ตอนที่ 26 : กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง 100%
“เลิกนึกถึงเสี่ย แล้วคิดถึงตัวเองให้มากๆ หน่อยเถอะครับ!”
“นายจะไปเข้าใจอะไร” จิระร้องไห้โฮ “เขาเป็นคนแรกที่ทำดีกับฉัน เขาเป็นคนแรกที่ดูแลเอาใจใส่ฉัน...ฉันที่ไม่รู้จักแม้แต่หน้าของพ่อตัวเอง ขนาดแม่ยังไม่ต้องการ ต้องคอยปกปิดหน้าตาแล้วอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มีเงินแล้วยังไงล่ะ! อนาคตที่สวยงามคืออะไรล่ะ! ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการแค่มีใครสักคนอยู่เคียงข้าง...ในตอนนี้!!!”
ผมทนนั่งต่อไม่ไหว ลุกขึ้นไปหาจิระที่ตะโกนลั่นน้ำตานอง
“แต่ฉันไม่มีใครแล้ว เสี่ยไม่ต้องการฉันแล้ว ทั้งหมดก็เพราะนาย! เพราะนาย!! ทำไมถึงต้องคบกับเสี่ย ถ้าเกิดเสี่ยยังไม่มีใคร อย่างน้อยฉันก็ยังอยู่กับเขาได้ จะให้เป็นเด็กเลี้ยงหรืออะไรก็ยอมทั้งนั้น แต่เพราะนาย...เพราะนาย!”
ด้วยรูปร่างเรี่ยวแรงของร่างกายแสนกำยำ ทำให้เขากระชากผมตัวปลิวไปแปะอยู่ข้างเตียงอย่างง่ายดาย
“ผมขอโทษ....ผมก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องของผมกับเสี่ยจะกลายเป็นแบบนี้”
“ฉันเป็นคนที่มาก่อน! ร่างกายนั้น...ก็เป็นของฉัน! แล้วนายถือสิทธิ์อะไรมาเอาเสี่ยไป เอาคนที่ฉันต้องการเพียงคนเดียวไปจากฉัน!!” จิระร้องไห้หนักกว่าเดิม สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง “อยากให้ฉันไปอยู่ด้วยอะไรกัน ก็แค่กันฉันให้ยอมแยกจากเสี่ยไม่ใช่รึไง ทุกคำพูดของนายมันเชื่อไม่ได้!”
“ไม่ใช่นะครับ...ผมแค่อยากให้คุณมีครอบครัวที่ดี”
“ฉันไม่ต้องการครอบครัวที่ดี! ฉันแค่ต้องการ...
ชีวิตของฉันคืน!!”ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจิระหยิบเข็มฉีดยาออกมาจากใต้เบาะ จ่อมันเข้าที่ลำคอของผมด้วยสีหน้ากึ่งจะคลุ้มคลั่งทั้งรอยยิ้มเยาะที่ไม่ควรจะแย้มยิ้มออกมาได้ในสถานการณ์แบบนี้
เข็มฉีดยาที่ไม่อันตราย แต่ถ้าแทงทะลุคอขึ้นมาก็อาจถึงตายได้...
สงสัยจิระจะแอบจิ๊กมาจากพยาบาลที่เขาทำร้ายร่างกายจนหมดสติเพื่อแอบติดต่อกับข้าวสวย หลังเกิดเรื่องคุณสันให้เธอพักงานพร้อมมอบเงินปลอบขวัญ ทุกอย่างกะทันหันจนไม่ทันได้ตรวจสอบว่ามีเข็มฉีดยาหายไป
“นายมันก็ดีแต่พูด วางตัวเป็นคนดีนักหนา คงไม่เคยถูกทิ้งเลยล่ะสิ ไม่เคยรู้ใช่มั้ย...ว่าการต้องอยู่คนเดียวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ มันเป็นยังไง ถึงตอนนั้น ต่อให้นายมีเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่ช่วยซื้อความสุขได้เลย ครอบครัวแสนอบอุ่น? สำหรับฉันมันก็แค่ภาพจอมปลอม! ฉันถูกพ่อกับแม่ทิ้ง นายเข้าใจมั้ย ฉันไม่ควรเกิดมาด้วยซ้ำ! ความรักพวกนั้นฉันก็ไม่ต้องการ! เพราะฉันรู้...ว่าคนอย่างฉันไม่มีวันได้รับความรักหรอก!!”
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ การที่คุณถูกพ่อกับแม่ทิ้งไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครรักคุณ...”
“แล้วยังไง ให้ฉันไปอยู่ด้วย? ไปเป็นส่วนเกินในครอบครัวนายน่ะเหรอ ทำดีให้ตายแค่ไหนก็ไม่มีวันดีไปกว่าลูกในไส้หรอก! สุดท้ายฉันก็เป็นแค่หมาหัวเน่า เป็นกาฝากเกาะกินอยู่ในครอบครัวของนาย! แล้วถ้าเราสลับตัวกันล่ะ ถึงตอนนั้น ครอบครัวนายจะ...ยังรักฉันอยู่มั้ย “
น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบหน้า
ไม่ใช่น้ำตาของจิระ แต่เป็นของผมเอง
เป็นผมเองที่คิดง่ายเกินไป เอาแต่มองภาพรวมว่าทำแบบนี้ต้องดี แต่ไม่เคยนึกถึงใจของจิระเลย
ความรู้สึกหวั่นไหวของจิระ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจดี ผมถึงได้หลั่งน้ำตาออกมา
ความสับสน ความกังวล ความหวาดกลัว
ตอนที่ผมคบกับเสี่ย ผมก็คิดว่าหากเราสลับตัวกันขึ้นมาจะเป็นยังไง
แม้ตอนนี้ยังรักกันหวานชื่น แต่ถึงตอนนั้นล่ะ ใครจะรับรองได้ ความรักของผมกับเสี่ยจะเป็นอย่างไร จะยังอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกแบบเดิมได้งั้นหรือ
จิระเองก็คิดแบบเดียวกัน
ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน เขาเพียงต้องการ...ชีวิตของเขาก่อนที่เราจะสลับร่างคืน ไม่ต้องการอย่างอื่น ชื่อเสียง เงินเทอง ความรักความเข้าใจ เขาไม่ต้องการทั้งนั้น!
จิระกดเข็มลงข้างลำคอผม รู้สึกถึงลิ่มเหล็กที่จมลงไปในเนื้อ แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกถึงเลือดที่ไหลซึมออกมา
“เดินออกไป อย่าขัดขืน และอย่าทำอะไรเกินคำสั่งเด็ดขาดถ้าไม่อยากให้ฉันกดมันลงไปเต็มแรง”
ผมถูกจับเป็นตัวประกันอย่างสมบูรณ์โดยมีเข็มปักคาอยู่ข้างคอประมาณหนึ่งส่วนสี่ของความยาวทั้งหมด แต่แค่นั้นก็พอจะทำให้ผมเป็นหุ่นเชิด ยอมให้จิระบังคับซ้ายขวาตามใจชอบแล้ว
“คุณจิ!”
เมื่อถูกดันให้เดินนำออกจากห้องโดยมีจิระยืนประกบด้านหลังไม่ห่าง พี่เบิ้มรวมทั้งคุณสันที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพากันร้องเรียกอย่างตกใจ ด้วยความสามารถของคนเหล็ก...สามารถจับตัวจิระได้ง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือ แต่ผมเลือกที่จะส่งสายตาบอกห้าม เพราะถ้าจับตัวเขาได้แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ ขังเขาไว้อีกครั้งงั้นเหรอ
“คุณจิระจะไปไหนเหรอครับ”
ผมยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจ เชื่อมั่นว่ายังไงจิระก็ไม่กล้าทำร้ายร่างกายตัวเองหรอก
“เงียบ!” เขาตวาด เมื่อเห็นคุณสันและคนอื่นๆ ในบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ก็คล้ายจะยิ่งได้ใจ บังคับให้ผมเดินไปที่โรงรถ แล้วออกคำสั่งให้คนรับใช้ในบ้านส่งกุญแจรถมา แต่ผมยกมือห้าม แล้วหยิบกุญแจรถเบนซ์ที่เสี่ยเคยให้แล้วเก็บติดตัวตลอดส่งให้เขาแทน
จิระมองผมด้วยสายตาริษยาวูบหนึ่ง ก่อนจะดันผมไปที่รถคันนั้น บังคับให้เปิดประตูฝั่งคนขับ
“เอ่อ คุณจิระครับ ผมขับรถไม่เป็นนะ”
“...”
“ผมไม่ใช่คนขี้โกหก คุณก็รู้”
“...”
“ผมเอาเข็มจี้ตัวเองก็ได้ ฉะนั้นคุณต้องขับนะ”
ด้วยสถานการณ์ที่พิลึกพิลั่น ผมเลยต้องเอาเข็มฉีดยาจี้ตัวเอง เพื่อให้จิระเป็นคนขับ
ผมพยายามทำตัวนิ่ง โดยลอบสังเกตข้างทางเป็นระยะเพื่อคาดเดาว่าเขาจะไปไหน เพราะจิระไม่มีที่ไป...เขาอยู่กับเสี่ยตั้งแต่อายุสิบสี่ อยู่ในคอนโดที่เสี่ยซื้อให้ เมื่อถูกริบคืน ก็แทบจะไม่มีเป้าหมายอื่นแล้ว
หลังจากนั้นเกือบหกชั่วโมง ผมก็เผลอหลับสัปหงก มารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนเห็นป้ายจังหวัดชุมพร...ที่แท้จิระก็พาผมมาเที่ยวทะเลนี่เอง
พอหาที่จอดได้เขาก็เปิดประตูลงไปทันที ผมดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ พบว่าตอนนี้ปาไปเกือบทุ่มหนึ่งเข้าไปแล้ว แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แม้ตัวผมจะเป็นดาราที่กำลังเป็นข่าวดัง ก็ไม่มีใครจำได้
“เอ่อ...จะให้ผมจี้ตัวเองต่อมั้ยครับ” ผมถามจิระเพื่อความมั่นใจ
“ชิ” แต่เขาเพียงสบถในลำคอแล้วเดินลงหาดทราย มุ่งหน้าไปทางทะเลไม่สนใจผมอีก...งั้นผมติ๊ต่างเอาว่าไม่ต้องจี้ตัวเองแล้วกัน เพราะขืนทำอย่างนั้นจะยิ่งเป็นจุดสนใจมากกว่า
ผมรีบลงจากรถ วิ่งเหยาะๆ ตามหลังจิระที่หยุดยืนอยู่ริมทะเลพอดี เขาถอดรองเท้า ปล่อยให้น้ำทะเลสาดซัดเข้ามา
ผมไม่รอช้าที่จะเลียนแบบ ไม่วายเงยมองเสี้ยวหน้านั้น ดูเหมือนว่าตลอดการขับรถร่วมหกชั่วโมง จิระจะคิดตกหลายต่อหลายอย่าง อารมณ์เขาดูสงบขึ้นกว่าตอนอยู่ในบ้านเสี่ยเป็นไหนๆ แม้สีหน้าจะแฝงความอ่อนล้า แต่แววตาดูแจ่มชัดขึ้นหลายเท่า
ยืนจนเริ่มเมื่อย ผมก็ตัดสินใจทิ้งตัวนั่งบนหาด กระเถิบขึ้นมาหน่อยเพื่อไม่ให้กางเกงเปียก ก่อนจะดึงกางเกงจิระเบาๆ ชักชวนให้นั่งด้วยกัน
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยอมทิ้งตัวนั่งกอดเข่าโดยสายตาไม่ละไปจากน้ำทะเลเบื้องหน้า ราวกับว่าภาพนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่เขาเหลืออยู่
มองเหม่อฟังเสียงคลื่นสาดกระทบอย่างเพลิดเพลิน พวกเราดื่มด่ำจนเกือบลืมว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
อย่าว่าแต่จิระ ผมเองก็คล้ายจะหัวโล่งขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกเหนื่อยใจตอนเข้าไปคุยกับเขา ราวกับถูกน้ำทะเลซัดสาดลากกลับลงน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ผมหลับตา รับลมเย็นยามค่ำคืนอย่างเต็มที่ ปล่อยจิระใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วน ทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งด้วยใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม
แต่ต่อให้อากาศจะดีแค่ไหน ก็ไม่พ้นถูกยุงดมดอมกัดตามตัวอยู่ดี หลังผมตบยุงตัวที่สามสิบแปดที่มากัดผิวขาวๆ ป้องกันไม่ให้เป็นตุ่มใส จิระก็เอ่ยพึมพำออกมาแผ่วเบา
“มันไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมใช่มั้ย”
คำถามนั้นเหมือนเอ่ยกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม แต่เพื่อไม่ให้เขาเป็นอย่างเสี่ย ที่ชอบพูดกับดินฟ้าอากาศเหมือนตอนที่เราเจอกันแรกๆ ผมเลยตัดสินใจตอบออกไป
“ครับ มันไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมหรอก” ผมตอบกลับ หันไปเหม่อมองทะเลอีกครั้ง ไม่รู้อารมณ์ไหนถึงหลุดพูดปลุกใจซะได้ “แทนที่จะหาทางเดินถอยหลัง สู้ก้าวไปข้างหน้าดีกว่านะ”
แม่ง โคตรเท่
แทนที่จะหาทางเดินถอยหลัง สู้ก้าวไปข้างหน้าดีกว่างั้นเหรอ...อย่าว่าแต่จิระที่อึ้งจนชะงักไปครู่หนึ่ง ตัวผมเองก็หลุดยิ้มภาคภูมิใจที่คิดประโยคเท่ๆ แบบนี้ได้ด้วย น่าเอาไปอวดไอ้เจชะมัด!
พวกเราเงียบกันไปอีกครั้ง ต่างคนต่างคิดกันไปคนละเรื่อง ก่อนที่จิระจะเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงเบาหวิวพอกับครั้งแรกคล้ายยังลังเล
“ครอบครัวของนายมีใครบ้างนะ”
“พวกเรามีกันสี่คนครับ พ่อผมชื่อฉัตรชัย แม่ผมชื่อจรวย แล้วก็ไอ้น้องชายชื่อเจตริน ส่วนผม นายจิตริน ทองคำดี...เอ๊ะ นี่เราเพิ่งแนะนำตัวเต็มยศพร้อมนามสกุลกันรึเปล่านะ”
ผมเกาหัวเมื่อนึกได้ว่าตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เราไม่เคยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง
จิระที่ยังมองเหม่อไปไกลหลุดขำออกมาวูบหนึ่ง เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก เขายกมือลูบหน้า ก่อนจะหันมาสบตากับผม สีหน้าดูผ่อนคลายสบายใจมากขึ้นราวเป็นคนละคนกับเมื่อเช้า
“ฉันจิระ...จิระ นราสมุทร”
“นามสกุลคุณเพราะมาก”
“อืม...เป็นนามสกุลเดิมของแม่ฉันก่อนเข้าวงการน่ะ”
“แสดงว่าคุณชอบทะเลใช่มั้ย แต่ผมชอบภูเขามากกว่า ลุยๆดี”
“ใช่ ฉันชอบทะเล ภูเขาให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่โดดเดี่ยวเกินไป ส่วนทะเลกว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด...”
“งั้นคุณจิระชอบกินปูผัดผงกะหรี่รึเปล่า ผมชอบมากเลยนะ แม่ผมทำอร่อยสุดๆ”
“ไม่ล่ะ ฉันชอบสตูเนื้อมากกว่า ต้มนานๆ จนเปื่อยค้างคืนยิ่งดี เคี้ยวง่ายกลืนง่าย แล้วก็...”
พวกเราสองคนคุยกันราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางมาก่อน
ไม่มีความจำเป็นต้องทวงถาม ตอกย้ำเรื่องก่อนหน้านี้ ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างรู้ว่า...เขายอมรับข้อเสนอของผมแล้ว
ในที่สุดจิระก็เข้าใจว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้น...มันเป็นไปไม่ได้
แล้วจะดันทุรังเพื่ออะไร
จะโวยวายอาละวาดไปทำไม
อดีตที่ผ่านมาแล้วไม่อาจย้อนคืน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงการเตือนใจ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่นานพอจะทำให้เนื้อตัวของผมมีรอยยุงกัดพร้อยจนเผลอเกา จิระก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำไปที่รถ เพื่อกลับบ้าน...บ้านของผมเป็นการตัดขาดจากเสี่ย
“เดี๋ยวก่อนครับ ผมอยากกินลูกชิ้นปิ้งร้านนั้น ขอแวะซื้อก่อนนะ คุณจะเอาด้วยมั้ย กี่ไม้ดี”
“ฉันไม่ชอบลูกชิ้นปิ้ง” จิระส่ายหน้า แม้เราจะมีรสนิยมความชอบแตกต่างกันทุกอย่าง แต่ผมเชื่อว่าเราจะเข้ากันได้
จิระยืนรออยู่ที่รถ ส่วนผมตั้งท่าเตรียมข้ามถนนไปยังร้านลูกชิ้นปิ้งฝั่งตรงข้าม แม้จะดึกแล้วแต่ก็มีลูกค้าขาจรเดินผ่านไปมาพอสมควร ส่วนใหญ่ก็แวะร้านอาหารหรือร้านเหล้าแถวนั้น ผมมานึกได้ว่าตัวเองเป็นคนดังก็ตอนเริ่มถูกจำได้ จิระเองก็คงสังเกตเห็น เลยเดินมาตบไหล่ผมแล้วชี้นิ้วเป็นเชิงว่าเขาจะเดินข้ามไปซื้อให้เอง
“เอาเงินมาด้วย”
“คร้าบๆ” ผมฉีกยิ้มหวาน รีบส่งแบงค์ร้อยให้จิระ แต่จังหวะที่เขากำลังเดินไปจู่ๆ ก็มีรถพุ่งสวนมาด้วยความเร็วไม่ธรรมดา ถ้าไม่หลับในก็คงเมาปลิ้นจนมองไม่เห็นคนข้ามถนน
“จิระ!” ผมตะโกนลั่น รีบกระโจนเข้าไปผลักร่างนั้นให้พ้นจากระยะการชน แม้การกระทำนั้นจะแลกมาด้วยร่างที่ถูกเสยจนกลิ้งกระเด็นหลุนๆ หลายตลบก็ตาม
เสียงกรีดร้องดังสนั่น ขณะที่สติของผมมึนเบลอ
รู้สึกเดจาวูอย่างบอกไม่ถูก“คุณจิ! คุณจิ!”
ผมปรือตามองเมื่อถูกประคองด้วยคนคุ้นเคยที่สวมแว่นกรอบเหลี่ยม ร่างนั้นเอ่ยเรียกอย่างเป็นกังวล ข้างๆ เขาคือชายร่างสูงใหญ่ตัวบึกบึนจนน่าอิจฉา
ที่แท้คุณสันกับพี่เบิ้มก็แอบตามมาด้วย
ผมส่งยิ้มให้พวกเขา
และนั่นก็เป็นยิ้มสุดท้ายก่อนจะหมดสติ
------
เรื่องนี้เสี่ยเป็นพระเอก?
เข้าใจผิดแล้วค่ะ เรื่องนี้จิเป็นพระเอกต่างหาก! ครองทั้งตำแหน่งพระเอกและนายเอก ยึดคนเดียวเลย!!
อะแฮ่ม ล้อเล่นค่ะ แค่แซวเพราะช่วงหลังเสี่ยแทบไม่มีบทเลย แต่ด้วยเรื่องเน้นไปที่จิระ เสี่ยเลยต้องถูกตัดออกจากสารบบโดยปริยาย เราอยากให้เห็นในหลายๆ มุม ว่าจิระเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เพิ่งตื่นมาเจอแบบนี้ เป็นใครก็ต้องอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกทั้งนั้นแหละเนอะ แถมจิระยังเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แล้วยังโดนขัง โดนบีบอีก โดนหนูจิเคาะสติกันไป และเมื่อลองเดินออกมามองในมุมกว้าง ก็สามารถทำความเข้าใจได้
ส่วนหนูจิ...คืออิมเมจหนูจิแม้จะเป็นคนโลกสวย แต่หนูจิก็เป็นคนโลกสวยที่มีสติ มิตรแท้ประกันภัย จริงใจ เปิดเผย #เดี๋ยว สรุปว่าหนูจิเป็นคนโลกสวยที่วิ่งเล่นในพื้นฐานความเป็นจริง จะสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจิแทบไม่ตื่นตูม ลนลานเลย ขนาดสลับร่างตื่นมา น้องยังวิ่งไปหาพ่อแม่บอกความจริงหน้าตาเฉย แม้มีเผลอบ้างยอมบ้าง แต่ถ้าเทียบกันตรงๆ แล้ว หนูจิเอาตัวรอดเก่งมากๆ เลยนะ
ส่วนใครรอเสี่ย...ตอนหน้าค่ะ! #เสี่ยยังจำเป็นอยู่มั้ย
เพจนักเขียนที่ยอมรับว่าเสี่ยเป็นพระเอกที่บทน้อยที่สุดเท่าที่เคยแต่งมา