ตอนที่ 8 : เริ่มต้นชีวิตเยี่ยงดารา
เช้าวันนี้ผมตื่นมาวิ่งเหมือนปกติ ตั้งมั่นว่าจะทำให้ร่างกายของจิระแข็งแรงขึ้นให้ได้
แต่กลับไร้วี่แววของพี่โสภี
ผมชะเง้อมองบ้านใกล้เรือนเคียงด้วยความสลดหดหู่ มิตรภาพของเราจะต้องกลายเป็นหลบหน้าหลบตาเพราะจิระจริงๆ น่ะหรือ ผมอยากคุยกับพี่โสภี อยากเล่าว่ามีโอกาสร่วมงานกับโปรเจ็กต์ใหญ่ แต่ในเมื่อเขาปิดบ้านไม่คิดออกมาเจอกัน ผมก็ได้แต่ตัดใจ
หลังวิ่งแบบเหยาะๆ วนครบหนึ่งรอบ จากที่ออกไปมือเปล่า ขากลับก็มีของฝากจากเพื่อนบ้านเต็มไปหมด ผมฮัมเพลงขณะเดินเข้าบ้านเพื่อเตรียมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อมากินข้าวเช้ากับครอบครัว แต่พอเดินลงมาพร้อมน้องชาย นินจาของผม...เอ๊ย พี่เบิ้มก็นั่งเนียนเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้าน ทั้งที่ปกติไม่เคยเผยโฉมหน้ามาก่อน
“จิลงมาเร็วๆ หน่อยสิลูก ดูสิ ปล่อยให้ผู้จัดการนั่งรอตั้งนาน”
ผู้จัดการ!?“จากนี้ต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ผมจะเป็นคนขับรถรับส่งจิระตลอดการทำงานเป็นนักแสดงในสังกัดของเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์” พี่เบิ้ม...ในชุดสูทสุภาพเรียบร้อย เหยียดตัวตรงขณะส่งนามบัตรสำหรับการติดต่อให้แม่ของผมอย่างเป็นการเป็นงาน
“แหมๆ ทางเราก็ต้องขอฝากลูกชายคนนี้ด้วยนะคะ เขาไม่ใช่เด็กดื้อ เลี้ยงง่ายอยู่ง่าย เสียแต่หัวอ่อนไปหน่อย คงต้องให้ช่วยระวังหน่อยนะคะ”
“ได้เลยครับ ผมจะดูแลจิระให้ดี”
“แม่...แล้วข้าวเช้าของผมล่ะ”
“แม่ใส่กล่องให้แล้ว เอาไปกินที่กองนะลูก ผู้จัดการเขามารับแล้วจะให้รอนานกว่านี้ได้ยังไง ไปๆ ขึ้นรถได้แล้ว”
รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งอยู่บนเบาะหลังของรถสีดำติดฟิล์มในมือถือข้าวกล่องที่แม่ยัดใส่มือด้วยความสับสนมึนงง เชื่อว่าไอ้น้องชายของผมที่พยายามคัดค้านแต่ไม่ทันแม่ก็คงกำลังหัวเสียเหมือนกัน เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหน้าตาของพี่เบิ้มน่ะไม่เข้ากับคำว่าผู้จัดการดาราเลยสักนิด!
“เอ่อ...สรุปแล้วเสี่ยให้พี่มาเป็นผู้จัดการให้ผมแทนเหรอครับ ไม่ต้องจับตาดูผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วใช่มั้ย”
“หน้าที่หลักของผมคือการจับตาดูคุณ หน้าที่รองคือการเป็นผู้จัดการ สันเป็นคนมอบหมายงานนี้ให้เพราะจะทำให้การตามติดคุณง่ายขึ้นกว่าเดิมในกองถ่าย และแม่คุณเองก็เคยเห็นผมแล้วเมื่อวาน แทนที่จะหลบๆ ซ่อนๆ สู้ออกมาแนะนำตัวแบบนี้จะให้ผลที่ดีกว่า”
ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะถึงไม่พูดอะไร แต่แม่คงติดใจเรื่องผู้ชายหน้าบากที่เกือบจะต่อยกับพี่โสภีโดยมีผมเป็นคนกลางไม่น้อย
“คิวงานวันนี้ของคุณเสียบอยู่หลังเก้าอี้ผม”
“อ้อ ขอบคุณครับ ว่าแต่พี่เบิ้มกินข้าวเช้ารึยัง ถ้ายังจะแบ่งจากข้าวกล่องของผมไปก็ได้นะ ผมเคยบอกรึยังว่าอาหารฝีมือแม่ผมน่ะอร่อยสุดๆ ไปเ...”
“ผมกินมาแล้วครับ อีกสิบนาทีจะถึงสตูดิโอ รีบๆ อ่านเถอะ”
ผมยิ้มเก้อเมื่อโดนตัดบท แต่ก็ยอมหยิบแฟ้มที่ตรงหลังเบาะคนขับขึ้นมาเปิดอ่าน เพราะเมื่อวานเป็นการเข้ากองกะทันหัน และผมเองก็เป็นแค่นักแสดงโนเนม หลังถ่ายทำฉากเปิดตัวเสร็จก็โดนไล่กลับบ้านเนื่องจากผู้กำกับขอคิวพระเอกโดยเฉพาะ ตัวประกอบอย่างผมน่ะได้เวลาเข้างานก็ตอนที่พวกนักแสดงหลักไม่ว่างนั่นแหละ
วันนี้ผมมีฉากถ่ายเสริมอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะหลังบอกทางพระเอกให้หลบหนีสำเร็จ พระเอกก็จะได้เจอกับผู้หญิงคนแรกของซีรี่ส์ผู้รับบทเป็นลูกสาวผู้ตาย ซึ่งเชื่อว่าพระเอกไม่ได้เป็นคนฆ่าจึงพยายามให้ความช่วยเหลือ จุดหักมุมอยู่ตรงที่เธอต่างหากที่เป็นคนฆ่าพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ส่วนที่มาตีสนิทกับพระเอกก็เพื่อจะทำหลักฐานปลอมป้ายความผิดให้พระเอกโดนจับนั่นเอง
น่าเสียดาย เพราะหนึ่งในรายชื่อที่มิสเตอร์เอสบอกพระเอกไปนั้นมีรายชื่อของเธออยู่ด้วย ต่อให้เป็นลูกสาวผู้ตายก็ไม่ได้ถูกคัดออกจากผู้ต้องสงสัย พระเอกจึงระวังตัวอยู่แล้วและวางแผนตลบหลังจับกุม ซึ่งมิสเตอร์เอสเป็นกำลังสำคัญมากเนื่องจากพระเอกต้องอยู่ติดกับเธอคนนั้นตลอดเวลา ผู้ติดต่อตำรวจโดยใช้เครื่องดักเสียงทำทีเป็นพลเมืองดีให้เบาะแส จึงเป็นมิสเตอร์เอสผู้อยู่ในห้องเดิมตลอดทั้งเรื่องนั่นเอง
“รุกฆาต”
“คัต!”
ผมคลี่ยิ้มเมื่อการถ่ายทำวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นอีกครั้ง คำพูดทิ้งท้ายของมิสเตอร์เอสนั้นสำคัญมาก เพราะนั่นคือที่มาของชื่อซีรี่ส์ ‘Checkmate’ ความจริงแล้วนี่คือประโยคติดปากของพระเอกที่ต้องพูดจบทุกครั้งตอนปิดคดี แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้คนเขียนบทถึงเพิ่มให้ผมพูดด้วย ทั้งที่บทของมิสเตอร์นั้นควรจะจบตั้งแต่โทรหาตำรวจแล้ว แต่กล้องกลับเดินต่อโดยจับสีหน้าของผมที่แฮกกล้องวงจรปิดของโรงแรม มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจนหญิงสาวโดนจับกุม แล้วเอ่ยคำนั้นออกมา
“เหนื่อยหน่อยนะ”
“ไม่เหนื่อยเลยครับพี่ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับทุกคน ขอบคุณสำหรับการถ่ายทำดีๆ ครับ” ผมยกมือไหว้กับผู้กำกับแล้วเวียนรอบกอง วันนี้นอกจากจะมาถ่ายฉากสุดท้ายของตอนแรกแล้ว ผมยังต้องมาถ่ายฟิตติ้งสำหรับการโปรโมตตัวละครแทนส่วนที่มาแทรกคิวกะทันหันด้วย แถมยังถูกคนเขียนบทเรียกไปคุยเพื่อปรับบทบาทของมิสเตอร์เอสให้ตรงกับคาเรคเตอร์ของผมอีกต่างหาก กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบสี่โมง และอาจจะนานกว่านั้นหากคุณสันไม่มาตามตัวผมแล้วบอกว่าเสี่ยต้องการพบ
“แล้วเสี่ยล่ะครับ” ผมถามงุนงงเมื่อคุณสันพาผมไปที่ลานจอดรถแทนที่จะขึ้นไปชั้นบนสุด
“ท่านกำลังลงมาครับ เราจะไปที่คฤหาสน์ด้วยกัน”
“...ไปเยี่ยมร่างผมกันเหรอครับ” ผมมองในแง่ดี
“ไปตรวจร่างกายคุณจิต่างหากครับ ผ่านมาสองวันแล้ว น่าจะได้เวลาที่ร่างกายแสดงอาการแล้วนะครับ”
เกือบลืมซะสนิทว่าจิระติดยา และมีอาการลงแดงทุกสองถึงสามวัน ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้ผมกินอิ่มนอนหลับ แถมยังออกกำลังกายเป็นประจำรึเปล่า ถึงได้รู้สึกแข็งแรง ไอ้อาการปวดหัวชวนฉุนเฉียวก็เริ่มชิน ไม่ยักจะทรุดเหมือนที่เคยเป็น
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงเป็นใยผมตลอด ผมซาบซึ้งในน้ำใจของคุณสันเหลือเกิ...”
“นอกจากร่างกายของจิระจะเป็นทรัพย์สินของเสี่ยแล้ว ตอนนี้คุณจิเองก็ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัท ฉะนั้นการที่ผมคอยดูแลถือเป็นหน้าที่ครับ หากซีรี่ส์เรื่องนี้ไปได้ดี รับรองว่าจะมีงานเข้ามาให้คุณจิได้ท้าทายความสามารถอีกเยอะแน่นอน”
“คุณสันครับ ตาของคุณเป็นสัญลักษณ์รูปเงินแล้วครับ”
“อะแฮ่ม” คุณสันแสร้งกะแอมไอ ทำเอาผมหลุดหัวเราะ คาดไม่ถึงว่าพอเป็นเรื่องการทำงาน คุณเลขาหน้าตายจะกระเหี้ยนกระหือรือขนาดนี้
เพราะมีรถสองคัน ซึ่งก็คือคันของเสี่ยและคันของพี่เบิ้มที่รับส่งผม เลยแยกคนขับออกเป็นสองคันไปด้วย พี่เบิ้มนั่งคนเดียวอย่างน่าสงสาร ความจริงผมนั่งคันนั้นไปบ้านเสี่ยก็ยังได้ แต่คุณสันกลับชักชวนแกมบังคับให้ผมนั่งคู่กับเสี่ย ส่วนตัวคุณสันก็นั่งข้างคนขับ
ไหนๆ ก็ว่างแล้วเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเฟสบุ้คของจิตรินที่เงียบหายไปนับจากประสบอุบัติเหตุ รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนผมจะเพิ่งมีแก่ใจลองสำรวจเฟสบุ้คของจิระ พบว่าเขามีเพื่อนน้อยมาก ไม่สิ...ไม่มีเพื่อนเลยต่างหาก แถมยังตั้งเป็นไพรเวท รูปที่ลงก็มีแต่พวกกระเป๋า นาฬิกา น่าจะเป็นของที่ได้จากเสี่ย แต่ไม่มีรูปตัวเองเลย
“คุณสันครับ” ผมเพิ่งมาฉุกใจเอาตอนนี้ว่าไม่เคยทำความรู้จักกับเจ้าของร่างกายเลยสักครั้ง สิ่งที่รู้ก็มีแค่เขาเป็นเด็กเลี้ยง ไม่เอาการเอางาน เรียนก็เรียนไม่จบ “ครอบครัวของจิระอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เรื่องนั้น...”
พลันเสี่ยเดินตรงมาพอดี คุณเลขาหน้าบากก็ตามมาด้วย แถมยังช่วยเปิดประตูให้อย่างกับเป็นบอดี้การ์ดมากกว่าเลขา
“เรื่องนั้น...เอาเป็นว่าคุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ”
“อะไร เปลี่ยนใจอยากนอนกับฉันแล้วรึไง” ต่อมมโนของเสี่ยทำงานทันทีเมื่อได้ยินประโยคตัดบทสุดแสนจะมีเลศนัยของคุณสัน ไม่ต้องกังวลหมายถึงอย่าคิดมากเรื่องครอบครัวจิระ ทำหน้าที่ให้ดีคือการแสดงละครให้ดี ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องใต้สะดือสักนิด เสี่ยจะหื่นไปไหนเนี่ย!
“เสี่ยมีเด็กคนอื่นอีกสามคนไม่ใช่เหรอครับ ไม่เห็นต้องมายุ่งกับผมเลย”
“โกรธที่ฉันโกหกรึไง หึ อยากได้อะไรล่ะ หรืออยากให้ง้อ” เสี่ยพูดจบก็จับคางผมให้เงยขึ้นแล้วประกบจูบลงมาทันที รวดเร็วจนผมอ้าปากค้าง สบโอกาสให้เสี่ยสอดลิ้นเข้ามาอย่างช่ำชองจนครางอือในลำคอ ทั้งเคลิ้มทั้งอยากประท้วง เสียแต่เสี่ยดันจับท้ายทอยแล้วคลึงเบาๆ แค่นั้นก็ทำเอาร่างกายจิระอ่อนยวบแล้ว “หายโกรธซะ”
เสี่ยผละตัวออกพร้อมหันหน้าตรงเป็นอันจบการง้อ แต่เดี๋ยว...ไอ้ประโยคคำสั่งนั่นมันอะไร ผมลูบริมฝีปากตัวเองทึ่งๆ ไม่รู้จะต่อกรยังไงกับทักษะมโนที่สูงพอๆ กับสกิลถึงเนื้อถึงตัวของเสี่ยเลยจริงๆ
“เสี่ยทำแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ”
“เธอเป็นที่หนึ่งสำหรับฉันเสมอ”
“แล้วเสี่ยพูดแบบนี้กับทุกคนเลยใช่มั้ย” ผมถามพลางเขยิบตัวชิดประตู กลัวจะโดนจู่โจมอีก
“เล่นตัวแรกๆ ยังน่าสนใจ แต่ถ้ามากไปก็ไม่น่ารักเลยนะ” เสี่ยเหลือบตามองผมอย่างหงุดหงิด “ทำตัวให้ดีหน่อยก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายโกรธ”
“แต่ผมไม่ใช่เด็กเลี้ยงเสี่ยนี่” ผมอุบอิบในลำคอ ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าพูดพล่ามต่อหน้าเสี่ย สงสัยเพราะร่างกายทรยศ แค่เห็นเสี่ยปรายตาทำหน้าดุก็ล่อซะตัวแข็งไปหมด “ผมคือจิตรินต่างหาก”
“จะเป็นใครก็ช่าง ทำตัวเรียบร้อยน่ารักให้ฉันพอใจก็ถือว่าเป็นเด็กฉันทั้งนั้น” เสี่ยละสายตาไปทางอื่น “ถ้ายังไม่เปลี่ยนใจก็ทำตัวดีๆ ไอ้ท่าทางเรียกร้องความสนใจนั่นนะ อย่าแสดงออกให้มากนัก จะได้ไม่หาว่าฉันคุกคามทางเพศ”
โห เสี่ยก็กล้าพูดเนอะ ตั้งแต่วันนั้นที่เสี่ยเอาของลับมาให้ผมจับ นั่นก็เรียกว่าคุกคามทางเพศแล้ว!เสี่ยมีวิธีปฏิบัติกับเด็กเลี้ยงแตกต่างกับคนอื่นมาก เพราะจะค่อนข้างเอาใจถึงเนื้อถึงตัว แต่พอโดนผมปฏิเสธ เสี่ยก็กลับไปนั่งนิ่งไม่แตะต้องผมเลย น่าจะเป็นเพราะไม่อยากโดนกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เสี่ยขี้เก๊กเพราะมากศักดิ์ศรีจะตายไป
ผมลูบอกอย่างโล่งใจ ก่อนจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ใจมันแกว่งอย่างบอกไม่ถูก
ร่างกายจิระทำปฏิกิริยาน้อยอกน้อยใจเสี่ยรึเปล่านะ ผมไม่แน่ใจ แต่ทำไมเหงื่อถึงออกเยอะขนาดนี้ล่ะ
“เสี่ย...”
เสี่ยไม่หันมา เขาคงคิดว่าผมเรียกร้องความสนใจอีกแล้ว
“เสี่ยครับ...” ผมเอ่ยเสียงแห้ง รู้สึกน้ำลายหนืดคอแปลกๆ แถมยังรู้สึกพะอืดพะอม พอไม่ได้ตั้งสมาธิทำงานหรือจดจ่อกับการออกกำลังกายแล้ว การควบคุมอารมณ์มันยากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ชัดเลย...อาการกำเริบอีกแล้ว
“คุณสัน...ผม...” ผมเรียกหาตัวช่วยคนอื่น คุณสันหันมาทันที พอเห็นผมนั่งหน้าซีดก็ตกใจ รีบหันไปบอกคนขับให้เร่งความเร็ว
“ไม่ได้เรียกร้องความสนใจหรอกหรือ”
คำพูดของเสี่ยทำเอาอารมณ์ผมที่ไม่ปกติอยู่แล้วแทบจะพุ่งสูงด้วยความโมโห ในเวลานี้เสี่ยก็ยังจะ...
“เลี้ยงเด็กนี่ยุ่งยากจริงๆ”
พลันสัมผัสหนึ่งแตะเบาๆ บนศีรษะ ผมเงยมองเสี่ย อารมณ์ฉุนเฉียวหายทันทีเมื่อเห็นเขายื่นมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กำลังปลอบเด็ก สายตาที่เหลือบมองมานั้นเห็นความเอาใจใส่ ราวกำลังเฝ้ามองคนที่แสนทะนุถนอม
ก็จิระเป็นคนโปรดของเสี่ยสินะเห็นคนที่ชอบกำลังทรมาน ต่อให้ข้างในจะเป็นคนอื่น เสี่ยก็ต้องห่วงอยู่แล้ว
ความรู้สึกของผมมันปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งดีใจที่เห็นปฏิกิริยาของเสี่ย ซึ่งไม่รู้ว่านั่นมาจากร่างกายของจิระ หรือจากตัวผมเองกันแน่ แล้วยังอาการลงแดงที่เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นทุกที
“มานี่” จู่ๆ เสี่ยก็ดันศีรษะของผมให้มานอนเกยบนตัก “อยู่นิ่งๆ ซะ”
“เสี่ย...” ผมพลิกตัวอย่างต้องการประท้วง ร่างกายสั่นกึกๆ แบบนี้จะอยู่เฉยได้ยังไง
“เด็กดี”
พลันฝ่ามือทาบทับปิดดวงตา แม้ความมืดในตอนนี้จะดูน่ากลัว แต่ความอบอุ่นที่แผ่มาจากสัมผัสนั้นก็ทำให้ผมสงบอย่างประหลาด ผมยกมือสั่นๆ จับมือของเสี่ย รู้สึกใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก
“นั่นแหละ เด็กดี”
พอได้รับคำชมอีกครั้งร่างกายก็แสดงอาการตอบสนอง
ไม่อยากให้คนคนนี้ผิดหวัง
ต่อให้ต้องฝืนตัวเอง แต่ก็ไม่อยากให้การกระทำปลอบโยนนี้ไร้ค่า
ผมพยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่าน นับหนึ่งถึงสิบในใจซ้ำไปซ้ำมาเพื่อไม่ให้อารมณ์เตลิด เพราะเมื่อครู่ทุกอย่างกะทันหันเกินไป ถึงได้ควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่
เป็นเสี่ยที่รั้งผมให้กลับมา
เป็นเสี่ย...
หลังถูกฉีดยาด้วยอะไรก็ตามที่ผมไม่อยากจะรู้ อาการผมก็ดีขึ้นและอ่อนเพลียเหมือนครั้งก่อน น่าจะเป็นเพราะหัวใจเต้นเร็วเกินไปเป็นเวลานาน ควบคู่กับยากล่อมประสาท ผมเลยนอนพักฟื้นที่บ้านของเสี่ยก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงกลางคืน
ภาพแรกที่เห็นคือเสี่ยที่นั่งอ่านหนังสือตรงโซฟาตัวเดิม ในมุมเดิม ท่วงท่าสง่าแบบเดิม แม้เป็นหนังสือคนละเล่ม แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นนิยายอีโรติก เพราะเป็นภาพของชายหญิงในเสื้อหลุดลุ่ยกำลังนอนทับกัน
“วันนี้มีสตูเนื้อของโปรดเธอ”
เสี่ยเอ่ยเรียบๆ ระหว่างพลิกหน้าหนังสือ เขาเอาใจใส่จิระถึงขนาดที่ปล่อยให้ผมนอนสบายๆ ในห้องมืด ขณะที่ตัวเองนั่งอ่านหนังสือใต้แสงจากโคมไฟ
“เอ่อ...ผมชอบกินปูผัดผงกะหรี่ครับ”
“อ้อ” เสี่ยครางในลำคอ คล้ายเพิ่งนึกได้ว่าผมกับจิระนั้นเป็นคนละคนกัน เขามักหลุดแสดงท่าทีเหมือนจิระยังอยู่ ก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อรูปร่างหน้าตานี้เป็นเด็กเลี้ยงของเขานี่นา “แล้วจะทานมั้ย”
“เอ่อ ผมกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าครับ ป่านนี้พ่อกับแม่คงเป็นห่วง แม้ผมจะไม่เคยเถลไถล แต่ก็เคยล้มรถครั้งหนึ่งตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์กับเพื่อน ตอนนั้นเฉียดตายมากเลยเสี่ย หัวผมงี้กระแทกพื้น แต่โชคดีสวมหมวกกันน็อกเลยรอดมาได้ พูดไปแล้วก็คิดถึงตอนโดนจิระชน ถ้าตอนนั้นผมสวมหมวกกันน็อกมาด้วยคงไม่เป็นเจ้าชายนิทรา แต่ใครจะบ้าใส่มาซื้อลูกชิ้นล่ะเนอะ เอิ๊กๆ”
“ไปสักที”
ไอ้จิโดนไล่อีกแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางตรงข้างเตียงขึ้นมาดู นั่นไง ปิดเครื่องเหมือนครั้งก่อนเปี๊ยบ พอจะเดินย่องออกมา ไม่รู้อะไรดลใจ ถึงเผลอหันไปมองเสี่ย รู้สึกบรรยากาศรอบตัวเขาหงอยๆ สลดซึมชอบกล
“แล้วเสี่ย...ทานรึยังครับ”
เขาไม่ตอบ แต่ไม่รู้ทำไม ผมคิดว่าเขาคาดหวังว่าจะให้ผมอยู่ต่อเพื่อทานข้าวด้วยกัน
ไอ้จิไม่ได้เข้าข้างตัวเองไปใช่มั้ย
“ครั้งหน้า...” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ “ไว้ครั้งหน้าตอนบอกพ่อแม่ไม่ให้ห่วงแล้ว ผมจะทานกับเสี่ยนะครับ ผมหมายถึง ทานข้าวนะไม่ใช่ให้เสี่ยทานอย่างอื่น”
“หึ” เสี่ยหลุดขำ เหลือบมองผมแวบหนึ่ง ชั่ววูบนั้นหัวใจถึงกับเต้นแรง ไม่รู้ว่าเป็นของจิระหรือจิตรินกันแน่
จนตอนนี้หน้าผมยังร้อนๆ เหมือนยังจับสัมผัสเสี่ยตอนทาบมือปิดตาได้อยู่เลย
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไม่สิ ผมอยากเจอร่างตัวเองก่อน เสี่ย...ให้ผมไปหาจิตรินได้มั้ยครับ”
“สันจะพาไป เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน อย่าเถลไถล ฉันไม่มีหมวกกันน็อกให้หรอกนะ”
“ขอบคุณครับเสี่ย”
เสี่ยรู้จักเล่นมุกด้วย เดี๋ยวนี้พัฒนานะเนี่ยผมยกมือไหว้เขาก่อนจะเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้...นึกว่าเขาเป็นคนขี้เก๊ก ขี้มโน แถมยังหื่น ชอบโกหก ลวนลามเด็ก แต่ถ้าได้รู้จักแล้ว...เขาก็เป็นทั้งหมดนั้นนั่นแหละ แต่มีอย่างอื่นแฝงด้วย อย่างเช่นว่าเขานั้นให้ความสำคัญกับเด็กเลี้ยงมากแค่ไหน ก็ไม่แปลกหรอกหากจิระจะรักเสี่ย แถมยังมีความเป็นผู้ใหญ่ และสุภาพบุรุษอีกต่างหาก แม้จะถึงเนื้อถึงตัวไปบ้าง แต่นั่นเพราะเสี่ยคิดว่าผมให้ท่าเลยสนองตอบ เพราะพอผมปฏิเสธ เขาก็ไม่ออกอาการถึงเนื้อถึงตัวอีกเลย
เอ่อ...สรุปแล้วเสี่ยดีหรือไม่ดีกันแน่เนี่ย
แต่ที่แน่ๆ ผมโดนไอ้เจเฉ่งอีกแหงๆ เฮ้อ!
จากนั้นชีวิตผมก็วนเวียนในแบบเดิมๆ
ตอนเช้าวิ่งออกกำลังกาย ตอนเที่ยงแวะไปกองถ่าย เพราะคิวของผมส่วนใหญ่อัดอยู่แต่ที่สตูดิโอ คนที่เจอเป็นประจำก็มักจะเป็นพระเอกซึ่งพักบ้านเดียวกับมิสเตอร์เอสแต่อยู่คนละห้อง ส่วนตัวผู้หญิงที่ถ่ายพร้อมกับพระเอกนั้นไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ เนื่องจากเน้นไปทางฉากนอกสถานที่มากกว่า
หลังจบงานผมมักไปฟิตร่างกายเพราะแค่การวิ่งตอนเช้าไม่พอ ก็เลยได้คุณสันช่วยสมัครสมาชิกฟิตเนสให้ เห็นราคาแล้วผมหัวใจแทบวาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าให้จิระไปเข้าฟิตเนสที่อื่นคงโดนมองไม่ก็โดนจีบ ฉะนั้นมาเข้าฟิตเนสส่วนตัวสำหรับดาราโดยเฉพาะ ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยปิดเป็นความลับอย่างดีน่าจะเหมาะสมกว่า
ทุกสองวัน คุณสันจะให้ผมรอจนเสี่ยเลิกงานเพื่อไปคฤหาสน์ด้วยกัน ถ้าอาการยังไม่กำเริบก็จะฉีดยากันไว้ก่อน แต่ถ้ากำเริบก็ต้องนอนพักอีกหลายชั่วโมงถึงจะกลับบ้านได้ อ้อ ผมได้เจอกับร่างกายตัวเองแล้วนะครับ เสี่ยให้อยู่ในห้องปลอดเชื้ออย่างดี มีนางพยาบาลดูโดยเฉพาะคอยตัดเล็บสระผมพลิกตัวให้ เห็นแล้วก็วางใจ และรู้สึกขอบคุณเสี่ยที่ทุ่มเทให้แม้จะเป็นคนแปลกหน้ากันก็ตาม
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกับเสี่ยจะนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันทุกสองวัน อาหารส่วนใหญ่ก็ตามใจปากเจ้าของบ้านนั่นแหละ เดี๋ยวก็อาหารฝรั่ง เดี๋ยวก็อาหารไทย จากตอนแรกที่ต้องโทรบอกพ่อกับแม่ ตอนหลังต่อให้ลืมบอก พ่อกับแม่ก็รู้แล้วว่าผมหายตัวมากินข้าวอยู่กับใครจนหายห่วง
ที่โวยวายก็มีแต่น้องชายตัวดีของผมนั่นแหละ
แต่เขาคงเหนื่อยแล้ว ช่วงหลังมานี้เห็นผมกลับมาปลอดภัยดี ก็เริ่มวางใจเสี่ย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนแม้เหมือนจะคืบหน้า แต่ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ แค่นั่งรถกลับด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน แล้วก็แยกย้าย เสี่ยไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟัง เพราะคนที่เล่าน่ะเป็นผมต่างหาก
สองเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก
ซีรี่ส์ตอนแรกของเช็กเมทก็เริ่มฉาย
ผมรู้ตอนนั้นเองว่าทำไมคนเขียนบทถึงแก้ให้มิสเตอร์เอสพูดคำนั้น
ฉากจบที่หญิงสาวโดนจับโดยที่พระเอกซึ่งทำทีเหมือนหลงรักเธออย่างหวานซึ้งจนเกือบโดนป้ายคำผิด ยืนมองตำรวจที่รุมล้อมด้วยสีหน้าสะใจและเอ่ยคำว่ารุกฆาตนั้น เพิ่มอิมแพคมากขึ้นเมื่อระหว่างฉากนั้นมีการตัดภาพของมิสเตอร์เอส หรือก็คือใบหน้าของผมสลับลงไปด้วย กลายเป็นว่าทั้งมิสเตอร์เอสและตัวพระเอกนั้นกำลังมองในเหตุการณ์เดียวแต่จากคนละสถานที่ ซึ่งในตอนท้ายก่อนจบ จากภาพตัดสลับ ก็กลายเป็นใบหน้าเราสองคนขึ้นคู่กัน และเอ่ยประโยคเด็ดออกมาพร้อมกัน
“รุกฆาต”
แล้วเพลงจบซีรี่ส์ก็ขึ้นพร้อมชื่อนักแสดงและขอบคุณสปอนเซอร์
“สนุกโคตรเลยพี่จิ!” น้องชายของผมเป็นขาประจำแนวสืบสวนอยู่แล้ว ถึงกับร้องลั่นอย่างอดไม่ไหวเมื่อดูจนจบ “ฉากสุดท้ายโคตรเท่เลยพี่ โอ๊ย ตอนต่อไปเป็นยังไงเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
“อย่านะลูก แม่ไม่อยากโดนสปอย!” แม่ผมรีบยกมือปิดหู คาดว่าคงจะประทับใจกับการเปิดตัวตอนแรกของซีรี่ส์ทุนสร้างระดับหลายล้านเช่นเดียวกัน
“อืม...นึกว่าลูกจะมีบทนิดเดียวซะอีก แต่ถึงจะออกมาแค่ไม่กี่นาที ฉากสุดท้ายนั่นก็ทำให้เด่นเท่าพระเอกเลยนะ อืม...ไม่เลวๆ” พ่อลูบคางอย่างเก็บอาการ แต่แววประกายวาวแทบปิดอารมณ์ไม่มิด
อย่าว่าแต่ใครเลย ผมเองก็อึ้งเหมือนกัน ต้องชื่นชมผู้กำกับและคนเขียนบทที่เพิ่มฉากของผมออกมาให้ดูดีขนาดนี้ จากผู้ช่วยตัวประกอบที่แทบไม่ขยับตัวไปไหน ถึงได้ดูเท่ระเบิดเทิดเทิง เป็นที่จดจำได้ไม่ยาก
...สงสัยพรุ่งนี้จะไปวิ่งไม่ได้แล้วมั้งเรา-------------
ไทม์สคิปเล็กน้อย อยากให้จิเริ่มดังแล้วค่ะ 555
ส่วนความสัมพันธ์ของจิกับเสี่ย อย่างที่บอกว่าไม่เน้นเรื่องบนเตียงเท่าเรื่องอื่น เลยออกแนวเรียบเรื่อย ค่อยๆ ศึกษากัน โอนอ่อนกันมากกว่าค่ะ หนูจิเป็นคนน่ารัก(?)อยู่แล้ว เสี่ยเองพอโดนดักก็ไม่รุกมาก เลยทำให้บรรยากาศออกมาเบาสบาย เข้าทางจินัก! #ฝอยตกเสี่ย
ปล.นี่เป็นสต็อกตอนสุดท้ายแล้ว จากนี้จะไม่อัพทุกวันแล้วนะคะ อ่านแล้วชอบอย่าลืมเม้นให้กำลังใจกันด้วยน้า ขอบคุณค่า
เพจนักเขียนที่ลุ้นตัวโก่งว่าเสี่ยจะตบะแตกเมื่อไหร่