ตอนที่ 12 : โฆษณาตัวที่สองก็ดันมีอุปสรรคมาคุกคาม
“มิสเตอร์เอส!”
“กรี๊ดดด มิสเตอร์เอส!”
เป็นครั้งแรกที่ผมออกกองนอกสถานที่
เลยค่อนข้างปรับตัวไม่ทันเมื่อเห็นว่ามีกลุ่มแฟนคลับยืนรอและถือป้ายเชียร์อย่างตื้นตันใจเมื่อเห็นตัวจริง ด้วยตารางงานของผมที่มักถ่ายทำแต่ในบริษัท มีรถรับส่งตลอดเวลา แล้วยังประวัติที่แทบหาไม่เจอว่าเป็นใครมาจากไหนอาศัยอยู่กับใคร ( แหงล่ะ คงไม่มีใครนึกว่าจะมาพักในชุมชนแออัดที่ถูกคุณสันเอาเงินปิดปากห้ามปล่อยข่าวลือหรอก ) ทำให้ภาพลักษณ์ของจิระนั้นลึกลับเหมือนมิสเตอร์เอสผู้มากปริศนากระทั่งชื่อจริงยังไม่เปิดเผยไม่มีผิด
พอปรากฏตัวออกมาที...เลยได้ผลตอบรับที่น่าตกใจ
อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องเสี่ยหรอกนะ เมื่อเช้าผมแวะเข้าบริษัทเพื่อฝากข้าวกล่องให้คุณสัน พลางฝากบอกเสี่ยว่าวันนี้คงอยู่ทานข้าวกลางวันด้วยไม่ได้เรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่โดนเข้าใจผิดอีก
แล้วอย่าสงสัยด้วยล่ะว่าทำไมถึงวานหลายต่อ ก็ผมไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเสี่ยนี่นา!
“คุณจิระครับ เตรียมแสตนบายครับ”
“ครับ”
วันนี้ผมมาถ่ายโฆษณาโทรศัพท์ ตอนแรกก็ไม่มีคนรู้หรอก แต่พอมีคนจำได้แล้วโพสลงในโซเชี่ยล จากหนึ่งคนก็กลายเป็นสองคน จากสองคนก็กลายเป็นสามคน ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ก็กลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ และน่าจะมาเพิ่มอีกเรื่อยๆ
“รีบถ่ายทำกันเถอะครับ”
ทางกองกลัวว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทำเลยเร่งทีมงานช่วยคุมแฟนคลับให้ช่วยเงียบเสียง
“ไฟพร้อม กล้องพร้อม นับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง!”
ผมเดินเล่นอยู่ริมถนน ท่าทางเอื่อยเฉื่อยมองเหม่อรอบด้านเหมือนไม่สนใจอะไรเป็นพิเศษ ราวกับว่าเป็นวันหยุดธรรมดาวันหนึ่ง แต่แล้ว...ด้านหลังมิสเตอร์เอสกลับปรากฏกลุ่มคนปริศนาชุดดำ!
หากมิสเตอร์เอสเป็นฝ่ายถูกไล่ตาม จะเป็นยังไงนะ!?
เมื่อขาดคอมฯคู่ใจ สิ่งที่ทำได้คือต้องโทรศัพท์ในมือแฮกกิ้งลวกๆ เพื่อหาทางหนี ผมรีบหยิบสินค้าขึ้นมากดจิ้มเหมือนชำนาญ แม้ว่าหน้าจอจะไม่ปรากฏอะไรเพราะทางทีมงานจะตัดต่อเป็นภาพสามมิติ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปยังเส้นทางที่กำหนดคิวไว้แล้ว
ผมวิ่งหลบซ้าย เบี่ยงขวา แอบหลบอยู่ถังขยะ เดินเนียนไปกับกลุ่มคน เป็นโฆษณาลุ้นระทึกที่แฝงความตลกขบขันโชว์ความน่ารักของมิสเตอร์เอส ก่อนจะจบที่ผมสลัดกลุ่มคนพวกนั้นสำเร็จ และชื่นชมโทรศัพท์ในมือว่าเครื่องแรงเร็วไม่แพ้คอมพิวเตอร์คู่ใจ
“รุกฆาต”
มิสเตอร์ยิ้มจางกับตัวเองอย่างพอใจ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินเอื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คัต!”
“ดีมากจิ”
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะจิ!”
ผมยกมือไหว้คนในกองเป็นมารยาท เห็นเล่าเรื่องคร่าวๆ จบในไม่กี่ย่อหน้า แต่ถ่ายทำจริงล่อยาวไปหลายชั่วโมงเพราะต้องซูมเน้นที่ตัวเครื่องเยอะเป็นพิเศษ และต้องมีหลายมุมมองเพื่อให้ตัดต่อออกมาได้น่าติดตามมากขึ้น ด้วยอากาศที่ร้อน ทำให้ผมหน้าแดงก่ำ พี่เบิ้มรีบส่งน้ำเย็นให้ดื่มแก้กระหาย หาเก้าอี้ให้นั่ง แถมยังคอยพัดให้ผมอีกต่างหาก บอกเลย ด้วยแรงของพี่เบิ้ม พัดมาแต่ละที หน้าม้าผมงี้ตีพั่บๆ
“ผ้าเย็นมั้ยจ๊ะจิ”
“ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มขอบคุณคนในกองที่แสดงความเป็นห่วง ระหว่างพักผ่อนก็ชะโงกหน้ามองกลุ่มแฟนคลับที่ตากแดดรอคอยไม่ไปไหน
“มิสเตอร์เอสคะ หันมาทางนี้หน่อย!”
“ว้าย เขามองกล้องฉันแล้ว!”
“หันมาทางนี้บ้างสิคะมิสเตอร์เอส!”
“ทางฉันด้วยสิคะ มองกล้องของฉันบ้าง!”
นานครั้งจะได้ออกกองนอกสถานที่ ผมเลยซาบซึ้งเมื่อเห็นเหล่าแฟนคลับตามมาเฝ้าแม้จะทั้งร้อนทั้งเหนื่อย สิ่งที่พอทำได้นอกจากหันมองรอบๆ ให้ทุกคนถ่ายรูปคือการรูดซิปปากปิดเงียบผิดวิสัย เพราะตอนเอาข้าวกล่องไปฝากเสี่ย คุณสันกำชับแล้วกำชับอีกว่าให้ผมคงคาแรคเตอร์มิสเตอร์เอสไว้ตลอดเวลา ไม่มีกล้องจับอยู่ก็ต้องทำ!
ความจริงก็มีหลุดไปหลายครั้ง แค่ท่าเดินปกติของผมกับมิสเตอร์เอสก็ไม่เหมือนกันแล้ว
มิสเตอร์เอสจะเดินแบบหลังค่อมนิดๆ ติดลากขา และจังหวะช้าเอื่อยเฉื่อย ขณะที่ผมจะก้าวฉับๆ อย่างมั่นใจ จนโดนผู้จัดการสะกิดเตือนบ่อยๆ
“มิสเตอร์เอสคะ ขอลายเซ็นหน่อยได้มั้ยคะ!”
“ขอลายเซ็นด้วยค่ะมิสเตอร์เอส!”
“พี่เบิ้ม...”
“ไม่ได้ครับ”
จะมีสักกี่ครั้งที่จะมีคนชื่นชมขนาดนี้ แม้ว่าจะชอบเพราะรูปร่างหน้าตาของจิระ แม้ว่าจะหลงใหลลักษณะนิสัยของมิสเตอร์เอส
แม้ว่าทุกอย่างจะไม่ใช่ตัวผมเลย แต่เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ...ผมถึงอยากตอบแทนในสิ่งที่พอทำได้...
ในสิ่งที่จิตรินสามารถทำได้
“แค่ลายเซ็นเอง ผมสัญญาว่าจะไม่เข้าใกล้มากเกินไป นะครับ” ผมรู้ว่าเขากังวลว่าหากออกไปเจอแฟนคลับนอกกองแล้วจิระจะโดนรุมจนอาจบาดเจ็บขึ้นมาได้ แผลเล็กน้อยน่ะอาจไม่กระทบงาน แต่ถ้ารู้ถึงหูเสี่ยคงไม่ใช่เรื่องดี “กลุ่มแฟนคลับเขาน่ารักออกครับ แถมยังมารอตั้งหลายชั่วโมง ขนาดผมยังร้อนจนเกือบเป็นลม แล้วพวกเธอยืนอย่างนั้นไม่ได้หลบแดดไปไหน นั่งพักก็ไม่ได้นั่ง จะรู้สึกยังไงถ้าผมกลับไปเฉยๆ อย่างนี้ ขอแค่ให้ลายเซ็นพวกเขาเอง ให้ถ่ายรูป แต่ไม่ได้เข้าใกล้เกินกว่าที่คุณสันสั่งไว้ เว้นระยะห่างหนึ่งเมตรพอดิบพอดี แล้วก็...”
“พูดเกินโควต้าแล้วครับ”
ผมรีบยกมือปิดปาก มองซ้ายมองขวากลัวมีใครเห็น โชคดีที่แฟนคลับอยู่ห่างออกไปเลยไม่ได้ยิน ผมคลี่ยิ้มมุมปากกลบเกลื่อนนิดหน่อยก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดีใจจนลืมภาพก่อนหน้านี้จนหมด
“พี่เบิ้มครับ...”
ผู้จัดการของผมถอนหายใจเฮือก สุดท้ายก็ยอมเดินนำไปหาแฟนคลับแล้วพูดเป็นเชิงขู่ว่าห้ามเบียด ห้ามยื่นมือมาแตะต้องจิระ โชคดีที่สาวๆ เชื่อฟังเพราะอยากได้ลายเซ็น เลยยืนรอกันอย่างสงบเสงี่ยมมาก
พอเห็นพี่เบิ้มหันมาเรียกเป็นเชิงว่าทุกอย่างเรียบร้อยผมก็เดินแบบมิสเตอร์เข้าไปหาพวกเธอ รับกระดาษมาจากแต่ละคนที่พยายามกลั้นเสียงสะกดอารมณ์แจกลายเซ็นให้อย่างตั้งอกตั้งใจ
จนกระทั่งถึงคนสุดท้าย ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมแว่นดำดึงหมวกฮู้ดปิดหน้าปิดตาก็เอ่ยถามออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“มิสเตอร์เอสคะ...คือฉัน ขอจับมือได้มั้ยคะ”
“ได้สิครับ”
ผมยื่นมือไปอย่างไม่คิดอะไร พี่เบิ้มยืนคุมสาวๆ อยู่ข้างๆ คงไม่มีใครกล้าเบียดเข้ามารุมจับมือผมแน่ แถมทุกคนก็กำลังชื่นชมกับลายเซ็นที่ผมโดนพ่อกับแม่เคี่ยวเข็ญฝึกชนิดที่หลับตาก็ตวัดปากกาได้อยู่ด้วย
แต่แล้วผมก็คิดผิด
“โอ๊ย!”
ผมชักมือกลับทันทีตามสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกเหมือนถูกของมีคมกดลงบนเนื้อ สร้างรอยกรีดขวางลากผ่านยาวน่ากลัว เลือดสีแดงทะลักพรวด ผมรีบกุมมืออย่างตกใจ ทันเห็นว่ามีใบมีดโกนขนาดเล็กซ่อนอยู่ระหว่างซอกนิ้วที่หนีบไว้อย่างแนบเนียนของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็รีบหันหลังชิ่งหนี เบียดกลุ่มคนฝ่าออกไปอย่างรวดเร็ว แม้พี่เบิ้มอยากจะตามไปแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะต้องคอยยืนขวางกันกลุ่มแฟนคลับไม่ให้เข้ามารุมด้วยความเป็นห่วง เสียงตะโกนเรียกมิสเตอร์เอสดังไม่หยุด
คนในกองพอเห็นว่าเริ่มคุมไม่อยู่ก็รีบเข้ามาช่วย พี่เบิ้มดันผมขึ้นรถทันที ผมไหว้ลาแทบไม่ทัน แต่พอยกขึ้นมาเลือดก็ไหลโชก เล่นเอาแต่ละคนรีบไล่ให้ผมไปโรงพยาบาลเร็วๆ
“ขอโทษนะครับพี่...”
ผมนั่งคอตก พี่เบิ้มนิ่งเงียบไม่พูดจา แต่ในใจอาจคิดว่าผมเตือนแล้วไม่ฟัง
เคยได้ยินว่าพวกคนดังจะมีแอนตี้แฟน แต่คาดไม่ถึงว่ามิสเตอร์เอสที่เพิ่งโด่งดังไม่นานจะมีแอนตี้แฟนปะปนมารวดเร็วขนาดนี้
ผมนั่งหน้าซีด ไม่ใช่ว่ากลัวเลือด แต่กลัวโดนเสี่ยด่า
...ทำให้จิระมีแผลซะแล้วสิเรา ตอนแรกพี่เบิ้มจะพาผมไปที่บ้านเสี่ยเพราะมีหมอประจำและไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าบาดแผลของผมหนักกว่าที่คิดแถมเลือดก็ไหลไม่หยุด เลยตัดสินใจแวะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยไม่ลืมโทรประสานงานกับคุณสัน
ผลออกมาคือโดนเย็บไปสิบกว่าเข็ม ฝ่ามือสวยของจิระมีรอยเย็บสยดสยองไม่เข้ากันสักนิด เห็นแล้วปวดใจแทนเสี่ยและรู้สึกผิดเป็นล้นพ้น
“คุณจิ!”
ผมนั่งอยู่ในห้องตรวจไม่นานคุณสันก็มาหา เขาไปคุยกับพี่เบิ้ม ก่อนจะหันมาหาผม
“ตอนนี้มีนักข่าวรออยู่ด้านหน้า ผมจะให้เบิ้มขับรถออกไปล่อ ส่วนคุณจิกลับกับผมนะครับ”
“ครับ” ผมสงบปากสงบคำไม่กล้าปฏิเสธ หลังพี่เบิ้มออกไปคุณสันก็ให้ผมใส่ชุดปลอมตัวแล้วพาออกไปทางลานจอดรถด้านหลัง ตอนรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ยังเห็นรถตู้ของนักข่าวประจำอยู่บางส่วน ไม่คิดว่ากับแค่นักแสดงคนหนึ่งจะมีนักข่าวให้ความสนใจขนาดนี้
คงเพราะมิสเตอร์เอสโด่งดังในข้ามคืน แถมยังมีข้อมูลน้อย เวลาเกิดอะไรขึ้นเลยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
“ครับแม่ ผมไม่เป็นอะไรครับ โดนบาดนิดเดียวเอง”
แม่ผมโทรมาหาอย่างเป็นห่วง สงสัยจะเห็นข่าวแล้ว ผมพยายามปลอบยกใหญ่โดยแอบมองเสี่ยเป็นระยะ
ไม่รู้ว่าวันนี้เสี่ยมีนัดกับเด็กคนไหนรึเปล่า เพราะยังไม่ถึงคิวของผม...ตามตรรกะของเสี่ยน่ะนะ
“ฉันบอกว่ายังไง ห้ามให้จิระมีแผล ห้ามให้บาดเจ็บ”
...พอขึ้นรถได้ก็โดนเลยเรา
“ผมขอโทษครับ”
“ฉันเลี้ยงจิระมาหลายปี ร่างกายไม่มีตำหนิ แต่เธออยู่ร่างจิระแค่สองเดือน กลับมีแต่เรื่อง”
“ผมขอโทษครับ” ผมยอมรับผิดทั้งหมด นั่งตัวลีบเล็กไม่กล้าโต้เถียง เพราะครั้งนี้ถือเป็นความผิดผมจริงๆ
เสี่ยนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
“ทำไมว่าง่ายล่ะ มีอะไรอยากพูดก็พูดสิ”
“เสี่ยให้ผมพูดแน่นะ” ผมเหลือบตามองสีหน้าเสี่ย พอเห็นเขาพยักหน้ารับเบาๆ ก็รีบเอ่ยออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ผมตกใจมากเลย! ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแอนตี้แฟนจะลงมือกันต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ แฝงมาในกลุ่มแฟนคลับแนบเนียนมาก ผมเห็นว่าเธอแอบซ่อนมีดโกนเล็กๆ ไว้ระหว่างซอกนิ้ว พอผมยื่นมือจับตัวมีดเลยกดลงมาจนเจ็บจี๊ด แล้วพอผมชักมือกลับก็เลยกลายเป็นบาดยาว เลือดงี้ทะลักพรากๆ ผมเกือบจะเป็นลมเพราะเสียดายผิวเนียนของจิระสุดๆ ยิ่งตอนเห็นหมอเย็บแผลนะผมแทบร้องไห้ มือสวยๆ ของจิระ...ต้องมีรอยด่างพร้อยเป็นรอยเย็บตะขาบ ฮือ เสี่ย ผมผิดไปแล้ว ผมไม่น่าชะล่าใจเลย!”
ผมเบะปาก ยกมือที่ถูกพันผ้าแน่นหนาขึ้นมาแนบแก้ม
“ไม่น่าเลยจิระ...ไม่น่าเลย ผมไม่น่าทำให้เขาเป็นแผลน่าเกลียดอย่างนี้เลย!”
ไม่รู้ว่าผมใส่อารมณ์เล่นใหญ่มากเกินไปรึเปล่า อารมณ์กรุ่นๆ ของเสี่ยเลยเริ่มผ่อนลง
“เธอเข้าใจก็ดี”
“โชคดีนะครับเนี่ยที่พวกเราเรียนลูกเสือกันแต่เด็ก”
“เกี่ยวอะไร”
“อ้าว เสี่ยไม่เคยร้องเพลงเหรอครับ ‘ลูกเสือเขาไม่จับมือขวา ยื่นซ้ายมาจับมือกันมั่น มือขวาใช้เคารพกัน มือขวาใช้เคารพกัน ยื่นมือซ้ายออกมาพลันจับมือๆ’ เฮ้อ ถ้าเกิดเป็นมือขวาคงแย่ แต่เพราะเป็นมือซ้าย เลยไม่ถึงกับลำบากเท่าไหร่”
“คุณจิลำบากหน่อยก็ได้นะครับ” คุณสันอดไม่ได้จะพูดแทรกขึ้นมา ขณะที่เสี่ยคล้ายจะกุมขมับ
“แล้วเสี่ย...ออกมาในเวลางานอย่างนี้ไม่เป็นไรเหรอครับ” ผมมองเวลา เพิ่งจะสามโมงเอง “หรือว่านัดเจอกับพี่เบิ้มที่บริษัท ผมจะได้ติดรถเขากลับบ้าน ตอนนี้แม่เป็นห่วงผมมากเลย คิวงานอื่นก็ไม่มีแล้วด้วย ผมอยากกลับบ้านครับเสี่ย”
“ฉันไปส่ง”
“อ้าว แล้วงานเสี่ยล่ะ”
“เด็กบาดเจ็บกำลังขวัญเสีย ฉันควรอยู่เป็นเพื่อน” ไม่พูดเปล่ายังเอามือโอบไหล่บังคับให้ตัวผมที่เขยิบห่างมานั่งแนบชิดไหล่ชนกัน
“ผมขวัญเสียเหรอ” ผมเงยหน้าถามงุนงง
“หรือไม่ใช่”
ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าภาพเสี่ยที่หลุบตามองตอบนั้นไปกระแทกส่วนไหนในใจเข้า ก็เลยเสมองอีกทาง ก่อนจะเอนตัวพิงเสี่ย ศีรษะเกือบจะเกยซบ
“ใช่ก็ได้ครับ”
--------
จิลูก หนูเพิ่งโดนทำร้ายมา จะมาร้องเพลงลูกเสือไม่ได้นะลูก!
เอ็นดูหนูจิเหลือเกินค่ะ ฮือ ได้แต่งนายเอกนิสัยแบบนี้บ้างรู้สึกน่ารักไปอีกแบบ เสี่ยเองก็คงรู้สึกเหมือนกันใช่มั้ยถึงได้เนียนขนาดนี้ แต่เสี่ยว่าเนียนแล้ว หนูจิก็คล้อยตามไปอีกนะลูกนะ งานดีจริงๆ! #ฝอยตกเสี่ย
เพจนักเขียนที่ผันตัวเป็นปาปารัซซี่แอบแชะภาพซบไหล่กัน