ตอนที่ 23 : ข่าวลือต้องมีไฟ ถึงจะมีควัน 100%
“ต่อไปจะเป็นการถ่ายคู่กันนะครับ เซ็ทแรกอยากให้หลับตาหันหลังชนกัน พอได้ยินเสียงสัญญาณก็ค่อยๆ ลืมตาแล้วชูสินค้าขึ้นมานะครับ จากนั้นให้ฟังเพลงและค่อยๆ หันหน้ามามองกล้อง ค้างไว้สักสองนาที ถ้าได้สัญญาณอีกครั้งค่อยหันหน้าเข้าหากัน แล้วพูดสโลแกนสินค้านะครับ”
“รับทราบครับผม”
“ได้ครับ”
ผมหันหลังชนกับเด็กคนนั้น ยืนหลับตาทำสมาธิเพราะเราสองคนต้องแสดงเป็นแสงกับเงา เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน แสงจะออกแนวละมุนน่าเข้าหา ขณะที่เงาจะดูลึกลับมีเสน่ห์ ทันทีที่ได้ยินสัญญาณ ผมก็ค่อยๆ ปรือตามอง เผยสีหน้าผ่อนคลายและถือสินค้าขึ้นมา
จากนั้นก็ค่อยๆ หันตัวตามจังหวะเพลง พอดีกับอีกฝั่งหนึ่งที่กำลังทำแบบเดียวกัน พวกเราหยุดยืนนิ่งสักพัก เพื่อให้กล้องซูมแต่ละคน จนเมื่อได้สัญญาณมือ ก็หันหน้าเข้าหากัน ผมอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองหน้าอีกฝ่าย ขณะที่ฝั่งตรงข้ามแม้ไม่เผยสีหน้าเลย แต่สายตากลับจ้องตรงอย่างทรงพลัง
“คัต!”
“เอ่อ...ผมขอถ่ายทำอีกรอบได้มั้ยครับ” ผมเอ่ยออกมาเมื่อไม่ได้รับคำวิจารณ์ใดๆ และเหมือนทุกคนเตรียมจะเก็บของกันแล้ว
“ทำไมล่ะจิ เมื่อกี้ก็ออกมาดีแล้วนะ”
“คือ...ผมคิดว่าจะทำได้ดีกว่าเดิมนะครับ”
เห็นสายตาเมื่อกี้แล้วรู้เลยว่าพลาดอะไรไป ผมมัวแต่แสดงออกทางสีหน้า แต่แววตากลับว่างเปล่า ภาพที่ออกมาแม้จะสวยงามสมใจตัวแทนโฆษณา เพราะไม่ว่ามองมุมไหน จิระก็ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย แถมยิ่งใส่ชุดขาว สาดแสงใส่ ก็ยิ่งเปล่งประกายเข้าไปใหญ่ แต่ปัญหาคือ...มันยังไม่พอใจผมนี่สิ
เจอพลังส่งผ่านมาขนาดนี้จะยอมอยู่เฉยได้ยังไง
ผมยกมือไหว้ขอให้ถ่ายใหม่อีกครั้ง ทำสมาธิให้ดีขึ้น ตอนแรกผมคิดว่างานโฆษณานี้ค่อนข้างง่าย เพราะแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ความจริงแล้วผมกำลังดูถูกงาน และดูถูกตัวเองอยู่ต่างหาก
ผมจะใช้ข้อได้เปรียบทางรูปร่างหน้าตาแล้วปล่อยผ่านไม่ได้!
“คัต! สุดยอดเลยจิระ ออกมาดีกว่าเมื่อกี้เท่าตัวเลย!”
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้รอบกองอีกครั้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มข้างกาย “ขอบคุณนายเหมือนกันนะ สายตาเมื่อกี้น่ะ สุดยอดไปเลย ทำผมขนลุกไปเลยล่ะ”
นี่สิมืออาชีพ ไม่ว่างานไหนก็มีอินเนอร์อยู่ภายใน ส่งออกมาไม่มีกั๊ก!อีกฝ่ายเกาแก้มแก้เก้อไม่กล้าสบตา สงสัยจะอายละมั้ง
จากนั้นพวกเราก็พลัดกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในฉากกั้นของห้องแต่งตัว ผมเก็บของใส่กระเป๋า เตรียมกลับไปหาจิระ
“เอ่อ...”
“ครับ?” ผมหันไปขานรับ เจอเด็กคนนั้นยืนกำชายเสื้ออย่างลังเล เขาเหลือบมองพี่เบิ้มอย่างเกรงๆ ก่อนจะเดินเข้าใกล้ผม ก้มกระซิบเสียงเบา
“ช่วงนี้มีข่าวลือเรื่องนายเกี่ยวกับพวกยาเสพติด แม้จะมีคนช่วยปิด แต่ก็แอบลือกันตามกองถ่าย น่าจะเป็นคนวงในที่ทำงานที่บริษัทนี้ ยังไง...ก็ระวังตัวหน่อยนะ”
ผมยืนอึ้ง วินาทีแรกคิดถึงธนัท เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ชอบขี้หน้าผม และเคยเห็นผมตอนลงแดง
หรือว่าไอ้การกลั่นแกล้งเด็กน้อยนั่นเป็นการแค่ฉากหน้า ความจริงแล้วเขากำลังพยายามปล่อยข่าวใส่ไฟผมอยู่!?
“ขอบคุณมากนะ ผมจะระวังตัว”
“ขอบคุณเหมือนกัน...” เด็กคนนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะหยิบของแล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันมามองหน้าผมสักนิดเดียว สงสัยจะเขิน เพราะผมเห็นเขาหูแดงก่ำ สงสัยจะหมายถึงตอนที่เข้าฉากด้วยกันในซีรีส์เช็กเมท ไอ้เจมันชอบปรามเวลาเห็นผมชอบไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ไปเตือนสติ ไปพูดเหมือนรู้ดีแต่ไม่ยักจะห่วงตัวเอง ไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง ก็ดูผลลัพธ์ที่ออกมาสิ แล้วจะให้ผมเลิกทำตัวเป็นคนดีพร่ำเพรื่อได้ยังไง
ผมฮัมเพลงอย่างดีใจ ก่อนจะนั่งรถกลับบ้านกับพี่เบิ้มเพราะคิวงานวันนี้หมดแล้ว แต่ยังไม่ได้เวลาเลิกงานของเสี่ย ปกติผมจะนั่งรอเขานะ แต่วันนี้ผมอยากไปหาจิระ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นตั้งใจทำกายภาพบำบัดอยู่รึเปล่า
ยิ่งไปหาจิระเร็วเท่าไหร่ผมก็มีเวลากับเสี่ยมากเท่านั้น ระหว่างนั่งรถผมหยิบนิตยสารที่เพิ่งออกใหม่ขึ้นมา ผู้ชายที่ขึ้นปกนั้นสวมชุดสีขาวขาดๆ ที่มือมีผ้าพันแผล แต่งตาคล้ำ กางเกงรัดรูป มีโชว์รูปร่างวับๆ แวมๆ บ้าง แต่ไม่ดูอนาจาร ค่อนข้างจะอาร์ตและออกจะแหวกแนวไปเลยซะด้วยซ้ำ เป็นเซอร์ไพรส์ที่ผมกะให้เสี่ยเห็นคนแรก ตอนนั้นเรายังไม่คบกัน ผมเลยอยากให้เขาดูผลงาน แต่ตอนนี้สงสัย...เสี่ยเห็นแล้วมีหวังความดันขึ้น!
ผมหัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะหยิบนิตยสารฉบับนี้ลงไปด้วย ผมยังไม่ได้บอกจิระเรื่องตัวเองเป็นดารา แต่ตั้งใจจะบอกวันนี้ ของที่ตั้งใจจะเอามาฝาก ก็คือนิตยสารเล่มนี้นั่นแหละ
ผมจะเล่าว่าชีวิตช่วงหลายเดือนมานี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จับพลัดจับพลูได้ยังไง โอกาสที่เขาไม่ได้คว้าไว้ตอนอยู่กับเสี่ย ตอนนี้มีผลตอบรับที่ดีเกินคาดขนาดไหน ผมอยากให้เขาคิดได้ ว่าจริงๆ แล้วจิระนั้นมีรูปร่างหน้าที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น เพื่อที่หลังจากสลับร่างกลับคืนมา แล้วแยกจากเสี่ยไป เขายังมีอาชีพนี้รองรับอยู่ ไม่ต้องกลัวอดตาย
แต่ผมคงลืมไป
ว่าความจริงแล้วจิระเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่แอบเก็บงำเป็นความลับมาตลอด
ฉะนั้นพอผมส่งนิตยสารเล่มนี้ให้เขา เล่าเรื่องการถ่ายทำซีรีส์เช็กเมท โฆษณาอีกสองตัวและการถ่ายแบบ จิระก็ฉีกนิตยสารในมือเป็นชิ้นๆ ก่อนขยำแล้วเขวี้ยงทั้งหมดใส่ผมอย่างโมโหร้าย
“ฉันไม่ได้อยากเป็นดารา!!”
“แต่...เอ๊ะ...เอ่อ...คุณสันเคยเล่าว่าคุณจิระตั้งใจจะเป็นดารา เลยมาสมัครงานที่เอ็มเอชเอ็นเอนเตอร์เทนเมน เป็นจุดเริ่มต้นให้เจอกับเสี่ย...เอ่อ...” ผมพูดตะกุกตะกักอย่างงุนงง เพราะยิ่งพูด สายตาของเขาก็ยิ่งแข็งกร้าว
“ฉันมีทางเลือกที่ไหนล่ะ ไอ้คมสันนั่นมันลากฉันไปสมัครเอง ฉันไม่ได้อยากเป็นดาราสักนิด! หน้าตานี้...เหมือนกับ...” จิระนิ่งเงียบไป เขาคงไม่รู้ว่าผมรู้ความลับของเขาแล้ว ความลับที่ว่าเขาเป็นลูกติดของดาราสาวที่เสียชีวิตในตอนที่ยังสวยที่สุด เป็นที่จดจำไปตลอดกาล
“ตอนเด็กคุณอาจจะหน้าคล้ายกับแม่ของคุณ แต่ตอนนี้ถึงจะมีเค้าโครงบ้าง ก็ไม่คล้ายกับคุณสมศรีมณีฉายแล้วนะครับ พิสูจน์ได้จากที่ผมเป็นดารา แต่ไม่มีใครเชื่อมโยงระหว่างคุณกับแม่ของคุณเลย คงเพราะไม่มีใครคาดถึงว่าคุณสมศรีจะมีลูกชายโตขนาดนี้ แถมนามสกุลของพวกคุณก็ไม่เหมือนกันเพราะคุณสมศรีเปลี่ยนชื่อใหม่ทั้งหมดตอนเข้าวงการ ฉะนั้นคุณจิระไม่ต้องกลัวหรอกครับ ทำใจร่มๆ ก่อนดีกว่า เอาล่ะไหนลองสูดหายใจเข้า ท่องคำว่าพุท แล้วหายใจออก ท่องคำว่าโธ ลองดูสิครับ พุท...โธ พุท...โธ”
จิระค่อยๆ สงบ ลมหายใจหอบหนักก็เริ่มเป็นปกติ ต้องขอบคุณธรรมะที่ช่วยให้ชีวิตไอ้จิ เพราะเมื่อกี้เขาทำท่าจะฆ่าผมให้ตายโดยไม่สนว่าผมอยู่ในร่างของเขาเอง
“ออกไป”
“แต่ว่า...”
“ออกไป!” จิระตวาดเสียงดัง พลิกตัวนอนคลุมโปงไม่สนใจ เห็นอย่างนั้นผมก็ไม่กล้าเซ้าซี้ ได้แต่สะกิดบอกว่าอย่าลืมกินข้าวเย็นที่นางพยาบาลยกถาดมาวางบนโต๊ะข้างเตียง รู้สึกแย่ยังไงก็ห้ามทรมานตัวเอง ไม่งั้นจะปวดท้องนอนไม่หลับเอาได้ แต่พูดไปก็ชักยาว ผมถึงขนาดบรรยายว่าแม่ผมทำอาหารอร่อย วันหลังจะให้เขาลองชิม โดยเฉพาะปูผัดผงกะหรี่ของโปรดของผมเนี่ย อร่อยเหาะสุดๆ ไปเลย
“ออกไปเลยไป!”
“หวา” จิระนี่เอะอะก็โยนหมอนใส่ตลอด ผมก้มหยิบหมอนโชคร้ายที่ปาไม่โดนเพราะคนขว้างยังนอนคลุมโปงไปวางบนเตียงของเขา ก่อนจะย่องเก็บเศษกระดาษในห้องไม่ให้เป็นมลภาวะทางสายตา แล้วค่อยเดินตัวลีบออกจากห้อง ไม่กล้าพูดมากอีก
ประจวบเหมาะกับเสี่ยกลับมาพอดี
“นั่นขยะอะไร”
“เอ่อ...เป็นนิตยสารที่เพิ่งออกวันนี้ครับ”
“ที่เธอตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ฉันน่ะเหรอ”
“ใช่...แฮะๆ”
“งั้นนี่ก็เป็นการเซอร์ไพรส์แบบใหม่? ให้ฉันนั่งแงะกระดาษดูเอง?”
“ไม่ใช่ครับ!” ผมแย้งเสียงหลง เรียกรอยยิ้มมุมปากจากเสี่ยที่วางมือแปะบนหัวผมแล้วขยี้อย่างกลั่นแกล้งรังแกกัน คาดว่าเสี่ยแค่เล่นมุก แต่ผมดันเชื่อว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ ก็ไอ้จิมันสมองน้อยนี่หว่า จะไปตามทันมารยาเสี่ยได้ยังไงล่ะ
“วันนี้ตั้งใจทำงานรึเปล่าครับ” ผมถามขณะเอากองก้อนกระดาษไปทิ้งขยะ
“ถามเหมือนเป็นภรรยาแต่งเข้าบ้านใหม่ๆ แล้วรอสามีกลับมาหาเลยนะ”
“เสี่ยอย่าเพิ่งมโนไกล สนใจผมก่อน!” ผมโบกมือผ่านหน้าเสี่ยที่เริ่มเพ้ออีกแล้ว เขาขยี้หัวผมอีกครั้ง ก่อนที่เราสองคนจะเดินไปห้องอาหาร เตรียมกินข้าวด้วยกัน
“จริงสิคุณสัน” ผมหันไปหาเลขาข้างตัวเสี่ยที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างอิ่มเอิบใจเมื่อเห็นเสี่ยหยอกผมอย่างสนุกสนาน เขามักทำตัวเป็นอากาศธาตุ สมกับเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งที่ให้ท้ายเสี่ยตลอดเวลา “ที่บริษัทตอนนี้มีข่าวลือเรื่องผมกับยาเสพติดด้วยเหรอครับ”
ผมไม่ใช่คนหูเบา แม้ไม่อยากคิดในแง่ร้ายแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ตรวจสอบข้อมูลเลย
“คุณจิทราบมาจากไหนเหรอครับ”
“เอ่อ...ได้ยินจากในกองถ่ายวันนี้น่ะครับ” ผมตอบรวมๆ ไม่อยากเจาะจงชื่อใครเป็นเป็นพิเศษ
“หืม มีเรื่องพรรค์นี้ในบริษัทด้วยเหรอ” เสี่ยเอ่ยถาม ส่วนคุณสันขยับแว่นหนึ่งที
“ครับท่าน ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือเรื่องคุณจิเกี่ยวพันกับยาเสพติด เป็นคำพูดปากเปล่าที่จับมือใครดมไม่ได้ แต่ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ผมพยายามควบคุมสื่อทางโซเชี่ยล แต่ก็ควบคุมเรื่องปากของคนไม่ได้”
“งั้นเหรอครับ...”
“แล้วคุณจิสงสัยใครเป็นพิเศษมั้ยครับ”
“ผมคิดถึงธนัทครับ” อย่าประหลาดใจว่าทำไมครั้งนี้ผมกล้าแฉ เชื่อสิ ต่อให้ผมไม่พูด คุณสันก็มีคนต้องสงสัยในใจอยู่แล้ว เขาแค่ลองเชิงผมต่างหาก
“บิ๊กรายงานแล้วว่าวันนั้นที่คุณลงแดงธนัทเองก็อยู่ด้วย มีความเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งทางผมได้เรียกตัวเขามาคุยเป็นการส่วนตัวและจับเซ็นสัญญาว่าจะไม่มีการพูดเรื่องไร้มูลแบบนี้อีก ส่วนไอ้ที่ลือกัน ถ้าตัวต้นเรื่องเงียบปากไปซะ พอไม่มีไฟ เดี๋ยวควันก็จางเองครับ คุณจิอย่ากังวลเลย”
คุณสันช่าง...ร้ายกาจ!!
ผมกลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียว ไม่อยากจะคิดว่าธนัทที่โดนคุณสันเรียกตัวไปคุยนั้นจะต้องผวาถึงขั้นไหนกันนะถึงได้รับปากถึงขั้นเซ็นสัญญาตกลงห้ามบิดพลิ้ว คนคนนี้ไม่ยอมให้มีช่องว่างเลยจริงๆ จัดการเก็บกวาดเสียเรียบ เสี่ยถึงได้ทำอะไรเองไม่เป็นไง
“แล้วก็...” คุณสันเว้นช่วงเล็กน้อยให้ผมลุ้นระทึก ก่อนจะหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ แล้วส่งให้เสี่ยด้วยท่าทางนบนอบ “นี่เป็นเล่มสำรองที่ผมเตรียมไว้ครับ”
ผู้ชายคนนี้จะเพอร์เฟ็คเกินไปแล้ว!ผมยกมือปิดตา ทนมองคุณสันไม่ได้ แต่เสี่ยดันเข้าใจผิด คิดว่าผมอายเพราะรูปหน้าปกค่อนข้างล่อแหลม เลยโอบเอวรั้งตัวผมไปนั่งซ้อนตัก จับหันหน้าออกให้นั่งดูรูปไปพร้อมๆ กันระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ
“ทำไมถึงได้โป๊แบบนี้”
“โป๊ตรงไหนครับ ก็แค่วับๆ แวมๆ เอง” ผมเถียงเขา ชี้ให้ดูรูปที่ยืนหันหลังโชว์สัดส่วน แม้ใส่เสื้อแต่เหมือนไม่ใส่เพราะโดนกรีดแหว่งวิ่นขาดเว้า แต่มันก็แค่หลังไง ไม่เห็นต้องอายเลย “เสี่ยดูรูปนี้สิ ผมชอบมากเลย”
ผมเปิดให้เขาดูภาพที่ผมยกมือข้างที่พันแผลขึ้นปิดหน้าครึ่งหนึ่ง สายตาของจิระว่างเปล่าแต่กลับดูดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก ในบรรดาภาพกึ่งเซ็กซี่ที่แฝงความโอนอ่อนตามฉบับจิระและคาแรคเตอร์ของมิสเตอร์เอส มีภาพนี้ภาพเดียวที่ให้อารมณ์ดิบเถื่อนนิดๆ ผมเลยชอบเป็นพิเศษ
“อืม ถ่ายออกมาไม่เลว”
“เนอะ” ผมเงยมองเขาอย่างดีใจ เพราะเรานั่งซ้อนตักกัน เลยกลายเป็นริมฝีปากผมไปจุ๊บกับปลายคางเขาพอดี
พวกเรานิ่งค้างกันในชั่วอึดใจ
“เธอ...” เสี่ยเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว แต่สายตาประกายวาวระยิบระยับอย่างกับเสือเตรียมขย้ำเหยื่อ “กำลังให้ท่าฉันอยู่รึเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ! แล้วเรากำลังจะกินข้าวกัน เสี่ยไม่ต้องล้วงมือเข้ามาเลย!!”
-----------
ไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ก็ไม่มีอะไรขวางกั้นการมโนของเสี่ยได้
บางทีก็คิดนะคะ...ว่าระหว่างฝอยของจิกับการมโนของเสี่ยเนี่ย ใครล้ำกว่ากัน 555 #ฝอยตกเสี่ย
เพจนักเขียนที่อยากให้หนูจิมานั่งตักบ้าง