[END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน บทที่ 50 งานแต่ง (17-11-17) จบแล้ว  (อ่าน 56126 ครั้ง)

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2017 16:06:14 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
High School Neighbor
มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
เปิดเรื่อง 19-06-17

บทนำ



“อยู่ได้แน่เหรอแปง”เสียงหญิงสาวที่มาช่วยผมขนของพูดอย่างหวาดๆ ตามประสาของคนที่ไม่เคยลำบาก และไม่เคยอยู่บ้านหลังเล็กแบบนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ ซึ่งสำหรับผมมันก็ไม่ได้ดูแย่นะครับ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ทุกอย่าง มันออกจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับการอยู่คนเดียวของผม

“ทำไมแกไม่ไปอยู่คอนโดสะดวกสบายกว่าตั้งเยอะ ชั้นละไม่เข้าใจจริงๆ ตังค์ก็มี แล้วดูสิเนี่ย ต้องมาใช้กำแพงบ้านร่วมกับใครก็ไม่รู้ เกิดเป็นพวกนิสัยไม่ดี ปีนข้ามมาทำมิดีมิร้ายแกเข้า แกจะทำยังไง แกดูซิ ดูซิ!!!”ผมแทบจะต้องเอามือปิดหูกับเสียงแปดหลอดของเพื่อนผม ไม่รู้จะขึ้นเสียงทำไม แล้วความโอเวอร์ของนางอีก ผมเป็นผู้ชาย แม้จะไม่ใช่แมนทั้งแท่ง แต่ก็คงไม่ต้องกลัวใครมาทำมิดีมิร้ายอะไร อีกอย่างบ้านข้างๆ เนี่ยก็เจ้าของเดียวกันกับหลังที่ผมอยู่ พี่เจ้าของบ้านแกคงไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เลยเอามาซื้อบ้านทิ้งไว้เล่นๆ และจากที่ผมถาม หลังที่ติดกับหลังที่ผมอยู่เนี่ย แกยังไม่มีแพลนจะปล่อยเช่า เพราะเอาไว้เผื่อญาติๆ หรือคนในบ้านของแกเองอยากจะมาพัก เพราะงั้นเนี่ยปลอดภัยหายห่วงมากๆ

“คุณหนูข้าวหอมครับ อย่าเยอะ”ผมส่ายหน้าให้กับแม่เพื่อนสาวของผม เราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่เราเป็นเพื่อนกัน ทำธุรกิจร่วมกัน ผมกับเธอก็เลยรู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัยก็ยังที่เดียวกันเพียงแต่คนละคณะ เรียกว่าตัวติดกันจนจะรวมร่างก็ว่าได้ แถมพ่อแม่เรา ยังอยากให้เราสองคนตกลงปลงใจกันอีกต่างหาก แต่ผมดันไม่ได้พิศวาสผู้หญิงนี่สิครับ แล้วอีกอย่างยัยข้าวหอมเสียงแปดหลอดนี่ก็มีหวานใจแล้วด้วยครับ

“นั่นสิหอม พี่ว่าแปงเค้าอยู่ได้แหละ อีกอย่างที่นี่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”เสียงพี่โตแฟนหนุ่มของข้าวหอมที่กำลังช่วยยกลังข้าวของของผมเข้าบ้าน แสดงความคิดเห็น คู่นี้คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วครับ พี่โตอยู่ปี 3 ตอนมาจีบยัยข้าวหอมที่เป็นเฟรชชี่ แล้วก็รักกันมาจะเข้าปีที่ 7 แล้วละครับ ไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากผมแล้ว จะมีคนที่ทนความมีดีเทลของยัยข้าวหอมนี่ได้

ส่วนผมนะเหรอครับ เกิดมาจนจะเบญจเพศอยู่แล้ว ยังไม่เคยมีแฟนเลยครับ ก็จะให้ไปมีแฟนได้ยังไงละครับ ชีวิตตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่กับข้าวหอมมาตลอด ขนาดตอนแรกพี่โตยังเกือบจะไม่กล้าจีบข้าวหอม เพราะเข้าใจว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน แต่พอข้าวหอมกับพี่โตเป็นแฟนกัน ชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากหรอกครับ เพราะเวลาไปไหนมาไหนกันก็กลายเป็นว่าพี่โตกับข้าวหอมต้องหอบผมติดไปด้วย ไม่ว่าผมจะปฏิเสธอยากให้เค้าไปกันสองคนยังไง สุดท้ายผมก็ขัดยัยหอมจอมเยอะไม่ได้อยู่ดี

อีกอย่างที่ผมไม่คิดมีแฟน เพราะไม่อยากมีปัญหากับที่บ้านด้วยแหละครับ พ่อแม่ผู้มีหน้ามีตาในสังคมของผม แทบจะรับสมอ้างทุกครั้งที่มีคนเข้าใจว่าผมกับข้าวหอมเป็นแฟนกัน ทั้งที่เรื่องการเป็นเกย์ของผมทั้งคู่ก็ทราบดี ทราบดีตั้งแต่ผมเรียน ม.ต้น เสียด้วยซ้ำ เพราะพอผมเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ผมก็รับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ได้สนใจในเพศตรงข้าม หากแต่มีความชอบในเพศเดียวกัน แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติในแบบเด็กผู้ชายทั่วไป มีเพื่อนทั้งหญิงและชายปกติ

ผมคิดว่าผมโชคดีที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น ผมเลือกที่จะปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นของผมในตอนนั้น และท่านก็ยังเป็นอาจารย์ที่ผมนับถือมาจนถึงทุกวันนี้ อาจารย์ท่านนี้อธิบายในสิ่งที่ผมเป็น ให้ผมได้เข้าใจตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นว่าเราไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เราแค่มีรสนิยมทางเพศอีกแบบนึงที่ไม่ได้ตรงไปตรงมาแค่นั้นเอง

และอาจารย์ท่านนี้อีกเช่นเดียวกันที่ช่วยพูดกับพ่อแม่ผม ว่าสิ่งที่ผมเป็นมันไม่ได้ผิด ในตอนแรกที่ผมเปิดใจคุยเรื่องนี้กับพ่อและแม่ ทั้งคู่ไม่ยอมรับ และให้ผมพยายามเปลี่ยน ถึงขั้นจะหมั้นหมายผมกับข้าวหอมเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้อาจารย์ท่านนี้มาช่วยพูดกับพ่อแม่ผม จนเหมือนเกือบจะเข้าใจ แค่เกือบนะครับ เพราะจนทุกวันนี้พ่อกับแม่ถึงจะไม่ได้มาบังคับผมเรื่องการมีความรัก แต่ก็ยังถามผมเสมอว่าเคยคิดอยากแต่งงานมีลูกไหม

“ถ้าจะมีแฟน แม่ขอให้เรียนจบก่อนค่อยมีนะลูก”นี่คือสิ่งที่ส่งผลให้ผมไม่มีแฟนมาจนถึงทุกวันนี้ แม่ได้ห้าม แต่แม่อยากให้เรียนจบก่อน ซึ่งผมว่ามันก็แค่การยื้อเวลานั่นแหละครับ ยื้อเวลาให้ผมไม่ต้องคบกับผู้ชายคนไหน ให้ท่านทั้งสองลำบากใจ เพราะประโยคนี้แม่ย้ำกับผมตั้งแต่มัธยม จนจบปริญญาตรี และนี่ผมก็เพิ่งจะจบปริญญาโทมาหมาดๆ

“รอให้ทำงาน เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วกันนะ ค่อยคิดเรื่องแฟน”และนี่คือคำพูดใหม่ของแม่ผมครับ พอเรียนจบก็จะให้ผมเข้าไปช่วยบริหารธุรกิจของที่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่พ้นการควบคุมผมไม่ให้มีใครอีกตามเคย ผมรู้ครับว่าทั้งคู่ก็คงยังมีหวังว่าวันนึงผมอาจจะเปลี่ยนใจ ผมเลยตัดสินใจที่จะขอออกมาใช้ชีวิต ลำพังดูบ้าง

“ไปสิ ไปเลยก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กอย่างแกที่มีพ่อกับแม่คอยดูแลช่วยเหลือมาตลอด มันจะไปได้สักกี่วัน คอยดูแล้วกันว่าวันนึงแกก็ต้องซมซานกลับมาที่นี่เหมือนเดิม”นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับผม แต่ผมไม่โกรธหรอกนะครับ จริงๆ พ่อกับแม่ผมก็ใจดีแหละ เพียงแต่ยังยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นไม่ได้ และเพิ่งเคยเห็นผมไม่ทำตามสิ่งที่ทั้งสองวางไว้ ตั้งแต่เด็กจนโตผมทำตัวเป็นเด็กดีมาตลอด จะมีอะไรที่ตามใจตัวเองบ้าง มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ทั้งสองยังยอมรับได้ แต่ครั้งนี้ทั้งคู่ก็คงทั้งโมโหและทั้งห่วงด้วยนั่นแหละครับ

“ปีนึงพอไหม กับการลองใช้ชีวิต”เสียงจากผู้เป็นพี่สาว เข้ามาตบไหล่ผม พี่ปอแก่กว่าผม 3 ปี แต่ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนโต และมีน้องชายที่ไม่ได้มีความพร้อมจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว เลยทำให้พี่สาวผมต้องดีดตัวเองขึ้นไปเป็นหญิงเก่งและแกร่งในคนเดียวกัน นี่ถ้าพี่สาวผมเป็นพี่ชายซะ ชีวิตผมมันอาจจะง่ายกว่านี้

“ขอมากกว่านั้นได้ด้วยเหรอเจ้”ผมย้อนถามด้วยรอยยิ้ม เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่พี่สาวผมพูด มันไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำสั่ง และนั่นทำให้ผมเซนต์สัญญากับบริษัทที่สมัครงานไว้แค่ 1 ปี ถ้าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อก็ค่อยว่ากันอีกที

“แกนี่น้า...อยู่บ้านสบายๆ ก็ไม่ชอบบอกเลยว่าหอมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”เสียงข้าวหอมดังขึ้นอีกรอบพร้อมกับร่างของเธอที่ทรุดลงตรงโซฟา เหมือนเหนื่อยเสียเต็มประดา ทั้งที่เพิ่งช่วยหยิบถุงเข้าบ้านมาแค่ถุงเดียว

“พี่โต หอมร้อนอยากได้น้ำส้มเย็นๆ”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มคั้น ที่เตรียมไว้มาให้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมผมมีน้ำส้มคั้น เพราะคบกับยัยนี้มานานครับ จับทางได้หมดแล้วว่านางจะเยอะไปทางไหนบ้าง และผมก็พยายามจะช่วยลดภาระพี่โตบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวพี่แกจะทนยัยนี่ไม่ไหว ได้โสดกันคู่แน่ๆ

“Thanks แต่เดี๋ยวก่อนนะคะเพื่อน แกชื่อโตเหรอ ไปเอามาทำไมชั้นจะอ้อนแฟนชั้น คราวหลังไม่เผือกนะคะเพื่อนแปง”อยากจะบอกเหลือเกินว่าดูสภาพแฟนคุณเพื่อนสักนิดไหม นี่ก็แทบจะเปียกไปทั้งตัวแล้ว เพราะช่วยผมขนของเนี่ย

“พี่โตพักก่อนก็ได้ครับ ที่เหลือทิ้งไว้ข้างนอกแหละเดี๋ยวผมจัดการเอง”ตอนนี้ข้าวของชิ้นใหญ่ๆ ที่ผมยกคนเดียวไม่ไหวก็เข้ามาในบ้านหมดแล้ว เหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆที่อยู่หน้าประตู ผมเริ่มคิดว่านี่ผมขนของมาเยอะเกินไปหรือเปล่า เวลา 1 ปีจะว่านานก็นาน แต่จะว่าไม่นานก็ได้อยู่เหมือนกัน ผมเริ่มคิดว่า หรือบางทีต่อให้ครบ 1 ปีตามที่เจ้ผมยอมให้ออกมาอยู่ข้างนอก ผมก็อาจจะเช่าที่นี่ทิ้งไว้ต่อไปก็ได้ ดูๆ ไปที่นี่ก็เงียบสงบดี ไว้เบื่อๆ ก็แวะมาที่นี่ก็คงจะดี

“คุณเพื่อนแปงคะ จะปล่อยข้าวของไว้นอกบ้านได้ยังไง ขนเข้ามาให้หมดแหละดีแล้ว อีกอย่างพี่โตของชั้นเนี่ย ไหวอยู่แล้ว ใช่ไหมคะพี่โตขา”ผมกำลังจะห้ามแต่ก็คงไม่เป็นผล ไม่รู้ว่าพี่โตนี่มาเป็นแฟนหรือเป็นทาสให้ยัยข้าวหอมนี่กันแน่

และแล้วของทุกอย่างก็เข้ามาแออัดในห้องรับแขกแคบๆ ของผม คือจริงๆ กะว่าบางอย่างกะว่าปล่อยไว้ตรงประตูก่อน เพราะจะได้จัดข้างในให้เป็นที่เป็นทางก่อน แล้วไอ้ที่ผมบอกนี่ก็ประตูเข้าบ้านนะครับ ไม่ใช่ประตูรั้ว ที่จะต้องกังวลเรื่องปล่อยทิ้งไว้ แถมข้าวของก็ไม่ใช่ของอะไรที่ สำคัญหรือมีราคาขนาดนั้น ทีนี้พอขนเข้ามาทุกอย่างมันก็เลย...

“แกเห็นไหม แกดูสิ ว่าที่มันคับแคบขนาดไหน แกกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมเถอะนะ”เอาอีกแล้วครับ ยัยข้าวหอมนี่ตั้งแต่รู้ว่าจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว ก็ทั้งหว่านล้อม ทั้งบังคับผมต่างๆ นานา หรือพยายามหาที่ให้ผมอยู่ ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ ตอนแรกเห็นว่าจะยกคอนโดให้ผมอยู่ฟรีด้วย จริงๆ เราสองคนก็สนิทกันจนเหมือนคนในครอบครัวแล้วแหละครับ เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่น้อง ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง

“ไม่”ผมยังคงยืนยันหนักแน่นกับคำตอบเดิมที่บอกเหมือนทุกครั้ง

“แกไม่กลัวเหงาเหรอมาอยู่คนเดียวแบบนี้”เหตุผลร้อยแปดมักจะตามมาแบบนี้เสมอครับ ถ้าเราสองคนเริ่มเปิดบทสนทนาในเรื่องนี้

“ไม่”

“ชั้นละแก ไม่กลัวชั้นเหงาเหรอ”และบางเหตุผลก็ดูข้างๆ คูๆ ที่แถจนสีข้างแทบถลอก ยัยนี่จะไปเหงาอะไรละครับ แฟนก็มี

“แกมีพี่โต”ผมตอบพร้อมกับจ้องมองอย่างไม่ยอมแพ้  ปกติผมไม่ค่อยเถียงหรอกนะครับ อะไรยอมยัยนี่ได้ก็ยอม แต่พอยอมบ่อยๆ ชักจะเคยตัว จนสงสัยเข้าใจไปแล้วว่าผมต้องยอมเธอทุกครั้ง

“ชั้นหมายถึงเพื่อนอ่ะ ยูโนวว เพื่อนค่ะเพื่อน แกคิดว่านอกจากแกแล้วชั้นมีเพื่อนสนิทที่อื่นอีกไหม”นี่ยิ่งแล้วใหญ่ครับ แม้เราสองคนจะสนิทกันมากๆ แต่ต่างฝ่ายก็ต่างมีกลุ่มเพื่อนอื่นๆ อีก ข้าวหอมก็มีเพื่อนผู้หญิงไว้เม้าท์มอย เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมตามประสาผู้หญิงบ้าง ผมเองก็มีเพื่อนกลุ่มอื่นอีกเช่นกันแหละครับ

“แก...จากบ้านแกมานี่ไม่ถึง 30 นาทีเลยมั้ง ทำยังกะชั้นย้ายไปอยู่ดาวอังคาร เราก็ยังนัดเจอกันได้ปกติ”กับยัยนี่ต้องเอาเหตุผลอ้อมๆ มาหักล้างครับ เพราะบางทีถ้าไปค้านเธอตรงๆ เธอก็จะยิ่งไม่ยอมแพ้ครับ

“งั้นไปดูหนังกันป่ะ ของค่อยมาจัดอีกทีไม่ต้องรีบ”แต่ก็นั่นแหละครับ พอเปลี่ยนใจผมไม่สำเร็จก็จะพยายามให้ การย้ายบ้านผมล่าช้าไปอีก ขนาดวันนี้กว่าจะยอมมาช่วยนี่ก็บ่ายเบี่ยงแล้วบ่ายเบี่ยงอีก

“แกพาพี่โตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม”ผมดักคอด้วยความรู้ทันครับ เพาะสภาพแฟนของข้าวหอมตอนนี้ ไม่น่าจะพร้อมไปโรงหนังสักเท่าไหร่

“นั่นแหละ เราก็เจอกันที่โรงหนังเลย ดูหนังจบก็ไปหาอะไรกิน นั่งฟังเพลงชิลๆ ถ้ากลับมาจัดของที่นี่ไม่ทัน ก็ค้างที่บ้านเหมือนเดิม ค่อยมาจัดที่นี่ใหม่ วันหลัง”โดยไม่ได้ทันให้ผมปฏิเสธ ข้าวหอมก็รีบลากแฟนหนุ่มออกไปทันที ปล่อยให้ผม มองกองข้าวของเครื่องใช้ ที่ไม่รู้จะเริ่มจัดอะไรก่อน รู้งี้ผมน่าจะค่อยๆ ขนมาทีละนิดก็ดี แต่แบบนั้นก็ต้องเข้า-ออก ที่บ้านบ่อยๆ อีก หรือผมจะปล่อยไว้แบบนี้ แล้วไปดูหนังกับยัยข้าวหอมซะดีไหมเนี่ย ยังไม่ทันตัดสินใจว่าผมจะเอายังไงดี โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

“ครับพี่ปุ๊ก ครับใช่ครับเนี่ยกำลังจัดของอยู่เลย”เป็นพี่เจ้าของบ้านที่โทรมาสอบถามว่าผมย้ายเข้ามาหรือยัง แต่นี่ผมว่าโทรมาเช็คหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะพี่ปุ๊ก เจ้าของบ้านเนี่ยแกเป็นลูกค้าที่ติดต่องานกับพี่สาวผมอยู่ คือเรียกง่ายๆ ว่าที่บ้านผมก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเต็มที่นั่นแหละครับ ขนาดปีนี้ผมก็อายุ 25 แล้วแท้ๆ ทำยังกับผมไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็โอเคครับ ถือว่าพบกันครึ่งทาง ผมยอมให้เค้าตามดูห่างๆ แลกกับการได้ออกมาลองใช้ชีวิตของตัวเอง

“คืองี้นะน้องแปง  พอดีว่าพี่สาวพี่เนี่ยอยากจะจับลูกชายแยกกับเพื่อนๆ เพราะติดเพื่อนจนเสียการเรียน เลยจะให้ลูกชายไปอยู่บ้านข้างๆ น้องแปง  เลยว่าจะรบกวนน้องแปงนิดนึงว่าถ้าไอ้หลานชายพี่มันไม่ไปเรียน พาเพื่อนมามั่วสุม หรือพาผู้หญิงมาบ้าน น้องแปง สายตรงหรือไลน์มาบอกพี่หน่อย พี่จะได้จัดการ คงไม่เป็นการรบกวนน้องแปงมากไปใช่ไหมคะ พี่ละเกรงใจ๊ เกรงใจ”แหม พูดมาขนาดนี้ยังจะกล้าเกรงใจอีกเหรอครับ ถ้าขนาดนี้แล้วให้ผมถ่ายทอดสดชีวิตหลายชายพี่แกให้ดูทุกวันเลยไหมละครับ

ผมตบปากรับคำอย่างเสียไม่ได้ครับ แต่ฟังกิตติศัพท์จากพี่ปุ๊กแล้ว หลานชายแกนี่คงแสบไม่เบา แต่ก่อนเห็นว่าพ่อแม่เช่าคอนโดให้อยู่ แต่พอปล่อยอยู่คนเดียวก็พาเพื่อนไปปาร์ตี้บ่อย จนคนในคอนโดนั้นร้องเรียน อีกอย่างเห็นว่านี่จะขึ้น ม.6 เป็นปีสุดท้ายชีวิตมัธยม ทางบ้านก็อยากให้ตั้งใจเรียนจะได้เข้ามหาวิทยาลัยแถวหน้าได้ ฟังๆ แล้ว นี่ชีวิตผมจากนี้จะสงบสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2017 07:55:21 โดย norita_boyV2 »

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 1
ลุงข้างบ้าน




เข้าวันที่ 2 แล้วสำหรับการออกมาใช้ชีวิตคนเดียวของผม วันนี้ผมตื่นมาแต่เช้าเพราะยังจัดข้าวของในบ้านไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ แถมพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปเริ่มงานวันแรกแล้วด้วย จะว่าไปก็ตื่นเต้นเหมือนกันแหละครับ นี่เป็นทำงานวันแรกและครั้งแรกของผม ผมจะได้เจอชีวิตจริงๆ เสียที

ผมหยิบแผ่นซีดีเพลงที่อยู่วางซ้อนกันอยู่ในกล่อง ขึ้นมาจัดเรียงไว้บนชั้นเรียงลำดับตามแบบที่ผมคุ้นเคย คือวางเรียงชื่อศิลปินตามตัวอักษร ข้าวหอมมักบอกว่าผมทำตัวถดถอย โลกเราเข้าสู่ยุคดิจิตอลหมดแล้ว แต่ผมยังจะมาฟังซีดีอยู่อีก เดี๋ยวนี้ใครๆ เค้าฟังเพลงจากแอพพลิเคชั่น สตรีมเพลงกันหมดแล้ว แบบนั้นผมก็ฟังครับ แต่เวลาอยู่บ้านผมชอบเสียงที่เปิดจากแผ่นซีดีมากกว่า ผมว่ามันให้ความเพราะที่ต่างกัน อีกอย่างผมก็คงติดมาตั้งแต่ก่อนยุคดิจิตอลแล้ว และแผ่นซีดีเพลงพวกนี้ก็เหมือนของสะสมของผมด้วยแหละครับ

อันที่จริงผมอิจฉาคนเกิดในยุคเทปคลาสเซตด้วยซ้ำครับ เพลงในยุคนั้นการจะฟังก็คงต้องฟังไปทีละเพลง กดข้ามไม่ได้ มันน่าจะทำให้เราได้รู้จัก และได้ฟังทุกเพลงวนไปเท่าๆ กันในทุกเพลง ผมว่าเพลงทุกเพลงมันมีความหมายและความเพราะในตัวของมันทุกเพลง เพียงแต่เราจะเข้าถึงมันหรือเปล่าเท่านั้นแหละครับ ผมหยิบแผ่นซีดี แผ่นนึงใส่เครื่องเล่น ก่อนจะหันไปจัดของต่อ

“ลุง เฮ้หวัดดีลุง”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงแล้วก็ต้องตกใจ อยู่ๆ ก็มีคนมายืนถอดเสื้ออยู่ในบ้านผม ชายหนุ่มที่น่าจะอายุไม่ถึง 20 ใส่กางเกงบอลขาสั้นสีขาว เสื้อกล้ามถูกพาดไว้ที่บ่า ตามตัวมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่เต็มไปหมด แต่เดี๋ยวก่อนผมจะมามัวพิจารณารายละเอียดพวกนี้ทำไมเนี่ย

“นะ...นายเป็นใครเนี่ย แล้ว...แล้วเข้ามาได้ยังไง”คำพูดของข้าวหอมผุดขึ้นมาในหัวของผมแทบจะทันที นี่ผมจะโดนปล้นไหม เค้าจะทำอันตรายอะไรผมหรือเปล่า ด้วยสัญชาตญาณทำให้ผมหยิบไม้กวาดที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาง้างไว้รอเป็นการป้องกันตัว แต่นอกจากไอ้คนตรงหน้าจะไม่กลัวผมแล้ว ยังหัวเราะเยาะผมอีกต่างหาก

“ทำอะไรของลุงเนี่ย ไหนน้าปุ๊กบอกว่าจะมีคนให้พึ่งพาได้ แล้วนี่อะไรของลุงดูทำท่าเข้า ติงต๊องป่ะเนี่ย แก่ซะเปล่า”อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กโย่งนี่คือหลานพี่ปุ๊ก ชัดเลยครับพอไอ้เด็กโย่งนี่พูดไม่ทันขาดคำพี่ปุ๊กเจ้าของบ้านก็โทรมาเลยครับ

“น้องแปง เจอหลานชายพี่ไหม เนี่ยเห็นว่าจะเข้าไปวันนี้ ที่บ้านก็มีข้าวของครบแหละ แต่บ้านมันก็ไม่มีใครเข้าไปอยู่นานแล้ว ยังไงถ้าน้องภู่มันขาดเหลืออะไร ก็ช่วยดูน้องมันให้พี่หน่อยแล้วกันนะ แลกกับการที่พี่จะไม่เอาเรื่องความเคลื่อนไหวของน้องแปง ไปบอกกับคุณปอ”นี่ไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้พูดอะไรสักคำจริงๆ ครับ แถมพูดจบแล้วชิงวางสายไป ตกลงนี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดที่มาอยู่นี่ แล้วไอ้เด็กโย่งนี่ก็มายืนมองผมทำไมเนี่ย

“สรุปนายคือหลานพี่ปุ๊ก”ผมตั้งคำถามกับเด็กโย่ง ที่ตอนนี้ถือวิสาสะ นั่งลงบนโซฟาบ้านผมเป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากเชิญสักคำ ช่างเป็นเด็กที่มารยาทดีเหลือเกิน

“ใช่แล้วครับลุง”นี่อีกอย่าง ได้ยินตั้งแต่แรกแล้ว คำก็ลุง สองคำก็ลุง นี่ผมไปเป็นพี่ชายพ่อเด็กนี่หรือไงห๊ะ

“เดี๋ยว เรียกใครลุง”ผมหันไปมองไอ้เด็กโย่งอย่างเอาเรื่อง

“ก็คุยกันอยู่สองคน ลุงจะให้ผมเรียกใครละครับ”ดูมันครับ ดูมัน ผมละอยากกระโดดถีบขาคู่ให้ไอ้เด็กโย่งนี้กระเด็นออกไปติดรั้วบ้านเสียจริงครับ ผมก็ยังไม่ได้แก่ขนาดเป็นลุงเสียหน่อย ถ้าเป็นเด็ก 5-6 ขวบมาเรียกลุงผมจะไม่ว่าเลย แต่ไอ้เด็กโย่งนี่มันใช่ไหมที่จะมาเรียกผมแบบนี้ ผมเองก็ออกจะยังหน้าละอ่อนอยู่เลย

“ไอ้...”อยากจะด่านะครับ แต่คิดอีกทีเราก็เป็นผู้ใหญ่กว่า จะให้ไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กก็ไม่น่าใช่เรื่องสักเท่าไหร่

“พี่ เรียกว่าพี่ก็พอ”พยายามจะตั้งสติ สงบจิตสงบใจครับ ยิ่งหงุดหงิดไปก็ไม่น่าจะได้อะไร ยิ่งกับคนกวนบาทาแบบนี้ แถวบ้านผมเรียก เล่นกับหมา หมาเลียปากครับ ปล่อยให้เจ้าตัวเค้าเห่าไปละกันน่าจะดีกว่า

“เรียกพี่ได้ไง ลุงน่าจะแก่กว่าผมตั้งหลายปี”ยังครับ ยังไม่จบ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแทบจะท่องพุทธโทอยู่แล้วครับเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าเช่าบ้านน้าเค้าอยู่ คงได้เอาไม้กวาดแพ่นกะบาลไอ้เด็กโย่งนี่แล้วครับ กวนเหลือเกิน

“อายุเท่าไหร่ละเรา”ผมยังพยายามจะพูดดีๆ ครับ เราเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ไม่ควรมาทะเลาะกับเด็ก แต่คิดอีกทีไอ้เด็กนรกแบบนี้ มันก็น่าจะไม่ควรโตไปกว่านี้หรือเปล่า อีกนิดความอดทนของผมมันก็ใกล้จะหมดแล้วครับ

“16 ย่าง 17 ครับ ส่วนลุงถึงจะดูหน้าเด็กแต่ริ้วรอย โห หน้าผากก็ย่น ตีนกาก็ยับ ลุงน่าจะสัก 35 แล้วไหม”ไอ้เด็กนรก ไอ้เด็กเวร ไอ้เด็กเปรต ผมรีบเอามือจับหน้าตัวเอง ไม่โกรธ ไม่โกรธ ถ้าโกรธหน้าจะยิ่งยับ แม้จะมั่นใจว่าหน้าตาผมยังอ่อนเยาว์ แต่การโกรธอาจทำให้แก่กว่าวัยได้

“25 เพราะงั้นเรียกพี่ จบนะ”ผมหลับตาสูดลมหายใจตั้งสติอีกเป็นครั้งที่ 10 แล้วมั้งครับเนี่ย นี่ถ้าผมเป็นคนความอดทนต่ำ คงได้ต่อยกับไอ้เด็กโย่งนี่ไปแล้ว ดีที่ผมถือคติว่าเรามันระดับปัญญาชน แต่เอาเข้าจริงถ้าต่อยกันจริงผมจะสู้ไอ้เด็กโย่งนี่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ผมว่าผมสูงแล้วนะครับ ตั้ง 178 แต่ไอ้เด็กโย่งนี่สูงกว่าผมอีกเยอะเลย

“โห ก็ห่างกันตั้ง 9 ปีนะครับลุง”จบคำพูดไอ้เด็กโย่งนี่ ผมแทบอยากจะพุ่งไปบีบคอมันให้รู้แล้วรู้รอดไปครับ ตอนนี้สายตาผมคงปิดบังความไม่พอใจไว้ไม่มิดแล้วละครับ นี่ผมมองตาขวางแทบจะกินเลือดกินเนื้อไอ้เด็กนี่แล้วครับ จะว่าไปเพิ่งเจอกันมันกะควรเคารพกันบ้าง ผมก็แก่กว่าตั้ง 9 ปี แต่ไอ้คำว่าเคารพนี่กะคงไม่ต้องมาเรียกผมลุง อย่างที่เจ้าเด็กนี่กำลังทำหรอกนะครับ

“ครับคุณ...พี่”เหมือนจะเริ่มรู้ตัวแล้วครับ ว่าผมไม่พอใจ ซึ่งจริงๆ คงรู้นานแล้วแหละครับว่าผมไม่พอใจ แต่คงตั้งใจจะกวนผมนี่แหละครับ ผมกะลังจะอ้าปากด่าแล้วครับ ทว่าโดนแทรกขึ้นมาก่อน

“ก่อนจะพูดอะไรอีก พอจะมีน้ำให้ผมดื่มหน่อยไหมครับ นี่จัดบ้านร้อนแทบตาย แต่ดันลืมซื้อน้ำเข้ามา”

“ในตู้เย็นอ่ะ ไปหยิบเองละกัน ชื่อพู่ใช่ไหมเรา”ผมชี้ไปทางห้องหัว ก่อนจะถามชื่อ ที่เพิ่งได้ยินพี่ปุ๊กพูดถึง พี่ปุ๊กก็เรียกซะน่ารักเชียว น้องพู่งี้ แต่ดูปากคอหลานสักนิดไหมเนี่ย

“อ่าฮ่ะ”ขนาดแค่ท่าขานรับชื่อตัวเองยังสัมผัสได้ถึงความกวนครับ หลังเดินไปเปิดตู้เย็นบ้านผมเสร็จ ก็ถือขวดน้ำมากระดกดื่ม พรวดๆ เลยครับ กะว่าจะหยิบแก้วให้ดื่มอย่างผู้มีอารยะซะหน่อย แต่คงไม่ทันละครับ

“พี่ชื่อปาแปง เรียกแปงเฉยๆ ก็ได้ แต่ห้ามเรียกลุง พี่ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้น มีอะไรให้ช่วยก็บอก เราคงต้องเจอกันไปอีกนานจริงไหม”ผมแนะนำตัวเอง เพราะเจ้าเด็กนี่คงไม่รู้จักมารยาทพอจะทำความรู้จักผมเท่าไหร่ แต่ผมว่าพยายามเป็นมิตรกันไว้จะดีกว่าครับ ถึงไอ้เด็กโย่งนี่จะดูกวนๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร

“ครับลุง”ดูครับดู ดูจะสนุกเหลือเกินที่ได้เรียกผมว่าลุงเนี่ย

“เดี๋ยวเหอะๆ แล้วนี่จะมาเดินถอดเสื้อเดินไปเดินมาในบ้านคนอื่นแบบนี้ทำไมเนี่ย”นี่ก็อีกเรื่องครับ แม้ผมจะมีเพื่อนผู้ชาย เจอเพื่อนถอดเสื้อเล่นกีฬาด้วยกันบ้าง แต่กับคนเพิ่งรู้จักแบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันแหละครับ มันออกจะเกร็งๆ อยู่เหมือนกัน

“ก็มันร้อน ถอดเสื้อแค่นี้จะเป็นไรไป ผู้ชายเหมือนกัน หรือว่า...นั่นแน่”สายตาจับผิดหันมามองผม พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นี่หรือว่าเจ้าเด็กนี่รู้แล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ต่อให้ผมจะคิดมองผู้ชายสักคนจริงๆ คนนั้นคงไม่ใช่ไอ้เด็กโย่งปากคอเราะร้ายที่อยู่ตรงหน้าผมนี่หรอกครับ

“หรือว่าอะไร”

“พี่เป็นเกย์เหรอ แนะๆ หน้าแดงด้วย”ผมรีบเอามือจับหน้าตัวเอง นี่ผมหน้าแดงจริงเหรอ แล้วดูคำพูดคำจาไอ้เด็กโย่งนี่สิครับ คำก็ลุงสองคำก็เกย์ นี่เห็นผมเป็นเกย์แก่หรือไงเนี่ย

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาอะไรให้เกียรติกันบ้าง”แม้จะไม่ปฏิเสธว่าตามคำจำกัดความผมก็คงเป็นเกย์ ตามความรู้สึก หรือความชอบนะครับ แต่ผมก็คงไม่จำเป็นจะต้องมาบอกรสนิยมทางเพศให้คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึง ครึ่งชั่วโมงอย่างเจ้าเด็กโย่งนี่จริงไหมครับ

“อยากจะให้ผมเคารพกะต้องยอมเป็นลุงนะ เอาเปล่า”นี่ชักจะเริ่มเสียความมั่นใจแล้วนะครับเนี่ย ปกติมีแต่คนชมว่าผมหน้าเด็ก หน้าอ่อนกว่าวัย แต่นี่เจอเด็กหาว่าหน้าแก่เป็นลุง เถียงไปกะไม่เต็มปาก ก็ไอ้ผมดันแก่กว่าเด็กนี่ตั้ง 9 ปีนี่สิครับ

“ได้น้ำดื่มแล้วจะไปไหนก็ไปไป๊”เมื่อเถียงไม่ได้ก็ถือโอกาสไล่เลยแล้วกันครับ จะได้ไม่ต้องอึดอัดด้วยที่มีคนมาเดินถอดเสื้อไปมาอยู่ในบ้านแบบนี้

“เดี๋ยวดิ ตกลงพี่เป็นเกย์ป่ะ หรือไบ พี่มีแฟนผู้หญิงหรือผู้ชาย”แล้วนี่จะมาอยากรู้อะไรในรสนิยมทางเพศของผมละเนี่ย ผมชี้นิ้วไปที่ประตูบ้าน พร้อมผายมือเป็นการบอกว่านี่ผมขอเสียมารยาทไล่ให้เค้าออกไปได้แล้ว กับคนกวนประสาทแบบนี้ผมคงไม่ต้องรักษามารยาทอะไรอีกแล้วละครับ แต่อย่างว่าคนมันจะกวนประสาทมันก็คงต้องกวนให้ถึงที่สุด เพราะดูยังนั่งยิ้มไม่สะทกสะท้านกับการไล่ตรงๆ ของผมสักนิดเลย

“ไม่ตอบงั้นผมพิสูจน์เอง”พอจบประโยคไอ้เจ้าเด็กโย่งก็ลุกพรวดเข้ามาหาผม จนผมต้องถอยหลังโดยอัตโนมัติ ตอนนี้หลังผมชนผนังไปเรียบร้อย ส่วนคนที่ต้อนผมเข้าชิดผนังก็กางแขนคร่อมผมไว้ ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

“ทะ...ทำอะไรเนี่ย”ผมถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาก็พยายามมองอีกฝ่ายอย่างฝืนๆ ว่าไม่ได้ตกใจอะไรกับการกระทำของเค้า

“พิสูจน์ไงพี่”เค้าก้มลงมากระซิบ เบาเบาที่ข้างหูผม

“พิสูจน์อะไร เป็นเกย์หรือไงเรา แล้วนี่จะมาสนใจเรื่องพี่ทำไมนักหนา กลับบ้านตัวเองไปได้แล้ว”ผมผลักคนตรงหน้าให้ถอยออก พร้อมกับรีบเดินไปเปิดประตูบ้าน ยืนรอให้อีกคนเดินออกมาเสียที แล้วดูมันครับ ยังจะมายิ้มกวนประสาทใส่ผมอีก กว่าจะยอดเดินมานี่ก็ลีลาเสียเหลือเกิน ทั้งที่ประตูบ้านก็ไม่ได้ไกลเลย

“พี่นี่ตลกดีเนอะ คิดอะไรก็เหมือนจะออกมาทางสีหน้าทั้งหมดเลย”นี่ขนาดเปิดประตูรอขนาดนี้ก็ยังจะลีลาไม่ยอมออกนะครับเนี่ย

“เชิญ”ผมย้ำอีกครั้งให้รู้ตัวว่าผมไม่ต้อนรับแล้ว

“ขอบคุณสำหรับน้ำนะครับ ไว้จะมารบกวนบ่อยๆ”ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง

“ไปได้หรือยัง...จะจัดบ้านต่อ เสียเวลามาเยอะแล้วเนี่ย”นี่ผมไล่ไม่ตรงพอหรือไงเนี่ย ทำไมเด็กนี่ยังไม่ยอมไปสักที

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...คุณลุงข้างบ้าน ฮ่าๆๆ”

“ไอ้...”ผมไม่ทันได้ด่าสักคำเพราะคิดคำด่าไม่ทัน ไอ้คนเรียกผมว่าลุงก็หันมายักคิ้วใส่ผมแล้วเปิดประตู้รั้วออกไป ไม่รอให้สมองผมคิดคำด่าสักประโยคบ้างเลย



TBC



เปิดเรื่องใหม่คร๊าบบบบ

ยังไงฝากติดตามติชมกันด้วยนะครับ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เด็กพู่ เพิ่งพบแปง
แต่กวนตีน แหย่แปงซะแล้ว
เพื่อให้แปงโกรธล่ะสิ
ถ้าไม่คิดไรกับแปงก็ต้องเฉยๆ ไม่กวนใช่มั้ย
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เริ่มมาได้น่ารักดีครับ

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เด็กคือน่าจะแสบไม่เบาแหละ ปาแปงระวังหวั่นไหวนะ

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 2
เริ่มงาน




วันนี้ผมตื่นแต่เช้าทำธุระส่วนตัวเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานวันแรก จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้นนะครับเพราะนี่เป็นชีวิตทำงานที่แท้จริงของผมวันแรกเลยก็ว่าได้ มันคงต่างจากการฝึกงานสมัยเรียนแน่ๆ ก็ได้แต่หวังแหละครับว่าจะเจอเพื่อนร่วมงานดีๆ ขอให้งานมันออกมาราบรื่นทีเถอะ แม้ผมจะอยู่ที่นี่แค่ปีเดียวแต่ขอให้มันเป็น 1 ปีที่มีแต่ความทรงจำดีๆแล้วกัน

“excited ไหมคะยู”เสียงคุณเพื่อนสนิทของผมตะโกนออกมาจากโทรศัพท์ จนผมรีบลดเสียงแทบไม่ทัน นี่ก็อีกคนดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าผมอีกมั้งเนี่ย โทรมาแต่เช้าเลย ทั้งที่ปกติยอมตื่นเช้าที่ไหนกัน

“สบายๆ”ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่คิดว่าวันแรกคงยังไม่มีอะไรมาก ผมก็แค่ยิ้มเอาไว้ก่อน จากตอนสัมภาษณ์คนที่มาสัมภาษณ์ผมก็ดูใจดีออก

“งั้นก็สู้ๆ ขอให้ไปทำงานวันแรกมีแต่ความราบรื่น แต่ถ้าไม่รื่นก็ลาออกกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมนะจ๊ะ”นี่แน่ใจนะครับว่าโทรมาอวยพรการทำงานวันแรกของผม

“เอาดีๆ ดิ”ผมบอกกลับไปเสียงหน่ายๆ

“งั้นขอให้เจอเนื้อคู่ที่ทำงานจะได้ลงจากคานเสียที ฮ่าๆ”ตกลงเพื่อนผมจะไม่มีสาระอะไรเลยใช่ไหมครับ

“ไม่คุยด้วยแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย”ผมบอกพร้อมรีบชิงกดวางสาย กลัวจะจะไปทำงานวันแรกสายเข้าจริงๆ ผมรีบหยิบกระเป๋าคว้ากุญแจรถ ถึงจะเข้างาน 9 โมงเช้า แต่วันแรกแบบนี้ไปเร็วหน่อยแล้วกัน กลัวกะเวลาไม่ถูกแล้วสายครับ ผมขับรถออกจากบ้านได้เพียงนิดเดียวก็เห็นร่างสูงของไอ้เด็กโย่งที่อยู่ข้างบ้านเดินอยู่ในชุดนักเรียน เสื้อลอยชายไม่มีการเอาเข้าข้างใน นี่คงเดินออกไปขึ้นรถปากซอยสินะ

“ติดรถออกไปด้วยกันไหม”ยังไงเสียผมก็ต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นปี สร้างมิตรไว้น่าจะดีกว่า ไอ้เด็กโย่งหยุดเดินหันมองเข้าในรถผ่านช่องที่ผมลดกระจกลง ที่แรกก็ทำหน้านิ่งแต่พอเห็นว่าคือผมก็ยิ้มกวนๆ เดินเข้ามา ก้มวางแขนที่รถผมโน้มหน้าเข้ามา

“นี่อ่อยผมป่ะเนี่ย”ผมถอนคำพูดที่บอกว่าอยากสร้างมิตรเมื่อสักครู่ทันไหมครับ คำพูดคำจาที่ออกมาพร้อมท่าทางของไอ้เด็กนี่มันกวนประสาทเสียเหลือเกิน

“ไม่ไปก็ถอย”แต่พอผมพูดยังไม่ทันจบประโยคดีเด็กโย่งนี่ก็เปิดประตูเข้ามานั่งในรถผมทันที พร้อมรอยยิ้มที่ดูน่าหมั่นไส้เหลือเกิน

“ลงปากซอยนะคร๊าบ”เจ้าตัวบอกหน้าระรื่น ก่อนจะมองไปมองมารอบๆ รถของผม นี่ผมไว้ใจคนที่เพิ่งรู้จักมากเกินไปหรือเปล่านะ

“เออพี่นี่เบอร์ผมนะ”อยู่ๆ เค้าก็พูดขึ้นพร้อมชูโทรศัทพ์ให้ผมดู และไม่นานเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น

“ไม่ต้องงง ผมรู้ว่าพี่อยากได้เบอร์ผมไง แต่พี่คงไม่รู้จะขอยังไง ผมเลยให้พี่ไปเลยนี่ไง”รอยยิ้มที่ดูขี้เล่นยังฉายชัดบนใบหน้าของเด็กนี่ ถ้าลงไล่ลงเค้าลงตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมจะดูใจร้ายไปไหมครับ

“ไปเอาเบอร์พี่มาจากไหนละเราอ่ะ ทำเป็นมาว่าคนอื่นอ่อยตัวเอง นี่ถึงขนาดมีเบอร์พี่เนี่ยคิดอะไรกับพี่ป่ะเนี่ย”ในเมื่อมากวนผมก่อน ก็ขอกวนกลับหน่อยแล้วกัน

“ถ้าผมคิดละครับ”ผมเบรคแทบจะหัวทิ่ม ไม่ใช่เพราะคำพูดของเด็กนี่นะครับ เพราะไอ้คำพูดเนี่ยผมรู้ว่าเค้าพูดเล่น แต่ไอ้มือของเค้าที่เอื้อมมาลูบต้นขาผมจนแทบจะเลยลงไปที่หว่างขาผมแล้วนี่แหละครับ

“ฮ่าๆ พี่นี่ตลกชะมัดแกล้งแค่นี้ก็ไปไม่เป็นแล้ว”ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมหันไปมองตาขวางก็ผมเคยโดนใครทำอะไรหรือไปทำอะไรแบบนี้ที่ไหนกันละ

“ถ้าจะมากวนประสาทกันก็ลงไปเลย”ผมบอกไปอย่างฉุนๆ ไม่ได้โกรธหรอกนะครับ แค่อาย อายที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนหัดในเรื่องนี้จนโดนเด็กมันมาแหย่ได้

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเองพี่ เบอร์พี่อ่ะน้าปุ๊กให้มา บอกว่าเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แล้วนี่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย เขินผมเหรอ”ผมหันมองถนนและออกรถโดยไม่พูดอะไรอีก ให้ตายสินี่ผมเขินไอ้เด็กนี่จริงๆ หรือไงแถมตอนโดนลูบที่ต้นขาผมดันขนลุกขึ้นมาเสียด้วยสิ

“ปากซอยแล้ว รีบลงไปสิเดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก”ผมรีบบอกทันทีที่ถึงหน้าปากซอย จะได้หลุดจากสถานการณ์บ้าๆ นี่เสียที

“ขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วย แล้วก็ตั้งใจทำงานนะครับ”ยังไม่วายมาทำเป็นส่งจูบให้ผมอีก ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ผมรีบออกรถด้วยความหงุดหงิด ผมต้องพยายามปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ไม่อยากให้วันแรกของการทำงานจิตใจไม่ปลอดโปร่ง ผมสูดหายใจลึกๆ หลังจากจอดรถถึงที่ทำงานเรียบร้อย ยกข้อมือดูนาฬิกา นี่ผมมาก่อนเวลาเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว แสดงว่าแต่ละวันผมคงออกช้ากว่านี้ได้อีกนิดหน่อย

แต่ผมว่าผมคงมาเช้าเกินไปสำหรับออฟฟิศนี่ ตอนนี้ผมนั่งรออยู่ตั้งแต่มาถึง จนนี่เหลือเวลาอีกแค่สัก 10 นาทีเองมั้งยังไม่เห็นมีใครมาเลยครับ ออฟฟิศยังดูเงียบกริบไร้ผู้คน จนเวลาขยับมาอีกนิดก็มีคนเดินเข้ามา ผมพยักหน้ายิ้มทักทายก่อนหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาจะตรงมาหาผม

“น้องปณต ที่จะมาเริ่มงานวันนี้ ใช่ไหมคะ”ผมรีบยกมือไหว้คนที่เข้ามาทัก

“โทษทีที่รอนานพอดีเค้าฝากให้พี่เป็นคนดูแลน้องเรื่องการเริ่มงานวันนี้แต่พี่ดันลืม มาๆ ตามพี่มานี่”หญิงสาวที่เดินนำผมไปดูคล่องแคล่ว มั่นใจและจากการแต่งตัวคงเป็นคนที่เปรี้ยวไม่น้อยเลย แม้จะดูเป็นผู้หญิงที่น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าพี่เค้าแก่นะครับ แต่ดูเป็นคนที่น่าจะมีอายุแล้วยังหน้าเด็กอยู่

“พี่ชื่อโอ๋นะ หรือจะเรียกพี่โอ๋สุดสวยก็ได้ แต่ขออย่างเดียว ห้ามเรียกเจ้ ถึงพี่จะวัยใกล้ลข 4 แต่หัวใจพี่ยัง 25 ถ้าเรียกเจ้พี่จะเคืองมากและอาจขอใช้เรือนร่างในการขอขมาพี่”ผมแทบจะเอ๋อแดกกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่ทำไมพี่เค้าดูจะให้ความสนิทสนมกับผมเร็วขนาดพูดทีเล่นทีจริงขนาดนี้

“พี่พูดเล่น อย่าเพิ่งทำหน้ากลัวพี่แบบนั้นสิ ที่นี่เราไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร ก็อยู่กันแบบครอบครัว แบบพี่น้อง แล้วนี่มีชื่อเล่นไหมละเรานะ”ผมก็ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้แกหรอกนะครับ แต่แค่ไม่คุ้นกับความสนิทสนมที่เจ้เค้าให้กับผมเร็วเกินไปทั้งที่เพิ่งเจอกัน นี่ผมแอบเรียกพี่เค้าว่าเจ้แค่ไหนใจ เจ้เค้าคงไม่ว่าอะไรผมใช่ไหม

“ชื่อปาแปงครับ”ผมตอบออกไปอย่างเกร็งๆ

“เจ้ น้องใหม่มายังอ่ะ”เสียงตะโกนเข้ามาในห้องทำเอาผมเกือบหลุดขำ ก็ไปเจ้แกบอกว่าไม่ให้ผมเรียกว่าเจ้ แล้วนี่คนที่ตะโกนเข้ามานี่คืออะไร

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวให้น้องเค้ารับฟังกฎระเบียบอะไรอีกนิดหน่อยก่อน เดี๋ยวเจ้พาไปส่งถึงโต๊ะเอง”ผมหันไปมองคนที่คุยกับเจ้โอ๋ แต่เหมือนจะหันหลังเดินออกไปแล้ว แต่ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ กับแผ่นหลังนั่นกันนะ ผมรับฟังอะไรกับเจ้โอ๋อีกสักพัก เจ้เค้าก็พาผมไปแนะนำกับแต่ละแผนก แน่นอนว่าสมองผมยังจำทุกคนได้ไม่หมด

“ส่วนนี่ก็แผนกที่น้องแปงต้องอยู่ ก็อยู่แผนกเดียวกับพี่นี่แหละ ส่วนคนที่จะช่วยเทรนน้องแปงก็โน่นเลย ที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันนั่นแหละ”ผมมองไปตามที่เจ้โอ๋ชี้ ภาพชายหนุ่มสองคนที่คนนึงผลักอีกคนออก และอีกคนก็พยายามจะกอดอีกคนเอาไว้ ทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหว่ะ ที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะไม่ใช่เพราะภาพที่เห็นนะครับ แต่มันเพราะผมรู้จักคนทั้งคู่นั่นแหละครับ แม้ทั้งคู่อาจจะไม่รู้จักผมก็ตามที

“น้องแปงอาจต้องปวดหัวกับการทำงานร่วมกับผัวเมียคู่นี้นิดนึงนะ”คำพูดของเจ้โอ๋ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมสักเท่าไหร่ สองคนนี้คือใครนะเหรอครับ ทั้งสองเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของผมตอนเรียนปริญญาตรี และหนึ่งในนั้นคือคนที่ผมเคยแอบมอง

“เจ้ก็ไปอำน้อง เดี๋ยวน้องเค้าก็เข้าใจผิดกันพอดี”เข้าใจผิดงั้นเหรอ แม้ตอนเรียนจะมีคนพูดแบบนี้เช่นกัน แต่ผมก็เห็นทั้งคู่สนิทสนมกันจนรู้สึกว่ามากกว่าเพื่อนอยู่ดี แถมนี่ทั้งคู่ยังสนิทกันมาจนถึงตอนนี้อีก

“พี่ฟ่างนะครับเห็นว่าเป็นรุ่นน้องพวกพี่ด้วยนิ คุ้นๆ หน้าอยู่เหมือนกันนะชื่อไรนะ”ผมแนะนำตัวทำความรู้จักกับทั้งคู่ ที่จริงก็แนะนำให้เค้ารู้จักผมนี่แหละครับ  เพราะผมรู้จักพวกเค้าอยู่แล้ว

พี่ฟ่างหรือพี่ข้าวฟ่างกับพี่ต้าร์รุ่นพี่ของผมเอง ถึงผมจะบอกว่าไม่เคยมีแฟนเลย แต่ผมก็เคยมีคนที่แอบชอบนะครับ ก็พี่ต้าร์นี่แหละครับคือคนที่ผมเคยแอบชอบ แต่ก็แค่แอบชอบและจบแค่นั้นนะครับ เพราะผมเข้าใจมาตลอดว่าพี่ทั้งสองคนนี้เป็นแฟนกัน แม้ทั้งคู่ไม่เคยยอมรับออกมา แต่ผมก็ไม่เคยเห็นทั้งคู่คบคนอื่นเลยในตอนที่ยังเรียนอยู่ แม้พี่ต้าร์จะจีบผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นพี่แกคบใครจริงจังเลย

“ยังไงวันนี้ก็ดูงานเก่าๆ ไปก่อนละกันนะจะได้พอเห็นภาพว่างานส่วนใหญ่ของเราเป็นแนวไหน แล้วก็เรื่องพี่กับไอ้นี่ไม่มีอะไรอย่างที่เจ้โอ๋แกอำ ย้ำอีกทีว่าไม่ใช่แบบนั้น เห็นสายตาแล้วพี่ว่าน้องเชื่อเจ้โอ๋ไปแล้วใช่ไหมเนี่ย”มันไม่ใช่แค่เชื่อเจ้โอ๋นี่สิครับ แต่มันเพราะผมเชื่อแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว และมันก็น่าจะจริงเสียด้วยนะสิ

“ฟ่างงอนเค้าอีกแล้วเหรอ”พี่ต้าร์เดินเข้ามาหาพี่ฟ่างอย่างอ้อนๆ

“ไอ้นี่ก็เล่นไม่เลิก เดี๋ยวน้องก็เข้าใจผิดพอกันพอดี แล้วนี่อย่ามาทำตัวติงต๊อง ทำตัวให้น้องมันเคารพหน่อย”พี่ฟ่างดุพี่ต้าร์ซึ่งยิ่งผมดูก็ยิ่งชวนคิดว่าคู่นี้เป็นคนรักกันจริงๆ

วันแรกของการทำงานผมก็ไม่มีอะไรมากครับ คงเพราะเพิ่งเริ่มเลยยังไม่มีอะไรให้ ทำมากนัก แต่จากการดูงานเก่าๆ ก็ไม่น่ายากเท่าไหร่แหละครับ พอถึงเวลาเลิกงาน ผมก็เก็บของกลับบ้าน

“แปงกลับไงเนี่ย”พี่ต้าร์หันมาถามผม

“ผมเอารถมาครับ”ตอบเสร็จพี่ต้าร์ก็ชวนผมไปลานจอดรถด้วยกัน ส่วนพี่ฟ่างก็แยกไปอีกทาง เพราะพี่ฟ่างกลับด้วยด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย

“นึกว่าพี่กับพี่ฟ่างอยู่ด้วยกันเสียอีก”ผมถามออกไปอย่างสงสัย พี่ต้าร์หัวเราะก่อนจะหันมามองผมยิ้มๆ

“แล้วทำไมพี่ต้องไปอยู่กับไอ้ฟ่างมันด้วย นี่อย่าบอกนะว่าเชื่อเรื่องที่พวกพี่อำกันจริงๆ ฮ่าๆ”พี่ต้าร์หัวเราะเสียงดัง เล่นเอาผมงงไปหมดว่าตกลงมันยังไงกันแน่

“แต่ผมก็เห็นพวกพี่สวีทกันแบบนี้ตั้งแต่เรียนแล้วนี่ครับ”ผมยังถามด้วยความสงสัยว่านี่ผมเข้าใจผิดหรือพี่ต้าร์แกล้งหลอกอำผมอีกชั้น

“พี่สองคนเป็นเพื่อนกันนี่แหละ แต่แค่สนิทกันเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวกันไปหน่อย คนก็ชอบเข้าใจผิดแบบนี้แหละ แต่ก็ขำๆ ดี อีกอย่างไอ้ฟ่างมันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว และคนนั้นก็ไม่ใช่พี่ อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ชอบมันแบบนั้นด้วยเช่นกัน คนในออฟฟิศเค้าก็แซวพวกพี่เล่นขำๆ นี่แหละ พี่เองก็รับมุกเค้าบ้างเพื่อเพิ่มสีสัน”ผมยังขมวดคิ้วฟัง รู้สึกเรื่องราวมันค้านกับสิ่งที่เคยฝังในหัวผมมาตลอดหลายปี ว่าสองคนนี้ต้องเป็นแฟนกัน

“สีหน้าเราบอกว่าไม่เชื่อนะเนี่ย”

“แล้วพี่ต้าร์มีแฟนหรือยังครับ”เพราะความอยากรู้ทำให้ผมกล้าที่จะถามออกไป ถ้าพี่ต้าร์ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่างจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ดีจริงไหมครับ

“พี่ไม่บอก ไปละเจอกันพรุ่งนี้นะ”พูดจบก็ปล่อยผมยืนงงอยู่คนเดียว นี่ผมกำลังทำอะไรเนี่ย ต่อให้เค้าจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนแล้วผมจะมีโอกาสงั้นเหรอ ความเพ้อของคนไม่เคยมีแฟนก็แบบนี้แหละครับ





TBC


แวะมาต่อครับ

เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่มีอะไรมากก็คงเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไปก่อน

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคร๊าบบบ

ออฟไลน์ ppapple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 3
คาสโนว่าหลบภัย




“เห็นไหมแก บอกแล้วว่าคำพูดชั้นศักดิ์สิทธิ์มาก แกถึงได้เจอเนื้อคู่ที่ทำงาน พี่ต้าร์สุดหล่อที่แกเคยปลื้ม แต่แกแน่ใจนะว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ”เพื่อนสาวสุดที่รักของผมขับรถมากินข้าวเย็นกับผมถึงที่เลยครับวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าห่วง คิดถึง เพื่อนอย่างผม หรือว่าอยากเม้าส์เรื่องที่ผมไปเจอพี่ต้าร์มาก็ไม่รู้ครับ

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อาการหนักเหมือนสมัยเรียนแล้วละครับ เพราะก็ผ่านจุดที่อกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มมาแล้ว ก็ไอ้ตอนสมัยเรียน ข้าวหอมนี่แหละครับร่วมยืนยันฟันธงกับผมว่ายังไงพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างก็คือแฟนกัน แต่สิ่งที่พี่ต้าร์บอกกับผมในวันนี้มันคนละเรื่องกับที่พวกผมเคยเข้าใจกันมาเลยก็ว่าได้

“ว่าไงละแก แกว่าพี่ต้าร์จะโกหกไหม เรื่องที่พี่เค้าไม่ได้เป็นมากกว่าเพื่อนกับพี่ฟ่าง หรือพี่ต้าร์จะชอบพี่ฟ่าง แต่พี่ฟ่างมีคนอื่นอีก หรืออะไรยังไงแก โอ้ย...หอมสับสน หอมงงไปหมดแล้ว”เรื่องทำตัวปัญญาอ่อนนี่ขอให้บอกครับเพื่อนผม นี่นึกว่าตัวเองอายุ 14 หรือไงเนี่ย

“ว่าแต่ถ้าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นแฟนกัน แบบนี้แกก็มีสิทธิ์อ่ะดิ”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับความเพ้อเจ้อของเพื่อน ผมยอมรับนะครับว่ารู้สึกดี และหวั่นไหวกับพี่ต้าร์ แต่ผมก็รู้จักอยู่กับความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าเค้าไม่น่าจะมาคิดอะไรกับผมได้

“เพ้อเจ้อ”ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปพูดกับเพื่อนสาวตัวดี

“wait! ก็แกบอกเองว่าพี่เค้าเดินมาส่งแก แถมบอกแกอีกว่าไม่มีแฟน”นี่มันฟังที่ผมเล่าไม่หมดหรือฟังแล้ว อยากตัดเติมส่วนไหนตามใจชอบโดยไม่สนข้อเท็จจริงหรือเปล่าครับเนี่ย

“ชั้นบอกแค่ว่า เดินกลับออกมาพร้อมกันไม่ใช่เดินมาส่ง แล้วก็พี่เค้าบอกแค่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่าง ไม่ได้บอกว่ามีแฟนหรือไม่มี”ผมอธิบายซ้ำ แต่แม่เพื่อนสาวของผมก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่รับฟังอยู่ดี

“แกจะอะไรนักหนา นี่เพื่อนอุตส่าห์ช่วยบิ้วให้แกมีแรงฮึด ดักตีหัวพี่ต้าร์ลากกลับมาบ้าน รวบหัวรวบหางเลย แกจะได้ลงจากคานไง เอาม่ะๆ เดี๋ยวชั้นช่วย”ผมยกช้อนขึ้น ก่อนจะชี้ลงที่จานกับข้าวที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหาร เพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้เพื่อนตัวดีหยุดพูดและทานข้าวได้แล้ว

“อะ..อะ ทานข้าว”ผมยกมือขึ้นห้ามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้าวหอมเตรียมจะอ้าปากพูดต่อ เรากินข้าวและเปลี่ยนเป็นคุยกันเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องพี่ต้าร์อีก จนผมเริ่มอิ่ม เพราะเหมือนกินอยู่คนเดียว ส่วนแม่เพื่อนตัวดีที่หอบกับข้าวมาเนี่ยกินยังกะแมวดม บอกว่าไดเอท ก็ไม่รู้ว่าจะไดไปทำไมหรอกครับ ก็ผอมจนจะไม่มีไส้อยู่แล้ว แต่ยังสะกดจิตตัวเองว่าอ้วนอยู่นั่นแหละ

“เดี๋ยวชั้นเก็บเอง แกก็รีบกลับเถอะเดี๋ยวจะดึก ที่บ้านจะเป็นห่วงเอา”จริงๆ ก็ยังไม่ดคกหรอกครับ แต่ผมรีบให้เพื่อนกลับเพราะไม่อยากให้วกมาคุยเรื่องพี่ต้าร์กับผมอีก

“เรื่องเก็บถ้วยจานชาม กับข้าว นั่นหน้าที่แกอยู่แล้วชั้นไม่เคยคิดจะแย่งทำ แต่ถ้าแกอยากรวบหัวรวบหางจับพี่ต้าร์ทำสามีเมื่อไหร่บอกชั้นได้เลย เดี๋ยวเจ้จัดให้เอง”ผมแทบอยากจะมองบนให้กับเพื่อนตัวเองสัก 88 รอบครับให้สมกับความคิดบ้าๆ บอๆ ที่ออกมาจากปากเล็กๆ นั่น

“กลับไปได้แล้ว ไปๆ”ผมรีบไล่อย่างไม่อ้อมค้อม เพราะอย่างข้าวหอมก็คงไม่มาถือสาว่าผมไม่มีมารยาทหรอกครับ

“อย่าลืมนะแก ถ้าจะดักตีหัวพี่ต้าร์เมื่อไหร่บอกชั้น ชั้นยังมีผู้ช่วยอย่างพี่โตอยู่ด้วยอีกคน”สุดท้ายผมก็อดขำกับท่าทีต๊องๆ ของเพื่อนไม่ได้ครับผมโบกมือไล่ ให้ขึ้นรถขับออกไปได้แล้ว ผมเดินขำเบาๆ ตามออกไปเพื่อจะปิดประตู แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีคนพรวดพราดวิ่งเบียดผมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ลุงอย่าเพิ่งถาม ขอหลบในบ้านก่อนแปบนึง แฮ่กๆ แล้วถ้า...ถ้า แฮกๆ ใครมาถามหาผม บอกไม่รู้ไม่เห็นนะ”ไม่ต้องสืบครับไอ้เด็กโย่งข้างบ้านนี่แหละครับ วิ่งหอบลิ้นห้อยเหมือนหมาหนีอะไรมาไม่รู้ครับ คือจริงๆยังไม่รู้ว่าหนีอะไรมาก็พอช่วยได้นะครับ แต่เริ่มจะไม่อยากช่วยก็ตรงเรียกผมว่าลุง อีกแล้วนี่สิครับ แล้วนั่นไม่ได้รอคำอนุญาตจากผมเลย วิ่งจากประตูรั้ว เข้าไปในบ้านผมหน้าตาเฉย คือนี่บ้านผมไง รอผมอนุญาตสักนิดก่อนไหม ถึงจะเป็นหลานเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ผมเช่าอยู่แล้วไง

“ชั้นคบมาก่อนแกอีก อิหน้าด้าน พี่พู่ พี่พู่อยู่ไหนมาบอกอินี่สิว่าเราคบกันอยู่ จะได้เลิกหน้าด้านมาแย่งผัวชาวบ้านสักที”ผมแทบสำลักน้ำลายกับคำพูดที่ได้ยิน มันจะไม่แปลกมากนักถ้าคำพูดไม่ได้ออกมาจากเด็กสาวที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม คนที่กำลังพูดอยู่นี่หน้าตาก็สะสวยจิ้มลิ้มพิมพ์นิยมตามสมัยนี้นะครับ แม้จะแต่งหน้าจัดไปนิด ก็ยังเห็นว่าหน้าตาน้องเค้าจัดว่าดีทีเดียว แต่ไอ้ประโยคที่น้องเค้าพูดออกมาเมื่อสักครู่ ผมว่ามันลดความสวยของน้องไปกว่า 90% เลยทีเดียว

“อย่างแกมันก็แค่น้ำพริกถ้วยเก่าค้างปี พี่พู่เค้าไม่สนจะกลับไปกินอีกแล้วละ”อื้อหือนึกว่าฝ่ายแดงจะโดนฝ่ายน้ำเงินน็อคเอ้าท์ไปแล้ว แต่เปล่าเลยครับ ฝีปากดีกันทั้งสองฝ่ายเลยครับ แล้วนี่ก็เลือกสมรภูมิรบได้เหมาะเจาะเหลือเกิน หน้าบ้านผม เสาไฟส่องสว่างพร้อม ตอนนี้ก็เริ่มจะมีมนุษย์เผือกแถวนี้โผล่ออกมาแล้วครับ

แต่จะโทษมนุษย์เผือกอย่างเดียวไม่ได้ ก็สองสาวนี่เล่นมาตะโกนภาษาดอกไม้ใส่กันเสียงไพเราะขนาดนี้ มันก็คงไปรื่นหูทุกคนเข้าจังๆ นั่นแหละครับ ส่วนไอ้ตัวต้นเรื่องเหรอครับ โน่นเลยครับ มุดหัวอยู่หลังผ้าม่านในบ้านผมโน่น มันน่านักดูๆ แล้วผมว่าคนที่สมควรโดนมากสุดน่าจะไอ้คนหลบหลังผ้าม่านนั่นมากกว่า นี่คงไปทำตัวคาสโนว่าคบซ้อนละซิเนี่ย

“มึงจะเอาไง ตบกับกูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยไหม จะได้จบๆ”

“ได้มึงเข้ามาเลย”

เอ่อนี่ผมว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมว่าจริงๆ ไอ้ตัวต้นเรื่องนั่นควรออกมาเคลียร์ให้เรียบร้อยน่าจะดีกว่าการปล่อยให้สองคนนี้ฟัดกันหน้าบ้านผม

“เอ่อน้อง...น้องครับ น้องครับ!!!”ผมตะโกนสุดเสียงเมื่อเรียกเบาๆ แล้วทั้งสองสาวไม่ให้ความสนใจผมเลย

“มีปัญหาอะไรลุง”อ้าวๆ อิเด็กพวกนี้มันเป็นอะไรนักหนา ผมอายุแค่ 25 นี่ทำให้หน้าเหมือนพี่ของพ่อแม่พวกแกรึไง ผมสูดสายใจลึกๆ พยายามจะไม่โกรธ เพราะอยากให้เรื่องจบๆ สักทีไม่อยากให้มาตบกันตายหน้าบ้านผม

“พี่แค่จะบอกว่าพี่พู่ของน้องๆ อยู่นี่จะเข้ามาคุยกันดีๆ ในนี้ไหม แต่ขอย้ำก่อนว่าต้องคุยดีๆ ถ้าคุยไม่ดีหรือมีตบตีในบ้านพี่ พี่เรียกตำรวจ”สองสาวทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ยอมลดมือที่ง้างไว้ 135 องศานั้นลงก่อน

“แล้วไหนละพี่พู่”ไม่อยากจะสอนน้องเลยว่ากริยามารยาทเนี่ยปรับให้มันสวยเหมือนหน้าตาหน่อยก็ดี

“พู่...ออกมา เร็วๆ”ผมเรียกย้ำเมื่อเห็นว่าไอ่เจ้าเด็กโย่งยังไม่ยอมออกมา

“พี่พะ...”ผมยกมือห้ามไม่ให้สาวๆ ส่งเสียงดัง ส่วนพ่อคาสโนว่าก็ยอมเดินออกมาแต่โดยดีแล้วครับ

“ลุงนะลุง ไม่ช่วยแล้วยังจะมาแกล้งกันอีก”เด็กโย่งเดินมาพูดลอดไรฟันให้ผมได้ยิน

“น้องมิ้นท์ น้องแจน พี่ว่าเราสองคนกลับไปก่อนดีกว่าเนอะ ไว้อารมณ์เย็นลงแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่าเนอะ”ดูท่าแล้วสองสาวจะไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของพ่อคาสโนว่าตัวโย่งสักเท่าไหร่นะครับ ดูๆ แล้วทั้งคู่คงต้องการความชัดเจน ว่าพี่พู่กันของพวกเธอจะเลือกใคร

“พี่พู่เลือกมาเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมันหน้าด้านคิดมาแย่งของคนอื่น แต่ก็เป็นได้แค่ส่วนเกิน”

“ใช่ค่ะพี่พู่เลือกมาเลย จะได้รู้ว่าใครมันของเก่าค้างปี เก่าเก็บจนเหม็นบูดไปหมดแล้ว”

สองคนนี้นี่น่าจับไปเล่นละครน้ำเน่านะครับเนี่ย ผมว่านี่นางร้ายช่อง 7 คงต้องหลั่งน้ำตาให้กับความเล่นใหญ่ของทั้งคู่ สีหน้า แววตา ปากเปิกไปหมดทุกส่วน นี่ถ้าลูกตาหลุดออกมาได้คงวิ่งชนกันแล้วครับ

“ได้ ในเมื่อมิ้นท์กับเจนอยากให้พี่เลือก พี่ก็จะเลือก แต่ถ้าพี่เลือกแล้วต้องเคารพการตัดสินใจของพี่นะ”โหนี่ก็พระเอกเหลือเกินพ่อคาสโนว่า พ่อหล่อเลือกได้  แต่เดี๋ยวก่อน ตัวเลือกที่มีนี่เด็กโย่งมันตัดสินใจเลือกได้จริงๆ ใช่ไหม

“พี่ขอประกาศไว้เลยว่านี่เมียพี่”อะไรนะ อะไรคือสัมผัสยุ่นๆ ที่แก้มของผมแล้วยังวงแขนที่กระชับไหล่ผมเข้าหานี่อีก ผมเห็นสองสาวตาเบิกโพลงด้วยความตกใจมองมาทางผม แต่อย่าว่าแต่สองสาวเลย ผมเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากสองสาวสักเท่าไหร่หรอกครับ

“กรี๊ด พี่พู่ กรี๊ดๆ”เป็นครั้งแรกที่สองสาวจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ร้องกรี๊ดออกมาจนผมที่สติหลุดได้สติขึ้นมา

“เฉยไว้ลุง”เด็กโย่งพูดลอดไรฟันและยังคงไม่ปล่อยวงแขนที่โอบผมไว้

“เพี๊ยะ”ฝั่งซ้าย

“เพี๊ยะ”ฝั่งขวา

หน้าของพ่อคาสโนว่าตัวโย่งหันซ้ายที ขวาทีด้วยอิทธิฤทธิ์ฝ่ามือของน้องมิ้นท์และน้องแจน หลังฝากฝ่ามือไว้แล้ว สองสาวก็กอดคอกันกรีดร้อง น้ำตาร่วงออกไป เหลือทิ้งไว้แค่ผมและเด็กโย่งที่ลูบแก้มตัวเองอยู่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน เด็กโย่งนั่นไม่เจ็บก็ชา ส่วนผมช็อคสิครับ เกิดมาเคยมีผู้ชายคนไหนมาหอมแก้มแบบนี้ที่ไหนกัน

“เป็นไรเนี่ยลุงลูบแก้มทำไม ผมนี่ต้องเจ็บลุงเจ็บที่ไหนกันเล่า”แล้วใครบอกละว่าผมเจ็บไอ้เด็กบ้าเอ้ย เอาความบริสุทธิ์ของแก้มผมคืนมา

“สมน้ำหน้า อยากเจ้าชู้ดีนัก”ผมบอกก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าตัวบ้าน

“ไม่ต้องมาพูดเลย เพราะลุงแหละจะบอกสองคนนั้นทำไมว่าผมอยู่นี่”แล้วนี่มันจะเดินตามผมเข้ามาทำไมอีกละเนี่ย เรื่องจบแล้วทำไมไม่กลับบ้านตัวเอง แล้วนี่ทำไมหัวผมดันนึกถึงแต่สัมผัสยุ่นๆ ที่ตรงแก้มนี่ด้วย แถมยิ่งเห็นริมฝีปากไอ้เด็กโย่งนี่ ผมยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก

“บอกแล้วไงว่าอย่ามาเรียกลุง”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ให้รู้ว่าไม่พอใจกับสรรพนามที่เรียกผมอยู่ และที่ไม่พอใจมากกว่าคือที่บังอาจมาจุ๊บแก้มผมนี่แหละ

“อะ..อะ ไม่เรียกลุงแล้วก็ได้ เรียกเฮียพอได้ไหมคร๊าบ”ยังมีหน้ามายื่นหน้ายื่นตาทำทะเล้นใส่ผมอีก แล้วที่สำคัญสายตาผมดันโฟกัสที่ริมฝีปากนั่นอีกแล้วนี่สิ โอ้ยทำไงดีเนี่ย

“จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะ ไอ้พู่กันเอ้ย”ผมรีบผลักหน้าไอ้เด็กโย่งนี่ให้ออกมา และเหมือนจะได้ผมเจ้าเด็กนี่ชะงักกับเสียงตวาดของผมด้วย

“ตะกี้เรียกผมว่าอะไรนะ ฮ่าๆ”อ้าวแล้วมันจะขำทำไมละครับเนี่ย โดนตบจนประสาทกลับไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย

“พู่กันไง”อ้าวพอบอกไปยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก

“ฮ่าๆ ใครบอกพี่เนี่ยว่าชื่อภู่ของผมเนี่ยมาจาก พู่กัน แม่งจี้วะพี่ พู่กันอะไรหน่อมแน้มเกิ้น”อ้าวสรุปพู่นี่ไม่ได้มาจากพู่กันหรอกเหรอเนี่ย

“ภู่ของผมเนี่ย มาจากแมลงภู่อ่ะพี่ รู้จักเปล่า”โหบอกว่าพู่กันหน่อมแน้ม แมลงภู่นี่ไม่หน่อมเลยว่างั้น

“คนบ้าอะไรชื่อแมลงภู่”ผมบ่นพึมพำ อย่างไม่ได้จริงจังนัก ก็ไม่คิดนี่ครับว่าใครจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกด้วยชื่อหลายพยางค์แบบนี้ ตอนเล็กๆ ต้องเรียกน้องแมลงภู่แบบนี้เหรอ ฟังดูน่ารักจนขนลุกเลยครับเนี่ย

“ไม่ใช่คนบ้านะพี่ นี่คนหล่อ อีกอย่างพี่สาวผมชื่อผึ้ง พี่ชายชื่อบึ้ง ไม่ใช่หน้าบึ้งอะไรแบบนั้นนะ ตัวบึ้งอ่ะพี่รู้จักเปล่า นี่แหละเหตุผลที่ผมต้องเป็นแมลงภู่ น่ารักใช่ไหมล่ะ แถมหล่ออีกต่างหาก”นี่การโดนตบมันทำให้คนหลงตัวเองได้ด้วยหรือไงเนี่ย

“แล้วตกลงเป็นไรนิพี่ เห็นลูบอยู่นั่นแหละแก้มเนี่ย”ผมรีบลดมือลงแทบจะทันที

“อย่าบอกนะว่าไม่เคยโดนผู้ชายหล่อหอมแก้ม”เอาจริงๆแค่คำว่าผู้ชายก็พอแล้วนะครับรู้สึก ยังจะมาเพิ่มหล่อทำไมอีก แล้วประเด็นจะมาขยี้อีกเพื่ออะไร ผมอุตส่าห์เกือบจะลืมอยู่แล้วเชียว

“ก็ไม่เคยไง”ผมหลุดปากออกไป

“อ้าวตกลงนี่พี่ไม่ได้ชอบผู้ชายเหรอ เฮ้ยอย่าบอกนะว่า นะว่า”นี่ก็เล่นใหญ่รัชดาลัยมาเองอีกล่ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างสุดจะทน

“สาวสวยที่ขับรถออกไปตอนผมเข้ามานั่นแฟนพี่เหรอ โหร้ายไม่เบานะเราเนี่ย”นี่ก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่ละ แต่ก็ช่างมันเถอะครับขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับไอ้เด็กนี่แล้ว

“งั้นวันนี้ผมไม่กวนพี่แล้วดีกว่า พี่จะได้พักผ่อน”ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จะได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที

“อ๋อลืมบอก...แก้มที่จุ๊บไปเนียนนุ่มมากเลยนะครับเมีย”

“ไอ้...”ไม่ทันครับ คิดคำจะด่าไอ้เด็กนี่ไม่ทันสักที ว่าแต่นี่จะไปก็ยังมาจี้ให้ผมนึกถึงอีกแล้วสิเนี่ย มือผมยกขึ้นลูบแก้มโดยอัตโนมัติอีกแล้ว





TBC

แวะมาแปะอีกตอนคร๊าบบบ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 4
ดนตรีในหัวใจ




“ตื๊บๆ ตื๊บๆ ตึงๆ”นี่มันเสียงอะไรกันครับเนี่ย แม้ตาผมจะยังลืมไม่ขึ้น แม้จะพยายามเอาผ้าห่มคลุมโปง เอาหมอนปิดหู ก็ไม่มีอะไรช่วยลดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวนี่ได้ กระจกตรงประตูหน้าต่างตอนนี้ก็เริ่มส่งเสียงแข่งกับดนตรีแล้วครับ ใครมันมาเปิดคอนเสิร์ตแต่เช้าวะเนี่ย แล้วในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ คงต้องลุกไปตามหาต้นตอของเสียงเสียแล้ว

แค่เดินออกจากบ้านมาก็ไม่ต้องเสียเวลาหาแล้วครับ ข้างบ้านผมนี่แหละ นี่มันวันหยุดทั้งทีจะขอหลับยาวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ผมต้องตื่นเช้ามาทั้งสัปดาห์แล้ว อยากจะตื่นสายๆ สักวันไม่ได้หรือไง นี่ตาผมยังลืมได้ไม่เต็มที่เลยนะเนี่ย

“ภู่!”ผมเกาะรั้วตะโกนแทบจะสุดเสียง

“ภู่โว้ย”ชักเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะครับ แต่คิดว่าตะโกนไปยังไงถ้าเสียงเพลงดังขนาดนี้ก็คงจะไม่มีผลอะไร จะให้เดินข้ามไปบ้านนั้นก็ดูสูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ อีกอย่างสภาพผมตอนนี้ก็ไม่น่าจะเหมาะออกจากบ้านสักเท่าไหร่ สมองที่ยังมึนๆ ของผมรีบตั้งสติว่าจะทำยังไงดี แล้วนี่บ้านอื่นๆ เค้าไม่มีใครรำคาญกันหรือไงเนี่ย หรือเพราะว่าบ้านไอ้เด็กโย่งนี่มันอยู่สุดซอย มันเลยมีบ้านผมบ้านเดียวที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ผมเดินกลับเข้าบ้านเพื่อหาโทรศัพท์มือถือ เพราะจำได้ว่ามีเบอร์ของไอ้คนข้างบ้านนี่แล้ว พอหาได้ผมก็รีบกดหารายชื่อทันที เหมือนผมจะยังไม่ได้บันทึกเบอร์ด้วยซ้ำ แต่ก็พอจำได้ว่ามันคือเบอร์ไหนครับ ตอนนี้เสียงเพลงก็ยังดังสนั่นหวั่นไหว ผมต้องแนบหูกับโทรศัพท์จนโทรศัพท์จะหลุดเข้าไปในหูอยู่แล้ว เพราะแทบไม่ได้ยินเสียงรอสายเลย

“ว่า$&@¥£*€ลุง”ผมแทบจับใจความที่เค้าตอบกลับมาไม่ได้เลย เพราะเสียงเพลงที่เค้าเปิดมันดังกลบทุกอย่าง แถมเสียงจากฝั่งเค้าก็ลอดเข้าในโทรศัพท์อีกด้วย

“ปิดเพลงหรือเบาเสียงก่อนได้ไหม”ผมตะโกนใส่โทรศัพท์

“ว่าไงนะ”เสียงตะโกนกลับมาจากอีกฝั่ง

“บอกว่าปิดเพลงก่อนได้ไหม”ผมตะโกนจนแทบจะไม่มีเสียงอยู่แล้ว นี่จากสลืมสลือตื่นไม่เต็มตา มาตอนนี้ความหงุดหงิดมันมีมากกว่าจนคาดว่าให้ไปนอนอีกคงหลับไม่ลงแล้วละครับ เหมือนจะได้ผลครับ เสียงเพลงเบาลงจนเกือบไม่ดังมาถึงบ้านผมแล้ว แต่ยังได้ยินเสียงเพลงดังเข้ามาตามสายโทรศัพท์

“คิดถึงผมแต่เช้าเลยเหรอครับลุง”ยิ่งหงุดหงิดอยู่ยังจะมาเรียกลุง แบบนี้ก็ปรี๊ดสิครับ

“ถ้าเรียกลุงอีกที เอาขี้หมามาปาบ้านแน่ ไม่เชื่อก็ลองดู ออกมาเจอข้างรั้วหน่อยดิ”ผมบอกอย่างเหลืออด ไอ้เด็กนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว ว่าการปลุกคนกำลังนอนฝันหวานอยู่ให้ตื่นมาแบบนี้ อารมณ์คนโดนปลุกมันจะหงุดหงิดขนาดไหน ผมพยายามสงบสติอารมณ์สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่อยากโกรธมากเดี๋ยวรอยตีนกาถามหาอีก ไม่นานนักเจ้าตัวต้นเหตุก็เปิดประตูยิ้มหน้าระรื่นออกมาอย่างไม่มีความสลดสักนิด ผมกดวางสายโทรศัพท์ ยืนกอดอกรอ

“ว่าไงครับคุณลุ...เอ้ยคุณพี่”ดูครับดู ผมรู้ว่าเด็กนี่มันจงใจแกล้งพูดยั่วโมโหผม แถมยังทำท่าเอามือปิดปากอย่างกวนๆ นั่นอีกเห็นแล้วมันยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดจริงๆ สิ

“เช้าขนาดนี้ไม่คิดว่าเปิดเพลงดังขนาดนี้จะรบกวนคนอื่นบ้างหรือไง”ผมบอกออกไปอย่างไม่ปกปิดความไม่พอใจ จะว่าบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความเกรงใจก็ว่าได้ แต่จะมามัวเกรงใจทำไมกันจริงไหมครับในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีความเกรงใจกับผมเลย

“โหพี่ 7 โมงกว่าก็ควรตื่นแล้วไหม จะมัวนอนกินบ้านกินเมืองไปทำไมตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างสิ”เด็กโย่งนี่ยังไม่สลดครับ ยังคงยืนยิ้มตอบผมอย่างไม่สทกสะท้าน

“จะเวลาไหนมันก็ไม่ควรเปิดเพลงดังขนาดนี้หรอก มีใครเค้าขอว่าอยากฟังด้วยหรือไง”ผมยังคงบอกพร้อมชักสีหน้าให้รู้ว่าไม่พอใจอยู่

“อะไรอ่ะพี่ไม่เห็นต้องทำท่าหงุดหงิดขนาดนี้เลย ทำเป็นคนไม่มีอารมณ์สุนทรี ไม่มีดนตรีในหัวใจไปได้”

“เพลงแหกปากขนาดนี้มันสุนทรีตรงไหนไม่ทราบ”อยากให้ทุกคนมาได้ยินครับว่าไอ้ที่เด็กนี่เรียกว่าเพลงเนี่ย มันสุนทรีขนาดไหน น่าจะแนวพวกเฮฟวี่ เมทัลอะไรพวกนั้นแหละครับ รู้นะครับว่าก็มีคนชอบรวมไอ้เด็กโย่งนี่ด้วย แต่คนที่ชอบก็ต้องรู้ไหมว่ามันมีคนไม่ชอบด้วยเช่นผมนี่แหละคนนึงที่เข้าไม่ถึงอย่างรุนแรงกับการร้องตะโกนว๊ากๆ ร้องเพลงแบบนี้

“อะไรวะพี่ไม่เข้าใจวิถีชาวร็อคเลยเหรอเนี่ย แล้วนี่พี่ใส่ชุดนี้นอนเหรอนี่”สายตากวนๆ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ไอ้ผมก็ลืมไปเลยมัวแต่หงุดหงิด นี่สภาพผมคงดูไม่จืดทีเดียว เท่าที่พอจะจำได้ผมใส่บอกเซอร์ตัวเก่าที่ยืดจนย้วยแล้ว ส่วนเสื้อก็เสื้อยืดตัวโปรดในการนอนของผมที่ใส่มานานจนคอยืด แถมยังผุจนขาดเป็นรูหลายจุดแล้ว รู้ครับว่าสภาพแบบนี้มันไม่ควรออกมาเจอใคร ปกติผมก็ใส่อยู่ในบ้านคนเดียวแหละครับตอนนอนใส่แบบนี้มันก็สบายดีไม่อึดอัด แต่ตอนนี้ไอ้สายตาที่เด็กนี่มองผมมันชวนอึดอัดมากเชียวแหละครับ

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”ผมขยับถึงชายเสื้อประหนึ่งว่ามันจะยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ บอกตรงๆ ว่าพอเจอสายตามองแบบนี้จากความหงุดหงิดโมโหในทีแรก มันกลายเป็นผมเริ่มรู้สึกอายกับสภาพตัวเองแล้วครับตอนนี้ ถ้ารู้ว่าจะต้องมาให้ไอ้เด็กโย่งนี้มองด้วยสายตาแบบนี้ผมคงหยิบเสื้อคลุมใส่มาด้วยแล้ว

“นี่ผมชักเริ่มคิดแล้วนะ หรือว่าจริงๆ พี่โทรตามผมมาเจอแล้วแต่งตัวมายั่วผมใช่ไหมเนี่ย แต่หน้าตาตอนเพิ่งตื่นนอนของพี่กับชุดเยินๆ นี่มันก็...น่ารักดีนะพี่”โอ้ยไอ้เด็กนี่ แล้วผมดันคิดคำจะแย้งจะสวนไม่ออกด้วยสิเนี่ย

“พูดอะไรไร้สาระ แค่จะบอกว่าคราวหลังเพลงอ่ะเปิดให้มันเบาๆ หน่อย”ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะมาว่าเค้าแต่ทำไมตอนนี้มันกลายเป็นว่าผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปได้ละเนี่ย เรียกว่าตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูกก็ว่าได้ครับ เอาจริงๆ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะครับว่าทำไมบางครั้งคำพูดกวนประสาทของไอ้เด็กตรงหน้านี่ถึงมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

“อะอะเขินเหรอครับคุณลุง..เอ้ยคุณพี่”

“อย่าเปิดเพลงเสียงดังอีกเข้าใจไหม”ผมพยายามปั้นหน้านิ่งไว้และควบคุมไม่ให้รู้สึกอะไรกับคำพูดของไอ้เด็กนี่อีก ผมหันหลังกลับเดินเข้าบ้านเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำอีก สรุปการนอนพักผ่อนในวันหยุดของผมก็คงหมดแล้วสินะ จะให้ไปนอนต่อตอนนี้ก็ไม่น่าจะหลับแล้ว

“เดี๋ยวดิพี่”ผมหันกลับไปมองไอ้เด็กโย่งอีกครั้งเพราะเสียงร้องเรียกเหมือนจะมีอะไรอีก

“ผมทำอาหารเช้าให้ทานไหม ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ทำพี่ตื่นก่อนวัยอันควร เอ้ยเวลาอันควร”ผมมองอย่างจับผิดนี่เด็กโย่งมันจะกวนอะไรผมอีกหรือเปล่า แล้วจะมาอยากวุ่นวายอะไรกับผมทำไมเนี่ย

“ขอบใจ แต่ไม่จำเป็นพี่หากินเองได้”ผมตอบอย่างสงวนท่าทีแม้ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรตอนไหนก็เถอะครับ แต่การกินคนเดียวน่าจะเป็นการปล่อยให้ชีวิตผมราบรื่นมากกว่าการกินกับเด็กนี่แน่ๆ ครับ

“อย่าเล่นตัวน่าลุง นี่น้อยคนนะที่จะมีโอกาสได้ชิมฝีมือคนหล่ออย่างผม”แหมงั้นก็ไปให้โอกาสคนอื่นชิมเหอะไอ้เด็กหลงตัวเอง นี่ผมบอกสักคำหรือก็เปล่าว่าอยากกิน

“ลุงรีบไปล้างหน้าแปรงฟันเลย เดี๋ยวผมตามไปใน 5 นาทีห้ามปฏิเสธด้วย เพราะถ้าลุงปฏิเสธผมจะฟ้องน้าปุ๊กว่าลุงอ่อยผม”ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่พอคิดดูอีกที ถ้าไอ้เด็กนี่บอกกับพี่ปุ๊กจริงๆ แล้วพี่ปุ๊กจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าพี่ปุ๊กเกิดไปเผลอพูดให้พี่สาวหรือที่บ้านผมได้ยิน ผมว่ามันคงมีปัญหาตามมาแน่ๆ

“อยากทำอะไรก็ทำ”ผมตอบอย่างเสียไม่ได้ ส่วนไอ้ตัวต้นคิดนั่นก็ยืนยิ้มอย่างผู้มีชัยครับ

ผมเดินเข้าบ้านล้างหน้าแปรงฟัน ทีแรกก็กะจะอาบน้ำนะครับ แต่คิดดูอีกทีถ้าไอ้เด็กนั่นมาแล้วผมอาบน้ำ เด็กนั่นต้องหาเรื่องพูดกวนประสาทผมอีกแน่ๆ ตอนนี้ผมเริ่มได้ยินเสียงเครื่องครัวกระทบกันแว่วๆ มาเข้าหูนี่คงเข้ามาแล้วสินะ ที่จริงผมก็ไม่ใช่คนชอบทำกับข้าวกินเองสักเท่าไหร่หรอกนะครับ แต่ก็พอมีของสด อะไรติดไว้ทำอะไรง่ายๆ อยู่บ้างแหละครับ นี่ไม่รู้ว่าฝีมือทำอาหารของนายแมลงภู่นี่จะกินได้หรือเปล่า ผมรีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จก่อนจะหาเสื้อคลุมมาสวมทับชุดที่ใส่อยู่อีกที

“กินได้แน่เหรอ”ผมเดินเข้าห้องครัวยืนพิงประตูมองดูอีกคนที่กำลังทอดไข่ดาวอยู่

“ไม่รู้อะไรซะแล้วนี่เชฟภู่นะครับ”ทำเป็นอวดที่เห็นวางอยู่ในจานนั่นนอกจากไข่ดาวก็ขนมปังปิ้งแล้วก็ฮอทดอก ไอ้ของแค่นี้ใครๆ เค้าก็ทำได้หรอกผมเองก็ทำได้ มันไม่ใช่เมนูยุ่งยากหรือต้องใช้ฝีมืออะไรมากมายเลยสักนิด

“แล้วจะเสร็จยังเนี่ย หิวจนน้ำย่อยจะกัดกระเพาะละเนี่ย”ผมแกล้งเร่งด้วยความหมั่นไส้ แต่ดูๆ ไปมันก็ไม่เข้ากับบุคลิคของเด็กนี่เท่าไหร่นะครับ ออกจะดูกวนๆ แถมเจ้าชู้ไม่น่าจะมีมุมมาทำอาหารอะไรแบบนี้

“โหลุงไม่ช่วยแล้วยังจะมาเร่งอีก”เค้าตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้หันมามอง ยังคงวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมอาหารต่อ แม้คำพูดจะออกแนวตัดพ้อแต่น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก

“อาสาทำเองไม่ใช่เหรอ จะมาบ่นว่าคนอื่นไม่ช่วยทำไม อีกอย่างบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกลุง”ผมตอบกลับเค้าด้วยน้ำเสียงสบายๆ จริงๆ นี่ผมก็เริ่มจะชินกับการโดนเรียกลุงแล้วแหละครับ แต่ถ้ามาบ่อยๆ มากก็ไม่ดีหรอกนะครับ ไม่อยากเสียความมั่นใจ แม้จริงๆจะยังมั่นใจในหนังหน้าตัวเองก็เถอะ

“คร๊าบบบพี่แปง แบบนี้พอได้ปะพี่”เค้าหันมาเรียกผมเสียงอ้อนพร้อมทำหน้าทะเล้น ถ้าแค่เรียกพี่เฉยๆ นี่มันลำบากมากหรือไงไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“เรียกพี่นะดีแล้ว แต่สีหน้าเวลาพูดไม่ต้องกวนจะได้ไหม”กลิ่นอาหารโชยมาเตะจมูกจนผมแทบจะลืมความหงุดหงิดที่ทำให้ตื่นก่อนเวลาไปเสียสนิทแล้ว ก็คงอย่างที่เด็กนี่บอกแหละครับถือเสียว่าอาหารเช้ามื้อนี้เป็นการไถ่โทษจากเค้า การที่เด็กรู้จักสำนึกผู้ใหญ่อย่างผมก็ควรให้อภัยจริงไหมครับ

“โอเคครับผม ตอนนี้น้องภู่ว่าพี่แปงไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนดีกว่าเดี๋ยวน้องภู่ทำเสร็จจะยกไปเสิร์ฟนะครับ”ผมถอนคำพูดทันไหมครับ เพราะคำพูดเค้า นี่คือไม่กวนแล้วถูกไหมครับ ตอนอายุเท่าเค้าผมว่าผมก็ไม่ได้ไปทำตัวกวนประสาทใครแบบนี้ แล้วทำไมผมต้องมาเจอเด็กกวนประสาทแบบนี้ละเนี่ย

“มาแล้วครับ เชฟภู่ชวนชิม”จานอาหาร 2 จานถูกวางลงบนโต๊ะทั้งสองจากหน้าตาไม่ต่างกัน มีไข่ดาว ฮอทดอก ขนมปังปิ้ง คนถือมาวางทำท่าภูมิใจกับฝีมือตัวเองเสียเหลือเกิน

“กินได้แน่นะ”ผมแกล้งใช้ซ่อมจิ้มๆ อย่างหวาดๆ ขวดซอสมะเขือเทศและซอสพริกถูกส่งมาให้ผมเลือก แต่ผมรับทั้งสองอย่างมาเทผสมกันลงในจาน ก่อนจะเริ่มชิมแต่ละอย่างทีละนิดทีละหน่อย ก็อย่างที่บอกครับอาหารพวกนี้ใครๆ ก็ทำได้ แถมอาจจะด้วยความหิวของผมด้วย ก็เลยส่งผลให้เวลาเพียงไม่นานนักจานของผมก็ว่างเปล่า คนที่นั่งทานตรงข้ามผมจ้องมองผมยิ้มๆ ด้วยความพอใจ แต่ผมชักจะหมั่นไส้รอยยิ้มนี้ขึ้นมาบ้างแล้วครับ

“อร่อยใช่ไหมละ”เค้าถามผมอย่างภูมิใจ แต่มีเหรอครับผมจะชมให้เค้าได้ใจ ไม่มีทางซะหรอก

“เอางี้ไหม เดี๋ยวผมมาทำอาหารเช้าให้พี่กินทุกวัน”ผมเงยหน้าจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ จะมาอยากทำอาหารเช้าให้ผมกินทุกวันทำไม หรือเด็กนี่คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย แล้วนี่ผมดันนึกถึงสัมผัสหยุ่นๆ ที่เด็กนี่เคยฝากไว้บนแก้มผมขึ้นมาเสียนี่

“คิดไรปะเนี่ยลุง ผมไม่ได้คิดไรกะลุงหรอกน่าแต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน”

“งั้นพี่ขอปฏิเสธ”ไม่ต้องฟังข้อเสนอให้เสียเวลาเพราะมันคงต้องไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่นอนครับผมมั่นใจ

“โหพี่แปงคนใจดีของน้องภู่ ฟังข้อเสนอน้องภู่ก่อนสิครับ”นี่คือคำขอร้องจริงๆ ใช่ไหมครับเนี่ยแค่เริ่มต้นผมก็ว่าชีวิตผมมันเริ่มวุ่นวายแล้ว ถ้าผมตกลงตามเงื่อนไขของเด็กนี่ชีวิตผมจะยิ่งไม่ป่วนไปกว่านี้เหรอครับเนี่ย

“น้องภู่ดูปากพี่แปงนะครับ ไม่ฟัง”ผมน้ำเสียงดังฟังชัดก่อนจะรีบหยิบจานเปล่าที่ทานอาหารเสร็จแล้วเดินตรงเข้าครัวเพื่อเอาไปล้าง

“งั้นพี่ยังไม่ต้องตกลงหรือปฏิเสธคำขอของผมก็ได้ แต่พี่รับฟังผมก่อนแล้วกันนะครับ”เค้าเดินตามผมเข้าในห้องครัวพร้อมพูดด้วยเสียงหม่นๆ แวบนึงผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วเค้าเหมือนจะมีความเหงาอยู่ในน้ำเสียงนั้น ดูชีวิตเค้ากับผมนี่มีทั้งส่วนคล้ายและต่างกันนะครับ ผมอยากมาใช้ชีวิตคนเดียวมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง แต่เค้าเพิ่งจะอายุแค่นี้กลับต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง

“ไหนลองว่ามาสิ”ผมหลุดปากออกไป คิดว่าแค่รับฟังก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่เนอะ

“คือผมจะซื้อกีตาร์อ่ะพี่ แต่ตังค์ไม่พอเลยต้องเก็บตังค์เพิ่ม”ผมหันไปมองเค้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่าการเก็บตังค์เพิ่มสำหรับซื้อกีตาร์นี่มันเกี่ยวอะไรกับการมาทำอาหารเช้าให้ผมทานทุกวัน

“จะให้พี่จ้างเราทำอาหารเช้าหรือไง”ผมลองเดาในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้

“มันก็ไม่เชิงหรอกพี่ แค่ผมเป็นคนมาทำให้พี่ทาน ผมก็ทานกับพี่ด้วย ผมลงแรงกายพี่ออกวัตถุดิบ จานชามเดี๋ยวผมจัดการให้หมดเลย ผมก็จะได้เก็บค่าข้าวตอนเช้าไว้สมทบทุนการซื้อกีตาร์ไง ผมรู้ว่าพี่เป็นคนจิตใจดีพี่ต้องช่วยเหลือเด็กดีอย่างผมจริงไหมครับ”หือกล้าพูดว่าตัวเองเป็นเด็กดี

“ทำไมไม่ขอตังค์ที่บ้านซื้อ”เท่าที่รู้บ้านเค้าก็มีฐานะไม่น้อยนะครับ แค่กีตาร์ตัวไม่กี่บาทไม่น่าจะต้องมาลำบากทำอะไรแบบนี้นี่นา

“เค้าไม่สนับสนุนผมนี่ดิพี่เอะอะก็บอกแต่เสียการเรียน ใจคอจะให้แต่ผมเรียนอย่างเดียวไม่ให้ทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย”ผมชะงักกับคำพูดของเค้าเล็กน้อย เพราะนี่มันก็คล้ายๆ กับชีวิตผมตอนสมัยเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ผมอาจจะไม่กล้าคิดทำอะไรเองแบบเด็กตรงหน้านี้ ตัวผมก็แค่เดินตามกรอบที่พ่อกับแม่วางไปเรื่อยๆ

“งั้นลองดูก็ได้ แต่ถ้ารสชาดอาหารไม่ถูกปากพี่เมื่อไหร่ ข้อตกลงเราเป็นอันยกเลิกโอเคไหม”เห็นแก่ความตั้งใจของเด็กหรอกนะครับ ทีแรกนึกว่าจะเป็นเด็กเกเรไปวันๆ ไม่นึกว่าจะมีมุมคิดอะไรแบบนี้ ถึงจะเป็นความคิดที่ประหลาดไปบ้างแต่ก็จัดว่ายังคิดดีแล้วกันครับ อยากได้ของก็ไม่ใช่สักแต่ว่าขอพ่อแม่ เก็บเงินซื้อด้วยตัวเองแบบนี้ก็นับว่าใช้ได้ครับ

“จริงดิพี่ พี่ตกลงแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะ พี่อยากทานอะไรบอกผมได้เลย ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ นะพี่”นี่มันจำเป็นต้องดีใจขนาดนี้ไหม เค้าเดินเข้ามาจับมือผมพร่ำบอกว่าขอบคุณอย่างดีใจ ก่อนผมจะต้องตกใจเมื่อเค้าดึงผมเข้าไปกอด

“ขอบคุณมากนะพี่ ไว้ผมได้กีตาร์เมื่อไหร่จะมาเล่นให้พี่ฟังคนแรกเลย”แม้จะตกใจที่เค้ามากอดแต่ก็อดจะยิ้มไม่ได้ครับ เพราะรู้สึกเอ็นดูเด็กนี่ขึ้นมาบ้างแล้ว แม้จะตัวโตกว่าผม แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กแหละครับ ยิ่งท่าทางดีใจของเค้านี่ยิ่งชัดเลยเหมือนเด็กที่กำลังรอของเล่น หรือรอรางวัลจากผู้ใหญ่

“แต่ถ้าเพลงเหมือนเมื่อเช้าก็ไม่ไหวนะ”ผมบอกขำๆ ก่อนจะค่อยๆ ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเค้า เค้าหัวเราะเบาๆ พร้อมจ้องมองมาที่ผม

“พี่นี่มองใกล้ๆ แล้วน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย”





TBC

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 5
ประทับใจ




“ขอบคุณครับลุง”เสียงคนที่นั่งมากับผมหันมาบอกอย่างทะเล้น ก็ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนาว่าผมอายุมากกว่า แต่ผมก็เริ่มปลงแล้วละครับ โมโหไปก็เท่านั้น แถมยิ่งถ้าผมฮึดฮัดไม่พอใจ เด็กโย่งนี่ยิ่งเหมือนสนุก ถึงเค้าจะกวนๆ ไปบ้างแต่การมีเด็กนี่ก็ช่วยให้ไม่เหงาดีเหมือนกันนะครับ แถมมีคนทำอาหารเช้าให้กินอีกด้วย

“วันนี้ไม่เถียงแฮะ ตกลงผมเรียกลุงได้แล้วใช่ไหมครับ”ผมหันไปแกล้งทำเป็นมองตาขวางพร้อมชี้ให้ลงจากรถ จริงๆ ก็ไม่ใส่ใจแล้วแหละครับ อยากเรียกอะไรก็เรียกไป ช่วงนี้เหมือนเราสองคนสนิทกันมากขึ้นคงเพราะกินข้าวด้วยกันทุกเช้า แล้วผมก็ให้เค้าติดรถมาลงปากซอยทุกวัน ก่อนจะต่อรถไปโรงเรียนอีกทาง นี่ถ้าที่ทำงานผมไปทางเดียวกันกับโรงเรียนเค้าก็คงนั่งไปด้วยกันแล้วมั้งครับเนี่ย

“เออ พี่แปงรอแป๊บนึงดิ”เค้าหันกลับมาพูดกับผมอีกทั้งที่เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว ผมพยักหน้ารับอย่างงงๆ เจ้าตัวคนพูดก็วิ่งหายไป ไม่นานก็กลับมาเคาะกระจกให้ผมลดกระจกลง

“อะไร”ผมถามอย่างงงๆ เมื่อเค้ายื่นถุงปาท่องโก๋เข้ามาให้ผม

“อะไรกันลุง โตจนป่านนี้ไม่รู้จักปาท่องโก๋เหรอ”นี่ก็จะกวนให้ได้ทุกเรื่องสินะ

“รู้จัก แต่จะมาให้ทำไมข้าวเช้าก็กินแล้ว อีกอย่างไหนบอกเก็บตังค์ซื้อกีตาร์ ใกล้ครบแล้วเหรอค่ากีตาร์อ่ะ”พูดเรื่องกีตาร์นี่ก็ทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน คือไอ้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีอะไรสักเท่าไหร่ เป็นแค่ฟังอย่างเดียว พวกเครื่องดนตรีอะไรก็ไม่สันทัดหรอกครับ ได้ยินทีแรกว่าเด็กนี่จะซื้อกีตาร์ไอ้ผมก็นึกว่าตัวละ 7-8 พัน หรือเต็มที่ก็คงสักหมื่นสองหมื่น แต่ที่ไหนได้ ไอ้กีตาร์ที่เด็กนี่อยากได้ราคาตั้งครึ่งแสน

“อันนี้ 20 บาทเองพี่ผมให้ แล้วนี่ผมก็ลดค่าวินมอ’ไซต์ได้จากการติดรถพี่มาลงปากซอยนี่ไง เมื่อเช้าเห็นพี่ทานข้าวไปนิดเดียวเอานี่ติดไปด้วยเผื่อหิว แล้วร้านนี้อร่อยมาก พี่ต้องลอง”ผมรับมาพร้อมยิ้มให้เค้าอย่างเอ็นดู

“ขอบใจ ไปได้แล้วเดี๋ยวก็เข้าเรียนสายพอดี”นี่ผมว่าผมเริ่มจะกลายเป็นลุงอย่างเจ้าเด็กนี่ว่าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย ดูๆ ไปผมก็เหมือนผู้ปกครองมาส่งลูกหลานไปโรงเรียนจริงๆ นั่นแหละครับ

“โอเคครับ ลุงก็ตั้งใจทำงานล่ะ”มันใช่ไหมละเนี่ย มีเด็กที่ไหนมาบอกผู้ใหญ่ให้ตั้งใจทำงานกันละเนี่ย ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ก้มมองถุงปาท่องโก๋ที่ผมวางไว้ ก่อนจะขับรถมุ่งตรงไปยังที่ทำงาน บรรยากาศยามเช้าของกรุงเทพฯ ก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นทุกวันครับ การจราจรที่เริ่มจะหนาแน่น ผู้คนควักไขว่ รีบเร่งเพื่อไปทำหน้าที่ของแต่ละคน ผมโชคดีหน่อยตรงที่มีเส้นทางหลบเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด อาจมีบางช่วงที่ต้องเจอติดบ้างนิดหน่อย แต่ก็เพียงไม่นาน

ผมถึงออฟฟิศก่อนเวลาเริ่มงานเหมือนทุกๆ วัน และบรรดาพี่ๆ เพื่อนร่วมงานผมก็ยังไม่มากันเช่นเดิม ปกติพวกพี่ๆ เค้ามักจะมากันแบบฉิวเฉียดนั่นแหละครับยิ่งพี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง สองคนนั้นนี่แทบจะวินาทีสุดท้ายกันทั้งคู่ แต่ในเรื่องงานผมก็ต้องชื่นชมทั้งคู่นะครับ นี่ขนาดผมเพิ่งได้ร่วมงานด้วยไม่นานผมยังสัมผัสได้ว่าทั้งสองทำงานออกมาได้ดีมากจริงๆ ยิ่งพี่ต้าร์ จากที่ผมปลื้มพี่เค้าเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ยิ่งได้มาทำงานร่วมกันผมก็ยิ่งปลื้มเข้าไปใหญ่

“ยิ้มไรอยู่คนเดียวนิ”คำพูดของคนที่เพิ่งเข้ามาทำเอาผมเกือบหัวใจวาย ที่จริงแค่คำพูดมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่คนที่พูดประโยคนี้คือคนที่ผมกำลังนึกถึง แล้วพี่แกไม่ได้เข้ามาพูดแบบทำธรรมดา แกเล่นยื่นหน้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หน้าแกแทบจะชนกับหน้าผมอยู่แล้ว ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ใจผมมันคงรัวเป็นตีกลองไปแล้ว

“ปะ...เปล่าพี่”ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พี่ต้าร์ยักคิ้วกวนๆ ให้ผม ก่อนจะเอื้อมมือไปทางด้านหลังของผมโดยที่สายตายังจ้องมองผมอยู่ในระยะประชิดเหมือนเดิม

“ขอหน่อยนะ เมื่อเช้าสายไม่ทันได้กินอะไรเลย”ปาท่องโก๋ที่วางอยู่ด้านหลังผมถูกหยิบเข้าปากพี่ต้าร์อย่างถือวิสาสะ ผมพยักหน้าพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ไม่ใช่ว่าหวงของอะไรหรอกนะครับ แต่สเตปการขอกินของพี่แกนี่มันทำเอาผมใจเต้นนี่สิ

“หืออร่อยนะเนี่ย แปงชิมยังเนี่ย อ่ะๆ ชิมดู”ปาท่องโก๋ที่พี่ต้าร์กัดไปแล้วถูกดึงส่วนปลายขนาดพอดีคำยื่นมาให้ผม พี่ต้าร์พยักหน้าเร่งให้ผมอ้าปากรับปาท่องโก๋ที่จ่อรอที่ปากผม ทำให้ผมต้องอ้าปากรับอย่างไม่กล้าปฏิเสธ และดูเหมือนคนป้อนผมจะยิ้มพอใจเหลือเกินที่ป้อนผมสำเร็จ ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับอีกคน เพราะเค้าโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมอีกแล้ว

“อิต้าร์ นี่แกนอกใจเมียมาสวีทกับน้องแปงของเจ้เหรอ”เสียงของเจ้โอ๋ เหมือนระฆังช่วยชีวิตผม ที่กำลังทำตัวไม่ถูก

“น้องฟ่างมาดูเลย เดี๋ยวจะหาว่าพี่ใส่ร้ายมัน ต้าร์มันกำลังจะนอกใจฟ่าง”เจ้โอ๋หันไปดึงแขนพี่ข้าวฟ่างเข้ามาในวงสนทนาอีกคน ตกลงนี่ผมก็ยังชักงงๆ กับความสัมพันธ์ของพี่ๆ เค้าเหมือนกันนะครับ ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเล่น บางทีก็ทำเอาใจหายใจคว่ำเหมือนกัน

“เจ้ไอ้นั่นเมียเก่า เบื่อแล้วผมยกมันให้เจ้ไปเคลมรับช่วงต่อได้เลย ตอนนี้ผมจะขอมีเมียใหม่ ใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า มาขอจุ๊บเหม่งทีนึง”และโดยไม่ทันตั้งตัวพี่ต้าร์ก็ดึงผมเข้าไปกอด ก่อนจะจุ๊บที่หน้าผากผมอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมแทบจะตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกคือไม่คิดว่าพี่ต้าร์จะเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้ เรียกว่าช็อคก็ได้ครับงานนี้ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคนที่เราแอบปลื้มมานานอยู่ๆ มาจูบ ถึงมันจะแค่จูบแบบเล่นๆ มันทั้งตกใจ ดีใจ ทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“น้องฟ่างดูสิ เราจะน้อยหน้าเค้าไม่ได้นะ น้องฟ่างมาให้เจ้จุ๊บเหม่งบ้างดิ”เจ้โอ๋รีบบอกด้วยเสียงสูงปรี๊ด ส่วนอุณหภูมิที่ใบหน้าผมก็คงเล่นขึ้นสูงปรี๊ดไปแล้วเช่นเดียวกัน

“หยุดครับเจ้ ช่วงนี้ผมยังไม่ขาดของ คงยังไม่ได้ใช้บริการเจ้เร็วๆ นี้แน่ๆ ส่วนมึงไอ้ต้าร์ เลิกแกล้งน้องได้แล้ว ดูแปงเค้าหน้าแดงหมดแล้วเห็นไหม”ว่าแล้วไหมละว่าหน้าผมคงแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว

“มึงอย่ามาห้ามกูไอ้ฟ่าง มึงมันก็แค่เมียเก่าปลดระวาง น้องแปงของกูสดใหม่ เร้าใจกว่า”ตอนนี้ถ้ามุดโต๊ะลงไปได้ผมคงทำไปแล้วครับ พี่ต้าร์นี่ก็โอบผมเสียแน่นเชียวครับ

“ต้าร์ ฟ่าง ตามมาพบผมที่ห้องด้วย”เสียงเฉียบ ขรึมดังขึ้นทำให้พวกเราทั้ง 4 คนเงียบไปตามๆ กัน ไม่ใช่ใครหรอกครับที่เป็นเจ้าของคำพูดนั้น เจ้านายของพวกเราเองนี่แหละครับ พี่ต้าร์กับพี่ฟ่างมองหน้ากันพร้อม ขยับปากโดยไม่มีเสียงถามกันไปมาว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะลุกเดินตามนายไปทั้ง 2 คน ส่วนเจ้โอ๋ก็ให้กำลังใจทั้งคู่ด้วยการยกนิ้วขึ้นทำท่าปาดคอ

“นี่จะโดนดุเรื่องที่เล่นกันหรือเปล่าพี่”ผมถามอย่างไม่ได้จริงจังนักเพราะเห็นออฟฟิศนี้ก็เล่นกันสบายๆ อยู่แล้ว จากที่อยู่มาก็เห็นทุกคนว่าขอให้งานเสร็จ งานออกมาดี จะเล่นจะอะไรก็ให้อยู่ในขอบเขตทำได้หมดแหละครับ

“ดูเครียดขนาดนี้เจ้ว่า เรื่องงาน แล้วเรียกแพคคู่แบบนี้คงงานไหนสักงานที่สองคนนั้นรับผิดชอบอยู่ แล้วจากสถิติการเรียกเข้าห้องเย็นแบบนี้ งานมีปัญหาชัวร์ สองผัวเมียนั่นหัวฟูแน่นอนงานนี้ เจ้ไปดีกว่า เจ้ไม่อยากโดนหางเลข”เจ้โอ๋ไม่รอให้ผมถามต่อเลยว่าสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้คืออะไร เจ้แกหายวับไปแค่ชั่วพริบตาเลยก็ว่าได้ครับ

จากที่คิดเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง หรือการที่พี่ต้าร์เล่นแกมหยอกผมอยู่นี้มันหมายความว่ายังไง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมมีความกังวลร่วมไปกับพี่เค้าทั้งสองคน จากที่มองผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่ ท่าทางดูเครียดกันทุกคนเลย

“แปงน้องรักพี่ขอกำลังใจหน่อย”ทันทีที่ออกมาพี่ต้าร์ก็เดินเข้ามาสวมกอดผม โดยไม่ปล่อยให้ผมตั้งตัวเลย เล่นเอาผมเกร็งจนทำอะไรไม่ถูกเลยแหละครับ

“พอเลยไอ้ต้าร์ มึงนี่เวลายิ่งเหลือน้อยก็ยังจะเล่นอีก”พี่ฟ่างฟาดกระดาษลงมาที่หัวของพี่ต้าร์ ทำให้พี่ต้าร์ผละออกจากผม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่ถ้าพี่ต้าร์เล่นแบบนี้บ่อยๆ ผมชักจะเริ่มคิดจริงๆ แล้วนะครับ

“ไรวะมึง อย่าลืมสิว่าแปงคือความหวังของพวกเรา”พี่ต้าร์หันไปคุยกับพี่ฟ่างที่ดูเหมือนจะเข้าใจกันอยู่แค่ 2 คน ปล่อยผมเอ๋อรับประทานไม่รู้เรื่องรู้ราวกระพริบตาปริบๆ มองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความหวังว่าจะมีใครอธิบายผมสักหน่อย

“เอาแบบย่อๆ นะน้องแปงคือโปรเจกต์ที่พี่สองคนทำอยู่เนี่ย ลูกค้าขอเลื่อนกำหนดส่งงาน จากเดิมคือส่งสัปดาห์หน้า เป็นส่งภายในวันนี้”นี่สินะสาเหตุที่ดูทุกคนเครียดกัน ลูกค้านี่ก็เหลือเกินเห็นว่าเป็นลูกค้าแล้วจะเอางานตอนไหนก็ได้หรือไง ว่าแต่แล้วผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง

“แปงต้องช่วยพี่สองคนทำให้เสร็จก่อน 4 ทุ่มคืนนี้ รายละเอียดเดี๋ยวพี่จะบรีฟให้พร้อมเริ่มทำ อันดับแรกคงต้องแบ่งส่วนงานที่เหลือออกก่อน แล้วรับผิดชอบของแต่ละคน แล้วค่อยเอามารวมกันอีกที”พี่ต้าร์หันมาอธิบายผมด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังกว่าปกติ ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ

“เอาน่าอย่าเพิ่งถอนหายใจ ยังไงนายก็ยังต่อรองเวลาจาก 5 โมงเย็นเป็น 4 ทุ่มได้ก็ยังดี”พี่ฟ่างตบไหล่เหมือนปลอบใจเพื่อน

“ก็ลองเอา 5 โมงสิยังไงมันก็ไม่ทัน นี่ทำ 3 คนให้ทัน 4 ทุ่มนี่ก็คงลุ้นแบบหืดขึ้นคอกันทีเดียว”พี่ต้าร์ยังคงบ่นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

“อย่าเพิ่งขู่มาก เดี๋ยวแปงก็กลัวพอดี แปงไม่ต้องเครียดตามไอ้ต้าร์มันละ ค่อยๆ ทำไปจุดไหนไม่เข้าใจหรือไม่มั่นใจก็ถามพวกพี่สองคนได้ แล้วก็จริงๆ เวลาส่งงานลูกค้าให้ถึง เที่ยงคืนแหละ แต่นายอยากขอรันดูก่อน เผื่อต้องแก้อะไรจะได้แก้ไขทัน ยังไงคงต้องเหนื่อยสักนิดแหละนะวันนี้”พี่ฟ่างหันมาให้กำลังใจผม จริงๆ ผมก็เครียดแหละครับ เพราะเพิ่งมาทำงานไม่นาน แล้วงานนี้ผมก็ไม่ได้ดูตั้งแต่แรก แถมต้องทำในเวลาจำกัดขนาดนี้แต่ก็คงต้องทำให้เต็มที่แหละครับ

“มา เริ่มกันดีกว่าจากนาทีนี้ไปเราคงไม่ได้คุยภาษามนุษย์กันแล้ว”นั่นคงเป็นภาษามนุษย์ประโยคสุดท้ายจากปากของพี่ต้าร์ แล้วเราทั้ง 3 ก็หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ประจำตัวของแต่ละคน เราต่างคนต่างรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง ผมพยายามทำความเข้าใจกับงานตรงหน้าให้ได้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้ทั้งพี่ต้าร์และพี่ฟ่างต้องสะดุดกับงานที่กำลังทำมาอธิบายกับผมอีกรอบ

เวลาที่ทำอะไรแข่งกับเวลานี่ เวลามันมักจะเดินเร็วเสมอ ผมว่านี่ผมคงยังทำในส่วนที่รับผิดชอบไปไม่ถึงครึ่ง แต่มองนาฬิกาตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายสองแล้ว เรียกว่าเห็นนาฬิกานี่ทั้งตกใจที่เวลาน้อยลงทุกที แถมนี่ทำงานจนลืมเวลากินข้าวไปแล้วครับ

“แปงไปพักกินข้าวก่อนไหม ต้าร์มันฝากเจ้โอ๋ซื้อข้าวกล่องมาให้แล้ว”พี่ฟ่างพูดกับผมโดยที่สายตรยังคงจ้องที่หน้าจอเหมือนเดิม ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่หิวหรอกนะครับ แต่พอรู้เวลาปุ๊ปมันหิวขึ้นมาทันทีเลย แต่พอเห็นพี่ทั้งสองที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานแล้วจะให้ผมไปกินก่อนได้ไงละเนี่ย

“ไม่ต้องเกรงใจ หิวก็กินก่อนเลย กองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง หิวแล้วไม่กินเกิดปวดท้องขึ้นมาทำงานต่อไม่ได้อีกมันจะแย่เอา”พี่ต้าร์หันมาบอกพร้อมส่งยิ้มให้ผม

“เอางี้ถ้าแปงกินเสร็จกลับมาเดี๋ยวพี่ไปกินต่อเลย โอเคไหม”เมื่อเห็นผมยังลังเลพี่ต้าร์เลยยื่นข้อเสนอเพิ่มมาให้ นี่สรุปยังไงผมก็คงต้องไปกินก่อนสินะ เป็นอันว่าผมก็ลุกออกมากินข้าวเป็นคนแรก จริงๆสำหรับผม เอาไปวางหน้าจอทำไปกินไปก็ยังได้นะครับ แต่พี่ๆ ว่าควรมีช่วงเบรกบ้างไม่งั้นจะล้าจนเกินไป ผมก็รีบทำเวลาให้เร็วที่สุดแหละครับไม่อยากเป็นตัวถ่วง เพราะนี่ผมคงทำงานได้ช้ากว่าพี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว นี่ขนาดว่าเค้าแบ่งส่วนน้อยให้ผมแล้วนะครับ

“อ้าวมาแล้วเหรอ พอดีพี่ช่วยดูว่ามันเป็นไงบ้าง”ผมต้องแปลกใจนิดหน่อยเพราะพอกลับมาที่โต๊ะ พี่ต้าร์ก็นั่งแทนที่ผมอยู่ แต่พอผมมาแกก็ลุกบอกจะไปทานข้าวทันที

“พี่ฟ่างยังไม่ไปทานข้าวเหรอครับ”ผมหันไปถามอีกคนที่ยังคงนั่งจ้องหน้าจอ

“อีกนิดนึงจะไปละ ไม่เกิน 5 นาที”ผมไม่ได้เซ้าซี้พี่เค้าอีก หันมาสนใจงานของตัวเองต่อ แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเพราะเหมือนงานผมจะเสร็จเพิ่มอีกเยอะเลย ผมอมยิ้มก่อนจะหันมองไปตามทางที่อีกคนเดินไปทานข้าว ผมรีบตั้งใจทำงานต่อด้วยรอยยิ้มที่แทบหุบไม่ว่าพี่เค้าช่วยทำเพราะกลัวงานไม่เสร็จ หรือช่วยเพราะอะไรอย่างอื่นก็เถอะ แต่สิ่งที่พี่เค้าทำ มันทำให้ผมประทับใจ

“ขอบคุณทั้ง 3 คนมากเลยนะ เสร็จก่อนเวลาอีกเนี่ย”หลังจากที่นายตรวจสอบงานเรียบร้อย ไม่มีจุดไหนที่ต้องแก้ไขอีก ทั้งผมและพี่ๆ ก็ยิ้มแก้มปริกันแหละครับ แม้วันนี้จะเหนื่อยทั้งวันที่ต้องนั่งอยู่กับหน้าจอไม่ได้ขยับไปไหนเลยก็ตาม

“งานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปหาไรกินกันเติมพลังงานที่สูญเสียกันดีกว่า”พี่ต้าร์เดินมาบอกพร้อมกอดคอผมอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ได้เกร็งเหมือนครั้งก่อนๆ แล้ว

“ไปด้วยกันนะแปง ห้ามปฏิเสธด้วย เดี๋ยวพวกพี่เลี้ยงเอง”พี่ฟ่างเข้ามาย้ำอีกคนเมื่อเห็นผมยังไม่ยอมตกลง งานนี้จะให้ผมปฏิเสธได้ยังไงละครับ แถมนี่ก็ 3 ทุ่มแล้วด้วย อยากบอกว่าหิวจนจะกินช้างได้อยู่แล้วครับ ยิ่งการอยู่กับภาษาคอมพิวเตอร์มายาวนานทั้งวันแบบนี้ มันเหนื่อยกว่าการทำงานปกติเพิ่มไปอีกสัก 2 เท่าแล้วครับ เป็นอันว่าเราทั้ง 3 คนรีบเก็บข้าวของเพื่อมุ่งตรงไปยังร้านประจำของพี่ๆ เขาแหละครับ แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากออฟฟิศ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วนิดนึงเมื่อเห็นชื่อว่าใครโทรเข้ามา แต่ก็บอกให้พี่สองคนล่วงหน้าไปเลย ก่อนผมจะกดรับสาย

“ลุงจะกลับบ้านตอนไหนคร๊าบบ”น้ำเสียงกวนๆ ครั้งนี้ทำไมผมรู้สึกว่าน่าเอ็นดู เหมือนเด็กๆ รอผู้ปกครองกลับบ้านยังไงไม่รู้

“พี่เพิ่งเสร็จงาน กำลังจะไปกินข้าวกับพี่ๆ ที่ทำงาน ภู่มีอะไรหรือเปล่า”ผมถามพร้อมหยิบเป้ขึ้นสะพายเพื่อตามพี่สองคนที่เดินนำไปแล้ว

“ไม่มีอะไรครับ แค่เห็นบ้านยังเงียบๆ อยู่เลยโทรมาถามดู ว่าแต่ทำไมวันนี้ลุงดูน้ำเสียงเหมือนมีความสุขจัง มีอะไรดีๆ หรือเปล่า”สายตาผมมองไปยังคนที่เดินนำหน้าผมอยู่ นั่นละมั้งเรื่องดีๆ ของผมในวันนี้

“ไม่มีอะไรหรอก ยังไว้เจอกันพรุ่งนี้ตอนมื้อเช้าละกันนะ”ผมบอกทั้งที่ยังยิ้มอยู่ วันนี้ต่อให้เจ้าเด็กโย่งนี่จะกวนประสาทผมก็จะไม่ถือสาครับเพราะมันเป็นวันดีๆ ของผม แต่จะว่าไปวันนี้เด็กโย่งนี่ก็ไม่ค่อยกวนเท่าไหร่นะครับ ออกจะผิดวิสัยอยู่สักหน่อย แต่ช่างเถอะ

“งั้นพรุ่งนี้ผมทำข้าวต้มกุ้งให้กินละกันนะครับลุง แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ แก่แล้วเดี๋ยวตามองไม่เห็นทาง”นั่นไง ยังไม่ทันขาดคำก็กวนมาอีกแล้ว ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ นี่ผมสนิทกับเด็กนี่แล้วเหรอก็ยังงงๆ กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมวางสายจากภู่ก่อนจะรีบตามพี่ๆ อีกสองคนให้ทัน ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงที่หมาย เป็นร้านที่ตกแต่งให้ดูเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ นี่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีร้านแบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย

“แปงไม่ลองสักหน่อยเหรอ เบียร์วุ้นร้านนี้เด็ดอย่าบอกใครเลยนะ ต้องโดนสักหน่อยรับรองสดชื่นหายเหนื่อยเลย”พี่ต้าร์ทำท่าแปลกใจที่ผมปฏิเสธว่าแทบไม่เคยดื่มเลย แถมยังพยายามเกลี้ยกล่อมผมให้ลองอีกต่างหาก แต่ผมก็ยังปฏิเสธเพราะไม่ถนัดจริงๆ กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนี่ย

“ขอตัวรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ”พี่ฟ่างหยิบโทรศัพท์พร้อมเตรียมลุกออกไป

“นี่ชู้โทรมาอีกแล้วเหรอตัวเอง เค้าหึงนะ”พี่ต้าร์จงใจแกล้งพูดให้เสียงตัวเองลอดเค้าไปให้อีกฝั่งที่โทรมาหาพี่ฟ่างได้ยิน เลยโดนพี่ฟ่างหันกลับมาชูนิ้วกลางกลับมาให้ ซึ่งดูเหมือนพี่ต้าร์เองก็ไม่ได้จะสะทกสะท้านอะไร เหมือนจะชอบใจเสียด้วยซ้ำ ผมเองมองทั้งคู่ด้วยความไม่เข้าใจ ความคิดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผุดขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง

“มองไรเนี่ยเรา อย่าบอกนะว่ายังคิดว่าพี่กับไอ้ฟ่างเป็นมากกว่าเพื่อนกันอยู่”ผมไม่ได้ตอบแต่แค่ยิ้มแห้งๆ ให้ไปเท่านั้น

“คนที่โทรมานั่น คนสำคัญของฟ่างมันแหละ”ผมหันมองพี่ต้าร์อย่างสนใจครับเพราะเท่าที่เคยรู้จักพี่ฟ่างมา ผมก็ไม่เคยเห็นแกมีใคร แถมไอ้ผมก็ปักใจเชื่อมาตลอดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน

“แฟนพี่ฟ่างเหรอครับ”ผมถามด้วยอาการที่ปิดความอยากรู้ไว้ไม่มิด

“อยากรู้เหรอ”พี่ต้าร์โน้มหน้ายื่นข้ามโต๊ะมาพร้อมกวักมือเรียกให้ผม ยื่นหน้าเข้าไปด้วย แต่ผมเพียงแค่พยักหน้าแล้วนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม พี่ต้าร์เลยเอนตัวกลับแล้วหันไปหยิบแก้วเบียร์ที่รินน้ำสีอำพันใส่จนเต็มก่อนจะเลื่อนมาไว้ตรงหน้าผม

“หมดแก้วแล้วจะเล่าให้ฟัง”บอกพร้อมกับยักคิ้วให้กับผม ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธและตอบกลับว่าไม่อยากรู้แล้วก็ได้

“อะไรวะ โตมายังไงเนี่ยเหล้าเบียร์ก็ไม่แตะ”พี่ต้าร์บอกขำๆ แล้วดึงแก้วเบียร์กลับไปดื่มเอง ส่วนผมก็ดื่มน้ำอัดลมของตัวเองต่อ พร้อมตัดสินใจบางอย่าง

“แล้วแฟนพี่ต้าร์ละครับ”ผมตัดสินใจถามออกไป



TBC

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่ตาร์ หยอกเรื่อย ถึงเนื้อถึงตัวแปงตลอด
อย่างนี้ แปงก็แย่สิ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 6
สเปค




“แล้วยังไงต่ออ่ะแก เล่ามาๆ กำลังลุ้นเลย”ข้าวหอมรีบเร่งให้ผมเล่าต่อถึงเหตุการณ์วันก่อนที่ผมไปทานข้าวกับพี่ต้าร์และพี่ฟ่าง นี่ผมก็เล่าถึงตอนที่ผมถามพี่ต้าร์ว่าแกมีแฟนหรือเปล่านั่นแหละครับ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่ข้าวหอมหรอกครับที่อยากรู้ผมเองก็อยากรู้มากเหมือนกัน

“ก็แค่นั้นแหละ พอถามจบพี่ฟ่างก็ถือโทรศัพท์กลับมา บอกว่าน้องชายอยากคุยกับพี่ต้าร์ พอคุยโทรศัพท์จบก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กันอีกแล้ว”ผมบอกไปตามตรง

“น้องชายใคร น้องชายพี่ฟ่างอยากคุยกับพี่ต้าร์หรือน้องชายพี่ต้าร์ที่คุยกับพี่ฟ่าง ยังไง หอมงงไปหมดแล้ว”อย่าว่าแต่ข้าวหอมที่งงเลยครับ ผมเองก็งงที่อยู่ๆ พี่ฟ่างที่แยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์เดินกลับเข้ามายื่นโทรศัพท์ให้พี่ต้าร์ ทั้งที่ทีแรกพี่ต้าร์บอกว่าคนในสายคือคนสำคัญของพี่ฟ่าง

“น้องชายมึงจะคุยด้วย”พี่ฟ่างยื่นโทรศัพท์มาพร้อมบอกกับอีกคน

“น้องชายกูเหรอ”พี่ต้าร์ที่ตอบรับยิ้มๆ อย่างมีลับลมคมนัยซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับว่ามันหมายความว่ายังไง ผมเพียงยิ้มให้พี่ฟ่างที่นั่งลง ส่วนพี่ต้าร์ก็ลุกออกไปด้วยท่าทางไม่เต็มใจสักเท่าไหร่

“ว่ายังไงครับไอ้น้องชายสุดที่เลิฝจะว่าอะไรกูอีก”นั่นคือเสียงแว่วๆ ที่ผมได้ยินก่อนที่พี่ต้าร์จะเดินห่างออกไป

“จริงๆ แกน่าจะหัดดื่มบ้างนะแปง ถ้าแกดื่มตามที่พี่ต้าร์เสนอป่านนี้แกรู้อะไรดีๆ เยอะแล้วเนี่ย”ตัดกลับมาที่ข้าวหอมผู้ซึ่งกำลังทำเสียงหน่ายๆ ใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์

“มันเรื่องส่วนตัวพวกพี่เค้าไหมละแก”ผมรีบเบรคอารมณ์ของเพื่อนตัวดีให้ลดความเผือกลงก่อน

“แกนี่ก็ชักช้า แอบปลื้มพี่เค้ามาตั้งนาน มัวแต่ลีลาอยู่นั่นแหละ ถ้ามั่นใจว่าพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างไม่ได้เป็นอะไรกันแกก็คว้าพี่ต้าร์ไว้เลย จะได้มีผัว โอ้ย!”ดูเอาเถอะครับคำพูดคำจาของเพื่อนผม ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะฟาดเบาๆ ไปที่ต้นแขนของอีกฝ่าย แต่คุณเธอก็ทำท่าเจ็บเสียเต็มประดา

“แฟน แกจะได้มีแฟนสักทีไง แถมยังเป็นคนที่แกปลื้มมาตั้งนานแล้วด้วย แค่คิดชั้นก็ฟินแทนแกแล้วเนี่ย”เอาเข้าไปครับเหมือนตอนนี้เพื่อนผมจะหลุดเข้าโลกจินตนาการไปแล้ว แต่ผมเองยังไม่อยากจะคิดไปไกลหรอกครับ เพราะต่อให้พี่ต้าร์จะไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ฟ่าง ก็ไม่ได้แปลว่าพี่เค้ายังไม่มีใครเสียหน่อยจริงไหมครับ

“เมื่อไหร่พี่โตจะมารับแกเนี่ย”ผมเปลี่ยนเรื่องโดยไม่สนข้าวหอมที่เหมือนจะยังอยากพูดประเด็นของพี่ต้าร์ต่อ วันนี้ข้าวหอมไปหาผมที่ทำงานตอนที่กำลังจะเลิกงาน แล้วก็เลยกลับมากับผม ส่วนตอนกลับก็ค่อยให้แฟนมารับอีกทีนั่นแหละครับ

“ทำเป็นมาเปลี่ยนเรื่อง พี่โตอ่ะเดี๋ยวก็ถึงช่วงนี้รถติด ชั้นเองก็ไม่ได้รีบอะไร กลับมาเรื่องแกกับพี่ต้าร์อีกนิดนะ ชั้นว่าจากที่ฟังแกเล่า ชั้นว่าพี่เค้าก็เหมือนจะอ่อยแกอยู่นะ”หืม ตรงไหนที่ทำให้ข้าวหอมคิดว่าพี่เค้าอ่อยผมกันละเนี่ย

“กลับมาแล้วคร๊าบ ลุง”เสียงตะโกนพร้อมเด็กตัวโย่งที่เดินเข้าประตูมาทำให้ทั้งผมและข้าวหอมหันไปมอง ส่วนเจ้าของเสียงก็ชะงักอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว ที่เจ้าตัวกล้าเข้ามาอย่างถือวิสาสะขนาดนี้ เพราะช่วงนี้ทั้งมื้อเช้าและเย็นของผมแทบจะเป็นฝีมือของเด็กนี้เกือบทุกมื้อแล้วละครับ

“ขอโทษครับ ไม่นึกว่าพี่แปงมีแขก ว่าแต่พี่สาวคนสวยนี่ชื่ออะไรครับ ผมชื่อภู่นะครับ”ไอ้ประโยคแรกก็เหมือนจะดีอยู่นะครับ แต่ไอ้หลังๆ นี่คืออะไร แล้วเพื่อนผมนี่อีกพอเด็กชมว่าสวยหน่อย หน้าบานยิ้มจนปากจะฉีกแล้วเนี่ย

“พี่ชื่อข้าวหอมจ๊ะน้องสุดหล่อ นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่มีแฟนแล้ว ก็อยากจะถามน้องภู่สักหน่อยว่าชอบคนอายุมากกว่าบ้างไหม”แหม นี่เพิ่งเจอกันไม่ถึง 2 นาทีตกลงนี่จะดีลกันแล้วหรือไง

“อะแฮ่ม”ผมแกล้งทำเสียงให้ทั้งสองละสายตาจากกันก่อน

“ภู่กลับไปเปลี่ยนชุดก่อนไหมจะได้มาเข้าครัว หิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย”ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนการสั่งกลายๆ

“ครับผม”เด็กโย่งหันมาทำท่าตะเบ๊ะใส่ผมอย่างกวนๆ ก่อนจะหันหลังออกไป

“ใคร เล่ามาเลย”ทันทีที่เจ้าเด็กโย่งออกไปสายตาจับผิดจากเพื่อนตัวดีของผมก็จ้องเขม็งมาที่ผมอย่างคาดคั้น นี่ถ้าผมไม่เล่าอาจโดนแหกอกสินะครับเนี่ย ที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผมจะต้องปิดบังข้าวหอมหรอกนะครับ อีกอย่างผมกับเด็กนี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพื่อนบ้าน โอเคผมอาจจะเอ็นดูเด็กนี่อยู่บ้าง แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนี่แน่ๆ กวนประสาทก็เป็นที่หนึ่ง

“น้องข้างบ้านนี่แหละ เป็นหลานเจ้าของบ้านที่เช่าอยู่นี่แหละ เขาก็ฝากว่าช่วยๆ ดูแลให้ด้วยแค่นั้นแหละ ชั้นก็แค่เอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่งเท่านั้นเอง”ผมรีบอธิบายทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมต้องกลัวยัยข้าวหอมนี่เข้าใจผิด

“จริงอ่ะ”และแม้จะบอกไปขนาดนั้นแม่เพื่อนตัวดีของผมก็ยังทำท่าจะแซวไม่เลิกครับ

“จริงดิ”ผมต้องทำเสียงต่ำ สีหน้าจริงจังเพื่อยืนยันให้เพื่อนเข้าใจ

“แล้วทำไมต้องเขินด้วยอ่ะ”สายตาจับผิดของข้าวหอมยังคงจ้องมาจนผมต้องหลับตาและรีบปฏิเสธ

“บ้า ใครเขิน ไม่ได้เขิน”ผมว่าผมไม่ได้เขินจริงๆ นะครับ แค่รู้สึกไม่อยากสบตากะยัยนี่เวลาพูดเพราะสายตาดูเหมือนจ้องแต่จะจับผิดผม แล้วผมก็แค่ไม่รู้จะทำตัวยังไงแค่นั้นเอง มือไม้ก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนทำไมรู้สึกตัวเองเก้ๆ กังๆ ไปหมดเนี่ย  ผมว่าผมไม่ได้เขินจริงๆ นะครับ

“ไม่เขินก็ไม่เขิน ว่าแต่เมื่อกี้อะไร เปลี่ยนชุดเข้าครัวคืออะไร น้องสุดหล่อนั่นมาเป็นพ่อครัวส่วนตัวแกงี้เหรอ คือยังไง”ผมหันกลับมายิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ที่จริงด้วยความที่เราสนิทกันมากมีอะไรก็ต่างคนต่างเล่าให้กันฟังทุกเรื่อง แต่อาจเพราะช่วงนี้ผมแยกออกมาอยู่คนเดียวที่นี่แถมยังวุ่นๆ กับการเริ่มทำงาน เลยไม่ค่อยมีเวลาคุยกับข้าวหอม ผมก็เลยลืมเล่าเรื่องนี้ไปเลย พอโดนจี้ถามแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะครับเนี่ย

“ก็ไม่มีอะไร ต่างคนก็อยู่คนเดียวไง เลยมาทำกับข้าวกินด้วยกัน”ผมแอบอมยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งผมและเด็กข้างบ้านนั่นต้องมาทานข้าวด้วยกันแทบจะทุกเช้าเย็น นี่ถ้าเด็กนั่นเก็บเงินซื้อกีตาร์ได้ครบตามจำนวนเค้ายังจะมาทานข้าวกับผมแบบนี้อีกไหมนะ

“เกลียด นี่ชั้นกับพี่โตยังไม่มีโมเม้นต์อะไรแบบนี้เลย นี่แกย้ายมาอยู่ข้างนอกแปปเดี๋ยวมีทั้งหนุ่มในฝันอย่างพี่ต้าร์ แถมหนุ่มน้อยกางเกงขาสั้นวัยกรุ๊บกรอบนี่อีก แกไปทำเสน่ห์อาจารย์ไหน บอกชั้นมาเลยนะแปง”เสียงข้าวหอมพุ่งสูงปรี๊ดตะโกนใส่ผมด้วยความหมั่นไส้ แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การแหย่ผมเล่น  แต่ไอ้เสียงแหลมขนาดนี้ผมเองก็ต้องรีบเอามืออุดหูเหมือนกันแหละครับ

“เสียงดังไปถึงปากซอยแล้วหอม ทำไรเนี่ย”พี่โตที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง หรืออาจจะมีเสียงแต่เราสองคนมัวแต่คุยกันก็เป็นได้

“หวัดดีครับพี่โต”ผมทักทายตามปกติ ส่วนคุณเพื่อนตัวดีของผมนะเหรอครับ พอแฟนมาก็รีบไปสิง เอ้ย ไปคล้องแขนประกบยังกับกลัวใครจะแย่งงั้นแหละครับ ทั้งที่ก็อยู่กันแค่นี้

“ก็แปงอะพี่โต มีแฟนแล้วปิดเพื่อน แถมไม่มีธรรมดาด้วยนะมีทีเดียวสองคน”เอาเข้าไปครับเพื่อนผม นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาได้ยินคงตกใจแล้วคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีแน่ๆ ที่คบทีเดียวสองคน แต่โชคดีที่นี่คือพี่โตที่เข้าใจธรรมชาติของข้าวหอมผู้ซึ่งพูดทุกอย่างได้เกินจริงเกือบสิบเท่า และพี่โตเองก็รู้จักผมว่าเป็นคนยังไง

“นี่มีคนมาจีบแปงถึง 2 คนเลยเหรอ”นี่ขนาดว่าพี่โตพยายามตีความลดลงจากที่แฟนสาวของแกพูดแล้วนะครับ ก็ยังคลาดเคลื่อนอยู่ดี

“ไม่มีใครจีบหรอกพี่ หอมก็พูดไปเรื่อย”ผมรีบบอกก่อนที่พี่โตเองจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“อย่างพี่ต้าร์นั่นไม่เรียกจีบแล้วเรียกอะไรดี อ่อยแกงี้เหรอ”แต่ดูเพื่อนผมนี่จะไม่ยอมแพ้ครับ ทั้งที่ผมว่าที่จริงแล้วพี่ต้าร์เค้าก็คงเอ็นดูผมเหมือนรุ่นน้องคนนึงนั่นแหละครับ อีกอย่างผมเองก็เพิ่งเข้าทำงานใหม่ด้วย แถมเป็นน้องเล็กสุดในแผนก พี่ๆ เค้าก็ต้องเอ็นดูกันเป็นธรรมดาแหละครับ

“แต่จริงๆ พี่ว่าแปงมีแฟนก็ดีนะ จะได้ไม่เหงายิ่งออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ รีบมีแฟนอะดีแล้ว”พี่โตพูดพร้อมกับเอาถุงที่แกหอบพะรุงพะรังมา ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะเป็นกับข้าวเสียส่วนใหญ่ เอาละสิผมก็ลืมไปเลยว่าให้พี่โตซื้อกับข้าวมาทานด้วยกัน เอาไงดีละผมทีนี้ แต่พี่โตซื้อมาเยอะขนาดนี้แค่ชวนเด็กโย่งนั่นกินด้วยอีกคนไม่น่าจะเป็นไรหรอกมั้ง

“พี่โตไม่น่าซื้อกับข้าวมาเยอะแยะขนาดนี้เลย เดี๋ยวนี้แปงเค้ามีพ่อครัวส่วนตัวแล้วนะรู้หรือเปล่า”นั่นไงครับ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร คุณเพื่อนตัวดีผมก็วกมาแซวผมอีกแล้ว

“มาแล้วครับ”นี่ก็ตายยากเหลือเกินครับ ทั้งผม ข้าวหอม พี่โต หันไปมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ส่วนเจ้าของเสียงก็ชะงักไปเพราะคงไม่คิดว่าจะมาเจอใครเพิ่มอีกนอกจากข้าวหอม

“พี่แปงมีแขกแบบนี้...”นี่ก็จะมาแสดงอาการสงบเสงี่ยมอะไรตอนนี้ ทุกทีออกจะกวนสารทผมได้ตลอด แล้วคู่รักตรงหน้าผมนี่อีก พี่โตทีแรกก็ดูนิ่งๆ ไม่อะไรทีแบบนี้พร้อมใจกันหันมาจ้องผมด้วยรอยยิ้มล้อเลียนนี่อีก

“แขกที่ไหนเข้ามา นี่ก็ข้าวหอมไงรู้จักแล้ว นี่ก็พี่โตแฟนข้าวหอม”แล้วเจ้าเด็กโย่งนี่ก็ปรับสีหน้าเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าครับ ยิ้มแป้นเลยทีเดียว พอผมบอกให้เข้าบ้านมา เค้ายกมือไหว้พี่โตพร้อมกับแนะนำตัว

“เออมาๆ พี่ซื้อกับข้าวมาเยอะเลย มาทานด้วยกัน”พอบอกน้องมันเสร็จทำไมพี่โตต้องหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยละเนี่ย นี่ชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ให้คู่รักคู่นี้มาบ้านวันนี้

“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้ครับ”นี่ก็เหมือนรู้งานรีบรับถุงกับข้าววิ่งเข้าห้องครัวไปเลย ทั้งหอมทั้งพี่โตมองตามจนเค้าลับตาไปแล้วก็หันมาจ้องผมต่อ

“ยังไง ยังไง”แล้วนี่ทำไมสองคนนี้ต้องมาถามเหมือนผมทำความผิดหรือปิดบังอะไรไว้ละเนี่ย

“เดี๋ยว...ไปช่วยน้องแกะกับข้าวก่อนนะ”ผมตัดบทโดยไม่สนใจสีหน้าเซ็งๆ และเสียงถอนหายใจหน่ายๆ ของทั้งคู่

“โอเคหรือเปล่า”ผมถามทั้งที่มือก็หยิบจานช้อนไปด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงถามออกไปแบบนั้น หรืออาจแค่เพราะจะหาเรื่องคุยกับเค้า

“โอเคอะไรพี่”เค้าหยุดมือที่กำลังเทกับข้าวใส่จาน หันมามองผมด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็ที่ต้องมากินข้าวกับเพื่อนๆ พี่นี่ไง”ผมอธิบาย เพราะเกรงว่าเค้าจะเกร็งหรือเปล่าที่ต้องมาทานข้าวกับคนที่ไม่ได้สนิท เพิ่งจะรู้จักผมก็กลัวว่าเค้าจะอึดอัดหรือเปล่า แต่ที่ผมชวนเค้าทานข้าวด้วยก็เพราะรู้สึกว่าอยากให้ทั้งเค้าและข้าวหอมรวมทั้งพี่โตเนี่ยรู้จักกันไว้ คู่นั้นจะได้ไม่ต้องมาแซวผม ให้รู้จักกันไว้แบบนี้อ่ะดีแล้ว ว่าเป็นพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกันแค่นั้น

“โหโอเคสิพี่ ดีเสียอีกไม่ต้องทำเอง”ดูแล้วคงผมเองนี่แหละครับที่คิดมากไปเอง เด็กนี่ออกจะสบายๆ สบายจนน่าหมั่นไส้แล้วครับเนี่ย

“เพื่อนแปง ไม่ต้องแอบเติมน้ำตาลนะ ช่วงนี้ชั้นลดความหวานอยู่”ภู่หันมามองหน้าผมงงๆ ว่าหมายความว่าไง ผมเลยบอกไปว่าอย่าสนใจเพื่อนผมก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ เพราะจริงๆ ก็รู้แหละครับว่าข้าวหอมจงใจแกล้งแซวผม ผมกับภู่จัดกับข้าวใส่จานไม่นานก็เรียบร้อย พร้อมยกออกมาวางที่โต๊ะกินข้าว ที่มีสองคนคู่รักมองผมกับภู่ด้วยสายตาและรอยยิ้มแปลกๆ

“ส่งจานมาเดี๋ยวผมตักข้าวให้ครับ”หลังจากตักข้าวให้ผมเสร็จ จะตักข้าวให้ข้าวหอมต่อ แต่เห็นรอยยิ้มกับท่าทางของเพื่อนแล้ว ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เดี๋ยวต้องมีอะไรแซวผมอีกแน่ๆ

“อุ้ยๆ บริการทุกระดับประทับใจ”นั่นไงครับ แถมไม่พูดเปล่า สายตานี่มองผมแบบตั้งใจล้อตั้งใจแซวสุดๆ ครับ แต่พอเริ่มทานข้าว ก็เหมือนจะเลิกสนใจผมไปบ้าง ข้าวหอมก็หันไปอ้อนพี่โตให้ตักนั่นตักนี่ให้บ้างตามประสา แต่ก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องมาจ้องแต่จับคู่ให้ผมกับไอ้เจ้าเด็กโย่งนี

“พี่กินปลาไหมเดี๋ยวผมตักให้”แต่แล้วไอ้คนที่หางานให้ผมก็คือคนข้างๆ นี่แหละครับ เข้าใจว่าไอ้ปลาทอดมันวางห่างผม แต่แขนผมก็ไม่ได้สั้นขนาดจะเอื้อมตักเองไม่ถึง แถมถามจบไม่ได้รอให้ผมตอบ ตักมาใส่จานผมเรียบร้อย จะปฏิเสธก็ไม่ทัน ส่วนคู่รักสองคนฝั่งตรงข้ามนะเหรอครับ รีบสะกิดกันดูเต็มที่ เดี๋ยวคงมีแซวอะไรอีกแน่ๆ

“น้องภู่นี่มีแฟนหรือยังจ๊ะ”นั่นไงละ นี่เริ่มจะดึงเข้าเกมชงมาใส่ผมอีกใช่ไหมเนี่ย

“ก็”

“มีแล้ว แถมวันก่อนยังมาตบแย่งกันถึงหน้าบ้านนี่เลย”ผมรีบชิงตอบตัดหน้า ก่อนที่เด็กนี่จะหลวมตัวไหลไปตามเกมของยัยหอมครับ

“โหพี่ก็เล่าซะผมเสียหมดเลยเนี่ย”แหมนี่ก็ทำมาเป็นโวยวาย ผมพูดผิดเสียที่ไหนละครับ ก็วันก่อนมีสองสาวมาตบกันหน้าบ้านจริงๆ แถมเรียกผมลุงอีกต่างหาก

“ก็มันจริง แล้วนี่เลือกได้หรือยังว่าคนไหน”ผมรีบพูดต่อก่อนที่ยัยหอมกับพี่โตจะหาช่องแซวผมอีก

“สองคนนั้นผมไม่สนแล้วพี่ ตอนนี้ผม...”แล้วนี่จะหันมามองผมทำไมละเนี่ย

“แค่กๆ”แต่ยังไม่ทันที่ภู่จะพูดจบเสียงข้าวหอมที่สำลักกับข้าวก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนเสียก่อน

“น้ำๆ อ่ะนี่แฟนซื้อกับข้าวมาถูกปากแค่นี้ถึงขั้นสำลักเลยเหรอหอม”ผมยื่นแก้วน้ำให้พร้อมแกล้งแหย่เพื่อนกลับไปนิดหน่อย

“หยุดเลยแปง เพราะเดี๋ยวเราคงต้องคุยกันยาว”อ้าว แล้วไหงมันย้อนกลับมาลงที่ผมอีกละเนี่ย สายตาจับผิดนั่นอีกทำอย่างกับว่าผมมีอะไรปิดบังอีกอย่างนั้นแหละ

“เออพี่ ทีแรกนะผมนึกว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันเสียอีก”เสียงของไอ้น้องภู่ดังขึ้นขัดจังหวะการส่งสายตาโต้ตอบของผมกับข้าวหอม

“พี่กับไอ้แปงเนี่ยนะ โอ้ยแค่คิดก็ขนลุกแล้ว”แหม ทำมาเป็นทำท่ารังเกียจเพื่อนนะยัยเพื่อนตัวแสบ

“น้อยๆ หน่อยหอม ชั้นก็ไม่ได้พิศวาสแกนักหรอก”มีเหรอครับที่ผมจะยอมแพ้ความเล่นใหญ่ของแม่เพื่อนตัวดี งานนี้ผมก็แสดงท่าทางรังเกียจกลับไปไม่แพ้กันครับ

“ฮ่าๆ”สุดท้ายทุกคนก็หัวเราะออกมากับท่าทางของพวกผมสองคน จะว่าไปนี่ก็ชักจะอายน้องมันเหมือนกันนะครับ โตกันจนป่านนี้ยังมาเล่นอะไรอย่างกับเด็กๆ อีก

“แปงยังไม่มีแฟนหรอก พวกพี่ก็ลุ้นอยู่เนี่ยกลัวแก่ไปจะไม่มีใครเอา ภู่อยู่ใกล้ๆ แบบนี้ก็ช่วยหาแฟนให้แปงบ้างสิ”โหพี่โต เห็นเงียบมาพักใหญ่ พอเปิดปากพูดทีนี่ เล่นผมแบบนี้เลยเหรอครับเนี่ย ดูทุกคนจะมีปัญหากับการที่ผมโสดเสียเหลือเกินครับ

“พี่โตนี่น้องเอง อย่าเล่นน้องแรง”ผมแกล้งพูดกดเสียงต่ำเผื่อพี่โตจะเอ็นดูและไม่แกล้งผมมากไปกว่านี้

“แล้วสเปคพี่แปงเป็นแบบไหนเหรอครับ”ผมหันควับมองคนข้างๆ ทันที ตกลงนี่ผมโดนรุมถูกไหมครับ บทสนทนาตอนนี้ดูมันกลายเป็นเรื่องของผมล้วนๆ เสียแล้ว

“สเปคแปงเหรอ พี่บอกเองๆ แปงชอบคนอายุน้อยกว่า น้อยกว่าหลายๆ ปีเลยก็ไม่เกี่ยงนะ แล้วก็ทำกับข้าวเป็น แค่นี้แหละมั้ง ใช่ไหมพี่โต”นั่นไง พูดมาขนาดนี้ไม่บอกไปเลยไหมว่าสเปคผมเนี่ยมันไอ้น้องที่นั่งข้างๆ นี่แหละ นี่กะชงให้ได้กันวันนี้เลยหรือไงเนี่ย

“ตกลงนี่สเปคแกหรือสเปคชั้นเนี่ยยัยหอม รู้ดีกว่าชั้นอีก”ผมเบรคยัยหอมไว้พร้อมส่งสายตาอาฆาตให้เลิกเล่น แล้วกินข้าวต่อ แต่บรรยากาศก็ยังคึกครึ้น ดูไอ้น้องภู่นี่ก็พูดคุยถูกคอกับทั้งข้าวหอมและพี่โต จากทีแรกที่ผมกลัวเค้าจะอึดอัด ก็กลายเป็นว่ารู้ไม่น่าให้พวกนี้รู้จักกันเลย ไปๆ มาๆ ดูทุกคนจะรุมผมเสียมากกว่า

“ต้องรีบกลับเลยไม่ได้ช่วยเก็บจานล้างจานเลยอะน้องภู่”เสียงข้าวหอมพูดอย่างสำนึกผิด แต่ผมว่าแกล้งทำเป็นพูดดีมากกว่า

“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าอย่าลืมมาชิมฝีมือผมด้วยนะครับทั้งสองคนเลย”นี่ก็ร่ำลายังกะเป็นบ้านตัวเอง ถึงนี่จะเป็นบ้านน้าเค้าก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเป็นคนเช่า ถือว่าเป็นบ้านของผม

“ไปแหละไม่อยากอยู่เป็นก้าง”ก่อนกลับยัยข้าวหอมยังไม่วายมากระซิบข้างหูผมอีก แต่ช่างเถอะครับ ผมจะไม่ถือสาแล้วกัน

“เพื่อนพี่นี่ก็คุยสนุกดีนะครับ”ผมหันมองอีกคนที่เหลือ ถ้าไม่ติดว่าจะให้ช่วยล้างจาน ก็อยากจะไล่กลับบ้านไปเหมือนกันแหละครับ เวลาอยู่กันสองคนประสิทธิภาพการกวนประสาทของเด็กนี่ก็ใช่ย่อยที่ไหนละ

“อะไรที่เพื่อนพี่พูดก็อย่าเก็บมาถือสามาก”ผมรีบออกตัวเพราะถึงข้าวหอมกับพี่โตจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ทั้งคู่ก็ชงไอ้น้องภู่นี่ให้ผมเหลือเกิน

“เรื่องอื่น ผมไม่ติดใจนะแต่เรื่องสเปคลุงนี่ มันผมชัดๆ ลุงชอบผมอ่อ”นั่นไงไอ้เด็กบ้านี่ ก็รู้ทั้งรู้ไหมว่าสองคนนั้นพูดเล่นยังจะมาแซวผมอีก

“กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวจานนี่ล้างเองก็ได้ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่ว่าลุงสักที อีกอย่างพี่ไม่ได้ชอบเด็ก จบไหม”ผมรีบผลักเค้าออกจากบ้าน

“นี่เขินจนต้องโมโหกลบเกลื่อนหรือเปล่าเนี่ยลุง”ยังครับยังจะเล่นอีก

“ไปเลยกลับบ้านไปได้แล้ว รำคาญ”ผมรีบย้ำก่อนที่จะปวดหัวกับไอ้น้องภู่นี่มากไปกว่านี้

“งั้นผมไปละ ฝันดีนะครับลุง”



TBC

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 7
ผู้ปกครองจำเป็น




“นี่พี่ไม่รบกวนน้องแปงมากไปใช่ไหม”พูดมาขนาดนี้แล้วผมมีสิทธิ์ตอบปฏิเสธไหมละครับเนี่ย วันนี้อยู่ๆ พี่ปุ๊กเจ้าของบ้านก็โทรมาขอร้องผมว่ามีเรื่องอยากให้ช่วย ไอ้ผมก็คนมีน้ำใจ ตบปากรับคำทั้งที่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเลย แถมบรรดาพี่ๆ ที่ทำงานของผมก็แสนจะเป็นกันเองให้ผมออกก่อนเวลาได้อีก

“ไม่เป็นไรครับพี่ปุ๊กไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไว้เดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกทีนะครับว่าทางโรงเรียนสรุปว่ายังไง”ผมกดวางสายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองประตูทางเข้าโรงเรียนอย่างเหนื่อยใจ นี่ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมยังไม่แก่ขนาดจะมีลูกเรียนโรงเรียนมัธยมแบบนี้สักหน่อย ทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์นี้ด้วย

“มาติดต่อฝ่ายปกครองครับ”ผมติดต่อแลกบัตรผ่าน เจ้าหน้าที่ก็สอบถามอะไรอีกนิดหน่อย แต่ดูเจ้าหน้าที่ก็รู้อยู่แล้วแหละครับว่าผมจะมา สงสัยกันใช่ไหมละครับว่าผมมาที่โรงเรียนแห่งนี้ทำไม

โรงเรียนนี้ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ ก็โรงเรียนไอ้เจ้าเด็กโย่ง นายแมลงภู่เด็กข้างบ้านผมนั่นแหละครับ ซึ่งวันนี้ผมได้รับสายด่วนจากพี่ปุ๊กว่าหลานชายตัวแสบก่อเรื่องอีกแล้ว จะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่มันก็คงพูดแบบนั้นได้ไม่เต็มปาก การที่ใครถูกเชิญผู้ปกครองมาพบที่โรงเรียนนี่สำหรับผม ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะครับ

หลังแลกบัตรเรียบร้อยผมก็มุ่งตรงไปยังตึกที่ทางเจ้าหน้าที่บอก จากที่ทราบคร่าวๆ จากพี่ปุ๊ก ก็เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยนั่นแหละครับ แล้วทีนี้ญาติๆ ของนายแมลงภู่นี่ก็ไม่มีใครอยู่ในกรุงเทพฯ เลย ผมเลยถูกขอร้องแกมไม่ให้ปฏิเสธนั่นแหละครับ แค่ดูพี่ปุ๊กเองก็ไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้เลย สงสัยจะชินกับพฤติกรรมแบบนี้ของหลานชายไปแล้ว

“ขออนุญาตครับ”ผมเคาะประตู พร้อมเปิดเข้าไปตามคำแนะนำที่เจ้าหน้าบอกตอนแลกบัตร แต่พอก้าวเข้าห้องผมก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะรู้สึกบรรยากาศมันตึงเครียดเหลือเกิน ตรงกลางห้องมีผู้ชายหน้าตาขึงขังหนึ่งคน ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง ที่เหลือก็เป็นบรรดานักเรียนและผู้ปกครอง ผมเห็นเด็กในปกครองจำเป็นของตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ สภาพนี่ดูไม่จืดเลยทีเดียวเชียวครับ

“เชิญครับเชิญ คุณลุงของนายภู่ใช่ไหม” ผมแอบเห็นว่าภู่แอบยิ้มมุมปากที่ผมโดนเรียกว่าลุง ใจจริงผมก็อยากปฏิเสธนะครับ ว่าผมยังไม่แก่พอจะเป็นพี่ชายพ่อของเด็กนี่ แต่จากสถานการณ์ที่ตึงเครียดขนาดนี้ผมว่าผมคงต้องตามน้ำไปก่อน

“ครับ”ผมจำต้องตอบรับ ก่อนจะเดินไปรวมฝั่งเดียวกับภู่ เพราะเหมือนในห้องตอนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ก็คงแยกตามฝ่ายที่ทะเลาะกันนั่นแหละครับ

“เอาเป็นว่า ตอนนี้ผู้ปกครองก็มาครบกันทุกคนแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทางโรงเรียนเชิญทุกท่านมาในวันนี้ ทุกท่านก็น่าจะทราบกันทุกคนแล้วว่าบุตรหลานของพวกท่านได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้”นี่บรรยากาศห้องปกครองมันเป็นอย่างนี้เองเหรอครับเนี่ย ไอ้ตอนสมัยเรียนชีวิตผมนี่ราบเรียบเกินกว่าจะได้เฉียดเข้าห้องปกครองแบบนี้ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ทำเอาผมตื่นเต้นจนไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์กำลังพูดสักเท่าไหร่แล้วครับ

“ทำไมลุงมาช้าจัง”เสียงพูดลอดไรฟันจากคนที่ยืนข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยสายตาดุๆ เพราะนอกจากไอ้นายน้องภู่จะไม่มีทีท่าสำนึกแล้ว ยังจะไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังพูดอีกด้วย ผมทำปากบุ้ยใบ้ให้เค้าสนใจฟังสิ่งที่อาจารย์กำลังบอก ตอนนี้ทุกคนในห้องกำลังตั้งใจฟัง ก็ไม่รู้ว่าทุกคนเห็นด้วย หรือไม่มีจังหวะให้แย้งกันแน่เลยทำให้มีแค่อาจารย์ฝ่ายปกครองเพียงคนเดียวที่พูดทุกอย่าง

“แล้วนี่ลูกผมเจ็บขนาดนี้ อาจารย์จะบอกว่ามีความผิดเท่ากันอย่างนั้นเหรอครับ มันยุติธรรมแล้วเหรอ”ผู้ปกครองอีกฝ่าย ที่สภาพลูกชายเค้าก็ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้ว และดูแทบจะกลายเป็นมัมมี่ ไอ้ผมก็ไม่รู้จะสงสารหรือขำดี

“ผมชี้แจงไปแล้วไงครับว่ามันคือการทะเลาะวิวาท นั่นหมายความว่าผิดทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นเด็กทุกคนจะถูกตัดคะแนนความประพฤติเท่ากันทุกคน ทำทัณฑ์ไว้เหมือนกันทุกคน อ๋ออีกอย่าง จากการสอบสวนลูกชายคุณก็ยอมรับนะครับว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”หลังจบคำพูดของอาจารย์ ผมว่าผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของบรรดาผู้ปกครองฝั่งเดียวกับผมนะครับ

“เอาเป็นว่าสรุปตามนี้นะครับ แล้วก็ขอฝากทางผู้ปกครองทุกท่านช่วยอบรมบุตรหลานของพวกท่านเพิ่มเติมด้วยนะครับ แล้วทางโรงเรียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”ก็ดูไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่นี่นา หรือเพราะผมเองไม่ใช่ผู้ปกครองจริงๆ เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่อย่างคุณพ่อคนที่ท่าทางไม่พอใจกับคำตัดสินของอาจารย์ฝ่ายปกครองนั่น ดูเค้าหัวเสียไม่น้อยทีเดียวที่ต้องมาในวันนี้

เด็กทั่มีปัญหาชกต่อยกันวันนี้รวมนายภู่ด้วยก็ 6 คนฝั่งละ 3 คนนั่นแหละครับ ซึ่งดูเหมือนทางฝั่งผมหรือเพื่อนๆ ของภู่จะดูสบายๆ กันทุกคน แต่อีกฝ่ายดูจะไม่แฮปปี้สักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะครับผมเองก็ถือว่าเรื่องวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีแล้วกันครับ หลังออกจากห้องฝ่ายปกครอง แต่ละคนก็แยกย้าย โดยที่ทั้ง 6 คนได้รับอนุญาตให้กลับบ้านพร้อมผู้ปกครองได้เลย เพราะสภาพแต่ละคนไม่น่าจะกลับไปนั่งเรียนต่อได้ นั่นหมายความว่าผมต้องพาภู่กลับบ้านด้วยสินะ

“กลับยังอ่ะลุง อยากกลับจะแย่แล้วเนี่ย”ผมส่ายหน้าให้กับเด็กในปกครองชั่วคราวของตัวเองอีกครั้ง ทำไมดูไม่มีทีท่าสลดอะไรเลย

“ไอ้ยิว ไอ้สอ ไว้เจอกันพวกมึง”ดูครับดูยังบอกลาเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูจะชิลเกินไปแล้วมั้งครับเนี่ย ทำไมเด็กพวกนี้ทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติกันแบบนี้ หรือผมแก่เกินไปที่จะเข้าใจอะไรแบบนี้

“ดูลุงของภู่ยังไม่แก่เลยเนอะ วันหลังฝากให้ภู่ถามลุงเค้าให้หน่อยสิว่ามีวิธีดูแลตัวเองยังไง”เดี๋ยวนะครับ ประเด็นแรกผมยังไม่ได้เป็นลุงใครและผมยังไม่ได้แก่ ผมไม่ใช่คนอายุมากที่หน้าเด็ก และประเด็นที่สอง คือทำไมต้องมาพูดถึงผมในระยะเผาขนแค่ทำเหมือนกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้กันละครับเนี่ย ผมกำลังจะหันไปอธิบายทุกอย่างให้คุณพ่อของเพื่อนภู่ฟัง แต่ว่า

“กลับบ้านกันเถอะครับคุณลุง”นี่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แก้ตัวเลย เล่นรีบคว้ามือผมเดินนำไปอีกทาง ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่ตัวเองมีความผิดอยู่แท้ๆ ยังจะมากวนประสาทผมอีก ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมต่อสายถึงผู้ปกครองจริงๆ ของเค้า

“พี่จะโทรหาน้าปุ๊กเหรอ”พอเห็นชื่อที่ผมกำลังจะต่อสายถึงเค้าก็รีบแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปทันที

“แย่งของจากมือผู้ใหญ่แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ แล้วนี่ตัวเองทำผิดอยู่ยังจะมาทำเป็นเล่น”จริงๆ ก็ไม่อยากจะดุหรอกนะครับ แต่พอยิ่งเราไม่ว่าอะไรก็เหมือนจะยิ่งได้ใจ ผมหันไปมองเค้าด้วยสายตาที่จริงจัง แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจในสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่

“ขอโทษครับ แต่ผมขอเป็นคนโทรบอกน้าปุ๊กเองแล้วกันนะครับ”เค้าส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผม พร้อมบอกเสียงอ่อยๆ ผมยังคงทำหน้านิ่งไม่พูดอะไรอีก จนขึ้นรถเรียบร้อย

“โทรสิ”เมื่อเห็นว่าเค้ายังไม่ติดต่อผู้เป็นน้าตามที่บอก ผมเลยย้ำไปอีกรอบ

“ตอนนี้เลยเหรอพี่”ผมพยักหน้าช้าๆ พร้อมด้วยสายตากดดันทำให้อีกฝ่ายต้องหยิบโทรศัพท์มากดอย่างไม่เต็มใจนัก ที่จริงก็พอจะเข้าใจแหละครับ ว่าเวลาทำผิดแล้วต้องบอกผู้ใหญ่มันก็จะไม่อยากบอกสักเท่าไหร่ ตอนเด็กๆ ผมเองก็เป็นแต่ผมก็ไม่ค่อยทำอะไรผิดที่รุ่นแรงแบบนี้หรอกครับ

“อย่าเพิ่งดุสิน้าปุ๊ก นี่จะไม่ฟังผมก่อนเหรอ”แทบไม่ต้องเดาครับว่าปลายสายจากอีกฝั่งพูดอะไร ก็คงดุตามประสาผู้ใหญ่นั่นแหละครับ แถมดูๆ แล้วระดับความไม่พอใจก็คงไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดว่าผมยังได้ยินเสียงแว่วๆ ออกมา ทีแรกที่พี่ปุ๊กโทรหาผม ผมยังนึกว่าเค้าชิลๆ กับเรื่องนี้ แต่ที่จริงอาจเพราะผมเป็นคนอื่นแกเลยไม่อยากมาอารมณ์เสียใส่ผม แต่พอคุยกับไอ้ตัวก่อเรื่องนี่ก็คงโดนจัดเต็มแหละครับ

“ไม่ต้องเอามือถือออกจากหูนะ ยกขึ้นมาเลย”นี่ยิ่งกว่าตาเห็นอีกครับ เพราะไอ้น้องภู่กำลังเอาออกจากหูจริงๆ แต่ขนาดไม่แนบหูเสียงยังแว่วออกมาขนาดนี้ ไม่รู้ทำไมผมกลับอดที่จะอมยิ้มกับเรื่องที่เห็นนี้ไม่ได้ ผมว่ามันก็น่ารักดีนะครับ น้ากับหลานแม้จะดุ จะบ่น แต่จริงๆ มันก็แสดงให้เห็นว่าเค้ายังรักและเป็นห่วงนั่นแหละครับ

“ครับ สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่ตัดค่าขนมได้ไหมครับ”เสียงอ่อนขนาดนี้ โดนคาดโทษด้วยสินะเนี่ย

“พี่เค้าขับรถอยู่ มีอะไรฝากผมบอกก็ได้ครับ”เค้าหันมามองผม นี่น้าเค้าคงอยากคุยกับผมสินะ เค้าตั้งใจฟังอยู่พักนึงก่อนจะวางสายไป มองสภาพเค้าตอนนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ปากแตก รอยฟกช้ำที่เริ่มจะบวมแล้ว

“หูชาหมดแล้วเนี่ย พี่ไม่น่ารีบให้ผมโทรเลย”เค้าบ่นเล็กน้อย พร้อมส่องกระจกดูแผลบนใบหน้าตัวเอง

“เจ็บไหมละนั่น”อดที่จะถามออกไปไม่ได้ครับ จะว่าเป็นห่วงก็ห่วงแหละครับ คนเรารู้จักกันแถมช่วงหลัง ผมกํบเค้านี่เรียกว่าเจอหน้ากันทุกวัน ทานข้าวด้วยกันทุกวัน จะให้ผมไม่รู้สึกเป็นห่วงเลยก็ดูจะใจดำไปหน่อย แถมนี่เค้าก็ยังเป็นแค่เด็กมัธยมคนนึงเท่านั้นเอง แล้วยังต้องใช้ชีวิตคนเดียวอีก

“แค่นี้เล็กน้อย ลูกผู้ชายมันก็ต้องมีบาดแผลเป็นธรรมดา”แหม พอจะรู้สึกเป็นห่วงก็ไม่ค่อยอยากจะห่วงเต็มที่สักเท่าไหร่หรอกครับ ก็ดูเจ้าตัวเค้ายังทำเป็นภูมิอกภูมิใจในวีรกรรมของตัวเองเสียจริง นี่รู้สึกบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองทำผิด

“ทำเป็นปากเก่ง แล้วนี่ที่บ้านมีอุปกรณ์ทำแผลบ้างหรือเปล่า”แม้จะรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องถามไถ่สักหน่อยครับ ดูๆ แล้วกะคงไม่ต้องถึงขนาดว่าต้องไปโรงพยาบาลหรือคลินิค ก็คงใช้พวกยาสามัญประจำบ้าน แต่บ้านผมนี่ไม่มีไงครับ เลยต้องถามเค้าก่อน ถ้าไม่มีจะได้แวะซื้อ

“ที่ถามนี่ลุงจะช่วยทำแผลให้ผมเหรอ”แล้วดูปากแบบนี้ ใครมันจะอยากช่วย แม้บางทีจะไม่สนใจไอ้การเรียกลุงเนี่ย แต่บางทีมันก็อดหมั่นไส้ จนพาลไม่อยากช่วยนะครับ

“พอดียังไม่มีหลาน และยังไม่ได้เป็นลุงใคร ต้องอธิบายอีกไหม”ผมบอกออกไปเสียงเรียบให้เค้ารู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในโหมดพร้อมจะล้อเล่นกับเค้า

“แหมพี่แปงคนมีน้ำใจ คนน่ารัก อย่าถือสาน้องภู่เลยนะครับ น้องภู่แค่ล้อเล่น”ทำเป็นมาจีบปากจีบคอ แบบนี้ยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิมอีกครับ

“แล้วสองสาวที่มาตบกันแย่งนั่น สรุปยังไม่เลิกหรือยังไง ถึงมามีเรื่องอีกแบบนี้”จากที่รับฟังมาในห้องปกครอง เหมือนว่าสาเหตุต้นเรื่องจริงๆ มาจากสองสาวที่เคยมาตบตีกันที่หน้าบ้านผมนี่แหละครับ

“เลิกแล้วแหละพี่ พวกที่มีเรื่องนี่ก็กำลังคบกับสองคนนั้นแหละ ก็ไม่รู้จะมาหาเรื่องทำไม”

“เค้ามาหาเรื่อง เลยต้องตีกับเค้า”ผมเริ่มใช้น้ำเสียงตำหนิหน่อยๆ เพราะเท่าที่ฟังเจ้าตัวเค้าเองยังไม่ทันคิดว่าการตัดสินใจไปต่อยกับอีกฝั่งมันส่งผลอะไรบ้าง

“แล้วจะปล่อยให้มันเห่าฝ่ายเดียวเหรอพี่ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ใครจะไปยอม”พูดไปก็คงเท่านั้นครับ แต่ผมเองก็คงไม่เข้าใจมุมมองของเค้าหรอกเพราะถึงผมจะอายุมากกว่าเค้าหลายปี แต่ชีวิตผมมันราบเรียบมาตลอด ไม่ได้โลดโผนอะไรเลย ยิ่งเรื่องท้าตีท้าต่อยนี่ไม่เคยเฉียดเข้ามาในวงโคจรชีวิตของผมเลย

“ก็คิดดูดีๆ แล้วกันว่าที่ทำลงไปวันนี้ มันส่งผลยังไงบ้าง ภู่อาจจะมองว่าภู่ไม่ผิด แต่มันจำเป็นเหรอที่พอมีคนมาหาเรื่องเราแล้วต้องตอบโต้แบบนี้ ลองคิดดูดีๆ ลองนึกถึงสิ่งที่น้าของภู่พูดด้วย”แม้จะไม่ได้ยินในสิ่งที่น้าของเค้าพูดทั้งหมด แต่ก็พอเดาได้นะครับว่าเค้าก็คงดุ และสอนในสิ่งที่มันดีให้หลานตัวเองอยู่แล้ว เค้าเงียบไปเหมือนหยุดคิดบางอย่าง

“ที่น้าปุ๊กฝากผมบอกกับพี่...”หลังจากที่เราต่างเงียบกันไปพักใหญ่ เค้าก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ผมหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ายังไงต่อ

“น้าปุ๊กขอบคุณที่พี่แปงช่วยมาเป็นธุระให้วันนี้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้พี่ต้องเสียเวลา ต้องลางานอีก”น้ำเสียงของเค้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด นี่คงเริ่มคิดได้บ้างแล้วสินะ ว่าการกระทำของเค้าวันนี้มันส่งผลกระทบกับคนอื่นด้วย

“ขอโทษนะครับ ที่วันนี้ต้องทำให้พี่ลำบาก”นี่สำนึกจริงหรือเปล่าเนี่ย ผมชักระแวงครับ เลยยังคงตีหน้านิ่งๆ อยู่ แค่ตอบรับเค้าสั้นๆ ให้็รู้ว่าผมรับทราบแล้ว

“อือ”แล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ขับรถต่อจนถึงที่หมาย

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ”เค้าหันมาบอกผมก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

“ภู่”ผมตัดสินใจเรียกให้เค้าหันกลับมา ทั้งที่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ ว่าผมจะเรียกเค้าไว้ทำไมอีก จริงๆ สิ่งที่ผมรับปากกับพี่ปุ๊ก ก็แค่ไปเป็นผู้ปกครองที่โรงเรียนให้เค้า และผมก็ทำหน้าที่เรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว

“ครับ”เค้าหันกลับมามองด้วยสีหน้าสงสัย

“ตกลงที่บ้านมีอุปกรณ์ทำแผลแล้วใช่ไหม”ผมก็แค่กังวลว่าเค้าจะยังไม่มีอุปกรณ์ทำแผล เพราะระหว่างทางที่เอ่ยถามเค้าก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้ของผม รอบนี้เค้าพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับผม

“เอามานี่ดิ เดี๋ยวพี่ช่วยทำแผลให้”ผมก็แค่เป็นห่วง เห็นว่าเค้าอยู่คนเดียว แค่นั้นจริงๆ แต่รอยยิ้มกว้างที่อีกคนส่งกลับมามันก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เช่นกัน








TBC

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3

ออฟไลน์ norita_boyV2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-1
บทที่ 8
เมาแรก





“พี่ไม่ได้กลับไปทานข้าวด้วยนะ วันนี้ที่บริษัทจะพาไปเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ”ผมบอกกับปลายสาย ตอนนี้เหมือนเป็นเรื่องปกติที่ทั้งผมและเค้าจะบอกกล่าวกันถึงเวลากลับบ้านของแต่ละคน

“นี่ลุงทำงานมาเป็นเดือนแล้วเปล่าไมเพิ่งจะมาเลี้ยงตอนนี้ แบบนี้ผมก็ไม่พ้นกินมาม่าอยู่บ้านคนเดียวสิ”น้ำเสียงเชิงตัดพ้อถูกส่งผ่านมาแต่ผมก็รู้แหละครับว่าอีกฝ่ายไม่ได้จริงจัง

“จะกินมาม่าทำไม กุญแจบ้านพี่ก็อยู่ที่เดิม เข้าไปทำอะไรกินก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”ด้วยความสนิทสนมระหว่างเราที่ดูเหมือนจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจด้วยความที่ผมไม่เคยมีน้องมาก่อน การได้มีอีกคนเข้ามา แถมยังเป็นคนที่มีหลายๆ อย่างคล้ายๆ ผม แต่เค้ามีความขบถที่ผมไม่เคยกล้าทำมาก่อนมันยิ่งทำให้ผมเองรู้สึกสนุกกับการได้รับรู้เรื่องราวของอีกคน

“ไม่ได้เกรงใจลุง แค่ไม่อยากกินคนเดียว”ผมเผลออมยิ้มอย่างลืมตัวกับคำพูดทีเล่นทีจริงของอีกฝ่าย ผมรู้สึกว่าแม้ภายนอกเค้าจะดูกวนประสาทไปบ้างแต่ก็ยอมรับว่าเค้าเป็นเด็กน่ารักคนนึง ที่รู้จักอ้อน รู้จักเอาอกเอาใจ เรียกว่าจากแรกๆ ที่ผมหมั่นไส้เค้าตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูขึ้นมามากกว่าแล้วละครับ

“เยอะ แค่นี้แหละ อย่าลืมทายาด้วย แผลจะได้หายไวๆ”ผมยังคงยืนยิ้มอยู่กับตัวเอง ในขณะที่กำลังจะจบบทสนทนา แต่ก็ไม่ลืมกำชับไปด้วยความเป็นห่วง จากที่เค้าไปมีเรื่องมีราวชกต่อยมา นี่ก็พูดย้ำไปเยอะมากแล้วไม่รู้ฟังบ้างหรือเปล่า ไอ้ผมก็เข้าไม่ค่อยถึงอยู่แล้วด้วยไอ้เรื่องศักดิ์ศรีกับการชกต่อยเนี่ย แต่เค้าก็รับปากนะครับว่าจะพยายามไม่ไปมีเรื่องมีราวอีก

“เดี๋ยวลุง”เค้าเรียกผมไว้ก่อนที่จะกดวางสาย ตอนนี้เหมือนผมยอมรับสรรพนามนี้จากเค้าไปแล้ว จริงๆ การโดนเรียกลุงมันก็ไม่ได้เลวร้ายตรงไหนจริงไหมครับ

“ว่า”ผมตอบรับสั้นๆ พร้อมรอฟังว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะพูดกับผมเพิ่มอีก

“รีบกลับนะครับ”ผมขมวดคิ้ว ด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันก็บอกไม่ถูกนะครับที่คนอายุน้อยกว่าตัวเองตั้ง 8-9 ปีมาบอกให้รีบกลับบ้าน นี่ผมต้องให้เด็กมาเป็นห่วงหรือไงกันเนี่ย

“อือ”ผมรับคำสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย ในหัวก็ยังนึกขำกับบทสนทนาเมื่อสักครู่ไม่หาย นั่นทำให้ผมยังคงอมยิ้ม นึกถึงใบหน้ากวนๆ ของอีกฝ่ายจนเดินกลับเข้ามาในแผนกของตัวเอง เลยทำให้โดนแซวเข้าจนได้ครับ

“นั่นแน่แอบคุยกับใคร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”พี่ฟ่างที่แซวผมพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย ทีแรกผมก็นึกว่าแซวแล้วจะผ่านเลยไปแต่เปล่าครับ พี่แกเล่นมาหยุดจ้องผม เหมือนรอคำตอบว่าผมเพิ่งวางสายจากใคร

“น้องชายนะพี่ โทรบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้กลับไปกินข้าวด้วย จะได้ไม่ต้องรอ”ผมตอบออกไปตามตรง

“ไม่ยักรู้ว่าแปงมีน้องชายด้วย นึกว่ามีแค่พี่สาวแค่คนเดียว”เออเนอะ ผมก็ลืมไปว่าเคยเล่าประวัติให้พี่ๆ เค้าฟังแล้ว แล้วนี่อย่างภู่นี่ผมจะบอกกับพวกพี่ๆ เค้าว่ายังไงดีละเนี่ยว่าเป็นน้องชายจากไหน

“น้องแปง...น้องแปงของเจ้”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่ฟ่าง เจ้โอ๋ก็ส่งเสียงมาแต่ไกล ก่อนจะพุ่งมาด้วยความเร็วสูงดึงแขนผมไปคล้องด้วยความรวดเร็ว

“เจ้ ของเจ้ที่ไหนนี่แปงเมียผม”พี่ต้าร์ที่พุ่งตามมาอีกคน คว้าแขนอีกข้างของผมไปเรียบร้อย ผมหันมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจว่าจะเล่นอะไรกันอีก กับพี่ต้าร์แม้ตอนนี้เราจะสนิทกันมากขึ้น แต่ผมก็ยังประหม่าอยู่บ้างทุกครั้งที่แกเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือการเรียกผมว่าเมีย แบบนี้ ก็อย่างว่าแกคือคนที่ผมปลื้มมาตั้งนาน พอมาทำแบบนี้กับผม จะให้ไม่หวั่นไหวเลยมันก็ไม่ได้ แต่ด้วยความที่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรไปไกล ก็เลยสงวนท่าทียั้งตัวเองไว้

“น้องแปงเลือกมาเลย ว่าวันนี้จะควงใครระหว่างพี่โอ๋สุดสวยคนนี้ กับไอ้กีตาร์คอร์ดพังนี่”เล่นอะไรกันอีกละเนี่ยผมหันไปหาพี่ฟ่างเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พี่ฟ่างก็แค่ทำหน้าเอือมๆ ส่ายหน้าหน่าย บอกให้ผมเลือกๆ ไปเถอะจะไปจบๆ

“แปงเลือกพี่อยู่แล้วจริงไหม”พี่ต้าร์ที่โน้มศีรษะลงมาพิงที่ไหล่ผม บอกเสียงอ้อน แม้จะลำบากใจในการเลือกแต่ผมก็ควรรีบตัดสินใจเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนดึงไปดึงมาเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันแบบนี้

“ผมเลือก...พี่โอ๋แล้วกันครับ”ผมบอกก่อนหันไปมองพี่ต้าร์ด้วยความรู้สึกผิดเพราะรู้ว่าการเลือกของผมคงมีผลอะไรบางอย่าง อย่างแน่นอน

“ทำไมแปงทำกับพี่แบบนี้ แปงไม่รักพี่แล้วเหรอ แล้วยัยป้านี่มีอะไรดีถึงต้องเลือกป้าเค้า”ดูจากอาการเล่นใหญ่นี่แล้วคาดว่าคงไม่ได้มีอะไรมากมายสินะ ปกติพวกพี่ๆ เค้าก็ชอบเล่นพนันอะไรกันแปลกอยู่แล้วครับ ที่ดูจริงจังก็มีเจ้โอ๋กับพี่ต้าร์นี่แหละครับ จะมีพี่ฟ่างเล่นด้วยบางครั้ง ส่วนใหญ่ก็พนันของกินเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ ใครแพ้ เลี้ยงข้าว เลี้ยงกาแฟ เลี้ยงเบียร์ เป็นต้น

ถ้าให้ผมเป็นคนเลือกผมก็จะเลือกสลับๆ กันไปนั่นแหละครับ แต่ดูรอยยิ้มผู้มีชัยอย่างเจ้โอ๋ในวันนี้ ก็ชักอยากจะรู้แล้วแหละครับว่าสองคนนี้พนันอะไรกันไว้

“จ่ายมาตามตกลงเลยไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ชูนิ้วทำท่านับตังค์ พร้อมยิ้มอย่างผู้มีชัยรอพี่ต้าร์ นี่ถึงขั้นพนันตังค์กันแล้วเหรอครับเนี่ย ปกติไม่ค่อยเห็นพวกพี่ๆ เค้าพนันกันด้วยเงินสดแบบนี้เลย ดูจะจริงจังกันมากแล้วนะครับเนี่ย ดูๆ ไปนี่ราศีการพนันจับด้วยกันทั้งคู่แล้วมั้งครับ

“ไอ้ฟ่างยืม 2 พันดิ”ผมตาโตเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ทั้งสองคนพนันกันกับการที่ผมเลือกว่าไปกับใคร จริงๆ ไอ้เงินสองพันจะว่าน้อยมันก็น้อย แต่จะว่าเยอะมันก็เยอะนะครับ ที่เอามาพนันขันต่อกันแบบนี้ แล้วพี่ต้าร์นี่อีก ต้องลำบากยืมเพื่อนอีก ต่อไปผมว่าผมจะไม่ร่วมในเกมของสองคนนี้อีกจะดีกว่าครับ ไม่อยากให้ต้องมาเสียเงินอะไรกันแบบนี้อีก ไอ้ตอนเลี้ยงข้าวกันสักมื้อ เลี้ยงกาแฟสักแก้ว อันนั้นผมยังมองว่าขำๆ นะครับ แต่ตอนนี้มันชักจะไปไกลแล้ว

“กูเหรอ ทำไมต้องเป็นกูละเนี่ย”พี่ฟ่างทำหน้าเซ็งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเล่น แต่ต้องมาควักตังค์จ่ายแทนพี่ต้าร์แบบนี้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องแหละครับที่ผมยังคาใจในความสัมพันธ์ของคู่นี้ เพราะดูเหมือนใช้จ่ายแทนกันได้เสียแทบทุกอย่าง ผมเลยยังลังเลว่าสองคนนี้อาจจะมีอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อนหรือเปล่า แม้ทั้งคู่จะต่างยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ก็เถอะ

“เอาน่า มายืมก่อน สงครามนี่ยังไม่จบง่ายๆ หรอก”พี่ต้าร์คว้าเงินจากมือพี่ฟ่าง มาส่งให้เจ้โอ๋อย่างไม่เต็มใจนัก สายตาพี่ต้าร์นี่บ่งบอกว่าต้องการเอาคืนเจ้โอ๋อย่างโจ่งแจ้งเหลือเกินครับ นี่แหละที่ผมมองว่าทั้งคู่กำลังโดนความหอมหวานของการพนันเล่นงานเข้าให้แล้ว

“ป่ะน้องแปง เรารีบไปเตรียมปาร์ตี้กันดีกว่า วันนี้เจ้พร้อมเปย์มาก”เจ้โอ๋ที่ยังคล้องแขนผมอยู่คว้าเงินสองพันมาพัดเยาะเย้ยอย่างผู้มีชัย ผมยังทำอะไรได้ไม่มาก ก็ได้แต่ตามน้ำโดนเจ้โอ๋ลากไปนี่แหละครับ ผมทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศเพราะร้านไม่ได้ไกลจากออฟฟิศนัก แล้วขากลับมาค่อยติดรถมากับพวกพี่เค้านี่แหละครับ ทางกลับบ้านของทุกคนก็ต้องย้อนกลับมาทางนี้อยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ นี่ไม่ใช่ความคิดของผมหรอกนะครับ แต่พวกพี่ๆ ว่าแบบนี้ดีผมก็เลยไม่อยากขัด

“วันนี้เต็มที่เลยนะน้องแปง นั่งนี่ๆ นั่งข้างเจ้นี่แหละวันนี้เจ้บริการเต็มที่ เพราะน้องแปงทำให้เจ้ได้ตังค์ไอ้ต้าร์”เสียงหัวเราะของเจ้โอ๋ ทำให้พี่ต้าร์ที่เพิ่งเดินตามเข้ามา มองด้วยสายตาเรียกว่าอาฆาตเลยทีเดียวครับ แต่ก็นั่นแหละครับทำเป็นกัดกันขนาดนี้ พอเมานี่ผมเห็นกอดคอกันด้วยความสนิทสนมทุกครั้ง

“วันนี้ห้ามปฏิเสธ”พี่ต้าร์ที่ตามมานั่งประกบผมอีกข้าง วางแก้วเบียร์ตรงหน้าผม ผมมองแก้วตรงหน้าด้วยความลำบากใจ ก็ผมว่ามันไม่อร่อยเอาเสียเลยนี่แหละครับ แต่วันนี้พี่ๆ เค้ามาเลี้ยงต้อนรับผม ถ้าไม่ดื่มเลยก็อาจจะดูเสียมารยาทหรือเปล่านะ

“แล้วจะบังคับน้องทำไมละต้าร์ น้องเค้าไม่ดื่มก็อย่าบังคับสิ”เจ้โอ๋นี่พอได้สองพันไปนี่ดูจะช่วยผมเต็มที่เลยนะเนี่ย ผมหันไปยิ้มขอบคุณเจ้โอ๋ก่อนจะหันกลับมาหาพี่ต้าร์

“ขอกินข้าวก่อนนะพี่”ผมบอกเลี่ยงๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว กะว่ายังไงเสียก็ฝืนๆ กินสักแก้วก็ไม่น่าจะเป็นไรมากหรอกมั้ง พี่ต้าร์ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก คนอื่นๆ ก็ทยอยมาจนครบ บรรยากาศการทานอาหารเย็นวันนี้ก็ดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะเป็นการเลี้ยงต้อนรับผม แต่มันก็เหมือนการมาสังสรรค์ภายในบริษัทเสียมากกว่า เพราะผมเองก็เข้ามาทำงานได้สักระยะจนสนิทสนม คุ้นเคยกับทุกคนแล้ว อาจจะด้วยความที่บริษัทเราอยู่กันแบบพี่น้องด้วยก็เป็นได้ครับ

“น้องๆ เก็บแก้วนี้ไปเลยแล้วพี่ขอแก้วใหม่ด้วย”ผมพูดคุยกับคนอื่นๆ จนแทบจะลืมเรื่องแก้วเบียร์ไปแล้ว เพราะเห็นพี่ต้าร์ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ตอนนี้พี่ต้าร์สั่งเด็กเสิร์ฟเปลี่ยนแก้วให้ผมแล้ว

“อ้าวไอ้ต้าร์ น้องมันไม่ชอบก็ยังจะตื้อน้องให้ดื่มจนได้ใช่ไหม”เจ้โอ๋ที่เหมือนจะปรามๆ พี่ต้าร์ที่ตอนนี้ลุกไปรินเบียร์ด้วยตัวเองแล้วครับ สงสัยเด็กเสิร์ฟจะบริการไม่ทันใจเสียแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ จิบๆ ดูสักนิดก็ได้”ผมหันมาบอกกับเจ้โอ๋ ดูเจ้โอ๋จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผม แต่พอผมมองสายตาอ้อนๆ ของพี่ต้าร์แล้วก็คิดว่าคงต้องดื่มให้แกสักนิดแหละครับ วันนี้ผมทำแกเสียตังค์ด้วย เลยหยิบแก้วเบียร์ที่พี่ต้าร์ส่งมาให้ พยายามกลั้นใจยกขึ้นจิบนิดนึง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจในรสชาติของเบียร์ที่ผมเพิ่งได้ลิ้มรส

“อร่อยละสิ”พี่ต้าร์อมยิ้มบอกกับผม แต่ผมกำลังงงกับรสชาติที่ได้รับ เพราะเบียร์ที่ผมเคยชิม มันขมมากเลย แต่แก้วนี้ที่ผมถืออยู่มันมีความหวานอยู่ด้วย คือผมก็บอกไม่ถูกว่ามันเหมือนอะไรเพราะมันก็ยังมีรสชาติของเบียร์ในแบบที่ผมเคยชิมนั่นแหละ แต่มันมีความหวานจนลื่นคอไม่มีความขมอย่างที่ผมคิด ผมค่อยๆ พยักหน้ายอมรับกับพี่ต้าร์ว่าแก้วที่ถืออยู่รสชาติมันใช้ได้ทีเดียว

“แกเอาอะไรให้น้องแปงกินไอ้ต้าร์”เจ้โอ๋ถามขึ้นอย่างสงสัย

“ก็เบียร์ไงเจ้”พี่ต้าร์บอกอย่างไม่ได้สนใจก่อนจะหันมาบอกให้ผมลองดื่มอีก ผมยกแก้วให้มือขึ้นดื่มเข้าไปมากกว่าเดิม พอรู้สึกว่ามันก็ดื่มได้ไม่ได้ลำบากอะไรเลยยกทีเดียวหมดแก้วเลยครับ

“เยส เจ้จ่ายมาๆ”พี่ต้าร์ตะโกนบอกเจ้โอ๋แทบจะทันทีที่ผมวางแก้วเปล่าลงตรงหน้า นี่อย่าบอกนะว่าการดื่มเบียร์ของผมก็เป็นเรื่องให้พวกพี่เค้าพนันกันอีกแล้ว เจ้โอ๋หยิบแบงค์พัน 1 ใบยื่นให้พี่ต้าร์อย่างไม่เต็มใจนัก

“ไอ้ต้าร์เงินกูเอามานี่”พี่ฟ่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอื้อมมาแย่งเงินคืนไป ส่วนผมก็นั่งงงๆ อยู่ท่ามกลางพวกพี่เค้า

“แล้วก็เลิกใช้น้องมันเป็นการพนันอะไรกันสักที เจ้ก็ด้วย ไม่คิดว่าน้องมันจะรู้สึกไม่ดีบ้างหรือไงที่ต้องมาเป็นหมากให้เล่นพนันกันเนี่ย”ที่จริง อย่างที่พี่ฟ่างพูด ผมเองก็คงไม่ปฏิเสธว่าไม่ค่อยชอบการที่พวกพี่เค้าพนันอะไรกันแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขนาดถึงกับว่าจะโกรธพวกพี่เค้าหรอกนะครับ

“ไม่เป็นไรพี่ แต่คราวหลังเอาแค่ขำๆ เลี้ยงข้าวเลี้ยงกาแฟ กันเหมือนแรกๆ ดีกว่า แบบพนันตังค์กันแบบนี้อย่าเลยนะครับ”ผมบอกออกไปอย่างที่รู้สึก ทั้งเจ้โอ๋และพี่ต้าร์ก็รับปากแต่โดยดี ส่วนพี่ฟ่างก็บ่นอะไรพี่ต้าร์อีกนิดหน่อย

“ขออีกแก้วดิพี่ แต่เอารสชาติแบบเดิมนะครับ”ผมบอกกับพี่ต้าร์เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเครียดมากจนเกินไป

“ติดใจละซิ”พี่ต้าร์หันมาบอกผมยิ้มๆ คราวนี้ผมมองตามเลยครับว่าแกผสมอะไรในเบียร์หรือเปล่ารสชาติมันถึงได้ออกมาหวานๆ ไม่ขมอย่างที่ผมเคยชิม

“สไปรท์เหรอพี่”ผมถามย้ำแม้จะเห็นแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่พี่เค้าผสมลงไปในเบียร์ให้ผมดื่ม

“ผมจะไม่ท้องเสียใช่ไหมพี่”ผมถามขำๆ ก่อนจะรับแก้วมายกขึ้นดื่ม จากแก้วที่ 2 กลายเป็นแก้วที่ 3 และ 4 ตามมาด้วยความที่มันเหมือนดื่มน้ำอัดลม เลยกลายเป็นว่าผมดื่มเพลินจนหยุดไม่ได้ แถมตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองพูดเยอะขึ้นมากกว่าปกติ ผมอยากจะหยุดพูดแต่เหมือนผมควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ แต่ยิ่งพูดยิ่งดื่มผมกลับยิ่งรู้สึกว่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ

“ไอ้ต้าร์พอแล้ว น้องมันเมาแล้วเห็นไหม”พี่ฟ่างรีบส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นว่าพี่ต้าร์จะรินเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผมอีกแก้ว

“เมาที่ไหน ยังไม่เมาหรอกใช่ไหมแปง”เป็นเจ้โอ๋ที่หันมาตอบแทนพี่ต้าร์ ซึ่งดูเหมือนทั้งเจ้โอ๋และพี่ต้าร์จะความเห็นตรงกันแล้วครับตอนนี้

“ผมยังไหวครับ พี่ฟ่างไม่ต้องห่วง แต่เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปป”ผมบอกยืนยันกับพวกพี่ๆ ว่าผมยังปกติดี แต่แล้วพอลุกจากเก้าอี้มันก็เหมือนโลกเอียงๆ จนผมเซไปชนกับเก้าอี้ของพี่ต้าร์

“ไหวป่ะเนี่ย”พี่ต้าร์ที่ช่วยประคองผมให้ยืนเอ่ยถาม แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าวันนี้พี่ต้าร์แกดูน่าหลงใหลกว่าทุกวันอีกนะ สายตาผมจ้องมองใบหน้า ดวงตา จมูก ไล่ลงมาจนริมฝีปาก นี่ทำไมผมถึงละสายตาจากใบหน้านี้ไม่ได้ละเนี่ย

“แปง เป็นไรเนี่ย ไหวหรือเปล่า”ฝ่ามือหนาตบเบาๆ ลงที่แก้มของผม เหมือนเป็นการเรียกสติ

“ไหวครับไหว”

“พี่ว่าแปงไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าจะได้ดีขึ้น”เป็นพี่ฟ่างที่เข้ามาบอกพร้อมช่วยประคองผมอีกคน

“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังไหว”ผมผละออกจากทั้ง 2 คนแล้วพยายามยืนให้ตรง เริ่มเดินตรงไปห้องน้ำ แต่ยิ่งเดินกลับยิ่งรู้สึกว่าโลกมันหมุนๆ ยังไงไม่รู้ ในหัวก็ชักจะมึนๆ แล้วเหมือนกัน ผมรีบจัดการพาตัวเองให้ถึงห้องน้ำอย่างรวดเร็ว หลังฉี่เสร็จตั้งใจว่าจะล้างหน้าตามคำแนะนำของพี่ฟ่าง แต่พอเดินมาถึงอ่างล้างหน้าผมก็ต้องใช้ผนังเป็นตัวช่วยพยุงให้ผมยืน เพราะการทรงตัวของผมเริ่มจะแย่เสียแล้ว

นี่ผมเมาหรืออะไรกันเนี่ย นี่คืออาการเมาหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าผมเริ่มรู้สึกยืนไม่ไหว เลยต้องพาตัวเองออกมายืนหน้าห้องน้ำก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงนั่งพิงกับผนัง ผมชันเข่าขึ้นฟุบหน้าลงเพราะตาก็เหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าผมฟุบอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน

“แปง แปง”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ค่อยๆ หรี่ตาให้ชินกับแสง เป็นพี่ต้าร์กับพี่ฟ่างที่ช่วยพยุงผมลุกขึ้น

“มึงเห็นไหม น้องก็บอกแล้วว่าไม่เคยดื่มยังจะให้ดื่มเสียเยอะอีก”พี่ฟ่างบ่นให้พี่ต้าร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ช่วยพยุงผมที่จริงก็อยากจะช่วยพี่ต้าร์แก้ต่างนะครับ ว่าเป็นผมเองนี่แหละที่อยากดื่มเอง แต่เหมือนผมพูดไม่ออก ตอนนี้เหมือนอะไรสักอย่างมันมาจุกที่คอของผม

“มึงไปเหอะ รีบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกูไปส่งน้องมันเอง”ผมไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยถามทั้งคู่ว่าคนอื่นๆ กลับไปหรือยัง รู้แค่ตอนนี้ผมถูกพามาถึงรถ น่าจะรถของพี่ต้าร์ และพี่ฟ่างกำลังเช็ดหน้าให้ผมอยู่ ซึ่งเหมือนพี่ฟ่างน่าจะมีธุระต่อ พี่ต้าร์จะเป็นคนไปส่งผม

“แปปนะพี่”หลังจากพี่ฟ่างไปแล้วและพี่ต้าร์กำลังจะออกรถ ผมก็ต้องรีบบอกแล้วเปิดประตูลงจากรถเพราะความพะอืดพะอมมันพุ่งขึ้นมาถึงคอหอยผมแล้ว และในวินาทีต่อมา เรียกว่าทุกอย่างที่ผมกลืนลงไปในวันนี้ มันจะแย่งกันออกมาจากกระเพาะของผม

“โทษที พี่ก็ไม่รู้ว่าเราจะคออ่อนขนาดนี้ อ่ะบ้วนปากอีกทีแล้วนี่ก็ห้อยหูไว้ซะ”ผมรับขวดน้ำมาล้างปากล้างหน้าอีกรอบ พยายามไม่มองกองปะติมากรรมที่ผมเพิ่งสร้างไว้ เพราะมันอาจเป็นตัวนำให้เพิ่มปะติมากรรมขึ้นมาอีก ถุงพลาสติกถูกห้อยที่หูทั้งสองข้างของผม ปากถุงถูกกางออกรองรับปากผมที่อาจมีอะไรย้อนออกมาอีกได้

ผมบอกชื่อหมู่บ้านที่ผมอยู่ให้กับพี่ต้าร์ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แม้จะไม่หลับแต่มันก็พอช่วยให้ผมไม่ต้องเวียนหัวมากนัก เหมือนระยะทางมันช่างยาวไกล ทั้งที่ตอนนี้ถนนน่าจะโล่งและระยะทางบ้านผมก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น แต่ในที่สุดพี่ต้าร์ก็พาผมมาถึงหน้าหมู่บ้านจนได้

“เข้าไปสุดซอยเลยครับ”ผมบอกทางให้กับอีกคน รถวิ่งตามซอยจนมาหยุดอยู่หน้าบ้านอีกหลังที่ถัดจากบ้านผมอยู่

“ลุกไหวไหม ขอโทษอีกทีที่พี่คะยั้นคะยอให้แปงดื่มขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าจะเมาขนาดนี้ คงไม่ให้ดื่มแล้ว”ผมส่ายหน้าพร้อมยิ้มจางๆ ให้รู้ว่าไม่เป็นไร แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรอีกเสียงเคาะกระจกรถข้างผมก็ดังขึ้น ภาพลางๆ ของเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนปรากฏอยู่ด้านนอก ดึกป่านนี้ทำไมเค้ายังใส่ชุดนักเรียนอยู่ แล้วทำไมยังไม่นอน ผมเอื้อมมือกดลดกระจกที่กั้นเราไว้ลง

“ไหนว่าจะรีบกลับไงลุง ทำไมกลับเอาดึกป่านนี้”



TBC

ช่วงแรกๆ ก็จะยังไม่มีอะไรมากนะครับ

จะเหมือนๆ ปูความสัมพันธ์ของตัวละครไปก่อน

ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้นะคร๊าบบบบ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
อื้อ เราชอบอะ ดูเรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้อืดอะไร ทำความรู้จักแต่ละคนไป
ลงให้อ่านเรื่อยๆแบบนี้ ดีมากๆเลย รออ่านทุกวันอะ
ขอบคุณคนเขียน
 ..ลุงแปงเมา ทำไมเราเหมือนจะลุ้น :katai1: :hao7:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด