ตอนที่ 24 : ว่าด้วยอุบัติเหตุในกองถ่าย 50%
นับเป็นช่วงขาขึ้นของจิระ...เอ่อ ของผมในร่างจิระจริงๆ
นิตยสารขายหมดแผงทันทีที่วางจำหน่ายภายในหนึ่งอาทิตย์จนต้องพิมพ์ซ้ำ ในยุคที่คนแทบไม่ซื้อสื่อสิ่งพิมพ์กันแล้ว ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ทำให้มีการติดต่อถ่ายแบบเข้ามาอีกเพียบ แต่ก็โดนคุณสันปัดตกไปเกือบหมด เขาเป็นเลขาที่เก่งจริงๆ รู้จักเลือกงานที่เข้ากับผมไม่พอ ยังรู้ว่าควรจะทำยังไงถึงให้เกิดกระแส ถ้ารับงานบ่อยไปจะกลายเป็นเกร่อ ถ้าคอนเซปไม่น่าสนใจก็ไม่บูมพอ คุณสันคัดกรองทุกอย่างเพื่อให้เวลาผมลงมือจับงานแต่ละที จะต้องเป็นที่พูดถึง ต้องเป็นที่ชื่นชม แทนที่การทำแบบนี้จะได้เงินน้อย กลายเป็นว่าค่าตัวผมอัพขึ้นแบบก้าวกระโดด เรียกว่างานน้อยแต่มีคุณภาพได้เงินแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ย่อมดีกว่าลุยงานดะแต่ได้เงินมาทีละเล็กละน้อย
ผมไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว เลยยกให้เขาจัดการเต็มที่ เพราะลำพังค่าตัวจิระในการเล่นซีรีส์เช็กเมท ก็พอส่งไอ้น้องชายเรียนอย่างสบายๆ ผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย ชอบกินข้าวบ้าน ไม่ชอบซื้อของ เลยมีเงินเก็บในบัญชีเพียบจนเห็นแล้วยังตะลึง ขนาดคุณสันหักค่านายหน้าเข้าบริษัทไปแล้วก็ยังเยอะจนน่าเหลือเชื่อ ผมเลยมานั่งคิด...ว่าอยากจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งในจิระ เพราะยังไงซะค่าตอบแทนที่ได้มาก็มาจากร่างกายของเขา แต่พอพูดเรื่องนี้กับคุณสัน เขาก็ปฏิเสธทันที เพราะจิระรวยกว่าผมหลายเท่า และเขายังนึกโมโหเรื่องผมเป็นดารา ขืนแบ่งเงินก้อนนี้ให้ มีหวังโกรธจัดกว่าเดิม
พูดถึงจิระแล้วผมก็กลุ้มใจ ตลอดหนึ่งอาทิตย์นี้เวลาไปหาทีไร เขาจะเอาแต่นั่งหน้าบูด ไม่ยอมพูดกับผมเลย แถมยังเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างคนเดียว ผมกลุ้มใจมาก กลัวเขาจะทำร้ายตัวเองอีก แต่พยาบาลบอกว่าเขาตั้งใจทำกายภาพบำบัดกว่าเดิม อยากจะเดินด้วยตัวเองให้ได้ เลยทำให้ผมพอโล่งใจขึ้นมาบ้าง คิดว่าอย่างน้อยเขาก็รักษาสัญญา
กลับมาที่เรื่องตัวเองบ้างดีกว่า ล่าสุดผมไปตรวจร่างกายกับคุณหมออีกครั้ง พบว่าไม่มีอาการลงแดงกำเริบ คาดว่าจากการรักษาที่เข้มงวดในช่วงหลัง ทำให้ผมหย่าขาดจากยาเสพติดแน่นอนแล้ว รู้ข่าวดีแบบนี้ผมก็รีบวิ่งโร่ไปหาจิระ เปิดประตูพรวดพราดไปเจอเขากำลังนั่งตัดเล็บบนเตียง
“คุณจิระ ร่างกายของคุณจะไม่มีอาการลงแดงอีกแล้วนะครับ คุณไม่ต้องกลับไปเสพยาอีกตลอดกาลนานเทอญอีกแล้ว ฮูเร่ ฮูเร่!”
จิระได้แต่ทำหน้างงเพราะจู่ๆ ผมก็ปรี่เข้าไปบังคับจับให้ชูมือขึ้นอย่างดีใจสุดขีด ปกติเขาจะเอาแต่คลุมโปง แต่เพราะกำลังตัดเล็บเลยหลบไม่ทัน นับว่าผมมาถูกจังหวะ เพราะผมเฮไปเฮมา จิระก็หลุดขำ หน้ากากบูดบึงที่ใส่มาตลอดอาทิตย์ถูกกะเทาะแตกเรียบร้อย
ไม่ว่าใครก็ต้องดีใจหากหลุดพ้นจากยาเสพติด โดยเฉพาะกับจิระที่พยายามถึงสามครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ
“คุณกำลังตัดเล็บเหรอครับ งั้นผมทำให้นะ”
“เฮ้ย ไม่ต้อง!”
“ไม่เป็นไรน่า ยังไงนี่ก็ร่างผมอยู่แล้ว ผมทำให้เอง”
ผมไม่ฟังคำค้านแล้วแย่งกรรไกรตัดเล็บมาถือแล้วนั่งตัดเล็บเท้าเขาอย่างบรรจง จิระกลัวจะโดนบาดเลยไม่กล้าขยับตัว ปล่อยให้ผมทำตามใจชอบโดยดุษณี ระหว่างนั้นเลยต้องจำใจฟังผมพล่ามไปด้วย
“พยาบาลบอกว่าคุณจิระเริ่มเดินได้แล้ว แต่ยังทรงตัวนานๆ ไม่ค่อยได้ เพราะนอนนานเกินไป ฉะนั้นคุณอย่าหักโหม อย่ายกของหนัก แล้วทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ แต่เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็เดินได้เป็นปกติแล้วล่ะครับ แค่อย่าวิ่งอย่ากระโดดก็พอ อ้อ ก่อนหน้านี้ผมลืมบอกไป แต่คอนโดของคุณจิระโดนเสี่ยยึดคืนไปแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ หลังจากรักษาตัวจนหายดี คุณจิระย้ายมาอยู่ที่บ้านของผมได้ ผมบอกทุกคนไว้แล้ว ไม่มีใครคัดค้านเลย ยังไงคุณก็อยู่ในร่างของผม ทุกคนคุ้นเคยหน้าตากันดี ส่วนผมเองก็อยู่ในร่างคุณจิระ นับรวมๆ แล้วเราก็เกี่ยวข้องกันกึ่งๆ จะเป็นครอบครัวได้ ว่ามั้ยครับ”
“ครอบครัว...งั้นเหรอ”
“ใช่ครับ พ่อของผมชื่อฉัตรชัย ทำงานโรงงาน ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น ส่วนแม่ผมชื่อจรวย รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน แม่ผมทำอาหารเก่งมาก พูดแล้วก็คิดถึง ผมไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแม่มาหลายวันแล้ว ไว้คุณจิระพร้อมเมื่อไหร่ เรากลับไปลองชิมฝีมือแม่ผมด้วยกันนะครับ อ้อ แล้วผมก็มีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อว่าเจตริน อายุสิบหก ตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งเตรียมสอบเอนท์เข้ามหาลัย มันน่ะเรียนเก่งมาก ได้ทุนทุกครั้งเลยล่ะครับ แถมยังเป็นเด็กดี ช่วงปิดเทอมแบบนี้ตอนเช้าไปเรียนพิเศษ ส่วนตอนเย็นก็รับจ็อบทำงานกะดึกที่เซเว่น กลายเป็นว่าตอนนี้มันสนิทสนมกับไอ้ส้มมากกว่าผมไปแล้ว!”
“ไอ้ส้ม?”
“ไอ้ส้มคือแมวหน้าเซเว่นครับ มันชอบมานอนอวดพุงขาวๆ อยู่บ่อยๆ เมื่อก่อนเวลากลับจากการทำงาน ผมต้องแวะไปให้อาหารมันก่อนตลอดเลยเพราะว่าเซเว่นอยู่หน้าปากซอยหน้าบ้านผมนี่เอง แต่พออยู่ในร่างคุณจิระ มีคนรับส่งตลอดก็เลยไม่ได้แวะหามันเลย แต่ถึงลงไปเจอ ก็ไม่รู้ว่ามันจะจำกลิ่นวิญญาณผมได้รึเปล่า คุณจิระลองไปหามันมั้ยครับ ผมเชื่อว่ามันต้องคิดว่าคุณเป็นผม รีบวิ่งเอาหางมาพันขาแน่เลย โหย นึกแล้วก็ฟินแทน ไอ้ส้มโคตรน่ารักอ่ะครับคุณ”
“นายไม่ได้กลับบ้านเลย? งั้นตอนนี้นายพักที่ไหน”
“ผมก็พักที่นี่สิครับ ไปทำงานสะดวกแถมยังอยู่ใกล้คุณจิระด้วย”
“แล้วพักกับใคร”
ผมชะงักกึก หรือว่าจิระจะเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับเสี่ย ตลอดหนึ่งอาทิตย์มานี้ เสี่ยปฏิบัติตามคำของคุณสันอย่างเคร่งครัด ไม่แสดงเยื่อใยใดๆ ให้จิระคิดเข้าข้างตัวเองได้เลย ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่เขาอยากเดินได้ น่าจะเพราะอยากเดินไปหาเสี่ย เพราะไม่ว่าจะรอในห้องนี้นานแค่ไหน เสี่ยก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาเลยสักครั้ง
โชคดีผมตัดเล็บให้เขาเสร็จพอดี เลยฉวยโอกาสนี้เอาขยะออกไปทิ้งแล้วขอตัวไปทำงาน
เกือบไปแล้วเราผมรู้สึกผิดเป็นบ้า แต่ก็มั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าบอกการคบหาออกไป เขาต้องหยุดทำกายภาพบำบัด แล้วอาจจะทำอะไรแผลงๆ ที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน ซึ่งคราวนี้ก็ไม่มีห้ามเขาได้เลยด้วย ไม่เว้นกระทั่งผมที่ตอนนี้เขายังไว้หน้าอยู่บ้าง
เหมือนกำลัง...แอบหลอกใช้ชอบกลแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะผมนึกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออกเลย
และแล้วก็มาถึงจุดไคล์แมกซ์ของซีรีส์เช็กเมท
ผู้กำกับบอกว่านี่เป็นช่วงท้ายของซีซันหนึ่งแล้ว เนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นและเป็นตอนยาวถึงสามตอนด้วยกัน พลอตคร่าวๆ คือเมื่อองค์กรชั่วร้ายที่พระเอกไปขัดแข้งขัดขาบ่อยๆ ตามสืบมาเจอแหล่งรวมตัวของพวกเขาเข้าซะได้ เลยทำการบุกจู่โจมสายฟ้าแล่บเอาตอนกลางดึกที่ทุกคนล้วนนอนหลับสนิท!!
ฉากแอคชั่นที่ผมรอคอย...แต่มิสเตอร์เอสกลับต้องใส่ชุดนอนแขนสั้นลายสปอนเซอร์กับกางเกงผูกเชือกตัวหลวม!
แล้วดูอีกสองคนสิ อัครเดชโชว์แผ่นอกเปลือยเปล่ากับกางเกงขายาวเนื้อดี ขณะที่ธนัทนั้นมีคาแรคเตอร์แบบหนุ่มเจ้าสำราญ เลยได้ชุดนอนผ้าฝ้ายดูดีมีสกุลเป็นพิเศษ เรื่องเริ่มจากคนร้ายบุกเข้ามาพร้อมๆ กันจากทางหน้าต่างและประตู จนเสียงเตือนภัยของมิสเตอร์เอสดังลั่น ปลุกทุกคนให้ตื่นจากนิทรา
ธนัทกับอัครเดชรีบวิ่งมาที่ห้องของมิสเตอร์เอสทันที แท้จริงแล้วห้องนี้ นอกจากจะรกและมีแต่ชั้นหนังสือแล้ว ยังมีทางลับอีกด้วย! มิสเตอร์เอสกดรหัสลับให้ทั้งสองคนนำไปก่อนเพื่อที่ตนจะได้ปิดประตูล็อกรหัสไม่ให้คนร้ายตามมาง่ายๆ ก่อนจะคลานต้วมเตี้ยมไปในช่องแคบที่เป็นเพียงฉากเซ็ทขึ้นสำหรับการถ่ายทำ
พลันเสียงระเบิดดังขึ้น
พวกเขาสามคนสะดุ้งเฮือกคนละทีสองที คนร้ายกลุ่มนี้ไม่แม้แต่จะเสียเวลาปลดล็อก แต่เล่นใช้ระเบิดทำลายประตูกันเลย
“รีบไปกันเถอะ!”
“อืม!!”
อัครเดชเป็นคนนำอยู่หน้าสุด ถืออาวุธปืนที่ใช้ต่อกรกับคนร้ายมาแล้วหลายตอน ธนัทนั้นเองก็มีปืนสั้นสำหรับป้องกันตัว ขณะที่มิสเตอร์เอส...มีเพียงโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดจากทางสปอนเซอร์ที่ให้ฟรีมาเพื่อใช้ในการถ่ายทำโดยเฉพาะ
เส้นทางลับนั้นสลับซับซ้อน แม้คนร้ายจะเปิดประตูได้ก็ใช่ว่าจะไล่มาทัน มิสเตอร์เอสคอยกระซิบบอกทิศทางโดยอาศัยจากแผนที่ในโทรศัพท์ ก่อนจะมาโผล่ที่โรงรถ สมเป็นเส้นทางพร้อมหลบหนี
“คัต!”
ผมถอนหายใจเฮือกเมื่อได้ยินเสียงจากผู้กำกับ ฉากในโรงรถที่อัครเดชเป็นคนขับหนีคนร้ายอย่างดุเดือดนั้นไม่สามารถถ่ายทำในสตูดิโอได้ คิวถ่ายในวันนี้จึงเหลือแต่เก็บภาพจากฉากเดิมซ้ำเพื่อให้ได้ในมุมอื่นๆ สำหรับทีมตัดต่อ ปัญหาก็คือ...
ผมคันก้นมากๆ แต่ไม่กล้าบอกใคร
ถ้าเอื้อมมือไปเกาจะมีคนเห็นมั้ยนะ
“งั้นมาเริ่มถ่ายเจาะทีละคนกันนะ อืม...จิก่อนแล้วกันเพราะฉากเราน้อย”
“ได้ครับ” ผมขานตอบแม้ใจจะอยากปฏิเสธเต็มแก่เพราะอยากไปห้องน้ำเพื่อดูสาเหตุว่าทำไมถึงได้คันขนาดนี้ แต่คิดไปคิดมา รีบถ่ายทำให้เสร็จๆ ไปน่าจะดีกว่า เกิดจิระแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่มที่กางเกงขึ้นมาจะได้รีบถ่ายรีบถอด เพราะยังไงก็ต้องทนใส่จนกว่าจะจบคิวของตัวเองอยู่แล้ว
คล้ายจะเห็นธนัทแอบเดาะลิ้นแวบๆ สงสัยจะรู้ว่าผู้กำกับนั้นโอ๋ผมเป็นพิเศษเพราะอะไร...
“งั้นเริ่มจากฉากได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังนะ สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากโซฟาตัวโปรดในห้องของมิสเตอร์เอส ก่อนจะรีบพุ่งไปที่คอมพิวเตอร์ทันทีเพื่อตรวจสอบว่าส่วนไหนของบ้านที่ถูกบุกรุก ปรากฏว่าภาพที่ออกมา...คือพวกเขาถูกดักทางไว้ทั้งหมด มิสเตอร์เอสเลยรีบเปิดประตูออกแล้วตะโกนบอกให้ทุกคนมารวมตัวกัน
“มาทางนี้เร็ว!”
เป็นซีนสั้นๆ ที่จะไปบรรจบกับฉากรวมสามคนที่เพิ่งถ่ายทำเมื่อครู่พอดิบพอดี เสียแต่ตอนผมจะเดินกลับห้องเพื่อแสดงซ้ำอีกครั้ง ไอ้อาการคันก้นก็พุ่งปราด มือเผลอเอื้อมไปด้านหลังอัตโนมัติ แต่ก่อนที่แตะโดนแก้มก้นตัวเอง ผมก็สะดุ้งเฮือกรู้ตัวทัน แต่กลับทำให้การทรงตัวเซไปด้านข้าง ชนโครมกับตู้หนังสือเข้าให้
ถ้าเป็นปกติคงไม่หนักหนาสาหัส แต่เพราะนี่เป็นฉากแอคชั่นแรกของมิสเตอร์เอส ทำให้มีการวางเอฟเฟคไว้ในห้อง ผมแทบจะเห็นเป็นภาพสโลโมชั่นเมื่อเห็นชั้นหนังสือค่อยๆ ล้มทับกับเอฟเฟคระเบิดใกล้ๆ กับทางลับ
“ระวัง!!!”
---------------
หายไปนาน....เพื่อมาทำให้ค้าง และจากไปค่ะ ฟิ้ววววววว #ฝอยตกเสี่ย