ตอนที่ ๔
(ฝันว่าตนเองเข้าไปอยู่ในภาคอดีต)
ศศิศมหานาคราชลืมพระเนตรตื่นจากขึ้นมา
พระองค์รู้สึกว่ามีพระสุบินเหมือนเดิมอีกครั้งแต่ภาพในนั้นเลือนลาง เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมากลับจำอะไรแทบไม่ได้ พระองค์ปวดพระเศียรเหลือเกิน สายพระเนตรพร่ามัวไปหมด
“เจ้าฟื้นแล้ว”
“ที่นี่ที่ไหนไม่ใช่ถ้ำมรกต”
‘นี่ข้าฝันซ้อนฝันหรือ ข้ากรอกตาไปมาเห็นเพดานห้องตกแต่งเหมือนตำหนักวังของข้า’
ตอนนี้พระองค์สัมผัสและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ปลายพระหัตถ์ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะตรัสใดๆ พระศอแห้งไปหมด รู้สึกเวียนพระเศียร ทรมานเหลือเกิน ตอนนี้พระวรกายเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“ไปตามหมอหลวงมาเร็ว นางฟื้นแล้ว”
นาคราชหนุ่มอยากจะตรัสถามว่าข้ามายังที่นี่ได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยคำใดๆ พระวรกายตอนนี้อ่อนล้าเหลือเกิน
ศศิศทอดพระเนตรบุรุษที่กุมเพราะหัตถ์ของพระองค์อยู่ซึ่งเป็นชายหนุ่มคิ้วเข้ม นัยน์ตาดุคมเหมือนเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ริมฝีปากหยัก รูปหน้าหล่อคม ร่างสูงบ่ากว้าง รูปร่างดีจนน่าอิจฉา เขาใส่ชุดเสื้อกับกางเกงเข้าชุดกันสีครีมมีลายดิ้นปักสีทอง ดูอย่างไรก็มิใช่มนุษย์
เมื่อทอดพระเนตรศิราภรณ์บนศีรษะแล้วอยากจะเลื้อยหนีทันที ราชาเผ่าปักษา ครุฑ !
'ฆเคศวร ต้องเป็นเขาแน่ๆ'
พญาครุฑตนนี้น่าจะเป็นตนที่ทำร้ายพระองค์จนบาดเจ็บปางตาย อิทธิ์ฤทธิ์และพละกำลังของมันมากมายมหาศาลเหนือกว่านาคราชชั้นสูงอายุพันปีห้าร้อยเจ็ดสิบกว่าวันหลายเท่านัก กายหยาบเดิมของศศิศมหานาคราชเป็นพญานาคสีทองเจ็ดเศียรขนาดใหญ่ ดวงเนตรสีฟ้า
ในสามโลกนี้มีเพียงครุฑเพียงห้าตนซึ่งเป็นใหญ่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเท่านั้นที่จะทำอันตรายนาคราชหนุ่มได้ได้ นอกจากนั้นมิใช่คู่ต่อสู้เลย
“ถวายบังคมองค์ราชา ถวายบังคม...”
“ไม่ต้องมากพิธี! รีบรักษานางเถอะ” เขาตวาดเสียงดังท่าทางร้อนรน
นาคราชเผลอสะดุ้งตกพระทัย เหงื่อออกชุ่มไปทั้งพระวรกาย พระกรสั่นไปหมดด้วยความกลัว เพียงแค่อยู่ใกล้ศศิศก็สัมผัสได้ถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่จากเสียงของเขา ราชาของเผ่าครุฑเป็นผู้ที่เก่งกาจจนได้ชื่อว่า ‘เทพสงคราม’
“คราที่แล้วเจ้าบอกว่า นางเป็นปกติแล้ว แต่เหตุใดกลับเป็นเช่นนี้ หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้า”
เขากล้าดีอย่างไรจะสั่งตัดหัวใครก็ได้โดยไม่มีเหตุผล!
‘ถึงข้าจะหน้าหวาน แต่ข้าเป็นบุรุษนะ เจ้าครุฑตาบอด’ พระองค์นึกในพระทัย
ตอนนี้ศศิศกล้าตรัสได้ว่า ‘ไม่ชอบขี้หน้าราชาครุฑตนนี้เลย’ เพราะมาหาว่าพระองค์เป็นสตรี !
หมอหลวงดูลนลานเวลาตรวจชีพจรของนาคราชหนุ่ม หน้าเขาซีดเป็นไก่ต้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง สีเขียวและก็ขมวดคิ้ว เขามองคนไข้สลับกับราชาที่นั่งข้างๆ
“พระมหาเทวีเจ้ายังทรงพระครรภ์อยู่พะย่ะค่ะ “ เขาตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนจะรำพึงว่า “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
องค์ฆเคศวรแย้มพระสรวลน้อยๆ
“น้องหญิง ลูกของเรายังอยู่”
เขาเสกก้อนทองคำและมอบมันให้หมอหลวงแล้วหันมาสนใจศศิศ ตอนนั้นเขาลูบหน้าท้องนาคราชหนุ่มเบาๆอย่างทนุถนอม
“ลูกพ่อ ลูกรักของพ่อ”
ศศิศเบิกพระเนตรกว้าง นี่พระองค์ป่วยจนเพ้อไปแล้วหรือฟังไม่ชัดหรืออย่างไร
‘ข้ากำลังจะมีลูก’
“นี่ข้ากำลังฝันอยู่หรือ”
นอกจากท้องที่ยื่นออกมาแล้ว นาคราชหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตของสิ่งมีชีวิตในพระวรกายของพระองค์ที่กำลังดิ้นน้อยๆอยู่
‘ข้าเป็นพญานาค แต่กำลังท้องลูกของพญาครุฑ ศัตรูคู่อาฆาตมาตั้งแต่สองหมื่นปีก่อน!’
นี่มันฝันร้ายชัดๆ
“น้องหญิง เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก เรากำลังจะมีลูก เจ้ารอคอยมันมา 5 ปีแล้วไม่ใช่หรือ”
“ห๊ะ พูดเพ้อเจ้ออะไรของท่านน่ะ ข้าไม่ใช่คนรักของท่าน”
ศศิศอุทานออกมาอย่างงุนงง
‘มันพูดอะไรของมัน ข้าไม่เห็นเข้าใจ’
“เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้อาจจะทำให้เจ้าอาจจะหลงลืมไปก็มิใช่เรื่องแปลก น้องหญิงตอนนี้เจ้าคงจะคอแห้งเช่นนั้นเจ้าจงดื่มน้ำเสียก่อนนะ คนดี”
ครุฑราชตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พระกรหนารินน้ำและยื่นมาตรงพระพักตร์
นาคราชหนุ่มรวบรวมแรงทั้งหมดปัดแก้วน้ำจนกระเด็นหล่นลงพื้นแล้วมองพระพักตร์ของครุฑราชด้วยความแค้นเคือง
แม้ว่าจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่พอนึกถึงตอนที่เขาทำร้ายพระองค์แล้ว พอเห็นท่าทางหงอยๆของเขาแล้วพระองค์ก็รู้สึกสะใจขึ้นมาทันที ศศิศเชิดคางขึ้นและแย้มพระโอรษฐ์เล็กน้อย
“ท่านเพิ่งจะประสงค์ชีวิตของข้ามิใช่รึ ข้าจะกล้าดื่มน้ำที่ท่านรินให้ได้อย่างไรกันเล่า องค์ราชา”
“พี่ไม่เคยประสงค์ชีวิตของเจ้า พี่รักเจ้าดั่งดวงหทัยจะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร พี่อาจจะทอดทิ้งเจ้าไปนาน จนทำให้เจ้าถูกรังแก แต่พี่มีเหตุผล พี่ต้องออกไปรบ ท่านแม่บอกว่า ถ้าหากพี่รบชนะ ท่านแม่จะอนุญาตให้ประกาศว่า เจ้าเป็นราชินีของพี่ พี่ขอโทษ ครั้งนี้พี่ผิดจริง “
“พอเสียที ข้ามิอยากฟังท่านเสแสร้งแสดงละคร ไยข้าจะมิรู้ว่า ท่านทำดีกับข้าก็เพื่อโอรสของท่าน แต่ท่านสบายใจได้”
“เจ้ากำลังเข้าใจพี่ผิด” ฆเคศวรตรัสด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“อย่างนั้นรึ เอาเถอะอย่างไรเสีย ข้าไม่ใช่พวกใจร้ายไส้ระกำจนคิดจะกินยาขับเลือดหรือหาเรื่องให้แท้งโอรสของท่านหรอก”
“พี่ขอขอบใจเจ้ามาก” ราชาครุฑรวบศศิศที่งุนงงเข้าสู่อ้อมพระอุระแกร่ง
“ไม่ต้องมาขอบใจข้าหรอก ข้าทำเพื่อความสบายใจของข้าเพราะในอดีตข้าฆ่าคนบริสุทธิ์มามากแล้ว ข้าไม่อยากฆ่าใครอีก ถึงจะยังเป็นแค่ทารกที่ยังไม่ลืมตาดูโลก แต่เขาก็คือผู้บริสุทธิ์อีกหนึ่งชีวิตเหมือนกัน”
“เจ้าไม่เคยฆ่าผู้ใด เอาเถอะไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร แต่ขอให้รู้ไว้พี่จะไม่มีวันทำร้ายเจ้าและลูกเด็ดขาด”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ในเมื่อข้าต้องอุ้มท้องโอรสท่านกว่าจะคลอดข้าก็ต้องลำบากมิใช่น้อยย่อมถือว่าท่านติดหนี้บุญคุณข้า ท่านต้องรับปากว่าจะทำตามข้อแลกเปลี่ยนของข้าสองข้อก่อน”
“เจ้าว่ามาสิ”
“ดี ตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออก เดี๋ยวถ้าข้านึกออกแล้วจะบอกท่าน” ศศิศตรัสอย่างเป็นต่อ
“พี่รับปากเจ้า”
“ท่านรับปากข้าเร็วไปหรือเปล่า ไม่คิดจะขอเวลาไตร่ตรองดูก่อนหรือ เกิดในอนาคตข้าคิดจะฆ่าท่านขึ้นมา ท่านจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบอาจจะโดนฆ่าตายก็ได้ไม่รู้ด้วยนะ ท่านไม่อยากต่อรองหรือตั้งเงื่อนไขอะไรบ้างหรือ ข้าจะให้โอกาสท่านกลับไปคิดอีกสองวันค่อยมาให้คำตอบข้า“
“ไม่ต้องหรอก พี่คิดดีแล้ว หากในอนาคตเจ้าต้องการชีวิตของพี่ พี่ก็ยินดีจะมอบให้เจ้า ”
“งั้นก็ตามใจท่าน ท่านร่างสัญญาเลือดมาให้ข้าสิ”
“ได้”
ฆเคศวรร่ายมนต์จนเกิดสร้อยที่มีจี้หยดเลือดและมันลอยเข้ามาปรากฎเป็นสร้อยห้อยพระศอของศศิศ เป็นเครื่องยืนยันสัญญาที่หากผู้ให้สัตย์บิดพริ้ว ผู้นั้นจะถูกตราสัญญานี้กัดกินดวงวิญญาณจนตาย เว้นแต่ผู้เป็นเจ้าของสร้อยจะเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาเอง
“ ข้าให้โอกาสท่านแล้ว แต่ท่านเลือกที่จะปฎิเสธมันเอง พูดจบแล้วก็ออกไปสิ ข้าจะนอน”
ศศิศมหานาคราชตรัสไล่ พระองค์ต้องรีบหาโอกาสหนีออกจากถิ่นครุฑ
“เดี๋ยวก่อน พี่มีเรื่องจะขอร้องเจ้า”
“ขอร้อง ราชาแห่งเผ่าสวรรค์ขอร้องข้า ท่านว่ามาสิแต่ข้ายังไม่รับปากท่านนะว่าจะให้ตามขอ ถ้าข้าฟังแล้วพอใจจะทำข้าถึงจะทำให้ตามที่ท่านขอ”
“พี่ขออยู่ที่นี่กับจนกว่าเจ้า…เจ้าจะจำข้าได้ น้องหญิง ”
เขายื่นข้อเสนอใหม่ล่าสุด ทำเอาศศิศชะงักกึกเงยหน้ามองคนพูดแทบไม่ทัน ประโยคนี้ทำเอานาคราชหนุ่มฉงน
“นี่จะมากไปแล้วนะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าข้าน่ะเกลียดท่านเข้ากระดูกดำ เรื่องอะไรข้าจะยอมให้ท่านมาอยู่ที่นี่”
“แต่ก่อนเราก็อยู่ด้วยกันนะ และพี่ห่วงเจ้ากลัวเจ้าจะเป็นอะไรไป” ราชาครุฑเอ่ยเสียงแข็ง
“ถ้าท่านไม่ไว้ใจข้านักทำไมไม่ท้องเองเสียเลยล่ะ”
“ถ้าพี่ทำได้ พี่ทำไปเองแล้ว” ฆเคศวรเถียง และเอ่ยออกมาด้วยเสียงเศร้าๆ ว่า “พี่ไม่อยากให้เจ้าลำบาก”
สายพระเนตรที่ทอดพระเนตรมาด้วยความห่วงใยทำให้พระทัยของนาคราชหนุ่มเต้นผิดจังหวะ
“ท่านนี่มันชอบยั่วโมโหข้าเสียจริง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีวันให้ท่านมาพักอยู่ที่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องไปนอนที่วิมานแก้วอากาศกับพี่แทนดีไหม คนดี”
องค์ฆเคศวรตรัสตอบอย่างว่องไว ไม่แม้แต่จะคิดสักนิด แถมยังทำสีหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อในอดีตจนศศิศเกือบตายเสียด้วยซ้ำ
“ฝันไปเถอะ”
คำตอบสั้นๆนั้นเปลี่ยนสายตาของฆเคศวรให้กลายเป็นแข็งกร้าวเหมือนโกรธขึงในชั่ววูบหนึ่ง แต่วินาทีต่อมามันก็จางหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ช่างควบคุมอารมณ์ได้รวดเร็วเหลือเกิน
“เจ้าก็น่าจะเดาได้นะ น้องหญิง ในวังนี้มีคนอิจฉาเจ้ามากมาย พวกเขาหาโอกาสกลั่นแกล้งเจ้าอยู่ ถ้าเกิดเจ้ากับลูกของเราเป็นอะไรแม้เพียงน้อยนิด พี่คงเสียใจไปจนตาย ”
แม้ว่าฆเคศวรจะแสร้งทำกุเรื่องข่มขู่พระองค์ แต่ศศิศก็ไม่ใส่พระทัยแม้แต่น้อย
“ท่านกล้าขู่ข้าอย่างนั้นรึ”
“พี่มิได้ขู่ แม้พี่เป็นราชา แต่ก็มิอาจควบคุมจิตใจบริวารได้ทุกคน แต่หากพี่อยู่กับเจ้าที่นี่ หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ทันท่วงที”
“นึกว่าข้ากลัวงั้นรึ”
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะปฎิเสธคำขอร้องของพี่ ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกเราบ้างเถอะ”
เสียงทุ้มตรัสถามย้ำ
องค์ศศิศทอดพระเนตรด้านนอกห้องที่ประทับที่ตอนนี้มีแต่เหล่าครุฑเดินไปเดินมา
อันตรายจริงๆ ตอนนี้พระองค์ยังบาดเจ็บอยู่ด้วยถ้าหากโดนรุมคงจะรอดกลับไปยังบาดาลยากแน่ๆ
ตอนนี้คงเหมือนกับขอนไม้ที่ลอยมามาใกล้นาคราชหนุ่มที่ลอยคอในทะเล หากพระองค์ไม่รีบไม่คว้าเอาไว้ พระองค์คงจมน้ำตายและก็คงไม่มีโอกาสอีก
นาคราชหนุ่มหันไปมองหน้าเขาแล้วยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้าอนุญาตให้ท่านอยู่ที่นี่ได้ พอใจหรือยัง”
“พี่พอใจมาก”
องค์ศศิศมองดูเขาที่ส่งสายตากวนประสาทและสีหน้ายียวน รวมทั้งพยายามซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากแล้วรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
“รู้ไว้เสียด้วยที่ข้ายอมครั้งนี้เพราะข้านึกเห็นใจท่านที่เป็นห่วงโอรสเพียงองค์เดียว มิใช่กลัวคำขู่ของท่านหรอกนะ”
“แล้วพี่จะจำใส่ใจเอาไว้”
เขาทำสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่มีสำนึกใดๆยิ่งทำให้รู้สึกอยากตบหน้าแรงๆสักที แต่ศศิศก็ได้แต่ขบกรามแน่น
“แล้วนี่ท่านไม่มีธุระอะไรหรอ? เป็นถึงราชาครุฑทำไมดูว่างงานเสียจริง”
“น้องหญิง เจ้าพูดเหมือนไล่”
“ใช่ นี่ท่านรู้ตัวแล้วว่าข้าอยากไล่ยังไม่รีบไปอีกเหรอ ?”
เขาหัวเราะอย่างข่มขื่น ก่อนจะเอ่ยว่า “สวรรค์คงจะลงโทษพี่แล้ว ตอนที่เจ้าเรียกร้องให้พี่อยู่เป็นเพื่อนพี่กลับบ่ายเบี่ยง พออยากจะชดใช้ให้เจ้า เจ้าก็ไม่ต้องการมันเสียแล้ว”
“…” ท่าทางเศร้าสร้อยเหมือนคนสูญเสียของสำคัญของฆเคศวร ทำให้องค์ศศิศรู้สึกสงสารจับพระทัย
ร่างสูงฝืนแย้มพระโอรษฐ์ตรัสตอบ “เอาเถอะ อย่างไรเจ้ากับลูกก็ยังอยู่ตรงนี้กับพี่ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว พอแล้วล่ะ”
องค์ศศิศปล่อยให้ฆเคศวรจับพระกรไว้ พระองค์ไม่ตรัสตอบอะไร
“ น้องหญิง พี่ไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนเยอะๆ เถอะ”
หลังจากราชาครุฑออกจากห้องไป ศศิศเดินไปส่องกระจก ร่างบางไม่สนใจบาดแผลตามลำตัว ใบหน้าหวานบอบช้ำที่แก้มซ้ายมีรอยนิ้วมือ แขนขวามีรอยถลอก บนหน้าผากมีผ้าพันแผล
นาคราชหนุ่มเปลื้องผ้าออกก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ
พระองค์มีหน้าอก และเครื่องเพศเป็นสตรี!
ร่างบางรีบใส่เสื้อผ้าทันทีแล้วกลับไปล้มตัวลงบนเตียงทันที
'ข้าต้องยังฝันอยู่แน่ๆ'
เมื่อลองหยิกต้นแขนก็ยังรู้สึกเจ็บ
'ชักจะแปลกแล้วสิเนี่ย'
องค์ศศิศเตรียมเข้าบรรทมอีกครั้งแล้วหลับพระเนตร
'หนึ่ง สอง สาม'
เมื่อลืมพระเนตรอีกครั้งก็ยังทรงประทับอยู่ที่เดิม
"เอาใหม่สงสัยข้าจะนับเร็วไป คราวนี้นับให้นานๆหน่อย เอาให้ถึงร้อยเลย"
นาคราชหนุ่มหลับพระเนตรแล้วนับเลขในพระทัย
' หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม...หนึ่งร้อย'
เมื่อร่างบางลืมพระเนตรก็ต้องตกใจสุดขีด
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกป"
ร่างบางแทบจะลุกขึ้นมาเต้น ก็จะอะไรเสียล่ะถ้าไม่ใช่เจ้าครุฑบ้าลามกมันมาลักหลับจุมพิตพอดี พอลืมพระเนตรมาสบกันพอดีศศิศถึงได้ตกพระทัยสุดขีด
" ไอ้ครุฑเฒ่าบ้ากาม!!!!!"
(จบตอน)
กลับมาแล้วค่า หลังจากนัทวุ่นวายกับการงานและก็แต่งเพิ่มตอนที่ 4 ใหม่แล้วลบแล้วก็แต่งใหม่ เพราะตอนเดิมที่แต่งไว้มันข้ามไปเลยแล้วเนื้อหามันงงก็เลยแต่งเพิ่ม แต่มันก็จะเป็นพาร์ทที่อ่านแล้วต้องตั้งสติดีๆ นะ มีเฉลยอะไรๆหลายอย่าง ส่วนปมอื่นๆจะทยอยแกะไปเรื่อยๆ ตอนต่อๆไปค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
******* ขอบคุณ คุณ sirin_chadada ด้วยนะคะ สำหรับการตรวจสำนวน คำผิดและคำชี้แนะต่าง ๆ นัทปรับแก้ตามแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามด้วยค่ะ