[รวมเรื่องสั้น] { หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน♥ } - วันนี้วันศุกร์ ตอนที่ 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [รวมเรื่องสั้น] { หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน♥ } - วันนี้วันศุกร์ ตอนที่ 2  (อ่าน 15158 ครั้ง)

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ







{ หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน♥ }

STATUS :

SUNDAY
MONDAY
TUESDAY
วันพุธกลางคืน (จบ)
[คนที่นั่งอยู่ทางขวา]
[คนที่นั่งอยู่ทางซ้าย]
[คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม]
วันพฤหัสบดีสี่โมงครึ่ง (จบ)
[ถึงคุณ]
[จากผม]
[ด้วยรัก]
► วันนี้วันศุกร์
[ซื้อหนึ่ง]
[แถมหนึ่ง]
บ่ายสามวันเสาร์ (จบ)
[หนึ่งคน]
[อีกคน]
[สองคน]

#หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน เป็นเรื่องสั้นที่อยู่ดีๆ ก็อยากเขียนค่ะ ได้แนวคิดมาจากการนิยามชีวิตในแต่ละวันที่เคยอ่านเจอมาบ้าง ฟังคนอื่นเล่ามาบ้าง หรือเจอเองบ้าง มีทั้งหมด 7 เรื่องค่ะ (แต่ละเรื่องน่าจะประมาณ 3 ตอนย่อย) เนื้อเรื่องแต่ละเรื่องไม่ได้เกี่ยวเนื่องกัน แต่จะเขียนให้จบเป็นวันๆ ไปนะคะจะได้ไม่สับสน ลำดับวันที่เขียนก็จะไม่เรียงตามวันเหมือนในสารบัญเช่นกันค่ะ 55555

ขอให้สนุกนะคะ
รัก♥
Zenzaii



My story ♥
[YAOI]...ก็พี่มันเยอะ[END]
[YAOI]- {ควัน ห ล ง} (ยังไม่จบ)


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2017 22:30:54 โดย zenzaii »

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
บ่ายสามวันเสาร์


[ หนึ่งคน ]

วันเสาร์…ที่สมควรจะเป็นวันหยุด

แต่เพราะงานที่คั่งค้างมาจากวันศุกร์ ที่ยังไม่เสร็จ ที่เร่ง ที่ต้องรีบส่ง และอีกสารพัดเหตุผลทำให้แทนที่จะได้นอนสบายๆ อยู่บนเตียงที่ห้องกลับต้องตื่นแต่เช้าแล้วมาออฟฟิศ เปิดประตูเข้ามาก็เจอน้องๆ ที่ชะตากรรมไม่ต่างกันเท่าไหร่นักนั่งหน้าสลอนกันอยู่ก่อนแล้ว ทักทายกันสองสามคำก็เดินไปเปิดหน้าจอคอมด้วยความเคยชินแบบไม่ต้องคิด

…ผมมันก็พนักงานออฟฟิศดีๆ นี่เอง

“ไหนบอกวันนี้ไม่เข้าไงพี่?” น้องที่นั่งโต๊ะตรงข้ามเอ่ยทักขำๆ ก่อนจะยักคิ้วให้ ผมได้แต่แค่นหัวเราะในลำคออย่างทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้านายก็นั่งอยู่ ถึงจะอยากร้องออกมาแค่ไหน แต่งานก็คืองาน

…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามตาย

…บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเวอร์เกินไปนิด

เป้าหมายสำหรับการทำงานในวันหยุดที่ไม่ได้อะไรแบบนี้นอกจากงานที่ต้องเสร็จแล้วคือการออกจากออฟฟิศแบบไม่เกินเที่ยง

…ผมต้องปิดหน้าจอแล้วเดินออกจากออฟฟิศให้ได้

…ผมจะออกไปใช้ชีวิต





“ไปกินข้าวไหมพี่?” ผมเงยหน้ามองไอ้น้องคนเดิมที่มันส่งเสียงทัก อยากจะร้องไห้ใส่มันเสียตรงนี้หลังจากสายตาเหลือบไปมองนาฬิกาแล้วว่าเที่ยงครึ่งเข้าไปแล้วแต่งานก็ยังไม่ถึงไหน

“กูจะกลับไม่เกินเที่ยง”

“งั้นพี่จะไม่กินข้าวเที่ยงกับพวกผม?”

“กินดิ หิวจะตายแล้วเนี่ย!”

“ไม่ไปกินสยามล่ะ?”

“อย่าว่าแต่สยาม ถามกูก่อนไหมครับว่าจะได้ออกจากออฟฟิศกี่โมง”





“พี่ๆ อีกสิบนาทีบ่ายสองแล้วนะ” ไอ้เด็กฝั่งตรงข้ามมันยังไม่หยุด ผมละมือที่กำลังคลิกเมาส์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือจะไปตบหัวมัน เจ้าตัวเอี้ยวตัวหลบแล้วมองอย่างขำๆ อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

…ใช่สิ วันนี้มันต้องเข้าอยู่แล้วนิ แต่วันนี้มันวันหยุดผมไง

“เมื่อไหร่พี่จะไปเนี่ย?” ไอ้น้องฝึกงานอีกคนเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะวางหัวลงกับโต๊ะทำงานแล้วมองผมตาแป๋ว

…รู้ครับว่าเบื่อ แต่ถ้าจะมานั่งทำหน้าทำตาอ้อนตีนกดดันกูเบอร์นี้

“ปล่อยให้กูทำงานไหมล่ะ?” ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างกวนๆ กระตุกไหล่สองสามทีเพื่อให้ไอ้คนที่เริ่มเลื่อนคางมาเกยกับแขนขวาผมรู้สึกตัวเสียที

…ที่จะช้าก็เพราะมันนี่แหละครับ

“ก็ทำไปสิพี่ ทำเร็วๆ ผมอยากใช้คอมฯ บ้าง”

“ก็เลิกวอแวได้ไหมล่ะ?” ผมเลื่อนคอมฯ หนีก่อนจะดันกองหนังสือที่เอามาเปิดดูงานตัวอย่าง ไปขวางหน้ามันแล้วหันมาสนใจงานในมือที่ดูเหมือนจะเสร็จแต่ไม่เสร็จสักทีอย่างเซ็งๆ

…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานปกติให้ได้

…ก็บอกแล้วไงครับว่าจะไปใช้ชีวิต

“เมื่อไหร่จะไปเนี่ย?” แล้วไม่ใช่แค่น้อง คราวนี้เป็นเจ้านายที่ถามขึ้นมา

…อยากไปเถอะครับท่าน แต่งานยังไม่เสร็จให้ไปได้ไหมล่ะ?

…ก็ได้แต่คิดต่อไปครับ

“อีกนิดเดียวครับพี่” ผมคลิกเมาส์อีกไม่เกินห้านาที กระดาษเอสี่พร้อมเนื้องานที่เสร็จสมบูรณ์ก็ถูกปริ้นท์ออกมาอยู่ในมือเรียบร้อย กวาดสายตาผ่านประมาณสามรอบจนคิดว่าไม่มีจุดผิดแล้วเลยเดินไปวางไว้ตรงหน้าเจ้านายเพื่อรอตรวจ

…แค่เจ้านายพยักหน้า ปากผมก็คลี่ยิ้มกว้าง

“แต่ตรงนี้ควรเพิ่มประเด็นเรื่องนี้อีกนิดนะ”

…ไหนบอกให้ผมรีบไปไง?

…อ๋อ ไม่ได้บอก แค่ถามเฉยๆ ใช่ไหมครับท่าน?

“ครับพี่”

แล้วเคอร์เซอร์ที่เคยอยู่บนเครื่องหมายวินโดว์เพื่อเตรียมชัตดาวน์ก็ถูกเลื่อนกลับไปดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนโปรแกรมอีกครั้ง

…แม่ง!





“พี่ครับ ประเด็นเพิ่มเติมครับ” ผมวางกระดาษไว้ที่เก่าก่อนจะรวบมือมากำกันตรงหว่างขาอย่างตื่นเต้น

“โอเค”

…ก็แค่นั้น

“ขอบคุณ…”

…ยังไม่ทันครับ

“จะไปยัง?”

…ต้องตอบว่ายังไงเพื่อไม่ให้งานเข้าตัวแล้วก็ไม่ให้ดูหน้าเกลียด

“ผมว่า…”

“เออ บอกด้วย จะเดินไปหาอะไรกิน”

…รอดไป ในที่สุดก็ได้ไปใช้ชีวิตซะที

…จากเที่ยงกลายเป็นบ่ายสามได้ไงไม่รู้

…ก็แค่สามชั่วโมง

…ซะที่ไหนล่ะครับ ตั้งสามชั่วโมง!





“พี่กินแถวนี้แหละ โชคดี” ผมหันไปยกมือไหว้เจ้านายก่อนจะเดินแยกตัวออกมา

ความสดชื่นที่มีตั้งแต่เช้าถูกกลืนหายไปพร้อมกับงานที่เพิ่งปั่นเสร็จและอากาศร้อนๆ ของแดดประเทศไทย ความตั้งใจแรกของวันนี้คือการไปหาหนังสือดีๆ สักเล่มอ่านหลังจากที่เพิ่งคิดได้ว่าไม่ได้เข้าร้านหนังสือมานานมากแล้ว ด้วยความที่ทำงานอยู่ย่านใจกลางเมือง สยามคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้

อดทนเดินตามทางเท้าที่ไม่ได้กว้างพอสำหรับสองคนทำให้เวลาเดินสวนกับชาวบ้าน ไม่ใครก็ใครสักคนต้องลงไปเดินบนถนนให้เสี่ยงโดนรถเฉี่ยวเล่นมาได้สักพักก็มาถึงตึกออฟฟิศใหญ่มุมถนนที่ชั้นล่างเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร  ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้อุณหภูมิในนี้ดีกว่าข้างนอกเป็นไหนๆ

…อยากเปลี่ยนใจกลับไปนอนตากแอร์เย็นๆ อยู่ห้องให้มันรู้แล้วรู้รอด

แต่สุดท้ายก็พยายามดึงความอยากใช้ชีวิตกลับคืนมาเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้จะเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานและเตียงนอนมากเกินไปแล้ว เลยกลั้นใจเดินลัดเลาะผ่านร้านเครื่องดื่มที่เห็นจนชินตาเพื่อมาออกทางประตูฝั่งที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ออกจากตึกมาสัมผัสกับอากาศที่ปราศจากความเย็นจากเครื่องปรับอากาศได้ไม่ทันถึงหนึ่งนาที ความตั้งใจที่จะใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินก็ถูกเปลี่ยนเป็นแท็กซี่ไปซะได้

…เอาน่า ยังไงความตั้งจะใจไปร้านหนังสือก็ยังเหมือนเดิม





แต่ผมประเมินการนั่งแท็กซี่เข้าสยามในบ่ายวันเสาร์น้อยไป

…รถติดมาก

แถมยังต้องมานั่งฟังพี่แท็กซี่บ่นเรื่องนโยบายจับแท็กซี่ที่ไม่ยอมรับผู้โดยสารอะไรนั่นอีก ใจหนึ่งก็อยากจะบอกพี่แกไปหรอกครับว่าถ้าคิดว่าไม่คุ้มค่าอย่างนั้นก็ปล่อยให้อูเบอร์ทำไป เห็นใจผู้โดยสารบ้าง เรียกก็ไม่ไป ยังไม่ให้คนอื่นไปส่งอีก

…แล้วผมจะไปในที่ที่รถสาธารณะเข้าไม่ถึงได้ยังไงถ้าผมไม่มีรถ?

แต่ก็นะ แค่เรื่องงานที่เพิ่งตีจากมาเมื่อครู่ยังทำผมปวดหัวอยู่เลย เลยหยุดความคิดตัวเองไว้เท่านั้นไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรกลับไปนอกจากจ่ายตังค์เท่าจำนวนที่ปรากฏบนมิเตอร์ บอกขอบคุณแล้วลงจากรถมาก่อนจะพบว่า

…นอกจากรถจะติดมากๆ แล้ว คนยังเยอะมากๆ อีกด้วย

…โดยเฉพาะร้านหนังสือ

ทั้งที่คิดว่าจะได้มาใช้ชีวิตแบบเงียบๆ เสพความนิ่ง หมกมุ่นกับความสงบตามชั้นหนังสือไปเรื่อยๆ เพื่อหาหนังสือแนวใหม่ที่ยังไม่เคยอ่านเผื่อจะได้มุมมองหรือแง่คิดใหม่ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตสำหรับคนช่วงวัยทำงานที่เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับความซ้ำซากจำเจของชีวิตตอนนี้ขึ้นเรื่อยๆ

…คนเยอะขนาดนี้ สงสัยคงจะต้องรีบซื้อรีบจ่ายอีกตามเคย

“เรื่องอะไรนะ?”
“โจนาทาน… อะไรสักอย่าง”


ผมพยายามเลือกชั้นหนังสือที่ดูคนน้อยและเป็นแนวที่พอจะคุ้นเคยมากกว่าความตั้งใจแรก เพราะปริมาณคนที่ทยอยเข้ามาในร้านเพื่อทำกิจกรรมมากกว่ามาซื้อหนังสือ พูดคุย รอเพื่อน และอีกหลายอย่าง จนสุดท้ายก็ต้องจำใจเดินกลับไปซบอกตรงโซนมาตรฐานของการมาร้านหนังสือแบบทุกครั้ง

…จะว่าไป ครูปลาหมึกมันออกเล่มใหม่รึยังวะ?

เดินผ่านชั้นหนังสือไปเรื่อยๆ อะไรแวบๆ ที่หางตาก็ทำให้ชะงักไปนิดนึงก่อนจะต้องหยุดมองเจ้าหนังสือปกสีน้ำเงินที่วางอยู่บนชั้นตรงหน้า

‘โจนาทาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล’

…เล่มนี้รึเปล่าวะ?

อยู่ดีๆ ใจก็คิดไปถึงผู้หญิงสองคนที่เดินตามหลังกันเข้ามาพร้อมคำพูดเปรยๆ ถึงโจนาทานอะไรสักอย่าง

…ถ้าเดินไปเรียกเขาให้มาดู เขาจะหาว่าเสือกไหม?

ผมหันหลังกลับอย่างครุ่นคิดก่อนจะเดินไปย้อนไปทางเก่าเพื่อมองหาผู้หญิงสองคนที่คาดว่าคงกำลังหาหนังสือเล่มนี้อยู่ ลังเลอยู่สักพักก็ตัดสินใจได้เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้าไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ Information พอดี พนักงานคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผายมือไปทางชั้นหนังสือเมื่อกี้

…อ่า แล้วโซนการ์ตูนของร้านนี้มันอยู่ตรงไหนแล้วนะ?





นอกจากจะไม่ได้อะไรนอกจากการ์ตูนเล่มต่อกับนิยายแปลที่ตัดสินใจซื้อแบบเร็วๆ จากคำโปรยไม่กี่บรรทัดบนปกหลังแล้ว ผมยังต้องมาต่อคิวที่ยาวแสนยาวแถมแถวยังล้นจนมาขวางชั้นหนังสือนิยายแฟนตาซีที่ดูจะเป็นที่นิยมเหลือเกินจนต้องหลบทุกครั้งที่มีคนอยากดูเข้ามาเจ้าหนังสือนี่อีก

…ไปจ่ายตรงเคาน์เตอร์หนังสือต่างประเทศก็ได้วะ

ค่อยยังชั่วที่เคาน์เตอร์ตรงนี้มีคนรอคิวเพียงแค่สองคิวเท่านั้น

“โห” ผมเผลอครางออกมาเมื่อเห็นคิวก่อนหน้าวางหนังสือปึกใหญ่ลงบนเคาน์เตอร์ แถมยังต้องการใช้สิทธิ์สมาชิกโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เตรียมบัตรเอาไว้อีกทำให้ต้องเสียเวลาหาไปอีกพักใหญ่

…สองคิว เลยเหมือนสิบคิวขึ้นมาทันที

…นี่ก็เวอร์

ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะหยิบมือถือขึ้นมาจิ้มเล่นดีไหม สายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุบางอย่างตกลงบนพื้นข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่งพอดี ผมไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไรแต่ดูจากของบนเคาน์เตอร์ที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังสนใจแล้ว

…มันคือที่คั่นหนังสือที่ทางร้านบริการไว้ให้ลูกค้าสามารถหยิบได้ด้วยตัวเอง
ผมยืนเล็งอยู่สักพักว่าใช่ที่คั่นหนังสือหรือไม่ แต่ด้วยความแวววาวของแผ่นชิพเล็กๆ ที่อยู่บนบัตรทำให้ผมค่อนข้างเทใจไปว่ามันน่าจะเป็น

…บัตร ATM หรือบัตรเครดิตสักอย่างมากกว่า

ผมยืนนิ่งอยู่ในระหว่างที่มองดูผู้หญิงคนนั้นยังคงเลือกที่คั่นหนังสือต่อไป

…บางทีเธออาจจะรู้ตัวแล้วและคงจะเก็บมันหลังจากที่เลือกที่คั่นหนังสือเสร็จก็ได้

หลายครั้งผมก็ทำอย่างนั้นเพราะขี้เกียจวุ่นวายทำอะไรสลับกัน

…โอเค เธอคงไม่นิสัยเหมือนผม

ผมมองดูเธอที่เดินเลยบัตรใบนั้นไปหลังจากได้ที่คั่นหนังสือที่ต้องการแล้วก่อนจะตรงไปยังเคาน์เตอร์บริการห่อปกหนังสือโดยไม่สนใจ

…อ่า ผมควรเก็บไปคืนเธอไหม? ถ้าหายไปเธอคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย

“ขอโทษนะครับ อันนี้… ทำตกไว้ใช่รึเปล่า?” ผมถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ ตอนยื่นให้ดันมีความคิดหนึ่งแทรกเข้ามา

…บางทีอาจจะไม่ใช่ของเธอ

“ใช่ค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ” เธอพูดขอบคุณหลายครั้งแถมยังยกมือไหว้ผมอีก

…จะไม่รับคำขอบคุณเพราะไหว้ผมนี่แหละ ถึงดูตามรูปการณ์แล้วเธอน่าจะอ่อนกว่าผมจริงๆ ก็ตาม

“กรรม” ผมหันกลับไปยังแถวจ่ายตังค์ที่เผลอจากมาเมื่อครู่

…จากสองคิวในตอนแรก ผมไม่ทันสังเกตเลยว่ามีมากกว่าห้าคิวที่ต่อหลังผมอยู่

…กลับไปเคาน์เตอร์แรกก็ได้วะ





…ขอบคุณที่เคาน์เตอร์แรกเหลือเพียงไม่กี่คิว แถมทุกคิวยังมีหนังสือเพียงคนละสองสามเล่มเท่านั้น

ผมจ่ายตังค์ มองดูพนักงานห่อปกหนังสือเล่มที่ได้รับสิทธิ์ฟรีเพราะราคาปกถึง ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วออกจากร้านมา

ป้าย ‘Mid Year Sale 2017’ ของแบรนด์เสื้อผ้าเจ้าประจำที่ชั้นล่างดูเป็นอะไรที่ล่อเงินในกระเป๋าอยู่ไม่น้อยจนผมต้องเดินเข้าไป ก่อนจะต้องล่าถอยออกมาเพราะปริมาณคนที่เยอะเกินไป

“สียีนส์สวยดีว่ะ แต่มีแล้วสองตัวอ่ะดิ”
“งั้นก็ไว้ค่อยซื้อ จะซื้อทำไมเยอะแยะ”


…อิทธิพลของป้าย Sale นี่มันสุดยอดจริงๆ





ยังดีที่แถวแลกเหรียญของรถไฟฟ้าไม่ยาวอย่างที่คิด ที่คนเยอะคาดว่าน่าจะมาจากขาเข้าสยามมากกว่า ขาออกอย่างผมเลยไม่ต้องไปยืนเบียดกับใคร ถึงจะแค่สถานีเดียวเพื่อไปต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ความทรงจำจากขามาก็ทำเอาไม่อยากขึ้นแท็กซี่อีกรอบ แต่ถ้าจะให้เดินก็ออกจะเกินไป

…ขี้เกียจเกินไป

เสียบบัตรเข้าที่กั้นรถไฟฟ้าก็เดินผ่านช่อง รอให้เจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋า ขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสถานีแล้วมองหาป้าย
…จุดหมายปลายสายคือบางหว้า แต่ผมจะลงแค่ศาลาแดง
 
“ลงไหนวะ?”
“บางหว้า”


เสียงมากมายตามปริมาณของผู้คนยังคงผ่านเข้ามาในหู

“โอ้ยแก ฉันมึนมากขึ้นสายสีลมได้ไงก็ไม่รู้ ใช่ๆ เดี๋ยวจะนั่งกลับไป”

ถึงจะไม่ได้อยากสอดรู้สอดเห็นแต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“นายๆ”

“นาย”

“นายยย”


เสียงที่ยังเรียกแต่คำเดิมซ้ำๆ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

…แต่ก็ได้แค่คิดในใจว่าขอให้อีกคนรีบหันกลับไปตอบรับคำเรียกเร็วๆ เท่านั้น

“นายอ่ะ” มือที่สัมผัสลงมาบนไหล่ทำเอาผมสะดุ้งจนต้องดึงสายตาที่เคยจดจ้องอยู่กับภาพอาคารสูงด้านนอกให้หันกลับไปมองคนเรียกที่สะกิดเรียก
 
“ครับ?”

…จะว่าไป ก็ไม่น่ารู้จักกัน

…หรือผมทำของหล่น?


“ขอไลน์หน่อยดิ”



TBC.



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
บ่ายสามวันเสาร์


[ อีกคน ]

…วันเสาร์เป็นวันหยุด

ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่เพราะแถวแลกเหรียญของสถานีรถไฟฟ้าไม่ได้ยาวอย่างที่คิด เป้าหมายของผมเลยตรงดิ่งไปที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติและได้บัตรโดยสารภายในเวลาไม่กี่นาที ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปแตะบัตรลงบนที่กั้นแล้วพาทั้งคนทั้งกระเป๋าที่สะพายอยู่บนหลังเดินผ่านไป

…และหยุดลงอีกครั้ง

…เพราะติดแถวตรวจกระเป๋าของสถานี

…ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังคงทำหน้าที่ได้ดีแม้ในช่วงเวลาที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในสยามเยอะขนาดนี้

“ใจเย็นครับเพื่อน มึงจะรีบไปไหนครับเนี่ย?” เสียงเรียกพร้อมแรงดึงที่ไหล่ทำให้ผมที่กำลังจะล้วงเอาบัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินออกมาต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองไอ้คนเรียกอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

…เออ ลืมไปเลยว่ามากับมัน

“กลับคอนโดฯ” ผมตอบมันหน้าซื่อตาใส ไอ้เพื่อนรักที่ชวนผมออกมาเที่ยวเล่นในวันหยุดได้แต่เลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วทำสีหน้าไม่เชื่อแบบสุดๆ

“มึงเนี่ยนะ?”

“เออ กูนี่แหละ” ผมย้ำก่อนจะดึงไหล่ตัวเองออกจากมือที่จับอยู่ ปล่อยให้มันเดินไปต่อแถวแลกเหรียญที่หดสั้นลง พอถึงคิวเจ้าตัวก็ยื่นบัตรรถไฟฟ้าสีเดียวแบบเดียวกันกับในมือผมไปให้พนักงานที่ส่งยิ้มให้อยู่หลังเคาน์เตอร์

“ห้าร้อยครับ” มันว่าก่อนจะยื่นธนบัตรใบสีม่วงให้พนักงานหนึ่งใบ เธอยิ้มรับ คีย์ข้อมูลอยู่ไม่นานเสียงตอบรับอัตโนมัติจากเครื่องเติมเงินก็ร้องเตือน เธอชี้ไปที่หน้าจอเพื่อยืนยันการเติมเงินอีกครั้งก่อนจะยื่นบัตรคืนให้ แล้วไอ้เพื่อนผมมันก็เดินยิ้มร่าออกมา

“มีเงินละ จะลงสถานีไหนก็ว่ามา” มันยักคิ้วก่อนจะแตะบัตรลงบนที่กั้นแล้วพาตัวมันเองเดินผ่านเข้าไปทำเอาผมยิ้มกว้างอย่างอดขำไม่ได้

…นี่แหละครับที่เรียกว่าเพื่อนแท้





“ซ้ายหรือขวา?” ไอ้คนนำหน้าถามขึ้นในระหว่างที่เดินขึ้นบันไดเลื่อนมายังชั้นสอง ผมไล่สายตาผ่านผู้คนที่ยืนออกั้นอยู่หลังแนวกระจกกันตกของชานชาลาก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางซ้ายมือ

…ผู้ชายเสื้อเทากางเกงยีนส์สีซีดที่ยืนต่อแถวอยู่

“คนนั้น?” มันถามเพื่อความแน่ใจก่อนจะยิ้มขำแล้วเดินไปหยุดอยู่แถวข้างๆ แต่มีเป้าคือคือประตูทางเข้าเดียวกัน

…บางทีคุณอาจจะสงสัย

…แต่หากคุณเรียกผู้ชายที่ชอบผู้ชายว่า ‘เกย์’

…ผมก็คงใช่

‘ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ กรุณายืนรอรถไฟฟ้าและวางสัมภาระหลังเส้นสีเหลือง…’

ทันทีที่รถไฟฟ้าเทียบชานชาลาและประตูกระจกที่กั้นอยู่ก็เลื่อนเปิดออก ผู้คนข้างในต่างพากันเดินออกมาเมื่อถึงที่หมาย สวนทางกับคนยืนรอที่ต้องการจะแทรกตัวเพื่อเดินเข้าไป

…เขาก็เช่นกัน

…และผมก็ด้วย

ผมดันหลังไอ้เพื่อนของผมที่เดินนำหน้าอยู่อย่างหมั่นไส้เมื่อมันเอาแต่ถ่วงเวลาทำทีเป็นเดินช้าจนสัญญาณของชานชาลาแจ้งเตือนถึงได้พากันขึ้นมาเหยียบบนรถไฟสายสีลมที่มีจุดหมายปลายทางเป็นสถานีบางหว้าจนได้

“รีบเหรอครับเพื่อน?” มันว่า หน้าตาไม่ทุกข์ไม่ร้อน

…ก็แน่สิ เป้าหมายผมไม่ใช่มัน

“มึงแม่ง!” ผมสบถอย่างเซ็งๆ มันยิ้มขำก่อนจะเหลือบตาไปมองคนที่แทรกตัวเข้าไปอยู่อีกฝั่งของประตูตั้งแต่ขึ้นมา

“เอาไงต่อ?” ผมมองหน้าไอ้คนถามก่อนจะแกล้งขยับตัวหลบคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อแอบส่องเป้าหมายที่ตอนนี้ดูจะสนใจตึกที่เรียงรายกันอยู่นอกหน้าต่างมากกว่าคนในรถไฟ้ฟ้าอย่างผม

“จะจีบก่อนนี่ต้องเริ่มยังไงวะ?” ผมย้อนถามเพื่อนสนิทที่น่าจะดูเชี่ยวชาญกว่า มันขำพรืดก่อนจะยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับผมคนที่ไม่เคยเข้าหาใครก่อนดูจะเป็นเรื่องแปลกใหม่เกินกว่าจะคิดเองจริงๆ

…ถึงผมจะตามเป้าหมายคนนี้มา เพราะสนใจตั้งแต่แรกเห็นก็เถอะ

“ขอเบอร์?” เสียงที่เสนอวิธีที่โคตรเบสิคออกมาทำเอาผมต้องปรายตามองอย่างสงสัย

“ไม่เชยไปเหรอวะ?” ผมถามกลับ ลองนึกภาพตัวเองเดินเข้าไปสะกิดคนตรงหน้าแล้วพูดว่า ‘นายๆ เราขอเบอร์หน่อยดิ’

…แค่คิดก็

…เอาเป็นว่า ถ้าเป็นผม ผมไม่ให้อ่ะ

“ดักฉุดแม่งเลย”

“บอกกูทีว่านี่คิดแล้ว?” ผมหรี่ตามองมันที่ขำออกมาไม่หยุดก่อนจะหลบทางให้คนด้านในที่เบียดตัวออกมาเมื่อเสียงประกาศดังขึ้น

‘สถานีต่อไป ราชดำริ…’

เขาคนนั้นเงยหน้ามองป้ายบอกเส้นทางที่อยู่บนหัวเขาเล็กน้อยก่อนจะลดระดับสายตาลงมาแล้วมองไปยังนอกหน้าต่างของรถไฟฟ้าอีกครั้ง

“ถ้ามึงไม่เลือกเอาสักวิธีเหยื่อหลุดแน่นอนครับเพื่อน” ไอ้พรายกระซิบข้างๆ ยังคงทำหน้าที่ก่อนจะพากันเหลือบมองเป้าหมายโดยที่ยังไม่รู้ตัว

…ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ

รถไฟฟ้าหยุดลงเมื่อขบวนรถเข้าเทียบชานชาลาของสถานีราชดำริ เขาที่ยืนอยู่ตรงประตูเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแต่ไม่ยอมเดินเข้ามา ทำให้พอคาดเดาได้ว่าเจ้าตัวคงจะลงในอีกสองสามสถานีข้างหน้านี้แน่

…ประตูปิดอีกครั้งและเพื่อนที่แสนรู้งานก็พาตัวผมมาอยู่ใกล้กับเขามากขึ้นโดยอาศัยผู้คนในรถที่โยกย้ายตำแหน่งสำหรับคนที่กำลังจะลงและคนที่ต้องเดินทางไปอีกหลายสถานี

‘สถานีต่อไป ศาลาแดง…’

…เขาขยับ

…และไอ้เพื่อนข้างๆ มันก็สะกิดผมทันที

“เขาจะลงแล้ว”

“รู้แล้ว”

“รู้แล้วก็ทำอะไรเข้าดิ หรือไม่เอา?” มันถามด้วยน้ำเสียงที่กวนตีน …เหมือนหน้ามัน

“ยังจะมาถาม” มันขำ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นกับมองเป้าหมายตรงหน้าแล้วหันมาหาผม

“ขอไลน์แล้วกัน”

“ห๊ะ?” ผมมองมันอย่างสงสัยที่อยู่ดีๆ มันก็พูดขึ้นมา

“ขอไลน์เขาเลย กูตัดสินใจให้ละ นายๆ” วิธีที่มันเสนอ ผมยังไม่ทันจะอนุมัติ มันก็ถือวิสาสะเรียกคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทันทีจนผมได้แต่หน้าเหวอแล้วร้องเฮ้ยในใจอย่างตั้งตัวไม่ทัน

…บุญยังมี ดีที่เขาไม่หัน

“เดี๋ยวกูเรียกให้ แต่มึงต้องขอเองนะ” มันย้ำ

…ที่จริงมึงควรพูดประโยคนี้ขึ้นมาตั้งแต่ครั้งแรกรึเปล่าวะ?

“นาย”

…แล้วก็ยังไม่หัน

“นายยย”

“ประสาทแม่งหนาฉิบหาย” ไอ้เพื่อนรักหันมารายงานทั้งๆ ที่ผมก็ยืนมองมันเรียกเขาอยู่ข้างๆ ก่อนไอ้คนถามจะทำหน้าเซ็งออกมา

“หรือแม่งเป็นวิญญาณวะ? มันอาจจะไม่ใช่คน”

“มึงนี่ก็เวอร์” ผมด่าก่อนจะเคาะนิ้วลงบนหัวมันอย่างระอา มันปรายตามอง เบะปากแล้วลากผมไปยืนแทนที่ตำแหน่งมันซึ่งใกล้เขามากกว่าก่อนจะยักคิ้วให้

“จัดการเองเลยแล้วกัน” มันว่าก่อนจะใช้ศอกดันหลังผมเบาๆ

“เอาจริงดิ?” ผมย้ำก่อนจะเหลือบไปมองเป้าหมายที่ถึงแม้จะมีคนคิดมิดีมิร้ายอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว

“หรือไม่เอา?” ไอ้เพื่อนข้างๆ แหย่ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างรู้ทัน

“เอา” ผมหายใจเข้าลึกๆ เสียงประกาศซ้ำของสถานีที่รถไฟฟ้ากำลังจะเข้าเทียบทำให้ผมตื่นเต้น ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมา

…แล้วมันก็โดนกดให้วางลงบนไหล่เขาที่ยืนอยู่ตรงหน้า

…ด้วยฝีมือไอ้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“นายอ่ะ” ไม่ใช่แค่แกล้งด้วยการกระทำเปล่าๆ แต่ยังส่งเสียงเรียกตามมาจนผมเริ่มสงสัยว่า

…หรือจริงๆ ผมอาจไม่ใช่คน

…แต่เป็นหนังตะลุง

ผมมองคนที่ผมแตะไหล่เขาอยู่ค่อยๆ หันมา เขาทำหน้างงๆ เล็กน้อยก่อนจะไล่ตามแขนผมไปหยุดอยู่ที่มือที่กำลังวางอยู่บนไหล่ของตัวเองอย่างสงสัยก่อนปรายสายตากลับมามองที่ผมอีกครั้ง

“ครับ?” เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาผมชะงัก

…ไม่ใช่เพราะออร่าไอ้คนตรงหน้ามันทิ่มตา

…แต่เพราะไอ้เพื่อนข้างหลังมันพากย์ฉากต่อไปให้ผมเรียบร้อยแล้ว

“ขอไลน์หน่อยดิ”

ผมเห็นเขาอึ้งไปนิดก่อนจะชะโงกหัวไปมองเพื่อนผมที่ยืนยิ้มขำๆ อยู่ข้างหลังก่อนจะเหลือกลับมามองที่ผมที่มือยังคงแตะไหล่เขาไว้อย่างงงๆ

…แล้วมุมปากของเจ้าตัวก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างขำๆ

“ใครขอเหรอครับ?” เขาถามก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วทิ้งตัวลงพิงโบกี้รถไฟตามเดิม ต่างกันที่เขาไม่ได้เอาหลังพิงอย่างก่อนหน้านี้ แต่เปลี่ยนไปใช้ไหล่พิงแทน เพราะใบหน้าของเจ้าตัวยังคงมองมาที่ผมสลับกับไอ้เพื่อนข้างหลังที่ส่งเสียง ‘ฮิ้ววววว’ ขึ้นมาอย่างถูกใจ

…เสียงประกาศดังซ้ำเมื่อรถไฟฟ้ากำลังเข้าเทียบชานชาลา

…ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก มองเห็นผู้คนที่ทยอยลงไปและผู้คนใหม่ๆ ที่เดินเข้ามา

‘สถานีต่อไป ช่องนนทรี…’

“ถ้าไม่มีใครขอ งั้นผมขอไม่ให้นะครับ” เขายังคงยิ้มที่มุมปากก่อนยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อยอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะมองมาที่ผมพร้อมไปตาไปยังมือที่ยังคงวางอยู่บนไหล่เป็นทำนองว่า …เมื่อไหร่จะปล่อยเสียที?

“กูไม่ได้ขอ” ไอ้เพื่อนข้างหลังพูดขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมา มันยิ้มให้ผมก่อนจะหนีไปยืนที่ประตูอีกฝั่งพร้อมโทรศัพท์ในมือแล้วปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับคนที่ยังจ้องมาไม่วางตาอยู่คนเดียวซะงั้น

…กลับไปจะไล่ลบเบอร์สาวในเครื่องมันให้หมดเลยคอยดู

“ตกลงจะขอหรือไม่ขอ?” เขาย้ำ ผมกลืนน้ำลายเอื้อกเมือสบเข้ากับดวงตาคนตรงหน้าที่เหมือนจะนิ่งแต่ก็เหมือนกำลังสนุกอยู่ซะอย่างนั้น

“ขอก็ขอ” ผมสงบสติอารมณ์ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทางมั่นใจตามแบบฉบับของผม คนตรงหน้าหลุดยิ้มก่อนจะตีหน้าขรึมขึ้นมาใหม่

…ก็รู้อยู่หรอกว่ากำลังโดนแกล้ง

“ขอไลน์? สินะครับ” เขาเลิกคิ้วถามพลางแกล้งทำหน้าตาซื่อๆ ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาถือไว้

“อื้อ”

“จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ?”

…เอาไปท่องแทนสูตรเคมมีมั้ง

“จะจีบ”

“จีบผมเหรอ?” เขาแกล้งทำหน้าเหวอก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่เปิดโปรแกรมไลน์ของตัวเองมาให้ตรงหน้า ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปรับแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายดึงโทรศัพท์กลับไปหาตัวเองจนมือผมวืดจนต้องมองคนตรงหน้าขึ้นอย่างหมั่นไส้

“ก็จีบตอนนี้เลยดิ” คำพูดต่อมาเล่นเอาผมชะงักอีกครั้งเมื่อไอ้คนตรงหน้ายักคิ้วให้อย่างกวนๆ ก่อนจะดึงตัวขึ้นยืนตรงเมื่อรถไฟฟ้าเข้าเทียบชานชาลาสถานีถัดไปจนผมที่เพิ่งตั้งสติได้หันกลับไปมองเพื่อนที่มาด้วยกันก็พบว่ามันมองอยู่ก่อนแล้ว

“จะตามไปไหมครับเพื่อน?” มันยิ้ม

“ก็นะ ขนาดนี้แล้ว” ผมยิ้มก่อนจะยักไหล่ให้เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก

“โอเค งั้นก็ …ไว้เจอกันนะมึง” มันบอกก่อนจะยักคิ้วให้แล้วก้มลงไปสนใจโทรศัพท์ในมือตัวเองต่อ

…รถไฟเทียบชานชาลาสถานีช่องนนทรี

…เขาเดินออกไปจากขบวนรถไฟฟ้า

…ผมก็เช่นกัน

“แล้วเพื่อนนายอ่ะ?” เขาถาม ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มมุมปาก

“แยกย้ายแล้ว …เมื่อกี้นี้” เขายกยิ้มมุมปากเช่นกัน

เขาเดินลงมาที่ชั้นล่างก่อนจะเปลี่ยนฝั่งเดินกลับไปยังบนชานชาลาอีกทาง

“แล้วนี่ …จะไปไหน?” ผมถาม แต่ก็ได้แต่เดินตามเขาไปต่ออย่างงงๆ

“ศาลาแดง”

“หืม จะนั่งย้อนกลับไปเหรอ?”

“อือ จะลงแล้วแหละ แต่เพราะใครก็ไม่รู้” เขาหยุดลงตรงเส้นลูกศรก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ อย่างกลั้วหัวเราะ

“หึ เพราะใครกันน้า” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินไปหยุที่ลูกศรอีกตำแหน่งที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะส่งรอยยิ้มกวนๆ ไปให้

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่า…” เขาพูดขึ้นก่อนจะหันมามองผมที่ยืนห่างจากเขามากกว่าหนึ่งวา

“รับผิดชอบด้วยแล้วกัน”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย คำพูดแบบนี้นี่มัน…

“จีบผมให้ติด…”

…ให้ท่ากันชัดๆ

“ในหนึ่งสถานีนะ”


…แม่ง! กันท่ากันชัดๆ



TBC.







ออฟไลน์ kail

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กีสสส อ่อยใช่ไหม แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยยยยยย >/////<

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เห็นเงียบๆ ร้ายไม่เบานะ  :interest:

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
บ่ายสามวันเสาร์

[ สองคน ]

‘ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ กรุณายืนรอรถไฟฟ้าและวางสัมภาระหลังเส้นสีเหลือง…’

...รถไฟฟ้ากำลังเข้าเทียบชานชาลา

..คนที่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งลูกศรอีกฝั่งหนึ่งของทางเข้าขบวนรถเดียวกันหันมามองก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

"สองนาที"

"หืม?" ประโยคที่ผมไม่สามารถหาความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ตอนนี้ได้ทำเอาผมได้แต่มองอย่างสงสัย

…สองนาที?

"ระยะเวลาจากสถานีนี้ไปศาลาแดงไง"

…โหหห

...นี่ก็กดดันกันเกินไป

ผมมองรถไฟฟ้าสายสีลมที่แล่นเข้ามาตรงหน้าก่อนจะหยุดเทียบชานชาลา สัญญาณที่ดังขึ้นพร้อมกับประตูรถที่เปิดอออก ผมและเขาเบี่ยงตัวกันเข้าหาที่กั้นคนละทางเพื่อหลีกทางให้กับคนที่กำลังเดินออก เขาหันมามองเล็กน้อยในจังหวะที่ผู้โดยสารคนสุดท้ายเดินลงมาแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปในขบวน

ผมมองตาม ยิ้มอย่างให้กำลังใจตัวเองน้อยๆ แล้วเดินตามเข้าไป

…เขายืนอยู่พิงอยู่ตรงผนังรอยต่อของตู้โดยสาร

…ผมก็เช่นกัน แต่เลือกเป็นผนังฝั่งตรงข้ามแทน

เสียงสัญญาณเตือนว่าประตูรถไฟฟ้ากำลังจะปิดดังขึ้นพร้อมๆ กับผู้โดยสารคนสุดท้ายก้าวเข้ามาได้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนผมจะหันกลับมาสนใจคนตรงหน้าที่ตอนนี้เมื่อขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง นั่นหมายความว่า ‘สองนาที’ ที่เขาบอกผมกำลังลงลงเหลือ ‘หนึ่งนาทีห้าสิบเก้าวินาที’ แทน

'สถานีต่อไป ศาลาแดง…’

...ให้โอกาสกันถึงขนาดนี้ ยังไงก็คงคิดเข้าข้างตัวเองได้บ้างแหละ

...ว่าแต่ว่า ผมควรเริ่มยังไงนะ?

"เราชื่อสาริน" เขาหันมามองผมอย่างสงสัยที่อยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นหลังผ่านไปสิบวินาทีก่อนจะพยักหน้ารับแล้วหันกลับไปมองอาคารที่เรียงรายกันอยู่นอกหน้าต่าง มุมปากนั้นยังคงมีรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอดเวลา

"แล้วนายชื่ออะไร?" เขาหันมาเลิกคิ้วอย่างสงสัยอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างแน่ใจนัก

"สิป"

"สิบ? แบบ... สิบบาท สิบวัน สามสิบ อะไรแบบนั้น?"

"สิปปากร" เขายกมือขึ้นมาผลักหัวผมพลางหรี่ตามองอย่างระอาก่อนจะพูดคำที่ยาวขึ้นต่อท้ายชื่อ ‘สิป’ ที่เขาบอกมาในตอนแรก

…ตามมาแบบงงๆ เพิ่งจะรู้ชื่อเขาก็ตอนนี้นี่เอง

…แต่ที่ ‘ฟิน’ กว่านั้น

...ผมได้แตะเนื้อต้องตัวด้วยนะ

...เขาเริ่มก่อนอีกต่างหาก

“เราชอบเดินเล่น สิปล่ะ” เขาหันกลับมามอง

“อยู่เฉยๆ มั้ง” เขาตอบแบบไม่มั่นใจนักก่อนจะก้มลงแล้วยกถุงที่มีชื่อร้านหนังสือชื่อดังแปะอยู่ขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“ชอบนี่ด้วย”

“งั้นสิปคงชอบเรื่องที่มีสาระสินะ หรือชอบเรื่องไม่มีสาระ” คำถามของผมทำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้วอย่างงงๆ อีกครั้งก่อนจะคลายคิ้วออกแล้วยิ้มบางๆ ให้อย่างยอมแพ้เพราะดูท่าจะไม่เข้าใจจริงๆ แต่ก็ยอมตอบออกมา
 
...ทำไมชอบทำให้หลง

"มีสาระมั้ง ฟังดูดีกว่าเยอะนี่"  เขาขำ สายตาตั้งคำถามว่ามันเกี่ยวกับที่ผมบอกว่าจะจีบเขายังไง?

"งั้นสิปคงชอบเรา?" ผมยิ้ม ส่วนเขาหรี่ตามองแบบมีเลศนัยแต่ก็ยังตามน้ำต่อไป

"ทำไมล่ะ?"

"ชื่อเราแปลว่า ‘ผู้มีสาระ’ สิปชอบคนมีสาระ งั้นสิปก็ต้องชอบเราสิ" ผมยิ้มก่อนจะยักคิ้วให้ สิปทำหน้าอึ้งไปก่อนจะผิวปากหวือออกมาอย่างถูกใจในมุกห้าบาทสิบบาทของผม

“เหมือนผมจะบอกว่าชอบ ‘เรื่อง’ ที่มีสาระนะ ไม่ใช่ ‘คน’ ที่มีสาระ” เป็นฝ่ายเขาบ้างที่ยักคิ้วให้จนผมทำหน้าเหวอ ได้แต่คิดอย่างเซ็งๆ

"ถ้าอย่างงั้น… ต้องพูดว่า ‘ผมชอบตัวเอง’ คงจะถูกกว่า" ผมมองเขาอย่างสงสัยพลางพยายามนึกทุกเหตุผลที่ประโยคของคนตรงหน้าจะสามารถนำมาเล่นมุกได้

…ผมชอบตัวเอง?

…อะไรวะ?

"ก็ถ้านายคือ ‘สาระ’ คนที่มีสาระจริงๆ …มันคือผมไม่ใช่เหรอ?" เขาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มขำ ความหมายสองแง่สองง่ามของคนตรงหน้าทำเอาผมอึ้งไปนิดก่อนจะต้องหันหน้าหนีเพราะทำตัวไม่ถูกก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อขงคนพูดลอยตามมา

...สิปมีสาระ เพราะสิปมีสาริน

…ทำไมรู้สึกหน้าร้อนๆ วะ?

“อีกสามสิบวิ” สิปยกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกผมพร้อมเสียงประกาศภายในขบวนรถที่ดังขึ้นพร้อมกัน

“คำถามหมดแล้วเหรอ?” เขาถาม ยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าไม่หาย

"สิปให้เรา… มาจีบสิปไม่ใช่รึไง?" ผมทำหน้าเซ็งก่อนจะถามไอ้คนตรงข้ามที่ชอบทำหน้าสงสัยกลับมาเสมอ

"ครับ" สิปยิ้มก่อนจะจ้องหน้าผมตอบด้วยสายตาที่สงสัยว่าผมกำลังจะพูดอะไรต่อ

"งั้นสิปก็เลิกจีบเราได้แล้ว ให้เราได้จีบสิปจริงๆ บ้างดิ" สิปอึ้งก่อนจะยิ้มกว้างจนเห็นฟันเขี้ยวหนึ่งข้างที่ซ่อนอยู่

...เพิ่งรู้ว่าตัวเองใจบางก็วันนี้

"โอเค" เขาส่ายหน้าอย่างขำๆ ว่าก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้

'สถานีต่อไป ศาลาแดง…’

เสียงประกาศบนรถไฟฟ้าดังขึ้นพอๆ กับความรู้สึกหน่วงๆ ของขบวนรถไฟฟ้าที่ชะลอเพื่อเตรียมเทียบชานชาลา ผมชะงักก่อนจะหันไปมองตรงหน้าที่เตรียมตัวลงเมื่อถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

...หนึ่งสถานี

...ก็เร็วไปไง

เสียงสัญญาณเปิดประตูดังขึ้น สิปเดินออกจากขบวนรถก่อนจะไหลตามกระแสผู้คนที่ดูเหมือนจะพากันลงที่สถานีนี้มากเป็นพิเศษ

ผมมองสิปที่เดินลงมาจนถึงที่กั้นอัตโนมัติก่อนเจ้าตัวจะยกบัตรขึ้นมาสอดเข้าไปในช่องแล้วพาตัวเองเดินออกไป เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงที่ว่างข้างๆ ร้านชาไข่มุกที่ดูเหมือนจะไม่เปิดในวันนี้ก่อนจะหันกลับมามองผมนิ่งๆ จนผมสงสัย

…จนผมแตะบัตรลงบนที่กั้นแล้วเดินตามออก

…ก่อนจะหยุดลงข้างๆ กัน

"ถึงแล้ว" คำพูดเขาทำเอาผมชะงัก สุดท้ายเลยยิ้มแล้วพยักหน้าให้เร็วๆ

"อื้ม"

"ดูทำหน้าเข้า ทำหน้าตาให้ดูมีสาระกว่านี้หน่อยสิครับ คุณสาริน" เขาว่าก่อนจะแกล้งเอื้อมมือมายืดแก้มผม

"เจ็บนะเนี่ย!" ผมหรี่ตามองก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองป้อยๆ

"งั้นไปแล้วนะ" เขาว่าพลางยกมือขึ้นลา ผมพยักหน้ารับทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในสถานีอีกครั้ง

...ไม่น่าตามมาถึงนี่เลย ให้ตาย!

…ผมต้องกลับไปหมอชิต

"วันเสาร์หน้า …มาแถวนี้อีกรึเปล่า?" เสียงของคนที่คิดว่าแยกตัวไปแล้วถามขึ้นทำเอาผมที่กำลังจะเดินไปต่อแถวตรงที่กั้นอัตโนมัติต้องหันกลับมามองอีกครั้ง

"ไม่รู้อ่ะ ก็อาจจะล่ะมั้ง" ผมบอกอย่างไม่มั่นใจนัก

…ถ้าเพื่อนมันชวน ก็คงจะมา

"ถ้ามา ก็แวะไปช่องนนทรีเป็นเพื่อนหน่อย" คำพูดสบายๆ เหมือนพูดกับคนรู้จักทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย

…นี่คือชวน?

“ไปทำไม?”

"ไปแล้วนั่งกลับมาใหม่ ...หนึ่งสถานี" เขาพูดขึ้นก่อนจะยิ้มขำๆ ให้กับผมที่คงทำหน้างงสุดฤทธิ์

…ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด

...นี่กำลังโดนจีบแบบ ‘จริงๆ’ แล้วใช่มั้ยเนี่ย?

"จีบเราก็บอก" ผมว่าก่อนจะแกล้งหัวเราะออกมาอย่างเหนือกว่า

…ทั้งที่ในใจเขินจนทำหน้าแทบไม่ถูก

สิปยิ้มมุมปากก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่เพิ่งล้วงออกจากกระเป๋ามาให้

…ผมเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่า ถึงแม้เขาไม่ได้ยิ้มกว้าง ผมก็ยังมองเห็นรอยเขี้ยวของเขาอยู่ดี

…ใจบาง

"จีบต้องทำอย่างนี้ไม่ใช่รึไง?" เขาว่า ทำเอาผมต้องเรียกสติกลับมาก่อนจะจ้องโทรศัพท์ของเขาที่ตอนนี้อยู่ในมือผมอย่างงงๆ

“หืม?”


"ขอไลน์หน่อยดิ"



[ THE END♥ ]






#บ่ายสามวันเสาร์ จบแล้วค่าาา  ^___________^
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่หลงเข้ามาติดตามนะคะ เป็นเรื่องสั้นที่เขียนนาน ฮ่าๆ
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมางานหนักจนไม่ค่อยได้นอนเลยค่ะ เพราะงั้นถึงจะแค่สามตอนแต่ใช้เวลาเขียนซะเป็นเรื่องยาวเลยค่ะ แหะๆ
อยากบอกว่าสนุกกับมันมากจริงๆ ค่ะกับเรื่องนี้ เหมือนได้ลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็ไม่กดดันมากไป
ยังไงก็ฝากติดตามตอนที่เหลือด้วยนะคะ หวังว่าจะชอบกันนะ

รัก♥
Zenzaii


Twitter : @zenzaii1



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2017 12:57:33 โดย zenzaii »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนเขาจีบกัน เรามีรอยยิ้มแต้มมุมปาก ฟินนน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
งุ้ย..ยยยยย น่ารัก มีความอยากอ่านต่อ   o9

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพุธกลางคืน


[ คนที่นั่งอยู่ทางขวา ]

…เขาว่ากันว่าคนที่เกิด ‘วันพุธกลางคืน’

…มักจะมี

…สัมผัสที่หก



“รับชมภาพยนตร์เรื่องไหนดีคะ?” พนักงานสาวที่นั่งประจำอยู่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วส่งยิ้มให้ก่อนจะถามด้วยประโยคที่ได้ยินแทบทุกครั้งที่มา

“เรื่องนี้ครับ” ผมชี้ไปที่โปสเตอร์หนังขนาดตั้งโต๊ะที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์พร้อมด้วยโปรโมชั่นสารพัดสิทธิ์สมนาคุณจากผู้สนับสนุนรายต่างๆ

“รอบสี่ทุ่มสิบห้านะคะ”

“ครับ”

…ก็มันมีอยู่รอบเดียว

เป็นเรื่องปกติของหนังที่ใกล้ออกโรงแบบนี้ที่มักเหลือรอบฉายเพียงรอบเดียวต่อวันเท่านั้น แถมยังโดนเลื่อนมาฉายเป็นรอบดึกสุดของวันอีกต่างหาก

…กว่าจะจบก็คงราวๆ เที่ยงคืน

“เชิญเลือกที่นั่งค่ะ” พนักงานพูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะผายมือไปตรงหน้าจอของเธอ

ผังที่นั่งจำนวนมากที่อยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับหน้าจอขนาดใหญ่ยังคงปรากฎสัญลักษณ์เก้าอี้สีแดงซึ่งแสดงถึงที่นั่งว่างทั้งๆ ที่ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสิบห้านาทีก่อนหนังจะเริ่มฉายเท่านั้น

…ถึงผมจะชอบดูหนังแบบเงียบๆ

…แต่บางที มันก็เงียบเกินไป

“เอ่อ ไม่มีคนอื่นเลยเหรอครับ?” ผมถามพลางมองพนักงานที่ยังคงส่งยิ้มมาให้เช่นทุกครั้ง

“ยังไม่มีค่ะ”

…และก็คงไม่มี

ผมคิดต่อพลางลอบถอนหายใจก่อนจะชี้ไปที่ตำแหน่งที่นั่งซึ่งเยื้องไปทางซ้ายของหน้าจอเล็กน้อยและถัดมาจากที่นั่งแถวบนสุดอีกหนึ่งแถว

…ตามความเคยชิน

“ทั้งหมด 70 บาทค่ะ ราคาพิเศษสำหรับท่านที่รับชมภาพยนตร์ในวันพุธ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบธนบัตรสีแดงยื่นให้หนึ่งใบ เธอกดยืนยันข้อมูลก่อนจะรับตั๋วสีขาวที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ้นท์ ตรวจสอบเงินทอนแล้วยื่นทั้งหมดมาให้ก่อนจะพูดประโยคประจำ

“รับชมภาพยนตร์ให้สนุกนะคะ”





ผมเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกหนึ่งชั้น ชั้นนี้เป็นชั้นของโรงหนังทั้งหมดแถมยังเป็นชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้อีกด้วย ด้วยความที่เป็นรอบดึกสุดซึ่งเลยเวลาเปิดทำการของห้างไปแล้วทำให้ผมไม่มีที่ไปนอกจากต้องมานั่งแกร่วอยู่ตรงโซฟาหน้าโรงหนังที่เห็นคนกำลังนั่งรอหน้าโรงอื่นๆ อยู่บ้างประปราย

ผมมองเลขของโรงหนังที่ปรากฏอยู่บนตั๋วในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโปสเตอร์หนังแนวสยองขวัญที่ติดอยู่เหนือทางเข้าพร้อมด้วยประโยคเด็ดที่เชิญชวนให้ทุกคนอยากมาดู

‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’

…บางทีผมอาจต้องการกล่องป๊อบคอร์นสักกล่องไว้เป็นตัวช่วย




…โรงหนังเงียบมากอย่างที่คิด

ผมเดินตามขั้นบันไดลงไปเรื่อยๆ เพื่อหาแถวที่นั่งโซนปกติ ซึ่งจะอยู่ด้านล่างโซนพิเศษลงไปอีกสามสี่แถวก่อนจะใช้แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ส่งดูเพื่อหาเลขที่นั่งที่อยู่จากเก้าอี้แถวกลางๆ มาสองสามตัว

ก่อนจะปิดหน้าจอลงสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นเวลาบนหน้าจอเข้า

…22.13 น.

…ผมไม่เชื่อในลางร้ายของเลข 13

…แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นมันเลย ให้ตาย!



…22.15 น.
 
ตัวอย่างหนังแอคชั่นไซไฟที่เป็นที่กล่าวถึงในปีนี้ปรากฏขึ้นบนจอหนังขนาดใหญ่ ผมมองตัวอย่างตรงหน้าอย่างสนใจ เพราะเนื้อหาที่ดูน่าติดตาม เอฟเฟคดี แถมนักแสดงคุณภาพคับจออย่างนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยครับว่าจะกวาดรายได้จากคนดูไปได้ขนาดไหน



…22.30 น.

ตัวอย่างหนังที่ผลัดกันฉายขึ้นจอเรื่องแล้วเรื่องเล่าจบลง ต่อด้วยอนิเมชั่นที่บอกตำแหน่งที่ตั้ง ทางหนีไฟและการปฏิบัติตัวขณะรับชมภาพยนต์ปรากฎขึ้นแทนที่ ผมนั่งดูพลางอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำตามจริงๆ อย่างข้อปฏิบัติ แต่คงไม่มีใครมาว่าอะไรผมตอนนี้หรอกมั้งครับ

…ก็ผมดูของผมอยู่คนเดียวนี่นา

เมื่อไตเติ้ลทั้งหมดจบลง บนจอภาพยนตร์ก็ปรากฏการเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยผ้าม่านทั้งสองข้างที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันเพื่อปรับขอบเขตการฉายให้พอดีกับขนาดของไฟล์หนัง

ผมขยับตัวเพื่อหาท่าที่สบายก่อนจะคว้ากล่องป๊อบคอร์นที่วางไว้ขึ้นมาทานเล่น

แสงไฟเล็กๆ ที่สว่างวาบขึ้นสุดแถวที่นั่งด้านขวาในจังหวะที่หน้าจอยังมืดอยู่ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองแต่ก็ไม่พบอะไร ผมหันกลับมาสนใจหน้าจอที่ยังไม่ยอมฉายหนังอีกครั้งพลางปลอบใจตัวเองว่า

…มันไม่มีอะไร

ฉับพลันแสงที่ว่าก็ดึงดูดสายตาผมขึ้นมาอีกจนผมต้องวางกล่องป๊อบคอร์นลงกับที่วางแขนอีกครั้งอาศัยพิงเอากับเบาะข้างๆ ทำให้มันพอทรงตัวอยู่ได้ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ

…เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากล จะได้หนีทัน

ผมหันไปทางฝั่งซ้ายพลางมองป้ายทางออกที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อหาทางหนีทีไล่ก่อนจะเอี้ยวหัวกลับไปมองที่มาของแสงทางฝั่งขวา

…ไม่มีแสงไฟเหมือนเดิม

แต่ไม่รู้เพราะสายตาของผมถูกปรับให้ชินกับความมืดแล้วหรืออย่างไร ทำให้ตอนนี้ผมกลับมองเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่สุดปลายแถวจุดเดียวกับที่ผมเห็นแสงไฟก่อนหน้านี้ ความเสียววาบที่แล่นขึ้นมาจากกลางหลังทำเอาผมแทบนั่งไม่ติดก่อนจะทำใจดีสู้เสือเพื่อเพ่งมองมันอีกครั้ง แต่ผมไม่มั่นใจนัก

…บางทีเหมือนเป็นเงาดำของเก้าอี้

…แต่บางที

…ก็เหมือนเงาดำของคน

…คน? รึเปล่าก็ไม่รู้?

แสงไฟที่สว่างวาบขึ้นมาคาตาที่ยังเพ่งมองอยู่ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนแสงจะดับลงอีกครั้ง พร้อมกล่องป๊อบคอร์นที่ตกกระจายอยู่บนพื้น

…คนทำความสะอาดต้องสาปส่งผมแหงๆ

แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมแน่ใจว่ามีเงาดำนั่งอยู่เกือบสุดแถวนั้นอย่างแน่นอน

คราวนี้เป็นแสงจากหน้าจอที่สว่างขึ้นมาอีกครั้ง และแสงจากอนิเมชั่นประจำตัวของบริษัทที่อำนวยการผลิตก็สว่างมากพอที่จะทำให้ผมเห็นบรรยากาศรอบข้าง

…ผู้ชายผอมบางในชุดนักศึกษา

…และไม่ได้เปื้อนเลือดอย่างที่ผมคิด

เขานั่งอยู่พร้อมกับกำลังกดโทรศัพท์ในมือก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าเมื่อภาพบนจอเริ่มเข้าสู่เนื้อหาของหนัง ทางด้านซ้ายมีแก้วเป๊บซี่ ทางด้านขวากล่องป๊อบคอร์นพร้อม

…ป๊อบคอร์น

ผมคิดอย่างสะเทือนใจก่อนจะเหลือบมองป๊อบคอร์นของตัวเองที่กองอยู่บนพื้นไปเรียบร้อยแล้ว

…แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้

…กล่องป๊อบคอร์นก็อาจไม่จำเป็น

ผมถอนหายใจอย่างโล่งโอ่งก่อนจะขยับตัวเพื่อหามุมสบายของตัวเองอีกครั้ง
   
   


   
   หนังเปิดมาฉากแรกด้วยความมืดซึ่งนานพอที่จะทำให้คนดูอย่างผมสามารถดึงสมาธิให้กลับไปอยู่กับหนังได้อีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะคิดตามสิ่งที่คนทำหนังพยายามสื่อออกมาอย่างชื่นชม

สิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึก ‘กลัว’ สำหรับหนังแนวสยองขวัญแบบนี้ ไม่ใช่ผีที่ต้องออกมาตามล้างตามฆ่ากันอย่างโจ่งแจ้ง แต่มันคือความกลัวบนความไม่รู้ ความสงสัยบนความเงียบที่จะทำให้คนดูคิดตามและสร้างเป็นจินตนาการของตัวเองขึ้นมา

   ความมืดในหนังค่อยๆ ไหลไปเรื่อยๆ พร้อมดนตรีประกอบที่ค่อยๆ ดังคลอขึ้นมา

ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังขับรถไปตามเส้นทางที่สองข้างทางเป็นไร่ข้าวโพด มุมมองของหนังทำให้เห็นว่าเสียงที่คลอขึ้นมาตั้งแต่ต้นเรื่องนั้นคือเสียงเพลงจากวิทยุในรถของเธอ ก่อนมันจะเงียบลงเพราะมือของเธอที่เอื้อมากดปิดเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาจากในกระเป๋าบนเบาะข้างๆ

   คนที่โทรเข้ามาคือแม่ของเธอ เธอบอกเล่าถึงการเดินทางในตอนนี้ที่มีจุดหมายเป็นฟาร์มของพ่อซึ่งแยกกันอยู่กับแม่ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน

   อยู่ๆ เสียงเพลงจากก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอหันไปมองวิทยุอย่างสงสัยแต่ปากก็ยังคุยกับแม่ของเธออยู่ เธอเอื้อมมือไปกดปิด เพราะเสียงเพลงมันรบกวน แต่ไม่นานมันก็ดังขึ้นอีกครั้งจนเธอได้แต่จ้องมองอย่างสงสัย เธอบอกลาแม่ก่อนจะโยนโทรศัพท์กลับไปที่เบาะข้างตัว กดปิดวิทยุอีกครั้ง

แล้วมันก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งในตอนนั้น

เสียงเพลงทำนองคุ้นหูค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงแปลกๆ เหมือนสัญญาณวิทยุติดขัดก่อนจะกลายเป็นเสียงหวีดแหลมที่ดังขึ้นบาดหูจนเธอเผลอยกมือขึ้นปิดหูจนลืมพวงมาลัยรถที่เธอต้องควบคุม

   เสียงแตรรถที่หวีดร้องขึ้นมาจากรถบรรทุกที่สวนมาทำให้เธอหันกลับมามองอย่างตกใจก่อนเสียงกรีดร้องจะดังขึ้น พร้อมกันนั้นตำแหน่งตรงวิทยุก็ปรากฎเป็นเงาลางๆ คล้ายมีมือคนมากดปิดมัน เสียงวิทยุดับลงพร้อมเสียงปะทะของรถสองคันที่ดังสนั่น แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป

   โรงหนังมืดลงอีกครั้งในขณะที่เนื้อเรื่องกำลังดำเนินไปจนผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง

   …เชี่ยเอ้ย! ไม่น่ามาดูคนเดียวเลย ให้ตาย!

   ผมสบถในใจอย่างเซ็งๆ แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังมีใครไม่รู้นั่งดูอยู่ด้วยอีกคนเลยเริ่มใจชื้นก่อนจะเหลือบสายตาไปมองเพื่อความแน่ใจ

…เขายังอยู่

แต่ในขณะที่ละสายตากลับมามองจอ ผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าระยะห่างของที่นั่งมันแปลกๆ

   …เมื่อกี้เหมือนจะเขาจะนั่งอยู่เกือบสุดแถว

   …ทำไมตอนนี้เขามานั่งอยู่แถวกลางๆ โรงซะอย่างนั้น?

แต่เพราะฉากต่อไปปรากฎขึ้นมาอีกครั้งเลยทำให้ผมเลิกสนใจ

…บางทีผมอาจจะมองผิดไปตั้งแต่แรก





หนังบนหน้าจอดำเนินมาจนกลางเรื่อง

หลังจากที่หญิงสาวคนแรกตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ประสานงากับรถบรรทุก กลับเป็นที่น่าแปลกใจที่รถคันนั้นไม่ได้เสียหายมากนัก หลังจากคดีจบรถคันนั้นก็ถูกขายทอดตลาด คนที่ซื้อต่อมาเป็นครอบครัวฐานะปานกลางในเมืองที่ไม่ได้เจริญมากนักและถูกยกเป็นของขวัญในวันเรียนจบของลูกสาวคนโต ไม่ถึงสามเดือนเธอก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นเดียวกับเจ้าของคนแรก เธอตายและรถได้ถูกขายทอดตลาดอีกครั้ง

จนมาถึงปัจจุบันรถคันนี้ได้ถูกซื้อต่อภายใต้ชื่อของตัวเอกของเรื่องและแฟนของเธอ

…ถ้าตามสถานการณ์ คนที่ซื้อต่อจะต้องตาย

…แต่เพราะเป็นตัวเอก อาจจะไม่ตายก็ได้

…หรือบางที หนังอาจจะหักมุม

แกร๊ก

เสียงที่ดังขึ้นจากด้านข้างทำให้ผมเหลือบไปมองก่อนจะสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

…คนๆ นั้นที่เคยนั่งอยู่ตำแหน่งแถวๆ กลางโรง

…ตอนนี้เขานั่งถัดจากผมไปอีกแค่เพียงสามที่นั่งเท่านั้น

ผมกลืนน้ำลายเอื้อกอย่างเริ่มรู้สึกหลอนๆ ไม่รู้เพราะคำโปรยนั่งที่ถูกพูดถึงอีกครั้งในเนื้อเรื่องที่ว่า

‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’

หรือเพราะการย้ายตำแหน่งแบบเงียบเชียบของไอ้คนข้างๆ ผมกันแน่





ตัวเอกรู้อยู่ก่อนแล้วว่ารถคันนี้ถูกขายทอดตลาดเพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเจ้าของรถคนแล้วคนเล่า แต่เพิ่งมาสงสัยว่าเหตุผลของเหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะไม่ใช่เพราะความบังเอิญ

เธอเจอเส้นผมตกอยู่บนเบาะข้างคนขับ ด้วยจิตวิญญาณของผู้หญิง เธอเริ่มสงสัยด้วยคำถามติดตลกที่ว่า ‘แฟนเธอมีกิ๊กหรือไม่?’ จนนานวันเข้าเส้นผมเหล่านั้นกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เส้นหรือสองเส้น แต่บางวันก็มาเป็นกำจนเธอเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้

…และวันที่เหตุการณ์พีคที่สุดก็ตามระเบียบของหนังสยองขวัญ

แฟนของเธอต้องกลับบ้านที่ต่างเมืองเพราะพ่อของเขาป่วย ทำให้วันนั้นเธอต้องอยู่คนเดียวกับรถของเธออีกหนึ่งคัน

เธอขับรถออกไปซื้อของเข้าบ้านในตอนเช้า เลือกพวกอาหารและของใช้ส่วนตัวตามที่แฟนเธอได้ฝากไว้ ขากลับเธอเปิดกระจกเพื่อรับอากาศดีๆ ก่อนเสียงเพลงจะดังขึ้นในจังหวะที่เธอกำลังจะเอื้อมไปเปิดแต่ยังไม่ทันได้กด เธอชะงักพร้อมความสงสัยเรื่องต่างๆ ที่มันหายไปแล้วสักพักแวบกลับเข้ามาในหัว เธอมองมันสลับกับเส้นทางข้างหน้าอย่างพยายามไม่ใส่ใจนัก

บางที วิทยุของเธออาจจะขัดข้อง

และเหตุการณ์เดิมก็รีรันอีกครั้ง เมื่อทำนองเพลงคุ้นหูจากวิทยุค่อยๆ มีสัญญาณแปลกๆ แทรกเข้ามา เธอขมวดคิ้วมองวิทยุสลับกับถนนตรงหน้า เสียงแปลกๆ เหมือนสัญญาณติดๆ ขัดๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงหวีดจนเธอต้องยกมือขึ้นปิดหูอย่างตกใจ

เสียงแตรรถที่ดังขึ้นจากถนนตรงหน้าทำให้หันกลับมาอย่างตกใจก่อนจะเห็นรถยนต์คันหนึ่งขับสวนมาด้วยความเร็วอย่างควบคุมไม่อยู่

กร๊อบ…

“เชี่ย!” ผมสบถขึ้นมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีวัตถุบางอย่างขึ้นมาขวางหน้าในจังหวะที่รถในหนังกำลังเข้าประสานงา ก่อนจะพบว่าไอ้คนข้างๆ ที่เคยนั่งห่างกันไปสามที่นั่ง

…มันมานั่งติดกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ทำอะไร…?!” ผมถามยังไม่ทันจบไอ้คนข้างๆ ก็ยัดกล่องป๊อบคอร์นมาให้ก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอหนังต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ให้ยืม”

“ห๊ะ?” ผมมองกล่องป๊อบคอร์นในมือสลับกับคนที่นั่งอยู่ทางขวาอย่างสงสัย ก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอหนังที่มีเสียง ‘แป๊ก’ เหมือนคนดีดนิ้วดังขึ้นมา

ภาพบนหน้าจอค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับความพร่ามัวจากมุมมองของใครคนหนึ่งซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นตัวเอก เธอคงยังไม่ตาย เธอกระพบริบตาอยู่ไม่กี่ครั้งภาพเบื้องหน้าก็ถูกปรับโฟกัสให้ชัดขึ้น

เป็นภาพหน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะแบบดิจิตอลที่กำลังบอกเวลา

…13.13 น.

ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับเลขที่ได้เห็นเป็นครั้งที่สองตั้งแต่เริ่มดูหนังเรื่องนี้ก่อนจะเหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งทำหน้าเฉยๆ สองมือประสานอยู่บนตักไม่พูดไม่จา ก่อนแสงจากหน้าจอหนังจะทำให้เห็นเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาแบบดิจิตอลรุ่นยอดฮิตบนข้อมือขวาคนข้างๆ เช่นกัน

…23.13 น.


…เลข 13 นี่มันลางร้ายชัดๆ



TBC.




ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
โว๊ะ!!!! ต๊กกะใจ  :sad3: ว่าแต่หนังเรื่องอะไร อยากหามาดูบ้าง

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพุธกลางคืน


[ คนที่นั่งอยู่ทางซ้าย ]

…ผมชอบ ‘วันพุธกลางคืน’

…เพราะนอกจากโปรโมชั่นหนังมันจะราคาพิเศษแล้ว

…คนยังน้อยอีกต่างหาก



‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ 

ผมย้อนคิดถึงประโยคขายของหนังเรื่องนี้พลางมองจอใหญ่ตรงหน้าที่เริ่มฉายมามากกว่าห้านาที

จุดเริ่มเรื่องของหนังก็คล้ายกับหนังผีทั่วไป เรื่องราวที่มักมาพร้อมกับความมืด เปิดปมด้วยเหตุการณ์ชวนสงสัย เสียงเพลงที่บิวต์อารมณ์ให้คนดูตายใจก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงกรีดร้องและความตายของตัวละคร

   กึก!

   เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบจากทางฝั่งซ้ายมือของที่นั่งแถวเดียวกันนั้นทำให้ผมหันไปมองอย่างสงสัย

…นอกจากผมแล้วดูเหมือนจะยังมีอีกคนที่กำลังนั่งดูหนังด้วยกัน

ผมเผลอยิ้มที่มุมปากอย่างช้าๆ เมื่อแสงสว่างจากหน้าจอในฉากต่อมาส่องให้เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง แวบแรกยังแอบรู้สึกดีที่เหมือนจะได้เจอคนคอเดียวกันในช่วงเวลาแบบนี้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางที่เห็นนั่งนิ่งๆ อยู่เมื่อกี้กลายเป็นแทบจะสิงเก้าอี้เข้าไปอยู่แล้ว มือของเขาดูเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่างข้างตัวก่อนจะชะงักแล้วก้มลงไปมองบนพื้นเหมือนนึกขึ้นได้ทำเอาผมต้องเอนตัวออกมาจากพนักพิงเมื่อก้มมองตาม

   …กล่องป๊อบคอร์นที่กลายเป็นศพอยู่พื้นพร้อมเลือดสีข้าวโพดคั่วที่กระจายเป็นวงกว้าง

   ผมเผลอมองท่าทีนั้นอย่างสนใจว่าเขาจะทำอะไรต่อ สุดท้ายเหมือนคนคนนั้นจะคิดได้เลยยกสองมือขึ้นมาปิดตาตัวเองแล้วอาศัยการผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วนั้นแทน

   …คนเราก็นะ กลัวแล้วยังมาดูคนเดียวอีก

   ผมคิดพลางส่ายหัวอย่างระอา ดึงตัวเองกลับมาพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อดูหนังแต่สายตาดันไปตกอยู่กับกล่องป๊อบคอร์นที่ได้มาเพราะโปรโมชั่นของวันนี้ที่ผมยังไม่ได้แตะมันเลยแม้แต่น้อยพลางเหลือบไปมองคนที่อยู่อีกฝั่งอย่างครุ่นคิด

   …เอาไปให้เขาดูจะมีประโยชน์มากกว่า

   ยังไม่ทันจะได้ทบทวนความคิดนั้นอีกรอบ ผมก็เผลอพาตัวเองหิ้วทั้งกล่องป๊อบคอร์น แก้วเป๊บซี่และกระเป๋าสะพายลุกไปทางเขาเสียเดียวก่อนจะหย่อนตัวลงตรงเก้าอี้แถวๆ นั้นทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเมื่อคิดได้ว่ามันคงแปลกอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้เดินเอาของไปให้ทั้งที่ไม่รู้จักกัน เลยยกเลิกความคิดนั้นแล้วหันกลับไปดูหนังที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้าแทน




   
เหมือนเป็นธรรมเนียมของหนังสยองขวัญที่จะมาพร้อมกับตำนานหรือเรื่องราวที่ถูกส่งต่อมาคนแล้วคนเล่าเพื่อการันตีความหลอนและความน่ากลัวของเรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งให้คนเชื่อว่ามีอยู่จริง

ผมคิดตามพลางมองภาพหน้าจอกำลังฉายถึงประวัติสุดเฮี้ยนของรถผีสิงที่ถูกเปลี่ยนมือคนเป็นเจ้าของไปเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของคนเก่าได้เสียชีวิต โดยจุดร่วมที่พอชี้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับการตายปริศนาครั้งนี้ได้คือเจ้าของรถทุกคันต้องเป็นหญิงสาว

   โครม!

เสียงดังลั่นโรงหนังเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉากประสานงาระหว่างรถบรรทุกกับกับรถคันนั้นที่มีเจ้าของเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเรื่องเล่าทำเอาผมที่กำลังนั่งคิดตามเนื้อเรื่องเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งอยู่ไม่น้อยเลยพานคิดไปถึงอีกคนที่น่าจะตกใจพอกันอยู่ไม่น้อย

…หรือบางที ก็อาจจะมากกว่า

จากบรรยากาศของหนังสยองขวัญแทบกลายเป็นหนังคอมเมดี้เมื่อผมเห็นอีกคนถึงกับยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ด้วยท่าทีตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะเอาขาลงอย่างนึกขึ้นได้เมื่อฉากนั้นได้ผ่านไป เขายกมือไหว้ใครก็ไม่รู้เพราะผมมองไม่เห็นพลางเอามือปันฝุ่นบนเก้าอี้ที่เลอะเพราะรองเท้าของตัวเองเบาๆ

…ตลกชะมัด

ผมได้แต่ขำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเขยิบเข้าไปอีกนิดด้วยความตั้งใจแรกที่คิดอีกรอบแล้วว่าจะเอากล่องป๊อบคอร์นไปแบ่งให้





เรื่องราวความหลอนได้เดินทางมาถึงตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นผู้หญิงในที่สุดเมื่อรถผีสิงคันนั้นตกเป็นของเธอ เหตุการณ์ไม่ปกติได้เกิดขึ้นซ้ำเช่นเดียวกับตอนที่รถคันนั้นมีหญิงสาวคนอื่นเป็นเจ้าของ และดูเหมือนเนื้อเรื่องจะพีคสุดก็ในวันที่ผู้ชายซึ่งเป็นแฟนของเธอนั้นไม่อยู่บ้าน

…บางทีผมก็สงสัย หรือจริงๆ แล้ว ผู้ชายคือยันต์กันผี ทำไมผีถึงออกมาในวันที่ผู้ชายไม่อยู่ทุกที?

เหตุการณ์เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่เมื่อตัวเอกขับรถไปตามถนนและวิทยุก็เริ่มเปิดขึ้นเองอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงเพลงทำนองคุ้นหูก่อนจะถูกสัญญาณบางอย่างเข้าเสียง และตอนนั้นเสียงเพลงท่วงทำนองสดชื่นก็ได้เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง

ปึก!

เสียงของเก้าอี้ที่ตอนนี้ห่างกันเพียงไม่กี่ที่นั่งดังขึ้น คนคนนั้นยกมือขึ้นปิดตาอีกครั้งเมื่อเรื่องราวปูทางมาเหมือนกำลังจะเจอจุดพีค เขายกมือขึ้นปิดตา มองผ่านรอยแยกก่อนจะนั่งชันเขาอีกครั้งเพื่อหาหลักยึดหลังจากที่เจ้าตัวคงคิดได้ว่าแค่มืออย่างเดียวคงยังไม่พอ

…หรือบางที ป๊อบคอร์นนั่นเขาอาจต้องการกล่องมากกว่าจะเอามากิน

ผมคิดอย่างขำๆ รู้ตัวอีกทีก็เผลอยื่นกล่องป๊อบคอร์นในมือไปช่วยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ บังสายตาจากจอหนังตรงหน้าหลังจากที่ย้ายสำมะโนที่นั่งมานั่งข้างเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เชี่ย!” เขาอุทานขึ้นอย่างตกใจก่อนจะหันมามองผมด้วยแววตาตื่นๆ

“ทำอะไร…?!” เขาทำท่าจะถามต่อแต่เพราะผมขี้เกียจอธิบายให้มากความเลยยัดกล่องป๊อบคอร์นไปให้เขาถือซะเอง

“ให้ยืม”

“ห๊ะ?” เขามองผมสลับกับกล่องป๊อบคอร์นในมืออย่างสงสัยก่อนจะหันไปสนใจหนังตรงหน้าต่อเพราะเสียง ‘แป๊ก’ ที่คล้ายกับเสียงดีดนิ้วที่ดังขึ้นมา

ตัวเอกของเรื่องลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงเมื่อครู่นี้หลังจากผ่านเหตุการณ์หวิดความตายและพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ สายตาที่พร่ามัวของเธอถูกปรับโฟกัสให้ชัดขึ้นและหยุดลงที่จอนาฬิกาแบบดิจิตอลที่ตอนนี้ปรากฏตัวเลขบอกเวลา 13.13 น. สายตาของเธอกวาดไปยังมุมอื่นของห้องอีกครั้งก่อนจะพบแฟนเธอที่กำลังมองมาจากข้างเตียงด้วยแววตาแสนเป็นห่วง

กึก!

…แล้วกล่องป๊อบคอร์นก็ถูกยกขึ้นมาบังสายตาไว้อย่างที่คิดจริงๆ

แฟนหนุ่มของเธอเดินมาหยุดลงตรงข้างเตียงพลางเอ่ยถามอาการ เธอยิ้มเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วงก่อนจะเหลือบไปเห็นเส้นผมสองสามเส้นที่ไหล่ข้างซ้ายของเขา เธอพยุงตัวขึ้นมาโดยมีเขาคอยช่วยเหลือก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเส้นผมแล้วชูขึ้นตรงหน้าเพื่อให้แฟนของเธอดู เขาทำหน้างงเล็กน้อยแล้วคว้าไปทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใส่ใจนัก

เส้นผมค่อยๆ ร่วงลงไปยังก้นถังจากสองเส้นเพิ่มจำนวนเป็นสิบ ยี่สิบ ร้อยและมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาจอดัง พรึ่บ! แล้วภาพก็ตัดไป

เฮือกกก!

เสียงหายใจเข้าอย่างกะทันหันทำเอาผมถึงกับต้องหันไปมองอย่างตกใจ เห็นคนข้างๆ ที่เผลอยกเท้าขึ้นมาอีกครั้งกับกล่องป๊อบคอร์นที่ยังค้างอยู่ในมือที่วางไว้ตรงที่วางแขน

…สงสัยฉากเมื่อกี้คงปิดตาไม่ทัน

ผมคิดอย่างอดสงสารไม่ได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นในกล่องที่ปริมาณยังเต็มกล่องจนทำท่าจะหกแหล่ไม่หกแหล่ เขาหันมามองอย่างงงๆ ก่อนจะถือป๊อบคอร์นไว้ข้างๆ ตัวเพื่อช่วยให้ผมหยิบกินได้ง่ายขึ้นเมื่อฉากตรงหน้ากลายเป็นเวลากลางวันที่มาพร้อมเสียงนกร้องเรียบร้อยแล้ว

“ไหว้ใคร?” ผมกระซิบถามอย่างอดไม่ได้เมื่อคนข้างตัวเอาเท้าลงจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้ใครอีกแล้วก็ไม่รู้ก่อนจะปัดนอบเลอะของฝุ่นที่เกิดจากรองเท้าเพื่อให้เก้าอี้สะอาดเหมือนเดิม

“ป้าแม่บ้าน”

“หืม?” ผมมองอย่างสงสัยพลางเหลือบมองรอบตัวก็ไม่เห็นว่ามีใครก่อนจะคลายคิ้วที่มุ่นกันไว้หลังจากที่นึกออกก่อนจะต้องกลั้นยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเจ้าตั

“เราทำเบาะเลอะไง”

…เรา?

เพราะผู้ชายสายเถื่อนรอบตัวเลยเหมือนไม่ค่อยได้ยินพวกเพื่อนมันใช้คำนี้แทนตัวมานานมากแล้ว

…ก็น่ารักดี

“อ่า” ผมขานรับคำบอกเล่านั้นเมื่อเห็นเจ้าตัวยังมองมาที่ผมไม่วางตาก่อนจะเห็นเขายื่นกล่องป๊อบคอร์นคืนมาให้

“เอาไปใช้เหอะ”

“ไม่ได้คืน” เขาว่าจนผมต้องเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“กินให้หน่อย เดี๋ยวมันหก” เขาพยักหน้าคะยั้นคะยอจนผมต้องยอมหยิบมากินอีก

“ช่วยกัน” ผมว่าก่อนจะแกล้งยืนป๊อบคอร์นชิ้นหนึ่งไปที่ปากของคนข้างๆ เขาหรี่ตามองก่อนจะอ้าปากงับมันไปแบบไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นัก

“ไม่ได้ใส่ยาพิษหรอกน่า” ผมบอกก่อนจะวางกำปั้นเบาๆ ลงบนศีรษะของคนตรงหน้า

“ใส่เกลืออ่ะดิ เค็มเชียว” เขาแกล้งตีหน้ายุ่งก่อนจะหลุดขำออกมาจนผมต้องยิ้มตาม

“หึ”





เธอพบว่ามันน่าแปลกทั้งที่เธอเจ็บเสียขนาดนั้นแต่รถกลับเสียหายเพียงเล็กน้อยขนาดที่ว่าใช้เวลาซ่อมมันเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น แต่เธอก็พยายามลืมๆ มันไปและยังใช้รถคันนั้นในชีวิตประจำวันซ้ำไปซ้ำมา แต่เหตุการณ์แปลกๆ ก็ยังไม่หยุด หากแต่มันกลับเกิดขึ้นและดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเฉพาะเวลาที่เธออยู่คนเดียวอีกครั้ง

พ่อของแฟนเธอเสียชีวิตลงจากอาการป่วยเรื้อรัง เขาล่วงหน้าไปก่อนและเธอสัญญาว่าจะตามไปหลังจากเคลียร์งานของวันนี้เสร็จเรียบร้อยพร้อมกับรถของเธอ

“อีกแล้ว” เสียงพึมพำจากคนข้างๆ ทำให้มือผมที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นเปลี่ยนมาจับกล่องแล้วยกขึ้นให้บังสายตาให้แทน

“มันยังไม่ออกมา” เขาเลื่อนมันลงแล้วหันมาทำหน้ายุ่งใส่ผม

…กลัวก็กลัว แต่ก็ดื้อจะดู

เธอขับรถมาตามทาง สองข้างทางเริ่มเป็นป่าต้นไม้ใบหญ้าเมื่อรถได้แล่นมาถึงบริเวณที่เป็นรอยต่อระหว่างเมืองซึ่งเป็นเขตชนบท แล้วเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอเหลือบไปมองแวบหนึ่งก่อนจะคว้าสายหูฟังแบบอินเอียร์ขึ้นมาใส่แต่เสียงวิทยุก็ดูจะดังขึ้นอีกจนเสียงมันลอดเข้ามาในหูทำให้เธอต้องเร่งเสียงเพลงจากโทรศัพท์ให้ดังขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว

เธอเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันเมื่อเห็นเข็มบนหน้าปัดแจ้งเตือนว่าน้ำมันใกล้จะหมด พนักงานในปั๊มมองรถที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาอย่างงงๆ เสียงวิทยุในรถดังมากจนลอดออกมานอกตัวรถจนทำให้คนมองสงสัยว่าทำไมคนขับถึงได้ใส่หูฟังอีกชั้นทั้งๆ ที่ในรถก็เปิดเพลงออกเสียงดัง

รถที่จอดสนิททำให้เสียงวิทยุเงียบลงจนเธอต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปลดส่ายหูฟังแล้วเดินลงมาที่สเตชั่นเพื่อเติมน้ำมันแบบบริการตัวเอง ก่อนจะจดมิเตอร์จากตัวเครื่อง แล้วเดินมาจ่ายตังค์ที่พนักงาน

ฉับพลันเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เฮือกกก!

ผมหันไปมองคนที่สะดุ้งอย่างตกใจก่อนจะสัมผัสได้ถึงอีกคนที่เบียดเข้ามาหาจนผมต้องกลั้นยิ้ม

เธอหันกลับไปมองด้วยความหวาดผวาก่อนจะเพ่งมองพลางเดินเข้าไปใกล้อีกนิด

อีกนิด

และอีกนิด

มีใครบางคนอยู่ในรถ!

เธอสะดุ้งอย่างตกใจพลางหันกลับมามองพนักงานอย่างขอความช่วยเหลือ

แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใคร

เธอหันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตระหนกก่อนจะหันกลับไปมองในรถอีกครั้ง

ไม่มีใครอยู่ในรถ

มือของเธอเลื่อนไปจับไม้กางเขนตรงอกผ่านเสื้ออย่างอัตโนมัติก่อนจะพุ่งไปที่รถเพื่อรีบเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย เสียงวิทยุดังคลอขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงสตาร์ทรถทำให้เธอรีบควานหาหูฟังมาใส่จนมือสั่นก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเส้นผมเกือบสิบเส้นที่พันอยู่กับสายหูฟัง

“เชี่ยยย!”

เธอกรีดร้องก่อนจะปาหูฟังออกไปทางหน้าต่างแล้วรีบขับรถออกไปเลยไม่ทันเห็นสายลมพัดหวนที่พัดเอาเส้นผมเหล่านั้นลอยตามมาและกลับเข้ามาในรถอีกครั้ง

“ฉิบหาย!” ผมนั่งขำไอ้คำสบถประกอบฉากที่ยังคงมีให้ได้ยินเป็นระยะๆ จนต้องเหลือบไปมองที่มาของเสียงที่ตอนนี้คงไม่เหลือกล่องป๊อบคอร์นไว้บังสายตาอีกแล้วเพราะเจ้าตัวเล่นขยำจนกล่องมันบุบๆ เบี้ยวๆ ซะขนาดนั้น

“เอา” ผมตัดสินใจหยิบเสื้อช็อปออกมาจากกระเป๋าก่อนจะโยนไปให้ เขาหันมามองอย่างงๆ ก่อนจะชูมันขึ้นมาด้วยสายตามีคำถาม

“ส่วนไอ้นี่ก็ทิ้งไปได้แล้วมั้ง สภาพนี้” ผมว่าก่อนจะดึงกล่องป๊อบคอร์นที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องเปล่าออกมาจากมือคนถือแล้วเสียบมันไว้ในที่วางแก้วตรงที่นั่งว่างข้างขวา เขาหันมามองตามเล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจเมื่อฉากต่อไปปรากฎขึ้นมา





คันเร่งถูกเหยียบด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเกินค่าความเร็วที่กำหนด เธอขับรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแต่สายตากลับมีสมาธิอยู่กับถนนข้างหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แล้วเสียงวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง

น้ำหนักเท้าที่มากขึ้นทำให้ตอนนี้เข็มบนหน้าปัดที่แสดงค่าความเร็วรถเกินที่กฎหมายกำหนดไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำตาเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แต่ก็ยังคงประคับประคองรถให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็ว

เสียงวิทยุค่อยๆ มีสัญญาณรบกวนที่เข้ามาแทรกอีกครั้งเหมือนคราวที่แล้ว เธอเหลือบวิทยุอย่างประสาทเสีย ก่อนเสียงติดขัดจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง เธอน้ำตาไหล ส่ายหัวไปมาอย่างคนพยายามไม่รับรู้อะไร สองมือที่ยังต้องจับพวงมาลัยทำให้เธอไม่สามารถปิดกั้นการได้ยินจากเสียงนั้นได้

“เสื้อผมครับ เบาๆ” ผมหันไปสะกิดคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะเพิ่มความกดดันไปตามฉากในหนังจนมือที่มีเสื้อของผมอยู่เป็นประกันเล่นขยำมันจนยู่ยี่

…อยากจะปล่อยไป แต่พรุ่งนี้ยังต้องใส่เรียน

“ขอโทษๆ” เขาตอบกลับแบบไม่ได้หันมามองเพราะสายตายังคงมองตรงไปที่จอหนังแต่ก็ยอมคลายเสื้อตามคำขอเสื้อ ทำเพียงยกมันขึ้นมาปิดตาเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงฉากที่เรียกได้ว่าไคลแมกซ์แล้ว





อยู่ๆ เสียงกรีดก็ร้องหายไป เธอหายใจเข้าอย่างแรงด้วยความวิตกพลางเหลือบไปมองวิทยุที่ดูเหมือนจะหยุดไปแล้วจริงๆ นั่นทำให้เธอคลายความกังวลลงมาเล็กน้อย น้ำหนักที่เหยียบคันเร่งไว้ตั้งแต่ตอนแรกถูกผ่อนลงลงก่อนจะเอื้อมไปคว้าแอลกอฮอล์จากเบาะหลังที่ติดรถไว้มาดื่มย้อมใจเพื่อระบายความเครียด

และในจังหวะที่เธอกำลังเอื้อมมือจะไปหยิบขวดแก้วตรงเบาะหลังทั้งๆ ที่ที่สายตายังจดจ่ออยู่ถนนตรงหน้านั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ค่อยๆ แตะลงบนแขนเปลือยเปล่า เธอหอบหายใจหนักขึ้นก่อนจะค่อยๆ ชะลอรถเพื่อหันกลับไปมอง

แต่ก็ไม่พบอะไร

เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอี้ยวทั้งตัวไปเพื่อหยิบขวดแก้วและในจังหวะที่กำลังจะหันกลับมาเพื่อเร่งความเร็วรถอีกครั้งนั้น
 
โครม!

เฮือกกก!

มือของคนข้างๆ ก็ตะปบลงที่แขนผมก่อนจะออกแรงบีบอย่างใจจนผมแทบสะดุ้งก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วปล่อยให้เขาจับต่อไปแบบนั้น

เสียงไซเรนดังก้องไปทั่ว ภาพถ่ายจากมุมโดรนแสดงให้ภาพตัวเอกที่นอนจมกองเลือดอยู่บนถนน เมื่อภาพลอยสูงขึ้นเลยทำให้เห็นว่ารอบตัวเธอเต็มไปด้วยซากรถของเธอคันนั้นที่คาดว่าน่าจะถูกรถบรรทุกที่คว่ำอยู่ข้างทางฉีกออกเป็นสองท่อนจนเจ้าตัวกระเด็นออกมาอย่างที่เห็น และเมื่อภาพลอยเป็นมุมสูงขึ้นไปอีก ตำรวจและเจ้าหน้าที่หลายนายกำลังเดินทางเข้ามาในพื้นที่และทำการเก็บกู้ชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์บนถนนเส้นนี้กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง

มุมของภาพลอยขึ้นจนสุดแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะหลุดโฟกัสจากเหตุการณ์ข้างล่าง กลับทำให้พบว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งที่กระเด็นออกมาจากตัวรถเช่นเดียวกัน

เป็นร่างที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน เห็นเพียงแค่เส้นผมที่ยาวจนเป็นเอกลักษณ์เพียงเท่านั้น

แฮ่!

“เชี่ยๆๆๆ!” คนข้างๆ ผมถึงกับสบถออกมาเป็นชุดเมื่อภาพบนหน้าจอฉายกลับไปเป็นเหตุการณ์จากมุมมองของตัวเอกซึ่งเป็นฉากก่อนเกิดอุบัติเหตุอีกครั้งเลยทำให้รู้ว่าเธอเห็นอะไรก่อนที่เท้าจะพลาดไปเหยียบคันเร่งจนพุ่งเข้าประสานงากับรถบรรทุกที่อยู่อีกฝั่งของถนนจนพลิกคว่ำ

ผู้หญิงผมยาวที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับของเธอนั่นเอง

‘‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ 

แล้วหนังก็จบด้วยประโยคปิดที่คุ้นตากันดื้อๆ แบบนี้

…หนังฝรั่งนี่เชื่อใจไม่ได้เลยจริงๆ

ไฟที่ถูกปิดจนมืดตั้งแต่หนังเริ่มฉายค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับม่านปรับขนาดจอที่ถูกหดกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ผมเตรียมตัวจะลุกก่อนจะนึกได้เลยหันไปมองอีกคนก็เห็นเจ้าตัวมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว

“นี่เสื้อ ขอบคุณครับ” เขาบอกอย่างเก้อๆ ก่อนจะยื่นเสื้อคืนมาให้

“ครับ” ผมผงกหัวรับก่อนจะรับเสื้อช็อปกลับมาผาดบ่า

“ไปยัง?”

“ไปไหน?” เขาทำหน้างงจนผมอยากขำพลางมองหน้าคนที่ทำให้หนังสยองขวัญของผมกลายเป้นหนังคอมเมดี้ไปซะอย่างนั้น

“ไม่กลับบ้านรึไง?”

“อ้อ กลับดิ” เขาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะลุกขึ้น

แกรบ!

เสียงเท้าที่เหยียบเข้ากับป๊อบคอร์นที่กระจายอยู่บนพื้นทำให้เขาก้มลงไปมองก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินออกไปทำเอาผมเผลอยกมือไหว้กับเขาขึ้นมาอีกคน

“ป้าแม่บ้านเหรอ?”

“อื้อ ป้าแม่บ้าน” ผมหลุดยิ้มออกมากับความคิดแปลกๆ  ที่เจอเป็นรอบที่สามแล้วแต่ก็ยังไม่ชินสักที

เราสองคนเดินออกมาก่อนคนที่เดินออกมาก่อนจะหยุดลงที่หน้าโรงหนัง เขาหันมามองผมเก้อๆ อย่างทำตัวไม่ถูก่อนจะยกมือให้ในทำนองบอกลา

“เรา เอ่อ กลับนะ” เขาบอกก่อนจะผงกหัวให้เตรียมตัวจะไป

“ผมหิว”

“ครับ?” เขาทำหน้างงเล็กน้อย

“ผมหิวอ่ะ” ผมย้ำเจตนาเดิมอีกครั้ง

…จริงๆ ก็หิว

…แต่ไม่ได้มากขนาดนั้น

“แล้ว…?” เขามุ่นคิ้วให้อย่างไม่เข้าใจ

“กินข้าวกัน… มั้ย?” สุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายเอ่ยชวนก่อน เขายกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลาทำให้ผมเห็นตัวเลขที่หน้าจอพร้อมๆ กับเขาที่ทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา

00.13 น.

“ถ้าไม่หิวก็ไม่เป็น…”

“จะกินอะไรล่ะ?” เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะเอ่ยปากถาม ทำเอาสมองผมต้องประมวลผลด้วยความเร็วว่าจะมีอะไรที่ยังเปิดอยู่ในเวลาแบบนี้

“แมค?” ผมนึกถึงร้านอาหารฟาสฟู๊ดส์ที่ตั้งแบบสแตนด์อโลนอยู่ตรงพื้นที่ด้านหลังของห้างเลยสามารถเปิด 24 ชม.ได้ แม้ว่าจะเลยเวลาห้างปิดไปแล้วก็ตาม

“โอเค” เขาพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวกลับเพื่อเดินไปยังทิศทางของบันไดเลื่อน ผมเดินตามก่อนจะก้าวลงไปยื่นบนขั้นเดียวกันนั้นพลางมองหน้าอีกคนอย่างสงสัย เขาหันกลับมามองอย่างงงๆ แต่ก็ยังยิ้มให้คิดว่าในใจเขาก็คงสงสัยไม่ต่างกัน เลยคิดไปถึงประโยคประจำในหนังที่เพิ่งดูไปเมื่อครู่นี้ที่ว่า ‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ ทำเอาผมหลุดขำออกมาอย่างอดไม่ไดก่อนประโยคที่หลุดมาจากคนข้างๆ จะทำเอาผมต้องขำออกมามากกว่าเดิม


“จะว่าไป… นาย… มายังไงนะ?”




TBC.




อาจจะอัพช้าหน่อย แต่จะพยายามไม่ดองจนเกินไปนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^_______^
Zenzaii

ปล. คุณ ืniyataan หนังในเรื่องเราแต่งเองค่ะ มโนเอาจากหนังที่เคยดู ^^




ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ตื่นเต้นปนขำ..ตอนนี้น่ารัก ตอนที่แล้วก้อน่ารัก รอค่า
ปล.เค้าอินกะหนังในเรื่องจริงๆนะ  :katai1:

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพุธกลางคืน


[ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ]

‘วันพุธกลางคืน’

…จริงๆ ดูเหมือนตอนนี้

…จะเลยวันพุธไปแล้วด้วยซ้ำ


‘แล้วคุณจะต้องสงสัย ว่าใครที่นั่งอยู่ข้างคุณ?’ 

ประโยคปิดของหนังเรื่องเมื่อสักครู่ยังคงค้างอยู่ในใจผม ไม่ใช่เพราะสงสัยว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงผมยาวปริศนาคนนั้นเป็นใคร แต่ที่กำลังสงสัยเห็นจะเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่บนขั้นเดียวกันของบันไดเลื่อนมากกว่า

“จะว่าไป… นาย… มายังไงนะ?” ผมถามเขาอย่างสงสัย อีกคนยิ้มกลั้วหัวเราะก่อนจะเฉลยกลับมา

“แท็กซี่”

…เดี๋ยวก็ผลักตกบันไดเลื่อน

“เปล่า หมายถึง… ทำไมถึงมานั่งข้างเรา?” รอยยิ้มตรงหน้าดูจะกว้างกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ตอบคำถาม จนบันไดเลื่อนพาเราทั้งคู่ลงมาถึงชั้นล่างซึ่งมีทางออกที่สามารถเดินทะลุไปยังแมคฯ ที่อยู่ด้านหลังได้

“ไม่กินป๊อบคอร์น” คำตอบของคำถามที่ผมแทบจะลืมไปแล้วไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจเขามากนัก เจ้าตัวหัวเราะก่อนจะขยายความให้มากขึ้นอีก

“เลยเอาไปให้” เขายิ้ม ทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติ

…ปกติสำหรับใคร?

“เรารู้จักกัน?” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก

…บางทีอาจเป็นเพื่อนร่วมคณะที่ไม่เคยเห็นหน้า หรืออาจเป็นเพื่อนของเพื่อนที่บังเอิญผมลืมหน้าไปแล้ว

“นี่ชื่อ ‘พลช’ ” เขายิ้มพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วแนะนำตัว
( * พลช อ่านว่า พะ-ลด )

“แล้วนี่ชื่อ…?” ก่อนจะชี้กลับมาที่ผมแล้วเลิกคิ้วถาม

“พิง” ผมมองเขาอย่างงงๆ แต่ก็บอกชื่อเล่นของตัวเองไปอย่างอัตโนมัติ เขายิ้มไม่หุบก่อนพยักหน้าอย่างพอใจ

“ครับ เรารู้จักกัน”

…รู้อย่างนี้ ผลักตกบันไดเลื่อนตั้งแต่เมื่อกี้ก็คงดี

“บ้านนายดิ”

“บ้านผมอยู่ฝั่งธน ตอนนี้อยู่หอ ถ้าสนใจก็ไปได้นะ”

“เราถามเหรอ?”

“ไม่ได้ถาม แต่อยากทำความรู้จัก ไม่ได้รึไง?” เขายิ้ม …อีกแล้ว

“กวนตีน”

…แถมยังหัวเราะต่ออีกยกใหญ่





“ดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์เซตหนึ่งครับ”

ผมกวาดตามองเมนูฟาสต์ฟู้ดส์ตรงหน้าหลังจากที่อีกคนหนึ่งสั่งไปแล้ว แต่เพราะข้าวเย็นที่ทานเอาตอนมื้อดึกก่อนดูหนักเลยทำให้ไม่ค่อยอยากกินเท่าไรนัก

“แค่นั้นครับ” อีกคนตัดจบทั้งที่ผมยังไม่ได้สั่งเลยทำให้ผมได้แต่มองตามอย่างเคืองๆ

“กินด้วยกัน” เขาบอกก่อนจะล้วงเอาธนบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้พนักงาน

รอกันตรงเคาน์เตอร์อยู่ไม่กี่นาที เซตระดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟรายด์และเป๊บซี่หนึ่งแก้วก็มาอยู่ในมืออีกคนก่อนจะพากันเดินไปหาที่นั่งริมบานกระจกที่ตอนนี้คนไม่พลุกพล่านมากนัก

“เรายังไม่ทันสั่งเลย” ผมย้ำเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ไม่หิวไม่ใช่รึไง?” เขาถามพลางยิ้มมุมปากแล้วตั้งหน้าตั้งตาฉีกกระดาษห่อเบอร์เกอร์ในมือ

“เราบอกรึไง?”

“งั้นกินนี่ไป” เขาว่าก่อนจะยื่นเบอร์เกอร์มาจ่อตรงหน้าผมแล้วเท้าคางมองอย่างขำๆ

“หรือจะเอากล่องเฟรนซ์ฟรายด์” เขายิ้มล้อๆ แล้วแกล้งยกกล่องเฟรนซ์ฟรายด์ขึ้นมาคั่นระหว่างใบหน้าผมกับเขาแล้วดึงออกก่อนจะยิ้มมุมปากให้ ด้วยความหมั่นไส้ในความยียวนของคนตรงหน้าเลยเอาคืนด้วยการแกล้งกัดเบอร์เกอร์พร้อมนิ้วคนซื้อไปด้วยหนึ่งที

“ดุ” เขาแกล้งทำหน้างอนพลางลูบมือตัวเองไปด้วย

“สมควร” ผมยักไหล่ให้แบบไม่รู้สึกผิดสักนิด

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบ” เขายิ้ม

“ชอบคนดุ?” ผมแกล้งตีหน้าซื่อทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“ชอบคนแบบพิง”

…แต่ดูเหมือนหน้าจะเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ แล้ว

“ตกลง… นายมาจากไหนนะ ผีในโรงหนังเหรอ?” ผมวนกลับเข้าคำถามเดิมอย่างสงสัยก่อนจะกัดเบอร์เกอร์ไปอีกคำเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นมาให้

“ตลกไปละ” เขาว่าพลางส่งทิชชู่มาให้

“นายดิตลก อยู่ดีๆ ก็มานั่งข้างเราเฉย” ผมรับทิชชู่มาก่อนจะเอามาเช็ดๆ แถวริมฝีปาก

“ก็ที่นั่งผมอยู่ตรงนั้น” เขาตอบหน้าตายแล้วชี้ตรงแก้มตัวเองเหมือนจะบอกตำแหน่งให้ผม

“ไม่เชื่อ เอาตั๋วมาดูเลย” ผมแบบมือขอสิ่งที่ว่าอย่างมั่นใจก่อนเจ้าตัวจะคว้าทิชชู่ที่อยู่ในมือผมไว้แล้วเอามาเช็ดแก้มให้

“โกหกน่ะ”

…คนโกหกกำลังยิ้ม

“วะ.. ว่าแล้ว”

…แต่คนที่กำลังจะยิ้มกลับชะงัก

“ขี้เกียจถามแล้ว” ผมตัดบทก่อนจะเอาหลังมือตัวเองถูบนใบหน้าเพื่อเช็คว่ายังมีอะไรติดอยู่อีกหรือไม่

“ขี้เกียจตอบแล้วเหมือนกัน” เขาว่าก่อนจะโยนเบอร์เกอร์คำสุดท้ายเข้าปาก

…ขี้เกียจตอบ?

“เออ เสื้อนาย เราทำเลอะรึเปล่า?” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้

…มัวแต่ไหว้ป้าแม่บ้าน ยังไม่ได้ไหว้คนข้างหน้าสักนิด

“ไม่รู้สิ อาจจะไม่…มั้ง?”เ ขาเอามือล้วงดูเสื้อในกระเป๋าแล้วหันมาตอบด้วยสีหน้าที่ดูออกว่าแกล้งลำบากใจ

“เอามา เดี๋ยวซักให้” ผมตอบอย่างหมั่นไส้ก่อนจะแบมือขอเสื้อของเจ้าตัว

“พรุ่งนี้ต้องใส่เนี่ยสิ”

“ก็ไม่ต้องซักไง” ผมยักไหล่ก่อนจะยิ้มให้ ถ้าเลยคืนนี้ไปถือว่าไม่ใช่ความผิดผมแล้วกัน

“ซักสิ” เขาย้ำ ก่อนจะหยิบเฟรนซ์ฟรายด์ในกล่องเข้าปาก

“แล้วจะเอาไง?” ผมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยพลางมองเฟรนซ์ฟรายด์ในมือเขาที่ถูกยื่นมาให้

“พรุ่งนี้เรียนเสร็จแล้ว… จะโทรหา”

“มีเบอร์เหรอ?” ผมแกล้งถามก่อนจะเบะปากใส่อย่างหมั่นไส้เลยโดนยัดเฟรนซ์ฟรายด์ใส่ปากเป็นการเอาคืน

“ขอหน่อยสิ” เขาพูดกลั้วหัวเราะพลางยื่นแก้วเป๊บซี่ของตัวเองตามมา

“แม่บอกอย่าให้เบอร์กับคนแปลกหน้า” ผมขำก่อนจะส่ายหน้าให้กับมุกตื้นๆ ที่เจอมาไม่รู้กี่ครั้ง

“ถ้างั้น …เป็นเพื่อนได้ไหม?” ผมหรี่ตามองอย่างสงสัยก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

“เพื่อนเหรอ?”

“เพื่อน” เขายืนยัน

“ก็ได้” ผมยิ้มก่อนจะแกล้งโค้งตัวให้ ‘เพื่อนใหม่’ ที่เพิ่งทำความรู้จัก

“ทีนี้ก็เป็นเพื่อนกันแล้ว…” ผมชะงักก่อนจะมองคนตรงหน้าที่พยายามกลั้นยิ้มอย่างรู้ได้ทันทีว่า

…ผมเสียรู้ให้กับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซะแล้ว

“เพื่อนจะขอเบอร์เพื่อนได้รึยังครับ?”


[ THE END♥ ]



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2017 01:49:51 โดย zenzaii »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แหม..มมมม นึกว่าจะแอดวานซ์ ขอเป็นแฟนซะอีก -น่า-รัก-   :ling1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนพิงอยู่ในโรงหนังนี่ตลกดี อ่านไปก็ลุ้นเหมือนกันนะ ทั้งเรื่องในหนังทั้งในโรงหนัง ฮา
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
พิงน่ารักอะ

ชอบเนื้อเรื่องหนังในโรงมากเลย ถ้ามาแต่เป็นนิยายคงสนุกดีนะคะ  :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพฤหัสบดีสี่โมงครึ่ง


[ ถึงคุณ ]

…ห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงาน

…แต่ตอนนี้สี่โมงครึ่ง

…ผมยังคงนั่งอ่านอีเมลที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจากวิศวกรต่างบริษัทแต่ทำโปรเจคนี้ด้วยกัน

เรียน ทีมสถาปนิก

จากแบบสถาปัตย์ที่ได้จัดส่งมาให้ ทางเราพบว่ามีพื้นที่ห้องบางส่วนบนชั้นเจ็ดที่ไม่ตรงกับแบบโครงสร้าง จึงขอรบกวนทางทีมสถาปนิกตรวจสอบตามเอกสารที่ทางเราได้แนบมาให้ครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


ผมถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะเปิดเอกสารดูดีหรือไม่ หรือจะมาทำต่อในวันพรุ่งนี้ แต่ด้วยโครงการที่หน้างานกำลังเร่งรีบเลยตัดสินใจวางกระเป๋าที่กำลังโกยข้าวของใส่เข้าไปลงข้างตัวอีกครั้ง

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

ทางเราได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้ว จะเร่งดำเนินการให้ครับ

ด้วยความนับถือ
ทีมสถาปนิก


ผมขยับร่างกายไล่ความเมื่อยล้าออกจากตัวก่อนจะเปิดเอกสารแนบตามที่อีกฝ่ายได้แจ้งไว้ซึ่งเป็นแปลนงานสถาปัตย์ชั้น 7ตามที่ได้ระบุมาทางอีเมลพร้อมตำแหน่งที่ถูกเน้นด้วยไฮไลต์สีชมพูซึ่งเป็นบริเวณระเบียงห้องที่ยื่นออกไป ส่วนเอกสารอีกแผ่นก็เป็นแบบชั้น 7 เช่นเดียวกันเพียงแต่เป็นแบบโครงสร้างของวิศวกรที่ถูกทำไฮไลต์ไว้ในตำแหน่งเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง

“ยังไม่กลับเหรอ?” พี่อีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ถามขึ้นพร้อมเจ้าตัวที่เดินเอาแก้วกาแฟไปล้างตรงแพนทรีเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

“ยังเลยครับพี่ งานเข้า” ผมพูดอย่างขำๆ ก่อนจะสั่งปริ้นท์เนื้อหาในหน้าจอออกมาเพื่อนั่งดูอย่างละเอียดอีกครั้ง

“งานอะไรวะ?”

“คอนโดศูนย์แปดครับพี่ โครงสร้างเพิ่งส่งแบบมาบอกว่าแบบไม่ตรงกัน” ผมบอกก่อนจะเดินไปเอาเอกสารที่เครื่องปริ้นท์ วางมันลงตรงโต๊ะกลางแล้วหยิบเอาปากกา ไฮไลต์ ลิควิดมาวางไว้ด้วยกัน

“ทำไมวะ?” พี่เขาถาม เก็บแก้วเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งลงข้างๆ กัน ผมเลยยื่นแบบที่มีประเด็นไปให้ช่วยคิด

ปัญหาที่ว่าคือส่วนของระเบียงห้อง TYPE A สามห้องที่อยู่สุดทางเดินที่หากดูตามแบบวิศวะแล้วจะมีคานตัวหนึ่งที่ถูกเพิ่มขึ้นมาเพื่อรับน้ำหนักตัวสระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้าเพิ่ม ทำให้เจ้าเสาที่ว่าปักลงตำแหน่งระเบียงห้องทั้งสามห้องแบบพอดิบพอดี

“ล่อซะกลางระเบียงเลยแฮะ” พี่เขาว่า ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางปริ้นท์แบบสาธารณูปโภคชั้นดาดฟ้าที่ทางภูมิสถาปนิกส่งมาให้เมื่อวันก่อนออกมาดู

“ถ้าเราขอให้เขาขยับกระบะต้นไม้ตรงนี้จะน่าจะพอลดเสาตรงนี้ไปได้หนึ่งต้นไหมครับ?” ผมถามความเห็นแล้วชี้ไปที่เสาต้นกลางที่น่าจะถูกวางเพื่อรับน้ำหนักกระบะต้นไม้ใหญ่ที่โผล่ขึ้นมากลางสระว่ายน้ำไว้โดยเฉพาะ

“น่าจะได้นะ ลองถามโครงสร้างดู แล้วก็ประสานกับทางภูมิสถาปนิกว่าพอจะย้ายให้สักสามสิบเซนได้ไหม?” พี่เขาช่วยตัดสินใจก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋า ผมยกมือไหว้อย่างขอบคุณแล้วสเก็ตแนวทางที่ว่าทับลงในแบบ สแกน แล้วจัดการส่งอีเมลตอบกลับ

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง
สำเนา ทีมภูมิสถาปนิก


ทางทีมสถาปนิกรบกวนขอปรึกษาโดยมีประเด็นคือ หากเราทำการย้ายกระบะต้นไม้ตามแนวทางที่ส่งให้จะสามารถลดเสาตาม Gridline B,9 ได้ใช่หรือไม่

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก





…ห้าโมงยี่สิบ

ตอนนี้เลยเวลาเลิกงานไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมนั่งมองหน้าจอที่ยังไม่มีอีเมลตอบกลับมาอย่างชั่งใจว่าจะกลับบ้านเลยดีหรือไม่ เพราะตอนนี้อยู่ไปก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคำตอบจากทางฝั่งนั้น

…และทันทีที่ตัดสินได้ผมก็ลงมือเก็บของเข้ากระเป๋าอีกครั้ง

กล่องจดหมาย(1)

…ให้มันได้อย่างนี้สิ

ผมอยากจะล้วงมือเข้าไปในจอแล้วจับคอคนที่ส่งอีเมลมาอย่างโคตรได้จังหวะมาเขย่าสักรอบสองรอบให้มันรู้แล้วรู้รอดก่อนจะวางกระเป๋าลงอีกครั้งแล้วเปิดอีเมลที่ตอบกลับมา

เรียน ทีมสถาปนิก
สำเนา ทีมภูมิสถาปนิก


จากประเด็นที่แจ้งมา ทางเราได้ปรึกษากับทางภูมิสถาปนิกแล้วสามารถทำได้ตามที่เสนอมาครับ ส่วนเสาอีกสองต้นรบกวนพิจารณาเพื่อแก้ไขแบบต่อไปครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…สรุปวันนี้ต้องอยู่โอทีสินะ

…แล้วจะเอายังไงกับเสาอีกสองต้นนั่นดีวะเนี่ย





ผมมองกองกระดาษร่างมากมายที่เอามาขีดเขียนแปลนเพื่อปรับให้ลงตัวกับเสาเจ้าปัญหา นี่ก็ทำมาร่วมชั่วโมงแล้วแต่ยังหาแปลนที่ถูกใจไม่ได้สักที

…หิวข้าวโว้ย

ผมหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม แค่เห็นท้องผมก็โอดครวญขึ้นมาทันที

…จะไปเซเว่นหรือโทรสั่งเอาดีวะ

ผมคิดอย่างลังเลพลางเลื่อนเมาส์ไปกดเปิดเพลงจาก youtube เพื่อไม่ให้ออฟฟิศที่ตอนนี้เหลือผมเพียงคนเดียวมันเงียบจนเกินไปแล้วก็ต้องสะดุดตากับหน้าอีเมลอีกครั้ง

กล่องจอดหมาย(1)

…บ้านช่องไม่กลับกันรึยังไงวะ?

ผมคิดอย่างเซ็งๆ มือก็เลื่อนไปเปิดอ่านอย่างช่วยไม่ได้พลางภาวนาให้อีเมลที่กำลังโหลดขึ้นมาไม่มีประเด็นชวนอกสั่นขวัญแขวนกันมากนัก

เรียน ทีมสถาปนิก

ทางเราได้หารือกันเรื่องเสา Gridline B,8 และ B10 จึงขอเสนอแนวทางเพื่อเป็นทางเลือกตามเอกสารแนบครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


ผมดาวน์โหลดเอกสารแนบพลางกดเปิดด้วยโปรแกรม PDF ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ทางเลือกที่นำเสนอโดยวิศวกรผู้ที่คำนึงถึงความถูกต้องมากกว่าสุนทรียภาพนี่มันช่างน่ากลัวสำหรับสถาปนิกอย่างผมเหลือเกินครับ

“เชี่ยยยยย” ผมสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่พลางกดซูมตำแหน่งไฮไลต์สีชมพูที่เปลี่ยนไปจากตำแหน่งเก่าเมื่อเสาที่เคยปรากฏอยู่ตรงตำแหน่งระเบียงได้หายไปแล้ว แต่กลับไปปรากฏอยู่บริเวณส่วนของห้องนั่งเล่นห่างจากผนังมาประมาณสิบห้าเซนแทน

จริงอยู่ที่มันดูจะปรับแปลนได้ง่ายกว่าเสาที่ทิ่มลงกลางพื้นที่ใช้สอยอย่างระเบียงห้อง แต่การที่เสามันเพิ่มเข้ามาในพื้นที่ขายแบบนี้ทางลูกค้าไม่มีทางยอมแน่ๆ ครับ

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

ตามแนวทางที่ได้เสนอมานั้นจะกระทบกับพื้นที่ขายซึ่งต้องแจ้งทางเจ้าของโครงการเพื่อพิจารณาอีกครั้งครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก


…เอาจริงๆ พิมพ์ไปก็น้ำตาจะไหล มันจะเรียกทีมสถาปนิกได้ยังไงในเมื่อมีผมอยู่แค่คนเดียว

ผมตัดสินใจย่อหน้าจอลงอีกครั้งเมื่อคิดว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกลแน่ๆ เลยตัดสินใจพักสายตาแล้วลงไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่างตึกทันที




“ตอนนี้มีโปรโมชั่น ปกติสองขวดห้าสิบ ตอนนี้สองขวดสามสิบห้า สนใจรับด้วยไหมคะ?” ผมมองพนักงานเซเว่นที่ตอนนี้เปลี่ยนคำพูดจาก ‘รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?’ เป็นการนำเสนอสินค้าโปรโมชั่นแทนอย่างขำๆ ก่อนจะมองตามมือที่ผายมือพรีเซนต์ขวดอย่างตั้งอกตั้งใจ

…ช่างรู้ใจซะจริง

“งั้นเอานี่สองขวดด้วยครับ” ผมยอมแพ้ให้กับเครื่องดื่มชูกำลังตรงหน้าเพราะนอกจากจะอยู่ในระยะโปรโมชั่นแล้ว ยังไงคืนนี้ก็น่าจะต้องพึ่งมันด้วยแน่ๆ

“ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบบาทค่ะ” ผมส่งธนบัตรให้ รับเงินถอนแล้วถือของออกมา

ครืด… ครืด…

แรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าทำให้ผมล้วงมันออกมาก่อนจะเห็นว่าที่หน้าจอปรากฎข้อความแจ้งเตือนว่ามีอีเมลเข้าในอีเมลของออฟฟิศ จั่วหัวว่าโครงคอนโดศูนย์แปด

…จะใครล่ะครับ

…ก็ทีมวิศวกรโครงสร้างทีมเดิมนั่นไง

เรียน ทีมสถาปนิก

รบกวนยึดตามแบบโครงสร้างแนวทางแรกตามที่ได้เสนอไปครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…แบบแรกนี่มันแบบไหนแล้วนะ?

ผมคิดอย่างสงสัยพลางเลื่อนหาอีเมลภายใต้หัวข้อนี้ฉบับแรกๆ ที่มันเริ่มทับถมกันเพราะข้อความที่ถูกตอบกลับมันเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ในอีเมลเดิม

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

รบกวนส่งแบบโครงสร้างตามทางเลือกที่ยืนยันอีกครั้งครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก


…ให้ส่งมาให้อีกครั้งคงจะง่ายกว่า

เรียน ทีมสถาปนิก

แบบโครงสร้างตามที่ยืนยันครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…อ๋อ ไอ้แบบที่มันทิ่มลงกลางระเบียงนี่เอง

ผมเดินมากลับขึ้นมาบนออฟฟิศก่อนจะเปลี่ยนไปเปิดไฟล์ PDF จากหน้าจอคอมแล้วปริ้นท์มันออกมาใหม่อีกครั้ง คิดไปด้วย กินข้าวเย็นไปด้วยพร้อมๆ กัน

…เดี๋ยวนะ ถ้าเสามันจิ้มลงชั้นนี้ แล้วชั้นล่างล่ะ

ผมคิดอย่างสงสัยพลางรู้สึกหนาวขึ้นมาถึงไขสันหลังเมื่อคิดได้ว่าแบบอาจจะต้องแก้ใหม่หมดทุกชั้น

…แค่คิด ไอ้เครื่องดื่มชูกำลังที่ซื้อมาสองขวดนั้นก็ดูท่าจะไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะคงไม่มีอะไรชูกำลังผมได้อีกต่อไปหากข้อสันนิษฐานนั้นเป็นจริง

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

จากตำแหน่งเสาที่ให้มา ไม่ทราบว่ามันกระทบแคชั้น 7 หรือกระทบชั้นอื่นๆ ด้วยครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก


ไม่เคยพิมพ์ถามอะไรกลับไปด้วยใจที่เต้นขนาดนี้มาก่อน

กล่องจดหมาย(1)

และไม่เคยได้อีเมลอะไรที่ตอบกลับเร็วขนาดนี้มาก่อน

เรียน ทีมสถาปนิก

กระทบทุกชั้นครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


...กระทบทุกชั้น

…ทุกชั้น

…ทุกชั้นนนนน!!!

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

ทางเราขอเวลาดำเนินการหนึ่งอาทิตย์เพื่อแก้ไขแบบต่อไปครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก

น้ำตาจะไหล ไม่ทงไม่ทำมันแล้ว กลับบ้านเถอะครับงานนี้

กล่องจดหมาย(1)

…ทำไมมันไม่หลงไปอยู่ในจดหมายขยะบ้างวะ?

เรียน ทีมสถาปนิก

เนื่องจากทางหน้างานต้องดำเนินการเพื่อเตรียมเทพื้นชั้นหนึ่งในอีกสองอาทิตย์ จึงขอรบกวนปรับแบบให้เร็วที่สุดครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…ถ้าเคารพกันจริงต้องไม่ทำกันอย่างนี้เปล่าวะ? ฮือออ

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

เนื่องจากการปรับแบบจะกระทบกับทุกฝ่าย ดังนั้น ทางเราจึงขอเสนอให้มีการประชุมเพื่อหาแนวทางร่วมกันก่อนครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก


…ถ้าอยู่ดีๆ ก็ปรับ ทั้งอินทีเรีย ทั้งแลนสเคป ทั้งงานระบบไม่ด่าพ่อล่อแม่ผมเหรอครับ ถามใจดู

เรียน ทีมสถาปนิก

ทางเราได้ปรึกษากับฝ่ายอื่นๆ แล้ว ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าให้ทางสถาปนิกตั้งต้นมาก่อนแล้วฝ่ายที่เหลือจะปรับตามครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…ชีวิต

เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

ทางเราจะปรับให้ตามแบบโครงสร้างครับ จัดส่งได้ช้าสุดภายในวันไหนครับ

ด้วยความเคารพ
ทีมสถาปนิก


…หนึ่งอาทิตย์

…ไม่มีทางได้

…สามวันก็ได้ เอ้า!

เรียน ทีมสถาปนิก

ทางทีมสถาปนิกสามารถพิจารณาระยะเวลาได้ตามความเหมาะสมครับ ทั้งนี้ ฝ่ายอื่นๆ ต้องการเวลาทำงานเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เพื่อส่งต่อให้ทางหน้างานดำเนินการอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อเตรียมแบบสำหรับเทชั้นหนึ่งในอีกสองอาทิตย์ครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ทีมวิศวกรโครงสร้าง


…หืม?

ผมนั่งอ่านอีเมลตรงหน้าด้วยความงงขั้นสุด

…2 อาทิตย์ก่อนเทพื้น

…หน้างานทำแบบจริงก่อนเทอีก 1 อาทิตย์ ก็เหลืออีก 1 อาทิตย์

…ส่วนฝ่ายอื่นก็ต้องการ 1 อาทิตย์เพื่อปรับแบบตาม

…เพราะฉะนั้นงานสถาปัตย์จะเหลือเวลา

…0 วัน?

…ก่อนจะตอบกลับมานี่คิดหรือยัง?

ผมเลื่อนลงมาที่ด้านล่างของอีเมลตอบกลับซึ่งมีโลโก้ออฟฟิศของอีกฝ่ายและเบอร์ติดต่อระบุไว้ พิมพ์มันลงไปในโทรศัพท์แล้วกดโทรออก

…ถึงตอนนี้จะสองทุ่มซึ่งดูจะเสียมารยาทมากก็ตามที

…แต่ผมจะไม่ทน

(“สวัสดีครับ ตอนนี้นอกเหนือเวลาทำการ กรุณา…”)

“สวัสดีครับ ขอสายคุณวิศวกรโครงสร้างที่ดูแลโปรเจคศูนย์แปดครับ”

(“พูดอยู่ครับ”)

“ผมสถาปนิกที่ดูแลโปรเจคศูนย์แปดนะครับ”

(“อ่อครับ สวัสดีครับคุณ…”)

“คุณเกิดวันไหนเหรอครับ?”

(“ครับ?”)

“วันเกิดคุณ”

(“วันที่สามสิบเดือนหน้าครับ ทำไมเหรอครับ?”)


“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่คิดว่าจะซื้อเครื่องคิดเลขให้ เพราะคุณอาจจะยังไม่มี จริงไหมครับ? คุณวิศวกร…”



TBC.




ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เฮ้ย!!!!! ชอบแบบเน้ #ทีมสถาปนิก   :m18: :m18: :m18:

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ฮืออออรอทีมสปานิกกับทีมวิศวะจีบกันนะคะ

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพฤหัสบดีสี่โมงครึ่ง


[ จากผม ]

กริ๊งงง…

เสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะของออฟฟิศที่ดังขึ้นในเวลาแบบนี้ทำเอาผมต้องหันไปมองอย่างสงสัยพลางเหลือบไปมองนาฬิกาฝาผนังชัดๆ เพื่อยืนยันว่าผมคงไม่ได้ตาลายจนเกินไป

…สองทุ่ม

…ก็ยังจะมีคนโทรเข้ามาอีก?

ผมเดินไปที่โต๊ะกลาง ยกหูโทรศัพท์ขึ้นเพื่อพูดประโยคคลาสสิคเวลาที่ต้องรับสายแบบที่แอดมินผู้ซึ่งไม่เคยต้องอยู่โอทีมักจะพูดอยู่เสมอ

…แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรปลายสายก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

(“สวัสดีครับ ขอสายคุณวิศวกรโครงสร้างที่ดูแลโปรเจคศูนย์แปดครับ”)

…อ้อ โปรเจคศูนย์แปด

“พูดอยู่ครับ”

(“ผมสถาปนิกที่ดูแลโปรเจคศูนย์แปดนะครับ”)

“อ่อ ครับ สวัสดีครับคุณ…”

ยังไม่ทันจะได้ถามชื่อ ปลายสายที่ดูเหมือนจะยังเป็นวัยรุ่นเพราะดูใจร้อนเสียเหลือเกินก็รีบแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

(“คุณเกิดวันไหนเหรอครับ?”)

“ครับ?” ผมถามกลับอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจนัก

…วันเกิดผม?

…แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับโปรเจคที่ว่านั่นล่ะ?

(“วันเกิดคุณ”) เขาย้ำ

“วันที่สามสิบเดือนหน้าครับ ทำไมเหรอครับ?” ถึงจะยังงงๆ กับคำถามที่ยังหาความเชื่อมโยงกับโปรเจคที่ว่าไม่ได้แต่ผมก็ตอบคำถามกลับไป

(“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่คิดว่าจะซื้อเครื่องคิดเลขให้ เพราะคุณอาจจะยังไม่มี จริงไหมครับ? คุณวิศวกร…”)

…เครื่องคิดเลข?

…เกี่ยวอะไรล่ะ?

“ครับ?”

(“ถ้าสงสัย รบกวนย้อนกลับไปดูอีเมลที่คุณเพิ่งส่งมาให้ผมอีกครั้งนะครับ ว่าไทม์ไลน์งานที่คุณกำหนดมานั้นถูกต้องรึเปล่า? ถ้ายังไงก็รบกวนช่วยยืนยันว่ามันผ่านการพิจารณาของคุณมาแล้วจริงๆ”)

อีกฝั่งร่ายยาวจนผมต้องถือโทรศัพท์ไร้สายแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะประจำของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะกดเข้าไปดูกล่องจดหมายที่ส่งแล้วซึ่งมีรายละเอียดของไทม์ไลน์งานอย่างที่เจ้าตัวว่า

(“ใครมันจะไปทำทันวะ ฮึ่ย!...”)

…เด็ก!

ความคิดแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัวทำให้ผมกระตุกยิ้มก่อนจะส่ายหัวอย่างขำๆ ให้กับเสียงบ่นที่ลอดมาโดยที่ปลายสายคงยังไม่รู้ตัว

เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ต่างต้องการให้ผลงานของตัวเองออกมาดีที่สุด ทั้งถูกต้อง แม่นยำและตรงเวลา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อาจจะมีกรณี …อย่างเช่นวันนี้ ที่ฝ่ายหนึ่งรีบเพื่อให้งานเสร็จตามกำหนด ส่วนอีกฝ่ายก็อยากมีเวลาสร้างสรรค์ให้มันออกมาสวยงามตามใจลูกค้า วิศวะโครงสร้างอย่างผมที่เหมือนเป็นคนกลางก็มีหน้าที่ที่ต้องทำให้ความสวยงามนั้นเป็นจริงให้ได้ก็เท่านั้น

แต่เมื่อฝ่ายที่มีหน้าที่คุมเวลาต่างพากันบีบมา คนที่ต้องใช้เวลามากที่สุดเลยต้องมาตกที่นั่งลำบาก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยมีใครโทรมาโวยวายกับงานโครงสร้างอย่างผมมาก่อน

…เหมือนอย่างที่ปลายสายกำลังทำอยู่ในตอนนี้

“ครับ ผมยืนยัน”

(“คุณ…!”)

“ส่วนเรื่องเครื่องคิดเลข… ขอบคุณมากครับ ผมกำลังอยากได้อยู่พอดี”

ผมตอบคำพูดนั้นกลับไปพลางยิ้มไป ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าเขาพยายามจะสื่อถึงอะไร แต่เพราะงานมันมาแบบนี้จะให้ทำอะไรได้ ที่สำคัญแม่ผมยังสอนมาว่า ‘คนร้อนมา ก็อย่าไปร้อนตอบ’ ก็เท่านั้น

“ฮัลโหลครับ” ผมกรอกเสียงตามสายไปอีกครั้งเมื่อปลายสายเงียบไปนานจนนึกว่าวางไปซะแล้ว

(“เฮ้อ… คุณทำเอาผมลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร”)

ผมเกือบจะหลุดขำเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจแว่วๆ มาตามสายก่อนจะตามด้วยคำพูดประโยคต่อมา

…คนร้อนมา ก็อย่าไปร้อนตอบ

…แต่ถ้าเด็กมาแล้วเด็กตอบ ก็คงไม่เป็นไร?

“คุณจะโทรมาถามเรื่องเสารึเปล่าครับ?” ผมช่วยนึกพลางลากเมาส์ไปเปิดไฟล์ PDF ของแบบโครงสร้างส่วนที่ว่าขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี

(“อ้อ ใช่ครับ ผมต้องการเวลา”)

“อย่างที่บอก ผมยืนยันตามที่แจ้งไปครับ” ผมตอบกลับอย่างพยายามกลั้นยิ้มเมื่อจับน้ำเสียงที่ตามมาของอีกฝ่ายได้

…ดูเหมือนจะมีเด็กหัวร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

(“คุณวิศวกร! คุณลองคิดดูนะครับ เวลาสองอาทิตย์ หน้างานขอหนึ่งอาทิตย์ ฝ่ายอื่นขอหนึ่งอาทิตย์ แล้วผมล่ะ?”)

…แล้วผมล่ะ?

…ทำไมต้องทำเสียงเหมือนโดนทิ้งแบบนั้น ฮึ?

“ผมเข้าใจครับ แต่ทางหน้างานแจ้งผมมาแบบนี้ หวังว่าคุณคงเข้าใจ”

(“ผมเข้าใจครับ แต่ผมทำไม่ได้ มันไม่ใช่เวลาน้อยนะครับ แต่คือมัน …ไม่มีเวลา!”)

“ครับ ผมก็เข้าใจเหมือนกัน มันกระทบเยอะใช่ไหมล่ะครับ?”

(“ยังจะถาม เยอะสิครับ!”)

ผมแทบจะกลั้นขำต่อไปไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะหัวร้อนขึ้นมาแบบสุดๆ

…ถ้าแม่ผมรู้แม่ผมต้องว่าแน่ๆ

…ทำไมผมถึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นน้า

“โอเคครับ งั้นเรามาช่วยกันแก้ปัญหา”

(“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยครับ สุดท้ายก็มาเป็นปัญหาอยู่ที่ผมคนเดียว”)

…นอกจากจะมีเด็กหัวร้อน ตอนนี้เหมือนกลายเป็นถูกเด็กงอนเข้าเสียแล้ว

“ก็กำลังจะช่วยแก้อยู่นี่ไงครับ”

ผมย้ำพลางแกว่งดินสอในมือไปมาอย่างขำๆ ถ้าไม่นั่งดูแบบโครงสร้างตรงหน้าไปด้วยนี่ก็สงสัยอยู่ว่า

…กำลังคุยงานหรือกำลังง้อเด็กอยู่กันแน่?

“ตอนนี้ติดตรงไหนนะครับ? เสาที่ลงมากลางระเบียงห้องใช่ไหม?”

(“ครับ”)

“มันกระทบหน้าตาตึกคุณรึเปล่า? มีตรงไหนที่ทำให้ Mass มันเปลี่ยนไปไหมครับ?”

ผมถามย้ำในประเด็นที่คิดว่าอ่อนไหวสุดสำหรับเนื้องานของทางสถาปนิก

(“ถ้าภาพรวมก็ไม่ครับ แต่พื้นที่ใช้สอยตรงระเบียงจะเปลี่ยนไป ทุกชั้นเลย”)

ผมหยิบกระดาษเอสี่ที่ใช้ไปเพียงหน้าเดียวก่อนจะพลิกเอาหน้าหลังที่ยังว่างก่อนจะจดประเด็นที่ว่าลงไป

“แล้วคุณซีเรียสไหมครับ?”

(“จริงๆ ไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนเลยครับ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้วอินทีเรียทำออกมาสวย …,มันก็อาจจะโอเค”)

“งั้นคุณยืนยันตำแหน่งตามนี้แล้วส่งต่ออินทีเรียเลยครับ”

(“เออว่ะ…”)

ผมยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นขำเมื่อได้ยินเสียงคล้อยตามจากอีกฝ่ายที่ดังลอดออกมา

(“หึ ถ้าผมเป็นอินทีเรีย ผมจะด่าพี่”)

…พี่?

…พอแบบนี้ล่ะกลายเป็นพี่ขึ้นมาทันที

…เด็กเอ้ย

“เขาไม่ด่าผมหรอกครับ เขาจะด่าคุณ”

(“พี่แม่ง! เอ่อ ขอโทษครับ”)

ผมขำ พลางสายหัวให้กับความสนิทสนมที่ถูกหยิบยื่นให้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที

“สายไปแล้วครับคุณ ด่าผมซะขนาดนั้น”

(“ขอโทษครับ ขอโทษ เอา ไว้เจอกันคราวหน้าเดี๋ยวผมเลี้ยงกาแฟพี่แก้วหนึ่งเลย ดีป่ะ?”)

“หึหึ อเมริกาโน่นะครับ”

(“โถ่พี่ ปฏิเสธหน่อยก็ไม่ได้ สิ้นเดือนแท้ๆ”)

เสียงหัวเราะที่ดังลอดมาตามสายทำเอาผมเผลอยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ก่อนจะย้ำอีกฝ่ายว่าควรทำงานต่อได้แล้วจะได้แยกย้ายกันกลับบ้านไปนอนเสียที

(“ขอบคุณมากนะครับพี่ ขอโทษด้วยครับที่โทรมาตอนนี้”)

“อเมริกาโน่ครับ”

ผมย้ำ อีกฝ่ายหัวเราะ

(“รู้แล้วน่า แล้วนี่ …พี่จะกลับบ้านหรือยังครับ?”)

“เกือบๆ แล้วครับ ทำไมเหรอ?”

ผมถามอย่างสงสัยพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจเมื่อเห็นว่าได้เวลาที่ควรจะกลับเสียที

(“เปล่าครับ แค่เผื่อมีประเด็นอีก เลยอยากรู้ว่าจะโทรเข้าออฟฟิศพี่ได้อีกรึเปล่า?”)

ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัวอย่างขำๆ ให้กับความคิดตัวเองอย่างอดไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่างานมันดูมีประเด็นจริงๆ ผมคงเผลอคิดไปแล้ว

…ว่ากำลังโดนอีกฝ่ายอ้อนขอเบอร์ส่วนตัวอยู่แหงๆ

“เราเหลือแค่ส่งเมลออกใช่ไหม? ส่งเลยสิเดี๋ยวรอก็ได้ cc พี่ด้วยนะครับ”

…หึ เลยกลายเป็นว่าแทนตัวเองว่าพี่ไปด้วยเฉย

(“โอเคครับ งั้นพี่รอผมก่อนนะ”)

เสียงแทรกจากบริบทรอบข้างที่ดังลอดมากจากปลายสายทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างสงสัยพลางมองแป้นปุ่มกดในมืออย่างลังเลสุดท้ายก็ถามออกไป

“ไม่วางสายก่อนเหรอครับ?”

(“ต้องวางด้วยเหรอครับ?”)


…เอ้า เด็กเอ้ย!



TBC.




เรื่องสั้นของเรากลับมาแล้วค่าหลังจากที่หายไปนาน เขียนตอนนี้แล้วสนุกดี
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ  ^_________^

Zenzaii



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เป็นตอนที่น่ารักมากๆ..อย่าหายไปนาน เค้าใจบางนะ 555  :call: :call: :call:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
งือออ เขิน เค้าจะเป็นยังไงต่อนะ รออ่านนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ zenzaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
วันพฤหัสบดีสี่โมงครึ่ง

      [ ด้วยรัก ]

      “ไม่วางสายก่อนเหรอครับ?”

      (“ต้องวางด้วยเหรอครับ?”)

      คำพูดจากปลายสายที่ถูกถามกลับมาด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ทำเอาผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะเผลอหัวเราะออกมา

      …นี่ผมแก่เกินไปจนตามเด็กสมัยนี้ไม่ทันแล้วเหรอครับเนี่ย?

      แล้วก็ได้แต่ส่ายหัวกับตัวเองอย่างขำๆ ก่อนจะตอบอีกฝ่ายกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

      “ไม่ต้องวางก็ได้ครับ ไปส่งเมลเถอะไป”

      (“ครับพี่ รอก่อนนะครับ”)
   
      “ครับ”

      ผมรับคำอย่างยอมจำนนพลางมองตัวเองที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไร้สายของออฟฟิศ เหลือมือที่ว่างหนึ่งข้างแต่ออกจะยากเกินกว่าจะวุ่นวายเก็บเอกสารและข้าวของลงกระเป๋าในจังหวะที่กำลังถือสายของคู่สายเอาไว้แบบนี้ ผมเลยล้มเลิกความตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ของคีย์บอร์ดที่ดังลอดสายเข้ามา คาดว่าอีกฝ่ายคงใช้เวลาไม่นานนักเลยพิงตัวกับพนักเก้าอี้แล้วเปิดหน้า youtube ไล่ลิสต์เพลงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเพื่อฆ่าเวลา รู้ตัวอีกทีก็เผลอฮัมเพลงตามจังหวะไปด้วยจนอีกฝ่ายร้องทัก

      (“หึหึ เพลงเพราะนะครับ”)

      …ถามว่ารู้สึกอะไรไหม?

      …บอกเลยว่าเขินมาก

      “ไม่แซวสิครับ”

      ผมบอกอีกคนแก้เขิน ปากหยุดฮัมเพลงไปแล้วแต่ก็ยังปล่อยให้หน้าเว็บมันเล่นเพลงตามลิสต์ไปเรื่อยๆ

      (“ไม่ร้องแล้วเหรอครับ?”)

      …มีแซวอีก

      “หึ”

      ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากกว่านั้น แล้วก็เลิกสนใจเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปเหมือนกันก่อนจะลุกเอาแก้วบนโต๊ะไปเก็บไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวซึ่งอยู่อีกห้อง

      (“ไม่ฟังเพลงแล้วเหรอครับ?”)

      เงียบไปได้ไม่นานอีกฝ่ายก็ทักขึ้นมา

      …สงสัยจริงๆ ว่าที่โทรนี่เพราะจะถามเรื่องงานหรือไม่

      …ก็ไม่อยากพูดคนเดียวแหงๆ

      “เดินออกมาอีกห้องพอดี”

      (“อ๋อออ”)

      “อ๋อออ” ผมแกล้งย้อนอย่างหมั่นไส้ก่อนจะได้รับการตอบรับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ตอบกลับมา

      (“ได้ยินอะไรไหมครับ?“)

      “หืม?” ประโยคคำถามของปลายสายที่ถามขึ้นมาเสียงแผ่วๆ ทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย ลองเงี่ยหูฟังตามที่เจ้าตัวว่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรก่อนจะคิดได้ว่า

      …บางทีมันอาจจะเป็นมุกที่เด็กๆ ชอบเล่นกันล่ะมั้ง

      “พี่ไม่กลัวผีครับ”

      (“หืม?...”) อีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะตามมา

      (“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมหมายถึงนี่ต่างหาก”)

      เขาว่าแล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงเพลงดังขึ้นแทนที่พร้อมกับเสียงร้องที่คลอตามมาด้วยเบาๆ จนทำให้ผมต้องเลิกคิ้ว

      “ส่งเมลแล้วเหรอครับ?”

      (“พี่อ่ะ! ฟังก่อนๆ”) เสียงโวยวายเบาๆ ตามแบบฉบับของเขาทำให้ผมหัวเราะ

      …เหมือนเด็กหนีเที่ยว การบ้านไม่ยอมส่ง อะไรแบบนั้น

      (“เพลงดีเนอะพี่ วงนี้ผมชอบมาก นี่เพลงใหม่เลย เพิ่งออกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”)

      “หึ ครับ …ก็ดี”

      (“ก็ดีอะไรล่ะพี่ ดีมากๆ เลยต่างหาก”) ผมเออออไปอย่างช่วยไม่ได้

      “ดีมากๆ ก็ดีมากๆ ครับ ส่วนเรา… ถ้าสงเมลเสร็จแล้วตอนนี้ก็จะดีมากๆ เหมือนกันนะ”

      (“โถ่ พี่ครับ ผมสแกนเอกสารแล้วเนี่ย ใจร้อนจังวุ้ย!”) เสียงสบถกับตัวเองดังตามมาอีกครั้ง

      …นี่ไม่รู้ตัวจริงๆ หรือหลอกด่าผมกันแน่วะเนี่ย

      “ว่าพี่?”

      (“ว่าตัวเองเนี่ย ทำไมใจร้อนจังวุ้ย อย่างนี้น่ะครับ”)

      …แถ

      (“จะส่งแล้วนะครับ”)

      “ดีใจมากเลยครับที่ได้ยินอย่างนั้น” ผมยิ้มกับตัวเองอย่างขำๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานไปอีกครั้ง หย่อนตัวลงนั่งมองหน้าจออยู่สักครู่ก็ปรากฏข้อความแจ้งเตือนที่แสนจะคุ้นเคยขึ้นมา

      กล่องจดหมาย (1)

      (“ส่งแล้วครับ กลับบ้านได้ครับผม เย้!”)

      ผมส่ายหัวก่อนจะคลิกเข้าไปดูอีเมลใหม่ที่เพิ่งส่งเข้ามา

      เรียน ทีมอินทีเรีย
      สำเนา ทีมวิศวกรโครงสร้าง


      เนื่องจากแบบโครงสร้างมีการปรับแก้ทำให้กระทบต่อพื้นที่ระเบียงห้อง ตำแหน่ง Gridline B,8 และ B10 ของทุกชั้น และทางสถาปนิกไม่ได้ติดประเด็นอะไร จึงรบกวนทางอินทีเรียปรับแก้แบบระเบียงห้องและประสานกับทางหน้างานต่อไปครับ

      ด้วยความเคารพ
      ทีมสถาปนิก


      ผมกวาดสายตามองเนื้อหาอีเมลทั้งหมดซึ่งดูแล้วไม่ได้ติดปัญหาอะไรเลยตั้งใจจะปิดคอม กลับบ้าน ตามที่อีกฝ่ายว่าแต่ข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอกลับปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง

      …นี่ก็ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนกันจริงๆ ให้ตาย!

      (“เขาก็ยังไม่กลับบ้านกันว่ะพี่”)

      เสียงปลายสายที่ดูเหมือนจะเห็นอีเมลแล้วเหมือนกันดังขึ้น ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ อย่างเห็นด้วยก่อนจะเลื่อนเมาส์ไปคลิกอีเมลนั้นเพื่อเปิดอ่าน
   
      เรียน ทีมสถาปนิก
      สำเนา ทีมวิศวกรโครงสร้าง

      จากที่ทางสถาปนิกแจ้งมาเรื่องการปรับแบบโครงการ ทางเราต้องขออนุญาตพิจารณาก่อนว่างานส่วนนี้อยู่ใน Scope ของใคร เนื่องจากตามแบบปัจจุบันไม่ได้อยู่ในแบบอินทีเรียและแบบภูมิสถาปนิกค่ะ
 
      จึงเรียนมาเพื่อทราบ
      ทีมอินทีเรีย


      (“รู้สึกถึงอะไรบางอย่างไหมครับ?”) เสียงจากปลายสายที่ดังขึ้นทำลายความเงียบทำเอาผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างสงสัย

      “อะไรครับ?”

      (“รู้สึกเหมือน …งานจะเข้า”)

      “ก็ไม่นะ”

      (“พี่ความรู้สึกช้าอ่ะ”)

      “หึหึ งานเรารึเปล่าครับไม่ใช่งานพี่” ผมขำก่อนจะตอบอีกคนไป

      จากที่อ่านก็ดูก็คงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นแหละครับเพียงแต่ว่าเนื้อหาของอีเมลที่ว่านี่มัน
   
      …เรียน ทีมสถาปนิก นี่นา

      …ไม่ใช่ผมซะหน่อย

      (“โห เล่นแบบนี้เอาอเมริกาโน่ของผมคืนมาเลย”)

      “ได้ข่าวว่ายังไม่ได้กินนะ”

      (“ชิ!”)

      ผมหลุดยิ้มให้กับอาการเด็กน้อยของเขาที่มาแบบไม่รู้ตัวอีกครั้งจนเริ่มสงสัยแล้วนะครับว่าจริงๆ แล้วเขาอายุเท่าไหร่กันแน่

      (“เอาไงดีวะเนี่ย?”)

      “พูดกับพี่หรือพูดคนเดียวครับ?”

      (“พูดกับตัวเองครับ”)

      “โอเค งั้นพี่วางสายแล้วนะ”

      (“ม่ายยย”)

      …จะทำให้ขำทั้งคืนเลยใช่ไหมเนี่ย ฮึ?

      “แล้วจะเอาไงครับ?”

      (“พี่ก็อยู่กับผมไง”)

      …เดี๋ยวๆ

      “หมายถึงเรื่องงานครับ เรื่องส่วนตัวไว้ก่อนเนอะ หึหึ”

      (“ขี้แกล้งชะมัด… งั้นผมปล่อยให้เขาพิจารณาไปตามที่เขาว่าได้ไหมครับ?”)

      ผมได้แต่ส่ายหัวกับตัวเองเงียบๆ กับคำบ่นของเจ้าตัวที่คิดว่าคงไม่มีใครได้ยิน ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาจดจ่อกับเนื้อหาอีเมลอีกครั้ง

      …ลองมาอีหรอบนี้คงได้แต่โยนงานกันไปกันมาแน่
   
      “รอเดี๋ยวนะ”

      ผมบอกปลายสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไร้สายของออฟฟิศไว้แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาต่อสายหาทีมภูมิสถาปนิกที่มีชื่ออยู่ในเนื้อหาของอีเมลแต่ไม่ได้ถูกสำเนาถึง

      “ครับคุณมีน ขอโทษที่โทรมาดึกนะครับ พอดีโครงการศูนย์แปดมีประเด็นนิดหน่อย…”

      “ครับ ใช่ครับ งั้นผมจะเรียนทีมอินทีเรียตามนี้นะครับ ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ”

      ผมโยนโทรศัพท์ตัวเองลงกระเป๋าก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์ของออฟฟิศขึ้นมาอีกครั้ง

      “ยังอยู่ไหมครับ?”
   
      (“อยู่ครับพี่ มีเรื่องดีๆ แน่เลย …ใช่ไหมครับ?”)

      น้ำเสียงตื่นเต้นจากอีกฝั่งทำเอาผมยิ้มกับตัวเองซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ตลอดการคุยโทรศัพท์อันยาวนานนี้ก็ไม่รู้ ดีนะครับที่เป็นเบอร์ออฟฟิศ ไม่งั้นค่าโทรศัพท์ของเดือนนี้ได้มีบานปลายแหงๆ

      …แต่ผมไม่ได้เป็นคนโทรนี่ ใช่ไหม?

      “เด็กไม่ดี แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน”

      (“ไม่ได้แอบนะพี่ ฟังเลยต่างหาก ฮ่าๆๆ”)

      ผมขำแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองเด็ก ก็คงเด็กอย่างที่ว่าจริงๆ ล่ะมั้ง

      …เด็กน้อยเอ้ย

      (“ตกลงยังไงครับพี่?”)

      “พี่คุยกับคุณมีนที่เป็นภูมิสถาปนิกให้แล้วครับ ตรงระเบียงทางลูกค้าขอเพิ่มกระบะต้นไม้เข้ามาพอดี เขาอาจจะดีไซน์ช่วยให้เรื่องเสา แต่เรื่องวัสดุพื้นและเฟอร์นิเจอร์ต้องเป็นงานของทางอินทีเรีย เดี๋ยวเขาจะคุยให้ครับ”

      (“เยี่ยมเลยครับ งั้นผมตอบเมลกลับตามนี้เลยนะครับพี่ ขอบคุณมากครับ”)

      “ไม่เป็นอเมริกาโน่สองแก้วเหรอครับ? หึหึ”

      (“โหพี่…”)

      ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาจนผมต้องหัวเราะ

      (“ได้นะครับ แต่ต้องเป็นร้านรถเข็นแถวออฟฟิศผมแทนร้านเขียวๆ นั่นนะครับ สิบแก้วยังได้เลย”)   

      “พูดมาแบบนี้ พี่ไม่ลืมนะ หึหึ”

      (“มาให้แน่เถอะครับพี่ ผมจะดีใจมากๆ ร้านนั้นแพงจะตาย”)

      …ขี้บ่น

      ผมได้แต่คิดแต่ไม่ได้ตอบออกไป พลางหันไปมองเวลาที่เลยมาจนเกือบสามทุ่ม

      …นี่คุยกันนานกว่าตอนคุยกับแฟนเก่าอีกนะครับ

      “จะสามทุ่มแล้วนะ”

      (“โอเคพี่ ผมส่งเมลก่อน กลับพร้อมกันนะครับ”)

      …ถ้าจะพูดมาซะขนาดนี้ล่ะก็นะ

      “ครับ เร็วๆ เลย”

      (“คร้าบบบ”)

      ไม่นานเหมือนที่เจ้าตัวบอก ที่ว่างๆ หลังกล่องจอดหมายก็ปรากฏตัวเลขหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง

      เรียน ทีมอินทีเรีย
      สำเนา ทีมวิศวกรโครงสร้าง , ทีมภูมิสถาปนิก


      จากที่ได้ปรึกษากับทางทีมภูมิสถาปนิกแล้ว ได้รับแจ้งว่าทางภูมิสถาปนิกจะเพิ่มงานกระบะต้นไม้และปรับให้สอดคล้องกับตำแหน่งเสาใหม่ ส่วนงานวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ส่วนของระเบียงรบกวนทางอินทีเรียประสานงานต่อครับ
 
      ด้วยความเคารพ
      ทีมสถาปนิก


      (“กลับได้สักทีนะครับ”)

      อีกฝ่ายว่า ผมได้แต่ยิ้มขำกับเนื้อหาอีเมลที่รวบรัดงานให้แต่ละฝ่ายแบบนั้นซึ่งเท่ากับว่าตัวเองรอดแล้วแน่ๆ

      “ครับ งั้นก็… วางสายสักทีเนอะ”

      (“พี่อ่ะ!”)

      “หึหึ วางยัง?”

      (“ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ ขอโทษที่รบกวนครับผม”)

      “เพิ่งรู้ตัว?”

      (“พี่ขี้แกล้งว่ะ! โอเคๆ ผมวางแล้วนะ”)

      อีกฝ่ายว่าผมได้แต่ขำก่อนจะลุกเดินกลับไปที่โต๊ะของแอดมินเพื่อเตรียมตัวจะวางสาย

      “ครับ สวัสดีครับ”

      (“ครับพี่ สวัสดีครับ”)

      กึก…

      ผมวางโทรศัพท์กลับไว้กับแท่นก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะกดปิดหน้าจอ เก็บของลงกระเป๋า เช็คพวกสวิทซ์ไฟ และอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ว่าปิดเรียบร้อยแล้ว ทำท่าจะเดินออกสายตาก็กวาดไปเจอโทรศัพท์ออฟฟิศที่วางอยู่บนโต๊ะก็ได้แต่ยิ้มอย่างขำๆ

      ครืด ครืด…

      แรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋าทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูก่อนจะล้วงมันออกมาอีกครั้ง หน้าจอแสดงอีเมลใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาทางอีเมลของออฟฟิศที่ผม Sync ไว้กับโทรศัพท์ของตัวเอง

      “หืม”

      หัวข้อของโปรเจคที่เหมือนจะเพิ่งเคลียร์ประเด็นต่างๆ จบไปแล้วเมื่อครู่ทำเอาผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างสงสัย ยิ่งเมื่อเห็นฝ่ายส่งเป็นคนที่ถือสายอยู่เกือบชั่วโมงนั่นด้วยแล้ว

      เรียน ทีมวิศวกรโครงสร้าง

      ทางเราได้ประสานงานเรื่องเสา ตำแหน่ง Gridline B,8  B,9 และ B10 เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณสำหรับคำปรึกษาครับ
 
      ด้วยความเคารพรัก
      พระพาย
      สถาปนิกโครงการ


      “ด้วยควาเคารพ …รัก?

      คำที่ผิดแปลกออกมาจากข้อความลงท้ายปกติทำเอาผมขำ ไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายที่เป็นคนส่งจะรู้ตัวหรือยัง ดีนะที่อีเมลที่ใช้ติดต่อเป็นอีเมลย่อย ไม่ได้ cc อีเมลกลางของออฟฟิศเข้าไปด้วย ผมได้แต่ส่ายหัวให้กลับความสะเพร่านั้นก่อนจะหยุดลงที่อีกอย่างทีเกินเข้ามาแต่สะดุดตาไม่แพ้กัน

      “พระพาย…”

      รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ผู้ชายจะมีชื่อที่ดู …หวาน ขนาดนี้ แต่ก็นะ สถาปนิกที่เคยร่วมงานกันก็มีแต่ชื่อที่ดูครีเอทๆ กันทั้งนั้น

      “เลิกดึกจังเลยลูก”

      เสียงที่ทักขึ้นข้างหลังทำเอาผมสะดุ้งก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆ ให้ป้าแม่บ้านที่มักจะเข้ามาทำความสะอาดในช่วงเวลาแบบนี้อยู่เสมอ

      “ครับป้า ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับป้า”

      ผมบอกอีกฝ่ายก่อนยกมือไหว้ลา ในระหว่างที่เดินไปที่จอดรถก็นึกได้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปสักเล็กน้อยเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตอบอีเมลเมื่อครู่ก่อนจะเก็นมันกลับเข้าไปในกระเป๋า

      …ได้เวลาเลิกงานจริงๆ เสียที

      ผมคิดก่อนจะเปิดประตูรถ โยนกระเป๋าไปไว้เบาะหลัง เลือกเพลงที่ชอบเพื่อให้เปิดคลอไปกับบรรยากาศเย็นๆ ข้างนอกเล็กน้อย

      ครืด ครืด…

      เสียงเตือนว่ามีสายเข้าทำให้ผมหันไปสนใจเบอร์ใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอรถที่ผม Sync เข้ากับโทรศัพท์อัตโนมัติ เบอร์ใหม่ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อเสียงอีกฝ่ายทักทายออกมาเมื่อผมกดรับ
   
      “สวัสดีครับ”

      (“ผมเองพี่”)

      “ว่าไงครับ …พระพาย



      เรียน คุณพระพาย

      ด้วยความยินดีครับ
 
      พาทิศ
      วิศวกรโครงการ
      M : 087 787 09xx   



[ THE END♥ ]



หายไปเกือบสองอาทิตย์อีกแล้ว ขอโทษนะค้า  แต่เราไม่ลืมแน่นอน  ^___________^
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ

Zenzaii


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2017 18:27:05 โดย zenzaii »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
โอ๊ย...เค้าอ้อยกันไปอ้อยกันมา น่ารัก..กกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบมากอ่ะ   :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ต่อเถอะค่ะ อยากอ่านตอนที่เค้าเจอกันแล้ว :ling1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่ารักดีค่ะ
ปล. เรื่องนี้จบหรือยังคะ เห็นมี TBC อยู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด