ตอนที่ 25 : ออกกองนอกสถานที่ทีไร มีเรื่องทุกที 50%
จิระเดินได้แล้ว!
สิ่งแรกที่เขาทำคือมาหาเสี่ยอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด แต่เสี่ยก็ทำตามคุณสันบอกทุกอย่าง แม้จิระจะไปหา แต่เขาก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบ ไม่ให้ความหวังใดๆ ต่อให้จิระจะเรียกร้องความสนใจแค่ไหนก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ยอมกลับห้องตัวเอง ตีหน้าเศร้าจนผมเป็นห่วง
“นายคบกับเสี่ยใช่มั้ย”
ก่อนจะกลายเป็นเหยื่อซะเองเมื่อถูกจิระจับแขนเงยหน้าสบตาอย่างคาดเค้นไม่ยอมให้ถอยห่างเมื่อผมช่วยประคองเขามาส่งถึงเตียง เพราะก่อนหน้านี้...ตอนเขาอยู่ที่ห้องเสี่ยนั้น ผมยืนรออยู่ข้างนอก ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงเพราะถือเป็นเรื่องของคนสองคน ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
แต่ตอนนี้...ควรจะเรียกว่าเกี่ยวเต็มๆ!
ได้ยังไง? เขารู้ได้ยังไงในเมื่อเสี่ยไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไปเลย!?
“อย่าโกหก รูปถ่ายบนหัวเตียงนั่น...”
ผมใจหายวาบ จิระคงเห็นรูปถ่ายคู่ของผมกับเสี่ยตอนไปเที่ยวสวนสนุกกันแล้ว รูปที่เสี่ยหลับตาและผมที่ยิ้มแย้ม แม้จะไม่ได้พลอดรักกัน แต่การที่เสี่ยเก็บใส่กรอบไว้อย่างดี ก็บ่งบอกว่าถึงความสัมพันธ์ของพวกเราที่ไม่ธรรมดา
“ที่แท้นายนอนกับเสี่ยใช่มั้ย นายกับเสี่ย...”
มาถึงขั้นนี้ผมก็ไม่คิดจะปกปิดอีก เปลี่ยนเป็นฝ่ายจับมือจิระอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะสารภาพออกมาตามตรง
“ใช่แล้วครับ ผมกับเสี่ย...”
“ไม่ต้องพูด!” พลันจิระยกมือปิดหู ตะโกนลั่นหมายจะกลบเสียงผมให้มิด “ไม่ต้องพูดแล้ว...ฉันไม่อยากฟัง!”
ไม่เพียงปิดหู เขายังนั่งหลับตาไม่อยากมองหน้าผมอีกด้วย ในใจมันเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก เพราะคาดอยู่แล้วว่าหากเขารู้ความจริงข้อนี้ขึ้นมา มีหวังเกลียดขี้หน้าผมไม่อยากคุยด้วยอีก
“จิระ”
“ขอฉันอยู่คนเดียวสักพัก”
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตวาดใส่ผม ทำให้ต้องยินยอมถอยห่างไปเองแต่โดยดี ช่วงนี้อารมณ์ของจิระค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเศร้า ทั้งหมดเป็นเพราะความเครียดสะสมนับตั้งแต่ฟื้นมาในร่างของจิตริน ทั้งต้องทำปรับตัว ทั้งต้องรักษาร่างกาย แล้วยังเรื่องของเสี่ยอีก เขาไม่อาละวาดก็นับว่าเป็นโชคดีแล้ว
สถานการณ์ของจิระนั้นทำความเข้าใจยากกว่าตัวผมหลายเท่า แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจ คือเขารักเสี่ยที่เป็นเสี่ยจริงๆ ไม่เหมือนธนัทที่หลงในเงินตราหรือชื่อเสียง ไม่ได้หวังสบายจากการเลี้ยงดู
เขาเพียงต้องการใครสักคนเคียงข้าง และเสี่ยคือคนคนนั้น
“โทรศัพท์ที่คุณต้องการ คุณสันเตรียมให้แล้วนะครับ อยู่ในลิ้นชักข้างเตียง คุณลองใช้ดูนะ ถ้ามีปัญหาก็แจ้งกับพยาบาลได้เลย” ผมอธิบายอย่างใจเย็น จิระร้องเรียกอยากได้โทรศัพท์ตัวเองคืนตั้งแต่ช่วงเพิ่งฟื้น แต่กว่าคุณสันจะอนุญาต ก็ปาไปเป็นอาทิตย์เพราะต้องการดูอารมณ์ของจิระ ความจริงห้องพักแขกมีโทรทัศน์ส่วนตัว แต่คุณสันให้ดึงสายทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้จิระเห็นหน้าผมบนจอแล้วเกิดโวยวายขึ้นมาอีก
โทรศัพท์ในห้องเองก็ถูกยกออก โทรศัพท์มือถือที่จิระเรียกร้อง จึงยิ่งเป็นไม่ได้ เพราะคุณสันกลัวว่าเขาจะติดต่อคนรู้จัก เลยตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่ให้เขาเพื่อไม่ให้เหลือข้อมูลเบอร์โทรจากเครื่องเก่า แถมยังไม่ได้เติมเงินเพื่อป้องกันการโทรออกอีกต่างหาก
คุณสันก็ไม่อยากจะยอมเท่าไหร่ แต่เมื่อผมขอร้อง พ่วงด้วยคำยืนยันจากพยาบาลที่ดูแลจิระ ว่าการขังเขาไว้ในพื้นที่จำกัดแบบนี้มีแต่จะกดดันให้จิระยิ่งมึนตึง เครียดหนัก ฉะนั้นควรจะให้ความบันเทิงเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจบ้าง อย่างน้อยก็การดูหนังฟังเพลง อ่านข่าวว่าโลกดำเนินไปอย่างไร อย่าหมกมุ่นแต่กับเรื่องของตัวเอง
แน่นอนว่าการที่คุณสันยอมซื้อโทรศัพท์ให้ก็ต้องมีข้อแม้ นั่นคือจิระต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของพยาบาลอย่างเข้มงวดกว่าเดิม เพื่อสอดส่องว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่น...แฉเรื่องผมลงโซเชี่ยล
หรือให้ถูกก็คือ แฉเรื่องของเขาเองลงโซเชี่ยล!
วันนี้ผมมีถ่ายฉากสำคัญของซีรีส์เช็กเมท แม้จะกังวลเรื่องจิระที่เพิ่งรู้ความจริงแค่ไหนก็ต้องมาทำงาน คนขับรถก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่เบิ้ม ผู้จัดการส่วนตัวของผมที่พักงานไปเกือบอาทิตย์เพื่อรักษาตัว...รักษาตัวอยู่กับบ้านน่ะครับ!
ระหว่างนั้นผมเลยไปทำงานพร้อมกับเสี่ย บิ๊ก และคุณสัน แต่วันนี้เขาสามารถกลับมารับตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวได้อย่างเต็มร้อยอีกครั้ง ทั้งที่ถูกเอฟเฟคระเบิดอย่างน่าสยดสยอง แต่เจ้าตัวทายาแค่ไม่กี่วัน บาดแผลก็ฟื้นฟูขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผมขอยืนยันคำเดิม คนเหล็ก...นี่มันคนเหล็ก!
การถ่ายทำนอกสถานที่วันนี้ยืมใช้พื้นที่ในหมู่บ้านจัดสรรเพิ่งเปิดใหม่ซึ่งยังไม่มีคนเข้ามาอยู่อาศัย มีถนนลาดยาวเหมาะสำหรับการถ่ายทำฉากขับรถไล่ล่า พวกเราเริ่มถ่ายทำต่อจากเมื่อห้าวันก่อน นั่นคือฉากที่มุดขึ้นมาจากทางลับหนีมายังโรงรถ อัครเดชเป็นคนขับ ผมนั่งอยู่ข้างคนขับเพื่อคอยบอกเส้นทาง ส่วนธนัทนั่งเบาะหลัง คอยหาจังหวะยิงปืนสวนกลับไป
ฉากบู๊แอคชั่นล้างผลาญที่พอต้องอิงสถานที่จริงก็มีปัจจัยควบคุมยากมากขึ้น ทั้งเรื่องคิวถ่ายทำการเดินกล้องที่ต้องมีหลายมุมมองให้ลุ้นระทึก แค่ฉากออกรถบึ่งออกจากบ้าน ก็ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งมุมข้างมุมเงยมุมเสย แล้วยังเป็นภาพจากโดรน ที่สุดยอดยิ่งกว่าคืออัครเดชเป็นคนอาสาขับรถเองโดยไม่ต้องใช้แสตนอิน เทคนิกดริฟขั้นเซียนจนทั้งผมทั้งธนัทหัวโขกกระจกรถกันเป็นสิบรอบกว่าจะปรับตัวไม่ให้หลุดบท
“จิกับนัทไหวนะ”
ยัง ยังหันมาถามโดยไม่สำนึกอีก!
“พี่อัคอย่าดริฟนอกบทสิครับ!” ผมเหวใส่เขาเมื่อต้องถ่ายทำใหม่เป็นเทคที่สิบ เหตุเพราะอัครเดชเมามันเกินบทบาท ไอ้ผมน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ธนัทที่ต้องชะโงกตัวออกไปยิงปืนสวนเนี่ยหลุดร้องเหวอไปหลายครั้ง ล่าสุดถึงขนาดขอยาดมมาถือเพราะใจจะวายกลัวตกรถ
“จะได้สมจริงไง” อัครเดชหัวเราะ พระเอกคนดีที่หนึ่งเลยแห่งวงการ แม้กลัวความสูงแต่ดันชอบความเร็วซะงั้น ปกติออกจะเคร่งครัดอยู่ในระบบระเบียบรับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่พอได้แตะพวงมาลัยล่ะอารมณ์ดีเชียวนะ แถมผู้กำกับก็พอใจมาก เพราะได้ภาพสวยๆ ที่คาดไม่ถึงเพียบ ฉากที่อัครเดชดริฟจนผมกับธนัทหัวโขกกระจกรถพร้อมกันก็จะนำไปตัดต่อใช้จริงในซีรีส์ด้วย ถือเป็นฉากเซอร์วิสน่ารักๆ ที่แลกมาด้วยหัวโนของนักแสดง ผมกับธนัทมองหน้ากันแล้วพากันถอนหายใจอย่างปลงตก ในเมื่อผู้กำกับชอบจะไปคัดค้านก็คงไม่ได้
และที่พิเศษยิ่งกว่า คือวันนี้มีทั้งนักข่าวประจำช่องและที่ถูกรับเชิญมาร่วมดูการถ่ายทำในวันนี้ด้วย นักแสดงหลักทั้งสามคนมาครบ แถมยังเป็นฉากบู๊สุดมันก่อนจบซีซันหนึ่งอีกต่างหาก
ช่วงพักก่อนระหว่างเตรียมถ่ายทำฉากจบ นักข่าวที่เก็บภาพเรียบร้อยแล้วก็เดินมาสัมภาษณ์นักแสดงอย่างกระตือรือร้น
“ไหนๆ มาดูสามหนุ่มวันนี้กันดีกว่า ซีรีส์ใกล้จะจบซีซันแล้ว รู้สึกยังไงบ้างเอ่ย”
“รู้สึกดีใจกับผลตอบรับมากเลยครับ ตอนจบที่เป็นตอนยาวสามตอนจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง แล้วอย่าลืมตามต่อยาวๆ กันในซีซันสอง ที่จะเปิดกล้องกันปลายปีนี้ด้วยนะครับ” อัครเดช พระเอกของเรื่องเป็นคนตอบ
“แหม รีบโปรโมทกันจังเลย ซีรีส์คุณภาพดีอย่างนี้ต่อให้มีซีซันที่สามที่สี่ก็ต้องตามกันยาวๆ แหละค่ะเนอะท่านผู้ชม เอาล่ะ ทุกคนคงจะเริ่มเบื่อหน้าอัครเดชกันแล้ว มาลองสัมภาษณ์ดาราหน้าใหม่ที่มาสมทบในเรื่องนี้กันดีกว่า”
“ได้ใหม่ลืมเก่าเลยนะครับ” อัครเดชหัวเราะแซวๆ เขาเป็นพระเอกชื่อดังที่มีงานหลากหลาย เลยค่อนข้างสนิทสนมกับนักข่าวประจำช่อง
“ธนัททท ธนัทหนุ่มน้อบกรุบกริบของฉัน รู้สึกยังไงที่ได้มาร่วมงานในซีรีส์เรื่องนี้คะ แถมยังแทรกมากลางเรื่องอีกต่างหาก มีปัญหาในการเข้ากับคนอื่นๆ มั้ยเอ่ย”
“ไม่เลยครับ” ธนัทตอบยิ้มๆ “เรื่องนี้มีตัวละครหลักแค่ไม่กี่คน นักแสดงหญิงก็สับเปลี่ยนเรื่อยๆ จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเท่าไหร่ กับพี่อัค...เราก็เคยแสดงหนังกับละครด้วยกันมาก่อน”
“งั้นกับดาราหน้าใหม่อย่างมิสเตอร์เอส ไม่สิ น้องจิระผู้น่ารักคนนี้ล่ะคะ”
ผมหลุดขำกับอาการระริกระรี้ของนักข่าวสาวที่ทำท่าส่งจูบให้อย่างออกนอกหน้านอกตา
“พวกเราเข้ากันได้ดีมากครับ” ก่อนจะเหวอเมื่อธนัทพาดแขนคล้องคอผมอย่างสนิทสนม “เห็นน่ารักๆ อย่างนี้ แต่ความจริงเขาเท่มากเลยนะ ขนาดผมยังอดชื่นชมเขาไม่ได้เลย”
“เอ...แล้วข่าวเกาเหลากันก่อนหน้านี้ล่ะ”
“ไม่มีครับ เป็นแค่ข่าวลือทั้งนั้น เนอะพี่อัค”
“ใช่ๆ จิระน่ะเป็นมนุษย์หายากคนหนึ่งในโลกใบนี้เลยนะครับคุณ”
“ขยายความหน่อยสิคะ น่ารักแต่เท่แล้วยังหายากเนี่ยหมายความว่ายังไงเอ่ย”
“ไอ้น่ารักแต่เท่เนี่ยไม่ขอขยายความนะ แต่ผมว่าเขาใจๆ มากกว่า เป็นคนจริงใจมากคนหนึ่งเลย”
ธนัทพยักหน้ารับหงึกหงัก
“แหม ไม่บอกไม่รู้เลยนะคะเนี่ยว่าทั้งสองคนจะปลื้มกับดาราหน้าใหม่อย่างจิระมากขนาดนี้ แต่น้องเล่นไม่ออกสื่อแถมยังไม่ค่อยเล่นโซเชี่ยลอีก ข้อมูลเลยน้อยมากๆ ทำตัวลึกลับเหมือนมิสเตอร์เอสเชียว”
“ดีแล้วครับ ให้แค่พวกเรารู้กันเองก็พอแล้ว” ไม่พูดเปล่า อัครเดชยังเอาแขนมาพาดไหล่ผมอีกด้าน เข้าคู่กับธนัทสุดๆ “ผมหวง”
“แหม ทั้งสามคนสนิทกันจนสาวๆ ตาร้อนกันหมดแล้วนะคะนี่ น้องจิเองก็ไม่พูดอะไรเลย หรือว่ากำลังเขินอยู่เอ่ย”
“คือผม...” ผมเกาแก้มตัวเองแบบยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “ผมโดนชมจนมึนไปหมดแล้วครับ ผมว่าผมไม่ได้ตัดสินบนอะไรนัทกับพี่อัคเลยนะ เลยกังวลว่าหลังจากนี้พวกเขาจะให้ทำอะไรแผลงๆ เป็นการตอบแทนรึเปล่า”
“ว้ายๆ ไม่ได้แกล้งแต่มึนจริงใช่มั้ยเอ่ย ใสซื่อน่าล่อลวงจังเลยเราเนี่ย การเงินมีปัญหา ใส่ชุดนักศึกษามาหาพี่นะจ๊ะ”
ผมหลุดขำอีกครั้งเมื่อพี่นักข่าวส่งจูบให้อีกรอบ เรียกเสียงวี๊ดว๊ายเขินอายจากเจ้าตัวเองซะงั้น ก่อนที่พวกเราจะโดนเรียกตัวไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจากที่อื่น เพราะการให้เข้ามาถึงจุกพักนักแสดงนั้นพิเศษสำหรับนักข่าวประจำช่องของบริษัทเท่านั้น
ซีรีส์เช็กเมทมีทุนสร้างที่ไม่ธรรมดา เมื่อใกล้จบแถมยังเปิดสถานที่ให้เข้ามาเยี่ยมชมโดยเฉพาะเลยได้รับความสนใจมาก นับว่าเป็นวันแห่งการโปรโมทอย่างแท้จริง
ผมไม่ค่อยออกสื่อ เวลาถูกดันให้ออกหน้ากล้องสดๆ เลยค่อนข้างตะกุกตะกัก ยังดีที่อัครเดชกับธนัทที่ค่อนข้างชินกับเรื่องประเภทนี้คอยช่วยตลอด เลยทำให้พอผ่านได้อย่างลุล่วงด้วยดี
“เตรียมตัวถ่ายฉากต่อไปได้แล้ว เช็กไฟเช็กหน้านักแสดงหน่อย!”
ผู้กำกับตะโกนเรียกเสียงดัง ทำให้ทุกคนอยู่ในความสงบเพื่อเตรียมตัวเก็บภาพสวยๆ สำหรับฉากสุดท้ายของเรื่องที่ยกมาถ่ายทำในวันนี้ ตามเนื้อเรื่องจริงๆ แล้ว พวกเราสามคนต้องย้ายหนีไปหานักแสดงหญิงที่เคยมาร่วมแสดงในช่วงแรกให้ครบทุกคน ถึงจะรวบรวมข้อมูลตลบหลังคนร้ายล่อให้ออกมาติดกับ ฉะนั้นภาพที่ออกมา จึงเป็นตอนที่อัครเดชขับรถอย่างสุดเหวี่ยงอีกครั้งเหมือนจนทางตัน แต่แท้จริงแล้วกำลังล่อให้คนร้ายตามไปยังจุดนัดพบที่ตำรวจดักรอแล้วต่างหาก!
“เช็กเมท”
อัครเดชพูดทิ้งท้ายเมื่อเหล่าคนร้ายถูกรถตำรวจล้อมจับกุม ด้านหลังคือพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เป็นฉากจบที่สวยงามและแสนตราตรึงใจ ขณะที่มิสเตอร์เอสเพียงยกมือปิดปากหาว เหมือนไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอเป็นเวลานาน ส่วนธนัทนั้นก็ถอนหายใจเฮือก บ่นพึมพำเป็นเชิงว่าจะไม่นั่งรถที่พระเอกขับอีกแล้ว
เรื่องราวสนุกสนานของเช็กเมทจบลงด้วยสามหนุ่มสามสไตล์ที่รวมตัวกันด้วยความสามารถที่แตกต่าง
“คัต!”
-------------
จบแล้วกับซีรีส์เช็กเมท ใจหายเหมือนกันนะคะเนี่ย อยากให้มีคนทำจริงๆ จัง เราคงตั้งหน้าตั้งตารอดูมิสเตอร์เอสมากแน่ๆ แต่ถึงเรื่องราวในเช็กเมทจะจบแล้ว แต่ I'M NOT HIM ยังไม่จบค่ะ!!! ก่อนหน้านี้หายตัวไปทำเรื่องคิงส์คลับ กับเตรียมเปิดพรีหนูจิ แต่ตอนนี้ทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว จะกลับเข้าสู่ช่วงอัพว่องไวกันเช่นเดิมค่ะ
ฉะนั้นท่านที่เป็นห่วงว่าเปิดพรีโดยยังเเต่งไม่จบนั้น ขอรับประกันว่าจะอัพจนจบภายในอาทิตย์หน้าแน่นอนค่ะ ท่านที่ตามกันมาตั้งแต่เรื่องเก่าสมัยน้องนิล พี่เอก หนูรัญ น่าจะรู้จักเราดีว่าเราไม่เคยเบี้ยวค่ะ เราจะเปิดพรีต่อเมื่อมั่นใจว่าจะทำได้เท่านั้น และเรื่องนี้เหลืออีก 3 ตอนครึ่งจะจบแล้วค่ะ ^0^

รายละเอียดการเปิดจอง ->
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61662.0