ตอนที่ 22 : นี่หรือคือจิระ 100%
“เสี่ย!!”
จิระยังคงร้องเรียก แต่เสี่ยเชื่อฟังคำผม เดินออกจากห้องไม่สนใจ หรือให้ถูกคือ ตั้งแต่เข้ามา เขาไม่เคยหันไปมองจิระเลย
“ปล่อยฉัน!”
“แต่คุณยังเดินไม่ได้ครับ ผมปล่อยคุณก็ล้มอยู่ดี อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยครับ ยังไงคุณก็ต้องเจอเสี่ยแน่นอน เขาไปไหนไม่ได้หรอก ก็นี่คือบ้านเขานี่นา” ผมบอกทั้งรอยยิ้มให้เขาวางใจ ถึงร่างจิระจะแรงน้อยเทียบไม่ได้อดีตสตั้นท์แมนร่างบึก แต่คนป่วยก็คือคนป่วย โดยเฉพาะที่ป่วยเป็นผักด้วยแล้วยิ่งขัดขืนไม่ได้
“สิ่งที่คุณอยากรู้ผมจะตอบให้เอง เสี่ยรู้เรื่องเราสลับร่างกันครับ รู้ตั้งแต่วันแรกที่ผมฟื้นขึ้นมาในร่างจิระ ไม่ใช่แค่เสี่ย คุณสัน พี่เบิ้มกับบิ๊ก เลขาคนสนิทสามคนของเสี่ยก็รู้ นอกจากนี้ยังมีครอบครัวของผม คุณแม่จรวย คุณพ่อฉัตรชัย น้องชายของผมไอ้เจตริน แล้วก็พี่ชายข้างบ้านอีกหนึ่งคน แล้วที่พวกเราอยู่บ้านเสี่ย ไม่สิ แค่เฉพาะคุณ เพราะผมยังกลับบ้านตามปกติของผมนั้น ก็เพราะเป็นข้อตกลงของผมกับเสี่ยครับ เขาจ้างพยาบาลส่วนตัวมาเพื่อดูแลร่างกายผม แลกกับที่ผมต้องดูแลร่างกายของจิระเช่นกัน พูดไปพูดมา ผมมีเรื่องอยากให้เล่าให้คุณฟังด้วยล่ะ! ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อรึเปล่า แต่เมื่อก่อนผมก้ามปูมากเลยนะ แม้ตอนนี้กลายเป็นเนื้อเหลวซะแล้ว อย่างกับเยลลี่เลยเนอะ”
ผมจิ้มๆ แขนเขา ก่อนจะจับมือเขาให้มาจับต้นแขนของผม
“ผมออกกำลังกายประจำจนร่างคุณฟิตขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ แถมยังเกือบหายจากอาการติดยาแล้วด้วย! ยิ้มหน่อยสิครับ คุณใกล้จะไม่ต้องเป็นทาสของยาเสพติดแล้วนะ ฉะนั้นคุณก็ต้องพยายามทำกายภาพ ออกกำลังกายให้ร่างของผมแข็งแรงเหมือนกัน พอเราสลับร่างปุ๊บ ผมจะได้เดินกลับบ้านได้เลยไงครับ เนอะ!”
“เอ่อ...อืม” จิระโดนผมบิ้วอารมณ์จนเผลอเออออด้วยสีหน้ามึนงง
“แม้คุณจะไม่มีใคร แต่อย่างน้อย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รู้จักร่างกายคุณทุกซอกทุกมุม” พูดแล้วผมก็หลุดหัวเราะ “และคุณเองก็กำลังจะรู้จักร่างกายผมทุกซอกทุกมุมเหมือนกัน งั้นเรามาสนิทสนมกันดีกว่า เนอะครับ!”
“นายจะเนอะอะไรเยอะแยะเนี่ย...” จิระบ่นแบบไม่จริงจังนัก
“ก็ผมอยากให้คุณมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยนี่นา”
“นายชื่ออะไร...”
“จิตริน เอ่อ ชื่อเล่นเราเหมือนกัน งั้นคุณเรียกผมว่า ไอ้จิต แบบโรคจิตก็ได้ ผมโดนล้อบ่อยๆ สมัยเด็ก”
ในที่สุดจิระก็หัวเราะออก
ท่าทางนั้นทำให้เชื่อว่าถ้าอยู่ในร่างเดิม จะต้องน่ามองมากแน่ๆ
“เรียกว่าจิตรินก็ได้ นายเองก็เรียกฉันว่าจิระแล้วกัน”
“ตกลงครับ งั้น...เกี่ยวก้อยสัญญากัน”
จิระมองนิ้วก้อยของผมที่ยื่นมาด้านหน้าแบบงงๆ
“เกี่ยวก้อยสัญญาไงครับ”
“เด็กประถมรึไงนาย”
จิระหันหน้าหนี เขาไม่ยอมเกี่ยวก้อยด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเปิดใจกว่าผมกว่าเดิม
“งั้นเดี๋ยวผมไปตามพยาบาลกับคุณหมอมาตรวจอาการนะครับ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะอยู่กับคุณเอง”
“อยากอยู่ก็อยู่ไปสิ” จิระตอบ ยื่นแขนให้ผมช่วยประคองเขาขึ้นเตียงอย่างว่าง่ายเกินคาด หลังจัดหมอนจัดท่าทางให้เรียบร้อย ผมก็เดินไปตามพยาบาลกับคุณหมอประจำตัวมาตรวจ ระหว่างนั้นก็คอยฟังอาการไปด้วย เพราะถือว่าผมเป็นเจ้าของร่างที่แท้จริง ก่อนจะสรุปว่าอาการบาดเจ็บจากการถูกรถชนนั้นหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ไม่มีอาการฟกช้ำทิ้งร่องรอยอะไรอีก มีเพียงต้องทำกายภาพบำบัด เพื่อให้ร่างกายเยลลี่นี้แข็งแรงมีกล้ามเนื้อขึ้น และเดินเหินได้เป็นปกติ
ผมอยู่กับจิระจนเขาหลับไปอีกครั้ง ถึงค่อยมานั่งทานข้าวเย็นกับเสี่ยเอาตอนเกือบสองทุ่ม
“วันนี้จะค้างรึเปล่า”
“ค้างครับ เผื่อว่าจิระตื่นแล้วจะได้เห็นหน้าผม เขาไม่มีใครเลย ตกในสถานการณ์แบบนี้คงใจเสียแย่ ไม่เหมือนผมที่มีพ่อแม่สนับสนุน ง่ายๆ สบายๆ อย่างน้อยก็ต้องมีคนคอยให้กำลังใจ หรือเสี่ยจะทำแทนล่ะครับ”
“แล้วเธอให้ฉันทำรึไง ไล่ออกมาขนาดนั้น หึง?”
ผมมองหน้าเสี่ยนิ่งๆ ไม่ทั้งตอบและยอมรับ
“ผมขออย่างหนึ่งได้มั้ย...เสี่ยอย่าเพิ่งบอกเขาเรื่องเราคบกันนะครับ”
“ทำไม”
“ก็ตอนนี้เขาเปิดใจแค่กับผมคนเดียว ยอมทำกายภาพบำบัด ยอมฟังผมเกือบทุกอย่าง ถ้าเกิดรู้ว่าผมคบกับเสี่ย...จิระคงปิดตัวเองอีกแน่ๆ อย่างน้อยก็รอให้สภาพจิตใจเขาดีขึ้นแล้วผมจะบอกเขาเอง นี่เป็นเรื่องใหญ่ จะบอกเอาวันเดียวให้เข้าใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ อย่างน้อยก็ต้องให้เขาค่อยๆ ปรับตัว เข้าใจด้วยว่าตลอดหลายเดือนนี้ที่เขานอนหลับไม่รู้เรื่องราวอะไรนั้น มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
“ผมเห็นด้วยกับคุณจินะครับ” คุณสันซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยแทรกขึ้นมา “คุณจิระค่อนข้างหัวดื้อ ถ้าไม่นับเสี่ยแล้ว ก็เพิ่งมีคุณจิตรินนี่แหละที่ยอมฟัง ถ้าเกิดรู้เรื่องทั้งคู่คบกันขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวขวางโลก ทำอะไรพิเรนทร์อีกบ้าง หรือเผลอๆ อาจจะทำร้ายร่างกายอีกครั้งก็ได้ เราควรจะรอให้เขาพ้นจากสภาพจิตใจไม่มั่นคงตอนนี้ไปก่อน จากนั้นก็ค่อยจัดหาที่อยู่ใหม่ ให้เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจและแยกตัวไปเอง”
“เอ่อ เรื่องนั้นให้เขามาอยู่บ้านผมก็ได้นะ” ผมยกมือเสนอตัว “ยังไงร่างนั้นก็เป็นของผมอยู่แล้ว ครอบครัวผมไม่มีใครคัดค้านหรอกครับ พวกเขาคิดถึงหน้าผมจะแย่ และผมเองก็ทำงานได้เงินจากการเป็นดาราอยู่พอสมควร เอาเงินมาเลี้ยงจิระอีกคน ไม่หนักหนาสาหัสหรอกครับ”
“เรื่องนั้นค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันครับ เพราะเราต้องหาวิธีให้จิระยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ...เสี่ย”
เสี่ยที่ฟังแบบหูทวนลมมาตลอดพอได้ยินชื่อตัวเองก็แอบสะดุ้งเบาๆ หนึ่งที
“ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”
“ท่านคือตัวแปรสำคัญครับ จิระรักท่าน การจะทำให้เขาทำใจได้ ก็มีแต่ต้องให้ตัดใจ ซึ่งท่านจะต้องแสดงออกว่าไม่มีเยื่อใย พูดเรื่องเลิกรับเด็กเลี้ยง ให้เขาไม่มีความหวัง เมื่อเขารักท่านน้อยลงแล้ว ร่างกายแข็งแรงดีแล้ว คุณจิก็ค่อยพูดเรื่องไปอยู่บ้าน ให้เขาได้สัมผัสความรักแบบครอบครัว แล้วค่อยบอกความจริง ถึงตอนนั้นจิตใจของจิระก็คงได้รับการเยียวยาจากการถูก\หักอก อีกอย่าง เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าท่านไม่ได้รักเขา แต่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีใคร จึงเห็นท่านเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียว ถ้าค่อยๆ ลดความสำคัญในใจลง แล้วเติมเต็มด้วยความรักอบอุ่นจากครอบครัว ถึงจะเจ็บก็ไม่เท่าให้เขารู้ความจริงตอนนี้แน่นอนครับ อย่างน้อยก็วางใจได้ว่าเขาจะไม่หนีเตลิด คิดทำอะไรแผลงๆ”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณสัน พวกเราคิดตรงกันพอดี
“งั้นก็...ระหว่างนี้ผมจะพักที่บ้านของเสี่ย จนกว่าเขาจะเดินได้แล้วถึงพากลับไปที่บ้าน เอ่อ ช่วงนั้นคงเจอเสี่ยแค่ที่บริษัทนะครับ”
“ฉันไปหาเธอที่บ้านก็ได้”
“ไว้บอกความจริงเมื่อไหร่ค่อยมา ระหว่างนั้น ห้ามครับเสี่ย!”
เสี่ยหน้างอ...นั่น งอนอีกแล้วแฟนผม
“จุ๊บ!”
ผมตาเบิกค้าง มองเสี่ยที่หนีไปมองอากาศ เหมือนว่าเมื่อกี้ไมได้ทำอะไรลงไป
“เสี่ยไม่ได้งอนเหรอ”
ไม่ยอมตอบ แถมยังไม่ยอมมองหน้ากันด้วย เอาละสิ
“งอนแล้วเสี่ยจูบผมทำไม”
“จูบไม่ได้?” เสี่ยงี้ปรายตามองขวับ ผมสะดุ้ง รีบปฏิเสธทันควัน
“เปล่าครับ”
เสี่ยกลับไปนั่งมองฟ้ามองอากาศ ผมเลยนั่งนิ่งอย่างสงบ กลับมาคิดเรื่องจิระต่อ
“จุ๊บ!”
ผมยกมือกุมแก้ม หันไปมองเสี่ยที่ทำทีเป็นหยิบนิยายขึ้นมาอ่าน
นี่มันเรียกร้องความสนใจกันนี่หว่า
“เสี่ย...”
“หอมไม่ได้?”
“เอ่อ เปล่าครับ”
ผมเริ่มลังเลว่าจะคิดเรื่องจิระต่อ หรือควรจะง้อเสี่ยก่อนที่เขาจะชิงจูบผมไปทั้งตัวเพื่อให้สนใจดี
ขณะที่ผมกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น...เสี่ยก็ลุกพรวดพราด กลับห้องเฉย
ผมตกใจรีบเดินตาม ปรากฏว่าเขาชะลอเท้า มีรอผมซะด้วยสิ
“เสี่ยครับ เสี่ยงอนขนาดนั้นเลยเหรอ ยังไงผมก็มาเจอเสี่ยที่บริษัทอยู่แล้ว เราก็กินข้าวด้วยกันเหมือนเดิมไง หรือถ้าตอนเย็นเสี่ยคิดถึงผมมาก เรามานัดเจอกันข้างนอกก็ได้ ไม่ใช่ว่าห้ามมาหาเลยสักหน่อย ผมแค่ไม่อยากให้จิระเห็นว่าเราเป็นอะไรกันเฉยๆ ตอนนี้เป็นช่วงเปราะบาง เราต้องเยียวยาจิตใจของเขา จิระไม่มีใคร เขา..”
“จิระ จิระ จิระ เธอเป็นแฟนกับจิระรึไง” แล้วเสี่ยก็ยอมมาพูดกับผมจนได้
“...เสี่ยหึงผมกับจิระเหรอ เสี่ยใช้ตาตุ่มคิดรึเปล่า ผมกับจิระเนี่ยนะ!? บ้าแล้ว!!” พูดจบผมก็หัวเราะชุดใหญ่ใส่หน้าเขา เสี่ยยิ่งโมโหจัด ลากแขนผมกลับห้อง แล้วจับผมโยนขึ้นเตียง
“เดี๋ยวก่อนเสี่ย วันนี้งดได้มั้ยอ่ะ” ผมรีบยกมือห้ามเมื่อมือเขาชักจะซุกซน ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่เพิ่งสัญญากับจิระไปเองว่าจะดูแลร่างกายเขาอย่างดี จู่ๆต้องมาหักโหมเรื่องบนเตียงแบบนี้ มันรู้สึกผิดยังไงชอบกล
“ทำไม”
“ก็...ผมรู้สึกแปลกๆ”
“งั้นฉันจะทำให้เธอรู้สึกดีเอง”
“เสี่ย!”
ผมร้องลั่นยกมือปิดปากเขาก่อนจะโดนซุกคอ แต่เสี่ยมีไม้เด็ด เขาเงยหน้าสบตา ทำหน้าน่าสงสารเหมือนแมวหงอย
“แล้วฉันล่ะ”
“ฉันอะไรของเสี่ย”
“สนใจฉันบ้างสิ”
ไอ้จิตายไปเลย
เสี่ยไม่พูดอะไรต่อ แต่จ้องผมอย่างนั้น ด้วยสายตาที่ตัดพ้อขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องยอมยกมือออกแล้วนอนหงายกางแขนกางขาจำยอม
จากนั้นก็โดนจับกินตามระเบียบ
แถมยังรุนแรงกว่าปกติด้วยซ้ำ! ไอ้ความหื่นกระหายแกมทำโทษอย่างสาสมใจนี่มันโคตรต่างกับหน้าแมวเมื่อกี้คนละม้วน...เสี่ยแม่งมารยาว่ะ!
--------------
ความจริงแล้วไม่ว่าจะทางไหน ก็ค่อนข้างโหดร้ายกับจิระอยู่ดี ไม่ว่าบอกตอนนี้หรือตอนไหน ก็ทำให้จิระเจ็บอยู่ดี แต่ทางที่สันกับจิเลือก เป็นทางที่ยื้อเวลาจนกว่าสภาพร่างกายจิตใจแข็งแรงแล้ว แต่ก็คล้ายๆ หักหลังอยู่ดี อันนี้เราเองก็ไม่รู้อันไหนมันดีกว่า ก็ได้แต่พยายามกันไป อย่างน้อยลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็ดีกว่าโยนระเบิดโครมลงไปเลย
ก็มาถกกันได้ค่ะ
กด 1 บอกเลยให้จบๆ ไป
กด 2 ค่อยๆ ให้จิระตัดใจ มาอยู่กับครอบครัวจิ แล้วค่อยบอก
ส่วนหนูจิ...อย่างที่เกริ่นไว้ค่ะ เรื่องนี้ไม่มาม่าแต่ไวไว แม้จะโศกหนูจิก็ทำฮาได้ จิระโดนตกตามรอยเสี่ยเฉยเลย 555 #ฝอยตกเสี่ย
เพจนักเขียนที่ทำหน้าปลงให้จิระล่วงหน้า