆ ของใครอีกคน นริศตีหน้าซื่อขณะที่เบียดเข้ามาแทรกตัวลงที่ว่างข้างคนตัวเล็กพร้อมกับปรายตามองให้ธรไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ไรแดดลอดผ่านเงาไม้มาถึง ธรอาจจะไม่ได้คิดอะไรเพราะเข้าใจว่าเพื่อนไม่อยากโดนไอความร้อนจากแสงแดด แต่ไอ้แขนที่มันยกขึ้นมาพาดพนักเก้าอี้แสดงความเป็นเจ้าของคนข้าง ๆ นี่แหละที่ไม่พ้นสายตาเกื้อ มือเบสของวงหลุดทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ภาพเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าไหร่ เพราะนิคมันก็ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพี่กวินอย่างนี้ประจำแต่ที่ติดใจคือ‘บรรยากาศ’ที่เปลี่ยนไปต่างหาก เมื่อก่อนนริศอาจจะทำสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัวคล้าย ๆ อาการของเด็กหวงเพื่อน แต่สามสี่วันนี้เขารู้ว่ามันตั้งใจ..
 
นริศมันตั้งใจแสดงให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าพี่กวินเป็นของมัน
 
กวินยังคงยกกล้องขึ้นส่องทัศนียภาพไปเรื่อย ๆ สลับกับการตรวจเช็ครูปโดยไม่ได้สนใจความเป็นไปของคนข้าง ๆ ว่าตอนนี้ขยับเข้ามาใกล้เพียงใดแล้ว นริศยื่นหน้าเข้าไปมองรูปที่กวินกำลังดูอยู่ ส่งปลายนิ้วไปชี้โน่นนี่นั่นบนหน้าจอแอลซีดีพร้อมออกความเห็นราวกับเป็นปรมาจารย์ด้านการถ่ายภาพโดยที่แขนอีกข้างก็ยังวางพาดพนักเก้าอี้ ฟังมันบรรยายเรื่องแสงตกกระทบมุมโน้นมุมนี้เพราะงั้นผมว่าพี่ควรจะโฟกัสตรงนั้นตรงนี้จะเหมาะกว่าแล้วเกื้อก็ชักจะหมั่นไส้หนัก
 
“แหมะ กูเพิ่งรู้ว่ามึงไปเรียนถ่ายรูปกับพี่กวินมาด้วย รู้ดีจังเลยนะไอ้เรื่องแสงเรื่องเงาเนี่ย”
 
“ไม่ได้ขัดคอกูนี่มึงจะกินข้าวไม่ลงใช่มั้ยครับ” สวนทันทีโดยไม่ต้องรักษาภาพ รู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งสามปี นิครู้ดีว่าอย่าได้เพลี่ยงพล้ำให้มันเด็ด ๆ
 
“เปล่า ก็กูเห็นมึงเล่าเรื่องแสงเรื่องสีให้พี่กวินฟังได้เป็นฉาก ๆ ตกลงมึงเรียนมาหรือเป็นกูเกิ้ลถึงได้รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง” นิคหันไปมองเพื่อนสนิทแล้วจึงเบ้หน้าใส่ ตัดสินใจใช้ความสงบสยบคำพูดอีกฝ่ายโดยการหันไปให้ความสนใจกับคนข้าง ๆ ต่อ คุยกับเกื้อไม่เจริญหูเจริญตาสู้หน้าหวาน ๆ ตาโต ๆ ที่นั่งเบียดกันนี่ไม่ได้..
 
นิคนึกยิ้มย่องในใจเมื่อค้นพบว่าความจริงแล้วกวินไม่ได้เพียงแค่หล่อมากอย่างเดียว แต่พอมองให้หวาน คนตัวเล็กก็หวานได้อย่างไม่น่าเชื่อ หนำซ้ำยามที่ยิ้มจนตาปิดแก้มป่องยิ่งดูน่ารักจนเขาแทบจะคลานเข่าเข้าไปถวายตัว...เอ่อ ไม่ใช่ละ! แก้มป่อง ๆ นั่นเจ้าตัวจะรู้ไหมว่ามันน่าฟัดขนาดไหน ถึงตอนนี้เขาจึงไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมที่ผ่านมาคนที่เข้ามาขายขนมจีบให้กวินถึงได้มีซะทุกเพศทุกวัย..
 
“พี่หิวมั้ย” เสียงทุ้มที่คลอเคลียอยู่ริมหูเอ่ยถามในสิ่งที่กวินคิดว่าไอ้คนถามนั่นแหละที่เป็นฝ่ายหิว ตั้งแต่แวะกินข้าวเช้าระหว่างทางจนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอาหารมื้อหนักตกถึงท้องใครสักคน แต่ด้วยความที่กินขนมกันมาตลอดทางเลยทำให้ไม่หิวมากเท่าที่ควร
 
“หิวนิดหน่อย ทำไมนายหิวแล้วเหรอ” คนหิวพยักหน้ารัวอย่างที่กวินคิดไว้ไม่มีผิด คนตัวเล็กกว่าเลยหันไปหาน้องอีกสองคนที่กำลังคุยกันเรื่องผลบอลเมื่อคืนก่อนโน้น
 
“เกื้อ ธรหิวกันหรือยัง” ยังไม่ทันได้ตอบพีชที่วุ่นวายกับกล้องตัวใหม่อยู่ก็แทรกขึ้นมาก่อน
 
“รอแป็บนึงนะ นิวกับเบสไปสั่งอาหารแล้ว เดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ” ว่ายังไม่ทันขาดคำสองคนที่ไปสั่งอาหารก็ปรากฏต่อสายตา ทั้งสองคนเดินนำหน้าพนักงานของรีสอร์ตเข้ามาที่โต๊ะ อาหารง่าย ๆ สำหรับมื้อกลางวันถูกยกมาเสิร์ฟให้แต่ละคนประทังความหิวก่อนที่จะไปจัดเต็มกับมื้อค่ำที่พวกเขาสั่งชุดปิ้งย่างอาหารทะเลแบบฟูลเซ็ตไว้
 
หลังจากที่จัดการมื้อกลางวันที่ค่อนไปทางบ่ายอ่อน ๆ กันเสร็จกิจกรรมทางน้ำที่รอคอยก็มาถึง แสงแดดจัดจ้าไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่เหล่านักดนตรีผู้มีความสนุกอยู่เต็มหัวใจ
 
“พี่ครับผมฝากโทรศัพท์ด้วยนะ เดี๋ยวมันเปียก” ทันทีที่เกื้อเดินมายื่นโทรศัพท์ไว้ให้ดูแลชั่วคราว มืออีกสามข้างก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้า รุ่นพี่ตัวเล็กค่อย ๆ รวบเอาเครื่องมือสื่อสารราคาแพงของแต่ละคนไว้ ดูเหมือนจะมีแค่นิวเท่านั้นที่เอาไปซุกไว้ในกระเป๋ากล้องของพีช เมื่อทุกอย่างพร้อมชาวคณะจึงมุ่งหน้าไปยังจุดที่มีเรือพายที่เตรียมไว้ให้เช่าจอดอยู่
 
กวินสังเกตว่าเวลาที่ไอ้แกงสามช่ามันเดินผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนก็เป็นอันให้มีสาว ๆ มองตามกันจนเหลียวหลังไปตลอดทาง ปกติแค่หน้าตาก็กินขาดคนทั่วไปอยู่แล้วแต่วันนี้มันยังพร้อมใจกันแต่งตัวเป็นแฝดสามสีงานนี้ไม่ถูกมองจนสึกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
 
คนตัวเล็กยกกล้องเก็บภาพนายแบบทั้งหลายไปเรื่อย ๆ ขณะที่แต่ละคนตกลงกันว่าจะเล่นอะไรก่อนหลัง ไอ้ที่คุย ๆ กันไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผลใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อเจอของเล่นจริง ๆ แต่ละคนงอแงจะเล่นอันที่ตัวเองหมายตาไว้ก่อนจะไปเล่นอย่างอื่น นิว เบส นิคจะเล่นบานาน่าโบ๊ท ในขณะที่เกื้อกับธรจะพายเรือคายัค แต่ธรจะพายกับเบส และนิคจะนั่งบานาน่าโบ๊ทแข่งกับเกื้อเพื่อดูว่าใครจะเป็นฝ่ายตกก่อนกัน เอากับพวกมันสิ!
           
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ตกลงใจกันได้ว่าจะไปพายเรือกันก่อนงานนี้พีชเลยต้องฝากกล้องไว้ที่กวินเพื่อไปพายเรือให้นิวนั่งเล่น คู่อื่นดูท่าว่าจะไปกันได้สวยแต่ไอ้ลำที่มือเบสนั่งกับนักร้องนำนี่กวินชักจะเป็นห่วง
 
พอขึ้นไปนั่งได้มันก็พายกันคนละทิศเรือยังไม่ทันจะได้ออกตัวไปไหนก็เห็นแววว่าจะล่มอยู่แถวนั้น กวินยังคงไล่ถ่ายภาพแต่ละคนด้วยความสนุก เห็นธรกับเบสหยอกล้อกันบนเรือลำเล็กแล้วก็ได้แต่ยิ้มตาม ไม่ต่างจากท่าทางอบอุ่นของพีชยามที่พายไปแล้วชี้ชวนให้นิวดูโน่นดูนี่ไปด้วย แต่คู่ที่น่ารักที่สุดเห็นจะเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันที่คนหนึ่งก็นั่งหน้าบูดพยายามจะงัดพายไปทางขวาอีกคนก็ทำหน้าทะเล้นไม่ยอมน้อยหน้าโดยการออกแรงตวัดไม้พายเพื่อให้เรือไปทางซ้ายและสุดท้ายมันก็วนไปวนมาอยู่ที่เดิม ถ้าไม่ได้อยู่กับทั้งสองคนมานานกวินก็คงไม่เชื่อว่าด้วยนิสัยไม่ยอมกันแบบนี้มันจะร่วมวงดนตรีกันมาได้ถึงสามปีแล้ว

...


#เด็กเสี่ยกวิน

ไปทะเลยาวมาก...ขอแบ่งเป็นสองนะคะ
เจอกันวันเสาร์ ;)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2017 18:35:49 โดย sunnandsky »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รอ..ออออ น่ารักเชียว  :ling1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ colorlab

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไปทะเลกับชมรมนี้น่าจะขาดอากาศเพราะหัวเราะ

 :laugh:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
09

ด้วยความที่รีสอร์ตที่พักถึงแม้จะไม่เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตจนทำให้ปริมาณคนที่มาเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์พลุกพล่านแต่อย่างใด นักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกระจัดกระจายทำกิจกรรมต่างกันออกไปทั้งนอนอ่าหนังสือ นั่งฟังเพลง ถ่ายรูป นั่งสังสรรค์ร้องเพลงกันเป็นกลุ่ม ๆ กวินมองภาพเหล่านั้นขณะที่เดินเรื่อยตามชายหาดที่ทอดตัวยาวออกไป เรือพายทั้งสามลอยลำออกไปกลางทะเลทำให้ยากแก่การเก็บภาพจึงทำให้คนที่วันนี้เปลี่ยนจากมือกีตาร์มาเป็นตากล้องสมัครใจที่จะเดินถ่ายภาพท้องทะเลในมุมต่าง ๆ เท่าที่ใจอยากมากกว่าที่จะกลับเข้าไปนั่งรอใต้ร่มไม้ เดินมาสักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหันไปมองก็พบว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ดูแล้วน่าจะมาจากประเทศทางฝั่งตะวันตก เมื่อเห็นว่าคนที่เดินอยู่ด้านหน้ารู้ตัวชายคนนั้นจึงส่งยิ้มทักทายกวินก่อนพาตัวเองเข้ามาใกล้อีกนิด มือหนาชูกล้องให้ดูราวกับจะบอกว่าที่เดินมาทางนี้ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
 
รอยยิ้มกระจ่างตาถูกส่งมอบไปให้คนตรงหน้า ถึงแม้จะต่างชาติต่างภาษาแต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเข้าใจตรงกันว่ามันคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ คำทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่นที่มาจากชายคนนั้นทำให้กวินแปลกใจนิดหน่อย ภาษาญี่ปุ่นที่เคยร่ำเรียนมาบ้างถูกขุดมาใช้เมื่อฝ่ายนั้นเริ่มชวนคุย แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวั่นใจนักเมื่ออีกฝ่ายก็พอจะรู้ว่าควรจะสื่อสารอย่างไรให้คนที่เป็นเจ้าถิ่นเข้าใจตนเอง กวินคุยกับผู้ชายคนนั้นด้วยภาษาญี่ปุ่นบ้างอังกฤษบ้างแล้วแต่จะคิดทัน เท่าที่จับใจความได้ชายคนนี้ชื่อชิโรตะ ยู และที่หน้าตาไม่ได้เข้าข่ายเป็นคนญี่ปุ่นเท่าไรแต่กลับใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่เพี้ยนเลยเพราะเป็นลูกครึ่งสเปน
           
R R R R R R R R
           
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเลนส์ทำให้กวินต้องควานหาต้นกำเนิดเสียง มือเล็กหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารของหนึ่งในแก๊งขึ้นมาดูก็พบว่าพี่สาวของเจ้าของเครื่องโทรมา ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะรับดีหรือไม่เสียงเรียกเข้าก็ตัดไปและเพียงครู่เดียวก็มีข้อความส่งเข้ามาแทน กวินตัดสินใจเปิดข้อความขึ้นมาอ่านแล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นสั่งให้โทรกลับ‘ด่วนที่สุด’เห็นดังนั้นกวินจึงโทรกลับไปหานัททันที หลังจากที่คุยกันเสร็จก็ได้ความว่าพี่สาวของนิคแค่จะโทรมาบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจจะไปเยี่ยมคุณป้าที่อยู่ออสเตรเลียแบบกะทันหันและเธอกำลังจะจองตั๋วเครื่องบินจึงโทรมาถามว่านิคจะไปด้วยหรือเปล่า
 
กวินรับปากเป็นธุระว่าจะถามให้แล้วจึงวางสายไปแต่เนื่องจากว่าโทรศัพท์ราคาสูงตอบรับสัมผัสปลายนิ้วดีไปนิดจากที่กำลังจะกดออกจากโปรแกรมจึงกลายเป็นว่าหลงเข้าไปในส่วนที่เจ้าของเครื่องใช้เก็บภาพภ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ
 
ขณะที่นิ้วเรียวกำลังจะเลื่อนออกจากคลังเก็บภาพสายตาของกวินก็กวาดไปพบกับโฟลเดอร์รูปที่ชื่อดูน่าสนใจไม่น้อย คนตัวเล็กถือวิสาสะกดเข้าไปดูภาพในนั้น เพียงแค่ภาพเดียวที่ปรากฏกวินก็ได้คำตอบว่า ’Mine’ ของนิคหมายถึงอะไร..
 
ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ขณะที่สองตายังจ้องภาพในจอ ความร้อนแล่นริ้วขึ้นมาจนพวงแก้มกลายเป็นสีเชอรี่สุกปลั่ง มือเล็กกดปิดภาพ ออกจากโปรแกรมทั้งหมดแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้อย่างเดิมก่อนจะเงยหน้ามาพบว่าคนที่เดินมาด้วยกันกำลังมองมาที่ตนเอง ชิโรตะคลี่ยิ้มขณะที่ลดกล้องในมือลง เห็นดังนั้นกวินจึงพยักหน้าชวนให้อีกฝ่ายเดินต่อ
 
เดินไปคุยไปถ่ายรูปไปไม่นานนักก็วนกลับมาเจอจุดเริ่มต้น โต๊ะที่ใช้นั่งเมื่อตอนที่กินอาหารกลางวันถูกจับจองโดยคนกลุ่มเดิม เมื่อเห็นว่าแต่ละคนมานั่งรอกันพร้อมหน้ากวินจึงชวนเพื่อนใหม่ไปร่วมโต๊ะ
           
“พี่รู้จักเขาหรือครับ” นิวเปิดปากถามทันทีที่ทั้งสองคนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ก็นะ..สงสัยอะไรก็ต้องถามไม่งั้นจะเสียชื่อชมรมดนตรีมหาภัย เอ้ย มหา’ลัย
       
       “เพิ่งรู้จักเมื่อกี้เอง เขามาเที่ยวแล้วพอดีเห็นพี่ถ่ายรูปอยู่คนเดียวก็เลยมาคุยด้วย แต่เห็นว่าเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะเขาจองที่พักไว้บนฝั่งน่ะ” กวินตอบออกไปขณะที่มือก็สาละวนค้นเอาโทรศัพท์ของแต่ละคนขึ้นมาจากช่องใส่ของในกระเป๋ากล้องแล้วแจกคืนเจ้าของ
           
“เขามาจากที่ไหนน่ะกวิน” เนื่องจากกล้องถ่ายรูปของชิโรตะเป็นรุ่นที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกมือสมัครเล่นธรรมดาทั่วไปจึงทำให้พีชและธรยิ่งสนใจหนัก และกวินที่เป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นได้จึงต้องกลายมาเป็นล่ามจำเป็น
 
“มาจากญี่ปุ่น เห็นว่าชอบถ่ายรูป เขาบอกว่ามีแกลอรี่ด้วยนะ” กวินหันไปตอบพีชที่ตอนนี้พยายามจะใช้ภาษาอังกฤษคุยเรื่องกล้องกับชิโรตะบ้างอย่างที่ธรกำลังทำ ธรชอบถ่ายรูปเพียงแต่ทริปนี้เขาไม่อยากเป็นตากล้องเพราะอยากใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับคนรักมากกว่า แต่พอมาเจอมืออาชีพเช่นนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องที่สนใจ
 
“พี่ไปเจอเขาที่ไหน” เสียงทุ้มจากคนที่ไม่ได้เปิดปากคุยกับเพื่อนใหม่เลยเอ่ยขึ้นมาเมื่อทั้งพีช ธรและเกื้อเรียกความสนใจจากคุณช่างภาพสัญชาติญี่ปุ่นไปแล้ว
 
“เจอตรงทางเดินริมหาดตรงโน้น” มือเล็กชี้ไปยังจุดเกิดเหตุที่นิคถามหา
 
“อ้อ พี่นัทโทรมา เห็นบอกว่าพ่อกับแม่นายจะไปเยี่ยมคุณป้า จะจองตั๋วเครื่องบินกันแล้วให้นายโทรกลับไปหาด้วย” ได้ยินดังนั้นนริศจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วลุกจากที่นั่งไป ร่างสูงเดินไปหยุดยืนคุยโทรศัพท์ห่างออกไปจากโต๊ะเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับมาเรียกหากวิน คนตัวเล็กยิ้มให้ชิโรตะเป็นเชิงขอตัวหลังจากที่แปลคำถามของพีชเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฝ่ายนั้นฟังเสร็จ ร่างเล็กที่เดินไปหยุดด้านข้างทำให้นิคยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วหันมาหาคนที่ยืนมองตนเองอยู่
 
“พี่จำได้มั้ยงานบายเนียร์เดือนหน้า วงเราเล่นวันที่เท่าไหร่”
 
“สิบเจ็ด” เท่านั้นร่างสูงก็หันกลับไปตอบคนปลายสายว่าไม่สามารถไปออสเตรเลียได้ เมื่อเห็นว่าหมดธุระแล้วกวินจึงหมุนตัวหมายจะเดินกลับมาที่โต๊ะแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่รั้งแขนไว้ไม่ให้เดินต่อ คนตัวเล็กเลิกคิ้วถามคนที่จับแขนตนเองไว้ว่ามีอะไรแต่นิคก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาได้ยินนิคบอกกับพี่สาวไปว่าอาทิตย์หน้าจะกลับบ้านแล้วจึงวางสาย
 
คิ้วคมขมวดมุ่นเหมือนมีเรื่องไม่สบอารมณ์จนกวินต้องยกมือข้างที่ว่างอยู่ไปจิ้มระหว่างคิ้วให้คลายออกจากกันพลางเอ่ยปากแก้ปัญหาให้คนคิดมากจนหน้าเริ่มยุ่ง
 
“อยากไปออสเตรเลียเหรอ ความจริงนายไปเที่ยวกับที่บ้านก็ได้นะ นิวก็อยู่อีกทั้งคนวงไม่ล่มหรอกน่า” นริศมองคนพูดด้วยรอยยิ้มบาง อยากบอกว่าไม่ใช่เหตุผลนี้แต่ก็ยังไม่อยากทำลายบรรยากาศดี ๆ
 
ความรู้สึกผ่อนคลายยามที่สัมผัสจากปลายนิ้วเล็กจิ้มเป็นจังหวะระหว่างคิ้วเมื่อครู่ยังตรึงอยู่ในอกซ้าย กวินทำแบบนี้มานานจนเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่พอวันนี้เขาใส่ใจที่จะมองการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อีกฝ่ายมอบให้ นริศจึงได้รู้ว่าที่แล้วมาตนเองได้รับสิ่งเหล่านี้มากมายเพียงใด
 
“บายเนียร์ของพี่เชียวนะ อยากให้ผมไปจริงเหรอ”
 
“ก็อยากให้อยู่ แต่ว่าถ้าได้ไปเที่ยวกับครอบครัวมันก็ดีใช่มั้ยล่ะ” นริศไล้นิ้วโป้งไปบนฝ่ามือเล็กขณะที่มองคนตรงหน้าออกความเห็น
 
ทำไมนิคจะไม่เห็นว่าตากล้องชาวญี่ปุ่นนั่นมันมองตามกวินไปทุกที่ เขาไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มอง ในเมื่ออยากเห็นก็จะให้เห็น อยากมองก็จะให้มอง เดี๋ยวได้เจอความเสี่ยวระดับเทพแล้วจะหาทางกลับญี่ปุ่นไม่ทัน คอยดู!
 
"ออสเตรเลียเมื่อไหร่ก็ไปได้ ส่วนพ่อกับแม่ทริปหน้าก็ยังไปได้ แต่บายเนียร์ของพี่มีวันเดียวนะ ถ้าคืนนั้นพี่เมาใครจะแบกพี่กลับ ให้ผมอยู่ด้วยนี่แหละดีที่สุด”
 
“แล้วอย่ามาบ่นทีหลังว่าไม่ได้เที่ยวล่ะ” คราวนี้คนตัวสูงจับฝ่ามือเล็กให้หงายขึ้นมาแล้วจึงวาดวงกลมลงไปบนนั้น
 
“โลกของผมไม่ได้แคบเหมือนโลกของพี่หรอกนะ ออกจะกว้างใหญ่ด้วยซ้ำไปแถมยังอยู่กันเยอะแยะหลายคน”
 
“.........” คนฟังยังคงนิ่งแม้จะเริ่มรู้สึกคุ้น ๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด
 
“แต่ถึงโลกผมจะกว้าง ก็ใช่ว่าจะได้รับความสำคัญไปทุกคน..” กวินพยักหน้าเบา ๆ เมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไร ดวงตาคู่สวยมีแววเก้อกระดากเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กรุ่นน้องยืมเอาวิธีง้องอนในเช้าวันนั้นมาใช้กับตนเอง คนตัวเล็กกัดฟันลงกับริมฝีปากล่างพยายามจะกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
 
“ตกลงว่าไม่ไป” กวินถามย้ำอีกครั้งเพราะเวลานี้เขานึกคำพูดอื่นไม่ออกแล้ว ดูเหมือนว่านริศกำลังต้อนเขาให้จนมุม เป็นครั้งแรกที่กวินรู้สึกว่าเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับความเสี่ยวของคนตรงหน้า
 
“ผมอยากอยู่กับพี่...”
 
ริ้วความเขินอายแล่นผ่านทุกตารางนิ้วบนร่างกายจนกวินต้องหลบสายตาคนพูดแล้วเสมองไปทางอื่น จะให้เดินหนีกลับไปที่โต๊ะก็เกรงว่าจะมีใครสังเกตเห็นซึ่งแบบนั้นก็จะยิ่งถูกสงสัย ส่วนไอ้คนที่เพิ่งส่งประโยคปลิดลมหายใจกวินก็กำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง
 
เขาบอกแล้วว่าถ้าเดินหน้าพุ่งชนให้ตายยังไงก็แพ้ความนิ่งของคน ๆ นี้ แต่ถ้าใช้วิธีตามน้ำไปเรื่อย ๆ ผลมันก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ อ่อนยวบไม่เป็นท่า..
 
หลังจากปล่อยให้กวินจัดการกับความเขินอายได้แล้วนริศก็จูงเจ้าของมือเล็กกลับมาที่โต๊ะ มือหนาจับไหล่บางดันให้นั่งลงไปก่อนแล้วจึงเบียดตัวตามลงไปจับจองพื้นที่ข้างกายคนตัวเล็ก วางแขนพาดพนักเก้าอี้อย่างที่ทำเมื่อตอนกลางวัน รอยยิ้มร้ายปรากฏบนมุมปากราวกับเย้ยหยันใครอีกคนที่กำลังมองมาให้มันรู้กันไปเลยว่าของใครเป็นของใคร..
.
.


(มีต่อ)

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เตาสำหรับย่างอาหารทะเลถูกยกมาวางไว้ตรงระหว่างบ้านพักทั้งสองหลัง ปลาหมึก กุ้ง ปู กำลังถูกความร้อนทำให้เปลี่ยนสีอยู่บนตระแกรงโดยมีธรกับนิวคอยพลิกไปมาให้น่ากิน โต๊ะไม้เตี้ย ๆ สองตัวถูกนำมาวางต่อกันบนเสื่อให้พอกับจำนวนคน พีชยังคงเก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ในขณะที่กวินเปลี่ยนหน้าที่มาเกากีตาร์ขับกล่อมระหว่างที่รออาหารทะเลสุกโดยมีนิคและเบสแย่งกันเป็นนักร้อง ที่ต่างจากพวกคงเป็นเกื้อที่กำลังกดโทรศัพท์ยิก ๆ พร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขิน เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวยิ้ม สักพักก็หัวเราะกับตัวเอง ดูท่าว่าจะคุยกับแฟน..
 
“มาแล้ว” เสียงใสแจ๋วของนิวมาพร้อมกับถาดกุ้งเผาตัวโต จากที่ต่างคนต่างมีกิจกรรมก็ถึงเวลารวมใจโดยไม่ต้องเรียกให้เปลืองน้ำลาย เพียงแค่นิววางถาดกุ้งหอมกรุ่นควันฉุยลงบนโต๊ะมือแต่ละคนก็พุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที
 
“อะ” กุ้งที่แกะเปลือกเรียบร้อยถูกยื่นมาตรงปากเล็ก นิวยิ้มขอบคุณคนรักใจดีก่อนจะอ้าปากรับแล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข เห็นแบบนั้นธรก็สะกิดคนที่นั่งข้างกาย
 
“เบส ฉันอยากได้แบบนั้นบ้างอะ ป้อนหน่อย” เบสมองกุ้งที่แกะเสร็จแล้วในมือด้วยความเสียดายแต่ก็ยอมส่งมันเข้าปากอีกฝ่ายไป แต่ก็อย่างว่าคนรักแฟนอย่างคุณชายธรไม่มีทางปล่อยให้คนน่ารักเสียเปรียบ เพราะไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีกุ้งตัวโตกว่ายื่นมาตรงหน้าเบส..
 
หวานกันซะให้พอ! เกื้อมองภาพเหล่านั้นด้วยความอิจฉา ถ้าแบงค์ไม่ติดไปธุระกับที่บ้านเขาก็คงมีคนมาป้อนกุ้งให้กินบ้าง มือเบสของวงแกะกุ้งเข้าปากตัวเองไปก็มองคู่รักอีกสองคู่ไป ส่วนอีกคู่ขอละไว้ในฐานที่ยังไม่เข้าใจ(ไปก่อนแล้วกัน) ทั้งที่ไม่ได้แกะกุ้งป้อนกันแต่เขากลับรู้สึกว่าระหว่างสองคนนั้นมีอะไรแปลก ๆ
 
ทะเลแถวนี้อาจจะหวานไปแล้วเพราะน้ำตาลที่มันหกเรี่ยราดตั้งแต่ตอนกลางวันยันกลางคืน..
 
นึกไปถึงเมื่อตอนบ่ายที่ไอ้เสี่ยวมันเรียกพี่กวินออกไปจากโต๊ะเพื่อคุยอะไรสักอย่างด้วยแล้วฝ่ายมือกีตาร์ก็กลับมาพร้อมอาการเงอะงะทำตัวไม่ถูก แล้วหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่านิคมันพยายามจะ‘โชว์เหนือ’กับคุณชิโรตะทุกวิถีทาง ทั้งวางท่าว่าสนิท(ซึ่งมันก็สนิทจริง ๆ) ตอนที่คุยก็ยื่นหน้าเข้าไปซะอย่างกับว่าหูพี่กวินเป็นสตรอเบอรี่(ถ้ามันงับได้คงทำไปแล้ว) แค่นั้นไม่พอตอนที่เดินไปส่งคุณชิโรตะที่ท่าเรือมันก็เดินเอาแขนพาดไหล่แสดงความเป็นเจ้าของพี่กวินไปตลอดทาง แล้วตอนนี้มันก็ยังจองที่นั่งข้าง ๆ มือกีตาร์หน้าหวานโดยไม่ยอมให้ใครแทรก ไอ้นิค..มึงแน่มาก!
 
หลังจากกุ้งถาดแรก ทั้งปลาหมึก ปู หอย ก็ทยอยมาให้กินจนครบ เมื่อเริ่มรู้สึกอิ่มกวินจึงไปล้างมือแล้วกลับมานั่งเกากีตาร์กล่อมเด็ก ๆ ในแก๊ง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนแย่งกันป้อนกับแกล้มไม่ขาดปาก คนนึงแกะปู คนนึงแกะหอย คนนึงแกะกุ้งแล้วสลับกันป้อนจนไอ้คนที่ไม่ได้ป้อนแต่แรกมองแล้วมองอีกด้วยความขัดใจ นริศจิ๊ปากใส่นิว เบสแล้วก็เกื้อที่กำลังทำคะแนนเอาอกเอาใจกวินสลับกับการป้อนแฟนตัวเอง สองคนแรกอาจจะทำเพราะอยากเอาใจพี่แต่ไอ้คนสุดท้ายนี่แน่นอนว่าทำไปเพราะอยากขัดใจเพื่อน
 
“จบแล้วจะไปเรียนต่อเลยใช่มั้ย” พีชมองคนถามแล้วจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ
 
“ดีจัง ตกลงว่าไปบอสตัน?”
 
“อืม...ก็คงบอสตัน เพราะป้าก็อยู่ที่นั่นแล้วกวินล่ะ เอาไงต่อ” กวินเคาะกีตาร์เป็นจังหวะไม่จริงจังนัก
 
“ก็คงทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ฉันมองหาทำเลของร้านไว้บ้างแล้วล่ะ พ่อก็บอกว่าจะจัดการให้อยู่” รอยฉงนในดวงตาหลายคู่ที่มองมาทำให้กวินรู้ว่าเดี๋ยวต้องเกิดการสัมภาษณ์ขึ้นแน่ เพราะเรื่องนี้กวินไม่เคยคุยกับใครจริงจังยกเว้นนิวกับพีช
 
“พี่จะทำอะไร” น้ำเสียงอยากรู้เต็มกำลังส่งมาจากคนที่นั่งใกล้ตัวที่สุด ได้ยินดังนั้นกวินจึงหันไปหาคนถาม
 
“กำลังคิดว่าจะเปิดร้านขายเครื่องดนตรี แล้วก็อาจจะเปิดสอนด้วย แต่คงต้องดูก่อนว่ามีกำลังจะทำได้แค่ไหน” นริศมองสบตาคนพูดพลางถอนลมหายใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เกื้อก็แทรกขึ้นมาก่อน
 
“ถ้าเป็นพี่กวินก็สบายมาก ผมว่าพี่ทำได้อยู่แล้ว แต่ว่าถ้าอยากได้อาจารย์สอนเบสนอกเวลาสักคนอย่าลืมพิจารณาผมนะครับ แต่ถึงไม่ต้องการคนสอนแต่ถ้าพี่ต้องการผู้ช่วยหรือเด็กเฝ้าร้านผมก็พร้อมเหมือนกัน” กวินหัวเราะพร้อมกับพยักหน้ารับตามที่อีกฝ่ายพูดมา ร้านขายเครื่องดนตรีของเขาคงมีแต่สาว ๆ แวะเวียนมาเป็นแน่ถ้ามีผู้ช่วยหน้าตาแบบเกื้อ
 
“ผมคิดว่าพี่จะเรียนต่อซะอีก” เสียงทุ้มที่แทรกมาทำให้คนที่กำลังขำไปกับมุขของเกื้อชะงัก กวินส่ายหน้าไปมาปฏิเสธการคาดเดาของอีกฝ่าย มือเล็กกรีดลงบนสายกีตาร์ให้เกิดทำนองน่าประหลาดใจขณะที่ตอบข้อข้องใจของรุ่นน้องร่วมคณะ..
 
“เรียนแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” นริศพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วก็เลยแย่งกุ้งที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วมาจากมือเกื้อ ชายหนุ่มส่งมันลงไปอาบน้ำจิ้มรสเด็ดก่อนจะยื่นมาตรงหน้ากวิน
 
“ขอบใจ..” เบาจนแทบไม่ได้ยิน นริศมองเจ้าของแก้มกลมเคี้ยวตุ้ย ๆ หลังจากรับกุ้งเข้าปากไปแล้วด้วยแววตาลึกซึ้ง กวินช่างเป็นคนที่หาเรื่องมาให้เขาประหลาดใจได้ตลอดจริง ๆ
 
หมดช่วงสัมภาษณ์เรื่องอนาคตแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายหาพื้นที่ของตัวเองเพื่อกางพุงที่อัดแน่นไปด้วยอาหารทะเล วันนี้พวกเขาไม่ได้กะจะดื่มเหล้าเอาจริงเอาจัง เพียงแต่ตั้งวงให้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพนักงานทยอยเก็บของออกไป เกื้อจึงขอตัวไปนั่งคุยโทรศัพท์เพียงลำพัง ไม่ต่างจากธรและเบสที่ชวนกันไปเดินเล่นริมทะเลยามค่ำคืนปล่อยให้พีช นิวและนิคนั่งทำหน้าเคลิ้มฟังเพลงกวินเล่นกีตาร์กล่อม
 
“ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนก่อนได้นะ กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋ากล้องซิปนอกอ่ะ” กวินหันมาบอกเด็กตัวโตที่ปิดปากหาวอยู่ข้าง ๆ แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่แล้วเอนกายลงนอนราบไปกับเสื่อ นริศยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาหนุนต่างหมอน นิวเห็นแบบนั้นจึงถือโอกาสแขวะญาติผู้น้อง
 
“กลัวผีอ่ะดิแบบนี้ หมอนี่มันอยู่ในที่มืดคนเดียวนอกสถานที่ไม่ได้หรอกครับพี่”
 
“พูดมากว่ะ เดี๋ยวสั่งพี่พีชปิดปากเลย” เสียงขู่จากคนนอนตอบโต้มาให้นิวแก้มแดงได้นิดหน่อย แต่ถึงยังไงก็ยังมีคนอยากรู้ว่าทำไมนิคถึงกลัวผีขึ้นสมอง
 
“ทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้ล่ะ” จบคำถามของกวิน นิวก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ นักร้องเบอร์หนึ่งของวงสูดลมหายใจเรียกเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดหลังจากที่ใช้ไปเกือบหมดก่อนจะเริ่มแฉน้องรัก ก็ความจริงที่นิคกลัวผีมากขนาดนี้มันเป็นเพราะเขาล้วน ๆ
 
คนตัวเล็กนึกย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่เขากับนริศยังเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่นด้วยกันไปทั่วบ้าน มีวันหนึ่งที่นิวชวนน้องชายที่อายุไล่เลี่ยกันเข้าไปที่ห้องเก็บของของคุณตาที่เสียไปแล้วและเด็กอยากรู้อยากเห็นอย่างนิคก็ไม่ปฏิเสธ สองพี่น้องเดินหาของเล่นจนทั่วห้องโดยไม่ได้สนใจเวลา ห้องเก็บของของคุณตาเต็มไปด้วยของเล่นน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินบังคับที่คุณตาประดิษฐ์เอง วิทยุสื่อสารที่ใช้คุยกันได้จริง ๆ โมเดลบ้านที่คุณตาท่านต่อเองด้วยไม้ไอติมและติดไฟประดับ จำได้ว่าพวกเขาเล่นอยู่ในห้องนั้นจนกระทั่งพลบค่ำ แล้วอยู่ดี ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ห้องเก็บของเก่าที่แยกออกมาจากตัวบ้านหลังใหญ่อยู่ถัดเข้ามาในส่วนหลังของบริเวณบ้าน เมื่อฝนที่เกิดจากลมพายุลงหนัก แสงสีส้มจากหลอดตะเกียบที่ให้ความสว่างเพียงดวงเดียวที่พวกเขาเปิดไว้อยู่ดี ๆ ก็ดับวูบไปและห้องก็มืดสนิทในทันที วินาทีนั้นเขาได้ยินนิคแหกปากร้องไห้ขึ้นมาดังมาก นิวที่กลัวความผิดเนื่องจากตนเองเป็นฝ่ายชวนน้องมาเล่นด้วยจึงรีบตะปบมือปิดปากเด็กขี้แยพร้อมกับบอกไปว่า..
 
“ถ้าร้องไห้เสียงดังวิญญาณของคุณตาจะได้ยิน ถ้าไม่อยากให้คุณตาเห็นเราต้องกลั้นหายใจไว้..” เท่านั้นนิคก็หยุดร้องไห้แต่นิวไม่ได้คิดว่ามันจะหยุดหายใจไปด้วย ไอ้เด็กโง่มันกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าวิญญาณคุณตาจะมาหา โชคดีที่ผ่านไปเพียงครู่เดียวไฟในห้องก็ติดและภาพแรกที่นิวเห็นคือใบหน้าสีม่วงของน้องชายที่กำลังขาดอากาศหายใจ.
 
จากที่เป็นฝ่ายปลอบนิวก็แหกปากร้องไห้ทันที เขาพยายามบอกให้นิคหายใจเอาอากาศเข้าปอดก่อนที่มันจะตามไปอยู่กับคุณตาในปรโลก เสียงร้องไห้ของเขาตอนที่ฝนเริ่มซาทำให้คุณแม่บ้านได้ยินและวิ่งออกมาตามหา
 
ทันทีที่พบตัวเขาสองคนคุณแม่บ้านก็รีบอุ้มนิควิ่งนำออกไปจากห้องเก็บของ คุณพ่อของเขาเอารถออกเพื่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและหลังจากส่งตัวให้คุณหมอแล้วเพียงครู่เดียวนิวก็ได้ไปยืนมองน้องชายนอนใส่ท่อช่วยหายใจในห้องพักฟื้น นิคปลอดภัยแต่ก็ยังต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการที่อาจจะตามมา และตั้งแต่นั้นมานิคก็ไม่ยอมอยู่คนเดียวในห้องมืดๆอีกเลย
 
เล่าจบคนที่เกือบเป็นต้นเหตุให้น้องชายจากไปก่อนวันอันควรก็ยื่นมือไปขยี้ผมคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กวิน
 
“ฉันน่ะ นึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าถ้าวันนั้นนายหมดลมหายใจไปฉันจะอยู่ยังไง แต่ก็ไม่แน่แม่ฉันอาจจะตีฉันจนตายแล้วเราก็อาจจะได้ไปซนกันต่อบนสวรรค์” กวินมองน้องชายตัวเล็กเอนกายไปซบไหล่หนาของคนที่นั่งข้าง ๆ กันแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ถ้าเขาเป็นต้นเหตุให้ใครสักคนจากโลกนี้ไปด้วยเหตุผลแบบนี้กวินก็คงจะรู้สึกผิดไปจนวันตายเหมือนกัน
 
“อย่างนายหมดสิทธิ์จะขึ้นสวรรค์แน่ ๆ อย่าหวังเลย” เสียงทุ้มที่ย้อนกลับมาทำให้นิวหลุดหัวเราะอีกครั้ง
 
“ขอบคุณที่คุณตาไม่เอานายไปอยู่เป็นเพื่อน แถมยังปล่อยให้มาต่อปากต่อคำกับฉันได้จนวันนี้ เฮ้อ พูดเรื่องนี้แล้วง่วงทุกทีฉันไปนอนดีกว่า ผมไปนอนก่อนนะครับพี่กวิน ยังไงก็ฝากนิคมันด้วย เพราะถ้าพี่ไม่เข้าไปนอนมันก็คงนอนเฝ้าพี่อยู่อย่างนี้แหละ รับรองว่ามันไม่หนีไปนอนก่อนแน่ ๆ ฝันดีนะครับ” ว่าจบก็ยันตัวเองลุกขึ้นตามคนรักที่ยืนรออยู่แล้วตั้งแต่ที่ได้ยินเจ้าตัวเล็กบอกว่าจะไปนอน นิวกับพีชจูงมือกันเดินเข้าบ้านหลังแรกไปและอีกห้องที่เป็นของเกื้อก็ดูเหมือนว่าจะปิดไฟนอนไปก่อนแล้ว ส่วนบ้านอีกหลังที่เป็นของกวินกับนิคและธรกับเบสยังคงไม่มีใครกลับเข้าห้อง
 
“ขอโทษ..” เสียงขอโทษแผ่วเบาลอดออกมาจากริมฝีปากเล็กพอให้ได้ยินกันสองคน
 
“ขอโทษทำไม”
 
“ขอโทษที่ขังนายไว้ในห้องดนตรีวันนั้น ถ้ารู้ว่านายผ่านเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นมาฉันจะไม่ทำ” คนตัวเล็กกอดกีตาร์แนบอก ดวงตาคู่สวยมองฝ่าความมืดออกไปยังเวิ้งน้ำด้านหน้า เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่งยังซัดเข้าซัดออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
 
“พี่อยากไถ่โทษมั้ยล่ะ” กวินก้มมองคนถาม ไถ่โทษงั้นหรือ..นิคเปิดเปลือกตามองสบลูกแก้วกลมใสที่เต็มไปด้วยคำถาม
 
“นายจะจับฉันขังห้องมืดบ้างหรือไง” คนตัวโตกว่าหลุดหัวเราะพรืดกับสิ่งที่กวินเพิ่งพูดออกมา
 
“ขังทำไมห้องมืด ถ้าจะขัง..ขังไว้ในหัวใจผมดีกว่า” ทันทีที่นิคพูดจบกวินก็เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง คนตัวเล็กปิดปากกลั้นเสียงที่น่ากลัวว่าจะรบกวนไปอีกสามบ้านแปดบ้านไว้ ก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ เรียกเอาสติกลับคืน
 
“มุขนี้เดี๋ยวกลับเข้าไปในบ้านแล้วจดไว้ให้ฉันด้วยนะจะเอาไปเล่นบ้าง เสี่ยวโคตร ๆ” นิคตวัดตามองคนที่ยังทำเสียงขลุกขลักในลำคอไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มดันตัวเองขึ้นมานั่งเคียงกันกับร่างเล็ก
 
“พี่เล่นกีตาร์ให้ผมฟังหน่อยสิ” กวินชะงักมองคนที่เปลี่ยนอารมณ์ด้วยความรวดเร็ว
 
“พี่เล่นไปนะ เดี๋ยวผมร้องเอง” พอได้เริ่มสั่งก็สั่งไม่หยุด กวินขยับกีตาร์ให้จับถนัดมืออีกนิด เห็นดังนั้นนิคจึงเริ่มร้องเพลงแล้วปล่อยให้อัจฉริยะอย่างกวินจับจังหวะหาท่อนที่จะเริ่มเล่นกีตาร์เอาเอง
           
“ถึงฉันไม่เคยบอกให้รู้ แต่รู้มั้ยฉันรู้สึก” แค่ท่อนแรกที่อีกฝ่ายร้องขึ้นมากวินก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม เพลงผู้หญิงแถมยังเก่ามาก มือกีตาร์มองหน้านักร้องที่ทำอะไรไม่ปรึกษาไปเงียบ ๆ เต็มที่ครับน้อง ร้องได้ร้องไป พี่เริ่มได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น..
 
“หลายครั้งในใจส่วนลึกลึก อยากให้รู้ว่าตื้นตัน
เธอเคยว่ามันเล็กน้อย เพียงความห่วงใยให้กัน แค่เท่านั้นที่เธอมี
ถึงแม้แค่เพียงสิ่งเล็กน้อย แต่โปรดรู้ไว้ฉันชื่นใจ
ทุกครั้งที่เธอมีน้ำใจ อยากให้รู้ว่าตื้นตัน
ความดีที่เธอมีมา เป็นแรงส่งมาให้กัน ให้ฉันก้าวเดินไป”

 
คนตัวเล็กยังคงมองนักร้องอยู่อย่างนั้น แต่สายตาของนริศกลับเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท ท่าทางเจ้าตัวดูมีความสุขกับการร้องเพลงที่กวินเล่นกีตาร์ตามไม่ได้..
 
“สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยใจของเธอ นั่นแหละสำคัญ”
 
กระทั่งท่อนฮุกกวินจึงเริ่มกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ปล่อยทำนองเพลงให้คลอไปกับเสียงทุ้มนุ่ม
 
“สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยความเข้าใจ นั่นคือสิ่งสำคัญ
เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ”

 
นริศหันมาหาคนที่นั่งจับคอร์ดด้วยความทุลักทุเล เพลงเก่าที่นาน ๆ จะขุดมาเล่นสักทีทำให้กวินดูไม่พลิ้วเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อเพลงนี้มัน‘ตอบโจทย์’เขาจึงอยากร้อง เสียแต่ว่าคนที่อยากให้ฟังกลับเอาแต่สนใจคอร์ดที่ตนเองไม่ถนัดนัก กวินยังคงไม่รับรู้ว่าทำไมเขาถึงอยากร้องเพลงนี้ มือหนาทาบลงบนสายกีตาร์เพื่อหยุดเสียงเพลงก่อนเลื่อนไปจับมือขาวจัดไว้เรียกความสนใจจากคนที่กำลังตีกันกับคอร์ดเพลงนี้..
 
“สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยใจของเธอ นั่นแหละสำคัญ
สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยความเข้าใจ นั่นคือสิ่งสำคัญ
เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ”

 
แววลึกซึ้งจากนัยย์ตาคู่คมที่มองมาทำเอาหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะแช่มช้าเปลี่ยนไป ความมืดโดยรอบไม่ได้ทำให้แววตาของนริศเลือนลางเลยในเมื่อเจ้าตัวกำลังเลื่อนใบหน้าเข้าหากวิน ระยะห่างที่ถูกทำลายลงโดยร่างสูงเป็นผลให้หัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นแรง มือข้างที่ยังว่างยื่นมาจับกีตาร์แล้วยกมันออกจากตักคนตัวเล็ก ใบหน้าหล่อจัดเคลื่อนเข้าใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนจางจากผิวเนียนละเอียดกระทั่งริมฝีปากร้อนแนบสนิทกับหูบาง
 
“เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ..” เสียงทุ้มไร้ทำนองแต่กลับหวานละมุนเสียจนใจคนฟังแทบหลุดลอย สัมผัสบางเบาไม่ต่างจากสายลมยามค่ำคืนระเรื่อยจากใบหูไล่มาตามพวงแก้มเนียน ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดขณะที่สันจมูกโด่งไต่ไปตามแนวคางเล็กทำให้กวินร้อนวาบไปทั้งกาย วงแขนแข็งแรงรั้งเอาร่างเล็กหมุนตัวเข้าหาก่อนจะพาลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ร่างสูงคว้าเอากีตาร์และกระเป๋ากล้องมาสะพายไว้
 
“เราไปนอนกันเถอะ..” กวินในตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงและหมดใจจะต้านทานกับความหวามไหวที่อีกฝ่ายเพิ่งจุดขึ้น ร่างเล็กทำได้เพียงแค่ก้าวเท้าตามที่ร่างสูงโอบประคองไปบนทางเดินที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง
 
หน้าต่างระเบียงของห้องพักถูกเปิดให้รับลมจากภายนอก กวินเพิ่งรู้ว่าอากาศเย็นลงมากก็เมื่อสติกลับคืนมาแล้วอย่างสมบูรณ์ หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ออกมายืนรับลมอยู่ที่ระเบียงห้อง คนตัวเล็กยืนมองกลุ่มดาวบนท้องฟ้าพลางลำดับชื่อไปด้วยเพื่อทดสอบความจำเหมือนทุกครั้งที่ออกไปตั้งแคมป์ดูดาวกับเพื่อนอีกกลุ่มที่ต่างจังหวัด ใบหน้าหวานติดรอยยิ้มบางอันเกินจากความอุ่นอวลที่ยังกรุ่นอยู่รอบกาย มือเล็กเคาะกับราวระเบียงเป็นจังหวะเพลงหวานที่ยังติดอยู่ในหูราวกับว่าคนร้องเพียรกระซิบอยู่ไม่ห่าง
 
สายลมที่พัดมาอีกวูบหอบเอาความเย็นจากผิวดินเพื่อลอยลงสู่ทะเล ทั้งที่ผิวกายของกวินควรจะต้องกระทบกับความเย็นแต่กระไอความอบอุ่นจากแขนแกร่งที่สอดรั้งเอวเล็กมาจากด้านหลังกลับเข้าแทนที่เสียก่อน กลิ่นสบู่ของกวินลอยวนแตะแต้มในบรรยากาศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่กำลังกอดเขาอยู่
 
“ออกมาตากลมทำไมครับ” เสียงทุ้มที่ได้ยินอยู่เป็นประจำยังคงดังคลอเคลียอยู่ริมหู คนในอ้อมกอดชี้มือขึ้นไปบนฟ้ากว้างเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ร่างสูงที่ยืนซ้อนด้านหลังเงยหน้ามองตามปลายนิ้วเรียว นริศรู้ว่ากวินชอบดูดาวแต่ไม่เคยร่วมกิจกรรมชนิดนี้กับเจ้าตัวเลย หลายครั้งที่เขาเห็นว่ากวินขนอุปกรณ์ใส่ท้ายรถแล้วหายไปสองสามคืนกับเพื่อนผู้นิยมการดูดาวเป็นงานอดิเรก นริศกัดริมฝีปากคล้ายกำลังชั่งใจ ร่างสูงโยกตัวไปมาพลางถามถึงดาวในดวงใจคนตัวเล็ก
 
“แล้วพี่ชอบดวงไหน”
 
“ชอบทุกดวง..” คำตอบจากกวินทำให้คนฟังหลุดยิ้มอีกครั้ง กลิ่นแชมพูหอมกรุ่นติดอยู่ปลายจมูกยากจะห้ามใจให้กดใบหน้าลงไปสูดดมก่อนที่จะเป็นฝ่ายบอกถึงดาวดวงที่ตนเองชอบให้กวินรู้บ้าง
 
“แต่ผมชอบ..ดวงนี้” คนพูดไม่ได้ระบุตำแหน่งของดาวดวงใดบนฟากฟ้า หากแต่วงแขนที่กระชับร่างในอ้อมกอดให้แนบสนิทไปกับอกกว้างต่างหากที่เป็นดั่งเครื่องมือบอกพิกัดว่า‘ดาว’ดวงใดที่นิคต้องใจ
 
กวินรู้สึกขัดเขินหากแต่ไม่ได้ขัดขืน..
 
ที่ผ่านมาครั้งใดที่นริศกอด กวินก็จะรู้สึกเพียงแค่ถูกกอด แต่ครั้งนี้ที่นิคกอดกวินกลับรู้สึกถึงอะไรที่มากกว่าวงแขนนั้น..
 
กอดที่ไม่เพียงทำให้รู้สึกถึงความอุ่นทว่ามันยังอบอวลไปด้วยตัวตนของนริศ..
 
กอดที่ทำให้กวินรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าคนกอดกำลังกอด‘กวิน’ไม่ใช่เพียงแค่กอด‘ตัวเอง’เหมือนที่ผ่านมา..
 
กอดที่ทำให้รู้ว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป..ระหว่างเรา



#เด็กเสี่ยกวิน
https://www.youtube.com/watch?v=D5UTkTENiBI

ฟังเพลง


เพลงนี้เพราะมากเลย...ฟังแล้วจะยิ่งอิน ;)
เจอกันวันเสาร์

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
10

เสียงโหวกเหวกโวยวายในวันหยุดทำให้ตึกคณะดุริยางคศิลป์ดูมีสีสันไม่ต่างไปจากวันธรรมดา นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงสามถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อประชุมเกี่ยวกับงานกู้ดบายซีเนียร์ของรุ่นพี่ปีสุดท้ายที่จะจัดในสัปดาห์หน้า การประชุมมอบหมายแบ่งงานผ่านไปได้ด้วยดีโดยมีนักศึกษาปีสามคอยดูแล งานเลี้ยงถูกกำหนดว่าจะจัดขึ้นในห้องประชุมใหญ่ของคณะเช่นทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการแสดงดนตรีอันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาทุกรุ่น นักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีจะต้องเลือกการแสดงที่ดีที่สุดหนึ่งรายการแล้วโชว์ให้กับรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะได้ชมเพื่อเป็นการบอกว่าที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาตลอดนั้นได้อะไรกลับไปบ้าง ดังนั้นการแสดงดนตรีของแต่ละชั้นปีจะมีความยากและความกดดันที่ต่างกันไปตามประสบการณ์

ม้านั่งใต้ตัวตึกถูกจับจองโดยคนหลายกลุ่มที่กำลังระดมความคิดที่จะทำให้โชว์ในชั้นปีของตนเองออกมาดีที่สุด มีการฝึกซ้อมร่วมกันนานนับเดือนก่อนจะถึงวันสำคัญนี้ และสุดท้ายจึงมีการคุยกันถึงรูปแบบการนำเสนอเพื่อให้น่าประทับใจ..

กลุ่มเด็กปีหนึ่งที่นั่งกระจายตัวกันอยู่ประปรายใต้ตัวตึกมีทั้งทำงานส่วนรวมและทำงานส่วนตัว ไม่ต่างจากเด็กปีสองมากนัก แต่ไอ้ที่ต่างจากพวกเห็นจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เตรียมตัวจะขึ้นเป็นพี่ใหญ่ในปีการศึกษาหน้าที่ต่างพกความเก๋ามาโชว์กันเต็มที่ เสียงเพลงที่ประกอบกันขึ้นจากเครื่องดนตรีที่มีทั้งพื้นเมืองและสากล ทั้งยังรวมมิตรเครื่องสายเครื่องเป่าขาดเพียงเสียงกลองแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะมันยังสามารถใช้ขวดน้ำเคาะจังหวะแทนได้ซึ่งแม้จะฟังดูแล้วน่าขันแต่ก็ยังเข้ากันดี
 
เสียงเพลงจังหวะเอาแต่ใจคนเล่นที่ดังมาจากใต้ตึกในวันที่ไม่มีการเรียนการสอนไม่ทำให้คนที่มาสายกว่านัดแปลกใจมากนัก นริศในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนสีอ่อนพร้อมร้องเท้าผ้าใบคู่เก่งเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนที่กำลังตั้งวงเล่นดนตรีอย่างเมามันโดยไม่ทีท่าว่าจะเกรงใจรุ่นน้องที่กำลังนั่งหน้าเครียดกับโปรเจ็ควันบายเนียร์กันอยู่

ดวงตาคู่คมกวาดมองกลุ่มเพื่อนปีสามแต่ไม่พบคนที่กำลังตามหา ร่างสูงก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าจางจุนโฮเพื่อนร่วมชั้นเรียนก่อนเอ่ยปากถามหาคนที่ต้องการพบ

“บอส ๆ มึงเห็นไอ้กอล์ฟมั้ย” เจ้าของชื่อบอสที่กำลังใช้ไม้กลองเคาะขวดอย่างเมามันพยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังด้านหลังตึกเล็กที่แบ่งย่อยเป็นห้องซ้อมดนตรีสำหรับนักศึกษา

“ซอกตึก..มันไปสูบบุหรี่มั้งกูเห็นมันชวนไอ้แดนไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ มึงลองตามไปดูสิ” นริศพยักหน้าว่ารับรู้แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปยังทิศทางที่เพื่อนบอก ร่างสูงก้าวเท้าไปตามทางเดินข้างตัวตึกจุดหมายคือลานเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างด้านหลังของตึกใหญ่กับตึกปฏิบัติการทางดนตรี เมื่อพ้นทางโค้งมุมตึกก็พบว่าสองพี่น้องสายรหัสเดียวกันกำลังนั่งพ่นควันสีขาวอยู่ตรงม้าหินอ่อนสีทึมที่อยู่กลางลาน เห็นดังนั้นนิคจึงตบเท้าเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที แดนค้อมหัวให้รุ่นพี่ร่วมคณะเป็นการทักทายในขณะที่กอล์ฟเพียงแค่ยักคิ้วใส่เพื่อน

“หวัดดีครับพี่” นริศพยักหน้าสองสามทีแล้วหย่อนก้นลงบนม้านั่งตัวที่ว่างอยู่ ใบหน้าหล่อจัดมีรอยยับย่นจนเห็นได้ชัด

“มึงเอากายละเอียดไปทิ้งไว้ที่ไหนถึงได้มาแต่กายหยาบ” นริศมองหน้าคนถามแล้วจึงคว้าเอาซองบุหรี่ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะปาไปยังเจ้าของ

“มึงเอาเบอร์โทรศัพท์กูไปให้เจ้บัวตองอะไรนั่นทำไม”

“อ้าว ก็เจ้เขามาขอเบอร์มึงแล้ววันนั้นกูก็เห็นว่ามึงบอกว่าเจ้สวยดีก็นึกว่าสนใจ” เพื่อนตาคมลอยหน้าตอบอีกฝ่ายไปด้วยความยียวน

“ก็สวย แต่กูไม่ได้จะอะไรด้วย นี่ก็โทรมาอยู่นั่นโทรแล้วโทรอีก กูบอกไม่ว่างก็จะคุยให้ได้” เสียงหัวเราะในลำคอของคนฟังยิ่งตอกย้ำความหงุดหงิด นริศอยากโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายนั้นเต็ม ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าคืนก่อนโน้นที่ออกไปเที่ยวกันเขาไม่เมาแล้วดันไปบ้าชมเจ๊แกว่าสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ตามที่ไอ้เพื่อนแต่ละคนยุยงส่งเสริมเพื่อแลกกับเหล้าฟรีแค่ขวดเดียวก็คงจะไม่ต้องมารับกรรมที่ตัวเองก่อโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถามว่าคนชื่อบัวตองบัวลอยอะไรนั่นสวยมั้ยก็คงต้องบอกว่าสวย แต่เขาไม่ได้จะจีบโว้ย วันนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายัยเจ้คนนี้เป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัย เห็นแต่งตัวแต่งหน้าก็ยังคิดไปว่าเป็นป้าวัยทำงานมีอันจะกิน หล่อนเข้ามาขอชนแก้วเขาก็ชนไม่ได้คิดอะไร ผ่านไปสักพักหล่อนก็แสดงตัวว่าอยากร่วมโต๊ะโดยเอาเหล้ามาเสนอให้อยู่ดื่มต่อตอนที่พวกเขาเกือบจะแยกย้ายกันกลับ พอเห็นว่าจะได้กินของฟรีไอ้เพื่อนผู้หวังดีแต่ละคนก็กรอกหูให้เขาสรรเสริญความงามของเจ๊แกเป็นการขอบคุณ หลังจากนั้นเขาก็เมาไม่ได้สนใจว่าเป็นไงต่อ รู้แค่เพียงไอ้กอล์ฟพากลับไปทิ้งไว้หน้าคอนโดแล้วเรียกพี่กวินลงมารับ ตื่นมาก็ปวดหัวตุบ ๆ จำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อวานที่เจ๊แกโทรมาเพราะไอ้เพื่อนบางคนสะเหล่อให้เบอร์เขาไป นั่นล่ะถึงได้รู้ว่าพี่สาวคนสวยเป็นนักศึกษาร่วมสถาบัน แถมยังแอบมองเขามานานแล้ว
แล้วเป็นไงต่อ..พอได้เบอร์ไปเจ้แกก็โทรจิกเขาเช้ากลางวันเย็น ชวนกินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนัง แถมยังจะบุกมาหาถึงคอนโด..

“แหม มึงจะคิดอะไรมากล่ะ เจ้เขาเสนอมามึงก็แค่สนองไป อีกสองอาทิตย์เจ้แกก็เรียนจบแล้ว ขี้คร้านได้มึงแล้วเจ้จะสะบัดก้นใส่เพราะไม่เร้าใจพอ” เลว! จากที่แค่ซองบุหรี่คราวนี้ไฟแช็กก็ลอยตามไปอีกอัน นริศฮึดฮัดที่ถูกล้อเลียนด้วยข่าวลือที่ยัยนับดาวกุทิ้งไว้เมื่อคราวที่เลิกกับเขา ไอ้เสี่ยวของคณะพ่นลมหายใจทิ้งจนแทบจะหมดปอดด้วยความเซ็ง

“พี่ครับ งั้นเดี๋ยวผมขอกลับไปหาเพื่อนก่อนละกัน” กอล์ฟโบกมือให้น้องรหัสที่ขอตัวไปก่อนไม่ต่างจากนิค

“ฝากบอกน้องแพรวด้วยว่าเดี๋ยวเย็น ๆ พี่โทรหา เมื่อกี้มองหาแล้วไม่เจอ” แดนยิ้มรับก่อนจะเดินออกมาจากลานเล็ก ๆ นั่นปล่อยให้รุ่นพี่สองคนนั่งคุยกันต่อไป

“เมื่อก่อนกูก็ไม่เห็นว่ามึงจะบ่นตอนกูแจกเบอร์ให้ใครไป แล้วนี่เป็นอะไรกระแดะมานั่งคร่ำครวญ” นริศนั่งหน้าเครียดเคาะนิ้วกับโต๊ะ มองสบสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น กะแค่ผู้หญิงที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตคนเดียวน่ะมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนริศคงจะทำเหมือนที่กอล์ฟพูดมาแต่เวลานี้มันไม่ใช่ เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว..

ไม่สิ ไม่ใช่ทำไม่ได้อีกแล้ว แต่เขาไม่คิดจะใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว

“กูอยากอยู่แบบสงบ ๆ” คราวนี้คนที่ฟังอยู่จึงแค่นยิ้ม กอล์ฟบรรจงเก็บซองบุหรี่กับไฟแช็กไปวางบนโต๊ะเหมือนเดิม

“สงบของมึงเนี่ย อธิบายนิดนึงได้มั้ยครับว่า..กับใคร” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามแรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้นริศครางฮือ ร่างสูงสอดมือเข้าไปล้วงเอาโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้ด้วยความรำคาญพลางบ่นเพื่อนไปด้วย

“นั่นไง โทรมาอีกแล้วเนี่ย กูรำคาญมากเถอะ มึงไม่น่าให้เบอร์กูเลย อ่ะนี่ เดี๋ยวมึงคอยฟังนะว่าเจ้จะชวนกูไปทำอะไรอีก” กำลังจะเปิดลำโพงขยายเสียงของเจ๊บัวตองเพื่อให้เพื่อนที่นั่งด้วยกันฟังแต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อเห็นชื่อที่อยู่ปลายสายชัด ๆ นริศหยุดบ่นก่อนจะยกโทรศัพท์แนบหูแล้วกรอกเสียงลงไป ท่าทางเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันทำให้กอล์ฟรู้ว่าปลายสายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณเจ้ที่มันตั้งหน้าบ่นใส่ตั้งแต่มาถึง

“ครับพี่ ไปมาแล้วตอนนี้ผมอยู่ที่คณะ หืม...คืนนี้พี่จะนอนที่บ้าน ครับ โอเคครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” คุยอยู่ไม่กี่คำนริศก็วางสาย กอล์ฟหรี่ตามองประกายความมีชีวิตชีวาในแววตาของเพื่อนขณะที่เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วก็อดที่จะแซวออกไปไม่ได้

“ท่าทางมึงดูมีความสุขดีนะ ไหนบอกว่ารำคาญไง ไม่อยากเจอแล้วพรุ่งนี้มึงนัดเขาทำไม” เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความหมายทักขึ้นมา

“อย่ามาแกล้งโง่ กูรู้ว่ามึงรู้” นริศมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววลุ่มลึก

“คนนี้หรือเปล่าที่อยู่ด้วยแล้วสงบ..” ใบหน้าคมคลี่เป็นรอยยิ้มบางเมื่อคิดไปถึง‘คนนี้’ นริศไม่รู้หรอกว่าเวลาที่อยู่กับคน ๆ นี้เรียกว่าสงบได้ไหม เขารู้แต่เพียงมันเป็นความสุขเวลาที่ตื่นมาแล้วได้มองเห็นคนที่บอกราตรีสวัสดิ์กับเราก่อนนอนเป็นคนแรก

สองอาทิตย์กว่าแล้วที่เขาทำมึนเก็บข้าวเก็บของมาอยู่ที่ห้องกวิน แล้วนริศก็คิดว่ามันเป็นสองอาทิตย์ที่ชีวิตเขามีอะไรให้ทำมากกว่าแค่การตื่นไปเรียน ซ้อมดนตรี หรือรอไปเที่ยวกับเพื่อน เมื่อก่อนเขาเห็นว่าการอยู่กับกวินคือความสะดวกสบายในชีวิต หิวก็ไปหา ทำการบ้านไม่ได้ก็ไปหา อยากได้อะไรก็ไปหา แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันเขากลับรู้สึกว่าจากที่เป็นแค่ฝ่ายรับเขายังได้มีโอกาสเป็นผู้ให้ ความสุขที่เกิดจากการได้‘แบ่งปัน’มันทำให้เขาคิดว่าตัวเองมีค่ามากกว่าที่ผ่านมา..

“ก็คนนี้แหละ..” นริศไม่เห็นถึงประโยชน์ที่จะปิดบังว่าเขารู้สึกแบบไหนกับ‘คนนี้’เพราะแม้กระทั่งกวินเองก็ไม่เคยคิดทำ คนตัวเล็กทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องปกติ ไม่ปิดบังถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ป่าวประกาศ และนริศเองก็คิดว่า..นั่นเป็นวิธีที่ดี

“นี่มึงคบกับพี่กวินแล้ว..” ท้ายประโยคกอล์ฟยังมีแก่ใจตวัดเสียงเป็นคำถามมากกว่าที่จะพูดเอาเองตามที่เข้าใจ

“คบ..อะไร”

“ก็แบบว่าตกลงป็นแฟนกัน” คนถูกถามเหยียดรอยยิ้มออกพลางส่ายหน้าปฏิเสธการคาดเดาของกอล์ฟ ทำเอาเพื่อนสนิทที่ถูกดับฝันตบเข่าดังฉาด

“แล้วนี่ทำอะไร จีบกันอยู่? โหยยย ไอ้คุณนริศครับรู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทำอะไรคิดถึงหน้าพ่อกับแม่มึงบ้างมั้ย เก็บเสื้อผ้าหนีตามไปอยู่กับเขายังบอกไม่ได้คบกัน ไร้น้ำยาสุด ๆ” คนถูกกล่าวหาว่าไร้น้ำยายังคงยิ้ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงได้ท้าตีท้าต่อยที่บังอาจมาดูถูกท่านนริศคนนี้ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ใครอยากพูดอะไรก็พูดไปเพราะเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้รู้จัก‘กวิน’อย่างที่เขารู้จัก

เป็น‘แฟน’งั้นเหรอ จะเป็นไปทำไมล่ะ ในเมื่อกับกวินแล้วนริศเป็นได้มากกว่านั้น

“วันไหนพี่กวินพาพ่อกับแม่มาสู่ขอกู มึงจะได้รู้เป็นแรกเลยไอ้กอล์ฟ” ว่าจบก็ยักไหล่ไม่แคร์ให้อีกฝ่ายหมั่นไส้เล่น กอล์ฟมองหน้าเพื่อนแล้วเกิดอารมณ์อยากเอาปลายเท้าไปสะกิดก้านคอมันดูสักที

“แล้วยัยเจ๊บัวตองนี่ล่ะ มึงไม่กลัวพี่กวินเข้าใจผิดเหรอ เอ๊ะ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรนี่เนาะ พี่เขาก็ดูไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่ามึงจะไปไหนกับใครยังไง แล้วที่พูดมาเมื่อกี้นี่อย่างกับว่าพี่กวินเขาจะเอามึงงั้นน่ะ กูเห็นพี่เขาก็ทำแบบนี้กับมึงมาตั้งแต่ที่เข้าเรียนมา ที่เอ็นดูมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็เพราะเล่นดนตรีวงเดียวกัน อยู่คอนโดเดียวกัน ดูผ่าน ๆ กูว่าพี่เขาออกจะเอ็นดูนิวมากกว่าซะอีก”

“มึงอย่ามาชักใบให้เรือเสีย โทษเก่ายังไม่ได้ลบล้างจะสร้างโทษใหม่อีกแล้วหรือไง ตกลงว่าเจ๊บัวตองนี่เอาไงช่วยกูคิดหน่อยเถอะ” เกิดมาไม่ใช่ว่าจะไม่เคยถูกตื้อ แต่ไอ้เรื่องปฏิเสธลูกตื้อนี่ล่ะที่คนอย่างนริศไม่เคยทำ

“ก็แล้วทำไมมึงไม่บอกเจ้แกไปล่ะว่ามีแฟนแล้ว” เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อปากต่อคำ กอล์ฟจึงหันมาให้คำปรึกษากับชีวิตป๊อปปูล่าร์ของนริศแทน

“เลวละไอ้กอล์ฟ เจ้เขาบอกว่าตอนที่ถามเบอร์กูมึงบอกเจ้ไปว่ากูยังว่าง” คนถูกด่าทำตาโตเลียนแบบไข่ห่านพลางยกมือทาบอกด้วยความตกใจ

“อ้าววว กูพูดแบบนั้นเหรอ..” ดูก็รู้ว่าเสแสร้งสุด ๆ

“งั้นก็บอกไปว่าผมไม่ได้ชอบพี่ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว อะไรประมาณนี้” คราวนี้คนฟังพรูลมหายใจเฮือกใหญ่

“กูบอกไปหมดแล้ว แล้วมึงรู้มั้ยเจ้แกว่าไง พี่แค่อยากคุยกับนิค” ท้ายประโยคยังเลียนเสียงสาวรุ่นพี่ให้ดูสมจริงอีกนิด ได้ยินดังนั้นกอล์ฟจึงกระแทกแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้ แบบนี้คงรอดยาก!

“งั้นก็คุย ๆ กับเจ้ไปเถอะ เดี๋ยวมึงทำท่ารำคาญหนักเข้าคงถอยไปเอง” นริศฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางครางฮึมฮัม ขัดอกขัดใจไปทุกสิ่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดูท่าแล้วก็คงต้องยอมรับสภาพให้ยัยบัวตองตื้อเช้าตื้อเย็น ถ้าแค่โทรศัพท์มาคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าพาตัวเองมาหาถึงคณะเขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มโง่ ๆ โชว์ให้เจ้แกดู

“แล้วตกลงว่าเราจะซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนซ้อมรวมกับน้องวันไหนวะ” หลังจากปิดประเด็นส่วนตัวได้จึงเริ่มถามถึงประเด็นส่วนรวมบ้าง เนื่องจากวันนี้ตอนช่วงเช้านิคต้องไปส่งครอบครัวที่สนามบินจึงมาร่วมประชุมไม่ทัน เมื่อตามมาถึงก็พบว่าทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องเริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว

“วันพุธบ่ายสาม”

“แล้วซ้อมใหญ่ล่ะ”

“วันศุกร์บ่ายโมง เฉพาะเรากับรุ่นน้องนะ ไม่รวมปีสี่” นริศพยักหน้า รับเอาข้อมูลเข้าสู่สมองแล้วจึงชวนเพื่อนกลับเข้าไปหาคนอื่น ๆ ที่นั่งเล่นดนตรีกันอยู่ใต้ตึกใหญ่

เพื่อนของพวกเขายังคงนั่งเล่นดนตรีกันอยู่โดยมีรุ่นน้องให้เห็นเพียงประปรายเพราะบางคนก็กลับไปแล้วตั้งแต่ประชุมเสร็จ สองร่างก้าวเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ เรียกความสนใจจากรุ่นน้องที่เหลือได้เป็นอย่างดี ก็หน้าตาหล่อระดับรุ่นพี่กอล์ฟกับรุ่นพี่นิคออกจะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วมหาวิทยาลัยต่อให้ได้เห็นบ่อยแค่ไหนถึงยังไงก็ยังสร้างความปลาบปลื้มได้ทุกครั้งที่เจอ

“เออ มานี่ก็ดีละนิค” ทันทีที่เห็นว่าคุณเสี่ยวสุดสุดเสี่ยวเดินเข้ามานั่งร่วมกลุ่ม นายกสโมรุ่นเดียวกันก็รีบเรียกไว้ทันที

“มีอะไรให้กระผมรับใช้มิทราบครับท่านนายก” นริศเอียงคอมองนายกสโมสรนักศึกษาคณะดุริยางคศิลป์คนใหม่ในปีการศึกษาหน้าเพื่อดูว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรกับตนเอง

“วันจันทร์มึงยืมเลคเชอร์วิชาบันทึกเสียงในสตูของพี่กวินมาแบ่งพวกกูอ่านด้วยนะ เห็นพี่รหัสกูบอกว่าตอนที่เรียนวิชานี้มีแต่พี่กวินคนเดียวที่ได้เอ” คนถูกสั่งพยักหน้าหงึกหงัก

“ได้ ๆ เออ! มึงปริ้นท์ตารางสอบมายัง วิชาที่อาจารย์นัดสอบนอกเวลาอ่ะ” ท่านนายกสโมฯ ยกมือบอกว่า ‘โอเค..กูปริ้นท์แล้ว’ ก่อนจะค้นกระเป๋าหยิบเอาตารางสอบออกมาแล้วแจกจ่ายแก่ผองเพื่อนผู้รักเรียนโดยทั่วกัน แต่ละคนเห็นตารางสอบแล้วจึงเริ่มโอดโอยว่าอ่านหนังสือไม่ทันบ้างล่ะ เวลาน้อยไปบ้างล่ะ สอบเสร็จช้าบ้างล่ะแล้วแต่ว่าจะหามาบ่นกันได้

“เฮ้ยเสี่ยว กูขอเลคเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตกของพี่กวินอีกเล่มเถอะ กูจดไม่ทันตลอดอ่ะ ’จารย์เรืองเดชสอนเร็วโคตร”

“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวกูยืมมาให้” ตะโกนตอบเพื่อนอีกคนที่รีเควสมาจากอีกฟากของโต๊ะแล้วนิคก็ก้มลงไปอ่านตารางสอบอีกรอบ ดูท่าว่าหลังจากนี้ไปคงต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคแบบจริงจังแล้ว นั่งคุยกันไปมาอีกพักใหญ่เพื่อนแต่ละคนก็เริ่มเตรียมจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ถุงขนม แก้วน้ำ ขวดเปล่าที่ซื้อมากินกันระหว่างที่ทำงานถูกเก็บรวมกันเพื่อจะเอาไปทิ้งขยะ และทันทีที่เห็นเพื่อนกำลังจะโยนขวดที่ใช้เคาะให้จังหวะลงถังนริศก็รีบเรียกไว้

“ไอ้ตี๋ ขวดเปล่ามึงใส่ถุงให้กู กูจะเอา” คนโดนเรียกว่าตี๋ ทั้งที่ไม่ใช่ชื่อตัวเองชะงักก่อนจะเอาขวดในมือยัดลงถุงที่ไม่ใช้แล้วตามคำขอของนิค แถมยังใจดีเดินเก็บขวดน้ำเปล่าที่เพื่อนทั้งหลายวางทิ้งไว้บนโต๊ะให้อีกด้วย ถ้าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันก็พอจะรู้ว่านิคมันชอบเก็บขวดเปล่าไว้ไปบริจาคให้เด็ก แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยถามสักทีว่าเด็กแถวไหน

“แต๊งค์กิ้วนะเพื่อนตี๋ ขอให้มึงหล่อวันหล่อคืน หล่อทั้งชาตินี้และชาติหน้า หล่อจากภายในสู่ภายนอก” มือหนารับเอาถุงใส่ขวดน้ำเปล่ามาจากเพื่อนมือกลอง แล้วจึงออกปากสรรเสริญไปอีกเล็กน้อย

“แหม ถ้าหล่อได้สักครึ่งของมึงกูก็พอใจแล้วครับ” เพื่อนหน้าตี๋ตอบกลับพร้อมกับโบกมือลามิสเตอร์เสี่ยวเพื่อเดินไปขึ้นไปรถที่ท่านนายกสโมฯ ขับมาจอดรออยู่แล้ว เห็นเพื่อนแยกย้ายกันกลับเกือบหมดนริศก็หันมาหาเพื่อนสนิทตาคม

“มึงมาไง กูไปส่งมั้ย” ถามเพราะตอนที่เข้ามานิคไม่เห็นรถของกอล์ฟแต่ฝ่ายนั้นกลับล้วงมือชูกุญแจรถให้ดูเป็นคำตอบ เมื่อตอนที่มาถึงแสงแดดกำลังสาดใส่ลานจอดรถของคณะเต็มที่ คนที่รักรถยิ่งกว่าอะไรจึงเลือกที่จะขับไปจอดใต้ตึกคณะวิทย์ที่อยู่ใกล้กันแล้วเดินมาที่นี่แทน

“โอเค งั้นกูไปก่อนนะ พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระด่วน” ว่าจบก็ตบเท้าก้าวไปตามทางเดินเล็ก ๆ ข้างตึกเพื่อจะลัดเลาะไปยังลานจอดรถของคณะ

“ธุระด่วนอะไร คืนนี้พี่กวินไม่อยู่ มึงจะแอบไปหาเจ๊บัวตองหรือไง” ได้ยินคำถามจากสุดหล่อเบอร์หนึ่งของคณะคนที่มีธุระด่วนก็หันกลับมาสะบัดนิ้วกลางใส่แล้วก็หันกลับไปโดยไม่ต่อความอีก คนโดนประเคนนิ้วกลางให้หัวเราะร่วนเมื่อเห็นปฏิกิริยาของไอ้เสี่ยวแล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปอีกทางหนึ่ง ดูท่าว่าธุระนั่นจะสำคัญจริงมันถึงได้ละทิ้งโอกาสที่จะด่าเขากลับมา


#เด็กเสี่ยกวิน

มาเร็วหนึ่งวัน เสาร์อาทิตย์นี้ออกเดินทางค่ะ ;)
เจอกันพุธหน้าตามเดิม อิ




ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
บรรยากาศกะลังมุังมื้ง..หวังว่าเจ๊บัวตองคงไม่ทำให้กร่อย..ยยยยยย อ่ะนะ  o9

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Since the love song
จนกว่าจะถึงเพลงรัก
11


รั้วสีขาวตระหง่านเป็นแนวยาวที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาคนมองใจแกว่งไปไม่น้อย นริศละสายตาจากแนวรั้วก่อนจะเคลื่อนรถไปหยุดสนิทตรงประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาล ร่างสูงลงจากรถไปกดกริ่งที่ติดอยู่บนเสาข้างประตูแล้วรอคนมาเปิด ผ่านไปชั่วอึดใจเดียวหญิงสูงวัยร่างท้วมก็โผล่หน้ามาทักทาย

“มาพบใครคะ...อ้าว คุณนิค เข้ามาก่อนค่ะ เดี๋ยวป้าเปิดประตูใหญ่ให้” เมื่อเห็นว่าคนที่มากดกริ่งเรียกเป็นเพื่อนกับคุณหนูคนโต คุณแม่บ้านจึงกระวีกระวาดเปิดประตูรั้วบานใหญ่ให้ชายหนุ่มขับรถเข้าไปจอดในบริเวณบ้าน นริศลงจากรถแล้วจึงค้อมตัวขอบคุณคุณป้าใจดีก่อนจะถามหาคนที่ต้องการพบ

“พี่กวินอยู่ใช่มั้ยครับป้า”

“อยู่ค่ะ คุณกวินอยู่หลังบ้านค่ะคุณนิค แล้วนี่ถุงอะไรเยอะแยะคะ” คุณป้าแม่บ้านมองสิ่งที่อยู่ในถุงใบใหญ่ที่นริศเปิดท้ายรถหยิบออกมาแล้วจึงถามด้วยความสงสัย

“ขวดน้ำใช้แล้วครับ พอดีจะมาหาพี่กวินผมก็เลยเอาขวดน้ำที่เก็บ ๆ ไว้มาฝากหนูแดงด้วย” เมื่อรู้ว่าเพื่อนคุณหนูมีน้ำใจเก็บขวดน้ำมาฝากหลานชายตนเองคุณป้าจึงเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มไว้ด้วยความตื้นตัน

“โถ พ่อคุณ ป้าขอบคุณแทนหนูแดงมันด้วยนะคะ เห็นแบบนี้คงดีใจ นี่ก็เล่นอยู่กับคุณกวินที่สระน้ำนั่นแหละค่ะ เห็นว่ากำลังสอนการบ้านกันอยู่” นริศยิ้มรับคำขอบคุณนั้นด้วยความยินดี ชายหนุ่มชูถุงในมือขึ้นมาก่อนเอ่ยปากขอตัวเพื่อไปทำธุระกับเจ้าเด็กน้อย

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาถุงนี่ไปให้หนูแดงก่อนนะครับ”

“ค่ะ นั่งเล่นไปก่อนนะคะคุณนิค เดี๋ยวป้าจะเตรียมขนมไปให้” ว่าจบก็ก้าวเร็ว ๆ เข้าไปในตัวบ้านปล่อยให้คนใจดีเดินลัดเลาะไปตามแผ่นอิฐสีเหลืองอ่อนที่ปูเป็นทางเดินขนานไปกับรั้วบ้านเพื่อไปยังสระว่ายน้ำ

เสียงคนคุยกันที่ดังมาให้ได้ยินทำให้นิคหยุดอยู่ตรงทางเดินที่จะขึ้นไปยังตัวสระ รั้วไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มที่ปล่อยให้ต้นจันทร์กระจ่างฟ้าเลื้อยเกาะสำหรับกั้นสายตาของคนที่ผ่านมาในชั้นแรกช่วยเสริมให้บรรยากาศดูร่มรื่น มองผ่านรั้วไม้เข้าไปนริศก็พบว่าคุณหนูคนโตของบ้านกำลังนั่งเอาขาตีน้ำเล่นในขณะที่หนูแดงนอนคว่ำอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่ข้าง ๆ ร่างสูงสืบเท้าเข้าไปด้วยความเงียบจนกระทั่งผ่านขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นบนสุดแล้วคุณเจ้าของบ้านก็เห็นว่ามีแขกมาเยือน

“อ้าว มาได้ไง” กวินถามคนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสระน้ำพลางมองถุงขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือผู้มาเยือน

“ขับรถมาครับ พอดีผมมีธุระกับ..หนูแดง” คนถูกเอาชื่อไปอ้างหูผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองจากพี่ชายตัวสูง เด็กน้อยกระโดดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งอ้อมสระน้ำมาหาอีกฝ่ายก่อนยกมือไหว้สวัสดี ต่างจากอีกคนที่ยังนั่งลอยชายไม่ยอมลุกมาต้อนรับแขก

“สวัสดีครับพี่นิค” มือใหญ่เอื้อมไปขยี้ผมเด็กน้อยก่อนจะยื่นถุงใบโตที่หิ้วมาด้วยไปให้

“พี่เอาขวดน้ำเปล่ามาให้น่ะ คราวนี้ได้เยอะเลยนะ” เด็กน้อยทำตาโตขณะที่รับถุงไปเปิดดู แบบนี้รายได้ในอาทิตย์หน้าของเขาต้องมหาศาลแน่ ๆ หนูแดงเอื้อมมือข้างที่ว่างมาจับมือหนาไว้แล้วจูงพี่ชายใจดีให้เดินตามไปตรงที่พี่ชายอีกคนนั่งอยู่ ใบหน้าคมมีแววขัดเขินไม่ต่างจากคนที่ยังนั่งตีขากับน้ำในสระ

“ใจดีจังนะ” กวินทักคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้าง ๆ มือเล็กวักน้ำในสระเล่นพร้อมกับมองเจ้าเด็กน้อยที่กำลังวิ่งปรู้ดเพื่อเอาขวดน้ำทั้งหลายที่เพิ่งได้มาไปเก็บให้เรียบร้อยเตรียมขาย

“ไหนบอกว่าไปทำงานกับเพื่อนที่คณะ” นริศเอียงคอด๊อกแด็กไปมาพลางลอบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย

“ก็ทำงานเสร็จแล้วแล้วพอดีเห็นขวดน้ำมันวางเกลื่อนอยู่เต็มใต้ตึกก็เลยเก็บมาฝากหนูแดง” กวินพยักหน้าไปเรื่อย ๆ ขณะที่ฟังอีกฝ่ายพูด

“ความจริงนายไม่ต้องลำบากมาถึงนี่ก็ได้ เก็บใส่ท้ายรถไว้ก่อนแล้วค่อยฝากฉันมาทีหลังก็ยังทัน” คนตัวสูงท้าวแขนไปด้านหลังทั้งสองข้าง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงเรื่อย ๆ

“ผมไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา อีกอย่าง...คิดถึงหนูแดงด้วยก็เลยมาหา” คนตัวเล็กหัวเราะในลำคอ มือบางวักเอาน้ำขึ้นมาแล้วสาดไปหาคนที่นั่งด้านข้าง

“เฮ้ย ผมจะเปียก”

“กินข้าวมาหรือยัง” กวินไม่ได้สนใจที่อีกฝ่ายโวยวายแต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปเป็นอย่างอื่น

“ยังไม่ได้กินครับ ออกมาจากม.ก็ตรงมาที่นี่เลย วันนี้ผมอยู่คนเดียวไม่รู้จะกินอะไร ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่...ที่คอนโดก็เหมือนกัน” กว่ากวินจะรู้ตัวว่าพลาดส่งคำถามเปิดทางให้น้องเสี่ยวก็ตอนที่ฝ่ายนั้นอ้อนกลับมาแบบเรียบ ๆ คนตัวเล็กฟังแล้วก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม

“แล้วหิวหรือยัง”

“ถ้าหิวแล้วจะให้กินข้าวด้วยมั้ยล่ะ” เกินจะทนไหวกวินก็จัดการวักน้ำสาดคนขี้อ้อนไปอีกที ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

“อยู่ตรงนี้รอก่อนละกัน เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้รองท้อง อีกนานกว่าถึงเวลาอาหารเย็น” ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปไหนก็ถูกมือใหญ่รั้งไว้ นิคกระตุกข้อมือเล็กจนกวินเสียหลักล้มลงมานั่งข้างกัน พอสบโอกาสก็วางแขนพาดเอวเล็กไว้อีกชั้น

“ไม่ต้องไปหรอกนั่งด้วยกันนี่แหละ ผมยังไม่หิว” กวินจิ๊ปากใส่ความเนียนของคนข้าง ๆ

“แล้ววันนี้จะกินข้าวที่นี่มั้ย” คนถูกถามพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มดีใจเบ่งบานเต็มแก้มจนคนมองชักหมั่นไส้ กำลังจะลองประทุษร้ายคนที่เนียนกอดไม่ยอมปล่อยก็มีอันต้องหยุดความคิดเสียก่อนเพราะเสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัว มือหนาควานเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วมองชื่อคนที่โทรมา คิ้วเข้มขมวดทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร..

นริศคิดว่าบางทีช่วงนี้ยัยเจ๊บัวตองควรจะตรวจดวงชะตาตัวเองดูบ้าง โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา นอกจากดวงความรักจะไม่รุ่งแล้วชะตาชีวิตอาจจะถึงฆาตด้วย! มือหนากดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวเพื่อจะหันไปคุยกับกวินต่อเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจนต้องพรูลมหายใจระบายความหงุดหงิด

“ทำไมไม่รับล่ะเขาอาจจะมีธุระสำคัญ” กวินออกจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นนริศกดตัดสายโทรศัพท์ถึงสองครั้งติดต่อกัน ปกตินริศไม่ค่อยจะละเลยเรื่องพวกนี้แต่วันนี้กลับดูไม่สบอารมณ์จนน่ากลัว

“ไม่สำคัญหรอกครับ พวกว่างงานน่ะ”

“คนใหม่หรือไง” นิคมองคนถามแล้วจึงถอนใจน้อย ๆ คำพูดของกอล์ฟเมื่อกลางวันดังขึ้นในหัวเมื่อเห็นแววตาเรียบเฉยของกวินในยามที่ถามถึงคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา ‘พี่เขาก็ดูไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่ามึงจะไปไหนกับใครยังไง’ นั่นสินะ ถ้ากวินจะแสดงท่าทางเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องพวกนี้สักนิดเขาอาจจะแน่ใจในความรู้สึกอีกฝ่ายได้มากกว่านี้..

“เปล่าหรอก เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง”

“เรื่องที่ไปป้อสาวแล้วได้เหล้าฟรีมาน่ะเหรอ” นริศทำหน้าประหลาดใจจนคนมองเผลอหลุดหัวเราะอีกรอบ

“พี่รู้ได้ไง”

“ก็คืนนั้นที่กอล์ฟมาส่งนาย เห็นเมาขนาดนั้นฉันก็เลยถามว่านายไปทำอะไรมา”

“แล้วมันก็เล่าให้พี่ฟัง?” กวินพยักหน้า

“หมดเลย?”

“หมดเลย.. ” พอเห็นอีกฝ่ายเบ้หน้ากวินจึงเล่าต่อ

“ก็พอถามว่าไปไงมาไงกอล์ฟก็บอกว่าผู้หญิงคนนั้นชวนนายไปต่อกันสองคน แต่นายไม่ยอมไปงอแงจะกลับท่าเดียว จากที่คิดว่าจะพานายไปนอนที่บ้านก่อนเพราะมันดึกแล้วเลยต้องลากเอามาส่งที่คอนโด” จากที่กำลังหงุดหงิดพอได้ฟังที่อีกฝ่ายเล่านริศก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ

“แล้วพี่ก็ลงไปรับผมขึ้นมานอน?”

“เออดิ๊ มันจะมีใครล่ะ คราวหน้าให้ใครมอมเหล้าก็บอกให้เขารับผิดชอบด้วย เอะอะก็ลากมาทิ้งไว้ให้ดีนะที่ฉันยังไม่หลับ ไม่งั้นนายคงจะได้นอนตากยุงอยู่แถว ๆ หน้าลิฟต์นั่นแหละ” พอเล่าจบคนเป็นพี่ก็รู้สึกถึงแรงกดลงตรงบ่าเล็ก ไอ้เด็กเสี่ยวมันกำลังไถศีรษะไปมากับไหล่ของกวิน ช่วงนี้รู้สึกว่ามันจะอ้อนเก่งเกินไปแล้ว

“แต่พี่ก็ดูแลผมดีนี่นา อ่า...ฟังดูแล้วเหมือนเราเป็นแฟนกันเลยเนอะ”

“แฟนเองเหรอ ทั้งเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าไหนจะพาไปนอน ฉันนึกว่าอยู่ดี ๆ ก็มีลูกเพิ่มมาหนึ่งคน”

“โหยยยย แฟนก็พอ” เป็นพ่อแล้วทำอะไรกันไม่ได้.. นิคอยากจะบอกแบบนี้แต่ก็นั่นแหละเกิดอีกฝ่ายเขินขึ้นมาแล้วเผลอต่อยเขาปากแตกก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียกค่าเสียหายได้จากไหน

R R R R R R R R

กำลังมีความสุขที่ได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าของบ้านเสียงโทรศัพท์เจ้าปัญหาก็ดังมาให้ได้ยินอีกรอบใบหน้าหล่อที่กำลังฉายแววระรื่นกลับมุ่ยลงทันที

“เจ้บัวตอง” กวินอ่านชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ที่นริศยื่นมาให้ดู จากนั้นเจ้าตัวก็กดให้เสียงเรียกเข้าเงียบลงปล่อยให้ปลายสายรอไปเรื่อย ๆ โดยไม่เดือดร้อน

“ชื่อคุ้น ๆ แฮะ”

“คุ้นสิ เห็นว่าเรียนนิเทศปีสี่รุ่นเดียวกับพี่น่าจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างแหละ ข่าวว่าเป็นดาวด้วย” ได้ยินแบบนั้นกวินก็อ้าปากร้องโอ้แบบไม่ออกเสียง

“งั้นก็สวยน่ะสิ นายไม่เสียดายหรือไงโปรไฟล์ดีขนาดนี้ทุกทีไม่เคยเห็นปล่อยให้หลุดมือ” ท้ายประโยคยังวกกลับมาพาดพิงคนที่นั่งด้วยกันได้อีก แต่นริศกลับยิ้มเยาะให้กับคำว่าเสียดายแทบจะทันที “เสียดายทำไม”

“อ้าว ก็เมื่อก่อนเห็นออกจะชอบเก็บเข้าคอลเล็คชั่นนี่นา พวกดาว ๆ เดือน ๆ อะไรเนี่ย” นริศหรี่ตามองคนพูดก่อนออกแรงรัดเอวเล็กพาให้คนข้าง ๆ ขยับเข้ามาเบียดในวงแขนอีกนิด ชายหนุ่มเกลี่ยปลายนิ้วปัดปอยผมสั้น ๆ ที่ตกลงมาระแก้มเนียนกลับขึ้นไปทัดหูให้เรียบร้อยแล้วจึงเลื่อนใบหน้าหล่อจัดเข้าคลอเคลียฝากเสียงกระซิบเพื่อบอกความจริงบางอย่างที่เขาคิดว่ากวินควรจะรับรู้ไว้..

“นั่นมันเมื่อก่อนครับ แต่ตอนนี้..ผมเปลี่ยนไปแล้ว”
 
แสงไฟสีนวลถูกเปิดให้สว่างขึ้นโดยเซนเซอร์รับความมืดอัตโนมัติ บรรยากาศโดยรอบสลัวลงจนเห็นเพียงลาง ๆแต่กระนั้นสองคนที่นั่งอยู่ตรงสระว่ายน้ำก็ยังไม่ได้ย้ายตัวเองเข้าไปในบ้าน กวินยังคงนั่งเงียบปล่อยให้เจ้าของวงแขนแข็งแรงกอดอยู่อย่างนั้น และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไว้ซึ่งความเงียบนริศจึงนั่งเงียบไปอีกคน แต่ความเงียบของกวินในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดอีกแล้ว เขาเรียนรู้แล้วว่าการที่กวินไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่พอใจ หากแต่เจ้าตัวกำลังใช้ความเงียบเพื่อบอกอะไรบางอย่าง...

ความรู้สึกของคนเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกับคนที่เราให้ความสำคัญสิ่งนั้นก็จะยิ่งเปราะบาง ที่ผ่านมาเขาอาจจะละเลยไม่สนใจ แต่จากนี้ไปเขาสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะดูแลอย่างดี..

R R R R R R R R R R R

เสียงโทรศัพท์ดังฝ่าความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้กวินถึงกับหลุดหัวเราะ คนตัวเล็กนั่งคอยดูว่าเจ้าของโทรศัพท์จะจัดการกับคุณดาวนิเทศยังไง แต่จนแล้วจนรอดนริศก็ยังคงเมินเฉยกับเสียงโทรศัพท์เจ้าปัญหา ชายหนุ่มกดเงียบเสียงแล้วเปลี่ยนเข้าสู่ไฟลท์โหมดจากนั้นจึงขยับตัวเองมานั่งซ้อนข้างหลังกวินทั้งตัว ร่างสูงวางปลายคางลงบนไหล่เล็ก สอดแขนกอดเอวอีกฝ่ายไว้อย่างที่ชอบทำบ่อย ๆ

“ผมชอบกอดพี่แบบนี้ พี่รู้ใช่มั้ยครับ” กวินทำเพียงแค่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ผมกอดเพราะผมอยากกอด เพราะเวลาที่กอดพี่ไว้แบบนี้ผมรู้สึกดี ดีมาก ๆ ด้วย แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเวลาที่ผมกอดพี่รู้สึกยังไง ผมไม่เคยคิดว่าทำไมพี่ถึงยอมให้ผมกอด เพราะผมคิดเอาเองว่าถ้าพี่รำคาญก็คงแกะมือผมออกแต่จนแล้วจนรอดพี่ก็ไม่เคยรำคาญ ไม่เคยเลยซักครั้งที่พี่จะเป็นฝ่ายดึงมือผมออกก่อน ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้ และถ้าพี่ไม่บอกผมก็คงจะไม่สังเกต แต่วันนี้ผมเห็นแล้วว่าพี่ทำอะไรเพื่อผมบ้าง..” คราวนี้จากที่นั่งซ้อนหลังนิคค่อย ๆ จับคนในอ้อมกอดให้หันมาเผชิญหน้า ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในลูกแก้วสีนิลและสิ่งที่นิคเห็นก็ยังเป็นคน ๆ เดิมที่เขาเห็นมาตลอด..

สองตาของกวิน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีเพียงแค่คน ๆ เดียว..นริศมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น

นริศเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ตัวเองในดวงตาของกวิน แขนแกร่งยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีโดยการออกแรงรัดร่างเล็กเข้าหาปิดทางไม่ให้กวินถดกายหนีไปไหนได้ก่อนจะวางฝ่ามือลงบนแก้มเนียนแล้วไล้นิ้วโป้งไปตามริมฝีปากบางด้วยความทะนุถนอม นริศบรรจงแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากมนส่งผลให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรง

“นิค..” กวินวางมือทาบลงไปบนแผ่นอกของคนที่กำลังกระทำการอุกอาจ เสียงเรียกชื่อที่เหมือนจะดังแล้วแต่สุดท้ายมันก็ยังเบาบางไม่ต่างจากสติที่ถูกลิดรอน สันจมูกโด่งลากไล้ลงมาตามเปลือกตาผ่านแก้มเนียนกระทั่งหยุดที่มุมปากหยักงอน

“ผมขอเข้าข้างตัวเองได้มั้ยครับ..” ถามชิดริมฝีปากบางแล้วก็นิ่งรอคำตอบอยู่อย่างนั้น นริศกดดันจนสุดท้ายคนที่เคยใช้ความนิ่งเงียบเพื่อเบี่ยงเบนสถานการณ์มาตลอดต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ทุกวิธีที่กวินเคยใช้แล้วได้ผล แต่วันนี้นริศกลับปัดมันทิ้งได้ทั้งหมด คนตัวโตกว่าย้ำแรงลงกับริมฝีปากบางให้กวินยอมเผยความในใจ..

“อืม..” คนตัวเล็กค่อย ๆ ถอนใบหน้าออกมาแต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ถูกรั้งเข้าไปซุกในอกกว้าง แขนแกร่งกอดรัดจนคนอายุมากกว่าแทบจมลงไปในอก จากนั้นจึงกดริมฝีปากลงบนกระหม่อมบางด้วยความเอ็นดู

“ผมจะยังไม่พูดคำนั้น จะไม่พูดจนกว่าผมจะพิสูจน์ให้พี่เห็น ผมอยากให้พี่เป็นฝ่ายได้รับอย่างที่ผมได้รับจากพี่”

“.............”

“ขอโทษที่เคยมองข้ามความรู้สึกของพี่” มือหนาเชยคางเล็กขึ้นมาให้สบตากัน

“พี่กวิน..พี่ผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยมองเห็นหรือใส่ใจแต่พี่ก็ยังดูแลผมอย่างดี..” กวินกัดปากจนเจ็บในตอนที่นริศถามว่าเขาผ่านวันคืนเหล่านั้นมาได้อย่างไร..

ทั้งที่ก่อนหน้านี้กวินอาจจะเคยทั้งน้อยใจและเศร้าใจแต่นั่นก็เกิดจากการตัดสินใจของเขาเอง เขาไม่เคยเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับรู้ เขาไม่เคยเสียน้ำตาเพราะสิ่งที่ทำลงไปเพื่อนริศ ไม่ว่าเจ้าตัวจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ในวันนี้คนที่กวินอยากให้รับรู้ทุกความรู้สึกกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าและถามเขาว่ารู้สึกอย่างไร ความเข้มแข็งทั้งหมดที่เคยมีดูเหมือนจะพังทลายลงในพริบตา วินาทีนี้กวินรู้เพียงว่าเขากำลังต้องการการปลอบใจ ร่างเล็กซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นให้มากขึ้นเพื่อปลดปล่อยความอ่อนแอที่เก็บกักไว้ให้นริศรับไปดูแล..
 
สิ่งที่ถามออกไปนริศไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเขารู้ว่ากวินจะไม่มีทางพูดออกมา แต่ที่ถามเพียงเพราะต้องการบอกกับตัวเองว่าคน ๆ นี้เข้มแข็งเพียงใด

“พี่อยากร้องไห้หรือเปล่า..” คนตัวเล็กส่ายหน้าทั้งที่น้ำตายังคลอหน่วง

“ฉันเต็มใจ..” เท่านั้นคนที่มองอยู่ก็แนบริมฝีปากลงไปบนกลีบปากบาง แตะซับความความนุ่มหยุ่นน่าสัมผัสอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อย ๆ บดเบียดด้วยความรู้สึกขอบคุณจนล้นใจ ปลายนิ้วแกร่งสอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มลื่นประคองศีรษะได้รูปให้เอียงไปตามองศาที่เหมาะสม ปัดปลายจมูกโด่งคมระเรื่อยไปตามแก้มเนียน นิคถอนริมฝีปากออกมาเพื่อมองกวินให้เต็มตา กระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นเข้า เสียงหัวใจของกวินเต้นเป็นจังหวะถี่รัวชัดเจนให้คนที่ได้ยินเต็มตื้นไปทั้งอก นริศยิ้มกว้างให้กับเจ้าของหัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่แบกรับทุกความรู้สึกเอาไว้ หัวใจดวงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..

หัวใจของคนที่นริศเลือกแล้วว่านับจากนี้เขาจะดูแลและรักให้ดีที่สุด..

หัวใจของกวิน


#เด็กเสี่ยกวิน

ใกล้โค้งสุดท้ายมากแล้วจริงๆค่า
เจอกันวันเสาร์

 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มันก้อออกจะหวานๆหน่อย #เด็กเสี่ยกวิน ช๊อบๆๆๆๆๆๆๆๆ   :m1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด