ตอนที่ 19
“ก็เอ็งขี้งกจะตายไปนี่”
พวกเราใช้เวลาว่างในการทำศาลพระภูมิให้ท่านเจ้าที่ ก็เฉพาะวันที่ผมกับไวท์ว่างนั่นล่ะครับ ส่วนไอ้ธีร์ถ้ามันว่างจริงๆ มันก็จะมาช่วย เรื่องนี้ผมรู้สึกขอบคุณมันมาก คิดว่าคงต้องมีสินน้ำใจให้มันเหมือนที่จะให้ไวท์ด้วย
จนตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่พวกเราลงมือลงแรงทำมันจริงๆ ตอนนี้หล่อปูนขึ้นรูปเรียบร้อย หลังจากนี้จะเป็นการเสริมรายละเอียดเข้าไป จำพวกสระว่ายน้ำ หลังคาศาล อะไรพวกนั้นนั่นล่ะครับ
ศาลใหม่นี้จะใหญ่กว่าศาลเดิมประมาณเท่าหนึ่งได้ เพราะงั้นก็เลยต้องหล่อต้นเสาที่ใช้เป็นฐานรองศาลขึ้นใหม่ด้วย จะได้ทาสีเพนต์ลายได้สวยๆ คือเอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะอธิบายวิธีการทำยังไงว่ะ เพราะผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องงานช่างงานสร้างอะไรพวกนี้นัก ก็ได้แต่มองดูและช่วยไวท์ทำเท่าที่ทำได้ งานนี้ให้ว่าที่สถาปนิก (ควบตำแหน่งวิศกรชั่วคราวมือสมัครเล่นเป็นผู้อำนวยการสร้าง) จัดการไปตามที่อีกฝ่ายเห็นเหมาะสมล่ะนะ
ส่วนชีวิตของผมช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็ไปเรียน ทำงาน สร้างศาล วนลูปอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ ตามวิถีชีวิตของเด็กนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่ง...อ้อ แต่เรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเรื่องของไอ้เนสกับไอ้คลาร์ก วันนั้นที่พวกเราเมาแหลกแล้ววันต่อมาไอ้เนสมันก็คอลฯ กลุ่มมาโวยวายใส่ไอ้ฮัทน่ะ หลังจากนั้นสองวันถัดมาพอไปมหา’ลัย ผมก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมันสองคน
ต้องย้อนความนิดนึงว่าผมรู้ได้ยังไง...ก็วันนั้นตอนที่พวกเราไปกินข้าวเที่ยงกัน ผมสังเกตได้ถึงความผิดปกติของไอ้คู่ซี้คู่กัดเพราะพวกมันเงียบผิดปกติ มันนั่งอยู่ข้างกันแต่ไม่ค่อยมองหน้ากัน พอมองกันทีก็ดูกระอักกระอ่วนจนต้องเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง นั่นทำให้ผมต้องเอียงหน้าไปกระซิบถามไอ้ฮัทอย่างอดรนทนสงสัยไม่ได้
‘มึง เกิดอะไรขึ้นวะ พวกมันโกรธกันเหรอ?’
‘หึๆ มึงพลาดแล้วไอ้แทงค์’ ผมทำหน้างงใส่ ไอ้ฮัทหัวเราะ ‘มึงดูเอาเองแล้วกัน เดี๋ยวพวกมันก็เผยไต๋ออกมา’
ใจก็อยากจะเค้นถามต่อหรอกนะ แต่พอหันกลับมามองไอ้สองตัวนั้นผมก็ต้องชะงัก ขมวดคิ้วมุ่นมองสิ่งที่เห็นตรงหน้า...คือตอนนั้นไอ้คลาร์กเอาส้อมจิ้มกุ้งตัวหนึ่งขึ้นมาจากจานข้าวผัดกุ้งของตัวเองก่อนจะยื่นไปตรงหน้าไอ้เนสครับ พอไอ้เนสหันมาเหลือบมอง ไอ้ฝรั่งมันก็เลิกคิ้วให้แล้วเขย่าๆ ส้อมในมือ สุดท้ายไอ้เนสก็อ้าปากงับกุ้งตัวนั้นเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วถ้าผมไม่ได้ตาฝาด ผมมั่นใจนะว่าเห็นไอ้เนสหน้าแดง ยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีกเมื่อไอ้คลาร์กมันยื่นนิ้วมาปาดคราบเปื้อนที่มุมปากให้ แถมยังมีบ่นด้วยนะว่า ‘เปื้อนหมดแล้ว กินดีๆ ดิครับ’
ตอนนั้นคำถามแรกที่ผมคิดขึ้นมาในใจก็คือ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของผมวะ?! จำได้ว่าผมเบิกตาโตจ้องมองพวกมัน รู้สึกว่านี่แม่งไม่ชอบมาพากลแล้วจริงๆ นะ จนปากที่งับเอาไว้ไม่อยู่เผลอหลุดพูดออกไปว่า
‘พวกมึงสองคน ทำเหมือนคนเป็นแฟนกันเลย’ เท่านั้นล่ะไอ้ฮัทก็หัวเราะลั่น ขณะที่ไอ้เนสกับไอ้คลาร์กหน้าแดงแข่งกันทันที สบตากันก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคนละทาง เป็นสัญญาณที่ทำให้ผมเบิกตาแทบถลนเข้าไปอีก ชี้มือไปที่พวกมันสองคนสลับไปมาแล้วว่าเสียงหลง
‘นะ นี่พวกมึงเป็นแฟนกันงั้นเหรอ?! เฮ้ย! อะไรยังไง ทำไมพวกมึงมาคบกันได้วะ เดี๋ยวๆๆ กูงง กูไม่เข้าใจ นี่มัน...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!’ ตอนนั้นผมงงมากครับ ไอ้ฮัทที่ปกติเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่วันนั้นมันกลับเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง ทำให้ผมได้รู้ว่า...คืนที่เมาแอ๋กันนั่นน่ะ ไอ้เนสกับไอ้คลาร์กดันเผลอ...กัน
ถามไปถามมา ถามอีกด้วยว่าพวกมันชอบกันเหรอ แต่คำตอบที่ได้คืออะไรรู้ไหมครับ? ไอ้คลาร์กมันตอบผมมาว่า
‘ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่คิดว่ามันก็ไม่เสียหายอะไรที่กูกับไอ้เนสจะลองแบบว่า...คบกัน’
จนถึงวันนี้ใจหนึ่งผมก็กังวลนะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกมันสองคน เพราะด้วยความที่เป็นเพื่อนกัน แล้วจู่ๆ มาเปลี่ยนสถานะอย่างนี้น่ะ เรื่องพวกนี้มันเปราะบางมาก ในอนาคตมันอาจจะมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้ถ้ามีเหตุให้ต้องเลิกกันขึ้นมา แต่...พอมาคิดดูอีกที ผมก็คงได้แต่มองอยู่ห่างๆ อ่ะ มันจะเป็นไงต่อไปก็รอลุ้นเอาแล้วกัน
แต่จริงๆ ผมก็โดนซักฟอกจากพวกไอ้ฮัทเหมือนกันเรื่องที่ท่านเจ้าที่ไปรับผม พวกมันสงสัยมากว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ทำไมพวกมันถึงไม่เคยเห็นหรือผมไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน ผมก็เลยแถๆ ไปว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะย้ายมาอยู่ข้างบ้านไม่นาน แต่สนิทกันในระดับหนึ่ง ที่ไม่เล่าก็เพราะไม่เห็นความจำเป็น
ก็โดนด่าว่าอินดี้เกินไปมานิดนึง แต่พวกมันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีก ส่วนเรื่องที่ผมเรียกท่านเจ้าที่ต่อหน้าพวกมันว่าผัว พวกมันก็ไม่ได้คิดอะไรอีกนั่นล่ะครับ ด้วยรู้ดีว่าเวลาผมเมานี่โคตรบ้าบอไร้สติมากแค่ไหน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันแทงค์ รอให้ปูนแห้ง เราฉาบตรงนี้เป็นสระน้ำแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ปูกระเบื้องลงไป ตรงนี้คงยากหน่อยเพราะนี่มันสระน้ำจำลอง ดีที่เราหากระเบื้องชิ้นเล็กๆ ได้ ไม่งั้นตัดเองคงลำบากแย่” ไวท์เอ่ยขึ้นพลางยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก ผมก็เลยส่งน้ำเปล่าให้เขาขวดหนึ่ง อีกฝ่ายรับไปพลางเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม กระดกดื่มจนเกือบหมดขวด “งั้นเรากลับก่อนนะ พอดีว่าเพื่อน...”
“เราเข้าใจ วันนี้ขอบใจมากนะ เหนื่อยแย่เลย ไว้เสร็จงานเราเลี้ยงให้มื้อใหญ่เลยเอ้า” ผมตัดบททั้งๆ ที่ไวท์ยังพูดไม่จบ เพราะรู้ดีว่าช่วงนี้มีเพื่อนมาค้างที่หอของเขา คงเป็นห่วงเพื่อนน่ะถึงได้รีบกลับตลอดเลย
“งั้นเราไม่เกรงใจนะ จะรอวันที่ได้กินเลย ฮ่าๆๆ”
เราสองคนหัวเราะให้กัน ก่อนที่ผมจะขี่มอ’ไซค์ไปส่งไวท์ที่ป้ายรถเมล์...หลังจากนั้นผมก็ขี่กลับบ้าน ในใจคิดไปด้วยว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี อ๊ะ วันนี้มีตลาดนัดแถวมหา’ลัยนี่หว่า ไปซื้ออะไรกินที่นั่นดีกว่า ทำงานเหนื่อยมาแทบทั้งวันผมก็ขี้เกียจทำกับข้าวแล้วเหมือนกันนะ อืม สักสี่โมงกว่าๆ ค่อยไป ตอนนี้สามโมงครึ่ง ยังมีเวลาพักอาบน้ำแต่งตัวบ้าง
16.12 น.
ผมคร่อมมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่องเตรียมบิดออกจากหน้าบ้านหลังจากที่ล็อกรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกตัว เสียงทุ้มเข้มของท่านเจ้าที่ก็รั้งผมเอาไว้เสียก่อน พร้อมด้วยการปรากฏตัวของอีกฝ่ายขวางหน้ารถผม
“จะไปไหนรึ”
ผมขึงตามองเขาก่อนจะตอบด้วยเสียงเนือยๆ “ตลาดแถวมอ.”
“ข้าไปด้วย”
“จะไปทำไม...” ผมตั้งใจจะแย้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด “เออ ไปก็ไป งั้นช่วยแต่งตัวดีๆ แล้วขึ้นรถมาสิครับท่านครับ”
ผมมองชุดที่ท่านเจ้าที่ใส่อย่างฉงนใจ มันเป็นชุดหมีแบบช่างไฟฟ้าอ่ะเคยเห็นป่ะ? แล้วนี่ทำไมใส่ชุดนี้วะ ไปซ่อมสายไฟที่ไหนมาเรอะ?! อยากจะถามนะแต่ก็ขี้เกียจอีกนั่นล่ะ
เทวดาหน้าหล่อดีดนิ้วเป๊าะเหมือนทุกที แล้วชุดที่ใส่ก็เปลี่ยนเป็นเชิ้ตสีม่วงอ่อนกับกางเกงแสล็คสีดำ...หล่ออีกแล้ว หล่อตลอดดด จุดประกายความอยากปลุกปล้ำของกูมากกก...เวิ่นเว้อเพ้อพกเงียบๆ ในใจโดยที่สีหน้าไม่ออกอาการหื่นกาม เอ๊ย! อาการหมั่นไส้ใส่อีกฝ่าย จนเมื่อท่านเจ้าที่ขึ้นซ้อนท้ายผมเรียบร้อย ผมก็บิดเร่งเครื่องออกเดินทางทันที
สิบห้านาทีต่อมาเราก็มาถึงตลาดนัดใกล้มหา’ลัยที่ผมพูดถึง ร้านรวงมากมายตั้งเรียงกันเป็นแถวๆ ผู้คนต่างพากันมาเดินให้ขวักไขว่ หาของกินของใช้กันไป คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เดินๆ ไปนี่ต้องร้อนเหงื่อซ่กแน่ๆ แต่เอาวะ เพื่อมื้อเย็นอร่อยๆ
“ไปกันท่านเจ้าที่ อยากกินอะไรบอกมา”
“จะเลี้ยงเหรอ?”
“แปลกหรือไงล่ะ”
“ก็เอ็งขี้งกจะตายไปนี่” ท่านเจ้าที่ต่อว่าผมหน้าตาย ผมเขม่นตามอง
“แล้วทุกวันนี้ที่ทำกับข้าวให้กินผมได้ทวงเงินสักบาทป้ะ?” พอผมว่าอย่างนั้น อีกฝ่ายก็เลยทำเพียงแค่ยักไหล่ให้ แล้วเดินนำเข้าสู่สมรภูมิเลือกซื้ออาหาร จากนั้นก็ชี้นิ้วว่าอยากจะกินนั่นนี่ให้ผมตามไปจ่ายตังค์ พอบ่นว่าเยอะเกินไปละ ก็ทำมาทวงบุญคุณที่คอยดูแลผมบ้างล่ะ นั่นนี่นู่นบ้างล่ะ
ว้อย! ถ้าจะทวงบุญคุณกันขนาดนี้ เอาเลย อยากกินอะไรตามใจเลยครับ ถือว่าใช้หนี้บุญคุณจะได้หายๆ กันไป
เดินช็อปปิ้งอาหารกันอย่างเมามันชนิดที่เงินในกระเป๋าตังค์แทบจะหมดเกลี้ยง ผมก็ตัดสินใจว่าควรหยุดแค่นี้ แค่ที่มือทั้งสองข้างถือจนเต็มเนี่ยก็ควรพอแล้วมั้ยเล่า! หมดตัวเลยกู แค่ครั้งเดียวนี่แห้งไปอีกหลายวันเลยไอ้ฉิบหาย
“ท่านเจ้าที่ เอานี่ไปเก็บที่รถทีได้ป่ะ ผมจะแวะเข้าไปในเซเว่นหน่อย จะจ่ายค่าไฟ” ดีนะผมกันค่าไฟเอาไว้แล้ว
“ได้ เจอกันที่รถ อย่ามาช้าข้าไม่ชอบรอ”
“เออน่ะ เอ้า เอาไปเร็วๆ จะได้รีบไปจ่าย”
ส่งของทั้งหมดให้เทวดาหนุ่มสุดหล่อ ผมก็เดินลิ่วมาอีกทางเพื่อไปยังเซเว่นที่อยู่ไม่ไกลกันนักทันที จัดการชำระค่าไฟฟ้าของเดือนที่แล้วเรียบร้อย ผมก็กลับออกมาแล้วตรงไปที่รถของตัวเอง ป่านนี้ไอ้ท่านเจ้าที่อาจจะกำลังยืนรอไปบ่นผมไปด้วยแล้วมั้ง ขอแค่ให้ได้บ่นผมเถอะ ต่อให้เรื่องเล็กน้อยก็บ่นได้อ่ะคิดดู เฮอะ
เดินๆ อยู่ผมก็เหมือนว่าจะเห็นใครคนหนึ่งที่เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่นานนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่าเลยลองเรียกดูก่อน “ไวท์?”
อีกฝ่ายหันกลับมามองผม ทำหน้าแปลกใจแล้วว่า “อ้าว มาหาอะไรกินเหรอแทงค์”
“อืม ไวท์เองก็ด้วยอ่ะดิ แล้วมาคนเดียวเหรอ?”
“เปล่าๆ เรามากับเพื่อน แต่ไม่รู้เขาหายไปไหนแล้ว กำลังตามหาอยู่”
“อ้าว เราช่วยหามั้ย?” ผมอาสาอย่างมีน้ำใจ ก็อีกฝ่ายช่วยผมไว้เยอะนี่นา อะไรที่ผมช่วยได้ก็อยากช่วยบ้าง
“ไม่เป็นไรๆ เราหาเขาได้ ว่าแต่แทงค์เถอะมากับใคร?”
“อ๋อ เรามากับท่าน เอ้อ พี่ภูน่ะ” เรียกแล้วแม่งก็กระดากปากว่ะ อี๋ๆ
“แล้วพี่เขาอยู่ไหนเหรอ ไม่เห็นเดินมาด้วยกัน” ไวท์ถามพลางเมียงมองรอบข้าง คงอยากจะทักทายล่ะมั้ง เพราะตั้งแต่มาทำศาลให้ก็ไม่ได้เจอกันสักครั้ง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหายไปไหน แต่เดาว่าคงงานยุ่งอ่ะแหล่ะ เลยไม่ค่อยได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเท่าไหร่
“รอที่รถ รถเราจอดอยู่นั่น...เห นั่นใครวะน่ะ?” ผมชี้ไปที่รถของตัวเองที่เห็นอยู่ไกลๆ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วหรี่ตามองเมื่อพบว่าท่านเจ้าที่ไม่ได้อยู่คนเดียว เขากำลังนั่งยองๆ คุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกัน
“อ๊ะ! นั่นเพื่อนเรานี่!” ไวท์ว่า ก้าวเท้าอย่างไวตรงไปหาเพื่อนของเขา ขณะที่ผมเองก็เดินตามจนมาถึงที่หมาย...คนที่คุยกับท่านเจ้าที่ก็คือเพื่อนของไวท์นั่นล่ะ โลกกลมชะมัดเลย “อัศ!”
“อ่า คุณไวท์ ผมหาคุณตั้งนาน ขอโทษนะครับที่ผมหลงทางกับคุณจนได้” เพื่อนของไวท์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเอ่ยปากบอกด้วยสีหน้าสำนึกผิด
เพื่อนกันแต่ทำไมเรียกคุณล่ะ? แปลกแฮะ แล้วจะว่าไป...ผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันคุ้นมากเลยนะ ผมว่าผมเคยเห็นเขาอ่ะ แต่ช่างเถอะ เรื่องของไวท์ผมไม่อยากไปยุ่ง เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ
คิดได้ดังนั้นผมก็หันมาสนใจท่านเจ้าที่แทน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างร้องถามเสียงหลง “เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย!?!”
จะไม่ให้ผมเหวอได้ไงครับ ก็ในเมื่อตอนนี้ท่านเจ้าที่กำลังนั่งยองๆ เล่นกับหมาตัวหนึ่งอยู่ ดูจากพันธุ์ก็แน่นอนว่านี่มันชิวาว่า หมาตัวเล็กแต่ห้าวเป้ง และที่ผมตกใจก็เพราะตอนนี้ไอ้หมาน้อยขนสีขาวกำลังอ้าปากงับข้อมือท่านเจ้าที่เอาไว้แน่น ส่งเสียงขู่ฮึ่มฮั่มในลำคอไปด้วย
“นี่น่ะเหรอ?” ท่านเจ้าที่ลุกขึ้นยืนพลางกางแขนข้างที่หมาตัวนั้นงับข้อมืออยู่ออก แล้วคือลุกขึ้นมาพร้อมกับยกหมาที่งับแขนตัวเองขึ้นมาด้วยไง ทำแบบนี้ได้ไงกันเนี่ย! “หมาใครไม่รู้ ฉันแค่เล่นด้วยแต่มันงับเฉยเลย”
“แล้วให้มันงับทำไมเล่า! เอามันออกสิ วางมันลง!”
“เออๆ รู้แล้วน่า จะดุทำไมเนี่ย” ท่านเจ้าที่งัดปากไอ้เจ้าตัวเล็กออกก่อนจะวางมันลง...เหมือนไอ้หมาน้อยจะเขม่นตามองทิ้งท้ายก่อนมันจะวิ่งดุ๊กๆ หนีไป เห็นดังนั้นผมเลยรีบคว้าข้อมือท่านเจ้าที่มาดูแต่กลับไม่พบรอยอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่มันควรจะมีรอยเขี้ยวหรือรอยเลือดด้วยซ้ำไป
“ทำไมไม่มีแผล?”
“ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นใคร” เออว่ะ นี่เทวดานะเว้ย จะบาดเจ็บได้ไง ห่วงฟรีเลยกู
แต่ผมไม่บอกเขาหรอกนะว่าห่วง เดี๋ยวได้ใจอีก ชิ!
“งั้นก็ช่างมัน ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร” ผมหันไปหาไวท์ ก็เห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาตกตะลึงไม่ต่างกัน ฉิบหาย ลืมไปเลยว่านอกจากผมกับท่านเจ้าที่ ยังมีไวท์กับเพื่อนของเขาที่เห็นเหตุการณ์เมื่อกี้ด้วย!
ต้องรีบหนีก่อนแล้วล่ะ รีบหนีกลับบ้านก่อนที่ไวท์จะถามอะไรมากไปกว่านี้ มีคนโดนหมากัดแต่ไม่มีเลือดสักหยดยืนอยู่ตรงหน้า ใครบ้างจะไม่สงสัย และผมไม่อยากตอบด้วย คิดคำตอบไม่ออกเฟ้ย เพราะงั้นรีบหนีคือดีที่สุด!
“เราต้องรีบกลับแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมล็อกประตูบ้าน แล้วเจอกันนะไวท์ บาย” พูดรัวจนลิ้นแทบพันกันจบ ผมก็รีบคร่อมรถ สตาร์ทแล้วขี่ออกมาทันทีที่ท่านเจ้าที่ขึ้นซ้อนท้าย
เวรเอ๊ย ถึงหลบวันนี้ได้ แต่ถ้าเจอกันวันอื่นไวท์ต้องถามแน่ๆ แล้วกูจะตอบว่าอะไรดีล่ะเนี่ย! ไอ้ท่านเจ้าที่นี่ก็นะ เล่นอะไรไม่ดูที่ดูทางเลย โอ๊ยยย อยากจะบ้า!
__________
มันก็จะงงๆ หน่อย 555 เมื่อวานฝนตกหนักเราเชื่อมเน็ตไม่ได้เลยค่ะ ก็เลยไมไ่ดมาอัพ พอจะมาอัพวันนี้ก็มัวแต่อ่านนิยายเพลินจนเลยเข้าสู่อีกวันจนได้ แต่ยังไงก็มาอัพนะตัว อุอิ
จริงๆ เราแอบไปลง side story ของเรื่องนี้ในแอพฯ จอยลดามาด้วยแหล่ะ แต่...แชร์ไม่เป็นอ่ะ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองโง่ 5555 //ในเลขห้ามีน้ำตาไหลนอง ใครอยากอ่านลองเสิร์ชชื่อเรื่องหรือนามปากกาเราดูนะคะ เผื่อใครเล่นแอพนี้จะได้ไปจอยกันเนอะ ขอโทษจริงๆ ที่เราหาวิธีแชร์ไม่เป็น งงๆ กับแอพอยู่ง่ะ เพิ่งลองเล่น
เจอกันตอนหน้านะคะ บ๊ะบายยย