The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์  (อ่าน 39525 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2018 12:20:04 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
«ตอบ #1 เมื่อ14-06-2017 11:59:36 »

บทนำ 

“โอ้โห รูปนี้พี่เก่งโคตรหล่อ”

“หน้าพี่เขาไม่ทำให้ผิดหวังที่เกิดมาเลยจริงๆ”

เสียงพูดคุยที่ลอยดังมาตามทางเดินในมหาวิทยาลัยจนทำให้ผมที่รีบเดินจนเกือบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ต้องหยุดและเงยหน้ามองแผ่นป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่ถูกแปะติดอยู่ตรงหน้าประตูของมหาวิทยาลัย  แผ่นป้ายโฆษณาที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันอยู่นั้นเป็นการเชิญชวนให้คนนอกมหาวิทยาลัยเข้ามาดูงานทางวิชาการของแต่ละคณะที่จะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ 

ถ้าถามผมก็คงไม่เถียงว่ารูปนี้ของพี่เก่งหล่อจริงๆ แต่ถ้าลองคิดดีๆ เอาเข้าจริงแล้วเท่าที่ผมเห็นมาไม่ใช่แค่รูปนี้หรอกครับ รูปไหนมุมไหนรุ่นพี่คนนี้ก็ออกมาดูดีเสมอ  แล้วถ้าพี่เขาไม่ดูดีจริงพี่เขาคงไม่ได้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของทุกงานที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยแบบในตอนนี้

ถามว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าคนๆ นี้สามารถดูดีได้ทุกท่วงท่า ผมเว่อร์เกินไปรึเปล่า ที่ผมกล้าพูดเพราะผมเห็นมาเกือบจะหมดทุกท่าทางแล้วนะสิครับ ไม่ว่าจะนั่ง เดิน นอน หรือขนาดตอนกินข้าว และไม่ใช่ว่าเพราะผมสนิทกับพี่เขาแต่เป็นเพราะรูปเหล่านี้ของพี่เก่งสามารถหาได้ง่ายตามพวกแฟนเพจของมหาวิทยาลัย ขนาดเว็บไซส์ของมหาวิทยาลัยเองยังมีหัวข้อไว้ให้โพสรูปพี่เก่งในอิริยาบถต่างๆ เวลาร่วมกิจกรรมด้วยซ้ำ

พี่เก่งเป็นรุ่นพี่คนดังที่คณะ ขนาดผมคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะไม่ได้ร่วมงานกับทางคณะบ่อยๆ ยังรู้จัก ทั้งที่คณะบริหารที่ผมกับพี่เก่งเรียนอยู่ก็ใช่ว่าจะมีคนเรียนอยู่น้อยสักเมื่อไหร่

และแม้ทางมหาวิทยาลัยของผมจะไม่มีการประกวดดาวเดือนเหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะมีงานอะไรก็ตามพี่เก่งมักจะเป็นบุคคลที่ถูกเลือกเสมอ  นั้นเลยเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ใครต่อใครก็ต่างพากันรู้จักแม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้เป็นเดือนประจำมหาวิทยาลัย 

“เรียนก็เก่ง บอกเลยว่าถ้าได้สักครั้งจะไม่ลืมพระคุณ” 

“ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นจะเก่งด้วยรึเปล่าเนอะๆ” 

“โอ๊ย แกมีคนเขาลือกันว่าแซ่บ ให้บอกต่อว่าเด็ด” 

“กรี้ด จริงดิ โอ๊ย ยอมพลีกายแล้วแบบนี้” 

ผมแอบยิ้มขำให้กับคำพูดเหล่านั้น แอบคิดเล่นๆ ว่าถ้าพี่เก่งของสาวๆ มาได้ยินคำพูดเหล่านี้พี่เขาจะทำหน้าแบบไหนกันนะ จะเขินอายหรือจะยิ้มตอบรับด้วยความเต็มใจพร้อมทั้งบอกว่า “เดินเข้ามาหาพี่เลยครับ” แบบนี้รึเปล่า   

ผมส่ายหัวให้ความคิดที่เริ่มจะเพ้อเจ้อของตัวเองแล้วก็ออกเดินทางกลับหอ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนอย่างผมก็ไม่มีวันที่จะได้ไปถามความคิดของพี่เขาอยู่แล้ว เพราะว่าเราสองคนถึงให้เรียนอยู่ที่เดียวกัน คณะเดียวกัน แต่ระหว่างผมกับพี่เขาไม่ว่าจะอยู่ใกล้กันอย่างไรมันก็เหมือนกับว่าเราอยู่กันคนละโลกอยู่ดี 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

Note : เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจในการเขียนขึ้นมา จากกระทู้พันทิปกระทู้นึงที่เราได้อ่านค่ะ

มีการดัดแปลงเรื่องราวและไม่ได้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เหตุการ์ณทุกอย่างในนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ค่ะ

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
«ตอบ #2 เมื่อ14-06-2017 12:17:47 »

รอจร้า

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
«ตอบ #3 เมื่อ15-06-2017 10:31:52 »

บทที่ 1 

ผมชื่อ นายชินธร ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะบริหาร ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ซึ่งเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ผมมีเพื่อนที่เรียกได้ว่า “สนิท” เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

คนอื่นๆ ที่เห็นว่าเวลาผมเดินแล้วยิ้มทักหรือโบกมือให้กัน ก็เป็นแค่คนที่เคยลงเรียนด้วยกันเจอกันบ้างตามคาบต่างๆ ไม่ก็เป็นบุคคลในกลุ่มทำรายงาน คนเหล่านั้นมากสุดก็ทักกันเวลาเดินสวนกันในมหาวิทยาลัยแต่ไม่เคยที่จะมานั่งกินข้าวหรือร่วมวงสนทนากัน 

ถามว่าผมเหงาไหม? ก็คงมีบ้างในบางครั้งที่เห็นหลายคนนัดไปเที่ยวกันไปเป็นกลุ่มๆ แต่ผมก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมต้องออกมาในรูปแบบนี้ เพราะใช่ว่าในช่วงมัธยมผมจะมีเพื่อนเยอะ

แต่ผมเองก็คงจะโทษใครไม่ได้เพราะตั้งแต่เหยียบเข้ามาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เวลาที่คณะหรือที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมอะไรผมก็ไม่เคยเข้าร่วมกับเข้าสักอย่าง แถมยังเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่งอีกด้วย

“หายไปได้ไงเนี่ย เฮ้อ แล้วจะทันไหม?”

เรื่องเหงามันไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับผม แต่ข้อเสียข้อเดียวที่ผมไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนคนอื่นเขาก็น่าจะเป็นเรื่องของการช่วยเหลือมากกว่า อย่างเช่นในวันนี้ วันที่ผมต้องการสิ่งที่เรียกว่าความช่วยเหลือเป็นที่สุด พอไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักผมก็ไม่สามารถเอ่ยปากขอความช่วยเหลือกับใครได้

 ปึก “เฮ้ย”

แล้วความซวยของผมในวันนี้ก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะนอกจากเรื่องของซึ่งจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อการเข้าห้องสอบเก็บคะแนนย่อยจะหายไปจนผมอาจจะพลาดการสอบครั้งนี้ ผมยังโชคไม่เข้าข้างโดยเดินชนใครก็ไม่รู้ในขณะที่กำลังรีบไปตามหาของสิ่งนั้น

สิ่งที่หายไปก็คือเนคไทของผมที่ผมถอดออก เมื่อเช้าตอนที่เดินเข้ามาที่คณะผมโดนรุ่นพี่เรียกตัวไปช่วยยกของ ผมเลยต้องถอดมันออกเพื่อความสะดวกสบายในการช่วยงาน

แล้วที่ผมต้องรีบขนาดนี้เพราะกฎเหล็กข้อนึงของคณะคือต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยไม่อย่างนั้นจะไม่ได้เข้าห้องสอบหรือถ้าเกิดเจออาจารย์ใจดีหน่อยก็จะยอมให้เข้าสอบแต่จะถูกกาหัวกระดาษเอาไว้ว่าต้องถูกตัดคะแนนอย่างน้อยก็หลักหน่วยอย่างมากก็หลักสิบ 

ผมว่าตอนนั้นผมยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้แล้วนะ แต่พอต้องเข้าเดินเข้าห้องสอบพอจับไปที่กระเป๋ากางเกงมันดันไม่อยู่ที่เดิมที่ผมเก็บเอาไว้ แถมกว่าจะรู้ตัวก็เกือบได้เวลาที่ต้องเข้าห้องสอบแล้ว

ทันทีที่รู้ตัวผมก็ตัดสินใจออกตัวรีบวิ่งไปที่ร้านค้าที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อมัน และเพราะด้วยความที่ก้มหน้าก้มตาวิ่งทำให้ผมชนเข้ากับคนนึงอย่างจัง จนเป็นตัวเองที่เกือบล้มถลาไปถ้าไม่ได้คนที่ถูกผมชนเข้าไปช่วยดึงแขนยึดเอาไว้ 

“ขะ ขอโทษครับ” 

“รีบอะไรกันหนักหนาครับคุณ?” 

“ผม ผม” 

ผมแทบพูดไม่ออกหาเสียงของตัวเองไม่เจอเมื่อตอนที่เงยหน้าขึ้นมาผมพบว่าคนที่ถูกผมชนเข้าไปเต็มๆ ก็คือพี่เก่งคนดังของมหาวิทยาลัยของเรานั้นเอง 

แม้ว่าผมจะรู้จักชื่อและอยู่คณะเดียวกันแต่ผมก็ไม่เคยเจอพี่เก่งในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน การที่ได้มายืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ทำให้ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่เขาถึงเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะขนาดหน้าตาที่บูดเบี้ยวด้วยเจ็บที่ผมวิ่งชนพี่เก่งยังสามารถคงความดูดีไว้ได้   

“คุณจะรีบไปไหนกัน? รู้ไหมว่าถ้าผมยั้งไม่ทันทั้งผมและคุณได้กลิ้งตกบันไดไปทั้งคู่แล้ว”   

“ผมขอโทษครับ พอดีผมทำเนคไทหายผมเลยต้องรีบวิ่งไปซื้อครับ เดี๋ยวจะเข้าสอบไม่ได้” 

“สอบควิชเหรอคุณ?” 

“ครับ” 

“กี่โมง?” 

“10 โมงครับ” 

“ไม่ทันหรอกคุณ” 

พี่เก่งยกข้อมือตัวเองมาดูนาฬิกาแล้วก็ยื่นมันมาที่หน้าของผมก่อนที่จะพูดสิ่งที่ผมรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มลงมาตรงหน้าออกมา
ใช่เวลามันเหลืออีกเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นและด้วยเวลาเท่านี้ผมก็ไม่คิดว่าผมจะมีความสามารถวิ่งไปหน้ามหาวิทยาลัยและวิ่งกลับขึ้นมาบนห้องสอบที่อยู่ชั้น 4 แถมยังอยู่ตึกท้ายสุดของมหาวิทยาลัยได้ทัน ต่อให้มีวินมอเตอร์ไซค์ผมว่าผมยังกลับมาไม่ทันเลยด้วยซ้ำ

“ยังไงผมก็ขอโทษอีกครั้ง ผมขอตัวครับ” 

ในเมื่อทางแรกไม่น่าเป็นไปได้ ผมจึงรีบหันตัวกลับไปที่หน้าห้องสอบกะว่าจะดักหน้าอาจารย์เอาไว้เผื่อที่จะได้ลองขอต่อลองอาจาร์ยให้ช่วยอนุโลมให้ผมได้เข้าสอบและผมก็ยอมที่จะถูกหักคะแนน 

“เดี๋ยวคุณ” 

“ครับ?” 

“อะ ผมให้ยืมก่อนแล้ววันไหนเจอกันคุณก็ค่อยเอามาคืนให้ผมก็ได้”   

พี่เก่งยื่นเอาเนคไทของพี่เขาออกมาให้ผม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ที่ได้รับความช่วยเหลือโดยที่ไม่ต้องร้องขอ และเป็นเพราะว่าผมเอาแต่ตะลึงในความใจดีของพี่เขาผมเลยไม่ยื่นมือออกไปรับสักทีจนพี่เก่งถอนหายใจและจับมันยัดใส่มือของผมด้วยตัวเอง   

“ขะ ขอบคุณครับ” 

“รีบไปเถอะ คุณ...?” 

“ผมชินครับ” 

“ครับ คุณชิน” 

“ครับ”

 
ถ้าไม่ได้เนคไทของพี่เก่งช่วยเอาไว้ผมคงแย่ เพราะอาจารย์ท่านนี้ไม่ได้ใจดีและขอร้องได้ง่ายๆ อย่างที่คิด ตัวอย่างเห็นได้จากที่เพื่อนร่วมเรียนคนนึงที่เดินตามหลังผมเข้ามาและเขาดันลืมเข็มของมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังไล่ไปซื้อโดยให้เวลาแค่ 10 นาที ถ้ากลับมาไม่ทันก็ไม่สามารถเข้าห้องสอบได้

พอเห็นแบบนั้นผมเลยยิ่งจับเนคไทของพี่เก่งกระชับให้มากขึ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเนคไทของคนเก่งเมื่อมาอยู่บนตัวผมแล้วเขาจะสามารถช่วยให้ผมทำข้อสอบทั้งหมดนี่ได้ไหมนะ

“หวังว่าข้อสอบเก็บคะแนนย่อยในครั้งนี้คงไม่ได้ยากไปหรอกนะครับ”

ผมอยากตอบอาจารย์ไปเหลือเกินว่ามันยากครับ เรื่องคำตอบในกระดาษข้อสอบผมไม่แน่ใจแต่เรื่องคำตอบของความข้องใจผมได้มาแล้ว คำตอบนั้นก็คือเนคไทของพี่เก่งไม่ได้ช่วยอะไรนอกเหนือช่วยให้ผมได้เข้าห้องสอบ

สภาพของผมตอนที่เดินออกมาจากห้องสอบไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ ทุกคนเดินออกมาสเหมือนเพิ่งโดนดูดวิญญาณออกจากร่าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการสอบย่อยที่มีคะแนนเพียงแค่ 10 คะแนน แต่ 10 คะแนนมันค่อนข้างมีผลอย่างมากสำหรับพวกเราเลยทีเดียว

ผมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องสอบแต่ผมไม่ได้ตรงกลับห้องเพื่อไปพักร่างกาย ผมเอาแต่เดินวนอยู่ที่ล่านด้านล่างของตึกโดยที่หวังเอาไว้ว่าผมจะได้มีโอกาสเจอกับพี่เก่งและจะได้เอาเนคไทคืนพี่เขา กลัวว่าพี่เขามีเหตุที่ต้องใช้

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เขาเรียนตึกนี้เพราะว่าผมชนกับพี่เขาที่ชั้นสองของตึก ถ้าไม่ได้มาเรียนพี่เขาจะมาเดินมาถึงตึกหลังของมหาวิทยาลัยทำไม แต่ไม่ว่าผมจะพยายามเดินวนยังไงก็ตามก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เก่งสักที

“เอากลับไปซักให้ก่อนที่จะเอามาคืนก็แล้วกัน” 

เพราะร่างกายเหนื่อล้าเกินกว่าที่จะหาพี่เก่งต่อผมเลยตัดใจและเอาเจ้าเนคไทกลับหอไปด้วย ยังไงซะพี่เขาก็ยังไม่ได้จะเรียนจบวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย เอามาคืนวันหลังคงไม่สาย ก็ได้แต่ภาวนาว่าพี่เขาจะไม่มีสอบในวิชาที่ต้องใส่สอบในช่วงนี้หรือไม่ก็มีเนคไทอีกหลายอันเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน

แม้ว่าวันนี้ผมจะทำข้อสอบไม่ค่อยได้และแถมยังล้มเหลวในความตั้งใจที่จะคืนของให้กับเจ้าของ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้เรียนรู้อย่างนึงแล้วว่าพี่เก่งคือ “หนุ่มเทพบุตร” อย่างที่หลายคนว่าเอาไว้จริงๆ


หลังจากวันนั้นก็เป็นอาทิตย์กว่าแล้วที่ผมต้องพกเจ้าเนคไทเจ้าปัญหาติดตัวเอาไว้ทุกวัน เหตุก็เพราะผมไม่รู้ตารางเรียนของพี่เก่ง และผมก็ไม่รู้ว่าต้องเอาไปคืนที่ไหน? ที่พกติดตัวตลอดก็เผื่อที่จะได้ยื่นคืนให้กับเจ้าของถ้าบังเอิญเดินสวนกัน   

“แกๆ ไปดูซุ้มขายของของคณะเราไหม? ตอนนี้พี่เก่งกำลังไปเป็นคนขายอยู่” 

“ไปๆๆๆๆ งานนี้ต้องเปย์” 

นั้นสิผมลืมไปเลยว่าอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่แต่ละคณะจะผลิตของออกมาขายเพื่อรวบรวมสมทบทุนสำหรับนักศึกษาให้ไปออกค่ายอาสาช่วยเหลือน้องๆ ต่างจังหวัด 

ปีนี้ทางคณะนักศึกษาตั้งโครงการเป็นการซ่อมโรงเรียนเลยจำเป็นที่ต้องใช้งบมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และแน่นอนของที่ทำออกมาขายไม่ใช่ของที่น่าใช้ขนาดใครเดินผ่านก็ต้องซื้อหรือหยุดดู เพราะฉะนั้นแต่ละคณะก็จะมีหนุ่มฮอตและสาวสวยมาเป็นคนคอยเชียร์เพื่อให้ของขายออก   

ถ้าไม่ได้ยินเสียงของสาวๆ โต๊ะที่นั่งถัดไปผมก็คงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท มิน่าทำไมช่วงนี้ผมไม่เดินเจอพี่เก่งที่ตึกเรียนเลย สงสัยพี่เขาคงจะมัวแต่ไปช่วยงานของคณะอยู่สินะ

“ปราโมทย์ ไปซุ้มขายของเป็นเพื่อนเราได้ไหม?”

“นายอยากได้ของที่ระลึกเหรอ?”

“เปล่าเราต้องการเอาของไปคืนคนนะ”

ตอนที่ได้ยินสาวๆ พูดกันนั้นผมที่กำลังนั่งกินข้าวที่โรงอาหารใหญ่กับ ”ปราโมทย์” หรือ “แว่น” ฉายาที่คนอื่นๆ ต่างตั้งกันให้ปราโมทย์และเรียกกันขึ้นมาโดยที่ปราโมทย์เองก็ไม่ได้ชอบใจในชื่อนี้นัก และปราโมทย์จะต้องขมวดคิ้วทุกครั้งที่มีคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้แต่เขาก็ไม่เคยที่จะบอกให้ใครต่อใครเลิกเรียกหรือบอกไปว่าตัวเองไม่ชอบใจ

ผมเคยลองถามกับปราโมทย์ไปว่า “ทำไมถึงไม่บอกคนอื่นไปละว่าไม่ชอบชื่อนี้?”

ปราโมทย์ก็แค่ยักไหล่ให้ผมแล้วตอบคำถามด้วยการตั้งคำถามกับผมว่า

“แล้วถ้าเราบอกไปว่าเราไม่ชอบชื่อนี้นายว่าคนอื่นๆ จะเลิกเรียกเราว่าแว่นไหมละ?”

 ปราโมทย์เป็นหนุ่มเงียบประจำชั้นปี เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรรอบข้าง ผมหมายถึงถ้าเรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงละนะแต่ปราโมทย์ดันกลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมในคณะได้

ก็ไม่รู้ว่าเราเริ่มรู้จักกันได้อย่างไรและความสนิทของเราทั้งสองนั้นเริ่มที่ตรงไหน แต่อาจจะเพราะเราทั้งสองต่างไม่ได้สุงสิงกับคนอื่นเหมือนกันก็เป็นได้ มารู้อีกทีเราก็พยายามลงเรียนวิชาเดียวกัน กลุ่มรายงานก็จะเลือกอยู่กลุ่มเดียวกันและหลายครั้งที่เราทั้งสองจะแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ถ้าเกิดวิชานั้นอาจารย์สามารถให้เราทำงานแค่ 2 คน ต่อ 1 กลุ่มได้

“นะ ไปเถอะ”

พอได้ยินประโยคดั่งกล่าว จะให้ผมเดินดุ้มๆ ไปที่ซุ้มคนเดียวผมก็ยังไม่กล้ามากขนาดนั้น เพราะผมดันจินตนาการไปถึงผู้คนที่ต้องยืนเต็มแถวนั้น และการที่อยู่ๆ ผมจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าซุ้มและยื่นของให้กับพี่เขา แค่คิดว่ามีสายตามองอยู่ขาผมก็สั่นแล้ว ผมจึงชวนปราโมทย์ไปเดินที่ซุ้มขายของด้วยกันจะได้เอาเนคไทไปคืนพี่เขาให้จบเรื่องไป


 “นายเดินเข้าไปคนเดียวได้ไหม? คนเยอะจัง” 

“อย่าทิ้งกันสิโมทย์ เดินไปเป็นเพื่อนกันหน่อย” 

“อื้ม ก็ได้” 

แล้วก็เป็นไปตามคาด มาถึงหน้าซุ้มคนเต็มไปหมด ผมกับปราโมทย์จึงได้แค่จดๆ จ้องๆ อยู่แถวนั้นกะว่าเดี๋ยวรอให้คนซาแล้วค่อยเดินเข้าไปหาพี่เก่ง

แต่นี่ก็ผ่านมาร่วม 20 นาทีแล้วก็ไม่เห็นจะดูเหมือนว่าคนที่ยืนต่อแถวซื้อของที่ซุ้มจะน้อยลงเลย ถามพวกผมก็ต้องไปเข้าเรียนต่อในช่วงบ่ายจะให้ยืนรอแบบนี้ทั้งวันก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินดุ้มๆ เข้าไปทางด้านหลังของซุ้มกะเดินแวะเข้าไปฝากของเอาไว้กับใครสักคนและเดินออกมาอย่างเงียบๆ   

“น้องครับๆ ถ้าจะซื้อของไปต่อแถวทางด้านหน้าครับ” 

ทันทีที่ผมเดินอ้อมไปทางด้านหลังและยืนอยู่ใกล้กันโต๊ะที่กั้นทางเข้าซุ้มเอาไว้ก็มีเสียงดังออกมาจากทางข้างในและพยายามโบกมือโบกไม้ให้ผมเดินไปทางอื่น

“เปล่าครับ ผมไม่ได้จะมาซื้อของ ผมเอาของมาให้พี่เก่งครับ” 

“อ่อ เป็นแฟนคลับเก่งมันเหรอ? อยากจะเจอมันก็ต้องไปต่อทางด้านหน้าเหมือนกันครับ ที่เขามาซื้อของกันน้องว่าเขามาเพราะอยากได้ของเหรอ?” 

“แต่ ผมไม่ได้...” 

“น้องอย่าพูดไม่รู้เรื่องสิ พี่ยิ่งยุ่งๆ กันอยู่นะครับ”   

“ผมต้องไปเรียนต่อครับ ผมแวะเอาของมาให้แค่นิดเดียว ฝากไว้ก็ได้ครับ งั้นผมขอฝากพี่ไว้นะครับ” 

เพราะจุดประสงค์ไม่ได้จะมาเจอพี่เขาอยู่แล้วแล้วในเมื่อพี่คนนี้ก็พูดเหมือนเป็นเพื่อนของพี่เก่งผมก็เลยคิดว่าน่าจะสะดวกที่ฝากเอาไว้มากกว่ารอเจอกับเจ้าตัว แม้จะรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ไม่สามารถขอบคุณได้ด้วยตัวเองก็ตาม 

ผมก้มลงเปิดกระเป๋าเป้เตรียมหยิบเอาเนคไทออกมาแต่พอนึกได้ว่ามันอาจจะหายผมฉีกจึงกระดาษสมุดออกมาเพื่อที่จะห่อแบบหลวมๆ และเขียนกำกับชื่อพี่เขาไว้ด้วย   

“เฮ้ย ไอ้เก่งมีน้องแฟนคลับ “ผู้ชาย” ด้วยนะ เขามาหานะ  ไล่ไปให้ทางด้านหน้าก็ไม่ไปสงสัยจะอาย” 

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ส่งยื่นของให้กับพี่คนนั้น ผมก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกเพราะอยู่ๆ พี่คนนั้นก็ตะโกนเสียงดังจนคนทั้งในซุ้มและนอกซุ้มที่อยู่ละแวกนั้นต่างหยุดการทำทุกอย่างและมองมาที่ผมอยู่เป็นจุดเดียว

ผมวางตัวไม่ถูกไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ต้องแก้ตัวไหมว่าไม่ใช่แฟนคลับฦ หรือต้องบอกออกไปรึเปล่าว่าไม่ได้อายที่จะไปข้างหน้าแต่ผมรีบและต้องไปเรียนต่อ ความคิดในสมองตีกันมั่วไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาพื่อที่จะอธิบายก็ต้องเจอกับสายตาอีกหลายคู่ที่มองในหลายรูปแบบ ทั้งรู้แบบของคำถาม ทั้งแบบหัวเราะ ผมจึงเอาแต่ก้มหน้างุดกลับลงไปเหมือนเดิม และนี่ก็เรียกว่าเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ที่มีคนมองมาที่ผมเยอะมากขนาดนี้ 

“ไปกันเถอะ” 

ปราโมทย์คงเห็นว่าผมยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงยื่นมือมาสะกิดข้อศอกของผมเพื่อให้ผมเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ทำยังไงผมก็ก้าวขาไม่ออกผมจึงได้แต่ปล่อยให้ปราโมทย์จับข้อศอกผมพาเดินออกมาจากจุดนั้น 

“ชิน เดี๋ยวนั้นชินใช่ไหม?” 

พี่เก่งเดินตามพวกผมมาทางด้านหลัง เสียงตะโกนเรียกชื่อของผมดังขึ้นหลังจากที่ทั้งผมและปราโมทย์เดินออกจากซุ้มมาได้ไม่นาน พอได้ยินชื่อของตัวเองผมจึงหยุดยืนหันกลับไป ทางด้านหลังของพี่เก่งยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ชื่นชอบพี่เขายืนเมียงมองดูสถานการ์ณเต็มไปหมดมันเลยทำให้ผมยังเกร็งและวางตัวไม่ถูกอยู่ดีแม้ว่าจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว 

“มีอะไรกับผมรึเปล่า?” 

พอพี่เก่งเอ่ยปากถามผมจึงได้สติและนึกได้ว่าผมเดินจากโรงอาหารมาถึงตรงนี้ทำไม ผมหยิบเอาเนคไทที่ถูกห่อด้วยหระดาษสมุดออกมาแล้วยื่นมันคืนให้กับพี่เก่ง

ทันทีที่ของถูกส่งออกไปก็มีเสียงถ่ายรูปดังออกมาจากแถวนั้น ผมเงยหน้ามองไปตามเสียงก็พอรู้ได้ว่าคงมีกลุ่มแฟนคลับของพี่เก่งที่คอยตามถ่ายรูปพี่เก่งเพื่อเอาไปลงเพจแบบที่เคยทำผมเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร 

“ผมเอาอันนี้มาคืนพี่ครับ” 

“เรียกว่าพี่ สรุปชินเป็นรุ่นน้องพี่เหรอ?” 

“ใช่ครับ” 

“ก็ว่าถ้าเป็นรุ่นเดียวกันพี่ถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่เอามาคืนให้” 

“ผมสิต้องขอบคุณ ยังไงวันนั้นก็ขอบคุณมากนะครับ” 

“แล้วเป็นยังไงวันนั้นเข้าสอบทันไหม?” 

“ทันครับ แต่ทันไปก็เท่านั้นเหมือนผมเข้าไปนั่งเล่นมากกว่า” 

“วิชาอะไรเหรอ?” 

“Foundation state ครับ ไม่ใช่วิชาของถนัดของผมเลย” 

“แต่วิชานั้นพี่ได้ A นะ” 

“จริงเหรอครับ?” 

“จริงสิ”

“โหพี่อย่างเทพ”

“เอางี้สิ เดี๋ยวพี่เอาที่พี่จดบทสรุปเอาไว้มาให้เอาไหม?” 

“เอาครับ” 

“แล้วเราลงเรียนกับใครนะ ใช่...” 

“ชิน มันใกล้เวลาเรียนช่วงบ่ายแล้ว” 

ผมก้มดูนาฬิกาจากมือถือของตัวเองแล้วก็ต้องตาโตเพราะความที่พี่เก่งเป็นคนเฟรนลี่จากที่จุดประสงค์ที่มาก็เพียงแค่เพื่อเอาของมาคืน  กลายเป็นลากคุยกันต่อไปเรื่อยๆ 

นอกจากความเป็นคนเฟรนลี่ของพี่เก่งแล้วที่ผมคุยด้วยได้ยาวขนาดนี้จากเป็นคนที่คุยไม่เก่งก็คงเป็นเพราะทุกครั้งที่เจอพี่เก่งคือความประทับใจ ครั้งแรกประทับใจในความใจดี แม้ตอนนั้นพี่เก่งยังไม่รู้ว่าผมคือใครแต่รู้ว่าผมกำลังเดือดร้อนอยู่ก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วย

ส่วนครั้งนี้ครั้งที่สองผมประทับใจในความเป็นคนง่ายๆ ของพี่เขาทั้งๆ ที่พี่เขาเป็นถึงคนดังของมหาวิทยาลัย ความดังไม่ได้ทำให้พี่เข้าไว้ตัวเลยสักนิดพี่เขายังสามารถคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง พอรู้ว่าผมเป็นรุ่นน้องก็สามารถแทนตัวเองว่าพี่ได้โดยทันที

“งั้นผมลาแล้วนะครับพี่” 

“เดี๋ยวสิชิน” 

“ครับ?” 

“ยังไงเอาเบอร์เรามาสิ เดี่ยวถ้าพี่หาชีทเจอแล้วพี่จะได้เอามาให้เราได้” 

“อ่อ ได้เลยครับ”   

“อีกอย่างอย่าคิดมากที่เพื่อนของพี่พูดเลยนะ พวกเพื่อนๆ พี่เขาเตรียมงานกันมาหลายวันแล้วเขาคงเหนื่อยอาจจะพูดไม่ดีไปบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับพี่ผมเข้าใจ”
...................................................................................................

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทที่ 1 - 15/06/2017
«ตอบ #4 เมื่อ19-06-2017 14:39:40 »

บทที่ 2 

เมื่อผมแลกเบอร์กันเป็นที่เรียบร้อยผมจึงลาพี่เก่งและรีบวิ่งกลับไปที่ตึกเรียนกับปราโมทย์ ปกติแล้วในช่วงกลางวันแบบนี้ไม่ค่อยจะมีคนโทรหาผมเท่าไหร่ ข้อความที่เข้ามาโดยมากก็จะเป็นข้อความโฆษณาสินค้าหรือส่วนลดต่างๆ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยสนใจที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแม้ว่าผมจะรู้สึกว่ามันกำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าก็ตาม

“หรือว่าวันนี้ที่บ้านจะมีอะไรด่วน”

แต่วันนี้ทันทีที่อาจารย์ปล่อยผมต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู เพราะมันสั่นเยอะมากกว่าปกติจนผมเองเริ่มกังวลว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า

เบอร์ที่ส่งข้อความเข้ามาเป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่เคยเซฟเอาไว้ กำลังจะกดลบเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดโดยที่ไม่ได้กดเข้าไปดูแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเป็นกดเข้าไปอ่านเมื่อข้อความสุดท้ายดันโชว์เอาไว้เป็นการ “แนบรูป”

“รูปคุ้นๆ แหะ”

แล้วผมก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเบอร์นี้ไม่ใช่ของใครที่ไหน มันเป็นเบอร์ของพี่เก่งที่ส่งมาหาผมนั้นเอง

เก่ง “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

เก่ง “….”

เก่ง “(แนบรูปผูกเนคไท) ขอบคุณนะครับ”

ชิน “ขอโทษครับที่ตอบช้า ผมเรียนอยู่”

ตั้งแต่วันที่แลกเบอร์กันจนตอนนี้ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ได้คุยกับพี่เก่ง ยิ่งได้คุยกันผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ผมอยากจะเอามาเป็นต้นแบบ
.........................................................................................

“พี่เก่งนี่ดีเนอะ ทั้งฉลาด ทั้งใจดี แถมเป็นที่รู้จักของใครต่อใครไปทั่วเลย”

 “ก็แน่นอน  เล่นเสนอหน้าไปช่วยใครต่อใครขนาดนี้ ไม่รู้จักก็แปลกแล้ว”

“พี่โคตรเก่งสมชื่อเลยอะ”

“พยายามเก่งมากกว่า”

“ไม่จริงหรอก ผมว่าเพราะพี่เก่งหน้าตาดีด้วยแหละ”

เมื่อคืนที่คุยกันพี่เก่งบอกเอาไว้ว่าวันนี้พี่เก่งจะมาช่วยเพื่อนที่ชมรมถ่ายภาพมาเลือกแยกประเภทของรูปที่มีนักศึกษาส่งเข้าประกวดว่าอยู่ในหมวดหมู่ใด

เรื่องถ่ายภาพเป็นอีกเรื่องที่ผมสนใจผมเลยขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ตอนนี้ผมกับพี่เก่งเลยมานั่งคุยกันในห้องของชมรมหลังจากที่เราช่วยกันแยกรูปเสร็จ แล้ว
ยิ่งเมื่อคืนพี่เก่งพยายามสอนทบทวนบทเรียนที่ผมเพิ่งเรียนแต่ไม่เข้าหัวให้กับผม ทั้งๆ ที่ดึกแล้วแต่ผมยังร้องขอเบรกและขอคุยเรื่องเรื่อยเปื่อย พี่เก่งก็ใจดีไม่บ่นอะไรสักคำทั้งๆ ที่มันทำให้พี่เก่งเสียเวลามากขึ้น ผมจึงเอ่ยปากชมพี่เขาออกไปจากใจ

“พูดงี้ก็หมายความว่าชินมองว่าพี่หล่อ?”

“ก็หล่อครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นว่าพี่เก่งหน้าแดงเพราะความเขิน เห็นพี่เก่งเป็นหนุ่มกิจกรรมโดนถ่ายรูปบ่อยขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าถ้าผมพูดชมว่าพี่เก่งหล่อหรือน่ารักเมื่อไหร่ พี่เก่งจะต้องอายแก้มขึ้นสีให้ผมได้เห็นทุกครั้ง

“แชะ”

ในขณะที่ผมนั่งคุยอยู่กับพี่เก่งอยู่นั้นจู่ๆๆก็มีแสงแฟลชวาบขึ้นมา ผมหันกลับไปมองต้นทางก็เห็นเป็นคนในชมรมนั้นเองที่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย

“โทษทีลืมปิดแฟลชวะ”

ผมหันไปมองหน้าพี่เก่งที่โบกมือไล่ให้เพื่อนเดินไปไกลๆ แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วใส่ ผมรู้ว่าเขาจงใจถ่ายรูปพี่เก่งเพื่อเอาโปรโมทชมรม แต่ถ้าเกิดว่าเขาจะเอารูปนั้นลงผมนั่งอยู่ใกล้กับพี่เก่งแค่นี้รูปนั้นต่อให้เบลอยังไงก็ต้องติดผม หรือว่าเขาจะครอป?

“เป็นอะไรเรา หน้ามุ่ยเชียว”

“คือ เขาจะเอารูปไปลงไหมครับ?”

“ทำไมเหรอ?”

“ผมไม่อยากอยู่ในเฟรม”

พี่เก่งหน้าบึ้งทันทีที่ผมพูดจบ ผมกลัวพี่เก่งจะเข้าใจผิดและคิดว่าผมเรื่องมากผม เพราะขนาดเจ้าตัวที่โดนต้องการรูปจริงๆ ยังไม่ได้ต่อต้าน ผมเลยต้องรีบอธิบายเพื่อให้พี่เก่งเข้าใจ

“ไม่ใช่อะไรพี่ คือพี่เป็นคนดังของมหาวิทยาลัย ถ้าเอารูปลงคนก็ต้องโหลดไปเก็บบ้างอยู่แล้ว แต่จะให้รูปผมไปนั่งคู่พี่ในนั้นผมคงไม่ชิน และคนอื่นก็คงไม่ได้อยากได้รูปผม พี่ว่าจริงไหม?”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่บอกให้ว่าอย่าเอาลง”

พอพี่เก่งได้ฟังผมอธิบายก็ค่อยมีสีหน้าที่ดีขึ้น ยกมือขึ้นลูบหัวเหมือนเป็นการปลอบใจผมว่าไม่ต้องคิดมาก

“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นดูเหมือนผมเรื่องมากไม่ดีเลย ขอแค่เขาตัดผมออกจากรูปก็พอครับ”

“โอเค”


วันที่ไปช่วยงานที่ชมรมถ่ายรูปเป็นวันเปลี่ยนชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เพราะพอทันทีที่ผมเปรยว่าผมเองก็ชอบเกี่ยวกับรูปถ่ายพี่เก่งก็คะยั้นคะยอให้ผมไปสมัครเป็นหนึ่งในชมรมทันที 

“แต่ผมถ่ายรูปไม่เป็นและไม่มีกล้องด้วย”

“แต่ถ้าเราเข้าชมรม วันนึงก็อาจจะถ่ายรูปเป็นก็ได้”

“ผมบอกว่าไม่มีกล้อง”

“แต่พี่มี”

ไม่รู้ว่าผมขี้ใจอ่อนหรือพี่เก่งเป็นคนที่พูดโน้มน้าวเก่งที่สุดในโลกผมจึงยอมตกลงปลงใจเข้าชมรมโดยที่ไม่มีอุปกรณ์พื้นฐานสักชิ้น

ผมเริ่มแบ่งเวลาเรื่องการเรียนไปเข้ากิจกรรมมากขึ้นแต่โดยมากจะเป็นกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น การที่ผมเข้าชมรมมันทำให้ผมได้เจอกับพี่เก่งบ่อยขึ้นและในที่สุดจากแค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะผมกับพี่เก่งก็กลายมาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน 

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเป็นที่สนใจของใคร ผมจึงไม่เคยสนใจว่าใครรอบข้างกำลังมองผมอย่างไร หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่เริ่มสายตามองมาที่ผมเปลี่ยนไปผมยังคงไม่รู้และใช้ชีวิตเหมือนเดิมเช้ามาเข้าเรียนพร้อมปราโมทย์ตกเย็นวันไหนพี่เก่งว่างก็เข้าชมรม

ความไม่ใส่ใจของผมคงจะมากเกินไป จนทำให้คนที่คอยมองอยู่ต้องเป็นคนเข้ามาบอกถึงความเปลี่ยนแปลง ช่วงหมดคาบเรียนจึงคนในห้องเดินเข้ามาแซว

“เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะนาย”

“หะ?”

“แม้ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย”

“เราไม่รู้จริงๆ มีอะไรรึเปล่า?”

“ก็ในเฟสไงกลายเป็นคนดังไปแล้วนะ”

“เฟส?”

แต่ไม่ทันที่ผมจะถามให้รู้ข้อมูลมากกว่านี้ว่าเฟสไหนเฟสอะไร โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน และเวลาก็ไม่พ้นที่จะเป็นพี่เก่งที่โทรเข้ามา เพราะว่าเรามีนัดกันไว้แล้วว่าหลังเลิกเรียนจะเจอกัน

“ฮัลโหลครับพี่” 

“พี่เอาชีทเรียนมาให้แล้วนะ ตอนนี้รออยู่ที่แถวสระบัว ชินอยู่ไหน?” 

“ผมอยู่ที่ตึกเรียนตึก M ครับพี่ งั้นเดี๋ยวผมรีบไปหา” 

“แล้วเรามีเรียนอีกหรือเปล่า? จะให้เอาไปให้ที่ตึกไหม?” 

“ไม่มีครับ วันนี้ผมเรียนแค่ช่วงเช้า” 

“โอเค งั้นพี่รอเราที่นี่แล้วกัน” 

ผมล่ำลากับปราโมทย์และเดินไปหาพี่เก่งตามที่นัดเอาไว้ ตอนที่ไปถึงผมก็เห็นพี่เก่งนั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนอยู่แล้วกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทีสบายๆ ดูไม่ได้หงุดหงิดทั้งๆ ที่ต้องมารอผมในที่อากาศกำลังอบอ้าวแบบนี้ 

“พี่เก่งรอนานไหม?” 

“ไม่นานแค่เหงื่อชุ่มไปหมด” 

“ขอโทษครับ” 

“ล้อเล่น คิดมากนะเรา”

พี่เก่งยกมือขยี้หัวของผมเล่นให้แก้หมั่นเขี้ยวอย่างที่เคยทำอยู่สักพักแล้วค่อยยื่นเอาของออกมาให้กับผม ผมแอบมองมือที่มาสัมผัสกับเส้นผมของผมอยู่ชั่วเวลานึง โดยที่มีคำถามอยู่ในใจ ว่าไม่รู้รุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นเขาลูบหัวเล่นกันไหม? แต่แล้วผมก็ปัดข้อสงสัยเหล่านั้นออกไปเมื่อพี่เก่งเริ่มอธิบายถึงของที่อยู่ตรงหน้า

“อะนี่เป็นสมุดจดที่พี่จดคร่าวๆ เอาไว้เกี่ยวกับพวกสูตรต่างๆ และทริคการใช้นิดหน่อย ส่วนชีทพี่ก็มีจดอะไรลงไปบ้างเราลองเอาไปดูคู่กับของเราเผื่ออาจารย์คนละคนสอนมันจะออกมาไม่เหมือนกันแล้วจะแย่” 

“ขอบคุณครับ” 

ผมรับเอาสมุดเล่มนั้นพร้อมชีทที่ถูกจดด้วยลายมือเอามานั่งอ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมว่าผมหาจุดอ่อนของคนที่สุดเพอร์เฟคคนนี้ได้แล้วละ นั้นก็คือ 

“พี่เก่งครับ ลายมือพี่ผมอ่านไม่ออกเลยครับนี่พี่ตั้งใจเอามาให้ผมจริงๆ ใช่ไหม?” 

“เอ้า จริงดิ ขอโทษ เอาไงดี เอางี้ ลองเอาไปดูถ้าไม่ไหวดูไม่ออกจริงๆ ค่อยเอากลับมาหาพี่มาถามแล้วกัน” 

“แล้วพี่ไม่ต้องอ่านของพี่เหรอครับ? มาเสียเวลาสอนผม” 

“ไม่หรอกนี่ใคร อ่านแป้ปเดียวก็ได้ B แล้ว” 

“ครับๆ พี่เก่ง เก่งสมชื่อเลยครับ”   

 พี่เก่งยิ้มกว้างจนทำให้ผมสามารถมองเห็นเขี้ยวของพี่เขา มองจากจุดที่ผมนั่งอยู่ทำให้เห็นว่าพี่เก่งนอกจากหน้าตาดีแล้วยังพกความเท่ห์เอาไว้อีกด้วย

ผมนั่งมองพี่เก่งอยู่นานด้วยสายตาของความชื่นชม พี่เก่งสามารถปรับตัวให้เข้าได้กับทุกคน แถมยังสามารถแบ่งเวลาเรียนและกิจกรรมได้ดี ผมว่าผมโชคดีมากเลยที่ผมได้มีโอกาสมารู้จักคนๆ นี้

...

“เราอยู่หอที่นี่เองเหรอ?” 

“ครับ ไม่ไกลจากที่มหาวิทยาลัยมาก ผมถึงบอกไงว่าผมกลับเองได้” 

“ก็ไม่รู้ว่ามันจะใกล้ขนาดนี้ก็เห็นว่าชีทหนักก็ไม่อยากต้องให้แบกเดินมาเอง” 

“ขอบคุณครับพี่” 

หลังจากที่นั่งคุยกันที่ริมสระบัวสักพักพี่เก่งก็บ่นว่าหิวผมเลยขอเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงข้าวร้านประจำของผมที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ขากลับจากตรงนั้นผมบอกว่าผมกลับเองได้พี่เก่งจะได้ไม่ต้องเลี้ยวรถอ้อมมาทางด้านอีกแต่ไม่ว่าผมจะพูดยังไงพี่เก่งก็ไม่ยอม

ผมเห็นว่าต่อให้เถียงตรงนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่สามารถที่จะชนะและมันก็จะยิ่งดึก ผมก็เลยยอมให้พี่เขาได้ทำตามใจและในที่สุดพี่เก่งก็ได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาของตัวเองว่าหอผมไม่ได้ไกลอย่างที่เขาคิดจริงๆ

“เออ ว่าแต่หอดีไหม?” 

“ก็โอเคนะครับ” 

“รู้งี้ตอนนั้นตื้อที่บ้านขอมาอยู่หอบ้างดีกว่า ทุกวันนี้ไปกลับอย่างเหนื่อย” 

“ก็ถ้าวันไหนพี่ต้องดึกมาก พี่จะมาค้างก็ได้นะครับ” 

“พูดจริงอะ?”

“จริงสิครับ”

“ขอบใจ”   

“งั้นขับรถกลับบ้านดีๆนะครับพี่”

หลังจากที่ผมขึ้นห้องเก็บของและอาบน้ำอาบท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็เตรียมหยิบเอาชีทที่เรียนวันนี้มาเขียนสรุปแบบที่พี่เก่งแนะนำว่าพี่เขาทำแบบนี้ตลอดเวลาเรียน แต่พอหยิบชีทขึ้นมาก็ทำให้ผมนึกถึงบทสนทนาก่อนที่ผมจะผละออกมาหาพี่เก่ง

“เฟสเหรอ?”

ผมสไลด์หน้าจอเปิดกดเข้าหน้าเฟสบุ๊คเพื่อดูความเคลื่อนไหว ผมไม่ได้กดติดตามแฟนเพจต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยผมกดแค่แฟนเพจหลักของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่พอผมกดเข้าไปดูในนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับผมยกเว้นเรื่องวิชาการต่างๆ 

แต่ในช่วงเวลาที่ผมกำลังจะกดออกจากหน้าฟีดของเฟสมหาวิทยาลัย ผมก็ดันไปเห็นแฟนเพจที่เพื่อนๆ ในคาบบางคนต่างไปกดไลท์เอาไว้ขึ้นมาเป็นเพจแนะนำผมเลยลอวกดเข้าไปดู

“อะไรกันเนี่ย”

ผมตกใจในสิ่งที่ผมเห็นเพราะรูปล่าสุดเป็นรูปที่ผมนั่งอยู่ที่สระบัวกับพี่เก่ง แคปชั่นภาพไม่มีอะไรเป็นแค่ชื่อผมกับชื่อของพี่เก่งแต่พอกดเข้าไปดูคอมเม้นแล้วตัวผมก็ชาวาบขึ้นมาทันทีเพราะจากที่คิดมาเสมอว่าไม่มีใครรู้จักผม ก็กลับกลายเป็นว่าชื่อของผมอยู่เต็มในคอมเม้นท์ไปหมด

“รูปสวยดีค่ะ”

“กรี้ดดดด ขอเซฟนะคะในจุดนี้”

“โธ่ ทีอยู่ในห้องเรียนไม่เห็น ช จะยิ้มแบบนี้บ้างเลย”

“อ้าวๆ ก็เธอเป็นใครนี่เข้านั่งกับใคร เขาจะมานั่งยิ้มให้เธอให้เสียปากเขาไหม”

“โอ๊ยมันพูดได้โดนใจ มาแรกๆ ทำเงียบไม่คุยกับใครที่แท้ก็พวกเอาแต่คนดัง”

“โคตรสงสารไอ้แว่นเลยวะ พอแม่งได้ดีเขี่ยไอ้แว่นทิ้งเลย”

“เออ ยังเห็นไอ้แว่นเดินตามตูดต้อยๆ เป็นทาสที่ซื่อสัตย์อยู่เลยมึง”

“จะว่าไปแม่งเฉิ่มชิบหายเป็นกูกูก็เลิกคบมะ”

“แต่เอามันเป็นลูกไล่ก็เก๋ดีนะมึง”

“สงสัยตูดหอม”

“อะไรๆ เม้นท์บนขยายความ”

“อย่าให้ได้เม้าท์ประวัติ ช แม่ง......อย่างแรง”

“เอาซะกูอยากรู้”

“เอาเป็นว่าไม่แปลกใจกันเหรอว่าทำไมถึงไม่มีเพื่อนเลยยกเว้นไอ้แว่น”

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ มีมูลโวยมีมูล”

“โรงเรียนเก่าแม่งก็ไม่มีเพื่อนเหอะ”

“ว้ายพวกสังคมรังเกียจเหรอ?”

“เกลียดมัน”

มันไม่ใช่แค่รูปนี้รูปเดียวแต่ในทุกๆ รูปที่เป็นรูปผมคู่กับรูปของพี่เก่งก็จะมีคอมเม้นประมาณนี้ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครทำไมพวกเขาถึงได้พูดเหมือนว่าเขาสนิทและรู้จักกับผมทั้งๆ ที่เพื่อนคนเดียวของผมในระดับชั้นปีก็คือปราโมทย์ และสิ่งที่พวกเขาพูดถึงปราโมทย์แม้ว่าปราโมทย์จะไม่ได้อยู่ในรูปใดๆ เลยก็ตามผมก็ไม่รู้ว่าปราโมทย์จะรู้สึกตามที่พวกนั้นพูดรึเปล่า มันทำให้ผมคิดว่า ผมทำนิสัยไม่ดีขนาดนั้นออกไปเลยรึเปล่า?

ครืดๆๆๆ

เสียงโทรศัพท์และภาพหน้าจอของผมพลันเปลี่ยนเป็นรูปของพี่เก่งแทนขึ้นมาในสิ่งที่ผมกำลังอ่านอยู่ สติที่ลอยหายไปกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง แม้ว่ามือจะเย็นแต่มันก็ไม่สั่นเหมือนก่อนหน้านี้

“ฮัลโหลครับพี่”

“ถึงบ้านแล้วนะ”

“ครับ”

“ทำอะไรอยู่?”

เป็นแค่คำถามสั้นๆ ว่าผมทำอะไรอยู่แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถให้คำตอบกับพี่เก่งได้ในทันทีผมไม่รู้ว่าพี่เก่งจะเห็นรูปพวกนี้แล้วรึยัง? และพี่เก่งคิดว่าผมควรทำตัวอย่างไร? ก่อนหน้านี้พี่เก่งเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหม?

แต่เพราะวันนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างเรื่องพวกนี้จากที่คอมเม้นที่ผ่านมาผมอยากคุยกับปราโมทย์มากกว่าใคร ผมอยากเคลียร์กับเพื่อนของผมให้เข้าใจ และผมก็อยากขอโทษเขาที่ทำให้เขาต้องมาเจอับคอมเม้นท์เหล่านี้

“กำลังจะนอนแล้วครับ”

“โอเค งั้นฝันดีและเจอกัน”

“ครับ”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทที่ 2 - 19/06/2017
«ตอบ #5 เมื่อ22-06-2017 13:16:49 »

บทที่ 3

ผมมานั่งรอปราโมทย์ที่ใต้ตึกเรียนในตอนเช้าอย่างร้อนใจ เมื่อคืนกว่าผมจะนอนหลับตาลงได้ก็เข้าวันใหม่ซะแล้ว เมื่อคืนผมกังวลมากว่าถ้าปราโมทย์เห็นคอมเม้นพวกนั้นปราโมทย์จะรู้สึกยังไง จะรู้สึกเสียใจที่เขาตัดสินใจมาเป็นเพื่อนกับผมไหม? แต่สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผมกลัวว่าปราโมทย์จะเชื่อในสิ่งที่คนพวกนั้นพิมพ์มันออกมา

“หวัดดี”

“อื้มหวัดดี”

แต่เอาเข้าจริงพอปราโมทย์มาปรากฏตัวที่ตรงหน้าผมกลับพูดอะไรไม่ออก ไอ้คำพูดทั้งหลายที่เตรียมเอาไว้มันกลืนหายลงไปในคอ คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดมันถูกทำให้สั้นลงจนเหลือเพียงแค่คำว่า “สวัสดี”

แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับเพื่อน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะเริ่มที่ตรงไหนก่อนควรเล่าให้ฟังหรือถามว่าปราโมทย์เห็นแล้วรึยัง? และปราโมทย์ก็เป็นปราโมทย์ที่มักจะสังเกตุเห็นอะไรก่อนเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และในตอนนี้เขาคงจะเห็นจากท่าทางของผม ปราโมทย์เลยเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

“มีอะไรรึเปล่า?”

“เปล่า ไม่สิเป็นเรา มี”

“อย่างเล่าไหม?”

“เอ่อ... คือ เราไม่รู้จะเริ่มยังไง”

“ก็เริ่มอย่างที่คิด... น่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด” ในเมื่อผมเริ่มเป็นคำพูดไม่ได้ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดหน้าแฟนเพจนั้นยื่นมันไปให้ปราโมทย์ดู

“ดูที่คอมเม้นในรูปเรากับพี่เก่งนะ” ปราโมทย์ใช้เวลาอยู่กับหน้าแฟนเพจนั้นสักพักก่อนที่จะส่งมือถือคืนให้แก่ผม

“นายเครียดที่มีคนมาว่านาย?”

“มันก็ส่วนนึง แต่เราแคร์อยู่สองเรื่อง”

“และอีกเรื่องคือ?”

“อย่างแรกโมทย์เชื่อไหมว่าเราเป็นคนนิสัยไม่ดี?”

“เท่าที่รู้จักก็ไม่ นายเป็นคนโอเคในสายตาเรา”

“งั้นข้อต่อไป พวกนั้นเขาว่าเราไม่แรงเท่าไหร่ แต่คอมเม้นที่เกี่ยวกับโมทย์ เราขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้และทำให้คนพูดถึงโมทย์แบบนั้น”

“นายไม่ได้เป็นคนพิมพ์ นายไม่ต้องขอโทษหรอก”
“แล้วโมทย์รู้ใช่ไหมว่าเราไม่เคยเห็นนายเป็นลูกไล่เลย? แล้วเราก็ไม่ได้เขี่ยโมทย์ทิ้ง แต่เรายอมรับว่าเราก็สนิทกับพี่เก่งมากขึ้น เราก็ทำเหมือนที่เขาพูดคือเราปล่อยให้โมทย์อยู่คนเดียวในมหาวิทยาลัยจริงๆ เราขอโทษนะ  แต่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้ง เราไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นว่าโมทย์ไม่ได้เป็นเพื่อนเราอีกแล้วนะ”

“อื้ม”

“โมทย์ ไม่ได้เชื่อคำพวกนั้นใช่ไหม?”

“เราไม่ได้โกรธนาย และเราก็ไม่ได้เชื่อพวกนั้น สบายใจได้นะ”

“จริงนะ”

“จริงสิก็นายเป็นเพื่อนเรา เราคุยกับนายอยู่เราต้องรู้ดีกว่าคนอื่นว่านายเป็นยังไง”

ปราโมทย์คงมองเห็นถึงสายตาที่ยังแสดงออกถึงความกังวลของผมอยู่ เขาจึงพยายามพูดสนับสนุนคาพูดของตัวเองเพื่อให้ผมมั่นใจมาเขาไม่ได้คิดตามคนพวกนั้น

“อีกอย่าง วันที่นายจะไปเข้าชมรมนายยังมาชวนเราอยู่ตั้งนานสองนานแต่เป็นเราเองที่ไม่ไป แล้วเราจะไปคิดว่านายทิ้งเราได้ยังไง ก่อนหน้านั้นช่วงที่มีรูปมาโชว์ที่งานเปิดชมรมของมหาวิทยาลัยนายยังชวนเราไปดูอยู่เลย เพราะฉะนั้นก็แสดงว่านายชอบเกี่ยวกับเรื่องรูปถ่ายจริงๆ”

“อื้ม เราชอบมันจริงๆ”

“เผื่อนายจะลืมไปปกติเราสองคนหลังเลิกเรียนก็ต่างคนต่างกลับบ้านอยู่แล้วนานครั้งมากนะที่เราจะไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ได้คิดว่านายทิ้งเรา”

“ขอบใจนะโมทย์ที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น”

“อื้ม เราเลือกเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าพวกหลังจอคอม พวกนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ไม่มีตัวตน ขอแค่นายมีอะไรก็บอกความจริงเราก็พอ”

“อื้ม เราสัญญา ว่าแต่ก่อนหน้านี้โมทย์เคยเห็นเรื่องพวกนี้ไหม? หรือเห็นวันนี้วันแรก?”

“นายจะไปแคร์ทำไมว่าเราจะเห็นไม่เห็น มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรสักหน่อย” 


เพียงได้ยินคำยืนยันออกมากจากปากของปราโมทย์ผมก็สบายใจขึ้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็อย่างที่ปราโมทย์ว่าผมไม่รู้จักคนเหล่านั้นทำไมผมจะต้องไปใส่ใจ สู่คนที่อยู่ตรงหน้าเข้าใจผมก็พอจริงไหม?

 .........................................................................

หลังจากวันที่ผมได้ปรับความเข้าใจกับกับปราโมทย์ผมสบายใจขึ้นก็จริงเรื่องที่คนใกล้ตัวผมยังคงเข้าใจในตัวตนของผม แต่ผมก็ห้ามให้ตัวเองไม่กดเข้าไปในแฟนเพจนั้นไม่ได้ ผมยังคงคอยเข้าไปกดดูทุกวัน

ผมยอมรับว่าผมจิตตกและกลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบมากกว่าเดิม จากที่ไม่ค่อยคุยกับใครเพราะเป็นคนคุยไม่เก่งอยู่แล้วพอไปเจอคอมเม้นเหล่านั้นผมก็ยิ่งไม่กล้าคุยกับคนอื่นเข้าไปใหญ่ เพราะดูจากลักษณะที่พิมพ์ตอบเหมือนว่าหลายคนที่พิมพ์คอมเม้น
เหล่านั้นก็คือคนที่อยู่ในชั้นปีเดียวกัน บางคนอาจจะกำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกันนี้ด้วยซ้ำ ผมเพียงแค่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครก็เท่านั้น

ผมยอมรับว่าผมเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดีแต่เท่าที่ผ่านมาทุกคนก็แค่ปล่อยผมเอาไว้เพียงลำพัง แต่ในนั้นมันเป็นที่แรกที่มีคนบอกว่า “เกลียดผม” โดยที่ตอนนี้ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมได้ทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ

ผมไม่สามารถเล่าเรื่องพวกนี้ให้ปราโมทย์ฟังได้เพราะเขาได้บอกไม่ให้ผมเข้าไปดู ผมจึงเอาเรื่องเหล่านี้ไปบอกให้พี่เก่งฟัง ลองปรึกษากับพี่เขา

“เลิกดูได้แล้ว อย่าไปสนใจมันสิ”

“พี่ก็พูดได้สิ พี่..”

“จะบอกว่าพี่ไม่เคยเจอแบบผม แบบนี้ใช่ไหม?”

“ครับ”

“ชินคิดว่าคนทั้งมหาวิทยาลัยชอบพี่ทุกคนเลยเหรอ?”

“ก็...ไม่รู้สิครับ”

“ไม่หรอก ไม่มีใครที่จะสามารถจะทำให้ใครทั้งโลกรักได้”

“พี่เคยโดนแบบนี้?”

“ชินมันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามคนอื่นพูดถึงเรา หรือให้พูดถึงเราแค่ในแง่ดี เพราะฉะนั้นอย่าเข้าไปดูถ้าไม่อยากจะเสียความรู้สึก”

“ครับผม”

“ทำให้ได้อย่างที่รับปากด้วย”

“คร้าบบบบบ”

ในเมื่อคนที่เชื่อในตัวผมทั้งสองคนต่างบอกให้ผมเลิกเข้าไปดู และเลิกแคร์กับสิ่งเหล่านั้น ผมจึ้งตัดสินใจเด็ดขาดที่เลิกเข้าไปสนใจและใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ท ผม log out จากเฟสบุ้คอย่างเป็นการถาวร

...............................................................

“พี่ครับผมขอรบกวนขอรายละเอียดโครงการออกค่ายถ่ายรูปได้ไหมครับ?”

“อ้าว งานนี้ไอ้เก่งมันเป็นคนจัดโครงงาน สนิทกันแล้วไอ้เก่งไม่ได้บอกเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“อะ งั้นนี่รายละเอียดคร่าวๆ เก่งมีไรไม่บอกแบบนี้ระวังตกกระป๋องน่าเรานะ”

“...”

“เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นพวกพี่ล้อเล่นนะ อย่าคิดมาก”

“อ่อครับ”

“อย่าไปฟ้องไอ้เก่งมันละเดี๋ยวพอมันรู้ว่าพี่แกล้งเราเล่นมันจะมาแหกอกพี่เอา”

“ครับ”

ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป พี่เขาถึงต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่าล้อผมเล่น ผมก็แค่แปลกใจแค่ว่าผมกับพี่คนนี้ไม่ใช่กลุ่มคนที่ผมสนิทด้วยสักนิด แต่เขากลับพูดเล่นกับผมเหมือนว่าเขารู้จักผมดี ก็คงเป็นการทักทายและแซวเล่นอย่างที่พี่เขาพูดละมั้ง

ต้นเรื่องก็คือวันนี้หลังเลิกเรียนผมไปถึงที่ชมรมก่อนที่พี่เก่งจะมาถึง หน้าห้องของชมรมติดป้ายประกาศเอาไว้ว่าจะมีโครงการไปถ่ายรูปนอกสถานที่โดยมีการไปพักค้างคืนเป็นเวลา 1 คืนและให้ลงชื่อได้ตั้งแต่วันนี้

ทันทีที่เห็นป้ายประกาศผมก็รู้สึกสนใจกิจกรรมนี้อย่างมากเพราะมันจะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกไปร่วมกิจกรรมในรูปแบบการไปเป็นกลุ่มของมหาวิทยาลัยซึ่งผมไม่เคยมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน อย่างมากที่ผมเคยได้ออกไปไหนมาไหนกับคนเป็นกลุ่มใหญ่มากสุดก็แค่ไปค้างค่ายลูกเสือกับ รด ไม่ใช่เป็นการไปเที่ยวพร้อมกับทำกิจกรรมแบบนี้

“ไงเรา ดูไรอยู่?”

“อ่อ โครงการของชมรมครับ”

ที่เก่งมาถึงชมรมหลังผมประมาณ 1 ชั่วโมง พี่เก่งเปิดประตูมาพร้อมกับการหอบหิ้วพวกปึกกระดาษหนามากมายผมจึงทำท่าลุกขึ้นและจะเดินเข้าไปช่วยแต่พี่เก่งก็ส่ายหัวให้เป็นการบอกว่าไม่ต้องผมเลยนั่งอยู่ที่เดิม พอพี่เก่งเอาของเหล่านั้นไปให้กับหัวหน้าชมรมพี่เก่งก็เดินมาหาผมที่นั่งอยู่ที่เดิม ผมจึงยื่นแผ่นกระดาษให้พี่เก่งดู

พี่เก่งโน้มตัวมาจากทางด้านหลังแล้วท้าวลงมาที่โต๊ะที่ผมกำลังนั่งอยู่ ความจริงการกระทำถึงเนื้อถึงตัวของพี่เก่งแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยและในบางครั้งมันก็ทำให้ผมแอบรู้สึกอึดอัดเหมือนกันโดยเฉพาะในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ  แต่ผมก็ไม่เคยที่ทำท่าไม่ชอบใจหรือบอกกับพี่เก่งเพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากพูดแล้วพี่เก่งจะแสดงออกอย่างไร ถ้าเกิดผมพูดแล้วต้องเสียพี่ที่สนิทไปผมว่าผมยอมให้มันเป็นแบบนี้ไปดีกว่า

และแม้ครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัดเพราะมันเหมือนกับพี่เก่งกำลังกอดผมจากทางด้านหลังอยู่กลายๆ แต่ผมก็ยังคงทำเหมือนเดิมที่ไม่ได้เขยิบตัวหนีหรือทำท่าอึดอัดออกไป โดยเฉพาะหลังจากที่ผมพยายามมองดูแล้วมันอาจจะเป็นแค่ท่าถนัดหรือความบังเอิญที่ทำให้ต้องใกล้ชิดกันแบบนี้มากกว่าที่พี่เก่งจะจงใจ เพราะตัวพี่เก่งเองก็กำลังสนใจแต่กระดาษที่ถูกปริ้นออกมา มองกว่าที่จะละสายตามามองผมด้วยซ้ำ ผมเลยสรุปว่าพี่เก่งก็คงไม่ได้ตั้งใจแค่กำลังตื่นเต้นที่เห็นหัวข้องานที่ตัวเองคิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

 “อ่อ อันนี้ โธ่... พี่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเอามาแปะบอร์ดลงชื่อตั้งแต่วันนี้ นี่พี่กะเซอร์ไพร์เราเลยนะ”

“ครับ?”

“ก็คิดว่าชินน่าจะชอบ ว่าแต่ชอบไหม?”

“ก็ชอบครับน่าสนใจ แต่ปัญหาของผมคือผมไม่มีกล้องแล้วกำหนดการแบบคร่าวๆ ก็ดูเหมือนว่ากล้องจะเป็นส่วนประกอบหลักของกิจกรรม”

“เรื่องนี้อีกแล้ว ก็บอกแล้วว่าพี่มี ก็ใช้ของพี่ไป”

“แล้วพี่เก่งละ?”

“เดี๋ยวพี่ไปยืมพ่อมาเอง”

“โห ลำบากพี่แย่”

“ไม่ลำบากหรอกน่า”

“ขอบคุณครับ งั้น...ก็เหลือด่านสุดท้าย ผมต้องขอกับที่บ้าน”

“ให้พี่ไปพูดให้ไหม?”

“ไม่เป็นไรพี่ ผมว่าน่าจะไม่มีปัญหา”

พอรู้ว่ามีกิจกรรมวันนี้ผมเลยไม่กลับหออย่างเช่นทุกวันแต่ตรงกลับบ้านเพื่อที่จะไปขอพ่อกับแม่ กิจกรรมนี้ตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งมันเป็นวันที่ผมต้องกลับบ้านเป็นประจำทุกอาทิตย์ ถ้าจู่ๆ ผมไม่กลับมาบ้านและไม่ได้บอกเอาไว้ก่อน ผมว่าค่าขนมของผมเดือนหน้าคงจะต้องถูกลดถึงขนาดต้องพึ่งมาม่าเพื่อนยากอย่างแน่นอน

หลังมื้อเย็นผมรีบบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ได้รู้ และมันก็ไม่ยากอย่างที่ผมคาดเอาไว้

“ถ้าเราอยากไปก็ไปก็ได้ลูก”

“ดีแล้ว ไปทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่นนอกจากเรียนบ้าง”

“ขอบคุณครับ แม่ พ่อ”

พอครอบครัวอณุญาตผมก็หยิบโทรศัพท์โทรหาพี่เก่งพร้อมกับแจ้งข่าวให้พี่เก่งรู้ พี่เก่งแอบบ่นโอดครวญมานิดหน่อยว่าในขณะที่เรื่องของผมผ่านฉลุยแต่ตัวพี่เก่งเองยังยืมกล้องพ่อไม่ได้เลย สงสัยว่างานนี้อาจจะไปฝึกการใช้มือถือถ่ายแทน

“แต่กล้องพี่เป็นของผมนะพี่พูดแล้ว”

“ครับๆ เอาไปเลยครับ”

ผมก็แค่ล้อพี่เก่งเล่นเท่านั้นถ้าเกิดว่าพี่เก่งไม่สามารถยืมกล้องของคุณพ่อพี่เก่งมาได้จริงๆ ผมก็ต้องให้พี่เก่งใช้ของตัวเองอยู่แล้วเดี๋ยวผมแค่ยืมจิกมาใช้บ้างก็พอ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทที่ 3 - 22/06/2017
«ตอบ #6 เมื่อ28-06-2017 12:08:46 »

บทที่ 4.1

ผมตื่นเต้นถึงขนาดที่ว่าผมไม่สามารถหยุดพูดเรื่องนี้กับพี่เก่งหรือกับปราโมทย์ได้เลย ยิ่งใกล้วันเดินทางแล้ว ผมก็ยิ่งเอาแต่ถามเกี่ยวกับกิจกรรมหลักๆ จนพี่เก่งหาว่าผมเป็นพวกบ้าเห่อ
“ขี้เห่อ”

“ผมจะได้รู้ว่าผมจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ไม่ได้ว่าเห่ออะไรสักหน่อย”

“เชื่อๆ”

นอกจากจะใช้มันเป็นข้ออ้างปิดบังความเห่อของผมแล้ว ที่ผมเอาแต่ถามเพราะพี่เก่งน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับสถานที่ ที่พวกเราจะไปพักและมันก็น่าจะดีกว่าถ้าผมสามารถเตรียมของได้ครบไม่ขาดเหลืออะไร พี่เก่งคงไม่รู้ว่านี่คือการออกไปร่วมกับชมรมเป็นครั้งแรก ผมเลยค่อนข้างที่จะกังวลเป็นธรรมดา แต่ก็ยังถือว่าโชคเข้าข้าง เพราอย่างน้อยที่พักที่ทางชมรมจัดเอาไว้เป็นรีสอร์ทไม่ต้องกางเต้นท์เลยไม่ต้องหอบพวกเครื่องนอนไปเอง

“พี่ไหวไหม?”

พี่เก่งดูยุ่งเป็นพิเศษเพราะเป็นหนึ่งในคนที่คิดโครงการนี้เลยต้องคอยช่วยเพื่อนในชมรมจัดการเอกสาร ข้าวของ รวมถึงการเช็คความเรียบร้อยให้ดีก่อนที่จะออกเดินทางกัน

“จะตายแล้ว ของตัวเองยังไม่ได้จัดเลย แถมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเลิกประชุมดึกไหม?”

ผมกวาดตามองไปรอบชมรมก็เห็นพวกเอกสารที่พัก การจ่ายเงินกองโตที่ยังค้างไม่ได้ทำเอาไว้อยู่มากจริงๆ

“แล้วพี่จะทำไง?”

“ถ้าดึกว่าจะนอนชมรมไม่กลับบ้านแล้ว เพราะไม่งั้นเสาร์เช้าก็ต้องย้อนกลับมาอีก ไม่น่าจะไหว”

ก็ถ้าเป็นผมผมก็คงเลือกนอนมันที่ชมรมเหมือนกับพี่เก่งเพราะบ้านของพี่เก่งต่อให้รถไม่ติดก็ใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่มหาวิทยาลัย ถ้าต้องผ่าออกไปในคืนวันศุกร์ผมว่าพี่เก่งคงได้แค่กลับไปแตะพื้นบ้านแล้วกลับออกมาทันที

“คืนวันศุกร์พี่จะมานอนห้องผมไหม? จะได้ไม่ต้องตื่นเช้า”

“หื้ม?”

“ได้จริงๆ นะ พี่ไม่ต้องไปนอนลำบากที่ชมรมหรอก พี่ก็เอาแต่เสื้อผ้ากับกล้องยัดลงมาก็พอ อย่างอื่นมาใช้กับผมเอา”

“เออ ลืมไปเลยว่าเราห้องอยู่ใกล้มหาลัย เออ เอางั้นดีกว่า แต่ว่าข้างล่างหอเราจอดรถค้างคืนได้ไหม? ถ้าไม่ได้พี่จะได้ไม่ขับรถมา”

“จอดได้พี่ ไม่มีที่เฉพาะของใครแล้วแต่ดวงว่าจะเจอที่ว่างไหม แต่ถ้าที่ข้างในไม่พอจอด สามารถจอดไว้ตามทางข้างหอได้เหมือนกันครับพี่”

“โอเค”

....................................................

เช้าวันศุกร์พี่เก่งเอารถมาจอดไว้ที่ใต้หอผมแต่เช้าเพราะกลัวว่ากว่าจะกลับเข้ามาอีกทีก็เลยช่วงเย็นไปแล้ว ที่จอดอาจจะเต็มซะก่อน มันเป็นการจอดทิ้งค้างเอาไว้ตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พี่เก่งเลยไม่อยากเอาไปจอดทางด้านนอกของหอ

“ง่วง”

ผมลงไปรับพี่เก่งที่ทางด้านล่างของหอก่อนที่จะพากันขึ้นมาบนห้อง หอที่ผมอยู่ไม่ได้มีระบบแบบคีย์การ์ดเพราะฉะนั้นใครจะขึ้นจะลงก็ได้แค่แลกบัตร แต่ที่ผมต้องลงไปรับเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่เก่งมาที่ห้องของผมปกติพี่เก่งก็จะแค่มาส่งทางด้านล่างและขับรถออกไป

“พี่ไปนอนต่อที่เตียงก็ได้ ผมมีเรียนเช้าเดี๋ยวผมแต่งตัวเสร็จผมก็ออกไปเรียนแล้ว พี่แค่ล็อคห้องให้ผมก็พอ”

“ไม่เอา ถึงนอนก็ไม่ได้หลับเต็มอิ่มอยู่ดีพี่มีเรียน 10 โมงนี่ก็อีกไม่กี่ชัวโมง เราเข้าไปแต่งตัวเถอะเดี๋ยวพี่งีบที่โซฟาแล้วเดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”

ก่อน 8 โมงเช้าถือว่าเป็นช่วงที่นักศึกษาแน่นที่สุด บางคนมาเพราะมีเรียนช่วงนี้ บางคนมาเพราะรีบมาหาที่จอดรถเพราะถ้าเกิดมาช้าอาจจะต้องเดินเป็นกิโลจากที่จอดรถกับตึกเรียน

ระหว่างทางพี่เก่งขอแวะซื้อกาแฟ แต่ด้วยความที่ผมเดินช้าและมันก้ใกล้เวลาเข้าเรียนของผมแล้ว พี่เก่งจึงจับที่ข้อมือของผมและลากเดินไปที่ร้านกาแฟ

“เร็วๆ เดี๋ยวคนต่อคิวเยอะก็สายพอดี”

มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผมด้วยความขาสั้นกว่าผมก็มักจะโดนลากแบบนี้จากพี่เก่งอยู่บ่อยๆ แม้แต่เดินกอดคอเวลาเดินไปชมรมพี่เก่งก็ทำมาแล้ว และผมเองก็ไม่เคยมีความรู้สึกแปลกอะไรกับการแสดงออกแบบนี้ เพราะคิดว่ามันก็คงเป็นหนึ่งในการแสดงออกของคนสนิทกัน

“พี่ ผมเดินเองได้”

 แต่เพราะวันนี้ตลอดระยะเวลาการเดินไปที่ร้านกาแฟ ผมเห็นสายตาของนักศึกษาคนอื่นๆ ที่มองมาที่ผมกับพี่เก่งแถมยังมองมาที่ข้อมือของผม ผมจึงพยายามบิดมือออก

“อะไรจับไม่ได้เหรอไง?”

“ก็…”

ผมยอมรับว่าในแว้บแรกที่เห็นคนเหล่านั้นมองมาผมรู้สึกอึดอัดกับสายตาของพวกเขา  แต่พอเห็นพี่เก่งไม่สนใจสายตาของใครเลยยกเว้นของกินที่อยู่ตรงหน้า ผมก็เริ่มรู้สึกเลิกกังวลและเริ่มทำตามพี่เก่งดูบ้าง เพราะสำหรับผมพี่เก่งคือคนที่วางตัวได้ดีที่สุดถ้าเขาทำแบบนี้ก็แสดงว่าพี่เก่งได้คิดและตัดสินใจดีแล้ว

“ไม่มีอะไรพี่” แล้วผมก็เลิกสบีดมือออกพร้อมกับปล่อยให้มันเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างผมกับพี่เก่งไป

“ตอนเย็นพี่จะให้ผมไปรอที่ชมรมไหม?”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่รู้เลยว่าจะเสร็จกี่ฌมง เรากลับห้องไปก่อนเดี๋ยวพี่เสร็จพี่โทรไปหา”

“ครับ”

.....................................................

ช่วงบ่ายพี่เก่งส่งเมสเสจมาบอกว่าคืนนี้ต้องดึกอีกแน่นอนพร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์คนหมดแรงมารัวๆ เท่านั้นยังคงไม่พอกับความเหนื่อยล้าที่ได้รับ หลังจากสติ๊กเกอร์เซ็ทนั้นถูกส่งมาคำโอดครวญทั้งหลายก็ถาโถมมาอีกเป็นระลอกใหญ่  จนผมอดขำไม่ได้ จะมีใครรู้บ้างว่าพ่อหนุ่มกิจกรรมคนเก่งที่ใครเรียกใช้ก็ ครับครับ ก็แอบงอแงกับเขาเป็นเหมือนกัน

“วันนี้ไปกินข้าวเย็นกันไหม?” ผมหันไปชวนปราโมทย์ตอนที่หมดคาบเรียน และรู้แล้วว่าเย็นนี้พี่เก่งคงไม่สามารถออกทานข้าวกับผมก่อนที่แว้บเข้าไปที่ชมรมอีกรอบได้แน่ๆ

“แล้ววันนี้ไม่ไปไหนกับพี่เก่งเหรอ?”

จากที่มัวแต่เดินยิ้มกดตอบข้อความโต้ตอบกับพี่เก่งพอได้ยินปราโมทย์พูดแบบนั้นผมก็เลยต้องลดมือถือลงและหันไปมองหน้าของปราโมทย์ทันที

ผมไม่รู้ว่าปราโมทย์คิดหรือเปล่าว่าเป็นเพราะพี่เก่งไม่ว่างผมจึงมาชวนเขาแต่ถ้าเขาคิดผมก็อยากจะอธิบายว่ามันไม่ใช่แต่มันเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันว่างวันแรกที่เราว่างตรงกันผมเลยอยากไปทานข้าวกับเขา

อยู่ๆ ข้อความที่ผมเคยเห็นในเฟสบุ๊คก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้เลยว่าหลังจากวันนี้จะมีข้อความอะไรเพิ่มขึ้นอีกไหมและปราโมทย์ได้อ่านมันรึเปล่า ผมจ้องมองดูสีหน้าของปราโมทย์แล้วก็ไม่เห็นว่าปราโมทย์จะแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไปผมเลยตัดสินใจปล่อยผ่านไม่ได้อธิบายเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เปล่าไม่ได้ไป”

“โอเค ไปสิ อยากกินอะไรละ?”

พอปราโมทย์ตกลงพวกเราทั้งสองคนก็เดินตรงไปร้านข้าวประจำที่อยู่ทางด้านหลังมหาวิทยาลัย คนในร้านข้าวเยอะจนแทบจะไม่มีที่นั่ง อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงเย็นที่คนส่วนใหญ่เลิกเรียนพอดีทำให้ทั้งผมและปราโมทย์ต้องรออาหารนานกว่าวันอื่นๆ ที่เราเลือกมากินในช่วงกลางวัน

กว่าจะกินเสร็จและแยกย้ายกับปราโมทย์ดูนาฬิกาแล้วผมก็เห็นว่ามันเป็นเวลาทุ่มนึง ผมเลยลองส่งเมสเสจไปหาพี่เก่งว่าเสร็จหรือยังจะได้กลับหอพร้อมกันเพราะพี่เก่งไม่ได้ทำเรื่องค้างคืนเอาไว้เมื่อเช้า แล้วถ้าเกิดคืนนี้พี่เก่งกลับมาตอนดึกเพียงคนเดียวก็ต้องทำเรื่องแลกบัตร ซึ่งผมก็ต้องลงมาเซ็นรับรอง เลยคิดว่าถ้าเข้าไปทีเดียวกันเลยก็น่าจะสะดวกกว่า

“ใกล้เสร็จยังพี่?”

“คงอีกนานเลย นี่ก็เพิ่งไปทำเรื่องเบิกกลองมาได้” แต่คำตอบที่ผมได้รับก็คือพี่เก่งยังไม่เสร็จงานและดูท่าน่าจะอีกนานกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

“แล้วพี่ได้กินข้าวหรือยัง?”

“ยัง หิวจะตายแล้ว”

“นี่ผมอยู่หน้าร้านข้าวพอดี ให้ผมซื้อเข้าไปให้ไหม?”

“ดีเลย น่ารักที่สุด”

มันเป็นคำพูดที่ผมฟังทีไรผมก็ก็รู้สึกว่าไม่ชินทุกที แม้ว่าทุกครั้งที่ผมทำอะไรและถ้าพี่เก่งรู้สึกถูกใจในการกระทำของผมพี่เก่งก็จะพูดคำนี้เสมอ ผมเคยบอกให้เปลี่ยนคำชมแต่พี่เก่งก็ตีมึนและยังคงพูดแบบนี้เสมอ ผมเองก็ขี้เกียจจะขัดก็เลยปล่อยให้พี่เก่งเขาได้พูดตามใจของเขา

..................................................

แล้วในที่สุดเช้าวันเสาร์วันที่เดินทางก็มาถึง ที่ชมรมนัดรวมกันที่หน้ามหาวิทยาลัยในเวลา 7 โมงตรง ผมเดินจากหอไปขึ้นรถบัสพร้อมกับพี่เก่ง  พี่เก่งเดินหลับตาไปตลอดทาง ใช้ให้ผมลากเขาเดินไปที่รถ ผมหมั่นไว้จนบางทีผมก็แกล้งปล่อยมือแล้วให้เดินคลำทางไปเอง

“ถ้าพี่หัวแตก แล้วเราจะรู้สึก”

“รู้สึกดี?”

“แล้วใครจะอธิบายเวลาเรียนไม่เข้าใจ”

”โอ๊ะ ลืมไปเลย เชิญครับ เกาะแขนตามผมมาเลยครับท่าน”

..............................................................................

ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงพวกเราทั้งหมดก็เดินทางมาถึงที่หมาย

“งั้นเดี๋ยวตอนนอนเราจะใช้วิธีจับฉลากกันนะคะว่าใครจะได้นอนคู่กับใคร แต่ไม่ต้องห่วงนะคะทางพวกพี่ไม่ใจร้ายพอที่จะเอาผู้หญิงไปนอนรวมกับผู้ชายแน่นอน”

“อดเลย ฉันจะนอนกับเก่ง”

“โอ๊ย ถามไอ้เก่งมันก่อนว่ามันอยากนอนกับแกไหม?”

“ถ้าเล่นตัวมากฉันจะปล้ำมันเอง”

เสียงแซวและเสียงหัวเราะเกิดขึ้นมากมายหลังจากที่พวกพี่ๆ พูดถึงเรื่องการแบ่งที่นอนกัน ทุกคนที่มากับชมรมดูผ่อนคลายและเป็นกันเอง บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมสบายใจและรู้สึกว่าอย่างน้อยครั้งนี้ผมก็คิดไม่ผิดที่มาและเริ่มเรียนรู้จะรู้สึกเข้าสังคมกับคนอื่น และครั้งนี้ผมก็คงสามารถเข้ากับทุกคนได้ง่าย

“เอาละๆ มาจับฉลากกันดีกว่าจะได้เอาของไปเก็บและจะได้เริ่มกิจกรรมกัน”

“ครับ//ค่ะ”

ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมลุ้นที่สุดเพราะตัวผมเองไม่เคยนอนแชร์ห้องร่วมกับคนอื่น และผมไม่รู้เลยว่าผมจะได้นอนคู่กับใคร เอาแต่คิดไปว่าเพื่อนคนนั้นจะเป็นคนยังไง จะเป็นคนพูดเก่งไหม? แล้วผมจะเข้ากับเขาได้รึเปล่า?

คนที่ผมได้นอนร่วมห้องด้วยเป็นรุ่นเดียวกัน ผมพรูหายใจอย่างหายห่วง ถือว่าโชคดีที่ได้เป็นคนนี้เพราะถ้าเกิดได้เป็นรุ่นพี่ขึ้นมาละก็มีหวังผมคงนอนเกร็งไปทั้งคืน

“หวัดดี เราชื่อต่อนะ”

“หวัดดี เราชื่อชิน”

หลังจากที่แนะนำตัวเก็บกระเป๋าของใช้กันที่ห้องเป็นที่เรียบร้อยพวกเราก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ลานรีสอร์ต กิจกรรมแรกของวันนี้คือการถ่ายภาพย้อนแสงในยามเช้าอย่างไรให้ออกมาดูสวยงาม และกฎข้อแรกของการทำกิจกรรมก็คือเราต้องทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อร่วมห้อง

พวกพี่ๆ แนะนำว่าแท้จริงแล้วแสงแดดที่ดีในช่วงเช้าไม่ควรจะเกิน 10 โมงเพราะภาพจะดูละมุนแต่ถ้ามันเกิน 10 โมงไปแล้วการที่จะทำให้รูปดูอาร์ทได้ก็มีหลากหลายวิธี

“ชินไม่ได้เอากล้องมาเหรอ?”

“เดี๋ยวเราต้องรอจากพี่เก่งนะ”

“อะ กล้อง”

“ขอบคุณครับพี่”

ยังไม่ทันขาดคำพี่เก่งก็เดินแยกตัวมาจากกลุ่มของตัวเองและยื่นกล้องมาให้ผม เมื่อเช้าพอดีมัวแต่ยุ่งๆ ทั้งผมทั้งพี่เก่ง ผมเลยไม่ได้ขอเอามาไว้กับตัวเอง

“แล้วพี่ได้ของพ่อมาใช่ไหม?”

แทนการตอบคำถามพี่เก่งชูมืออีกข้างที่มีกล้องขึ้นมาโชว์ให้ผมดู พอเห็นแบบนั้นผมก็วางใจเลยพยักหน้าตอบกลับพี่เก่งไป

“อะ แฮ่มตรงนั้นอะครับ ช่วงรบกวนสนใจทางข้างหน้านิดนึงอย่ามัวแต่จีบกัน”

“โอเคๆ กลับที่แล้ว”

พี่เก่งยิ้มส่ายหัวให้กับคำแซวของเพื่อนผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ค่อยชอบให้ใครแซวอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะมันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ แต่พี่เก่งก็บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่เก่งมักจะเป็นตัวโจ๊กของเพื่อนๆ เป็นคนไม่ถือความอะไร ให้ผมเตรียมรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้เลย

กิจกรรมช่วงเช้าเป็นอะไรที่สนุกมาก พวกรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกันที่มีประสบการ์ณต่างมาช่วยไล่ดูงานของคนอื่นๆ แล้วก็ค่อยๆ สอนค่อยๆ อธิบายว่าต้องถ่ายยังไงเทคนิคควรใช้แบบไหน ทำให้ลืมไปเลยว่าพวกเรากำลังยืนอยู่ในท่ามกลางอากาศร้อนกันแค่ไหน จนพวกพี่ๆ ผู้หญิงต้องออกมาตามพวกเรา

“เอาค่ะพักกันก่อนนะคะ ได้เวลาไปทานข้าวกันแล้วค่ะ”

ทางชมรมจองร้านอาหารที่ขายอาหารทะเลเอาไว้ ก็แน่นอนพวกเรามาถึงศรีราชา ชลบุรี มาถึงที่ถ้าไม่ได้ชิมอาหารทะเลบ้างก็คงจะแปลก พวกเราใช้วิธีเก็บเงินของทุกคนเพื่อมาเป็นกองกลางเอาไว้สำหรับค่าอาหาร พวกพี่ๆ เลยเป็นคนจัดการสั่งอาหารให้พวกเราจะได้ไม่เกินงบที่ตั้งเอาไว้

“เป็นไงกินได้ไหม?”

“ได้ครับ นี่ผมอิ่มมากเลยพี่เก่ง พุงจะแตก”

“เอาให้มันพอดีๆ”

“ครับๆ”

โต๊ะที่นั่งกินข้าวจะถูกผสมไปด้วยรุ่นกับรุ่นน้องเห็นพี่ๆ เขาบอกว่าจะได้เป็นการละลายพฤติกรรมและไม่ต้องเกร็งเวลาเข้ามาคุยกับพวกรุ่นพี่ พี่เก่งได้นั่งโต๊ะเดียวกับผม เลยทำให้ผมยิ่งไม่เกร็งและกล้าที่จะพูดคุยกับรุ่นพี่มากขึ้น

“ไปถ่ายรูปข้างล่างตรงทะเลกันไหม?”

“อยากๆ ไปๆ ไปไหมต่อ?”

“ไม่เอาละไปกันเถอะ อิ่มขี้เกียจเดิน” ต่อส่ายหน้าพร้อมกับลูบพุงให้ดู

“เฮ้ย งั้นเดี๋ยวกูมานะไปเดินเล่นข้างล่างหาดก่อน” พอพี่เก่งเห็นผมหยิบของพร้อมพี่เก่งก็หันไปสะกิดบอกเพื่อนของพี่เขาอีกคน

“เออ กลับขึ้นมาให้ทันบ่าย 2 ด้วยละ”

“โอเค”

เดินมาถึงหาดผมก็ต้องชะงักขาไม่ยอมก้าวลงไปที่หาด ความที่ไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมาถ่ายรูปที่นี่ทำให้ผมเลือกที่จะใส่รองเท้าผ้าใบออกมา แล้วจะให้เอาผ้าใบลงไปลุยทรายผมก็ยังต้องใส่มันอีกตั้ง 1 วัน

“มีอะไรรึเปล่าชิน?”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect - บทที่ 4.1 - 28/06/2017
«ตอบ #7 เมื่อ29-06-2017 10:52:52 »

บทที่ 4.2

“คือ ผมใส่ผ้าใบมา พี่เก่งลงไปเดินเล่นเถอะครับเดี๋ยวผมรอตรงนี้”

“กลัวเปื้อนละสิ”

“ครับ”

“เออ พี่ก็ลืมบอกให้เรารองเท้าแตะมาด้วย งั้นเอางี้” พี่เก่งถอดรองเท้าแตะของเขาออกแล้วเขี่ยมันมาให้ผม

“เฮ้ยไม่เอาพี่ใส่ไปสิ ไม่เป็นไรผมยืนรอถ่ายรูปเล่นแถวนี้ได้”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวตอนขึ้นไปด้านบนพี่เอาเท้าล้างน้ำพี่ก็สามารถกลับมาใส่รองเท้าได้แล้ว  แต่เราเป็นผ้าใบมันยาก”

“แต่..พี่เท้าเปล่าเนี่ยนะ”

“ไม่เป็นหรอกน่า มาถึงนี้ไม่ได้เหยียบลงไปถ่ายรูปที่ทะเลเเสียดายแย่ ลงมาเถอะ”

พี่เก่งโยงแม่น้ำทั้งห้ามาว่านล้อมจนผมในที่สุดผมก็ยอมใส่รองเท้าแตะลงไปเดินหาดกับพี่เขา โดยที่เดินถือผ้าใบลงไปที่หาดด้วย

ก็จริงอย่างที่เก่งว่าถ้ามาถึงที่แล้วไม่ได้ทำแบบที่คนอื่นทำกันคงเอาไปบอกใครไม่ได้ว่าเรามาถึงทะเลตรงนี้แล้ว ผมกับพี่เก่งถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยทั้งภาพเดี่ยวภาพคู่กัน แต่ภาพที่ผมชอบที่สุดคือรูปที่เอารองเท้าผ้าใบของผมและรองเท้าของพี่เก่งเป็นของประกอบฉาก โดยที่มีชื่อของเราทั้งสองคนเขียนเอาไว้ที่ทรายที่ทางด้านหลัง กำลังถ่ายรูปอยู่เพลินๆ พี่เก่งก้มาสะกิดที่ไหล่บอกให้ผมเตรียมตัวเดินกลับขึ้นไปทางด้านบนได้แล้ว

“ปะ ขึ้นไปกันเถอะจะบ่ายสองแล้ว”

“ครับ”

...................................................

กิจกรรมช่วงบ่ายของชมรมไม่มีอะไรมากให้พักผ่อนตามอัธยาศัยและค่อยมารวมตัวกันอีกทีตอนมื้อเย็น พี่ๆ ต่างเน้นบอกให้พวกเราพักให้เต็มที่เพราะคืนนี้ทางกลุ่มมีนัดจะโต้รุ่งกันเพื่อที่จะถ่ายท้องฟ้ามีดาวในตอนกลางคืนให้สวยงาม

“ชินกับพี่เก่งดูสนิทกันดีเนอะ”

“อื้ม ก็ สนิทกัน”

“แล้วไปสนิทกันได้ยังไงอะ?”

ตอนที่เข้ามาพักในห้องต่อก็ชวนผมคุย เราสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยในขณะที่กำลังโหลดรูปลงใส่คอมพิวเตอร์ อาจจะเพราะเราสองคนไม่ได้เรียนคณะเดียวกันเลยทำให้มีหลายเรื่องให้คุยแลกเปลี่ยนกัน แต่ก็ไม่รู้อีท่าไหนที่มาจบเอาเรื่องนี้

“ก็...เราไปยืมเนคไทพี่เขา และตั้งแต่นั้นมาก็เลยสนิทกัน”

“เออ ดีว๊ะ ได้รุ่นพี่มาเป็นเพื่อนเฉย”

“อื้ม”

นั่งคุยกันไม่นานผมก็เคลิ้มหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปิดคอมให้เรียบร้อย อาจจะเป็นเพราะเมื่อเช้าตื่นก็เช้าแถมเมื่อช่วงเที่ยงยังออกไปเดินเล่นกลางแดดผมก็เลยรู้สึกเพลีย

ครืดๆ

ผมไม่ได้หลับสนิทขนาดว่าไม่รู้ตัวในช่วงกลางวันแบบนี้ ทำให้ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเรียกเข้า ผมพยายามสลัดความมึน และสลึมสลือขึ้นมากดรับโทรศัพท์

“ครับ”

“อ้าว หลับอยู่เหรอ? งั้นนอนต่อก็ได้พี่ไม่กวนแล้ว”

ผมคงจะเสียงงัวเงียจนเกินไปทำให้ปลายสายจับได้ว่าผมกำลังอยู่ในห้วงความฝัน ผมกระแอมปรับเสียงก่อนที่พูดต่อ

“ไม่เป็นไรพี่ ผมตื่นแล้ว”

“พี่ไม่ได้เอาคอมมาว่าจะขอยืมคอมลงรูปหน่อย พอดีมีรูปเราในกล้องพี่ด้วยจะได้เอาลงทีเดียว แต่ยังไงเอาไว้ตอนกินข้าวก็ได้ เดี๋ยวพี่เอาลงคอมเพื่อนพี่ไปก่อน”

“แต่ตอนกินข้าวพี่ก็ต้องกิน เอารูปลงย้ายไปย้ายมาเสียเวลา อีกอย่างพวกเราก็ต้องไปถ่ายต่อเลยไม่ใช่เหรอพี่? ตอนกินข้าวเสร็จนะ มันจะยุ่งยากนะ”

หันไปมองที่เตียงของต่อกะว่าจะขอให้พี่เก่งมาที่ห้องได้ไหม แต่พอมองไปแล้วเห็นต่อก็นอนหลับอยู่ ผมเลยคิดว่าผมเอาคอมออกไปให้พี่เก่งเองน่าจะดีกว่า

“เพื่อนผมหลับอยู่ ให้ผมเอาไปให้ที่ไหนดีพี่?”

“มาที่ห้องพี่แล้วกันไม่มีคนหลับสักคน”

“โอเคครับ เดี๋ยวผมเดินไปหา”

ผมเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายง่วง เดินออกมาเห็นต่อกำลังสลึมสลือมองผมอยู่ ผมเลยบอกกับต่อเอาไว้ล่วงหน้า

“ต่อเราออกไปหาพี่เก่งนะ อย่าลืมตั้งปลุกละเขานัดกันประมาณ 5 โมงครึ่ง”

“โอเค เจอกัน”

ผมเดินถือคอมไปหาที่เก่งที่ห้องเคาะเพียงแค่ไม่กี่ทีพี่เก่งก็เดินออกมาเปิดประตูให้ มองเข้าไปข้างในห้องก็เห็นว่ามีรุ่นพี่นั่งอยู่ คิดว่าคงกำลังเตรียมงานไม่ก็สรุปอะไรสักอย่าง พอพวกพี่ๆ หันมาเห็นว่าผมมาปรากฏตัวที่หน้าห้องผมจึงยกมือไหว้พวกพี่ๆ เขา

“นี่พวกกูต้องออกไปจากห้องไหม?”

เพื่อนคนนึงของพี่เก่งตะโกนออกมาแซวผมที่ยังยืนอยู่ที่หน้าห้อง หลายคนหันมามองตามด้วยสายตายิ้มๆ และก็เริ่มมีเสียงแซวที่หนาหูขึ้นจากแค่คนเดียวก็เป็นหลายคนที่อยู่ในห้อง

“น้องเขาแวะเอาคอมมาให้เฉยๆ”

“แม้แล้วในห้องนี้ไม่มีคอมเลยเนอะ?”

“งั้นผมไปแล้วนะพี่”

ก่อนที่พี่เก่งจะได้ตอบอะไรกับพวกเพื่อนๆ เขา ผมก็พูดขัดขึ้นมาก่อนเพราะเหมือนบทสนทนาพวกนี้มันคงไม่จบลงง่ายๆ แม้ว่าผมจะอึดอัดและรู้สึกไม่ชอบที่พวกพี่ๆเขาแซวแบบนี้แต่เพราะคำว่ารุ่นพี่มันถูกแปะเอาไว้อยู่ ถ้าเกิดผมแสดงสีหน้าหรือพูดอะไรออกไปมันก็คงจะไม่ดี มันจะเสียบรรยากาศและดูว่าเหมือนผมเสียมารยาท

 “ไม่เข้ามาเหรอ?”

“ไม่เป็นไรดูพวกพี่ยุ่งกัน”

“ไม่ได้ยุ่งอะไรนิ เข้ามาๆ”

พี่เก่งเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของผมและก็กระตุกข้อมือเพื่อให้ผมเข้าไปในห้อง

“ดูดิน้องเขาไม่กล้าเข้ามาเลย”

พี่เก่งหันไปบ่นพวกเพื่อนๆ ของเขา และผมก็ได้ยินคำขอโทษที่แซวดังออกมาจากในห้อง เมื่อพี่ๆ เขาก็บอกเองว่าไม่ได้ตั้งใจเป็นแค่การแซวเล่น ผมเลยพยักหน้าตกลงและเดินตามพี่เก่งเข้าไปในห้อง

“ชินตื่นไปล้างหน้าล้างตาไป”

จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตื่นเต็มตากลับกลายเป็นว่าผมฟุบหลับลงไปที่เตียงฝั่งของพี่เก่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมผมยังตีตั๋วหลับยาวจนมาถึงตอนนี้ที่มองไปรอบๆห้องก็ไม่เหลือเพื่อนของพี่เก่งอยู่ในห้องแล้วสักคน

“ไม่ต้องมองหาเขาไปกันหมดแล้ว เอ้า เลิกงัวเงียแล้วไปเตรียมตัวไป”

“ครับ”

“งั้นผมกลับห้องดีกว่าผมอยากอาบน้ำยังมีเวลา”

“กว่าจะเดินกลับไปมา อาบที่นี่นะแหละเอาเสื้อยืดพี่ใส่ ไปรื้อเอาสักตัวพี่เอาเสื้อมาเกิน”

“ดีเลยพี่เหนียวตัว ขอบคุณครับ”

ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเพียงแค่สิบนาทีแล้วก็เดินไปที่จุดนัด มื้อเย็นทางชมรมไม่ได้ออกไปไหนแต่มีอาหารมากหน้าหลายตามาวางเรียงเอาไว้ให้เดินมาตักใส่จานแล้วก็เอาไปนั่งกินได้ตามสบาย อยากนั่งตรงไหนก็นั่งไม่ได้เป็นการบังคับเหมือนเมื่อตอนกลางวัน

“เอาซะหน่อยไหม?”

“หึ เดี๋ยวถ่ายรูปไม่ไหว”

“งี้แสดงว่าอ่อน”

“เออ อ่อน”

ผมส่ายหัวปฎิเสธต่อที่กำลังยื่นแก้วเหล้าชงผสมมาให้ มื้อเย็นของวันนี้นอกจากมีอาหารหลายอย่างสิ่งนึงที่เพิ่มมาด้วยนั้นก็คือแอลกอฮอล์ ถามว่าอยากดื่มไหม? แน่นอนว่าคำตอบของผมก็คืออยากเพราะผมไม่เคยได้มีโอกาสร่วมวงเหล้ากับเพื่อนเลยสักครั้ง

ผมเคยลองดื่มกับที่บ้านมาบ้างและมันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนดื่มได้ไม่เยอะ ถ้าผมดื่มคืนนี้รับรองได้เลยว่ารูปดาวรูปท้องฟ้าอะไรนั้นผมคงไม่มีวันเรียนรู้

แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจในวงเหล้าก็คือพี่เก่ง ภาพของพี่เก่งสำหรับผมก็คือเด็กเรียนเด็กกิจกรรมแต่พอผมหันไปมองอีกทีในมือของพี่เก่งก็มีแก้วเหล้าประดับอยู่แล้ว พอเจ้าตัวเห็นว่าผมมองอยู่ก็ยิ้มขยิบตาให้ผมดู ผมได้แต่อ้าปากเหวอในความรู้ใหม่เกี่ยวกับตัวพี่เก่ง

“จิบซะหน่อยไหม?”

“หึ ไม่เอาอะพี่”

หลังจากมื้อเย็นจบไปพอพวกพี่ๆเห็นว่าทุกคนเริ่มอิ่มอาหารและเปลี่ยนมาเป็นเครื่องดื่มมากขึ้นพี่เขาย้ายพวกเราไปที่ลานกว้างและเริ่มสอนวิธีตั้งกล้องและเทคนิคในการถ่ายดาวก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดจนสอนไม่ได้

ในขณะที่ผมกำลังนั่งตั้งกล้องอยู่นั้นเองที่พี่เก่งเดินเข้ามาตั้งกล้องใกล้ๆ กับผมและชวนผมดื่ม แต่เมื่อผมบอกว่าไม่พี่เก่งก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่จะดื่มเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

เพราะว่านั่งอยู่ด้วยกันผมจึงเห็นว่าพี่เก่งคอยลุกไปชงเติมอยู่บ่อยครั้งในขนาดที่ต่อเองที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันยังไม่ได้ลุกบ่อยเท่าพี่เก่ง

“และมารู้ตอนนี้ผิดหวังรึเปล่า?”

“ไม่ผิดหวังแค่แปลกใจ ภาพพี่ไม่ให้กับลุคนี้เลยเอาจริง”

“พี่ยังมีอีกหลายลุคที่เราไม่เคยเห็น ถ้าอยากเห็นก็ต้องทำความรู้จักกับพี่ให้มากกว่านี้”

ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกได้ว่าคำพูดของพี่เก่งมันแปลกๆ มันรู้สึกเหมือนว่าคำพูดนี้ควรใช้กับคนอื่นที่ไม่ใช่รุ่นน้องอย่างผม แต่ก็อาจจะเป็นเพราะพี่เก่งก็ดื่มเข้าไปเยอะเลยทำให้คืนนี้พี่เก่งพูดอะไรที่แปลกไปก็ได้

“เมายังพี่?”

“คืนนี้ยังอีกยาวไกล”

และมันก็ยาวไกลอย่างที่พี่เก่งว่าจริงๆ กว่าฟ้าจะมืดสนิทพอให้พวกเราสามารถจับภาพของดาวได้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พอผมได้รูปที่คิดว่าดี ผมก็สะกิดบอกต่อว่าผมจะกลับไปที่ห้องแล้วอยากจะกลับไปพร้อมกันไหมแต่ดูเหมือนต่อกำลังติดลมคุยอยู่เลยบอกว่าเดี๋ยวตามมาทีหลัง ผมก็เลยเดินไปบอกพี่เก่งที่อยู่อีกมุมของงานแทน

“พี่ผมไปนอนแล้วนะ”

“เออ ไปห้องใช่ไหมไปด้วยสิพี่จะเอายากันยุงมาให้คนอื่นด้วย จำได้ว่าวันนั้นแวะซื้อไม่รู้ว่าโยนใส่กระเป๋าเรารึเปล่าพี่หาของพี่ไม่เจอ”

“ผมไม่แน่ใจอะเดี๋ยวผมไปดูเองแล้วเดี๋ยวเอามาให้ถ้ามี”

“ไม่เป็นไรไม่ต้องเดินไปเดินมาพี่เดินไปพร้อมกับเรานั้นแหละ”

จากลานกว้างมาที่ห้องของผมมันไม่ได้เป็นระยะทางที่ไกลมากนักแต่มันเป็นทางขึ้นลงบันไดพี่เก่งคนเก่งตอนนี้เลยไม่เก่งสมชื่อหมดสภาพค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกว่าจะเดินมาถึงห้องพักของผม

“แล้วจะไต่กลับลงไปไหวไหมเนี่ยพี่?”

“ไหวสิระดับนี้แล้ว”

“อ้าว เฮ้ย”

พูดไม่ทันขาดคำพี่เก่งก็ก้าวพลาดทำให้สะดุดและเกือบล้มลงไปที่พื้นโชคดีที่ผมอยู่ใกล้กับพี่เก่งทำให้ผมสามารถคว้าตัวพี่เขาเอาไว้ทัน

“หมดกัน...”

พี่เก่งบ่นงึมงำอะไรอีกเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามยืนให้ตรงเผื่อที่จะเดินตามผมไปที่ห้องพัก แต่พี่เก่งก็ใช้เวลานานพอสมควรผมเลยอาสาเป็นเสาให้พี่เก่งเกาะและเดินตามกันขึ้นไป

................................................................

วันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายของทริป พวกเราทุกคนมีนัดกันตั้งแต่ตอนตีห้าเพราะมารอพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบทะเล เพราะทะเลไม่ได้อยู่ใกล้กับที่พักพวกเราจึงต้องออกเดินทางเล็กน้อยด้วยการเดิน

เมื่อได้ภาพสวยสมใจทุกคนเป็นที่เรียบร้อยพวกเราก็โดนสั่งให้ไปเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน รถออกจากศรีราชาตั้งแต่ช่วงสายๆ เพราะรุ่นพี่ไม่อยากให้ทุกคนถึงบ้านกันช้าจนเกินไปนัก

ตลอดการเดินทางกลับผมไม่หลับเลยเอาแต่นั่งมองทุกคนคุยแซวกันไปมา ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่สองวันหนึ่งคืนมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ทุกคนสนิทกันมากขึ้น ทริปนี้จึงจะเป็นทริปที่จะอยู่ในความทรงจำผมไปตลอดเพราะมันเป็นทริปที่ทั้งสนุกและได้ความรู้

“ดีจัง”

ดีจังที่ผมได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนี้ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีวันได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

คำเตือน : เรื่องนี้ จบแบบ Bad ending ค่ะ มีฉากความรุนแรงด้วยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2017 12:35:38 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
«ตอบ #8 เมื่อ29-06-2017 13:42:15 »

เพิ่งได้เข้ามาอ่าน เขียนอ่านง่ายดีค่ะ ไม่ค่อยมีคำผิดเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
«ตอบ #9 เมื่อ29-06-2017 21:18:29 »

ไม่อยากให้จบแบบ Bad ending เลยเง้อออ :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
« ตอบ #9 เมื่อ: 29-06-2017 21:18:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ natchaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
«ตอบ #10 เมื่อ29-06-2017 22:36:25 »

พอบอกว่าจบแบบ bad  end รู้สึกสับสนเลยค่ะว่าจะอ่านดีไม่อ่านดี แต่ก็รอติดตามต่อดีกว่าเนอะ เผื่อคนเขียนจะเปลี่ยนใจเป็น happy end #ทำหน้าตาวิงวอน

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
«ตอบ #11 เมื่อ03-07-2017 13:48:09 »

บทที่ 5

“อะ…เราซื้อขนมมาฝาก”

แม้วันจันทร์ผมจะไม่มีตารางเรียนแต่ผมก็เข้ามาที่มหาวิทยาลัยทันทีที่รู้ว่าปราโมทย์แวะมาที่มหาวิทยาลัยพร้อมยังคงนั่งทำรายงานอยู่ที่ห้องสมุด ผมหิ้วเอาขนมที่ซื้อมาจากชลบุรีมาฝากปราโมทย์ทั้งๆ ที่ตอนซื้อก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าปราโมทย์จะชอบกินหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้รู้ว่าผมยังนึกถึงเขานะ

“เป็นไงสนุกไหม?”

“สนุกมาก ปราโมทย์น่าจะไปด้วยกัน”

“เผื่อจะลืมไปบอกอีกทีว่าเราไม่ชอบถ่ายรูป”

“เราหมายถึงว่า น่าจะไปสนุกด้วยกัน นี่เราได้ความรู้มาเต็มเลย เดี๋ยวถ้าขอพ่อกับแม่ซื้อกล้องได้เมื่อไหร่เราจะเอามาถ่ายปราโมทย์ด้วยนะ”

“อ้าวแล้วไปทริปงานกล้อง... ไม่มีกล้องเหรอ?”

“อ่อ พี่เก่งให้ยืมนะ”

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“ได้ดิ”

“ตอนนี้นายเป็นแฟนกับพี่เก่งเหรอ?” 

“เฮ้ย พูดอะไรนะ?”   

ผมสำลักน้ำที่กำลังยกดื่มอย่าหน้าดำหน้าแดง จู่ๆ ปราโมทย์ก็พูดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ไม่ได้มีการเอ่ยนำเรื่องเกี่ยวกับพี่เก่งมาก่อนแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ปราโมทย์ถึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

“แล้วนายได้ตามจีบพี่เก่งจริงรึเปล่า?”

“เฮ้ย...ไปกันใหญ่แล้ว ทำไมอยู่ๆ ถามแบบนี้ละ?”

“ก็มีหลายคนพูดถึงเรื่องนี้ อย่าเข้าใจผิดละที่มาถามไม่ได้ว่าจะรังเกียจหรืออะไร คือถ้าเป็นตามที่เขาพูดกันเราก็จะได้รับรู้ไว้ก็เท่านั้น”

“แล้วปราโมทย์คิดว่ายังไง?”

“ไม่ได้คิด..เพราะไม่รู้ถึงมาถาม” 

“เรากับพี่เก่งไม่ได้เป็นอะไรกัน...เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันเท่านั้น” 

“อื้ม โอเค”

“เมื่อกี้ปราโมทย์บอกว่ามีหลายคนพูดถึง เขาพูดกันที่ไหนเหรอ? ปราโมทย์ไปอ่านอะไรมา?”

“มีหลายคนมาถามเรา ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาถามช่วงที่นายไปทะเลนะแต่ถามกันมาตั้งนานแล้ว”

“อื้ม แล้ว?”

“แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานถึงมีแต่คนรุมโทรมาหาเรา แถมโทรมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

“แล้วปราโมทย์ตอบไปว่ายังไง?”

“เราตอบไปว่าไม่รู้แต่ดูคนพวกนั้นจะไม่เชื่อ และสุดท้ายก็มีคนมาด่าว่าเราโง่ เราก็เลยอยากรู้ขึ้นมาคราวหน้าถ้าตอบได้จะได้ไม่โง่”

“ขอโทษนะ เราทำให้ปราโมทย์ยุ่งยากแถมโดนว่า เพราะเราเป็นต้นเหตุแท้ๆ”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธก็แค่ต่อไปใครมาถามก็จะได้ตอบได้”

“ว่าแต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ปราโมทย์รู้ไหมว่าเขาพูดกันอะไรกันอีกบ้าง?”

ผมก็เพิ่งรู้จากโมทย์ว่าหลายคนมองว่าผมเป็นคนเอาตัวเข้าไปตีสนิทกับพี่เก่งเพราะว่าผมแอบชอบพี่เขามานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้าใกล้

มีข่าวอีกมากมายหลายอย่างทั้งผมเป็นสต๊อกเกอร์แถมยังโกหกสร้างเรื่องเพื่อไปตามพี่เขา และที่ผมพยายามเรียกพี่เขามาที่คณะก็เพราะต้องการสร้างภาพให้คนดูว่าพี่เก่งเป็นคนมาตามผม

แต่ที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดก็คือมีคนพูดเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่าผมทำให้พี่เก่งรำคาญจนพี่เก่งอยากจะไล่ผมไปไกลๆ แต่เพราะว่าพี่เก่งป็นคนใจอ่อนพอผมทำท่าจะร้องไห้เลยไม่กล้าที่จะไล่ผมตรงๆ  มันทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง

“เฮ้อ ทำไมมันออกมาในรูปแบบนี้ไปได้นะ”

ผมยอมรับว่าผมกับพี่เก่งสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันที่ชนกันวันแรกอาจจะเป็นเพราะเราสองคนมีความชอบหลายอย่างที่คล้ายกันเลยทำให้เราสองคนสนิทกันเร็วมากยิ่งขึ้น จากที่เจอกันแค่ด้วยเรื่องเรียนหรือเรื่องที่ชมรมก็กลายมาเป็นว่าเริ่มมีนัดกินข้าว เริ่มมีไปซื้อของด้วยกันหลังเลิกเรียน และอย่างล่าสุดพี่เก่งก็เริ่มมาค้างที่ห้อง

อย่างเมื่อวันอาทิตย์พอกลับมาถึงห้องของผมพี่เก่งก็ตีตั๋วหลับยาวกว่าจะตื่นก็เย็นแล้วแถมวันจันทร์ยังมีเรียนเช้าอีกพี่เก่งก็เลยตัดสินใจนอนที่ห้องของผมซะเลย

แต่ทั้งหมดที่เราสนิทกันผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้ไปขอร้องหรือเกาะติดตัวของพี่เก่งมากขนาดจนทำให้พี่เก่งรำคาญและไล่ผมไปไกลๆ ที่สำคัญที่ผ่านมาผมนับถือพี่เขาในความที่เป็นคนสมบูรณ์แบบในทุกเรื่องและนับถืออยากเอาเป็นตัวอย่างไม่ได้มีความรู้สึกทางชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด

“เพราะอย่างนี้นี่เองสินะ”

ที่น่าแปลกคือแม้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เก่งจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเพื่อนร่วมคณะและคนอื่นกลับดูแย่ลง

ใช่สมัยก่อนผมก็ไม่ได้สนิทกับใครมากอยู่แล้วแต่อย่างน้อยถ้าเกิดเดินผ่านใครก็ยังมีการทักทายกันบ้างแต่พอมาตอนนี้นอกจากบางกลุ่มที่ไม่ทักทายแล้วยังมีบ่อยครั้งที่พอผมเดินผ่านก็ต่างหันไปซุบซิบกันและก็มีเพื่อนผู้ชายบางคนที่ต้องทำงานกลุ่มร่วมกันพอผมเข้าไปใกล้ก็ทำท่าเหมือนไม่ชอบใจที่ผมเข้าไปใกล้เขาซะแบบนั้น ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจพอมาถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพวกนั้นคงคิดว่าผมเป็นเกย์และคงไม่สะดวกใจที่ให้ผมเข้าใกล้

ในขณะที่ผมนั่งเรียนอยู่จากที่ไม่เคยถูกสนใจก็กลายเป็นว่ามีหลายสายตาที่หันมามองและก็มีบ้างที่หันหลังไปซุบซิบกัน จนมีบางครั้งที่ผมเอาแต่มองคนอื่นจนผมเกือบไม่ได้ฟังที่อาจารย์สอน 

แต่ทั้งหมดที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจที่จะหาที่มาว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอะไรแต่เพราะว่าครั้งนี้ผมได้รู้ว่ามันมามีผลกระทบกับเพื่อนสนิทของผมด้วยผมก็เลยรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

“ต่อไปใครมาถามอะไรปราโมทย์ โมทย์ให้เขามาถามเราด้วยตัวเองก็ได้”

“ก็ดีเหมือนกัน เราเองก็ไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย”

........................................................................................

ตกเย็นพี่เก่งมารับผมที่ตึกเรียนเหมือนกับวันที่ผมมาเรียนตามปกติ เพราะมันเป็นช่วงใกล้สอบกลางภาคแล้วและพี่เก่งก็บอกว่าทุกครั้งพี่เก่งจะออกไปอ่านตามร้านแบบนี้ เพราะถ้าเห็นเตียงนอนทีไรก็จะพร้อมสลบลงได้ เราจึงนัดกันไว้ว่าจะไปร้านกาแฟที่นั่งอ่านหนังสือได้ 24 ชั่วโมงแทนการนอนอ่านที่ห้อง

“งั้นเดี๋ยวพี่แวะอาบน้ำห้องเราด้วยเลยนะ ถ้าไปอ่านต่อเลยพี่ไม่ไหว” 

“ได้พี่” 

หลังจากที่เราทั้งสองคนเตรียมตัวและจัดหนังสือที่เอาพกติดตัวไปเรียบร้อยเตรียมจะก้าวออกไปนอกห้องพี่เก่งก็จับที่ไหล่ของผมเอาไว้รั้งให้ผมหยุดเดิน

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น?” 

“เปล่าครับ” 

“หน้าของชินเหมือนมีป้ายแปะว่ามีเรื่องคิด เล่าให้พี่ฟังไม่ได้เหรอ?”

“พี่นี่เทพเกินไปแล้ว” 

“ว่ามา” 

ใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่เก่งฟัง ความจริงผมเองก็กลัวว่าพี่เก่งจะไม่พอใจที่ถูกใครๆ มองว่ากำลังคบกับผมหรือว่ากำลังถูกผมตามตื้อ มีแอบกังวลว่าพอพี่เก่งรู้พี่เก่งจะรับไม่ได้ที่ต้องเจอกับข่าวลือแบบนี้แล้วพาลเลิกคบกับผมไป เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงผมคงเสียใจที่ต้องเสียพี่ชายคนนึงไปด้วยแค่ข่าวที่มันไม่ใช่เรื่องจริง 

เหตุผลที่ผมไม่อยากเสียพี่แก่งไปเพราะพี่เก่งเป็นเหมือนคนที่มาเปิดโลกที่พบไม่เคยเจอ พี่เก่งเป็นคนสอนหลายๆ อย่างให้กับผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การเข้าสังคม การวางตัว และที่สำคัญที่สุดพี่เก่งทำให้ผมใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างคุ้มค่านอกจากแค่การไปเรียนเพียงอย่างเดียว

“พี่คงไม่เลิกคบผมเพียงเพราะข่าวว่าผมตามจีบพี่หรือเรากำลังคบกันใช่ไหมครับ?” 

“เรื่องนั้นพี่ไม่สนใจ ว่าแต่เราเป็นข่าวกับพี่ละโอเคไหม?” 

“สำหรับผม ผมไม่ได้เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเพราะฉะนั้นผมโอเค แต่พี่สิจะมีผมกระทบอะไรรึเปล่ากับข่าวลือ?”

“ชิน”

“ครับ?”

พี่เก่งเงียบพร้อมกับหลับตาลงเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมเองก็ไม่ได้เร่งปล่อยให้พี่เก่งได้รวบรวมความคิดให้เต็มที่

“ถ้าพี่ชอบผู้ชายจริงๆ ชินจะว่ายังไง?”

คำถามของพี่เก่งทำเอาผมเป็นผ่านที่เงียบไป การที่พี่เก่งจะออกปากถามเรื่องนี้กับผมด้วยสีหน้าที่จริงจังแบบนี้ผมคิดว่าเรื่องนี้คงจะมีความสำคัญกับพี่เก่งไม่มากก็น้อย อาจจะมีคนในครอบครัวของพี่เก่งหรือไม่ก็เป็นตัวพี่เก่งเองที่สามารถมอบความรักให้กับผู้ชายได้

ที่เงียบไม่ใช่เพราะรังเกียจ ส่วนตัวผมไม่ได้คบและชื่นชอบใครจากเพศสภาพเวลาผมจะชื่นชอบหรือคบใครสักคนเป็นเพื่อนผมดูจากความสามารถและความจริงใจ ซึ่งทั้งหมดผมสามารถหามันได้จากตัวพี่เก่ง แต่ที่ผมต้องใช้เวลาไตร่ตรองก่อนที่จะพูดอะไรออกมาก็เพราะว่าผมไม่อยากให้พี่เก่งเข้าใจผมผิดถ้าเกิดผมพูดไม่เคลียร์

“มันเป็นเรื่องของความชอบ พี่จะชอบใครเพศไหนมันเป็นสิทธิ์ของพี่ ผมไม่เคยตัดสินพี่ว่าดีไม่ดีจากตรงนั้น ณ วันนี้ถ้าพี่ชอบผู้ชายผมก็ยังมองงว่าพี่เป็นคนดีและเทพอยู่ดี”

“ที่ผมมาพูดเรื่องนี้เพราะว่าผมทำให้พี่มีข่าวเสียหายไปด้วย ซึ่งสมัยก่อนอาจจะไม่เคยมีคนพูดและมองพี่ในแง่นี้ แต่ถ้ามีคนถึงขนาดมาถามเพื่อนของผมก็แสดงว่ามีคนพูดกันเรื่องนี้มากขึ้น” 

“งั้นช่างมันเถอะชิน พี่ไม่ได้ติดใจอะไร” 

แม้ว่าผมกับพี่เก่งจะปิดประเด็นเรื่องนี้ไปแล้วแต่ตลอดการเดินทางไปที่ร้านกาแฟจนกลับมาถึงที่หอพี่เก่งยังคงดูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นก่อนที่ผมจะเดินเข้าหอกลับขึ้นไป ผมเลยหันไปหาพี่เก่งอีกครั้ง

“พี่...สำหรับผมเรื่องชอบใครรักใครมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเรากำหนดไม่ได้ ไม่แน่นะในวันนึงผมอาจจะชอบผู้ชายขึ้นมาสักคนก็ได้”

และในที่สุดผมก็ได้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสบายใจของไอดอลผมสักที

“ฝันดี”

“ครับ ฝันดีพี่”

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ


ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #12 เมื่อ03-07-2017 14:09:05 »

ถ้าจบไม่สวย

ขอไม่อ่าน

แต่มาให้กำลังใจคนเขียน..


ออฟไลน์ graywitch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #13 เมื่อ03-07-2017 15:15:23 »

เขียนเรื่ิองรื่่นดีค่ะ บรรยากาศก็ดี
พอบอกว่าbad endยิ่งน่าติดตาม ปกติก็ชอบจบสวยแต่อยากรู้ว่าเรื่องจะดำเนินยังไง

มาให้กำลังใจรอตอนต่อค่ะ//ชอบบรรยากาศเรื่องทึมๆดี :hao3:

ออฟไลน์ nutiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #14 เมื่อ03-07-2017 17:53:45 »

พอบอกว่า bad end ก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันจะ bad ขนาดไหน โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ยึดติดว่าตอนจบต้องแฮปปี้ แต่ไม่ชอบเรื่องที่อ่านแล้วหน่วง ดราม่าหนักๆ จิตใจบอบบางค่ะ 55555

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #15 เมื่อ03-07-2017 21:25:26 »

ตอนนี้อยากรู้มากเลยว่าจะจบ bad end ยังไง
ในใจก็ไม่อยากให้จบแบบนี้ แต่มันก็ต้องแล้วแต่คนเขียนเนาะ :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 23:20:18 โดย papapoope »

ออฟไลน์ Fenfen2537

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #16 เมื่อ03-07-2017 22:06:44 »

คิดว่าอีกไม่นาน พี่เก่งคงดีแตก แล้วจับปล้ำ
มโน ว่าน่าจะสไตล์ จุมวุฒิ (หรือเปล่า555)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
«ตอบ #17 เมื่อ08-07-2017 12:40:14 »

บทที่ 6

แม้ว่าวันที่ออกไปติวหนังสือกันที่ร้านกาแฟจะผ่านมาได้หลายวันแล้วแต่ผมยังสามารถจำได้ถึงความเครียดของพี่เก่งในวันนั้นได้ดี ความเครียดของพี่เก่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมตัดสินใจพยายามปล่อยให้คำพูดจากปากคนอื่นเรื่องที่ได้ยินมาให้มันลอยผ่านไป เพราะผลกระทบจากการที่ใส่ใจคนอื่นมากเกินไปมันทำให้คนใกล้ตัวลำบากใจจนผมรู้สึกผิด
แต่ความพยายามของผมไม่เคยไปได้ถึงจุดที่คาดเอาไว้เมื่อคนอื่นๆ ดูไม่เป็นใจให้ผมได้ทำได้สำเร็จ อย่างเช่นในวันนี้ที่มีกลุ่มคนเดินเข้ามาหาผมถึงโต๊ะหินอ่อนที่ผมกำลังนั่งปั่นรายงานอยู่กับปราโมทย์

“นาย” 

“ครับ?” 

“นายเป็นเกย์แบบที่เขาว่ากันรึเปล่า?” 

“หะ?” 

“เราไม่ได้อยากถามหรืออยากรู้เรื่องส่วนตัวของนายเลยนะ แต่พอดีมีคนฝากเรามาถามเยอะมาก เราก็เป็นคนกลางเขาคงเห็นว่าเราเรียนห้องเดียวกับนายเราเลยโดนขยั้นขยอมาถาม นายคงเข้าใจเราใช่ไหม?”

“อ่อ ครับ”

“งั้นเราขอถามอีกเรื่อง คือ เขาอยากรู้กันว่าที่นายได้ใกล้ชิดพี่เก่งแถมยังยังตัดหน้าคนอื่นจนได้พี่เขามาเนี่ยเพราะว่านายใช้ความเป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าหา จนสนิทกันใช่ไหม? และนายแอบรู้มาว่าพี่เก่งเป็นเกย์มาก่อนใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ครับ”

“ไม่ใช่เรื่องไหน? เรื่องที่รู้ว่าพี่เก่งเป็นเกย์หรือจะบอกว่าไม่สนิทกันงั้นเหรอ?” 

“ทั้งสองเรื่องและก็สนิทกัน แต่ไม่ใช่แบบนั้น” 

“จริงเหรอ?” 

“จริง เราก็รู้จักและสนิทกับพี่เขาเหมือนรุ่นพี่คนนึงเท่านั้นเอง” 

“งั้นนายก็เป็นเกย์?”

“เปล่า”

“ถ้านายไม่ได้เป็นเกย์ นายสามารถสนิทกับคนที่เป็นเกย์ขนาดนั้นได้ไง?”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาเป็นเกย์?”

“อย่ามาตอบด้วยคำถามสิ”

แล้วในที่สุดคำถามนี้ก็วนกลับมาหาผมอีกครั้งทั้งเรื่องเราสองคนเป็นแฟนกันรึเปล่า หรือ ว่าใครกันแน่ที่เป็นเกย์ ซึ่งเอาเข้าจริงคำถามเหล่านี้ล้วนถูกตอบไปหมดแล้วด้วยปราโมทย์ตั้งหลายครั้ง ผมเลยเริ่มไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วเขาอยากได้คำตอบจากผม หรือ เขาพยายามให้ผมตอบอย่างที่เขาอยากได้ยินเท่านั้น
เรื่องที่พวกเขาจะมองว่าผมเป็นเกย์มองว่าผมไล่ตามผู้ชาย ถามว่ามันเป็นปัญหาสำหรับผมไหม? ก็ถ้าตราบใดที่มันไม่กระทบกับเรื่องเรียนและเพื่อนรอบข้างของผมมันก็จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลยสักนิด
แต่ครั้งนี้ที่ผมกังวลเพราะว่ามันอาจจะเป็นผลกระทบต่อพี่เก่งที่เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยโดยตรงเพราะฉะนั้นแม้ผมจะรู้สึกเบื่อหรือรำคาญกับการนั่งให้เป็นเป้านิ่งให้พวกเขาเดินเข้ามาถามผมก็ยังคงนั่งตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่ลุกหนีไปไหน เพราะผมอยากให้เขารู้ความจริงและเลิกพูดเรื่องไม่จริงกันเสียทีแล้วถ้าผมยิ่งหนีคนก็ยิ่งอาจจะยิ่งคิดไปอีกอย่าง 

“ผมตอบไปแล้ว”

คนกลุ่มที่เดินเข้ามาถามผมยอมเดินจากไปหลังจากที่ไม่ได้คำตอบอย่างที่เขาต้องการ ทันทีที่กลุ่มพวกนั้นลับสายตาของผมไปผมก็ปิดสมุดที่กำลังปั่นงานลงเพราะต่อให้พยายามขยันและทำต่อผมเชื่อว่างานที่ออกมาก็คงไม่ดีเลยว่าจะขอนั่งเงียบๆ ทำสมาธิสักพักแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ตอนที่หัวสมองของผมโล่งกว่านี้

“ชิน”

“หื้ม?”

“นายเคยคิดจะถามพี่เขาไหม?”

“ไม่ สำหรับเรามันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“แล้วถ้าเกิดพี่เขาเป็นเกย์ อย่างที่คนอื่นเข้าว่ากัน?”

“พี่เขาจะเป็นอะไรก็ช่างเราไม่สนใจตรงนั้นอ ตอนที่พี่เขายอมสนิทกับเราพี่เขายังไม่เคยเห็นสงสัยเลยว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนคนอื่นนายจากปราโมทย์ เพราะฉะนั้นสำหรับเรา แค่พี่เขาเป็นคนดีแบบที่พี่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ แค่นี้ก็พอ” 

“แล้วถ้าเกิด พี่เก่งไม่ได้เป็นคนดีละ? ถ้าเกิดพี่เขาแค่สร้างภาพลักษณ์ให้ออกมาดูเป็นคนดีละ?”

“ปราโมทย์ฟังเรานะ เราเชื่อในสัญชาตญาณของเราว่าเรามองคนไม่ผิด พี่เก่งไม่มีวันเป็นคนไม่ดี เรารู้จักกับพี่เขาคุยกับพี่เขาเราต้องรู้สิ”

“นายกำลังมองพี่เขาเป็นความดีเพราะพี่เขายอมเป็นเพื่อนนายอีกคนหรือเปล่า? แน่ใจแล้วเหรอว่าเห็นพี่เขาหมดทุกด้านแล้ว?”

“เรามั่นใจ”

ผมรู้ว่าปราโมทย์หวังดี ไม่แปลกที่ปราโมทย์จะมีคำถามแบบนี้เพราะตัวเขาเองไม่ได้มาสนิทกับพี่เก่งแบบที่ผมสนิท เขาก็คงจะต้องระแวงเอาไว้ก่อน แต่สำหรับผมผมที่เป็นคนสัมผัสตัวตนของพี่เก่งด้วยตัวเอง ผมมั่นใจในตัวของพี่เก่งมากพอและผมก็เชื่อว่าพี่เก่งไม่ได้เป็นคนแค่สร้างภาพ ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่เคยมีใครไม่เห็นด้านไม่ดีของพี่เก่งเลย

“แล้วถ้าเกิดวันนึงมีคนมาบอกว่า พี่เก่งเป็นคนนิสัยไม่ดีละ? นายอาจจะแค่ยังไม่รู้จักคนพวกนั้นก็ได้”

“ปราโมทย์กำลังจะบอกอะไรเรา?”

“เราไม่ได้จะบอกอะไรเราแค่ถาม”

“งั้น เราก็ตอบได้ว่าเราไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนั้น” 

เหมือนปราโมทย์จะรู้ว่าผมกำลังอารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ ปราโมทย์จึงหยุดพูดเรื่องพวกนี้ ผมไม่ได้โมโหที่ปราโมทย์ตั้งคำถามแต่ผมกำลังโมโหว่าทำไมทุกคนถึงเชื่อคำพูดจากคนอื่นทั้งๆ ที่บางคนไม่ได้รู้จักตัวตนของพวกผมเลยด้วยซ้ำสำหรับผมเรื่องเม้าท์ก็เป็นได้แค่เรื่องเม้าท์ ดูอย่างเรื่องของผมที่บอกว่าผมไปตามตื้อพี่เก่งสิมันมีความจริงอยู่ในนั้นกี่เปอร์เซ็นต์กัน

“เมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันจะจบไปสักที เราต้องโดนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

“ไม่ต้องเครียดหรอก เรื่องไม่จริงเดี๋ยวก็เงียบไปเอง ถ้าเราเป็นนายเราจะไม่ตอบอะไรใครอีก ยิ่งนายไปอธิบายมันยิ่งพูดก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นไปพูดต่อได้ อยู่เฉยๆ แบบนี้ไปนั้นแหละ ไม่ต้องสนใจคำใคร” 

...

ช่วงเดือนต่อมาเป็นเดือนแห่งความโหด ทั้งรายงานทั้งสอบกลางภาคต่างลุมล้อมนักศึกษาทุกคน และอาจจะเพราะความยุ่งนี้ทำให้ไม่มีใครมาสนใจเรื่องของผมอีก แล้วในที่สุดผมก็ได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสงบๆ ได้อีกครั้ง

“สอบเสร็จแล้ว เย้”

“ฝากขอบคุณชีทพี่เก่งเขาด้วยนะ ถ้าไม่ได้ชีทพี่เขาเราคงแย่”

“ได้เลย เดี๋ยวเราบอกให้ ว่าแต่วันนี้ไปกินอะไรก่อนแยกกันดีไหม?”

แต่แล้วตอนที่เดินลงมาจากห้องสอบผมก็เจอเข้ากับผู้คนกลุ่มนึงมายืนรอที่ทางด้านล่างของตึก ปราโมทย์เห็นท่าจะไม่ค่อยดีเลยเดินมาตีขนาบข้างผมเอาไว้

“ถามจริงๆ นี่คือมั่นใจแล้วว่าแบบนี้จะดีใช่ไหม?” 

“ผมทำอะไรครับ?” 

“คราวที่แล้วก็ทำมาเป็นบอกว่าไม่ใช่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ปฎิเสธแต่ก็เห็นลากกันขึ้นไปห้องตลอดใครๆ ก็เห็น ครั้งนี้ก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องอีกสิ?” 

“ก็ผมไม่รู้เรื่อง”

“แต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจมากหรอกนะ แต่นี่เล่นเอาถึงกับเก่งมันเสียหายจนโดนปลด แล้วรู้ไหมงานของคนอื่นเขาก็ต้องพังไปตามๆ กัน แผนงานที่วางมาต้องมาเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เห็นถึงความลำบากของคนอื่นบ้างสิ” 

“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“ถ้าโง่มากนัก ก็หัดลับสมองไปดูหน้าเว็บของมหาวิทยาลัยบ้าง จะได้เลิกแกล้งโง่สักที แล้วก็นายแว่น ขนาดนี้แล้วยังจะมาปกป้องมันอีก บ้าปะ?” 

“ผมว่าพี่นั้นแหละต้องถามตัวเอง” 

“เอ๊ะ” 

“ปราโมทย์ อย่าเลย” 

ผมปรามปราโมทย์เอาไว้เมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะมายืนเถียงกันตรงนี้ มันคงเป็นภาพไม่น่าดูเท่าไหร่ที่ผู้ชายอย่างพวกผมไปต่อปากต่อคำมีเรื่องกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิงด้วยเรื่องของผู้ชายอีกคน 
เมื่อผมสามารถลากปราโมทย์ออกมาได้ไกลจากจุดเดิม ผมรีบหยิบมือถือออกมาเช็คที่หน้าเว็บของมหาวิทยาลัยดู ผมมือชาหน้าชาไปหมดทันทีที่เว็บโหลดขึ้นมา

เรื่องเม้าท์ลับหลังที่ผมเคยพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กข่าวลือในวันนี้ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่ออยู่ดีๆ รูปของพี่เก่งก็ถูกปลดออกจากหน้าเว็บเพจของมหาวิทยาลัยแถมรูปในเว็บของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีพี่เก่งอยู่ยังถูกเปลี่ยนไปเป็นรูปอื่นทั้งหมด 

“มันเกิดอะไรขึ้น? แล้วมันนานเท่าไหร่แล้ว?”

“คนเดียวที่จะให้คำตอบนายได้ก็คือเจ้าของรูปนั้นแหละ ใจเย็นๆ มันอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยก็ได้”

“งั้นเราไปหาพี่เก่งก่อนนะ เราขอเลื่อนนัดวันนี้ไปได้ไหม?” 

“ไปเถอะ” 

ระหว่างที่ออกเดินตามหาผมก็พยายามกดโทรออกหาพี่เก่งหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับพี่เก่งได้ นี่เป็นอีกครั้งที่ผมตัดสินใจเดินออกตาหาพี่เก่งโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขายังอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่า เหมือนครั้งนั้นครั้งที่เรารู้จักกันครั้งแรก

ผมเดินจนหอบเหนื่อยจึงหยุดลงนั่งพักที่ตรงสระบัวที่ผมเคยนัดเจอกับพี่เก่งพยายามคิดว่าถ้าเกิดผมเป็นพี่เก่งในช่วงเวลานี้ผมจะไปอยู่ที่ตรงไหน? ในขณะที่ผมกลังคิดถึงสถานที่ที่พี่เก่งน่าจะไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังเข้า ผมรีบกดรับเพราะนึกว่าเป็นพี่เก่งแต่ก็ไม่ใช่ 

“ว่าไงปราโมทย์?” 

“เจอพี่เก่งรึยัง?” 

“ยัง” 

“ชิน” 

“หื้ม?” 

“อย่าคิดมากละ” 

“ขอบใจนะ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน” 

ผมคิดมองกลับไปหลายเรื่องแล้วไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมคิดถึงกลุ่มเฟสบุ๊คที่ผมไม่เคยคิดจะกลับเข้าไปขึ้นมาอีกครั้ง ผมย้ำถามกับตัวเองหลายครั้งก่อนจะกดเข้าไปว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหม? แต่ผมก็ให้คำตอบกับตัวเองว่าผมเข้าไปก็เพียงเพื่อหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงท่านั้น ถ้าไม่เจออะไรผมก็จะออกมาโดยที่ไม่อ่านเนื้อหาเรื่องอื่นๆ

“นี่มันอะไรกัน?”

ทันทีที่นิ้วมือของผมจิ้มลงไปที่สัญลักษณ์สีฟ้า ในหน้าฟีดก็ปรากฎรูปและหัวข้ออื่นประปราย แต่หัวข้อสเตตัสที่มีคอมเมนท์เยอะที่สุดก็หนีไม่พ้นสเตตัสที่ว่า

(ตายแล้วหนุ่มหล่อนามว่า ก ถูกปลดกะทันหันฟ้าผ่าเปรี้ยง ช่วยไม่ได้ชอบด้านหน้าอยู่ดีๆไม่เอาดันแปลพรรคไปชอบทางด้านหลัง ซวยไปนะนาย)

คอมเมนท์ในนั้นมีทั้งแสดงออกถึงความเห็นใจและสงสารที่พี่เก่งต้องมาโดนเรื่องแบบนี้ แต่ข้อความแสดงความเห็นใจมันช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเอามาเทียบกับข้อความที่เหน็บแนมและเสริมเรื่องอื่นเหมือนเป็นการกระพือไฟเข้าไป

“มันก็ชอบแบบนี้มานานแล้วไหมก็เห็นเดินตามตูดคนอื่นมาตั้งแต่มัธยม”

“มีกะเทยมาหลังไมค์ว่าลีลาเด็ด”

“ขอคลิปยืนยันค่ะ”

“เออเรื่องคลิปเห็นเขาบอกว่านางชอบถ่ายเก็บเอาไว้ มีใครใจดีส่งต่อทีค่ะ”

“คลิปอยู่ที่มือถือนางคนอื่นจะไปมีได้ไง จากคนที่เคยขอคลิปมันดู”

“อุ้ย มาแรงสงสัยจะจริง”

“สงสารนางนะที่เจอข่าวแบบนี้ แต่ว่าถ้าเกิดใครมีคลิปส่งมาทีอยากเห็นว่าเรื่องจริงไหม”

“งานนี้ก็ต้องโทษ ช นะแหละต้นเรื่องเลย ก เขาแดกเงียบๆ ของเขามาหลายปีเข้ามาใหม่แม่งเปิดตัวซะ”

“เออจริงมาเปิดตัวทีพวกกูอดแดกไปด้วยเลยไหม งี้เรียกอยู่ไม่เป็น”

“แบน กูแบนค่ะ ตอแหลก่อนหน้านี้มีคนไปถามก็บอกไม่มีใครเป็นเกย์”

“เชื่อก็ออกลูกเป็นควายไหม (แนบรูป)” รูปที่คอมเมนท์นี้แนบมาเป็นรูปที่ผมประคองพี่เก่งที่ศรีราชาในคืนที่พี่เก่งเมาจนจะล้มลงไปที่พื้น

“ตาย โอ๊ย ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วแบบนี้ยังว่าไม่มีอะไร ตอมาก”

“วงในเขาบอกว่าไปค่ายนี่อย่างกับไปฮันนีมูนส่วนตัว”

“ขยายทีวงในว่าไงต่อ”

“โอ๊ยถ้าบอกก็วงในแตกหมดสิ เอาเป็นว่าแม่งยิ่งกว่าเปิดตัว”

“งี้ข่าวที่ว่า ก นางชอบถ่ายคลิปและชอบตูดก็จริงดิ?”

“ก็เท่าที่อ่านมามึงว่าจริงไหม?”

“ถ้ารู้ว่า ช คันขนาดนี้กูจัดเพื่อนให้ละ”

“โอ๊ย จากรูปอิจฉานางวะเป็นกูฟินตายแล้วได้เอากับ ก เนี่ย”

ผมอ่านทุกคอมเม้นอย่างละเอียด หลายๆ คอมเมนท์โทษมาทางผมที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แถมอีกหลายคอมเมนท์ที่หาว่าผมเป็นตัวซวยของพี่เก่ง

แต่ข้อความเหล่านี้ยังไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกเสียใจเท่ากับรูปกับข่าวที่ออกมาจากชมรม ยังไงก็ต้องเป็นคนในชมรมซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมหลงคิดเสมอว่าทุกคนในชมรมโอเคกับผมแต่จากที่เห็นมันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับผมอย่างที่เขาแสดงออกมา

ไล่ดูต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เห็นรูปออกมาประปราย ทุกรูปที่มีรูปผมกับพี่เก่งก็จะมีแต่คอมเมนท์เสียๆ หายๆ ขนาดรูปที่ถูกแคปมาจาก IG ของพี่เก่งที่เป็นรูปท้องฟ้าที่เราตั้งใจถ่ายกันในคืนนั้นยังมีแต่คอมเมนท์ประชดประชันเลยว่าจริงๆ ฟ้าต้องเป็นสีเหลืองบ้าง หรือว่า สว่างคาตาเลยถ่ายได้ดีบ้าง คอมเมนท์ที่เคยชมว่ารูปสวยฝีมือของคนเข้าร่วมชมรมนั้นดี มันไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว

ผมปิดหน้าเพจนั้นลงเพราะผมทำใจอ่านต่อไปไม่ได้ ถ้าทำได้ผมอยากบอกอยากอธิบายกับคนพวกนั้นเหลือเกินว่าผมกับพี่เก่งไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดกัน แต่ถ้ามีเพียงผมเพียงคนเดียวที่พูดออกไปว่าไม่จริงจะมีใครเชื่อที่ผมพูดบ้างไหม? เพราะขนาดผมบอกว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ยังไม่มีใครเชื่อผมสักคน

แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไป? ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของปราโมทย์แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่คิดจะพูดอะไรตอนที่เขาได้ฉายาว่า “ไอ้แว่น” หรือผมควรเงียบอย่างที่ปราโมทย์ว่าจริงๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
«ตอบ #18 เมื่อ08-07-2017 16:24:13 »

สงสารจับใจ

ออฟไลน์ Damon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
«ตอบ #19 เมื่อ08-07-2017 21:53:32 »

สนุกมากๆ ค่ะ มาให้กำลังคนแต่ง แต่งได้ลื่นไหลมีปมชวนติดตาม อ่านแล้วหยุดไม่อยู่จนเห็นว่าหมดแล้วนี่แหละ ครางหงิงอย่างหมาเลย 555 รู้สึกว่า ช เป็นเหยื่อสังคม ตกเป็นจำเลย แล้วถ้าพี่ ก เป็นอย่างที่วงในวงนอกเล่ามาบอกได้เลย พี่เนียนมากค่ะ คือแต่แรกที่ให้เนคไทก็รู้สึกได้ว่าแปลกๆ ดูก็รู้ว่าพี่คิดอะ แต่ ช ดูยอมเพราะไม่อยากให้พี่คิดว่าตัวเองรังเกียจ บวกกับตัวเองให้ความเคารพในความสัมพันธ์นี้ด้วย เราไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าหากบางครั้ง ช แลดูอึดอัดกับคำกล่าวแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้ สุดท้ายแอบคิดว่า พอถึงจุดพีคพี่ ก แกอาจจะตบะแตกจับ ช ทำเมีย (จั่วหัวเอสเอ็มหลาขนาดนั้นโชว์ความเอสหนักๆ ค่ะ ไม่หนักอย่าโชว์ เสียแท็กหมด 555) สุดท้ายดูกันว่า ช จะทำอย่างไร ต่อไป ส่วนตัวชอบ Happy end มากกว่า แต่ถ้าเอาตามสภาพจริง หากถูกกระทำชำเราคงจะเป็นได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ขอ Good end นะคะ ไม่อยากให้หม่นไป แล้วแต่ใจคนแต่งค่ะ

อีปราโมทย์มันต้องร้ายแน่ๆ ค่ะหัวหน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
« ตอบ #19 เมื่อ: 08-07-2017 21:53:32 »





ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
«ตอบ #20 เมื่อ09-07-2017 22:44:23 »

สงสารชิน :mew5:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
«ตอบ #21 เมื่อ10-07-2017 01:52:00 »

สงสารชิน

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
«ตอบ #22 เมื่อ10-07-2017 11:59:27 »

บทที่ 7

ผมกลับห้องด้วยความเหนื่อยล้า เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ  และในเวลาเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่ผมจะคิดถึงมากที่สุดคือ พ่อ กับ แม่ ผมพาร่างที่เหนื่อยเดินเข้าไปที่ห้องนอนคว้ากระเป๋าเป้ในเล็กในห้องจับยัดรายงานและหนังสือที่ต้องใช้ใส่ลงในกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับบ้าน

“พ่อครับแม่ครับ ... สวัสดีครับ”

ผมกลับมาถึงบ้านตอนสองทุ่มนิดๆ ทั้งพ่อและแม่ต่างยังนั่งดูละครกันอยู่ทางด้านล่าง พอเข้ามาในตัวบ้านได้ผมก็วางเป้เอาไว้ที่พื้นและเดินเข้าไปนั่งแทรกตรงกลางระหว่างท่านทั้งสอง

“ตายแล้ว ลูกกลับมาบ้านโดยที่ไม่ใช่วันหยุด แม่ต้องจดลงสมุดบันทึกเลยรึเปล่าจ๊ะ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ”

“กินอะไรมารึยัง?”

“ยังเลยครับแม่”

“มีอะไรรึเปล่า? สีหน้าดูไม่ค่อยดี”

“งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวให้ คุยกับพ่อเขาไปก่อนแล้วกัน”

ผมก็ไม่รู้ว่าหน้าตาของผมแสดงออกอะไรไปมากแค่ไหน แต่ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยและความใส่ใจของท่านทั้งสอง ผมก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเอาเรื่องหนักใจมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านทีเวลามีความสุขผมยังไม่เคยกลับเอาความสุขมาฝากเอาไว้ที่นี่ ผมว่าผมหนักใจคนเดียวคงดีกว่าที่ใครทุกคนต้องมาร่วมทุกข์ไปกับผม

“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่เหนื่อย”

“ถ้าเรื่องเรียนไม่ต้องไปเครียดมันมากก็ได้ เอาที่ไหว”

“ครับ”

ความไม่อยากอาหารหายไปทันทีที่เห็นข้าวไข่เจียวหมูสับฝีมือของแม่ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ห้องของตัวเองแม้จะยังไม่ได้กินอะไรแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความหิว แต่มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าข้าวจานตรงหน้าเพียงจานเดียวอาจจะไม่พอกับความต้องการของผม

หลังจากที่เก็บล้างเรียบร้อยผมใช้เวลาเอื่อยอยู่ข้างล่างดูหนังกับพวกท่านต่อ แล้วหลังจากที่ละครหลังข่าวจบเราทั้งสามก็ค่อยแยกย้ายไปที่ห้องใครห้องมัน ผมเข้าไปอาบน้ำทำหัวสมองให้โล่ง เพราะวันนี้ผมก็เสียเวลาไปมากโดยที่ยังไม่ได้แตะรายงานชิ้นสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล

ผมกางโต๊ะญี่ปุ่นออกตรงกลางแล้วลงนั่งแปะที่พื้นคิดว่าจะตั้งใจทำรายงานแต่กลายเป็นว่าผมยังคงเอาแต่วนเวียนอยู่กับโทรศัพท์เข้าไปอ่านโพสนั้นอยู่ซ้ำๆ แล้วก็คิดวนไปมาอยู่กับเรื่องเดิมๆ จนสุดท้ายก็แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์โดยการเอาแต่นั่งมองกองหนังสือตรงหน้า

พอนั่งมองหัวข้อรายงานนานเข้าผมก็พาลคิดไปว่าที่ผมได้หัวข้อรายงานยากแบบนี้มันเป็นเพราะอาจาร์ยเองก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า? ถึงต้องการสั่งสอนให้ผมตั้งใจเรียนมากกว่าไปมีเรื่องราวแบบนั้น

ผมคิดย้อนไปถึงหน้าของเพื่อนในคาบเรียนทุกคนที่มองมา สายตาที่ยิ้มมาให้กับผมตอนที่ทักกันจะมีสักกี่คนที่ยิ้มจริงใจไม่ใช่ยิ้มเยาะเย้ยหรือขยะแขยง

แล้วปราโมทย์ละเขาเป็นคนที่เข้าใจผมจริงๆ แบบที่เขาพูดรึเปล่า หรือเขาอาจจะเหมือนคนที่ชมรมก็ได้ที่ต่อหน้ายอมรับผมเป็นเพื่อนแต่ความจริงไม่เคยมอบคำนั้นให้กับผมเลย

ยิ่งคิดก็เจอแต่ทางตันคิดไม่ออกว่าควรจะวางตัวกับคนอื่นๆ อย่างไร จะให้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อกับแม่ผมก็ไม่มีความกล้าอีกอย่างพวกท่านอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ ก็ได้ ในขณะที่ผมกำลังติดอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นปลุกให้ผมหลุดจากภวังค์

“ฮัลโหลพี่เก่ง ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลย”

 “ขอโทษ พี่ติดธุระนิดหน่อย”

“ธุระของพี่คือเรื่องที่พี่โดนปลดจากพรีเซ็นเตอร์ของมหาวิทยาลัยรึเปล่า?”

“ชินอยู่ไหน? พี่มารอหน้าหอข้างล่าง”

“ผมอยู่ที่บ้าน”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหา...ได้ไหม?”

มองดูเวลานี่มันก็ดึกมากแล้ว แม้ผมอยากรู้เรื่องราวจากปากของพี่เก่งว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้าให้ขับรถมาเวลานี้มันอาจจะเป็นอันตรายต่อพี่เก่งได้

“อย่าเลยครับ คนที่บ้านนอนหมดแล้ว”

“งั้นเหรอ?” เสียงของพี่เก่งดูผิดหวังจนผมเองก็หวั่นใจว่าพี่เก่งกำลังจะคิดว่าผมไม่อยากเจอพี่เขารึเปล่า จากที่เคยคิดว่าจะรอกลับไปที่หอแล้วค่อยคุยกันเลยกลายเป็น

“พรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยมาดีกว่าครับ”

“โอเคครับ”

.................................................................

ผมแชร์โลเคชั่นที่อยู่ให้พี่เก่งทางโทรศัพท์ก่อนที่จะวางสาย พี่เก่งมาถึงบ้านของผมตั้งแต่ 7 โมงเช้าผมเดินออกไปเปิดประตูให้กับพ่อกับแม่ออกไปทำงานก็เห็นรถพี่เก่งขับสวนเข้ามาในซอยบ้านพอดี

เพียงแว้บแรกที่ผมเห็นหน้าของพี่เก่งผมก็รู้เลยว่าตัวพี่เก่งเองก็คงจะโดนผลกระทบจากเรื่องนี้หนักไม่ต่างกับผม ผมมองหน้าพี่เก่งด้วยความรู้สึกผิด ถ้าในชีวิตพี่เขาไม่มีผมเข้ามายุ่งพี่เขาคงไม่ต้องกลายมาเป็นหนุ่มโรคจิตชอบถ่ายคลิปคนอื่นไปทั่ว จากที่เป็นหนุ่มเรียนดี หนุ่มกิจกรรมอยู่ดีๆ

“พี่...ผมขอโทษ”

มันเป็นเพียงคำเดียวที่ผมจะสามารถบอกกับพี่เก่งได้ คำขอโทษจากผมคือขอโทษที่เข้ามารู้จักกับพี่เขาแล้วทำให้พี่เขามีแต่ความวุ่นวาย ถ้าตั้งแต่วันที่มีข่าวช่วงแรกผมยอมถอยออกมา ในวันนี้ผมกับพี่เก่งก็คงไม่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้

“พี่ก็ต้องขอโทษเราเหมือนกันที่ทำให้เราต้องมาโดนไปด้วย”

“เมื่อวานมีคนมาบอกผมเรื่องพรีเซ็นเตอร์ มันจริงรึเปล่าครับพี่?”

“มันเป็นแค่การสอบถามนะ เป็นธรรมดาที่พอข่าวไม่ดีออกมามากๆ พี่ก็ต้องโดนเรียกไปคุย แต่ก็แค่คุยและพิจารณายังไม่ได้มีการปลดพี่อย่างที่เขาพูดกัน”

“แต่รูปพี่หายไปแล้ว”

“ก็ต้องเอาออกก่อน แล้วถ้าสอบสวนแล้วไม่มีมูลความจริงทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

“จริงนะพี่”

“จริงสิ พี่จะหลอกชินทำไม”

พี่เก่งตัดสินใจเล่าทุกคำพูดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เข้าไปคุยกับอาจารย์ให้ผมได้รับรู้เมื่อเห็นว่าผมยังคงทำหน้ากังวลอยู่ สรุปแล้วพวกข่าวต่างๆ ไปถึงหูอาจารย์จริงอย่างที่ผมกังวล แต่พี่เก่งก็ได้อธิบายตัวเองไปหมดแล้วว่าพี่เขาไม่เคยทำเรื่องเสียหายแบบนั้น ยังโชคดีที่อาจารย์ยังยอมรับฟังพี่เก่งอยู่บ้าง

“แล้วพี่เก่งต้องทำอะไรต่อไปรึเปล่า?”

“ความจริงก่อนออกมา อาจารย์ก็แนะนำให้พี่ไปแจ้งความไว้ พวกแบบ พรบ คอมพิวเตอร์ทำนองนั้น”

“แล้วพี่คิดว่ายังไง?”

“พี่ก็อยากไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างสร้างความวุ่นวายให้กับพี่และชิน จนตอนนี้กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ถ้าถามว่ามันคุ้มกับการที่จะเสียเวลาไปแจ้งความไหม? พี่ว่าคุ้ม แต่พี่เองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่แจ้งความไปแล้วมันจะมีอะไรคืบหน้ามากน้อยแค่ไหนคนพวกนั้นจะหยุดจริงๆ หรือเปล่า? อีกอย่างกฎหมายเรื่องนี้กับกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทมันเป็นอะไรที่ยังไม่ชัดเจนพี่ก็งงและไม่แน่ใจ ไม่ได้เรียนด้านนี้มา”

“ผมเห็นด้วยกับอาจารย์นะพี่”

“ถ้าพี่จะเอาเรื่อง พี่ก็ต้องไปบอกที่บ้านเพื่อปรึกษา ทีนี้เรื่องมันก็จะใหญ่โตไปอีก แค่นี้พี่ก็ปวดหัวจะตายแล้ว ถ้าพ่อกับแม่รู้พี่คงต้องอธิบายอาจจะนานกว่าไปอธิบายกับตำรวจ แล้วที่บ้านของพี่เองก็ไม่ได้พร้อมถึงขนาด…”

“พี่เก่ง”

“ว่า? ขอโทษพี่เริ่มบ่นมากไปแล้วใช่ไหม?”

“ยังไงพี่ก็มีผมอยู่เสมอนะ”

ผมเอื้อมมือไปจับมือของพี่เก่งเอาไว้เพราะผมต้องการให้พี่เก่งรู้ว่าไม่ว่าคนอื่นจะพูดถึงพี่เก่งยังไงหรือไม่ว่าพี่เก่งต้องโดนอะไรผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้เสมอ จะอยู่เป็นรุ่นน้องของพี่เขาเสมอ

“แม้ว่าพี่อาจจะเป็นคนแบบนั้นอย่างที่เขาว่ากัน?”

“อื้ม....แค่พี่ดีกับผม ผมก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ พี่มีผมเสมอนะ”

“ขอบคุณครับ”

พี่เก่งคว้าตัวผมเข้าไปกอด ความตกใจที่อยู่โดนดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่นทำให้ผมเกร็งตัวเอาไว้ ที่ผ่านมาแม้พี่เก่งจะเล่นหรือแสดงออกถึงความสนิทแต่มันไม่มีครั้งไหนที่จะถึงขั้นกอด

แต่พอคิดได้ว่าวันนี้พี่เก่งคงเจอแรงกดดันมาพอสมควรจากการประชุมกับคณะอาจารย์ ผมจึงปีดความตกใจของตัวเองทิ้งไปแล้วยกมือขึ้นกอดพี่เก่งกลับพร้อมกับค่อยๆ ตบลงที่หลังของพี่เก่งและบอกว่าผมอยู่ตรงนี้

.....................................................................

 “ขอบคุณชินมากนะ ที่ยังยอมนั่งกับพี่ตรงนี้ ไม่ไปไหนเหมือนคนอื่นที่พอพี่ไม่ได้มีผลประโยชน์ก็ต่างหายไปจากพี่”

เพราะผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรผมจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง ผมยังเจอพี่เก่งเหมือนเดิม เดินไปที่ชมรมพร้อมพี่เก่งยังคงให้การสนับสนุนชมรมทุกอย่าง แม้ว่าพี่เก่งจะถูกลดหน้าที่จากผู้ดูแลชมรมมาเป็นแค่คนร่วมชมรมก็ตาม

ผมใช้เวลาคิดอยู่สักพักเช่นกันก่อนที่จะกลับไปที่ชมรมอีกครั้ง แน่นอนว่าผมค่อนข้างมั่นใจว่ารูปล่าสุดถูกปล่อยโดยคนที่ชมรมที่ไปออกค่ายด้วยกันในวันนั้นทำให้ผมไม่อยากเข้าไป แต่ ถ้าพี่เก่งโดนปลดแล้วผมไม่เข้าชมรมเลยทุกคนอาจจะคิดได้ว่าพวกเขาคิดถูกแล้วว่าที่ผมเข้ามาชมรมก็เพราะพี่เก่ง ผมอยากให้เขารู้ว่าผมเข้าชมรมนี้เพราะผมชอบในการถ่ายรูปจริงๆ

“ผมบอกพี่แล้วว่าผมจะไม่ไปไหน”

ผมทำเป็นเข็มแข็งและไม่แคร์สายตาของใครเวลาที่มีคนมองตอนที่ผมกับพี่เก่งเดินคู่กันในมหาวิทยาลัย แต่ความเป็นจริงผมกลับมาร้องไห้ทุกวันที่ห้องของตัวเองที่คอยเจอแต่สายตาพวกนั้น

ชีวิตช่วงนี้ในรั้วมหาวิทยาลัยผมก็ได้ปราโมทย์เป็นที่พึ่ง แม้ใครจะว่าปราโมทย์ว่าเป็นเด็กเนิร์ดขนาดไหนแต่สำหรับผมแล้วปราโมทย์คือเพื่อนที่ดีที่สุด

ปราโมทย์ตัวติดกับผมจนใครๆ ต่างก็พูดกันว่าผมโดนพี่เก่งเขี่ยทิ้งเลยต้องมาพึ่งพาโมทย์ให้มารับช่วงต่อ  แต่ถึงจะโดนพูดแรงขนาดไหนก็ตามปราโมทย์ก็ไม่เคยปล่อยให้ผมเดินไปไหนมาไหนคนเดียวแถมยังอยู่ข้างๆ ผมเสมอ จนผมรู้สึกผิดในใจที่เคยระแวงว่าปราโมทย์จะเหมือนกับคนอื่นๆ

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวซวยเพราะไม่ว่าผมจะสนิทกับใครคนนั้นต้องกลายเป็นข่าวในแง่ลบเสมอ ผมเคยคิดถึงขนาดที่ว่าหรือผมสมควรที่เลิกคบกับทั้งสองคนนั้นดีนะ

ยิ่งรับรู้ผมยิ่งรับไม่ได้ ผมเริ่มเก็บตัวไม่อยากออกไปเรียนแต่ก็ได้ปราโมทย์มาลากออกไปทุกครั้ง จากที่เป็นคนไม่มีสังคมอยู่แล้วผมก็ยิ่งเป็นคนเก็บตัวนั่งหลังห้องติดกำแพงเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจในตัวของผม

“นายโคตรเจ๋งอะ มีพระเอกขี่ม้าขาวมาปกป้องด้วย”

“เราเอาใจช่วยนะ กำจัดคำพูดพวกนั้นให้หมดละ”

“ดีเลย แจ้งความเอาเรื่องเลยสิ เราอยากรู้ว่าจะจับออกมาได้ครบทุกคนไหม?”

ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการให้กำลังใจผมจริงๆ หรือ ต้องการใประชดประชันผม แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ การที่พยายามไม่ทำเป็นจุดสนใจของผมดูจะไม่เป็นผลหลังจากที่เพื่อนของกลุ่มพี่เก่งร่วมกันแชร์สเตตัสของพี่เก่งในหน้าเฟสบุ๊คของอย่างพร้อมเพรียงกันในวันนึง โดยที่สเตตัสนั้นพี่เก่งโพสว่า

“ถ้าเรื่องมันไม่หยุดลงสักที ผมคงต้องดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่แต่มันมีผลกระทบต่อหลายฝ่ายครับ กรุณาหยุดพูดในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยครับ”

แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่าทำไมพี่เก่งต้องออกมาพูดถึงเรื่องฟ้องร้อง แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าแค่การสนุกปาก แต่มันกลายเป็นว่าทุกคนไม่ได้มองในมุมนั้น ทุกคนต่างมองว่าพวกเราทั้งสองคนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำเป็นเบ่งเป็นพวกมีอำนาจ ก็แค่เราสองคนอยากปกป้องสิทธิ์ของตัวเองทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“จะรีบไปไหน? ไม่อยู่ทานข้าวก่อน?”

ปราโมทย์อาจจะบังคับให้ผมออกมาเรียนได้แต่หลังจากเลิกเรียนปราโมทย์ไม่สามารถที่จะรั้งผมเอาไว้ได้ ผมมักจะตรงกลับห้องโดยที่ไม่แวะที่ไหน

 ผมรู้ว่าปราโมทย์ไม่ต้องการให้ผมอยู่คนเดียว แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะไปนั่งให้เป็นเป้าสายตากับความกังวลว่าคนอื่นจะมองมาด้วยความคิดไหนจริงๆ

“ไม่ละ เราอยากกลับห้อง”

“แต่เดี๋ยวนายก็ต้องกลับมาชมรมอยู่ดี”

“เดี๋ยวค่อยออกมาตอนที่พี่เก่งเลิกเรียนเดี๋ยวเราตรงไปจากหอก็ได้”

“นายจะหลบแบบนี้ตลอดไปเลยรึไง?”

“อย่ามาว่าเราไม่สู้นะ เราสู้แล้ว!! เราไม่รู้เราต้องทำยังไงแล้ว !!! พูดก็ไม่มีคนเชื่อ ไม่พูดก็กลายเป็นยอมรับ ไหนปราโมทย์บอกว่าถ้าเราเงียบซะ เรื่องมันก็จะเงียบไปเองไง?”

“ชิน...เราแค่อยากให้นายแข็มแข็งผ่านมันไปให้ได้”

 “เรายอมแพ้แล้วปราโมทย์...เรายอมแล้ว...เราทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว...เราไม่เอาแล้ว”

ผมนั่งยองลงเอามือกอดกับเข่าก้มลงให้ชิดกับเข่าของตัวเองปล่อยความอ่อนแออยู่ที่ข้างตึกโดยที่ใช้กำแพงที่อยู่ทางด้านหลังเป็นที่พิงกายเอาไว้ ผมทนแข็มแข็งแบบจอมปลอมแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ความกดดันมันมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้อีกต่อไป

“ถ้านายคิดว่าทางเลือกอีกทางที่นายคิดมันดีกว่า นายก็ทำตามที่นายมั่นใจแล้วกัน”

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านรวมถึงทุกคอมเมนท์ด้วยค่ะ  :pig4:

#theeffect
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2017 12:04:19 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ Damon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
«ตอบ #23 เมื่อ10-07-2017 12:20:11 »

อยากจะหายไปสักพักแล้วกลับมาอ่านตอนจบเลยอะค่ะ อ่านทีละตอนค้างคามาก
สู้ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้ เข็นตอนใหม่ออกมาเร็วๆ น้า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
«ตอบ #24 เมื่อ10-07-2017 22:24:37 »

คำพิพากษาของสังคม
ถ้าเก่ง ไม่เป็นเกย์ ก็โดนคำพิพากษาจากสังคมไปเต็มๆ

แล้วถ้าเก่ง เป็นเกย์จริง มันผิดอะไร  มันเป็นความชอบส่วนตัว
ทำให้พวกที่ชอบว่าเดือดร้อนยังไง
คนอื่นไปวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวเขาหรือเปล่า

แล้วพาลไปที่ชิน
เลยสงสัยว่าที่ไม่ชอบชิน
เพราะอิจฉาชิน อยากได้อะไรๆจากเก่ง แบบที่ตัวเองฟังมา
ลีลาเด็ดไรงี้ คือ อยากได้ใคร่โดนสินะ  :hao6:
หรืออิจฉาเก่ง ที่เก่งสมชื่อ เก่งทั้งกิจกรรม ทั้งการเรียน ใช่ป่ะ

ระแวงว่าถ้าชิน ยอมแพ้ แต่เคยบอกเก่งว่าจะอยู่ข้างๆ
มันจะทำให้เกิดอะไรกับชินหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
«ตอบ #25 เมื่อ12-07-2017 12:33:35 »

บทที่ 8

“ไหนพี่ว่าพี่คุยกับอาจารย์รู้เรื่องแล้วไง ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้ละพี่?”

“ช่วงมันเถอะ พี่โอเค ยังไงซะพี่คงไม่ได้ทำหน้าที่นี้ตลอดไปอยู่แล้ว”

“แต่ผมไม่โอเค !!”

ในที่สุดวันที่พี่เก่งถูกปลดจากพรีเซ็นเตอร์ของมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการก็มาถึงจนได้ สิ่งที่ผมกลัวมันเกิดขึ้นจริง รูปภาพตามสื่อของมหาวิทยาลัยถูกเปลี่ยนเป็นรูปของนักศึกษาคนอื่น

รูปกิจกรรมต่างๆ ถ้าเกิดมีรูปพี่เก่งที่ยังแม้จะแค่คอยช่วยทำงานรูปเหล่านั้นก็จะไม่ถูกนำขึ้นสื่อ พี่เก่งกลายเป็นคนที่ถูกคนทั้งมหาวิทยาลัยหันหลังให้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับฉายาใหม่ที่พี่เก่งได้ก็คือ “เทพบุตรตกสวรรค์”

จากที่เคยบอกและสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ความคิดเดียวที่ผมมีก็คือเลิกคบกับพี่เก่งและออกไปจากชีวิตของพี่เขาซะ

ในวันนี้พี่เก่งอาจจะโดนแค่ปลด แต่ถ้าผมยังยืนยันที่จะอยู่เป็นรุ่นน้องที่คอยแต่สร้างแต่ปัญหาให้พี่เก่งต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพี่เก่งต้องเจอกับอะไรบ้าง

นับจากวันนั้นที่ผมตะโกนใส่หน้าพี่เก่งไปผมก็ใช้เวลาช่วง 2 อาทิตย์ต่อมาเป็นช่วงแห่งการหนี ผมพยายามหนีหน้าพี่เก่งมาตลอด ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ และเลิกไปที่ชมรมอย่างถาวร

อาจจะเพราะช่วงนี้ตัวพี่เก่งเองก็กำลังยุ่งๆ เกี่ยวกับการทำเรื่องจบทำให้เราทั้งสองคนไม่ต้องมาเดินเจอกันที่มหาวิทยาลัย  แค่พี่เขาไม่มาที่ผมอยู่หรือผมไม่เดินผ่านไปที่โต๊ะที่พี่เขานั่งเราก็ไม่เจอกันแล้ว มันถือว่าเป็นโชคของผมเพราะถ้าเกิดต้องเดินมาเจอหน้ากันจริงๆ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมควรทำตัวอย่างไรต่อหน้าพี่เขาเช่นกัน

แม้ต้องหนักใจที่ต้องกลืนคำสัญญาของตัวเอง แต่ผมกลับโล่งใจที่พอผมกับพี่เก่งไม่ได้เจอกันเรื่องข่าวต่างๆ ก็เงียบไปไม่มีคนพูดถึงเรื่องของพี่เก่งในแนวไม่ดีอีก แถมพอนานเข้าคนอื่นๆ ก็เลิกให้ความสนใจในตัวผม

มันก็เลยยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผมใจชื้นว่าผมได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว แม้ผมอาจจะดูเป็นคนแพ้อย่างที่ปราโมทย์ไม่อยากให้เป็น อาจจะเสียดายบ้างที่ต้องเสียพี่ชายที่ดีไป แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำลายชีวิตของพี่ชายของผมไปมากกว่านี้
 ............................................................

“ชิน”

“พี่เก่ง”

ทฤษฎีที่ว่าเราไม่สามารถหนีอะไรไปได้ตลอดชีวิตมันคือเรื่องจริงเมื่อผมที่กำลังจะเดินเข้าหอถูกเสียงนึงเรียกเอาไว้ พี่เก่งลุกขึ้นจากฟุตบาทที่อยู่ข้างๆ หอเดินเข้ามาหาผม ผมไม่รู้ว่าตัวพี่เก่งเองมานั่งรอผมนานแค่ไหนแล้วรู้เพียงแต่ว่ามันคงจะนานมากพอสมควรเพราะสีหน้าของพี่เขาไม่ดีเอาซะเลย 

ผมมองไปรอบข้างด้วยความหวั่นใจว่าจะมีใครแอบมาเห็นที่เราสองคนกำลังยืนคุยกันที่หน้าประตูตรงนี้บ้างไหม ทำให้พอพี่เก่งเดินเข้ามา 1 ก้าว ผมก็เดินถอยออกมา 1 ก้าวเช่นกัน ด้วยจิตสำนึกที่ว่าระยะห่างมันเป็นเรื่องสำคัญระหว่างผมกับพี่เขา

“ชิน..เดินหนีพี่ทำไม?”

“เปล่าครับ”

พี่เก่งมองผมด้วยสายตาที่ตัดพ้อ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบใจนั้นแต่ผมไม่สามารถหยุดร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้

“พี่มีอะไรรึเปล่า?”

“พี่อยากคุยด้วย”

ผมกำลังจะชวนพี่เก่งไปนั่งที่สวนเล็กๆ ทางด้านหลังของหอแต่ทางหางตาผมกลับเห็นกลุ่มคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ ผมเลยเปลี่ยนใจ

“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะพี่ วันนี้ผมไม่สะดวก”

แล้วผมก็เดินเร็วจากตรงนั้นรีบขึ้นห้องโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองพี่เก่งที่กำลังยืนอยู่ทางด้านนอกของตึกอีกเลย
.......................................................................

“พี่...มานานยังครับ?” 

“สักพักแล้ว ชิน พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” 

“งั้น ไปคุยกันข้างบนดีกว่าพี่”

ผมเจอพี่เก่งอยู่ที่ทางด้านหน้าของหอมา 3 วันติดกัน ไม่ว่าผมจะหนีพี่เก่งอย่างไรพี่เก่งก็ยังคงกลับมา ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าพี่เก่งจะต้องรู้สึกโกรธจนไม่อยากเจอหน้าผมอีก

เมื่อรู้แล้วว่าการหนีหน้าไม่ใช่ทางจบของเรื่องนี้ผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้าและพูดกับพี่เก่งให้รู้เรื่อง อย่างน้อยในวันข้างหน้าพอพี่เก่งจบออกไปไม่ได้เป็นที่สนใจของคนในมหาวิทยาลัยแล้วเราทั้งสองคนอาจจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้

“ชินโกรธพี่? โกรธที่ทำให้ชินต้องโดนมองใช่ไหม?” ทันทีที่บานประตูห้องถูกปิดลงพี่เก่งก็เปิดบทสนทนาขึ้นทันที

“เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธ” 

“แล้วทำไมชินถึงหายไปจากชีวิตพี่?” 

“พี่เก่ง พี่ถูกปลดออกจากตัวแทนของมหาวิทยาลัย” 

“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไร?” 

“พี่ตอบผมก่อน” 

“พี่เคยบอกแล้วไงว่าพี่ไม่สน แล้วทำไมชินจะต้องสนด้วย” 

“พี่ไม่สนแต่ผมสน ผมไม่ต้องการให้พี่เป็นแบบนี้ ผมชื่นชมพี่และผมก็ต้องการให้พี่ยังอยู่ตรงนั้น ถ้าพี่ต้องมารู้จักกับผมแล้วทุกอย่างมันแย่ลง ผมก็ไม่ต้องการ” 

“เป็นเรื่องนี้สินะ ที่ทำให้ชินไม่อยากเข้ามายุ่งกับพี่แล้ว” 

“เพราะผมรู้มาว่าพี่โดนปลด เพราะเรื่องข่าวที่พี่เป็นเกย์ แล้วไหนจะเป็นข่าวเรื่องที่พี่ชอบถ่ายคลิปทำอะไรนั้นอีก”

“ไหนบอกไม่เชื่อข่าวพวกนั้นไง? ไหนบอกเชื่อในตัวพี่? แค่พี่ดีกับชิน”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเชื่อพวกนั้น”

“แต่เราก็ออกห่างจากพี่”

“ผมว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว พี่เห็นไหมว่าแค่เราห่างกันข่าวไม่ดีของเราทั้ง 2 คนก็หายไปหมดแล้ว”

“แล้วไหนบอกว่าจะอยู่ข้างพี่ จะอยู่กับพี่?”

“ผม ...”

“พี่รักชินนะ”

“ครับ?”

“พี่รักชินเหมือนที่ชินก็รักพี่...”

“พี่เก่ง… ผม..ไม่เคยคิดอะไรกับพี่ในแง่นั้น”

“ไม่จริง !! ถ้าชินไม่คิดอะไรกับพี่ ชินจะอยู่ใกล้ชิดพี่ทำไม จะมาชมพี่ให้ความหวังพี่ทำไม...”

“ผมเปล่า”

“มึงก็แค่พยายามหาทางปฎิเสธใช่ไหม?? ความจริงมึงก็รักกูแบบที่กูรักมึงนั้นแหละ ใช่ไหม ตอบสิใช่ไหม”

“..โอ๊ย” 

อยู่ๆ พี่เก่งก็พุ่งเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่นิ่งด้วยความตกใจ พอรู้สึกตัวถึงอารมณ์ที่ผมไม่เคยเห็นจากพี่เก่งผมรีบถอยตัวออกมาทางด้านหลัง แต่มันกลับกลายเป็นว่าผมกำลังยืนติดกับกำแพงไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ แล้วเพียงเสี้ยวนาทีพี่เก่งก็พุ่งตรงเข้ามาเอามือทั้งข้างของพี่เขากำที่รอบคอของผมเอาไว้ 

“พอกูไม่ดัง...กูไม่เหมือนเมื่อก่อน มึงก็ตีตัวออกห่างเลยใช่ไหม? มึงก็เหมือนกับทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวกูนั้นแฟละใช่ไหม? ตอบสิตอบ”

ผมพยายามเก็บผมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุดทำให้ผมไม่สามารถตอบคำถามจากปากของพี่เก่งได้ ในขณะเดียวกันผมก็พยายามจะเอามือผลักไสพี่เก่งออกไปให้ห่าง

“ แล้วไอ้ที่ทำให้กูทั้งหมด...มันคืออะไร?” 

“อะไรของพี่ พี่พูดอะไร? ปล่อยผม” 

ความหวาดกลัวพุ่งเข้าหาผมมากขึ้นเพราะทุกอย่างมันเกิดด้วยความรวดเร็วจนผมได้ทันตั้งตัว ความกลัวที่เกิดมันทำให้ผมชาวาบไปทั่วตัวตั้งแต่ปลายนิ้วมือจนถึงปลายนิ้วเท้า

“มาให้ความหวังกุทำไม ทำไม!!”

“คิดเอาว่าสักวันกูจะเจอคนที่ดี คนที่ไม่ได้เข้าหาเพราะความดังหรือผลประโยชน์ เห็นว่าหน้าซื่อๆ ดูท่าทางจะดี แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ใช่ มาหลอกกันทำไม? มาหลอกกูทำไม!!”

สายตาของพี่เก่งที่มองมาที่ผมมีแต่ความตัดพ้อและไม่เข้าใจ และมันก็เป็นสายตาเดียวกับที่ผมกำลังส่งกลับไปหาพี่เก่งเหมือนกัน

“พี่เก่ง...ปล่อยผม” 

“อ่อ พอกูไม่ดังแล้ว คงกลับไปซบไอ้แว่นอย่างที่ใครเขาพูดกันใช่ไหม? เสียดายที่กูมองมึงต่างจากคนอื่น” 

“ปล่อย” 

“ไอ้แว่นมันดีกว่ากูตรงไหน!!??”

ปัก

ความเจ็บร้าวพุ่งขึ้นมาจากหน้าท้องสู่ทางด้านบนและวนกลับลงสู่ทางด้านล่าง อยู่ๆ พี่เก่งก็เอาเข่ากระแทกเข้ากับหน้าท้องของผม ผมจุกจนพูดอะไรต่อไม่ออก เรี่ยวแรงเริ่มไม่มีเพราะอากาศเข้ามาได้ไม่เต็มที่ ในบางครั้งผมรู้สึกเหมือนผมกำลังจะตาย น้ำตาเริ่มไหลเพราะความกลัว   

“ไหนมึงบอกไงว่ามึงไม่เคยสนใจในข่าว แต่พอได้ยินอะไรเข้าก็ตีตัวออกห่าง มึงมันเลว” 

จบจากคำว่ามึงมันเลวร่างกายของผมก็เหมือนถูกแปลงสภาพให้เป็นกระสอบทรายสำหรับพี่เก่ง พี่เก่งทั้งต่อยแตะทั้งบีบคอ พอเห็นผมจะหมดแรงพี่เขาก็ปล่อยมือออกจากผมอย่างกระทันหันทำให้ผมทรุดลงไปกองที่พื้น แต่มันคงยังไม่สาแก่ใจของพี่เก่งพี่เขาถึงได้เอาแต่เตะผมซ้ำๆ เข้าที่ซี่โครง   

“พอแล้วพี่ พอแล้ว...ผมขอโทษ พี่พอแล้วผมยอมแล้ว... ผมขอโทษ” 

ผมเอาเรี่ยวแรงที่รวบขึ้นมาได้หลังจากกอบลมหายใจเข้าไปยกมือขึ้นไหว้พี่เก่งพร้อมกับก้มหมอบพูดขอโทษว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะใช้ช่วงเวลาทำอย่างไรแต่ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไม่มีเรื่องกับใครมาก่อนผมจึงเดาไม่ถูกว่าเหตุการ์ณแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ผมจึงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ทั้งๆ ที่ผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับพี่เก่ง 

เหมือนคำขอโทษของผมจะไปถึงหูพี่เก่งเข้าพี่เก่งจึงชะงักเท้าที่กำลังจะง้างมาเตะซ้ำผมที่ซี่โครง พี่เก่งหยุดยืนอยู่กับที่ส่วนผมเองก็ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหนอีก  แม้แต่จะขยับตัวหรือเงยหน้าขึ้นมองสบตากับพี่เขาผมยังไม่กล้า

 “พี่ พี่..” 

เพี้ย เสียงมือของผมกระทบกับมือของพี่เก่งเป็นสียงดังขึ้นกลบเสียงที่พี่เก่งพยายามเรียกแทนตัวเอง ก่อนหน้านี้พี่เก่งนั่งลงและพยายามเอามือมาจับที่ตัวของผมแต่ด้วยความที่ผมกลัวและตกใจผมจึงปัดมือของพี่เก่งออกไป แต่พี่เก่งก็ไม่ยอมยังพยายามที่จะจับตัวของผมให้ได้ผมเลยเริ่มที่จะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด 

“จะหนีกูไปไหน” 

ในช่วงที่ผมพยายามถีบตัวออกมาจากปลายเท้าของพี่เก่งพร้อมทั้งพยายามทำให้หลุดจากการจับตัวโดยการคลานออกมา พี่เก่งเดินดุ่มมาดึงผมทางด้านหลังของศรีษะแล้วเอาหัวของผมโขกลงมาที่พื้น พอเห็นว่าผมเริ่มเงียบเสียงพี่เก่งก็กระชากผมที่สั้นที่ติดหนังศรีษะของผมขึ้นทำให้ผมหน้าหงายไปทางด้านหลังและทำให้ผมต้องลุกขึ้นยืนตามที่เขาต้องการทั้งๆ ที่ผมจะพยุงตัวเองขึ้นยังไม่ไหว

พี่เก่งลากผมเข้าไปที่ห้องนอน ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ใจเอาแต่กังวลว่าพี่เก่งจะกระทืบผมอีกไหม แต่ยิ่งห่างจากประตูห้องเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกลัว ผมจึงพยายามจับขอบที่ประตูห้องนอนเอาไว้ให้แน่นเพราะผมไม่อยากหลุดเข้าไปในนั้น 

“มานี่ บอกให้ปล่อยไง” 

แต่ในเมื่อผมไม่ยอมปล่อยตามคำสั่งของพี่เก่ง พี่เก่งก็ทุบเข้าที่มือของผมที่เกาะเอาไว้แต่ในเมื่อทุบแล้วไม่ปล่อยพี่เก่งก็เลยแตะผมอัดเข้าไปกับกรอบประตูทำให้ขาของผมกระแทกเข้าไปกับขอบประตูอย่างจัง ตรงหัวเข่าของผมเกิดความเปียกชื้นที่กางเกงเนื่องจากมีน้ำอะไรสักอย่างซึมออกมาใน

ถ้าจะให้ผมเดาก็น่าจะเป็นเลือด แต่ผมก็ได้แต่เดาเพราะกางเกงนักศึกษาเป็นกางเกงสีดำผมจึงไม่เห็นสีที่ซึมออกมา ด้วยความเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นเองที่ทำให้มือของผมหลุดจากขอบประตูอย่างที่พี่เก่งต้องการ พร้อมกับทรุดลงไปกับพื้นอย่างคนหมดแรง

“ปล่อยกู” 

ความเคารพที่ผมมีให้แก่คนๆ นี้หายไปหมดแล้ว คำสุภาพที่เอามาไว้ใช้กับคนที่เราเคารพรักและอยากเอาเป็นแบบอย่างถูกกลบกลืนไปด้วยความโหดร้ายที่คนคนนี้ได้สร้างมันเอาไว้ 

“กูบอกให้ปล่อย” 

ผมนึกว่าเรื่องที่ถูกเตะต่อยจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดของวันนี้ที่จะเกิดขึ้นกับผม แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ความเลวร้ายที่ผมเพิ่งเผชิญมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น ความน่ากลัวที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อพี่เก่งเริ่มถอดเข็มขัดถอดกางเกงของตัวเองออก   

ผมใช้ช่วงเวลานั้นฮึดเอาแรงสุดท้ายพยายามลุกออกจากพื้นห้องนอนด้วยความหวังที่ว่าผมจะสามารถออกไปจากตรงนี้ได้ทัน

“มึงจะไปไหน”

เสียงของพี่เก่งคอยตะโกนให้ผมกลับไปที่เดิม ยิ่งเสียงของพี่เก่งดึงขึ้นมากเท่าไหร่ความหวาดกลัวและความอยากเอาตัวรอดก็ทำให้ผมเร่งความเร็วในการคลานของตัวเองมากเท่านั้น

ควับ เปรี้ย “โอ๊ยย”

เมื่อเสียงเรียกของพี่เก่งไม่สามารถหยุดผมลงได้ เสียงวืดที่สายเข็มขัดกำลังถูกฟาดผ่าอากาศลงมาที่ตัวและหัวของผมก็ดังขึ้น หัวของเข็มขัดกระแทกเข้าที่ศรีษะทางด้านหลังของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมเริ่มเกิดอาการมึนงง แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ผมพยายามที่จะลุกขึ้นโดยที่ไม่สนว่าตอนนี้เลือดของผมกำลังออกมากแค่ไหน

เมื่อพี่เก่งเห็นว่าผมยังไม่ยอมแพ้ พี่เขาก็เดินมากระชากตัวของผมให้นอนลงและกระทืบลงที่หัวเข่าทั้งสองข้างของผมสลับไปมาอยู่ซ้ำๆ จนผมไม่สามารถลุกขึ้นไปจากตรงนี้ได้   

“โอ๊ย เจ็บๆ เจ็บ” 

พี่เก่งผลิกตัวของผมให้ผมให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ในตอนนี้ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงที่ต่อสู้อะไรกับพี่เก่งอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ผมภาวนาว่าผมจะสามารถทำให้พี่เก่งหยุดมันได้ก็คือการขอร้อง   

ตลอดเวลาที่เก่งทำทุกอย่างตามใจชอบกับร่างกายของผม ผมได้แต่ร้องขอความเมตตาจากพี่เก่ง ผมเอาแต่ร้องขอและพร่ำบอกซ้ำๆ ว่า “อย่าทำผมเลย” พร้อมกับพนมมือที่สั่นเทานั้นไหว้ขอร้อง

“อย่าร้องไห้”

“ปล่อยผมไปเถอะ”

“มึงยังจะคิดไปจากกูอีกเหรอ?”

ในตอนแรกผมคิดว่ามันจะได้ผลเพราะพี่เก่งเลิกตบตีแล้วเปลี่ยนมาเป็นการลูบไปตามใบหน้าของผมแทน แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิดไป เมื่อผมขอร้องในช่วงที่พี่เก่งยอมอ่อนลง มือที่เช็ดน้ำตาเปลี่ยนมาเป็นบีบกรามของผมเอาไว้แน่น มันเจ็บจนผมต้องหยุดพูด

ในที่สุดพี่เก่งก็ฝืนเอาแต่ได้และเอาแต่ใจของตัวเองโดยการที่บังคับและยัดเยียดส่วนนั้นของเขาเข้ามาในตัวของผม แม้ผมจะพยายามบอกว่าเจ็บและดิ้นรนด้วยแรงที่ไม่มีโดยการผลักพี่เก่งออกไป แต่ไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหนผมก็ไม่สามารถหยุดความเลวร้ายนี้ลงได้ 

“เจ็บ กู เจ็บ ปล่อยกู ปล่อยกู....ไอ้เหี้ย ปล่อยกู ปล่อยกู...มึงมันเหี้ย”

“กูจะเลวให้เท่ากับที่มึงได้ยินมาเลย...ดีๆ ไม่ชอบ ในเมื่อเชื่อพวกมันมาก กูก็จะเลวแบบที่พวกมันพูด”

“ไอ้สัด ปล่อยกู”

 ความเจ็บปวดมันทำให้ผมต้องร้องโวยวายและด่าทอใส่พี่เก่งอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอหรือการร้องขอ ผมก็ไม่ได้รับความเมตตาจากคนๆ นี้ ยิ่งผมด่า เขาก็ยิ่งบีบคอของผมให้แน่นขึ้นจนผมเสียงของผมเริ่มหายไปแม้ว่าปากของผมยังคงทำงาน

แม้ว่าเลือดที่หัวจะออกจนมาเปลอะที่รอบดวงตาแต่ถ้าผมเห็นไม่ผิดผมเห็นว่าพี่เก่งหยิบมือถือขึ้นมาแล้วก็มาจ่อเอาไว้ที่ริมฝีปากคางและไล่ลงไปที่ลำตัวของผม   

“อย่า” 

ในห้วงความคิดสุดท้ายผมยังพยายามห้ามไม่ให้พี่เก่งทำร้ายผมไปมากกว่านี้  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน ผมจะสามารถปกป้องตัวเองได้ดีแค่ไหน

“พี่รักชิน พี่รักชิน”

“พี่ทำไปเพราะว่าพี่รักชิน...เป็นของพี่ พี่จะดูแลชิน อย่าทิ้งพี่ไปแบบคนอื่น... อย่า...”

ตลอดเวลาที่พี่เก่งทำร้ายผมพี่เก่งเฝ้าพูดแต่คำนี้ คำว่า “รัก” แต่สำหรับผมคำว่ารักในเวลานี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย มันเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับผ

ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ผมเลิกดิ้นรนผมหลับตาลงปล่อยให้สิ่งรอบตัวมันเกิดขึ้นด้วยความหวังที่ว่ามันจะจบลงในอีกนาทีต่อมา ไม่รู้ว่าจะขอมากไปไหมแต่ผมเอาแต่เฝ้าภาวนาขอว่าการหลับตาของผมในครั้งนี้จะทำให้ผมหลับฝันไป

ขอให้ความเจ็บปวดนี้เป็นแค่ฝันที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอและก็ขอให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็ให้ฝันร้ายนี้มันหายไปไม่ก็ขอให้ผมหลับไปตลอดการ

 แต่ผมก็ไม่สามารถหลับและฝันได้ตามที่หวัง ทุกความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกการสัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวที่มีพี่เก่งเป็นคนควบคุมมันยังคงอยู่และผมก็ยังคงรับรู้มันจนถึงวินาทีสุดท้ายที่พี่เก่งปลดปล่อยทุกความเลวร้ายเข้ามาในตัวของผม

“พอแล้ว ...พอแล้ว”

ผมเองก็ไม่รู้เวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เหตุการณ์เลวร้ายยังคงเกิดขึ้นวนอยู่ซ้ำๆ การปลดปล่อยความโกรธลงที่ตัวผมมันไม่ได้จบอยู่ที่ครั้งเดียว

ผมไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกเลย รู้เพียงแค่ว่าร่างกายของผมเปลี่ยนจากเจ็บเหมือนร่างจะฉีกจนแทบจะไม่ได้จนตอนนี้ผมแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่เลย   

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
«ตอบ #26 เมื่อ12-07-2017 20:24:57 »

สงสารชิน :m15:
พี่เก่งเหมือนคนโรคจิตเลย :katai1:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
«ตอบ #27 เมื่อ13-07-2017 00:09:54 »

ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอเก่ง ตอนแรกคิดว่าข่าวลืออาจจะเป็นแค่ข่าวลือไม่มีมูลก็ได้ แสดงว่าปราโมทย์อาจจะรู้อะไรมาถึงได้ถามเพื่อนว่า ถ้าเก่งไม่ได้เป็นแบบนี้หล่ะ เก่งทำกับชินแบบไม่ใช่คน ชินจะยังมีชีวิตอยู่รอดได้อีกมั้ย? ต่อให้ต้องลาออกจากที่เรียนก็มีปมในใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเริ่มต้นใหม่ยังไงก็แย่มากกับชีวิตชินอยู่ดี แอบคิดว่าผู้แต่งอยากสะท้อนอีกมุมนึงของความคิดคน ปกติถ้าเจอสถานการณ์แบบเก่งชินถ้าเป็นเรื่องอื่นเค้าจะประกาศตัวคบกันรักกันเชื่อมั่นในกันและกันฝ่าฟันอุปสรรค แต่เรื่องนี้แตกต่างตั้งแต่ที่ชินมันเกรงใจเก่ง มองเก่งแค่พี่ชาย และไม่ได้ชอบเชิงชู้สาวเลย มันมาพีคตรงสันดานเก่งที่ปากบอกว่ารักแต่ทารุณชินหนักมาก แบบนี้โหดอ่ะ ตวามรู้สึกดีๆคงหายไปตั้งแต่ที่เก่งซ้อมชินแล้ว จะมีใครมาช่วยชินได้มั่ย? โมทย์หล่ะจะรู้รึป่าวว่าชินโดนกระทำอย่างกับไม่ใช่คนเจ็บปางตายแถมถูกข่มขืนอีก เรื่องอื่นข่มขืนคือกึ่งสมยอมเรื่องนี้มาแหวก ข่มขืนคือข่มขืนในสถานการณ์ที่โหดร้ายกับคนถูกกระทำมาก

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
«ตอบ #28 เมื่อ13-07-2017 23:19:32 »

กดเข้ามาเพราะเห็นว่าแบดเอนด์แต่อ่านๆไปก็งงว่าจะแบดเอนด์ยังไง แต่ตอนนี้รู้ละ ไอ่พี่เก่งน่าจะเป็นโรคจิตเภทอะสมควรรักษา แล้วทำชินขนาดนั้นจะเป็นไงบ้างเนี่ย

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
«ตอบ #29 เมื่อ16-07-2017 09:06:48 »

บทที่ 9

ในที่สุดพายุของการทำร้ายก็จบลงหลังจากที่พี่เก่งได้กระทำทุกอย่างจนพอใจ พี่เก่งล้มตัวลงนอนบนพื้นข้างๆ กันกับผม พี่เก่งดึงตัวผมเข้าไปกอด ร่างกายของผมเกร็งตัวไม่ยอมรับอ้อมกอดนั้นโดยอัตโนมัต แต่ยิ่งผมเกร็งตัวเท่าไหร่พี่เก่งก็ยิ่งพยายามดึงตัวผมให้เข้าไปชิดตัวของพี่เขามากขึ้นแล้วก็เป็นผมที่แพ้พี่เขาอีกครั้ง ความชาที่เกิดขึ้นมันจะทดแทนด้วยความเจ็บทุกครั้งที่ผมต้องเคลื่อนย้ายตัว

“พี่ขอโทษ...พี่ขาดสติไป พี่ขอโทษที่ทำให้ชินเป็นแบบนี้”

“.....”

“พี่ไม่อยากสูญเสียชินไป...อย่าได้คิดหนีไปจากพี่....ถ้าไม่อยากให้พี่ทำอะไรแบบนี้อีก...อย่าได้คิด...พี่ไม่อยากทำร้ายเราแบบนี้อีกแล้ว”   

เสียงคำพูดที่แผ่วเบาที่พูดกระซิบอยู่ที่ข้างหูของผมมันเหมือนเป็นเสียงตะโกนของคำสั่ง พี่เก่งเอาแต่พร่ำบอกว่าที่ทำไปเพราะ รักผม เพราะไม่ต้องการที่จะเสียผมไป แต่ไม่ว่าจะฟังมากเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันคือการบอกรัก สำหรับผมแล้วคำเหล่านั้นมันก็คือคำสั่งให้ทำตามที่พี่เขาต้องการโดยที่ผมไม่ได้มีส่วนออกความคิดเห็นว่าต้องการหรือไม่

หลังจากที่พี่เก่งเอาแต่ออกคำวั่งที่ตามมาอีกมากมาย ในที่สุดพี่เก่งก็ยอมคล้ายอ้อมกอดที่รัดแน่นออกจากตัวของผม เสียงเบียดกันของเสื้อผ้าทำให้ผมรู้ว่าพี่เก่งกำลังขยับตัว ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เก่งกำลังนั่งมองไปทางไหนหรือทำอะไรเพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงหลับตาของผมอยู่อย่างนั้น 

“ลืมตาได้แล้ว”

“.....” 

“บอกให้ลืมตาไง” 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ควรขัดขืนถ้าผมไม่อยากเจ็บตัว แต่ร่างกายมันไม่ยอมทำตามที่ใจคิด ยิ่งพี่เก่งบังคับให้ลืมตามากเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นว่าผมยิ่งปิดเปลือกตาของตัวเองให้แน่นขึ้น 

“เป็นบ้ารึไง ถึงต้องให้บังคับ?” 

พี่เก่งเขย่าตัวของผมไปมาจนในที่สุดความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้ร่างกายของผมลดการต่อต้านแล้วในที่สุดผมก็ยอมลืมตาขึ้นตามคำสั่งของพี่เก่ง

“เจ็บ...”

“พี่รู้ว่าชินเจ็บ เดี๋ยวพี่พาชินไปหาหมอ” 

“พี่...” 

เสียงของผมถูกเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก แต่ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นอีกเพียงโอกาสเดียวที่ผมจะสามารถออกไปจากตรงนี้ แล้วผมก็อยากเสี่ยงที่จะลองใช้มันดู 

“พี่อาบน้ำก่อนไหม? เสื้อยืดผมมีในตู้ ถ้าเราออกไปแบบนี้ทั้งคู่ ไม่ดีแน่เลยพี่ถ้าเกิดคนอื่นเห็นมันจะแย่” 

ในสายตาของพี่เก่งแสดงออกชัดถึงความลังเลในคำพูดชักจูงของผม เพราะเหมือนว่าพี่เขาไม่ต้องการปล่อยให้ผมคลาดสายตา ผมเลยต้องเน้นความมั่นใจให้กับพี่เขา

“ผมเจ็บแบบนี้ ผมไปไหนไม่ได้หรอกพี่”

“พี่ขอโทษที่ทำให้ชินเจ็บ...งั้นเดี๋ยวพี่อาบน้ำเสร็จพี่มาเช็ดตัวให้ชินก่อนแล้วเราค่อยออกไปหาหมอกัน” 

“ครับ”   

“อย่าคิดหนี...” 

“ผมจะไปไหนได้” 

หลังจากที่ต้องใช้เวลาในการกล่อมอยู่สักพัก ในที่สุดพี่เก่งก็ยอมผละตัวออกไปจากผม ทุกก้าวย่างของพี่เก่งคือความสำคัญ ผมรอลุ้นให้ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นในห้องน้ำด้วยใจจดจ่อ เพียงแค่เสียงบิดของฝักบัวดังขึ้นผมก็พยายามพยุงตัวเองออกมาจากห้องนอน ตอนที่พยายามขยับตัวความเจ็บแล่นเข้าเล่นงานไปทุกส่วนของร่างกาย แต่แม้จะเจ็บแต่ผมต้องหอบเอาร่างกายนี้ออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ผมท่องกับตัวเองอยู่แบบนั้นจนในที่สุดผมก็สามารถพยุงตัวขึ้นมาได้สำเร็จ

เมื่อลุกขึ้นมาได้ผมก็ไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยวนาที ผมจึงไม่สนแม้กระทั่งจะหยิบอะไรใส่เพื่อปิดบังร่างกายท่อนล่างของตัวเอง ระหว่างความอายกับการขอให้รอดพ้นจากตรงนี้ความอยากหลุดออกไปของผมมันมีมากกว่า พอเริ่มลุกพยุงตัวได้มั่นคงผมจึงรีบลากขาพาตัวเองออกมาจากห้องนอนและตรงไปที่ประตูห้อง 

“ช่วยด้วย” 

ผมค่อยๆ เอาข้างที่ไม่เจ็บมากพยุงตัวเลื่อนลำตัวไปกับกำแพงพร้อมคอยส่งเสียงออกไปขอความช่วยเหลือ แต่ไม่น่าเชื่อในเวลาเย็นขนาดนี้เวลาที่ทุกคนควรจะเลิกเรียนและหลับมาที่หอแล้วผมกลับไม่พบใครที่ทางเดินสักคน

ความหวังว่าผมกำลังจะรอดเริ่มริบรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อผมสามารถพาตัวเองมาถึงบันไดและมองเห็นขั้นบันไดที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยสภาพร่างกายของผมในตอนนี้ผมไม่มีทางก้าวขาลงไปที่ชั้นล่างได้แน่นอน

แต่จะให้ผมยอมทิ้งโอกาสและนั่งหยุดอยู่ตรงนี้เพื่อรอเวลาให้พี่เก่งมาเห็น ผมว่ายอมตกลงไปที่ขั้นบันไดจนถึงชั้นล่างสุดตรงนั้นผมยังจะรู้สึกดีเสียกว่า 

“เฮ้ย...มันเกิดอะไรขึ้น”

ผมไม่รู้ว่าผมตาฟาดหรือหูฟาดหรือเปล่า แต่ผมกำลังเห็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมกำลังวิ่งขึ้นบรรไดมาหาผม แข้งขาของผมที่กำลังย่างก้าวลงบันไดขั้นแรกกำลังสั้นคลอนด้วยความไม่มั่นคง 

“ปราโมทย์....ช่วยเราที...ช่วยเราด้วย...ช่วยด้วย” 

ปราโมทย์ทิ้งของทุกอย่างที่ถือเอาไว้ในมือแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นมาแล้วเขาก็สามารถรับผมได้ทันห่อนที่ผมจะตกลงไป ทันที่ที่ได้เห็นหน้าเพื่อนสนิทและมั่นใจว่าเป็นเขาผมก็ทิ้งตัวนั่งลงที่ขั้นบรรไดขั้นนั้น แต่ก่อนที่สติของผมจะหมดไปผมบอกกับปราโมทย์เอาไว้ว่า 

“ไม่กลับไปที่ห้องนะ...อย่ากลับไป”

 ..................................

“ปล่อยกูๆ” 

“ชินลืมตา เราเองโมทย์ เราเอง” 

ผมหอบหายใจอย่างหนักทันทีที่รู้สึกตัวตื่น เมื่อกี้ผมฝัน ผมฝันว่าผมถูกพี่เก่งทำร้ายแต่พอตื่นขึ้นมาแล้วยินเสียงของปราโมทย์ผมก็ค่อยเบาใจว่าที่ผ่านมามันก็เป็นแค่ส่วนนึงของความฝัน 

แต่แล้วความจริงก็ตีเข้าแซกหน้าเมื่อความเจ็บกำลังเล่นงานผมไปทั้งตัว ผมปวดที่ศรีษะอย่างหนักแถมยังไม่สามารถยกมือขึ้นมาเพื่อมาจับศรีษะของตัวเองได้ ตามแขนมันล้าไปหมดโดยเฉพาะข้อนิ้วที่ผมไม่สามารถขยับเพราะถูกอะไรสักอย่างห่อหุ้มเอาไว้  ตรงที่ปลายขาผมก็เหลือบไปเห็นขาข้างนึงที่ถูกใส่เฝือกและห้อยเอาไว้ ส่วนอีกครั้งก็ถูกพันด้วยผ้าอะไรสักอย่าง

“เดี๋ยวเราเรียกหมอมาให้ก่อน... เราต้องแจ้งว่าเขาว่านายตื่นแล้ว” 

“ปราโมทย์...พ่อกับแม่เรา” 

“ยังไม่รู้เรื่องหรอกเพราะนายไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้กระทั่งโทรศัพท์ แต่เราโทรไปบอกพ่อกับแม่เราแล้ว พ่อกับแม่เราเป็นคนทำเรื่องให้นาย แต่นายฟื้นอล้วเราคงต้องขอเบอร์ติดต่อกับบ้านนาย” 

“เรา เรา...เราไม่อยากให้ใครรู้”

“ไม่ได้หรอกชิน เรื่องนี้ยังไงก็ต้องบอก นายเจ็บหนักขนาดนี้แล้วไหนจะค่ารักษาอีกถ้านายไม่บอกนายจะเอาที่ไหนมาจ่าย?” 

“อื้ม” 

ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาของปราโมทย์เพราะผมกลัวที่จะต้องตอบคำถาม ผม ยังไม่อยากเล่าถึงมัน มันทั้งเจ็บปวดและเจ็บใจที่ปราโมทย์เองก็เคยพูดเตือนผมแล้วเรื่องของพี่เก่งว่าให้ผมมองให้ดีแต่เป็นผมเองที่เป็นคนโง่ที่ดูคนไม่ออกจนทำให้เรื่องราวมันเป็นแบบนี้   

แล้วปราโมทย์ก็ทำให้ผมผิดคาดอีกครั้ง จากคิดว่าปราโมทย์จะรีบสอบถามถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงมาเจอผมในสภาพนี้ แต่ปราโมทย์กลับไม่ตั้งคำถามกับผมเลยสักคำ

“งั้นเราออกไปบอกพยาบาลก่อน”

..................................................................................................

 “ขออณุญาตครับ ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ครับ” 

“สวัสดีครับ” 

ผ่านไปไม่นานในห้องของผมก็เต็มไปด้วยนางพยาบาลสองคนพร้อมกับคุณหมอผู้ชายอีกหนึ่งคน พยาบาลต้องการที่จะเปิดแผลและเช็ดแผลของผม เป็นผมที่อิดออดไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่พอพยาบาลได้อธิบายว่าที่เขาต้องการก็คือเช็คแผลทางช่องทางด้านหลังที่เกิดการฉีกขาดอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันไม่ติดเชื้อ คำว่าติดเชื้อทำให้ผมหน้าซีดแล้วทำให้ผมต้องยอมตกลงแต่โดยดี 

“คุณพยาบาลพอก่อนๆ ผมว่าเคสนี้คงต้องขอแรงหมอผู้หญิง” 

ผมก็ไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากแต่ทันทีที่ผมเห็นว่าคุณหมอผู้ชายจะเป็นคนที่ก้มดูรายละเอียดแผลตรงนั้น แค่เพียงคุณหมอเอามือที่มีถุงมือกำลังจะแตะลงที่ร่างกายของผม ร่างกายผมก็เกร็งตัว ขาทั้งสองดีดออกไปข้างหน้าพร้อมกันโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจผมแค่ไม่ต้องการให้คุณหมอมาสัมผัสตัวของผม

ผมถีบดื้นรนการตรวจจนข้างที่ต้องใส่เผือกตรงช่วงหัวเขาไปกระแทกกับราวเตียงคุณหมอจึงต้องหยุดมือและบอกให้พยาบาลแต่งตัวให้ผมให้เรียบร้อย 

“ผมขอโทษครับ คุณหมอ” 

“ไม่เป็นไรครับ...ผมเข้าใจ”   

เพียงไม่นานคุณหมอผู้หญิงก็เดินเข้ามาสมทบและเริ่มลงมือเป็นคนตรวจร่างกายของผมด้วยตัวเอง ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี 

 ในตอนแรกปราโมทย์บอกว่าจะออกไปรอข้างนอกแต่เป็นเพราะว่าในห้องนี้ทั้งหมดสำหรับผมแล้วพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าผมเลยขอร้องให้ปราโมทย์ยังอยู่ในห้องนี้   

“หมอถามได้ไหมคะ ว่าเหตุการ์ณนี้เกิดมานานแค่ไหนแล้ว?” 

ผมเงียบไม่มีคำตอบให้กับคุณหมอเพราะตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนี้คือวันที่อะไรและเวลากี่โมง ปราโมทย์คงจะรู้ว่าผมคิดอะไรจึงเป็นคนขอตอบเอง 

“ถ้าจากตอนที่ผมพาเขามาโรงพยาบาลตอนนี้ก็ผ่านไป 5 ชั่วโมงครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมไม่แน่ใจ ชินก่อนที่นายจะมาเจอเรา มันเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว?” 

“เราก็ไม่รู้... ผมไม่รู้ครับ...ไม่รู้” 

“คือ หมอเข้าใจนะคะว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคนไข้ แต่เราต้องช่วยหมอด้วย เพราะเท่าที่ตรวจจากบาดแผลร่างกายหมอค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบทั่วไป แล้วที่หมอต้องถามก็เพราะถ้าเหตุการ์ณนี้มันยังคงอยู่ภายใน 72 ชั่วโมงก็จะถือว่าเรายังโชคดีมากๆ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องการรักษาอาจจะต้องเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบนึง” 

“ถ้าจากที่ผมเจอกับเพื่อนจนมาถึงตอนนี้แค่สี่ชั่วโมง ผมมั่นใจว่ายังไม่ถึง 72 ชั่วโมงครับ” 

“แล้วคนที่คนไข้มีเพศสัมพันธ์ด้วยเป็นรู้จักรึเปล่าคะ?” 

“…..” 

“เขาเป็นคนที่คุณมีเพศสัมพันธ์ด้วยมานานแล้วรึว่าเพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกคะ?” 

“ไม่รู้ครับ.... ไม่รู้ไม่รู้ๆๆๆๆๆ” 

“ชินใจเย็นๆ” 

“ปล่อย”

“หายใจค่ะ หายใจ มองหน้าหมอค่ะ”

ผมสะบัดมือของปราโมทย์ออกอย่างไม่ใยดี ทุกอย่างในห้องเริ่มโกลาหลอีกครั้งเสียงที่ลอยมาจากคุณหมอทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังไม่หายใจ

รู้ทั้งรู้แต่มันกลับเป็นเรื่องยากที่จะทำ ไม่ว่าคุณหมอจะพูดยังไงผมก็ยังคงเกร็งตัวและไม่ยอมหายใจ พอผมหายใจไม่ออกผมก็เริ่มดิ้นหนักขึ้นเพื่อเอาตัวรอด

ผมพยายามยามแล้ว พยายามที่คว้าอากาศเข้าปอดแต่มันอยากเหลือเกินมันเหมือนผมกำลังจะจมน้ำ เหมือนไม่ว่าจะพยายามหายใจเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถเอาอากาศเข้าไปได้ตามที่ต้องการ

พยาบาลผู้หญิงอีกคนถูกเรียกเข้ามากระทันหัน เธอเดินเข้ามาจับที่หน้าของผมและมองมาที่ตาของผมและพยายามบอกให้ผมทำตามอย่างที่เขาบอก 

“นับเลขตามหมอนะคะ 5 9 11 7 2” 

“ห้า เก้า....”   

ไม่น่าเชื่อว่าแค่การนับเลขตามคำบอกมันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและทำไม่ได้ แต่คุณหมอก็ไม่ลดละความพยายามยังคงพูดเลขเหล่านั้นซ้ำๆ จนผมสามารถพูดออกมาได้ 

“โอเค เอาน้ำมาให้หน่อยค่ะ”   

“นี่ค่ะ ดื่มน้ำก่อนค่ะ” 

“ขอบคุณครับ”

คุณหมอปล่อยให้ผมได้พักดื่มน้ำจนพอเห็นว่าผมสามารถปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้คุณหมอก็เริ่มพูดคุยกับผมอีกครั้ง พร้อมกับคุณพยาบาลคนล่าสุดที่ยั่งประกบข้างด้วย

“หมอรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยามากๆ เอาไว้ถ้าเราพร้อมแล้วเราค่อยพูดกับหมอก็ได้ค่ะ”

“แต่ยังไงเราก็ตอบคำถามของหมอเพราะมันเป็นเรื่องที่รักษาตัวของเรา ถ้าพร้อมแล้วบอกหมอนะคะ ถ้ามีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังก็สามาถเราเป็นการเป็นส่วนตัวได้เลยค่ะ”  พยาบาลพูดเสริมคุณหมอขึ้นมาอีกที

“ผมถูกหักหลัง เขาคือรุ่นพี่ของผม….ผม ผม ผม” ผมอยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพยาบาลกับคุณหมอได้ฟังแต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงมันผมรู้สึกหวาดกลัวเกินกว่าที่จะพูดมันออกมา

“ไม่เป็นไรค่ะ ใจเย็นๆ นะคะ ไว้เล่าเมื่อพร้อมก็ได้ค่ะ แต่ว่าอาจจะต้องมีคำถามสักสองสามข้อที่จำเป็นกับการรักษา ลองพยายามกันดูหน่อยนะคะ”

“ครับ”

“คนๆ นี้เคยมีเพศสัมพันธ์กับเรามาก่อน หรือนี้คือครั้งแรกคะ?” 

“ครั้งแรกครับ” 

“เหตุการณ์เลย 72 ชั่วโมงมารึยังคะ?”
“ยังครับ”

“ถือว่าโชคดีนะคะ หมอเองก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใครมาจากไหนและเคยได้รับการตรวจโรคมาก่อนรึเปล่า แบะเป็นเพราะครั้งนี้ไม่ได้มีการป้องกันเพราะฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีโอกาสติดเชื้อ หรือ โรคบางอย่างจากคนนั้น” 

“ครับ” 

“เพราฉะนั้นสิ่งแรกที่เราควรเริ่มจากตอนนี้ก็คือหมอจะจ่ายยาที่มีชื่อเรียกว่ายา Pep ให้นะคะ เคยพอรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหมคะ?” 

“ไม่เคยครับ” 

“ยาเป๊ป เป็นยาต้านไวรัสชนิดนึงค่ะ ต้องทานยานี้ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนควบคู่ไปกับยาต้านไวรัสชนิดอื่นอีกสองสามชนิดค่ะ” 

“ครับ” 

“ยาตัวนี้อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ในกรณีที่ผู้ที่ได้รับยาเกิดมีผลข้างเคียงอาจจะทำให้เราไม่สามารถไปเรียนได้สักพัก หรืออาจะต้องใช้เวลาให้ร่างกายได้ปรับตัวสักหน่อย ช่วงแรกหมอขอแนะนำว่าไม่ควรอยู่คนเดียว”

“ครับ”

“ไม่ทราบว่าอาศัยอยู่กับครอบครัวรึเปล่าคะ?” 

“ปกติอยู่หอครับ” 

“สะดวกที่จะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านในช่วงแรกก่อนไหมคะ?”

“ผม...ไม่แน่ใจครับ”

“ถือซะว่าเป็นการดูแลรักษาแผลของเราเองด้วย เพราะร่างกายอาจจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกมากนัก” 

“ครับ” 

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว หมอกับพยาบาลมีเรื่องอยากถามอีกสักข้อ” 

“ครับ?” 

“อยากแจ้งความไหมคะ?” 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด