## [จบบริบูรณ์] Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ ##
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ## [จบบริบูรณ์] Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ ##  (อ่าน 7777 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ   ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
       7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
       7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
       7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
             - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวปhttp://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับนิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
   (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail   
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข  17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com.......................................                                                             
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


:o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:


อ่านกันก่อนนะคะ

 

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เสียเวลากดอ่านนิยายเพ้อๆ เรื่องนี้ค่ะ

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนขึ้นโดยใช้เวลาเขียนทั้งหมด 1 สัปดาห์ จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเป็นเรื่องสั้นๆ ก็กลายเป็นว่าลากไปลากมาซะยาวเหยียด เราโพสต์เรื่องนี้ลงที่นี่เป็นที่ๆ สอง เคยเอาลงที่ธันวลัยไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วค่ะ เผื่อใครจะว่ามันอ่านดูแล้วคุ้นๆ แต่ได้มีการแก้ไขคำกับเพิ่มบางจุดนิดๆ หน่อย ไม่เยอะค่ะ

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความทรงจำของนพที่มีต่อหนุ่มรุ่นน้องอย่างราฟาตลอดระยะเวลา 20 ปี ซึ่งมีทั้งเรื่องสุขและเศร้า

เรื่องนี้ไม่ได้ออกวายจ๋ามากนะคะ ไม่มี NC เป็นการบรรยายจากฝั่งนพฝ่ายเดียว มันอาจจะดูเพ้อๆ บ้าง หรือประมาณว่ามันบ่นอะไรของมันวะ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

 

***ตัวละครในเรื่องนี้ล้วนเกิดจากการสมมติขึ้นทั้งสิ้น ถ้ามีลักษณะหรือชื่อที่ซ้ำกับบุคคลจริงก็เป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด หากแต่มีการอ้างอิงสถานที่หรือเหตุการณ์จริงบางส่วนเพื่อความสมจริงค่ะ***

 

นอกจากนี้ยังมีตอนแถม(ที่เขียนติดลมจนยาวเป็นเรื่องใหม่ได้) เป็นเรื่องของฆาเบียร์ หนุ่มที่เคยโผล่มาในตอน First Time ค่ะ ในอนาคตเป็นไปได้ว่าจะหยิบเรื่องของนายนี่มาแตกเป็นอีกเรื่องค่ะ


ถ้าอ่านจบแล้วมีข้อติชมอะไรก็คอมเมนท์มาได้นะคะ จะเป็นกำลังใจอย่างมากสำหรับงานต่อไปของเราค่ะ


UPDATE - 16/7/17

 

มาเพิ่มตอนพิเศษตอนสุดท้าย เป็นบทสรุปจบเรื่องราวของ ราฟา - นพ - พี่วัฒน์นะคะ ว่าจะจบๆ แต่มันก็ค้างคาใจว่ายังไม่ได้รูดม่านปิดให้เรื่องราวของนพซักที หมดบทนี้แล้วก็จะไม่มีนพโผล่มาเป็นตัวละครหลักอีก ถ้าจะมาอีกทีก็จะเป็นตัวรองในเรื่องอื่นๆ เลยค่ะ (ถ้าจะยังเขียนเรื่องอื่นไหวอีก ฮ่าๆๆ)

นอกจากนี้ยังมีแก้คำผิดกับเพิ่มเติมอะไรนิดๆ หน่อยๆ ในบทอื่นที่เขียนไปแล้วด้วยค่ะ

 



:mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


สารบัญ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2017 20:23:30 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- First Met ##
«ตอบ #1 เมื่อ13-07-2017 02:31:31 »


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

 ---- First Met ----




5 กรกฎาคม 2560

00:01 น.



ตรู๊ดดด

“ว่าไง โทรมาดึกเชียว” เสียงทุ้มที่ปลายสายฟังดูง่วงเล็กน้อย
“หลับแล้วเหรอ?” ผมถาม
“ใกล้แล้วล่ะ นอนอ่านนั่นนี่เพลินๆ... เป็นอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงนั้นเจือความกังวลเมื่อได้ยินผมถอนหายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่...คิดถึง”
“เห้ย อารมณ์ไหน? ร้อยวันพันปีโทรมามีแต่ด่า กินยาผิดเหรอ?”
ปลายสายหัวเราะเบาๆ ผมไม่ตอบ แต่หวนนึกไปยังภาพอดีตอันแสนไกล


ธันวาคม 2534

ที่หน้าป้ายประกาศขนาดใหญ่ ณ รร.เชิงดอยแห่งหนึ่ง เหล่านักเรียนชายหญิงพากันเบียดเสียดดูประกาศที่อาจารย์เพิ่งนำมาติด
“ไอ้ต้า อย่าบังสิวะ กูมองไม่เห็น” ผมบ่นกระปอดกระแปด
“เออๆ กูหลบให้มึงก็ได้ไอ้เตี้ยนพ อยากดูก็เชิญ มาเล็งเด็กๆ ของมึงซะ ขอให้ได้น้องรหัสผู้หญิงซะทีล่ะ เจอน้องชายมาสองปีแล้วนี่”

 ...ครับ ไอ้เตี้ยนพคือผมเอง สำหรับเด็กม. 3 แล้ว ส่วนสูง 150 เซนติเมตรของผมนั้นถือว่าโตช้ากว่าเพื่อนๆ ในชั้นเดียวกัน แล้วพวกผมมาทำอะไรที่หน้าบอร์ดนี้? ก็วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบเข้าของนักเรียนใหม่ที่จะเข้าศึกษาต่อ ม. 1 ในปีการศึกษาหน้าที่โรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยเชิงดอยแห่งนี้ บรรดาพวกรุ่นพี่ทั้งหลายต่างพากันมาดูชื่อน้องรหัสในปีหน้า อีกทั้งมาเล็งเด็กๆ (ที่มีแววว่าจะ)หน้าตาดีจากชื่อ
“หูยยย มีสาวญี่ปุ่นด้วยว่ะมึง” ไอ้ต้าเพื่อนสนิทของผมสะกิดยิกๆ 
“ดูนี่ๆ เรนะ อาโออิ ชื่อเพราะเนาะ” มันยิ้มทำหน้าชวนฝัน
“น้องคนนี้ก็ชื่อสวย พิมพ์ดาว โอ๊ะ นั่นก็ชื่อน่ารัก” นั่นนี่นู่นของมันไป
ผมส่ายหัวเบาๆ ขำในท่าทางของมัน ผมไล่สายตาตามรายชื่อช้าๆ จนเจอชื่อน้องรหัส ในที่สุดผมก็ได้น้องรหัสผู้หญิงซะที สายตาผมไล่เรียงตามรายชื่อต่อแล้วมาสะดุดที่ชื่อหนึ่ง
 “แม่ม ชื่อยังกะนักบอล” ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ พร้อมอ่านชื่อนั้นช้าๆ
 “ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า”       แล้วรุ่งโรจน์นี่มันนามสกุลหรือชื่อล่ะเนี่ย?
 เสียงรุ่นพี่สาวๆ กรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างหลังผม
 “แกๆ มีฝรั่งด้วย”
 “อื้อ ดูจากชื่อแล้วต้องหล่อแน่ๆ เลยแก”
ก็ว่ากันไปนั่น แต่ผมก็แอบอยากเห็นหน้าน้องคนนี้นะ ว่าจะหน้าตาดีสมชื่อไหม


ต้นเดือนมิถุนายน 2535

ผมขึ้นม. 4 แล้วครับ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก หลังจากวุ่นๆวายๆ ลงทะเบียน ก็ถึงเวลาเปิดเทอมสักที ในช่วงม.ปลายนี้ ผมเข้าเรียนในแผนศิลป์ – ฝรั่งเศส ผมดีใจที่ไม่ต้องเรียนวิทย์ฯ และคณิตฯ ที่เป็นยาขมของผมมากเท่ากับตอนม. ต้น แต่แอบเศร้านิดหน่อยที่ต้องแยกห้องกับไอ้ต้าเพื่อนเลิฟซึ่งเป็นเด็กวิทย์ - คณิตห้อง 1 แต่อย่างน้อยก็ยังจะได้เจอมันบ้างตอนทำกิจกรรมชมรม
ทั้งมันและผมอยู่ชมรมเดียวกันคือชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ วันนี้พี่ประธานเรียกพวกสมาชิกมาที่ชมรมเพราะเราจะมาคุยกันเรื่องแนะนำชมรมและรับสมัครสมาชิกใหม่ ผมคงมาถึงชมรมเร็วไปหน่อยเพราะยังไม่มีใครมาสักคน ผมดูบอร์ดที่ติดรูปกิจกรรมดูนกที่พวกเราไปมาเมื่อปีที่แล้ว ผมอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นรูปที่ไอ้ต้ากอดคอผมแล้วทำหน้าทะเล้นใส่กล้อง ผมคงต้องแอบขอพี่ฟางประธานชมรมอัดให้ผมซักรูป
มาถึงตอนนี้พวกคุณคงรู้กันแล้วว่าผมไม่ได้คิดกับไอ้ต้าแค่เพื่อน ผมรู้ตัวว่าไม่ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ ม.1 แล้ว ผมมาจากโรงเรียนชายล้วน พอมาเข้าโรงเรียนสหฯ แทนที่ผมจะตื่นตาตื่นใจไปกับสาวๆ  ผมกลับออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ แต่กลับไปใจเต้นแปลกๆ กับรุ่นพี่หนุ่มๆ นักกีฬา ผมเริ่มสนิทกับต้าตั้งแต่ม.1 ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ แต่ความสดใสร่าเริงและบุคลิกที่เป็นผู้นำของมันดึงดูดสายตาผมจนตามมันมาเข้าชมรมอนุรักษ์ฯ นี่แหละ

“ไงจ๊ะ นพน้อย ไม่เจอกันสามเดือนมึงสูงขึ้นมั่งป่าววะ?” ผมสะดุ้งเฮือก ตอนไอ้ต้าย่องเข้ามาโอบคอผมหมับ
“เชี่ยนี่ กูหัวใจวายตายไปทำไงวะ แล้วกูสูงขึ้นอีก 5 เซ็นต์ ไม่ใช่นพน้อยแล้วเว้ย ?” ผมหันไปโวยใส่ไอ้ต้าและผองเพื่อนที่ยืนหัวเราะท่าทางของผม
“แล้วมึงเหม่ออะไรอยู่วะ มองกระดานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้” จะให้ผมตอบได้ไงว่าผมยิ้มให้รูปมัน?
“เออ เมื่อกี้กูแอบไปดูเด็กปี 1 ซ้อมเชียร์มาว่ะ” โรงเรียนผมดังด้านการขึ้นเชียร์ และเราเริ่มซ้อมกันจริงจังตั้งแต่ม. 1 ครับ
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องอ้างเชียร์ มึงแอบไปเล็งน้องเรนะ น้องพิมพ์ดาวและน้องนั่นนี่ของมึงใช่มะ? ผมดักคอมันอย่างรู้ทันเพราะช่วงแรกของเชียร์ต้องให้น้องๆ แนะนำตัวด้วยชื่อจริง
“แหมมมม รู้ใจสมเป็นที่รักไอ้ต้าจริงๆ นะไอ่นพ” ไอ้เปี๊ยกปากหมาประจำกลุ่มแซว หัวใจผมกระตุกวูบ ไอ้พวกนี้ชอบแซวผมเป็นที่รักไอ้ต้า คงเพราะเรามักไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดตอนช่วงม. ต้น
“แล้วเป็นไง มีน้องๆ น่ารักมั่งไหม?”
“ก็...น่ารักแบบเด็กม. 1 น่ะมึง ต้องดูกันไปยาวๆ แต่น้องเรนะนี่กูจอง!” ผมหัวเราะเบาๆ กับท่าทางจริงจังของมัน
“แต่ฉันเฟลกับน้องอะไรนะ ที่ชื่อฝรั่งๆ อ่ะ” เบิร์ด สาวน้อยร่างป้อมหนึ่งเดียวของกลุ่มเราพูด “ไม่หล่ออย่างที่คิดเลยอ่ะ ตัวผอมๆ หน้าเนิร์ดๆ เจ๊เซ็งเลย”

‘ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า’

ชื่อนั้นผุดขึ้นมาในหัวผม ทำไมผมถึงจำชื่อนี้ได้กันนะ?
“อ้าว เด็กๆ มากันนานยัง?” พี่ฟางประธานชมรมร้องทัก “มาครบกันแล้ว งั้นเรามาคุยกันเรื่องแนะนำชมรมในวันเปิดชมรมกัน” 
โรงเรียนผมจะมีการจัดงานเปิดชมรมให้เด็กๆ ปี 1 ได้เข้ารับการแนะนำกิจกรรมต่างๆ ของชมรม และรับสมัครสมาชิกใหม่ มันไม่ใช่กิจกรรมภาคบังคับ แต่เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเข้าชมรมใดชมรมหนึ่ง ชมรมอนุรักษ์ฯ ของเราก็เป็นที่นิยมในระดับหนึ่งและมีเด็กๆ แวะเวียนกันเข้ามาชมบอร์ดที่จัดไว้ คนพูดเก่งเป็นต่อยหอยอย่างไอ้ต้าก็รับหน้าที่กล่อมน้อง ส่วนผมที่พูดไม่เก่งนักก็ทำหน้าที่เฝ้าโต๊ะรับสมัคร

‘ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า’
ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กชายร่างเพรียวที่ยืนเขียนชื่อตัวเองตรงหน้า ร่างนั้นสูงเกือบเท่าผม จมูกที่โด่งทำให้รู้ว่ามีเชื้อสายตะวันตก แต่เครื่องหน้าอื่นไม่ได้โดดเด่นอะไรตามที่ยัยเบิร์ดบ่น เว้นแต่ตาที่คมวาวสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่ง
“มีอะไรติดหน้าผมเหรอพี่?” อ้าว ไอ้เด็กนี่ เจอหน้ากันก็ปากดีแล้ว
“เปล่า แค่คิดว่าหน้าน้องไม่ค่อยฝรั่งเหมือนชื่อเลยนะ” ผมจิกกลับไปอย่างลืมตัว
“โหย พี่พูดแบบนี้พ่อผมเสียใจแย่เลย” ผมแทบอยากกัดลิ้นตัวเอง ดันเผลอเสียมารยาทกับเด็กที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกไปได้ น้องมันจะโกรธไหมนั่น แต่เมื่อเห็นตาคมๆ นั้นฉายแววยิ้มผมก็ค่อยเบาใจ
“โทษทีๆ ว่าแต่เราจะให้พี่เรียกชื่อไหน? รุ่งโรจน์นี่ชื่อหรือนามสกุล?” ผมถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
“ราฟาเอลเป็นชื่อแรก รุ่งโรจน์เป็นชื่อรอง ปาเรร่าเป็นนามสกุลพ่อ แล้วถ้าจะให้ถูกต้องตามธรรมเนียมสเปน ต้องใส่นามสกุลแม่คือวงค์แก่นจันทร์ไปด้วยครับ...” นั่น ยากได้อีก แล้วตกลงจะให้เรียกชื่อไหนล่ะเนี่ย
“...ที่บ้านเรียกผมว่าราฟาครับ พี่เรียกผมราฟาก็ได้ ถ้าเรียกครบเต็มยศคงเหนื่อยแน่” มันฉีกยิ้มกว้างให้ผม

ครับ...และนี่ คือการพบกันครั้งแรกของผมกับเจ้าเด็กแสบราฟา



###################################################
[/font]
[/size]

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- It’s You Again!!----



กุมภาพันธ์ 2537


ชีวิตช่วงม.ปลายของผมผ่านไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว การเรียนในสายที่ถนัดทำให้เกรดผมดีขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับกลางๆ ไม่รั้งท้ายเหมือนตอนม.ต้น ส่วนหนึ่งมาจากความขี้เกียจและชิลเกินของผมเอง ผมสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเกือบๆ 170 เซ็นต์ ไม่ใช่นพน้อยแล้วนะครับ แต่หน้าตาผมก็ยังจืดชืดไร้คนแล และผมยังแอบมองต้าเช่นเดิม ช่วงม. 4 และม. 5 ของผมใช้ไปกับการพยายามเป็นเพื่อนแสนดีที่อยู่เคียงข้างมัน ผมยอมแต่งหญิงขึ้นเวทีไปแสดงละครที่มันกำกับต่อหน้าเด็กทั้งโรงเรียนในวันอำลารุ่นพี่ ผมเป็นคนคอยเอาดอกลิลลี่ 1 ดอกจากร้านแม่ผมไปให้น้องเรนะทุกๆ วันพฤหัสฯ จนน้องเค้ายอมคุยกับมัน ถามว่าผมทนได้เหรอ? ผมโอเคนะ เห็นมันแฮ้ปปี้ ผมก็พอใจแล้ว ผมแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนสนิทมันแบบนี้ตลอดไป

“พี่นพเหนื่อยไหม?” ราฟาเด็กแสบถาม
“หือ? เหนื่อยอะไร เพิ่งเริ่มจะเหนื่อยได้ไง?”
ผมพูดพลางก้มหน้าก้มตาคัดรูปจากการออกค่ายดูนกครั้งสุดท้ายของ ปีเพื่อเอาไปติดบอร์ด อีกไม่นานจะสอบไฟน่อลแล้วหนอ
“ที่ต้องไล่ตามพี่ต้าน่ะ เหนื่อยไหม?” ในหัวผมขาวโพลน ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้เด็กแสบ
“มึงว่าอะไรนะ?” ระยะเวลาเกือบสองปีในชมรมทำให้เราสนิทกันพอที่ผมจะพูดกับมันด้วยภาษาพ่อขุนได้

‘มันรู้!’

 “พี่ดูออกง่ายจะตาย” มันพูดเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร พร้อมคุ้ยๆ รูปจากกองส่งให้ผม
“อ่ะ เอาไป”
รูปนั้นเป็นรูปต้าที่ยิ้มหน้าระรื่นยืนอยู่ข้างน้องเรนะ เหมือนมีเข็มแทงในใจผมเบาๆ ถึงปากผมจะบอกว่าผมแฮ้ปปี้กับมัน แต่ก็ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองแอบชอบไปดี๊ด๊ากับคนอื่นหรอก
“เห้ย จะล้อเล่นอะไรก็ให้มันเบาๆ หน่อยไอ้ราฟา เคารพรุ่นพี่มั่ง”
ผมทำเป็นโมโหเพื่อข่มอาการของตัวเอง ตาคมๆ ของมันจ้องหน้าผมอย่างรู้ทัน แล้วก้มหน้าก้มตาเลือกรูปต่อไป ผมก็ทำเช่นกัน ทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบ

“พี่นพเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเองน่า” เจ้าของตาคมคู่นั้นพูดเบาๆ
“อือ” ผมตอบสั้นๆ และหวังว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นจริง

ชีวิตม.ปลายของผมจบด้วยการสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย ผมสอบติดคณะมนุษยศาสตร์ภาควิชาภาษาอังกฤษตามที่หวัง แต่ก็ใช่ว่าผมจะรีบไปเรียนทันทีหรอกนะครับ เหตุผมที่ผมต้องเร่งจบม.ปลายก็เพราะผมสอบทุนเอเอฟเอสไปยังประเทศยุโรปเหนือแห่งหนึ่งได้ ผมเข้ารับน้องพร้อมๆ กับนักศึกษารหัส 3701… จากนั้นก็ดร็อปเรียนไว้ 1 ปีการศึกษาและบินลัดฟ้าไปยังประเทศที่แสนหนาวเย็น


ปลายเดือนมิถุนายน 2538

ผมอยู่ที่นอร์เวย์มาเกือบครบเวลาตามโครงการแล้ว ผมมีโฮสต์ แฟมิลี่ที่แสนน่ารัก เพื่อนร่วมชั้นแสนดี ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย พบผู้คนใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ เรียนรู้ภาษาใหม่ ได้เปิดหูเปิดตามากกว่าที่เคยคิดไว้ ได้ลองเล่นสกีแม้จะล้มแล้วล้มอีกก็ตาม ได้เจออากาศหนาวแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอมาก่อน ได้เห็นพระอาทิตย์ที่ตกตอนตี 3 และขึ้นตี 5 และเห็นดาวเต็มฟ้าตอน 5 โมงเย็น ได้กินในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะกินอย่างเนื้อกวางมูสและเรนเดียร์(แต่นานๆ ครั้งนะ) ได้เห็นบ้านเรือนที่แปลกตา เรียนรู้วัฒนธรรมที่แปลกใหม่ ที่ไม่ได้อย่างเดียวก็คือแฟน (ฮา) ก็ต่อให้ผมจะมองหนุ่มสแกนดิเนเวียนหุ่นงามหน้าหล่ออย่างตาละห้อยแค่ไหน หนุ่มน้อยชาวไทยใจงามอย่างผมก็ไม่กล้าไปรุกเร้าใครหรอกครับ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่มองไอ้หน้าจืดอย่างผมด้วย


ในระหว่างนั้นผมก็ยังติดต่อกับพวกเพื่อนๆ ก๊วนป่วนทางจดหมายที่นานๆ มาที บางครั้งก็มีรูปถ่ายแนบมาด้วย (ครับ ยุคนั้นเรายังใช้จดหมายติดต่อกันอยู่ ไม่มีอีเมล์ ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟซบุ๊คเหมือนสมัยนี้ มันลุ้นมากเวลาเปิดซองจดหมายแต่ละครั้ง) ผมได้รู้ว่าเพื่อนๆ ในก๊วนของผมทุกคนสอบติดมหาวิทยาลัยตามที่หวังไว้ บางคนก็สอบเทียบไปก่อนแล้วเหมือนผม ไอ้ต้าสอบติดคณะทันตแพทย์ตามที่หวังแต่มันไม่ทันดีใจก็ได้เศร้าซะก่อนเพราะน้องเรนะของมันหันไปควงหนุ่มนักบาสรุ่นน้องพวกผมปีนึง 

‘มันหนีไปนั่งร้องไห้ไปกินแห้วกระป๋องไปที่อ่างเกษตรเลยนะเว้ย’

เบิร์ดจอมเม้าเขียนไว้ในจดหมายที่ผมอ่านไปยิ้มไปก่อนที่จะพับใส่ซองและเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง ผมกำลังจะกลับบ้านครับ


ต้นเดือนกรกฎาคม 2538

ผมกลับมาถึงประเทศไทยยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องวิ่งวุ่นกับการทำเรื่องลงทะเบียนหลังกำหนด ผมเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นเกือบหนึ่งเดือน ตอนนี้มีอะไรให้เรียนก็ต้องเรียนไปก่อนครับ วันนี้ผมมาหาอาจารย์ประจำวิชาหนึ่งเพื่อขอลายเซ็น ระหว่างเดินผ่านห้องพักอาจารย์ที่เรียงรายสองข้างทาง ผมก็สะดุดตากับป้ายชื่อหนึ่ง

“รศ. อ. สดศรี ปาเรร่า”

หือ? นามสกุลคุ้นๆ เหมือนราฟาเด็กแสบเลย ผมนึกถึงเจ้าของตาคมที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว ตอนนี้มันจะเป็นยังไงมั่งแล้วหนอ?  ไม่ได้ๆ มามัวคิดนั่นนี่อีกไม่ได้ ต้องรีบหาห้องอาจารย์ก่อน ว่าแต่อยู่ไหนหว่า? ระหว่างที่ยืนงงผมก็เห็นหญิงร่างท้วมแต่งตัวเรียบๆ คนหนึ่งยืนรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง เออ ถามป้าเค้าดีกว่า

“ขอโทษครับป้า ไม่ทราบว่าห้องอาจารย์...อยู่ที่ไหนครับ?”
ผมเห็นรอยยิ้มแว่บนึงในตาป้าที่ผมมั่นใจมากว่าเป็นนักการฯ หรือเจ้าหน้าที่ภาคฯ
“อ๋อ อยู่ชั้น 3 จ้ะ ไม่ใช่ชั้น 2”
“ขอบคุณครับป้า”

พวกคุณคงเดากันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป... วันรุ่งขึ้นคาบแรกซึ่งเป็นวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน “คุณป้านักการ” ของผมก็มายืนรออยู่หน้าห้องแล้ว
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ชื่อสดศรี ปาเรร่า อาจารย์มาสอนแทนอาจารย์...ชั่วคราวนะคะ” อาจารย์มองยิ้มๆ มาที่ผมซึ่งนั่งหน้าง่าวอยู่หน้าห้อง ผมนี่อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดแผ่นดินตรงไหนไว้เลยครับ


พฤศจิกายน 2538

เทอมแรกของผมผ่านไปอย่างทุลักทุเล การมาเรียนช้ากว่าคนอื่น 1 เดือนส่งผลพอสมควร ผมลงเรียนวิชาพื้นฐานของสาขาวิชาและลงเรียนธรณีวิทยาซึ่งเป็นวิชาบังคับเลือกวิชาเดียวที่เหลือที่ให้ผมลง วิชาอื่นๆ ที่เป็นตัวคณะนั้นไม่มีปัญหา แต่สำหรับวิชาธรณีฯ เจ้าปัญหานี้คะแนนมิดเทอมผมเละเทะมาก แต่ก็ตีตื้นมาจนได้ B ในตอนปลายเทอม เกรดเฉลี่ยผมในเทอมนั้น 3.6 เนื่องจากเจอแต่วิชาถนัด แม่ผมถึงขั้นโทรไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาให้แน่ใจเลยว่ามันคือ 3.60 แน่ๆ ไม่ใช่ 2.60

ช่วงก่อนปิดเทอมผมบังเอิญเจอกับอาจารย์สุทัศน์ซึ่งสอนธรณีวิทยาตัวที่ผมได้ B นั่นแหละครับ ผมค่อนข้างเป็นลูกรักเลยทีเดียวเพราะผมตั้งใจเรียน อาจารย์ถามผมว่าผมสนใจทำงานเป็น liaison ในช่วงกีฬาซีเกมส์ที่จะมาจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนปลายปีหรือเปล่า งาน liaison ที่ว่าคือเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับทีมนักกีฬา เป็นตัวกลางในการติดต่อกับฝ่ายอื่นๆ เป็นล่ามให้ จัดหายานพาหนะให้ ติดต่อร้านข้าว สรุปก็เป็นเจเนอรัล เบ๊นั่นแหละครับ ตอนนั้นผมแค่ยังไม่รู้ อาจารย์บอกว่าอาจารย์เป็นที่ปรึกษาของชมรมฟันดาบ ที่จริงแล้วอาจารย์จะใช้สมาชิกชมรมทำงาน แต่ด้วยความที่มีคนน้อยและภาษาไม่ได้แข็งแรงทุกคนเลยต้องหาคนนอกมาช่วย พอเปิดเทอม 2 อาจารย์สุทัศน์ก็นัดเรามาประชุมที่ชมรมซึ่งอยู่ใต้โรงอาหารใหญ่ของม. ผมมาสายนิดหน่อยเลยนั่งอยู่ด้านหลังสุดของห้อง หลังอาจารย์แจกแจงหน้าที่ๆ เราต้องทำแล้ว ก็จับคู่สมาชิกชมรมที่ภาษายังไม่แข็งมากกับคนนอกชมรมที่อาจารย์หามา บั้ดดี้ของผมชื่อพี่เป้ หนุ่มใต้ผิวเข้ม หน้าเข้มแต่ตาหวานและมีรอยยิ้มพิมพ์ใจ ขอบอกว่าพี่แกยิ้มทีผมงี้ใจเต้นระส่ำเลยทีเดียว (ยังไม่ลืมกันใช่ไหมว่าผมชอบผู้ชาย) ระหว่างที่ผมหลงเพริดไปกับฟันขาวๆ นั้น ผมก็แว่วเสียงบางอย่าง

“พี่นพ! ...พี่นพ...พี่นพโว้ย”    ใครมาโว้ยใส่กูวะ? ผมหันไปหาต้นเสียงก็เจอร่างสูงที่ยืนตระหง่านค้ำหัวผมอยู่ ร่างนั้นยังอยู่ในชุดนักเรียน
‘สงสัยจะเป็นเด็กที่อ. หามาช่วยงานล่ะมั้ง เด็กโรงเรียนเก่าเราซะด้วย’ ผมคิด แต่ผมว่าผมไม่รู้จักใครที่สูงเป็นเปรตขนาดนี้นะ...ดูอีกที หน้ามันก็ดูคุ้นๆ อยู่แฮะ ผมกวาดตาอ่านชื่อที่ปักไว้ใต้เข็มโรงเรียน

‘ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า’


“เห้ย! ไอ้ราฟา!” ผมตะโกนดังลั่นห้องจนทุกคนหันมามอง ไอ้ตัวดีกลั้นหัวเราะจนตัวโยน
“อะไรวะพี่ ผมหล่อขึ้นจนจำไม่ได้เลยเหรอ?” แม่ม ยังปากดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะเอ็ง
“อ้าว นี่รู้จักกันแล้วเหรอ?” อาจารย์สุทัศน์ถาม
“ครับ เป็นรุ่นน้องชมรมตอนอยู่โรงเรียนครับ” อาจารย์พยักหน้าหงึกหงัก แล้วปล่อยพวกผมสองคนคุยกันต่อ
“ไปไงมาไงวะเนี่ย? ทำไมมาอยู่ที่ชมรมนี้ได้? โดนลากมาช่วยงานเหรอ?”
“ผมอยู่ชมรมนี้อะ พี่...อืมมม์ ก็ไม่เชิง...”
สรุปว่า ชมรมนี้เค้าไปหาเด็กหน่วยก้านดีจากโรงเรียนเชิงดอย แล้วไอ้นี่มันสูงเข้าตาเค้าเลยโดนจิกมา มันเองก็สนใจอยากลองเล่นกีฬาชนิดนี้ดูเลยลองมา

“ลองเล่นมาได้ซักเดือนแล้วพี่ โหดเอาเรื่องเลยว่ะ” พวกเราคุยกันพักใหญ่ ระหว่างนั้นผมก็สำรวจใบหน้ามันไปด้วย หน้าตามันเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เบบี้แฟ็ทเริ่มหาย สันกราม โหนกแก้มเริ่มชัดแบบชาวตะวันตก แต่ที่ไม่เปลี่ยนคือตาคมวาวที่เหมือนจะมองทะลุจิตใจของคนที่คุยด้วย
“แล้วไปกินอะไรมาถึงได้สูงเป็นเปรตงี้วะ? สูงเท่าไหร่แล้วเนี่ย? งั้นพี่ก็เรียกมึง ไอ้เด็กเปรตได้เต็มปากเต็มคำแล้วสิ”
“ก็กินข้าวปกตินี่แหละ ตอนนี้สูง 188 เซ็นต์แล้ว ว่าแต่พี่เหอะ ไปอยู่เมืองนอกมาเป็นปี ทำไมยังเตี้ยเป็นลูกหมาเหมือนเดิมวะ? ฮ่าๆๆๆ”

ครับ...และนี่คือการกลับมาเจอกันอีกครั้งของผมกับไอ้เด็กเปรตราฟา


########################################################




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- Welcome to The Club ----


ธันวาคม 2538


และแล้วมหกรรมกีฬาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เริ่มขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผมและพี่เป้ได้ดูแลคณะนักกีฬาฟันดาบสากลจากประเทศสิงคโปร์ งานของเราก็อย่างที่ผมเคยเกริ่นมาก่อน ก็คือเบ๊ดีๆ นี่เอง เริ่มจากมาถึงบ้านพักนักกีฬาในตอนเช้า ไปติดต่อแผนกยานพาหนะเพื่อเอารถมารับคณะนักกีฬา จากนั้นพาไปยังสนามแข่งที่ รร.สตรีประจำจังหวัด และอยู่รอเผื่อเขาจะเรียกใช้อะไร จากนั้นก่อนเที่ยงก็นั่งรถกลับไปรับอาหารเที่ยง(ข้าวกล่อง) สำหรับนักกีฬาที่ฝ่ายโภชนาการที่บ้านพักนักกีฬา บ่ายก็นั่งเฝ้านักกีฬาต่อ เย็นพาไปกินข้าวหรือทำอะไรก็ตามที่เขาต้องการเช่นไปซื้อของ ไปเที่ยว แต่ต้องไม่ลืมที่จะคอนเฟิร์มตารางเวลาใช้รถและจำนวนข้าวกล่องที่ต้องการของวันถัดไปกับแผนกยานพาหนะและโภชนาการด้วย ก็ถือว่าต้องทำนั่นนี่เยอะเหมือนกัน โชคดีที่ทีมสิงคโปร์ที่ผมได้ดูแลนั้นไม่เรื่องมากนัก นักกีฬาส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งอัธยาศัยดีและเป็นมิตรเลยทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนเช้าที่บ้านก็จะไปส่งผมที่สนามกีฬา(ผมยังขับรถไม่เป็นครับ แหะๆ) ตอนเย็นก็จะได้ที่บ้านไปรับที่ชมรมบ้าง ไม่ก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์พี่เป้กลับบ้าน บอกตรงๆ ว่า...ผมชอบอย่างหลังมากกว่า
ระหว่างทำงาน ผมก็ได้เจอไอ้เด็กราฟาแทบทุกวันที่สนามแข่ง แต่มันไม่ค่อยว่างหรอกครับเพราะมันได้ดูแลทีมฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นทีมใหญ่และเป็นตัวเต็ง ซึ่งก็คือ...เข้ารอบลึกและต้องอยู่ถึงค่ำทุกวันในขณะที่ทีมผมเลิกเร็วตลอดเพราะตกรอบเร็ว (ฮา)

“เป็นไง วันนี้อยู่ถึงเย็นอีกป่าววะ?” ผมตบไหล่ทักทายไอ้เด็กโข่ง
“อือ สงสัยจะงั้นอ่ะ พี่ ดูท่าไอ้โกเมซมันจะเข้าอย่างน้อย 4 คนสุดท้ายแหงๆ” ราฟาพูดอย่างปลงๆ พร้อมจับจ้องไปยังนักกีฬาที่กำลังฟาดฟันกันอยู่บนปิสต์ (ปิสต์ piste คือแท่นยาว 14 เมตร กว้าง 1.5-2 เมตร ใช้เป็นพื้นที่แข่งฟันดาบสากล) โกเมซที่มันพูดถึงคือริชาร์ด โกเมซ นักกีฬาสุดหล่อขวัญใจสาวๆ ชาวฟิลิปปินส์ ที่ว่าหล่อนี่คือ...หล่อวัวตายควายล้มจริงๆ ครับ เพราะพี่แกเป็นดาราหนังอันดับ 1 ของฟิลิปปินส์เลยทีเดียวนะ ผมมองร่างกำยำบนปิสต์ที่ยกดาบทำความเคารพคู่ต่อสู้และคนดู จากนั้นถอดหน้ากากและสะบัดเหงื่อออกจากผมยาวสลวยประต้นคอ ใบหน้าหล่อเหลาสมชาย จมูกโด่งเป็นสัน ปากบางได้รูป...
‘โอย อยากทำงานทีมฟิลิปปินส์’ ผมอดคิดไม่ได้

“พี่นพ เห้ย น้ำหมากหกแล้ว” ไอ้เด็กเปรตเอามือตบๆ คางผม
“ไอ้บ้า น้ำหม่งน้ำหมากอะไรวะ” ผมทำโวยวายแก้เขินไปงั้น มันปิดปากหัวเราะคิกคัก
“แหม เห็นหล่อๆ เป็นไม่ได้เลยนะพี่ เก็บอาการหน่อย” อย่างน้อยมันก็ยังรักษาหน้าผมด้วยการกระซิบแซวเบาๆ
“แค่จ้องเพราะสงสัยว่าทำไมคนที่มีเชื้อสายสเปนเหมือนกันมันถึงหน้าตาต่างกันขนาดนี้ต่างหากล่ะ” ผมจิกมันไปเบาๆ
“อือ ผมหล่อกว่าเยอะ” มั่นหน้ามากนะไอ้น้อง ผมงี้หันไปมองมันหัวจดตีนเลย

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงสาวๆ ที่มาเชียร์โกเมซกรี๊ดกันสนั่น เมื่อดาราหนุ่มหันไปโปรยจูบให้แฟนๆ เออ หนวกหูดีแท้
“นพ กลับๆ ทางนู้นเริ่มเก็บของกันแล้ว” พี่เป้เดินมาเรียกผม ทีมสิงคโปร์ผมแข่งเสร็จแล้วกำลังเตรียมกลับหมู่บ้านนักกีฬา
“งั้นไปก่อนนะ ค่ำๆ เจอกันที่ชมรม” ผมหันไปบอกราฟา โดยปกติแล้วถ้าไม่ต้องไปทำหน้าที่พานักกีฬาไปไหนต่อไหนต่อตอนค่ำ พวกผมจะไปรวมกันที่ชมรมเพื่อหาข้าวเย็นกิน

มหกรรมกีฬาซีเกมส์ที่จังหวัดเชียงใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว การแข่งขันฟันดาบสากลจบลงแล้ว ระยะเวลา 1 สัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมาผมทำได้ความรู้จักกับกีฬาชนิดนี้ไปพอสมควร และบอกตรงๆ ว่าผมก็ชักสนใจกีฬาประเภทนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากส่งนักกีฬาทั้งหลายกลับ ทางชมรมจัดเลี้ยงขอบคุณสมาชิกและคนที่มาช่วยงาน ก็เป็นเลี้ยงง่ายๆ นั่งกินกันในชมรมซึ่งอยู่ใต้โรงอาหารใหญ่ของม. ทุกคนต่างเฮฮา เม้ามอยนักกีฬาและคณะทำงานจากกทม. หลังจากสัปดาห์กว่าๆ ผมก็คุ้นเคยกับพี่ๆ ชมรมทุกคนแล้ว โดยเฉพาะกับพี่เป้ที่กำลังคุยกับพี่เดียวประธานชมรมอยู่อย่างออกรสออกชาติ

“นพ...สนใจเข้าชมรมไหมวะ?” ผมกำลังมองตาเป็นประกายคู่นั้นกับรอยยิ้มสวยๆ ฟันขาวๆ อยู่เพลินๆ ตอนที่พี่เดียวถามขึ้น
“ไงก็ได้พี่” ผมเผลอตอบออกไปได้ไงก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็กำลังกรอกใบสมัครแล้ว
“จะไหวเร้อ?” เสียงไอ้เด็กแสบแซว
 “ขึ้นดอยดูนกทียังหอบแฮ่กๆ เหมือนจะตายเลย ไหวแน่นะ?”

นั่นสิ...ผมจะไหวไหมเนี่ย? โดยปกติผมไม่ชอบเล่นกีฬานัก วิชาพละก็เป็นหนึ่งในยาขมสำหรับผม แต่นั่นอาจเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้เรียนและผมไม่มีความสนใจมันนัก แต่นี่มันก็น่าลองอยู่ ผมสนใจกีฬาชนิดนี้จริงๆ นะ ไม่เกี่ยวอะไรกับตาหวานๆ คู่นั้นเลย สาบาน! อีกอย่าง มันก็แค่เข้าชมรม ไม่ใช่ว่าต้องไปเอาเกรดอะไร เล่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักจริงไหม?

“นี่ พี่นพ...มีของจะให้” ราฟาสะกิดพร้อมยื่นรูปมาให้ผมใบนึง มันเป็นรูปสุดหล่อริชาร์ด โกเมซถ่ายรวมกับพวกคณะทำงาน ในรูปเขากำลังทำแก้มป่องแข่งกับหน้ากลมๆ ของผมอยู่
“เห้ย ขอบใจมาก กำลังหาอยู่เลยว่าอยู่ที่กล้องใคร”
“กล้องพี่เดียวน่ะพี่ เห็นปุ๊บรู้เลยว่าพี่นพอยากได้แน่ๆ เลยขอแกอัดเผื่อให้”
ในยุคที่กล้องยังเป็นกล้องฟิล์ม การหารูปตัวเองสักใบนั้นต้องรอจนเจ้าของกล้องเอารูปไปอัดก่อน รูปนั้นจะออกมาดีไม่ดีก็ไม่รู้ ลุ้นๆ กันไป แต่นี่รูปออกมาสวยทีเดียว ผมติดมันไว้หน้ากระจกอยู่หลายปีเลยครับ

ผมนั่งอมยิ้มดูแก้มป่องๆ ในรูปนั้น นึกขอบคุณไอ้เด็กแสบอยู่ในใจ
“อ่ะ จ้องเข้าไป รูปซีดหมดแล้ว” แหม...จะปล่อยให้กูคิดดีๆ กับมึงสักนิดก็ไม่ได้นะไอ้ราฟา!



มกราคม 2539

จำที่ผมบอกว่าชมรมฟันดาบเข้าไปก็คงชิลๆ เล่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องเอาเกรดอะไรได้ไหมครับ? ผมคิดผิดทั้งเพ!!!
ปรากฏว่าชมรมฟันดาบที่ดูเล็กๆ โทรมๆ มีสมาชิกแค่สิบกว่าคนนี้เป็นหนึ่งในชมรมที่ทำเหรียญให้ม. ได้สูงที่สุดในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย เราได้ผลิตนักกีฬาระดับชาติหลายคนรวมถึงพี่เดียวประธานชมรมด้วยและทุกคนที่เข้าชมรมถือว่าเป็นนักกีฬาที่จะต้องไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย

“เอ้า วิ่งเข้าๆ อย่าโอ้เอ้ เร็วๆๆ” เสียงพี่เดียวจอมโหดตะโกนมาจากท้ายแถว พวกเรากำลังออกวิ่งจากชมรมไปยังอ่างเก็บน้ำของม. วนผ่านคณะวิทยาศาสตร์และกลับมายังอาคารกิจการนักศึกษา บอกได้เลยว่า...ไกล! ผมซึ่งปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนี่แทบอยากล้มตัวลงนอนตั้งแต่ครึ่งทางแล้วครับ

“พี่นพ ไหวป่าว จะถึงแล้วพี่” ราฟาที่วิ่งชิลๆ แซงผมที่แทบจะเดินอยู่แล้วถามขึ้น ผมยิ้มเพลียๆ ให้มันแทนคำตอบ น้องมันมาซ้อมกับพวกเราด้วยตอนหลังเลิกเรียน ถึงมันจะไม่ต้องเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยแต่ก็ยังมีการแข่งขันอื่นเช่นชิงแชมป์ประเทศไทยให้มันได้ลงแข่ง

หลังวิ่ง เราก็มาทำการซ้อมการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้ในการแข่งขัน เริ่มจากท่าเดินที่เรียกว่าสเต็ป ในการแข่งฟันดาบเราไม่สามารถเดินทื่อๆ เข้าหาคู่ต่อสู้ได้ ไขว้เท้าได้ไม่เกิน 3 ก้าว แต่ต้องเคลื่อนที่โดยการคืบเท้าไป เราเริ่มจากท่ายืนพื้นฐาน ขั้นแรกยืนหันข้างให้เท้าเป็นมุมฉาก ปลายเท้าด้านที่ถนัดชี้ไปด้านหน้า ปลายเท้าอีกข้างชี้ไปด้านข้างทำมุม 90 องศา จากนั้นก้าวเท้าข้างที่ถนัดไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ย่อเข่าลงทั้งสองข้าง โดยเข่าชี้ไปทางเดียวกับปลายเท้า แขนข้างถนัดยกขึ้นขนานกับขาด้านหน้า ส่วนแขนหลังยกขึ้นตั้งฉากกับไหล่ ในช่วงแรกพวกผมต้องยืนค้างท่านี้กันหลายนาทีเลยครับ สาหัสมาก จากนั้นก็เริ่มเดินโดยเตะเท้าไปด้านหน้า (ให้เหมือนเตะบอลนะ พี่เดียวบอก) เชิดปลายเท้าขึ้น ส้นลากไปกับพื้น จากนั้นตบปลายเท้าลง ลากเท้าหลังตามมาทั้งๆ ที่ยังย่อเข่าอยู่ ส่วนเวลาถอยหลัง เราลากยืดขาหลังไป เท้าติดพื้นแล้วดึงขาหน้ากลับมา ส้นติดพื้น ปลายเท้าเปิดเหมือนเดิม แล้วตบปลายเท้าลงเมื่อกลับสู่ท่ายืนมาตรฐานเหมือนเดิม อธิบายยืดยาวแต่ทำจริงๆ แค่ชั่วพริบตา ฟังดูเหมือนง่าย แต่ยากมาก เมื่อยมากกกกก ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนต้องสควอทค้างไว้พร้อมกับพยายามเดินไปด้วย ในช่วงแรกเราต้องทำท่านี้เดินวนไปกลับ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน

“โอ๊ยยยย จะตายแล้ว ปวดต้นขา ปวดเข่าอ่ะ” ผมนอนแผ่หราลงกับพื้นห้องทันทีที่เลิกซ้อม ราฟาที่สภาพสะบักสะบอมพอกันโยนเคาเตอร์เพนมาให้ผม
“อ่ะ เอาไป”
“แล้วมึงทาแล้วเหรอ?” มันยักไหล่ “ทาก่อนเลย...แก่แล้ว” ผมรีบกลืนคำขอบใจลงไปอย่างเร็ว ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย



ปลายกุมภาพันธ์ 2539

ผมเข้าชมรมมาได้สองเดือนแล้ว ผมใช้เวลากับที่ชมรมมากขึ้น ไปที่ซุ้มโรงเรียนน้อยลง (เด็กโรงเรียนเรายึดม้าหินอ่อนหน้าหอสมุดเป็นซุ้มประจำไปแล้วครับ) ช่วงเข้าม. ใหม่ๆ ผมใช้เวลาว่างที่ซุ้มโรงเรียนบ่อยๆ ด้วยหวังที่จะได้เจอไอ้ต้าบ้างแต่ด้วยความที่ว่างไม่ตรงกันทำให้เราห่างๆ กันไป ผมยังรับรู้ข่าวมันผ่านทางเพื่อนคนอื่นๆ บุคลิกอันโดดเด่นและนิสัยของมันทำให้ได้รับเลือกเป็นประธานชั้นปีซึ่งยิ่งทำให้มันไม่ว่างมาที่ซุ้มไปใหญ่ ผมก็เลยไม่รู้จะไปที่ซุ้มทำไม สู้ไปนั่งตากพัดลมเย็นๆ ที่ชมรมดีกว่า ผมจึงไปขลุกอยู่ที่ชมรมเมื่อว่างจากการเรียน ผมเริ่มสนิทกับพี่ๆ ในชมรม โดยเฉพาะพี่เดียวซึ่งเป็นเหมือนไอดอลของผมและราฟา ส่วนพี่เป้ตาหวานของผมหายแซ๊บเข้ากลีบเมฆไปเมื่อหมดช่วงซีเกมส์ ปรากฏว่าพี่แกเรียนหนักและกำลังจะเริ่มฝึกงานก็เลยไม่ว่างมาชมรมแล้ว อดเห็นฟันขาวๆ เลยเรา

“นี่เอ็งสอบเสร็จแล้วเหรอวะ?” พี่เดียวถามผมที่นอนกลิ้งอ่านการ์ตูนอยู่บนปิสต์เหล็กอันเดียวที่ชมรมมี
“เสร็จแล้วพี่ หมดเวรหมดกรรมไปอีกเทอมแล้ว” ผมแอบมองพี่เดียวผ่านหนังสือที่บังหน้าไว้ พี่เดียวเป็นหนุ่มหน้าไทยแท้ๆ โหนกแก้มสูง ตาคมกริบ จมูกโด่ง ปากหนา

‘หน้าเหมือนนักรบโบราณ’ ผมคิดในใจ

พี่เดียวเตี้ยกว่าราฟาเล็กน้อยแต่ล่ำสันกว่า แผงอกกว้างแต่เอวคอดเป็นตัว V หุ่นดีจนผมอิจฉา ผมมองตัวเองที่เตี้ยตันอย่างขัดใจ ผมต้องหุ่นดีมั่งให้ได้! อ้าว ผมยังไม่ได้บอกพวกคุณเหรอ? ผมตุ้ยนุ้ยมาแต่เด็กครับ พอขึ้นม.ปลายถึงได้เพรียวลงมาหน่อย แต่ก็ยังถือว่าเจ้าเนื้อเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ก็ผมมันขี้เกียจออกกำลังกายครับ

“ลงซัมเมอร์ไหม เอ็งน่ะ” พี่เดียวถาม
“ลงพี่”
“ดี เย็นมาซ้อมด้วย” ห้ะ? เดี๋ยวนะ ซัมเมอร์ก็ต้องซ้อมเหรอ?
“...กรกฎาแข่งชิงแชมป์ประเทศไทย เอ็งต้องไปด้วย”

เวรแล้ว ผมเพิ่งเริ่มเล่นฟันดาบสากลได้ไม่ถึงสามเดือน สเต็ปก็ยังไม่คล่อง พี่จะให้ผมลงแข่งแล้วเร้อ?
“จะดีเหรอพี่?” ผมพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมส่งสายตาเว้าวอน
“เห้ย แค่ไปลองสนาม ไม่ต้องคิดมาก ถ้าไม่ลงแข่งเลยก็จะไม่ได้ประสบการณ์อะไรนะ...เอ็งด้วย ไอ้เปรตราฟา” พี่เดียวหันไปชี้หน้าร่างโย่งที่เพิ่งแบกเป้เดินเข้าชมรมมา ไอ้ตัวแสบทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับเมื่อพี่เดียวขยายความต่อ
“ตายแหงเลยว่ะ ไปเป็นเป้าให้เค้าจิ้มชัวร์” ผมโอดครวญกับน้องมัน
“อ้าว นึกว่าชอบ”
“ชอบอะไรวะ?”
“โดนจิ้มไง” ร่างสูงรีบเผ่นแผล็วไปก่อนที่จะโดนผมถีบโครมเข้าให้ ผมวิ่งไล่เตะมันรอบห้อง มันกลายเป็นภาพที่ชินตาสำหรับสมาชิกคนอื่นไปแล้ว แต่ถามว่าผมเคยเตะโดนมันซักทีไหม ไม่ครับ ขามันยาวกว่าผมเยอะ

“ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย!” ผมยืนหน้าแดง หอบแฮ่กๆ ไป คราวนี้ผมเคืองจริงๆ นะ มันเองก็เหมือนจะรู้สึกได้เลยทำหน้าจ๋อย
“โทษทีพี่ เล่นแรงไปหน่อย อย่าโกรธผมนะ นะๆๆ” มันลงนั่งนวดๆ ขาให้ผม ผมโกรธมันได้ไม่นานหรอกครับ รู้ๆ นิสัยกันอยู่ว่ามันปากหมาตามประสาเด็กไปงั้นแหละ แต่บางทีก็ต้องปรามๆ กันบ้าง
“มึงน่ะ เล่นอะไรดูที่ทางบ้าง คนเต็มห้องแบบนี้ ไว้หน้ากูมั่งเหอะ”
ผมบ่นมันเบาๆ ก็ผมยังไม่ได้เปิดตัวแกรนด์ โอเพนนิ่งให้คนในชมรมรู้...ที่จริงแล้ว นอกจากที่บ้านที่ผมเคยเกริ่นๆ ให้พ่อแม่ฟังและผ่านดราม่ามหาศาลมา ผมไม่เคยเปิดตัวให้ใครรู้เลยมีแต่ไอ้เด็กเซนส์ไวคนนี้แหละที่สัมผัสได้ ผมไม่เคยจีบ ไม่เคยรุกใคร กับไอ้ต้า ผมแค่เก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเอง ส่วนพี่เป้...แค่ปิ๊งๆ ครับ



พฤษภาคม 2539

“สเต็ปๆ ลันจ์” พี่เดียวตะโกนสั่งเหล่านักกีฬา พวกเราเดินสเต็ป 2 ครั้งก่อนจะเตะขาหน้าและเหยียดขาหลังตรงุให้ตัวพุ่งไปด้านหน้า นี่เป็นท่าจู่โจมมาตรฐานของฟันดาบ พวกผมกำลังซ้อมหนักในช่วงซัมเมอร์เพื่อเตรียมแข่งชิงแชมป์ประเทศไทย
“ทำ 20 ครั้ง 5 ยก จากนั้นจับคู่กันแพรี่ ริโพสต์” parry – riposte คือการเคาะปลายดาบคู่ต่อสู้เพื่อปัดป้องและพุ่งปลายดาบเราตามเข้าไป
“เหนื่อยอ่า” กุ้ง สาวปี 1 คนเดียวประจำชมรมนั่งแปะลงข้างๆ ผม
“อือ เมื่อยแขนสุดๆ เลยอ่ะ พี่เดียวโหดโคตร” ผมบ่นดังๆ ให้เข้าหูพี่เดียวที่ยืนหัวเราะหึๆ ดูพวกผมอยู่ ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาผมได้ทำความรู้จักกับสมาชิกรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ ซึ่งมีกุ้ง สาวพยาบาลร่างเล็ก วู้ดดี้ หนุ่มศึกษาฯ และเหยี่ยว หนุ่มสังคมร่างบางที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย

“ไอ้นพ แต่งตัว”   ห้ะ? แต่งอะไร?
“วันนี้จะให้เอ็งลองลงเบาท์ดู”
เรือหายละครับ สำหรับชมรมผมลงเบาท์คือการลงซ้อมประดาบกับคนอื่นเหมือนการแข่งจริงซึ่งผมยังไม่เคยทำเลย พี่เดียวตระโกนถามว่าใครอยากจะมายำผมบ้าง (จริงๆ แกก็พูดว่าลงเบาท์แหละครับ แต่ในหูผมมันได้ยินว่า ยำ) นั่นเลย ไอ้ราฟาตัวดี ชูแขนขึ้นสองข้างเลย ผมหันไปแจกกล้วยแบบไม่มีเสียงให้มัน
“ไม่ได้ๆ ไอ้ราฟา เอ็งไม่ต้อง เดี๋ยวไอ้นพมันเสียกำลังใจหมด งั้นเดี๋ยวลงกับพี่แล้วกัน” พี่เดียวหันมาพูดยิ้มๆ มันหนักกว่าเดิมไหมวะพี่????

พี่ๆ คนอื่นจับผมแต่งตัว ตอนซ้อมเราไม่ใส่ชุดเต็มตัวนัก มักใส่กางเกงวอร์มแล้วสวมเกราะอ่อนและแจ็คเก็ตฟันดาบทับ ถ้าเป็นชมรมที่อื่นซึ่งมีงบประมาณสูงก็จะเป็นเสื้อเกราะอ่อนบางๆ และกางเกงและแจ็คเก็ตมาตรฐานของสมาพันธ์ฟันดาบสากลซึ่งมีประสิทธิภาพในการรับแรงกระแทกสูง แต่สำหรับชมรมผมซึ่งมีเบี้ยหอยน้อยนิด เกราะอ่อนคือเสื้อกั๊กนวมหนา ส่วนกางเกงและเสื้อแจ็คเก็ตนั้นใช้ผ้าอย่างหนาตัดเย็บโดยร้าน นXเทเลอร์ครับ จากนั้นเราก็ต้องใส่ถุงมือในข้างที่ใช้จับดาบและใส่หน้ากาก

ดาบสากลประกอบด้วยดาบ 3 ชนิด คือ เอเป้ ฟอยล์ เซเบอร์... ฟอยล์และเอเป้ทำแต้มด้วยการแทงอย่างเดียว ส่วนเซเบอร์ใช้ตัวดาบฟันได้ เป้าของฟอยล์และเซเบอร์มีจำกัดจึงต้องใส่แจ็คเก็ตที่เป็นใยเหล็กและหนีบตัวนำไฟฟ้าไว้ที่เสื้อ (และที่หมวกด้วยสำหรับเซเบอร์) อีกทั้งเวลาทำคะแนนมีกติกาหยุมหยิมกว่าเช่นถ้าแทงโดนทั้งคู่ ให้ดูว่าใครเป็นฝ่ายเข้าทำ ส่วนเอเป้ที่ผมเล่นนั้นแทงได้ทั้งตัวจร้า กติกาก็ง่ายกว่า จิ้มโดนก็ได้แต้ม ง่ายๆ แค่นั้น

“ออง การ์ด - แอทร์ วู เพร้ซ์? – อัลเหล่ะซ์”  ตั้งท่า – พร้อมยัง? - เข้าทำ เสียงพี่ตูน ปู่ชมรมที่ทำหน้าที่กรรมการสั่ง
ผมสเต็ปอย่างงุ่มง่ามตามที่เรียนมา พยายามทำระยะเข้าใกล้พี่เดียวให้มากที่สุด

‘จึ้ก’

ครับ...เต็มหน้ากากเลยครับ ผมโดนนะ พี่แกชักขาหลบดาบผมแล้วเหยียดแขนสุดจนปลายดาบจิ้มหัวผมเต็มๆ ท่าแกสวยเหมือนมาทาดอร์แทงวัวอ้วนเลยครับ มันไม่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผมสักนิดเลยนะพี่

14 แต้มผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมได้มาตั้ง 2 แต้มอย่างฟลุ้คๆ ผมไม่ยอมให้แกขึ้น 15 แต้มไปง่ายๆ แน่ ผมตั้งการ์ด แต่พอสิ้นคำว่าอัลเหล่ะซ์ พี่เดียวลันจ์เข้าหาผมอย่างเร็ว ผมรีบถอยแต่ขาเจ้ากรรมดันพันกันจนผมเซผงายหลังตกปิสต์ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ผมทำใจแล้วว่าต้องล้มฟาดพื้นแน่ๆ แต่ก็มีอ้อมแขนกว้างรับร่างผมไว้ก่อนล้ม

“ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะพี่ พี่กุ้งเกือบแบนแล้ว”
ไอ้เด็กเปรตมันจิกผมอีกแล้วครับพี่น้อง อุตส่าห์จะขอบคุณซะหน่อยที่มันถลามารับผมเป็นคนแรก ผมรีบดันตัวมันออกแล้วขอโทษขอโพยกุ้งที่เกือบโดนผมเหยียบ พี่เดียวซึ่งดูตกใจกับเหตุการณ์นี้ก็เลยสั่งเลิกกอง เอ๊ย เลิกเบาท์เพราะผมก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อแล้ว
“ไปๆ เปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้ากัน คูลดาวน์แล้วไปกินข้าว” พี่เดียวสั่ง

พวกเราแห่แหนกันไปกินข้าวที่ตลาดโต้รุ่งเล็กๆ ในม. ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของชาวชมรม ผมนานๆ ทีก็ไปกับเขาเพราะต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน ถ้าวันไหนไปก็จะซ้อนมอไซค์พี่ๆ สักคนกลับไปบ้าน บ้านผมกับราฟานั้นไม่ไกลกัน ห่างกันแค่รั้วม. กั้น ราฟาอาศัยอยู่ในบ้านพักมหาวิทยาลัยกับพ่อแม่ซึ่งเป็นอาจารย์ แม่มันก็อ. สดศรีนั่นแหละครับ จำอ. สดศรีได้ไหม? ที่ผมนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่น่ะครับ พออาจารย์รู้ว่าผมอยู่ชมรมฟันดาบก็ดีใจใหญ่แล้วฝากฝังมันไว้กับผมดิบดี ถ้าที่บ้านผมมารับมันก็นั่งรถกลับไปกับผมด้วย แม่หรือน้องผมที่มารับก็จะแวะหย่อนมันก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน เราทำแบบนี้กันจนเป็นกิจวัตรครับ


####################################


เรื่องของชมรมฟันดาบนี้ขอเป็นการ Tribute ให้เรื่อง "พี่ไม่หยิ่ง รักจริงหวังฟัน / น้องมันบ้า หาเรื่องฟันพี่" ของพี่แกล้ม Belove ซึ่งเป็นนิยาย Y เรื่องแรกที่เราได้อ่านและทำให้รู้จักบอร์ดนี้ค่ะ

ในเรื่องนี้ตัวละครทุกตัวเป็นการสมมติขึ้น ยกเว้นอิตาริชาร์ด โกเมซนะคะ ตอนซีเกมส์ที่เชียงใหม่ไรท์กรี๊ดแกจริงๆ ค่ะ หล่อวัวตายควายล้มมาก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 06:07:55 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- Vuelve ##
«ตอบ #4 เมื่อ13-07-2017 03:00:54 »



Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- Vuelve ----



5 กรกฎาคม 2539


เราเพิ่งกลับมาจากการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทยครับ ผมงี้ไปอย่างเสือ กลับอย่างหมาเลยทีเดียว ตอนแรกไปผมมั่นใจแล้วว่าผมเริ่มคล่องแล้ว ลงเบาท์ได้แต้มจากพวกรุ่นพี่มาบ้าง และผลัดกันแพ้ชนะกับพวกรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อไปแข่ง ผมแพ้รวดตกรอบแรก มีบางเบาท์ที่ได้ 0 คะแนนก็มี

“เอ็งจะคิดมากทำไมวะ? เจอไอ้เอกจะไม่ได้แต้มก็ไม่แปลก มันทีมชาตินะเฟ้ย”
พี่เดียวว้ากใส่ผม พี่ๆ ชมรมนี้เค้าให้ความรักกับรุ่นน้องกันแบบนี้แหละครับ
“ทีไอ้ราฟามันยังเข้ารอบลึกเลยอ่ะ”
ผมตัดพ้ออย่างเซ็งๆ ราฟาเข้าจนถึงรอบ 4 คนสุดท้ายประเภทเยาวชน ด้วยความสูงและถนัดซ้ายทำให้มันเรียกคะแนนจากคู่ต่อสู้ได้ไม่ยาก
ผมงึมงำ “เลิกซะดีไหมเนี่ย?”

โป๊ก เพี๊ยะ...เอ่อ พี่เดียวเขกหัวผมนี่พอเข้าใจ แต่อิฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ตบไหล่ผมแทบเดี้ยงนี้มันอาร้ายยยยย

“ใจน้อยเป็นสาวๆ ไปได้น่า พี่นพ” ไอ้เด็กแสบเจ้าของฝ่ามือพิฆาตพูดพลางนั่งลงข้างๆ ผม
“เอ้า กินน้ำ ผมเลี้ยง” ผมรับขวดน้ำเขียวมาดูดอย่างใจลอย มันยังอุตส่าห์จำได้ว่าผมกินแต่น้ำเขียว
“เอ็งคุยกับมันไปก่อนนะ ราฟา พี่ไปเก็บของก่อน”
พี่เดียวลุกไป พี่แกได้ที่ 2 จากการแข่งเอเป้โดยเฉือนแพ้พี่เอกมือหนึ่งทีมชาติไปแต้มเดียว แล้วยังเข้ารอบ 4 คนสุดท้ายประเภทฟอยล์

“น่าๆ อย่าพึ่งท้อ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน พี่นพ อย่าพึ่งเลิกเลย เดี๋ยวก็ดีเอง”
นี่ผมต้องให้เด็กมันปลอบเป็นครั้งที่สองเหรอ? ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดมันตอนอยู่โรงเรียน
‘...พี่นพเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเองน่า...'
มันจะรู้ไหมนะว่าคำพูดมันวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ผมนึกท้อใจ
“เห็นแก่แม่มึงหรอกนะ ไอ้ราฟา กูจะอยู่ต่อเป็นเพื่อนก็ได้” ไอ้ราฟายิ้มอย่างดีใจ ขี้เหงาเหมือนกันนะมึงอ่ะ

“เออ ลืมไป...เอ้า นี่” ผมยื่นห่อแบนๆ ห่อนึงให้มัน
“สุขสันต์วันเกิดว่ะ”
“จำได้ด้วย?”
 มันแกะห่อดู ข้างในเป็นหนังสือที่ผมรู้ว่ามันกำลังตามหาอยู่ ผมไปเจอเลยแอบซื้อไว้ หวังว่ามันจะไม่กลับไปซื้อไว้ก่อนนะ
“ขอบคุณพี่ แหม อุตส่าห์จำได้ว่าผมกำลังตามหาอยู่” มันยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“พอดีไปเจอน่ะ...โอ๊ะ ไปซ้อมๆ พี่เดียวเรียกแล้ว”


ตุลาคม 2540

จากวันนั้นที่ผมบอกราฟาว่าจะอยู่ต่อก็ผ่านมาสองปีแล้วครับ ผมขึ้นปี 4 แต่ไปเรียนกับพวกปี 3 เกรดที่เคยสวยหรูในช่วงปี 1 เทอม 1 ก็ค่อยๆ ลดลงจนถึงระดับปกติของผมด้วยความที่วิชาต่างๆ ยากขึ้นและความขี้เกียจตัวเป็นขนของผมเอง ผมขลุกอยู่กับชมรมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง มันเหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ของผมไปแล้ว ผมแทบไม่ย่างกรายไปที่ซุ้มโรงเรียนอีก เงาของต้าที่เคยอยู่ในใจผมจางหายไปเกือบหมด กระทั่งข่าวที่ว่ามันคบกับน้องปี 1 ดาวคณะก็ไม่ได้ทำให้ผมปวดใจได้อีก แต่มันกลับมีเงาสูงๆ ของอีกคนมาแทน

คนๆ นั้นคือพี่เดียวครับ...

เวลา 2 ปีที่คลุกคลีกับชมรม ผมประทับใจความเก่งและความมุมานะของพี่เขามาก แม้จะเป็นนักดาบภูธรซึ่งแทบไม่ได้รับการสนับสนุน พี่เขาได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นนักฟันดาบระดับท็อปของประเทศและได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ปลายปีนี้ในฐานะทีมชาติแม้ต้องแลกมากับการที่ต้องเทียวขึ้นลงไปแข่งเก็บคะแนนที่นั่นที่นี่และต้องดร็อปเรียนเป็นปีก็ตาม ว่าแต่ตอนนี้ผมกำลังเศร้าเพราะพี่เขาต้องไปเก็บตัวที่กทม. มาหลายเดือนแล้ว คิดถึงจังน้อ

แต่ผมก็ยังเป็นผมครับ...เป็นแค่ผู้เฝ้ามอง เป็นแค่ผู้ตาม แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็ดีใจแล้ว พี่เดียวเองก็มีแฟนสาวที่รักกันมากอยู่แล้ว ผมก็เป็นได้แค่น้องที่ดีครับ ในช่วงสองปีมานี้ ฝีมือดาบผมไม่ได้พัฒนาขึ้นเท่าไหร่ แต่ผมค้นพบความสามารถใหม่ในการเป็นคู่ซ้อม (ก็คือเป้านั่นแหละ) ที่ดี พี่เดียวบอกว่าผมมีเซนส์ในด้านนี้ แกเรียกให้ผมมาเป็นคู่ลงเป้าทุกครั้งที่กลับมา ผมงี้ถวายหัวทำให้เลย ส่วนไอ้เด็กราฟาที่เทิดทูนพี่เดียวเป็นไอดอลขนาดเรียกตัวเองเป็นลูกศิษย์อันดับ 1 ของพี่เดียวนั้นทำผลงานได้ดีทีเดียว มันลงแข่งในรุ่นผู้ใหญ่แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นเข้าชิงแต่ก็มักเข้าไม่ต่ำกว่ารอบ 8 คนสุดท้าย แต่ด้วยความที่อยู่ไกลทำให้ไม่ได้ลงไปแข่งบ่อยเท่าพวกที่อยู่กทม. อันดับจึงยังไม่ดีถึงขั้นติดทีมชาติได้

วันนี้ผมมาชมรมเพื่อเก็บตัวซ้อมสำหรับไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยวันแรก ผมที่เดินผิวปากลั้นลามาชะงักกึกเมื่อเห็นร่างสูงนั่งตะคุ่มๆ อยู่บนบันได 
‘ไอ้ราฟา มานั่งทำอะไรมืดๆ ไม่เปิดไฟหว่า?’ 

ท่าทางมันจะไม่ได้ยินเสียงผมที่เดินเข้าใกล้ 'เสร็จกรูละ' ผมยิ้มอย่างชั่วร้าย มือเปิดซิปกระเป๋าหยิบถุงมือฟันดาบออกมา อิถุงมือเนี่ยเป็นแหล่งสะสมเหงื่อ หลังจากใช้ไปหลายๆ วันจะเกิดกลิ่นเหม็นอับล้างโลกขึ้น ผมอ้าปลายถุงมือกว้าง แล้วโปะไปที่จมูกมันแล้ววิ่งหนีอย่างเร็วเพราะมันต้องลุกมาไล่เตะหรือด่าแน่ๆ แต่ผิดคาด มันแค่ปัดออกแล้วนั่งซึมกระทืออยู่มืดๆ ต่อ ผมเอื้อมมือไปกดสวิตช์เปิดไฟ

“มาไมวะ? นี่มันเก็บตัวไปกีฬามหา’ลัย มึงไม่ต้องมาก็ได้ไม่ใช่เหรอ? แล้วมานั่งทำอะไรมืดๆ?”
“ไม่อยากอยู่บ้านว่ะพี่นพ มันเบื่อๆ”
มันตอบเนือยๆ ผิดวิสัยแสนแสบซนของมัน พร้อมขยับหูฟังซาวด์อะเบาท์ให้เข้าที่ (เดี๋ยวนะ ผู้อ่านสมัยนี้รู้จักซาวด์อะเบาท์อยู่ไหม? มันคือไอพอดของยุค 90 เอาไว้เล่นเทปคาสเซ็ทน่ะครับ)
“ฟังอะไรอยู่น่ะ? ขอฟังด้วยสิ” มันยื่นหูฟังให้ผมข้างนึงแทนคำตอบ
“เพลงภาษาสเปนนิ เสียงนี้คุ้นๆ คนนั้นใช่ป่าว ที่หล่อๆ เท่ๆ ร้องเพลง Maria อ่ะ...ชื่ออะไรนะ”
“ริคกี้ มาร์ติน” ผมพยักหน้าเพราะจำได้

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมกับราฟาสนิทกันมากขึ้น มันเปิดโลกให้ผมรู้จักเพลงภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาพ่อของมัน หลายครั้งที่มันเอาเทปมายัดเยียดให้ผมซึ่งก็ไม่ขัดเพราะว่าหาฟังยากอยู่แล้ว แม้จะฟังไม่รู้เรื่องผมก็ชอบเพราะเพลงภาษาสเปนนั้นเปี่ยมด้วยอารมณ์ไม่ว่าจะเพลงช้าหรือเพลงเร็ว อย่างเพลงที่กำลังฟังอยู่นี้ เสียงหวานๆ ของริคกี้ มาร์ตินในเพลงนั้นฟังเศร้าบาดใจ
“เนื้อเพลงท่อนนี้หมายความว่าไงอ่ะ?” ผมถามไปเรื่อยเปื่อยถึงท่อนฮุคที่อารมณ์มาเต็ม โดยปกติมันไม่ค่อยตอบผมหรอกเพราะมันขี้เกียจแปล ผมมักได้คำตอบว่า ‘ฟังๆ ไปเหอะน่า’ หรือ ‘ไม่แปลอ่ะ บอกไปเดี๋ยวก็ลืม’

“Vuelve, que sin ti la vida se me va
Vuelve, que me falta el aire si tú no estás
Vuelve, nadie ocupará tu lugar
Sobra tanto espacio si no estás
No paso un minuto sin pensar”

(Vuelve - Ricky Martin  https://www.youtube.com/watch?v=p7QYo-9SlP0)


“กลับมาเถิด หากไร้เธอชีวิตฉันเหมือนหลุดลอยไป
กลับมาเถิด หากไร้เธอ ฉันก็ไร้อากาศหายใจ
กลับมาเถิด ไม่มีใครแทนที่เธอได้
มันช่างเวิ้งว้างว่างเปล่าเมื่อเธอจากไป
ไม่มีสักนาทีที่ฉันไม่คิดถึงเธอ”

นั่นปะไรล่ะ ท่านผู้ชม...

“นี่มึงอกหักมาเหรอวะ?” ผมถามเบาๆ มันพยักหน้าน้อยๆ
“ออยล์อ่ะ พี่”
มันพูดถึงสาวน้อยเพื่อนร่วมห้องที่มันแอบชอบมาตั้งแต่ม. ต้น ผมเห็นหยาดน้ำตาเกาะพราวบนขนตายาวเป็นแพของมัน

ผมกับมันเป็นพันธุ์เดียวกัน ภายนอกเราอาจดูร่าเริงเปิดเผยเข้ากับคนง่าย แต่จริงๆ พวกเราไม่ชอบแสดงความรู้สึกลึกๆ ให้คนรู้ โดยเฉพาะกับคนที่แอบรัก อย่างในกรณีนี้ มันแอบชอบเค้ามานานแต่ก็แค่คอยอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อนที่ดีไปโดยไม่เคยบอกออกไปว่าจริงๆ แล้วรู้สึกยังไง อีกฝ่ายหนึ่งก็เหมือนจะแอบมีใจให้มัน(มันเองก็เพิ่งมารู้ทีหลัง) แต่ด้วยความที่มันไม่เคยแสดงออกให้เค้าเห็น น้องเค้าเลยไม่รอแล้วหันไปคบกับรุ่นพี่ที่มาจีบ

 “ผมมันโง่ มัวแต่ปากหนัก ไม่ยอมพูดอะไร สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรให้คว้า”
มันพูดพลางเอามือปาดน้ำตาที่เอ่อตาคมวาวที่เคยมีประกายระยิบระยับ ผมอดไม่ได้ต้องเอามือไปโอบกระชับไหล่มันแล้วตบเบาๆ
“เอาน่ะ...เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทำอะไรก็คงไม่ได้...”
มันส่งสายตาขุ่นมาให้ผม อ้าปากเตรียมด่า แต่ก็เปลี่ยนทีท่าเมื่อผมพูดต่อว่า
“...ไอ้ราฟา มึงเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเองน่า”
“จำได้ด้วย?” มันคลี่ยิ้มบางๆ ทั้งน้ำตา
“อื้อ กูจำได้ แล้วกูท่องมันทุกครั้งที่รู้สึกท้อใจ วันนี้ขอคืนมันให้มึงว่ะ จำไว้นะ มึงเป็นคนดี สิ่งดีๆ จะต้องมาหามึงสักวันแน่นอน”

ไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่รู้สึกว่าใบหน้านั้นแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อย ผมแอบมองหน้ามัน ปกติผมไม่ค่อยได้พิจารณาหน้ามันมากนัก เพราะ...แหม จะให้ไปจ้องหน้าเด็กรุ่นน้องที่เห็นกันมาตั้งแต่มันอยู่ ม. 1 ก็คงแปลกๆ แต่วันนี้ได้โอกาสดูหน้ามันเต็มๆ แก้มที่เคยป่องแบบเด็กๆ นั้นหายไปแล้ว แนวสันกรามและโหนกแก้มชัดขึ้น ทำให้หน้าตานั้นดูแกร่งสมชายรับกับจมูกโด่งได้รูปแบบชาวตะวันตก ริมฝีปากบาง แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คงเป็นตาคมสวยที่ทอเป็นประกายอยู่เป็นนิจ
‘ตาวิบวับแบบหนุ่มละตินสินะ’ ผมนึกในใจ นอกจากรูปร่างที่ยังดูเก้งก้างเหมือนเด็กหนุ่ม หน้าตาคมสันนั้นดูเป็นชายเต็มตัวแล้ว ผมไม่เคยมองมันหน้าตาดีเลยจนกระทั่งวันนี้
‘เห้ย ไอ้นพๆ น้องมันกำลังเศร้า มึงก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปวะ’ เสียงในหัวผมเตือน

“อะไรติดหน้าผมเหรอพี่ จ้องอยู่ได้” อ่ะ เดจาวูสิ ผมหน้าร้อนวูบ เผลอตัวไปจนได้
“ไม่มีไร้ แค่มองเด็กขี้แยเท่านั้นเอง” ไอ้ตัวดีขยับปากจะด่าอีก อ๊ะ ด่าได้ก็แสดงว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่วันนี้เค้าหายไปไหนกันทั้งชมรมน่ะหกโมงกว่าแล้วยังไม่เห็นมีใครมามา”                                                                             
“เอ๊า ลืมไปแล้วเหรอ เค้าไปออบขานกันหมด งดซ้อม 2 วัน” อ่ะ ผมลืมไปซะได้ ผมไม่ได้ไปเพราะต้องไปทำธุระกับที่บ้าน
“ลืมไปซะสนิทเลยว่ะ งั้น ไป เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวฉลองมึงอกหัก อยากกินอะไรสั่งเต็มที่ กินไหนดี? โบ้ทหน้าม. ดีไหม?...”


################################


ในเรื่องนี้จะมีเพลงภาษาสเปนพร้อมคำแปลแทรกบ้าง แต่เป็นการแปลจากเนื้อเพลงที่แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกที คำแปลอาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับจริงบ้าง อีกทั้งอาจไม่สละสลวยต้องขออภัยในความอ่อนด้อยภาษาของไรท์ด้วยนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 05:10:48 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- First Time ##
«ตอบ #5 เมื่อ13-07-2017 03:08:09 »



Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- First Time ----


กุมภาพันธ์ 2541



“ปีหน้ากูจะไปเมกานะ” ไอ้ราฟาที่ก้มหน้าก้มตากินขนมอยู่เงยหน้ามามอง
“ได้ไงอ่ะ ปีหน้ายังไม่จบไม่ใช่เหรอ?” มันถามงงๆ
“ก็ที่สอบทุนแลกเปลี่ยนของภาคฯ ไว้ไง”
มันถึงได้บางอ้อ แม่มันเป็นอ. ที่ภาคฯ ก็ต้องรู้จักทุนนี้อยู่ มันเป็นทุนให้เปล่าจากวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ แลกกับการส่งนักศึกษาหลายคนที่นั่นมาและเปลี่ยนระยะสั้นที่ม.เรา
“ไปนานเท่าไหร่อ่ะพี่?”
“น่าจะ 10 เดือนนะ 1 ปีการศึกษา”
“ไปกันหมดเลยอ่ะ” มันงึมงำ
ผมหัวเราะยกมือขยี้หัวมัน ไอ้เด็กตัวโตนี่มันขี้เหงาครับ
“...พี่เดียวก็จะจบซัมเมอร์นี้ พี่นพก็จะไปนอก เหลือแต่พี่กุ้งกับพี่เหยี่ยวที่ก็อยู่ปี 4 กันแล้ว ชมรมเงียบแน่เลย”
จริงๆ ชมรมเราก็มีเด็กๆ รุ่นใหม่เข้ามาเหมือนกัน แต่ไอ้ราฟาก็ไม่สนิทกับพวกนั้นเท่ากับพวกผม
“ไปแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็มาแล้ว ว่าแต่มึงเหอะ สอบเอ็นท์ฯ เข้าม. ให้ได้ละกัน อ.สุทัศน์แกหมายมั่นปั้นมือให้มึงเป็นความหวังของชมรมเลยนะ”
มันหน้าเครียดเมื่อผมพูดถึงเอ็นท์ฯ    (ห้ะ? ไม่รู้จักเอ็นทรานซ์กันเหรอ? มันก็คือการสอบวัดผลเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เป็นการสอบที่โหดร้ายทารุณมากเพราะในช่วงนั้นจัดสอบแค่ครั้งเดียววัดกันไปเลย ถ้าเกิดพลาดไม่สบาย เป็นไข้ ท้องเสียในช่วงนั้นขึ้นมาก็จบเห่ครับ)
“โหย พูดถึงก็กินข้าวไม่ลงแล้ว” มันโอดครวญ
ราฟามันพลาดสอบโควตาไม่ติดเพราะไปเจอมหากาพย์น้องออยล์เอาตอนใกล้สอบพอดีก็เลยพาลไม่มีกะจิตกะใจจะสอบ แต่ตอนนี้อาการมันดีขึ้นมากแล้วครับ



พฤษภาคม 2542


ผมอยู่ที่รัฐทางเหนืออันหนาวเย็นนี้มาครบกำหนดของโครงการแล้วครับ มีอะไรเกิดขึ้นมากมายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พี่เดียวเรียนจบไปแล้วตอนเทอมซัมเมอร์และได้งานที่กทม. ตอนเลี้ยงอำลารุ่นพี่ๆ นี่น้ำตาท่วมชมรมกันเลยทีเดียวเพราะรุ่นแก่ๆ เป้อร์ๆ จบกันไปหลายคน ไอ้ราฟากับผมก็แอบปาดน้ำตากันไปหลายหยดเมื่อคิดว่าจะไม่ค่อยได้เจอไอดอลของพวกเราอีกแล้ว ผมอาจจะอาการหนักกว่ามันหน่อยก็เพราะ...เอิ่ม ก็อย่างที่รู้ๆ กันครับว่าผมแอบชอบพี่เขา แต่ช่วงหลังๆ ก็เหมือนความรู้สึกมันจะจางไปนิดๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร

พอเริ่มต้นเทอมใหม่ ผมซึ่งดร็อปเรียนไว้แล้วก็วิ่งวุ่นกับการจัดเตรียมเอกสารและขอวีซ่านักเรียนแต่ก็ยังมีเวลาที่จะไปชมรมบ้าง ส่วนไอ้เด็กราฟานั้นว่างเต็มที่เลยครับ มันเอ็นท์ฯ ติดจริงแต่ได้คณะสุดท้ายที่เลือก มันเลยตัดสินใจไม่เข้าเรียนแต่จะใช้เวลาทั้งปีเตรียมสอบโควตาใหม่ ผมก็ว่ามันเลือกถูกแล้ว

กลับมาเรื่องผมดีกว่า หนี่งปีการศึกษาที่นี่ทำให้ผมได้อะไรหลายอย่าง ผมเลือกที่จะไม่เรียนวิชาของสายภาษาอังกฤษเหมือนที่ม. แต่เลือกที่จะลงวิชาอื่นที่สนใจ เพราะผมไม่เอาเกรดที่ได้จากที่นี่ไปเทียบโอนอยู่แล้ว ผมลงวิชาอย่างภาษาญี่ปุ่น ภาพยนตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น การศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกา นั่นนี่นู่น ขอบอกว่าเป็น 1 ปีที่คุ้มมาก ผมยังได้ใช้ชีวิตแบบเด็กหอเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ม. เชิงดอยผมอยู่บ้านมาตลอด พอมาที่นี่ผมก็ได้เจออิสระแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน แต่ตอนนี้ผมกำลังหนักใจครับ...ผมจะยัดของลงกระเป๋าเดินทางหมดได้ไงในเมื่อมีเรือสองลำกินที่ไปครึ่งกระเป๋าแบบนี้

เรือสองลำที่ว่าคือรองเท้าเบอร์ 16 คู่นึงครับ...มันเป็นของอย่างเดียวที่ราฟาฝากผมซื้อจากที่นี่

“ถ้าหาได้ก็ดีอ่ะ พี่ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” มันบอกผมทางอีเมล์ซึ่งเราส่งหากันนานๆ ที
อย่างที่บอกว่ามันเป็นคนสูง หลังจากสามปีในชมรมฟันดาบ ความสูงของมันขึ้นไปถึง 196 เซ็นต์ สิ่งที่เป็นปัญหาคือเท้าอันใหญ่โตของมัน โดยปกติพวกรองเท้าหนังที่ใส่ไปเรียนมันยังพอสั่งตัดได้บ้าง แต่สำหรับรองเท้ากีฬาโดยเฉพาะแบบที่ใส่ฟันดาบได้นั้นแทบจะเรียกว่าหาไม่ได้เลย
ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมได้เข้าเมือง ผมจะแวะไปตามร้านรองเท้าและเอาแผ่นกระดาษเอสี่ที่มันวาดเท้าของมันไปถามร้านว่ามีรองเท้าไซส์นี้ไหม แต่ก็หาไม่ได้จนผมแทบถอดใจ มาเจอเอาตอนก่อนกลับ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องพยายามหาให้มันขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ผมแค่บอกมันว่าหาไม่ได้ก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มดีใจของมันก็ทำให้ผมตั้งใจหาให้มันต่อ

“...”
ผมสะดุ้งเมื่อมีแขนล่ำสันโอบเอวผมจากด้านหลัง และมีริมฝีปากอุ่นๆ ซุกไซร้อยู่ที่ต้นคอ
“ปล่อยก่อน ฆาเบียร์” ผมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดนั้น ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มแบบคนละติโน่เจ้าของวงแขนล่ำที่มองหน้าผมแบบตัดพ้อน้อยๆ คือฆาเบียร์ รูมเมทของผม
อย่างที่บอกว่าการอยู่หอได้ให้อิสรภาพผมแบบที่ไม่เคยได้มาก่อน อีกทั้งมันยังได้ให้ประสบการณ์บางอย่างที่ผมไม่เคยได้รับตอนอยู่เมืองไทย...ผมมีเซ็กส์เป็นครั้งแรก มันไม่ได้สวยหรูงดงามซาบซึ้งอะไร มันเกิดขึ้นเมื่อสองคืนที่แล้วอันเป็นผลจากแอลกอฮอล์และความเผลอไผล ผมแทบจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างหนึ่งที่จำได้คือมันเกิดขึ้นเพราะดวงตาเป็นประกายแบบละตินของฆาเบียร์

“ไม่ได้จริงๆ เหรอ นพ?” ฆาเบียร์ถามพร้อมส่งสายตาเว้าวอน
“No เราคุยกันแล้วนะว่านั่นเป็นแค่ one time thing ตอนนี้กูยังไม่พร้อม อีก 2 วันกูก็จะไปจากที่นี่แล้ว เราพอแค่นี้ดีกว่า” ผมพูดเสียงเรียบๆ
“กูขอโทษจริงๆ นพ กูไม่รู้ว่านั่นเป็น first time ของมึง ถ้ารู้ กูคงไม่ทำขนาดนั้น” ฆาเบียร์ซึ่งเป็นเกย์เปิดเผยพูดเสียงอ่อยๆ

คืนนั้นของเราเกิดขึ้นหลังจากการเลี้ยงฉลองสอบเสร็จ ฆาเบียร์หิ้วปีกผมที่เมามากกลับห้อง มันซึ่งก็เมาพอๆ กันลากผมไปนอนที่เตียงแล้วไปทำอะไรกุกกักๆ ที่คอม

“ไอ้ฆาบี้ ทามรายวะ”
“เปิดหนังโป๊ กูอยาก” มันหันหลังพูดให้ผม
“เห้ย กูดูด้วย”

ในสมัยนั้นซึ่งอินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย หนังเอวีเป็นของหาดูได้ยาก หนังชาย-ชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งผมเป็นเด็กอยู่บ้านมาตลอดชีวิต การดูหนังแบบนี้นั้นเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย พอมาอยู่หอแล้วมีเพื่อนร่วมห้องที่รสนิยมเดียวกัน ผมกับมันเลยนั่งดูหนังด้วยกันบ่อย แต่ดูแล้วต่างคนก็ต่างไปจัดการตัวเองในห้องน้ำทีหลัง

ผมขยับไปนั่งเอาคางเกยไหล่มันแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมันกำลังรูดบางส่วนของมันที่โผล่พ้นกางเกงออกมา

“ไอ้ฆาบี้ เก็บงูก่อน ไม่ไปทำในห้องน้ำวะ?
ผมบ่น ใบหน้าผมที่ร้อนผ่าวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ส่วนนั้นของฆาเบียร์ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ  มันไม่ตอบ ผมเลยนั่งลงข้างๆ ดูร่างที่เกี่ยวกอดกันอย่างเร่าร้อนในจอคอม เสียงครวญครางทำให้ผมเสียวซ่านไปทั้งตัว

“ช่วยกูที นพ...กูไม่ไหวแล้ว”
ฆาเบียร์ดึงมือผมไปจับส่วนนั้น มือมันล้วงเข้าในกางเกงผมไปเกาะกุมสิ่งที่ไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อน พร้อมส่งสายตาเว้าวอน ผมคงจะเมามากจนเห็นตาคมวิบวับอีกคู่ที่อยู่ห่างไกลซ้อนทับดวงตานั้น มันทำให้ผมไม่ปัดป้องหรือชักมือหนี ในหัวผมขาวโพลนไปหมด ริมฝีปากฆาเบียร์เริ่มซุกซน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเหมือนเป็นความฝัน ผมจำไม่ได้ว่าเสื้อผ้าเราปลิวหายไปหมดตัวเมื่อไหร่ หรือเราขึ้นไปจูบกันอย่างเร่าร้อนบนเตียงได้อย่างไร
ผมมารู้ตัวอีกทีเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าพร้อมกับความเจ็บปวดที่ตรงนั้น ฆาเบียร์มารู้ว่ามันเป็นคนแรกของผมเมื่อโดนผมต่อยหน้าและด่ามันอย่างหนัก มันซึ่งดูออกแต่แรกว่าผมเองก็ชอบผู้ชายนึกไปว่าผมเคยมีประสบการณ์มาแล้วจึงจัดหนักแบบไม่ยั้ง ที่ผมซัดมันนี่ก็เพราะความเจ็บนี่แหละครับ ไม่ใช่ว่าไปเสียดายครั้งแรกหรืออะไร แต่จะให้ผมมีอะไรกับมันอีก ก็คงไม่แล้วครับ


#####################################
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 05:23:58 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- I'm Back!!!##
«ตอบ #6 เมื่อ13-07-2017 03:13:34 »



Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- I’m Back!!! ----


มิถุนายน 2542


ผมกลับมาแล้วครับ การไปต่างประเทศครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปในหลายทาง ผมเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเองมากขึ้นจากการที่ต้องอยู่ห่างครอบครัว มันไม่เหมือนกับตอนที่ไปแลกเปลี่ยนม.ปลายเพราะในครั้งนั้นผมยังอาศัยกับโฮสต์ แฟมิลี่ แต่ครั้งนี้ต้องไปอยู่หอ No more เบบี้นพครับ
อย่างแรกที่ผมทำหลังจากกลับมาคือไปหัดขับรถ ที่บ้านเค้าเบื่อขับรถรับส่งผมไปไหนต่อไหนเต็มทีแล้ว
กลับมาคราวนี้ก็เหมือนคราวก่อน ผมต้องเริ่มเทอมใหม่แทบทันที สิ่งแรกที่ทำตอนว่างในวันแรกของการเรียนคือไปชมรมครับ ผมอยากเจอ อยากพูดคุยกับใครบางคนแทบทนไม่ไหวแล้ว และผมก็ไม่ผิดหวัง ร่างสูงนั้นนอนเอกเขนกอ่านการ์ตูนฟังเพลงอยู่บนปิสต์อย่างสบายอารมณ์ ผมโยนกล่องรองเท้ายักษ์ใส่พุงมันดังตุ้บ และหัวเราะใส่เมื่อมันสะดุ้งเฮือก

“ไอ้พี่นพ กลับมาเมื่อไหร่?” แม้...ไม่เจอกันเกือบปีขึ้นไอ้แล้วไอ้เด็กเปรต
“เกือบเดือนแล้ว มัวแต่ยุ่งทำเรื่องลงทะเบียน ไม่ได้เข้าชมรมเลย”
ผมกวาดตาสำรวจมัน ไม่เจอกันนาน มันล่ำสันขึ้น ไม่ได้เก้งก้างเหมือนเดิม ใบหน้าคมสันสมชายนั้นยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม ตาคมวาวคู่นั้นยังส่องประกาย อย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือผมสลวยที่ไว้ยาวจนปรกต้นคอ
“มึงอ่ะ ลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว?...” มันพยักหน้าตอบรับ
“...กูก็นึกว่ามึงจะสอบไม่ติดแล้ว”
“โหย พี่นพ บอกแล้วว่าชิลๆ” ไอ้ราฟามันสอบติดอันดับสองที่เลือกไว้ครับ แต่มันก็โอเค
“คราวนี้จะได้แข่งกีฬามหา’ลัยได้ซักที” มันพูดอย่างดีใจ จากนั้นก็หันไปสนใจกับรองเท้าที่ผมอุตส่าห์หอบหิ้วมาให้

“ใส่ได้พอดีเลย! ขอบคุณมากนะพี่นพ อุตส่าห์หาให้จนเจอ” รอยยิ้มกว้างนั้นทำให้ผมชื่นใจทีเดียว
“อุตส่งอุตส่าห์อะไร โชคดีหรอก เข้าไปร้านที่สองก็เจอแล้ว” ผมปดไปอย่างนั้น
“สูงขึ้นอีกหรือเปล่า มึงน่ะ? แต่เหมือนจะบึกขึ้นนะ”
“สูงเท่าเดิมแหละ ว่าแต่พี่นพเหอะ ทำไมบวมขนาดนี้อ่ะ?”
 มันเอื้อมมือมาจกพุงผมที่พลุ้ยขึ้นกว่าเดิม ก็คนทั้งกินของมัน ทั้งไม่ได้ออกกำลังกาย ผมงี้หุบยิ้มแทบทันที
“ไอ้นี่ เจอหน้ากันไม่กี่นาทีก็กัดกูอีกละ”
ผมก็บ่นไปงั้นแหละครับ แต่จริงๆ ในใจผมไม่ได้เคืองอะไรครับ พอไปอยู่นู่นผมถึงรู้ว่าผมโหยหาคำจิกกัดแบบนี้ขนาดไหน

และนี่คือการกลับมาพบกันครั้งที่ 3 ของผมกับราฟา

ในเทอมนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่ชมรมนานขึ้นเพราะวิชาเรียนที่เหลือน้อยลง เช่นเดียวกับใช้เวลากับราฟาเด็กแสบมากขึ้นจากเดิมทีที่เจอกันแค่ช่วงเย็น เพราะมันเองก็มาขลุกอยู่ที่ชมรมยามว่างจากเรียน เย็นวันนี้ผมกับมันกำลังนอนดูอัลบั้มรูปถ่ายที่ผมถ่ายมาจากตอนไปเรียน

“โห หิมะมันตกสูงขนาดนั้นเลยเหรอพี่?” มันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นรูปกองหิมะสูงเท่าเอวที่ถูกกวาดไปกองไว้ข้างทางเดิน
“ใช่ แถวนี้หิมะตกหนักและหนามาก ช่วงหน้าหนาวนี่ถาดอาหารในคาเฟทีเรียหายไปเป็นครึ่งเพราะเด็กจิ๊กไปรองนั่งแล้วไถลลงเนินหลังม. เนี่ย แบบนี้”   ผมคุ้ยหารูปที่ผมกำลังไถลลงเนินมาให้มันดู
“อ๊ะๆ แล้วนี่รูปใคร? แอ่นแลนแล้”
มันแซว พร้อมตะครุบรูปใบนึงขึ้นมาก่อนที่ผมจะแย่งทัน ผมใจหายแว๊บ มันเป็นรูปฆาเบียร์กับผม เราถ่ายด้วยกันวันสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันจากหอ ภาพนั้นดูไม่มีอะไร แต่ผมกลับไม่อยากให้มันได้เห็น จริงๆ ผมเก็บรูปอื่นๆ ที่ถ่ายติดมันออกแต่รูปนี้คงหลงหูหลงตา ผมแอบเช็คปฏิกิริยามันด้วยใจระทึก

“อื้อหือ ไม่เจอกันแป๊บๆ หาหนุ่มได้แล้วเหรอ พี่?” ไอ้ตัวดีเอารูปนั้นมาส่องดูใกล้ๆ
“หน้าตาใช้ได้นะเนี่ย แล้วถึงไหนกันแล้วอ่ะ ติดต่อกันอยู่ป่าว เราจะได้เขยชมรมเป็นฝรั่งละม้าง?” มันยิ้มกริ่มทำหน้าพร้อมเสือกเต็มที่
“...”
ผมเงียบ ไม่ตอบ ผมคงหวังมากเกินไปใช่ไหมว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างอื่นตอนเห็นรูปนั้น รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางคิดกับผมเกินเลยไปกว่าแค่เป็นพี่น้องร่วมชมรมกัน
“ไม่มีอะไรหรอก...แค่รูมเมทน่ะ” ผมตอบด้วยเสียงเรียบๆ
“โหย รูมเมทนี่เค้าแนบชิดกันขนาดนี้เลยงิ?”
ผมดูรูปนั้น ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าในรูปนั้นฆาเบียร์ยืนโอบเอวผมแน่น หน้างี้แทบจะฝังกับซอกคอผม
“มันเป็นนิสัยพวกละตินน่ะ ถือเนื้อถึงตัวแบบนี้แหละ” ผมตอบส่งๆ ไป ใจนึกไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น
“แต่...”
“บอกว่าไม่มีอะไร ก็ไม่มีสิ!”
ผมเผลอตะคอกใส่ไอ้เด็กแสบ มันผงะไปเพราะต่อให้เคืองมันแค่ไหนผมไม่เคยขึ้นเสียงกับมันเลยสักครั้ง
“พี่นพ...พี่เป็นอะไร?” ราฟาจับไหล่ผมแล้วถามด้วยเสียงจริงจัง
“...พี่ร้องไห้ทำไม?”

น้ำตาเจ้ากรรมผมมันเอ่อขึ้นมาท่วมตาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ ที่ผมบอกว่าผมไม่คิดอะไรมากเรื่องคืนนั้นน่ะ จริงๆ มันไม่โอเคเลยครับ มันไม่โอเคเลยสักนิดที่จะมีครั้งแรกกับใครสักคนที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย น้ำตาผมไหลออกมาเรื่อยๆ ราฟาดึงผมมาซบที่ไหล่พลางตบหลังเบาๆ
“ร้องให้เต็มที่เลยพี่ มีอะไรไม่สบายใจ เล่ามันออกมาได้เลย ผมพร้อมรับฟัง”
เจ้าตัวแสบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่ผมต้องให้มันปลอบอีกแล้วสินะ ผมกลั้นสะอื้นเล่าเรื่องคืนนั้นให้มันฟัง เล่าเรื่องที่ผมเผลอไผลให้ฆาเบียร์กอดไปเพราะความเมา มันรับฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มึงว่ากูน่ารังเกียจไหม? เมาเหมือนหมาจนไปเอากับใครทั้งที่ไม่รู้ตัว”
น้ำตาผมไหลลงมาอีก มันถอนหายใจยาว ตบไหล่ผม
“ไม่หรอกพี่ ของแบบนี้มันห้ามกันยาก มันเกิดขึ้นแล้ว พี่อย่าเก็บมาคิดเป็นกังวล”
ประโยคถัดไปของมันทำให้ผมปวดใจเหลือเกิน
“...ผมไม่รังเกียจอะไรพี่นพหรอก ไงๆ พี่ก็เป็นเหมือนพี่ผมอยู่ดีไม่ว่าพี่จะทำอะไร” ผมยิ้มเหยียดให้ตัวเอง
‘ใช่สิ ไอ้นพ มึงเป็นพี่มัน อย่าลืมตัว อย่าสำคัญตัวผิดไปเลย’
ผมรีบเช็ดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจากน้องๆ ชมรมที่เดินเข้ามา ราฟารีบยื่นรูปฆาเบียร์คืนให้ผม
“ซ่อนดีๆ ล่ะ” มันกระซิบ


################################


ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะ



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- My Lustful Life ----


กุมภาพันธ์ 2543


นับจากวันนั้น ทุกอย่างระหว่างผมกับราฟาก็เป็นไปเหมือนปกติ เราอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น กินมื้อเที่ยงด้วยกันแทบทุกวันเพราะเด็กปีหนึ่งยังต้องมาเรียนที่อาคารเรียนรวมหน้าตึกชมรม หลังเปิดเทอมสองไม่นานกลุ่มของเราก็ขยายใหญ่ขึ้นเพราะราฟาไปเข้าชมรมดนตรีด้วย กลุ่มเม้ามื้อเที่ยงของเราจึงมีเหยี่ยว อดีตเด็กฟันดาบที่หันไปอยู่ชมรมดนตรีและน้องซอลสาวน้อยปี 1 ลูกสมุนของเหยี่ยว พวกคุณอาจจะคิดว่าผมจะอึดอัดกับการที่มีคนมาแทรกระหว่างพวกผม แต่ไม่ค่อยครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังหลงระเริงกับบางสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบ

ผมติดอินเตอร์เน็ตครับ ตอนผมกลับมาไทยอินเตอร์เน็ตกำลังกลายเป็นของที่เข้าถึงทุกบ้าน ผมซึ่งต้องใช้คอมพ์ในการทำตัวจบก็พาลติดเน็ตไปด้วย สมัยนั้นการเปิดเว็บยังไม่ใช่เรื่องสะดวกสบายเพราะเน็ตมันอืดเป็นเรือเกลือ สิ่งที่ผมติดคือโปรแกรมแชท IRC อย่าง pIRCh ผมนั่งเล่นแชทดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน นอกจากเล่นห้องบ้าๆ บอๆ ไปวันๆ ผมยังติดบ่วงเข้าไปในพวกห้องอย่างเกย์หาคู่ เกย์วอนท์เซ็กส์ อะไรพวกนั้น

ก่อนหน้านี้ ผมมองชายหนุ่มทั้งหลายในชีวิตของผมด้วย “ความรัก” แบบปั๊บปี้ เลิฟโดยไม่ได้มีความใคร่มาเกี่ยวพัน ทั้งต้า พี่เป้ พี่เดียว ผมแค่พอในการได้อยู่เคียงข้าง ได้ทำนั่นทำนี่ให้ แต่หลังจากคืนนั้นกับฆาเบียร์ ผมได้เหมือนปลดล็อคตัวเอง ผมได้ลิ้มรสชาติของผู้ชาย ถึงปากผมจะบอกว่าจำไม่ได้ แต่ร่างกายผมกลับจำ การเข้าไปแชทในห้องสำหรับคนแบบผมยิ่งเป็นเหมือนการเปิดโลกทัศน์ทางเพศของและนำให้ผมมาพบพี่ภูมิ

เราคุยกันมาได้สองสามเดือนแล้วครับ พี่ภูมิเป็นหนุ่มกทม.ที่แก่กว่าผม 11 ปี เขาเป็นคนร่างใหญ่ จบนอก หน้าที่การงานดี พี่เขาคุยได้ทุกเรื่อง รอบรู้ ฉลาด ผมแพ้คนแบบนี้ราบคาบครับ เราคุยกันเรื่องเซ็กส์หลายครั้ง เคยกระทั่งโฟนเซ็กส์กัน ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ตอนแรกที่เราคุยกันก็เพราะเซ็กส์นี่แหละครับ และหลังจากคุยกันอย่างเดียวมานาน วันนี้ ผมนัดเจอกับพี่ภูมิครับ

ตอนนี้ผมกับชมรมลงมาแข่งฟันดาบที่ มก. เราพักรวมกันที่บ้านญาติอ.สุทัศน์ใกล้ๆ ม. บ้านของพี่ภูมิอยู่ไม่ไกลมก. นัก เราจึงนัดเจอกันช่วงบ่ายหลังแข่งเสร็จ แต่พูดตรงๆ นะ วันนั้นทั้งวันผมไม่มีสมาธิแข่งสักนิดจนโดนพี่เดียวที่ก็ลงแข่งด้วยตบหัวไปสองป้าบ พอถึงเวลานัด ตอนผมกำลังเก็บของก็มีชายหนุ่มร่างใหญ่ ผิวสองสีแต่งตัวดีพร้อมรอยยิ้มอันมั่นใจเดินเข้ามาทักผม

“น้องนพใช่ไหมครับ?” เสียงทุ้มนั้นเรียกชื่อผมเบาๆ
“พี่ภูมิเหรอครับ?” พี่ภูมิพยักหน้า
“ในที่สุดก็ได้เจอตัวซักที เรานี่น่ารักกว่าในรูปอีกนะ” น่ารัก? ไอ้หน้าจืด ตัวบวมอย่างผมเนี่ยนะ น่ารัก?
“งั้นเราไปกันเลยไหม?”

ผมรีบไปลาพวกพี่ๆ น้องๆ ชมรมที่มองกันอย่างงงๆ ว่านั่นคือใคร พร้อมขอกุญแจสำรองของบ้านพักไว้เผื่อจะกลับดึก (ใช่ว่าผมจะหวังอะไรหรอกนะครับ) ผมเลือกที่จะไม่สบสายตาคมวาวที่มีแววฉงนของร่างสูงที่จ้องมองมาแล้วขึ้นรถออดี้ A8 คันงามของพี่ภูมิไป เราไปดูหนังกันที่เมเจอร์รัชโยธินและหาข้าวกินกันที่นั่น ตอนดูหนัง พี่ภูมิจับมือผมตลอดเวลา ตอนกินข้าว พี่ภูมิคอยตักนั่นนี่ใส่จานให้ผมตลอด หลังกินข้าวเสร็จ พี่ภูมิขับรถไปส่งผม พี่ภูมิจอดรถตรงข้ามบ้านพัก

“วันนี้นพสนุกมาก ขอบคุณครับ”  พี่ภูมิรั้งร่างผมที่กำลังจะเปิดประตูลงรถไว้ ผมใจเต้นรัว
“นพจะไม่จูบลาพี่หน่อยเหรอ?” หน้าของผมร้อนผ่าว
“ผม...ผมจูบไม่เป็นครับ...อ๊ะ” ยังไม่ทันไร ริมฝีปากของพี่ภูมิก็สัมผัสปากผม

“เม้มตรงปากล่างของพี่นะ ดูดเบาๆ แล้วย้ายมาริมฝีปากบน”
พี่ภูมิสอนอย่างชำนาญ จูบของพี่ภูมิทำให้ผมแทบขาดใจ แม้ในคืนนั้นผมกับฆาเบียร์จะจูบกัน แต่ผมจำมันแทบไม่ได้ ผมดูดปากพี่ภูมิอย่างกระหาย ลิ้นของเราพัวพันกันอย่างดูดดื่ม

“ใช้ลิ้นไล้ไรฟันพี่ด้วยสิ”
พี่ภูมิทำเป็นตัวอย่าง ผมตัวอ่อนระทวยไปหมด แต่บางส่วนในตัวเริ่มแข็งขืน เช่นเดียวกับของพี่ภูมิ แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยกว่านั้น ไฟชั้นล่างของบ้านก็สว่างขึ้น ผมรีบดันตัวพี่ภูมิออก
“พี่ภูมิครับ ผมว่าวันนี้ยังไม่ค่อยสะดวก...” ผมพูดพลางหอบ พี่ภูมิถอนหายใจอย่างขัดใจเล็กๆ
“ไม่เป็นไรครับ นพ แต่คราวหน้าพี่ไม่ปล่อยไปแล้วนะ”
ผมงี้ใจเต้นระรัว แล้วจูบเร็วๆ ที่ปากอิ่มนั้นก่อนรีบลงรถไป

เมื่อเข้าในตัวบ้าน ผมก็เจอร่างสูงยืนพิงกรอบประตูรออยู่
“อ้าว ราฟา ยังไม่นอนอีก”
“ผมเห็นรถมาจอดนานแล้ว เลยมาเปิดไฟเปิดประตูรอ” เจ้าตัวแสบตอบเสียงเรียบๆ
“ไปอาบน้ำอาบท่านอนเถอะพี่ สภาพยังกะโดนหมาฟัดมา”
 มันพูดเสร็จก็สะบัดตูดเดินเข้าห้องนอนไป ผมเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ต้องชะงัก เออ มิน่ามันว่าสภาพเราเหมือนโดนหมาฟัดมา เสื้อผมยับยู่ยี่ กระดุมถูกปลดลงไปแล้วสองเม็ด ผมก็ยุ่งเพราะมือของพี่ภูมิ แก้มแดง ตาเยิ้ม ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันต้องรู้แน่ๆ

วันถัดมาผมไม่มีแข่ง แต่ก็ต้องอยู่ช่วยจัดของ เก็บของ ช่วยเชียร์ พอบ่ายมา พี่ภูมิก็มารับอีก คราวนี้ถูกต้อนรับด้วยเสียงโห่แซวของบรรดาพี่น้องชมรม ช่วงที่ผ่านมาผมเปิดตัวให้ทุกคนรู้แล้วครับว่าผมชอบผู้ชาย ตอนแรกทุกคนก็แซวผมกับราฟา แต่เราทั้งคู่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่าที่เป็นอยู่

“วันนี้พี่ไม่ปล่อยนพกลับไปง่ายๆ แล้วนะ รู้ใช่ไหม?”
ผมหน้าแดง หลบสายตาเยิ้มที่จ้องมา พร้อมพยักหน้าตอบรับ พี่ภูมิขับรถพาผมเข้าซอยมืดแห่งหนึ่งและเลี้ยวเข้า...
“ม่านรูด?” ผมหลุดปากออกมา แอบใจเสียเล็กน้อย
“พอดีที่บ้านไม่ค่อยสะดวกน่ะ นพ ห้องพี่รกมาก” พี่ภูมิพูดด้วยเสียงออดอ้อน ผมถอนหายใจ พร้อมลงรถเดินเข้าห้องตามพี่ภูมิไป
สำหรับผม ครั้งนี้เป็นเหมือนครั้งแรก ครั้งแรกที่ผมเต็มใจทำกับคนที่ผมพึงใจจริงๆ เราแลกจูบกันไม่รู้เบื่อ ริมฝีปากซุกซนของพี่ภูมิสัมผัสแทบทุกส่วนของผม และผมได้หัดทำออรัลครั้งแรก

“นั่นแหละ นพ...อืมมม ใช่ ตวัดลิ้นรอบ...

เดี๋ยว ยู๊ดดดดดดดดดดดด ผมบอกแล้วนะว่าเรื่องนี้ไม่มี NC ฉะนั้นผมขอข้ามรายละเอียดไปเลยแล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าผมมีครั้งแรกอันแสนสุขสมกับพี่ภูมิ พี่เขาอ่อนโยนกับผมมาก ไม่เร่งรีบ รอจนผมพร้อมถึงจะทำจนสุดทาง

“เป็นไงมั่งนพ เจ็บไหม?” พี่ภูมิถาม พร้อมจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
“นิดหน่อยครับ” ผมซุกหน้าซบอกกว้างนั้น
“นพรักพี่ภูมิจัง”
ผมพูดออกมาเบาๆ แม้จะคุยกันไม่กี่เดือน ผมรู้สึกว่าคนนี้แหละที่ใช่ พี่ภูมิส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในคอ ผมสุขสมเกินไปกว่าที่จะใส่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้บอกรักกลับมา
หลังจากนอนกอดก่ายกันสักพัก เราก็อาบน้ำและพี่ภูมิก็พาผมกลับมาส่งที่บ้านพัก วันนี้ไม่มีไฟเปิดรอไว้ ผมไขกุญแจแล้วย่องเข้าบ้านเบาๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงนอนข้างๆ ร่างสูง

“ดึกเลยนะ คืนนี้” ร่างสูงซึ่งผมนึกว่าหลับไปแล้วกระซิบมาเบาๆ
“กลิ่นสบู่ก็ไม่คุ้นด้วย...เรียบร้อยกันแล้วเหรอ?”
“เสือก” ผมจิกมันไปเบาๆ
“แน่ใจแล้วเหรอ พี่นพ?”
มันพลิกตัวหันมามองหน้าผม ตาคมที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นจ้องหน้าผมนิ่ง
“เซ้นส์ผมมันบอกว่านายนั่นไว้ใจไม่ได้” มันพูดด้วยเสียงจริงจัง ผมฉุนขึ้นมาทันที
“เรื่องของมึง!”
ผมเผลอทำเสียงดังไปนิด ราฟาทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ก็หยุดเมื่อมีเสียงกระแอมจากคนอื่นสักคนที่นอนเรียงในห้องนี้ด้วย ผมพลิกตัวหันหลังให้มัน พร้อมจะเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนเข้าสู่ภวังค์ผมเหมือนได้ยินเสียงพูดเบาๆ
“ผมไม่อยากให้พี่ต้องเจ็บอีก”


มกราคม 2544

เกือบหนึ่งปีผ่านไปหลังจากเซ็กส์ครั้งแรกของผมกับพี่ภูมิ ผมติดบ่วงเสน่ห์ของพี่ภูมิอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ผมโทรคุยกับพี่ภูมิแทบทุกวัน โทรทีเป็นชั่วโมงๆ เสียเงินเสียทองไปมากมาย (สมัยนั้นโทรมือถือคิดเป็นนาที โทรข้ามเขตบางทีนาทีละ 12 บาท) หลายครั้งจบลงที่โฟนเซ็กส์ ผมหลงกับประสบการณ์ใหม่นี้มากจนลืมนึกไปว่าทุกครั้งที่คุยกัน พี่ภูมิจะยิงมา แล้วผมก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกโทรกลับไปทุกครั้ง

ในช่วงเกือบปีมานี้ ผมกับพี่ภูมิเจอกันอีกหลายครั้ง ทั้งที่เชียงใหม่และที่กทม. ถ้าลงกรุงเทพฯ พี่ภูมิจะมาหาผมที่โรงแรม ไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้เคยไปที่บ้านพี่ภูมิ เรามีอะไรกันแทบทุกครั้งที่เจอกัน ผมเสพติดความสุขนั้นเสียแล้วครับ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ได้เป็นคนเดียวของพี่ภูมิ เขายังมีคนรักอื่นอีก 2-3 คน(เท่าที่รู้) หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงอีกด้วย แต่จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ผมรักของผมไปแล้วนี่ ผมรักพี่ภูมิมากขนาดที่ว่ายอมมีคู่นอนอีก 2-3 คนตามที่พี่ภูมิยุ แกบอกว่าเพื่อผมจะได้มีประสบการณ์มาสนองแกได้อย่างถึงใจ และเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตรักของเรา

“เล่าให้พี่ฟังทุกอย่างนะ ว่าไปทำอะไรมาบ้าง” ถ้าเป็นสมัยนี้ แกคงให้ผมถ่ายคลิปมาให้ดูแล้วครับ
“วันนี้ไปเอากับใครมาล่ะ ร่านนักนะเรา” พี่ภูมิกระเซ้าผมทางโทรศัพท์ หลังๆ มานี้พี่ภูมิใช้คำแรงๆ กับผมบ่อย
“...”
ผมบอกชื่อหนึ่งในคู่นอนของผมออกไป พร้อมกับเล่าสิ่งที่ผมเพิ่งทำไปให้ฟัง พี่ภูมิครางต่ำๆ อย่างพึงใจ ผมรู้ว่าทางปลายสายกำลังแตะต้องตัวเองอยู่ซึ่งนั่นทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว มือของผมก็เริ่มสัมผัสตัวเองตาม

“ตอนนี้ผมกำลังเริ่มคุยกับคนใหม่อยู่นะพี่” ผมพูดขึ้นหลังเสร็จสมอารมณ์หมายกันทั้งสองฝ่าย
“เป็นน.ศ. ปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นเพื่อนของเพื่อนในเพิร์ช รายนี้ยังซิง ไม่เคยกับทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่แกดูสนใจอยากลอง...”
“...แต่ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมคุย ผมเลิกคุยก็ได้นะ” ผมพูดด้วยหวังให้ทางนั้นหยุดผม
“เอาสิ คุยเลย พวกซิงๆ นี่แหละ น่าสนใจ”
ปลายสายทำเสียงตื่นเต้นกลับมา ผมรู้สึกเหมือนเข็มเล็กๆ ทิ่มแทงใจ แต่อะไรที่พี่ภูมิว่าดี ผมก็ว่าดี
“งั้น ได้ความยังไง ผมจะมาเล่าให้ฟังนะ”

“หายหัวไปนานเลยนะพี่นพ” ไอ้เด็กโข่งตะโกนทัก จะทักผมดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?
“ก็เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว จะให้มาอยู่ชมรมทั้งวันเหมือนเดิมได้ไงวะ?
ผมโยนแฟ้มกับถุงชุดครุยลงบนปิสต์ วันนี้ผมมารายงานตัวเพื่อรับปริญญาครับ ผมเรียนจบเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เกรดไม่ได้สวยหรูนัก ผ่าน 3.00 มาอย่างเฉียดฉิว ตอนนี้ผมทำงานแปลกับสอนพิเศษที่บ้าน ผมเข้าชมรมน้อยลง ตอนกลางวันไม่ได้เข้ามาเลย มาช่วงเย็นบ้าง ระหว่างนั้นไอ้ราฟาก็ตามเหยี่ยวกับน้องซอลไปใช้เวลาที่ชมรมดนตรีมากขึ้นและอยู่ชมรมฟันดาบน้อยลงซึ่งเหมือนกันกับผม ไฟในการเล่นดาบของทั้งผมและราฟาเริ่มมอดลงพร้อมๆ กับที่พี่เดียวไอดอลของพวกผมเรียนจบและย้ายไปอยู่กทม. อีกทั้งราฟาเริ่มสนใจด้านดนตรีมากขึ้นเลยเจียดเวลาไปทางนั้นบ้าง ผมเองก็หลงระเริงอยู่กับประสบการณ์ใหม่จนไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยนัก
 “จริงอ่ะ? ติดผู้ชายมากกว่ามั้ง”
เสียงน้องชมรมซักคนที่รับปริญญาพร้อมผมแซว ผมหันไปแจกกล้วยมันเบาๆ พอหันมาก็เจอตาคมจ้องอยู่แล้ว

“ยังทำแบบเดิมอยู่เหรอ พี่นพ?”
ราฟากระซิบถามตอนคนอื่นไม่ได้สนใจฟัง ผมเล่าหลายๆ อย่างให้มันฟัง ถึงจะไม่ทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมเองก็ไม่ค่อยอยากจำนัก แต่มันก็นับเป็นคนที่ผมเปิดใจด้วยที่สุดในตอนนี้
“อือ...ก็แบบเดิมแหละ” ผมถอนหายใจ
“พี่ทนได้ไงวะ? ผมแม่งอยากชกหน้ามันชิบ” ผมแตะมือใหญ่ที่กำหมัดเบาๆ
“กูก็ว้อนท์เองด้วยน่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก”
ผมแสร้งหัวเราะ พยายามทำเสียงร่าเริงที่สุด หลังๆ มานี่ผมก็เริ่มรับตัวเองไม่ได้เหมือนกันครับ ตอนแรกๆ มันก็สนุกดีหรอก แต่หลังๆ มันก็ชักแอบน้อยใจ
“มันรักพี่เท่าที่พี่รักมันมั่งหรือเปล่า?” ไอ้ราฟายังฟึดฟัดไม่หาย
“...”
ผมไม่ตอบ ในใจผมตอนนี้ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมชักไม่แน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจะเคยรู้สึก “รัก” ผมแม้แต่น้อย
“เอาน่า กูยังไหว ป่ะ ไปถ่ายรูปกัน เดี๋ยวแสงจะหมดซะก่อน” ผมดึงมันลุกขึ้น พร้อมกับแต่งชุดครุยเตรียมออกไปถ่ายรูปกับบัณฑิตชมรมคนอื่นๆ ที่หน้าม.


##########################

เกลียดอิพี่ภูมิ!!!



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- Te Quiero ##
«ตอบ #8 เมื่อ13-07-2017 03:31:37 »



Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- Te Quiero ----


กรกฎาคม 2544


ผมเปลี่ยนงานแล้วครับ ผมเข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชา มันเป็นสิ่งที่คุณย่าผมอยากให้ผมเป็นมาตั้งแต่แรก และยังมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกหลายอย่างกับตัวผมตั้งแต่ช่วงรับปริญญาคราวที่แล้ว จำนศ. ป.เอกคนนั้นได้ไหมครับ แกชื่อพี่วัฒน์ แก่กว่าผม 5 ปี จบตรี โท ม.สีชมพู และเพิ่งไปเรียนต่อระดับป. เอกปีแรกที่ญี่ปุ่น

พี่วัฒน์เป็นลูกจีนหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมไม่มีอะไรพิเศษ ออกจะเนิร์ดๆ เป็นคนพูดไม่เก่ง ซึ่งต่างกับพี่ภูมิราวฟ้ากับเหว ตอนแรกผมเริ่มคุยกับแกก็เพื่อเอาใจพี่ภูมิเท่านั้น เราสองคนเริ่มคุยกันจากเรื่องเซ็กส์ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับแก เรามีเซ็กส์กันผ่านตัวอักษรหลายต่อหลายครั้งและมีเซ็กส์โฟนกันนานๆ ครั้งผ่านทางโปรแกรมแชท หลังๆ มาเราเริ่มคุยกันเรื่องอื่น เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่ญี่ปุ่น เรื่องครอบครัว ผมได้รับรู้ว่าแกเป็นลูกคนกลางจาก 5 คน พ่อแม่แกมาจากเมืองจีนและมาตั้งรกรากที่เมืองไทย ครอบครัวพี่วัฒน์ไม่ได้ร่ำรวย ต่างจากพี่ภูมิที่มีพร้อมทุกอย่าง พ่อแม่พี่วัฒน์ไม่สามารถส่งเสียลูกเรียนสูงๆ ได้ จึงมีแต่พี่ชายคนโตเป็นคนทำงานส่งน้องๆ เรียนในระดับหนึ่งและที่เหลือก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน พี่วัฒน์สอบทุนพสวท.ได้จนถึงระดับปริญญาเอก

“บ้านพี่จบปริญญากันทุกคนนะ” พี่วัฒน์พิมพ์มา ผมอ่านได้ถึงความภูมิใจในตัวหนังสือนั้น
“โห ขยันกันจัง” ผมนึกอายในความขี้เกียจเรียนของตัวเอง
“กรกฎานี้ พี่จะกลับไทย ไปหานพที่เชียงใหม่ได้ไหม?...”
“...พี่อยากให้นพเป็นคนแรกของพี่”
ผมนิ่งไปพักหนึ่ง...ผมควรลากเขาคนนี้เข้ามาเข้ามาพัวพันกับชีวิตวุ่นๆ ของผมดีไหม?
“อือ...มาสิ” ผมตัดสินใจพิมพ์ตอบไป

“ว้าว จะได้เปิดซิงหนุ่มเนิร์ดแล้วนี่...” พี่ภูมิทำเสียงตื่นเต้นผ่านทางโทรศัพท์
“แหมๆ ใช่ย่อยนะ ว่าแต่ตานี่เรียนอะไรนะ?”
“ธรณีวิทยาครับ” ผมตอบห้วนๆ
“อ๋อ พวกทำงานกับดินกับทราย ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะแกมเยาะของพี่ภูมิช่างขัดหูผมนัก
“อย่างน้อยเขาก็จริงใจกับผมมากกว่าพี่แล้วกัน” ผมสะบัดเสียงใส่อย่างลืมตัว
“นพ ไม่ต้องมาพูดแบบนี้ เราคุยกันแล้ว!”
พี่ภูมิขึ้นเสียงใส่ ที่ว่าคุยกันแล้วคือ ถ้าจะคบกับแก ผมต้องรับได้กับการเป็นหนึ่งใน “คนรัก” ของแก ห้ามมีการหึงหวง ห้ามแสดงความเป็นเจ้าของ ห้ามคาดหวังอะไร บางทีผมก็คิดนะ ว่าตกลงแกมองผมเป็นอะไรกันแน่
“ผมปวดหัว แค่นี้ก่อนนะพี่” ผมตัดบทพร้อมวางสายไปอย่างเงียบๆ

เมื่อเดือนกรกฎาคมมาถึง พี่วัฒน์ก็มา เราไปดูหนัง กินข้าวกันเหมือนคู่รัก เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ก็ถึงเวลาทำตามสัญญา ร่างเปลือยนั้นสั่นน้อยๆ ยามริมฝีปากผมสัมผัส จูบอันงุ่มง่ามสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผม ครั้งแรกของเราไม่ได้หวือหวาแต่ก็เติมเต็มความปรารถนาให้กันและกันได้ หลังพายุสงบ พี่วัฒน์กอดผมไว้แน่ในอ้อมแขนเหมือนกลัวผมจะหายไป

“พี่วัฒน์...ปล่อยก่อน ผมจะไปอาบน้ำ”
อ้อมแขนนั้นคลายออก ผมจูบแก้มสากเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“นพ...” พี่วัฒน์ดึงแขนผม พร้อมพูดอย่างจริงจัง
“พี่ไม่อยากให้มันเป็นแค่เซ็กส์” ผมถอนหายใจ
“ไม่เอาน่ะ พี่ เราคุยกันแล้วนี่ ผมแค่ทำหน้าที่เป็นคนแรกให้พี่ แค่นั้น” หน้านั้นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ครั้งแรกของพี่ ถ้าไม่ใช่นพพี่ก็ทำไม่ลงหรอกนะ...”
 เสียงทุ้มนั้นพูดเบาๆ ไล่หลังผมที่กำลังเดินเข้าห้องน้ำ ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่ผมจะไม่ใจอ่อน แต่ผมยังมีพันธะอยู่ จะให้ผมทำยังไงได้

ไม่นานหลังจากพี่วัฒน์กลับญี่ปุ่นไป ผมก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับพี่ภูมิที่มาตีกอล์ฟกับก๊วนเพื่อนๆ เชียงใหม่ แกหาว่าผมไปเกาะแกะทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแกต่อหน้าเพื่อนๆ ผมก็แค่อยากทำตัวเป็นคนรักของแกบ้าง แต่เหมือนสิ่งที่ผมทำจะกลายเป็นความน่ารำคาญ มารู้เอาทีหลังว่าหนึ่งใน “เพื่อน” ที่แกว่านั้นเป็นอีกคนที่แกกำลังคั่วอยู่

“พี่นพเมื่อไหร่จะรู้ว่าอะไรเพชรอะไรกรวดวะ?”
ไอ้ราฟาด่าผมอีกแล้ว มันโยนผ้าเย็นให้เพราะทนสภาพผมที่หน้าโทรมเป็นศพ ตาโหลเพราะร้องไห้จนตาบวมมาหลายวันไม่ได้
“มึงก็ด่ากูตลอด...” ผมพูดเสียงอ่อย
“...กูก็รักของกูไหมวะ?”
“รักหรือหลง คิดดีๆ นะพี่นพ” ไอ้ตัวดีสอนผมอีกแล้ว
“คนรักกันทำแบบนี้จริงเหรอ? เขาเคยพูดว่ารักพี่สักคำไหม?” มันใส่ต่อเป็นชุด ผมได้แต่เงียบ
“ถ้ารัก ก็ต้องพูดออกมา ไม่ใช่ทิ้งไว้แบบนี้” ผมนิ่ง...เพราะรู้ว่ามันพูดถูก
"หัดรักตัวเองมั่งสิโว้ย" มันว้ากใส่
“...กูตัดสินใจแล้ว...กูจะเลิกกับพี่ภูมิ” ผมพูดเบาๆ

คืนนั้นผมโทรไปหาพี่ภูมิ แต่ยังไม่ทันบอกเลิก แกก็ชิงเป็นฝ่ายเลิกกับผมก่อน ผมซึมไปหลายวันทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้ว ระหว่างนั้นผมก็ได้พี่วัฒน์กับไอ้ราฟาคอยคุยให้ผมสบายใจ ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจคบพี่วัฒน์ แต่ในใจผมนั้นตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ถลำลึกไปกับใครจนให้ตัวเองเจ็บอีกแล้ว แผลในใจผมที่พี่ภูมิทำไว้นั้นบาดลึกนักจนผมยังไม่กล้าเปิดใจให้ใคร



ตุลาคม 2544


ตอนนี้พวกเราอยู่ที่บ้านไร่ของเหยี่ยวที่เชียงดาว ถึงแม้จะเรียนจบไปแล้ว เหยี่ยวยังวนเวียนอยู่กับชมรมฟันดาบและชมรมดนตรีในฐานะผู้เฒ่าเหมือนๆ กับผม และคราวนี้เหยี่ยวเปิดบ้านไร่ต้อนรับน้องๆ ชมรมให้มาพักผ่อนกันหลังการเก็บตัวซ้อมแข่งกีฬามหาวิทยาลัยอันแสนโหด ผมทำใจได้แล้วกับเรื่องพี่ภูมิและเลิกชีวิตแบบมีคู่นอนหลายคน ผมกำลังเริ่มสานสัมพันธ์กับพี่วัฒน์ แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนนั้นก็คงต้องรอดูกันไปเพราะว่ามันเป็นความสัมพันธ์ทางไกลมาก และอาจจะได้เจอกันแค่เพียงปีละครั้งหรือสองครั้ง แต่เราก็ติดต่อกันผ่านอีเมล์และโปรแกรมแชทเหมือนเดิม

ผมกับราฟากลับมาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ อีกครั้งหลังจากที่ผมเข้ามาสอนที่ภาคฯ วันที่ว่างตรงกันนานๆ  ผมจะรอรับมันไปกินข้าวเที่ยงถ้าไม่กินร้านเพียว ร้าน Tea Shop หน้าม. ก็ไปกินสเต๊กปลาในม. เราคุยกันในเรื่องที่หนักขึ้น เรื่องครอบครัว อนาคต ข่าวสารบ้านเมือง ปัญหาสังคม ปัญหาเรื่องเรียน ไม่ได้แค่คุยเล่นไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมได้เห็นนิสัยอะไรหลายๆ อย่างของมันที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน มันชอบกาแฟไม่หวาน พอๆ กับที่ชอบโกโก้เย็นแบบหวานเจี๊ยบ (อะไรของมัน) มันสวดภาวนาทุกครั้งก่อนกินข้าว มันร้องเพลงด้วยเสียงบาริโทน มันชอบกรอกตาเวลาไม่พอใจ มันปากร้ายแต่ใจดี มันชอบอ่านหนังสือ มัน...

“พี่นพ พี่นพโว้ย...ตื่นๆๆ”
ผมตื่นจากภวังค์เมื่อไอ้ตัวดีผลักหัวผม เรากำลังนอนดูดาวรับลมหนาวอยู่ตรงชานบ้านของเหยี่ยวขณะที่คนอื่นกำลังตีไพ่กันอย่างเมามัน
“เอ้า พี่เหยี่ยวเอาผ้าห่มมาให้ ห่มซะ”
มันยกตัวขึ้นคลี่ชายผ้าห่มนวมห่มให้ผม ตั้งแต่เห็นสภาพผมที่โทรมเป็นศพเมื่อตอนเลิกกับพี่ภูมิเมื่อหลายเดือนก่อนดูมันจะใจดีกับผมขึ้นอีกหน่อย
“ฟังเพลงอะไรอยู่อ่ะ?” ผมถือวิสาสะแย่งหูฟังเครื่องเล่นซีดีของมันมาฟังข้างนึง
“โหยยย เสียงหวานโคตร เพลงอะไรเนี่ย” ผมเคลิ้มไปกับเสียงหวานๆ ที่ได้ยิน

“โย เต อาโม (Yo Te Amo)...”
ใจผมกระตุกวูบเมื่อเสียงทุ้มกระซิบบอก
“...ของ Chayanne น่ะ” อ๋อ...ชื่อเพลงสินะ แต่ทำไมใจผมเต้นรัวแบบนี้ล่ะ

“...En palabras simples y comunes yo te extraño
En lenguaje terrenal mi vida eres tu
En total simplicidad seria yo te amo
Y en un trozo de poesia tu seras mi luz, mi bien...”

“บอกเธอด้วยคำเรียบง่ายว่าฉันคิดถึงเธอ
บอกด้วยภาษาพื้นๆ ว่าเธอเปรียบดั่งชีวิต
ให้ง่ายที่สุดก็คงเป็นว่าฉันรักเธอ
และด้วยบทกวีว่าเธอจะเป็นแสงสว่างและความสุขสวัสดิ์ของฉัน”

(Yo Te Amo -- Chayanne https://www.youtube.com/watch?v=YkVbgpXXR0M)

ไอ้ตัวดีแปลท่อนแรกของเพลงให้ผมฟังโดยไม่ต้องถาม ความโรแมนติกคงอยู่ในสายเลือดมันจริงๆ
“แล้ว...ชื่อเพลงนี้แปลว่าอะไรนะ?”
ผมเสถามถึงชื่อเพลงทั้งๆ ที่รู้ความหมายอยู่แล้วแต่แค่อยากได้ยินจากปากใครบางคน
“...ฉันรักเธอ...” 
ผมหลับตา...ดื่มด่ำกับคำสั้นๆ นี้แม้มันจะไม่ใช่สำหรับผมก็ตาม
“เห้ยๆ หลับเฉยเลย” ราฟาเอานิ้วจิ้มๆ แก้มผม ผมแกล้งทำเป็นงัวเงีย
“อือ ว่าไงนะ?”
“ก็ถามว่า te amo แปลว่าอะไร ก็ ฉันรักเธอ ไง เคยบอกแล้วนี่”
“อืม...แล้วมันต่างกับคำนี้ยังไง?”
 “คำไหน?”
ผมหันไปกระซิบแผ่วๆ ข้างหูมัน

“Te quiero, mi amor”

ใบหน้าคมสันหันขวับมาแทบชนกับหน้าผม เสียงหริ่งเรไรรอบกายเหมือนจะเงียบเสียงลง ได้ยินแต่เสียงลมหายใจและหัวใจที่เต้นระรัว ตาของเราประสานกันนิ่ง ผมไม่แน่ใจนักแต่เหมือนเห็นแววหวั่นไหวในตาคมคู่นั้น
“เห้ย ตกใจหมด รีบหันมาอะไรเล่า วู้”
ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบตาแล้วหันหน้ากลับไปจ้องหมู่ดาวที่พราวเต็มฟ้า
ผมยิ้มเยาะตัวเอง
‘ท่องไว้ นพ มันเป็นน้อง ท่องไว้’
ผมหลับตา
‘อย่าดึงมันลงมาเกลือกกลั้วกับมึงเลย’ เสียงในหัวผมเตือน

“เต กิเอโร่อ่ะ ต่างกับคำว่า เต อาโมยังไง เคยได้ยินทั้งสองคำ”  ผมแกล้งถาม มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะอธิบายยืดยาวให้ผมฟังว่า te quiero มีความหมายที่ไม่หนัก ไม่ลึกซึ้งเท่า te amo จะออกแนว ฉันต้องการเธอ มากกว่า
ก่อนที่มันจะเปิดคอร์สสอนภาษาสเปนให้ผม น้องซอลก็ออกมาตามพวกผมไปกินมาม่าหม้อไฟ ผมรีบลุกขึ้นแล้วฉุดมือมันให้ลุกขึ้น
“ใครช้าอด!” ผมพูดแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านไป


###########################


เพลงนี้ของ Chayanne เพราะจริงๆ ค่ะ ่เป็นเพลงประกอบเรื่อง รักใสๆ หัวใจ 4 ดวง (Meteors Garden) ภาค 2 เวอร์ชั่นไต้หวันด้วยค่ะ ส่วนหนุ่ม Chayanne นี่เป็นต้นแบบของนาย ฆาเบียร์ คนเปิดซิงน้องนพของเราค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 05:18:49 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- Are You the One? ----


มีนาคม 2545


ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แม่ผมเสียเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เมื่อสองปีก่อนหมอตรวจเจอก้อนมะเร็งที่กระเพาะอาหารและต้องตัดกระเพาะออกเกือบหมด แม่รักษาด้วยการกินยาและใช้ชีวิตแบบปกติมาได้จนกระทั่งช่วงปลายปีที่แล้วที่โรคร้ายเริ่มกลับมา ผมและน้องๆ ต้องสลับกันไปเฝ้าแม่ที่เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ทำให้ผมแทบไม่ได้เข้าไปที่ชมรม ในที่สุดแม่ก็แพ้ให้กับโรคร้าย ในช่วงงานศพ น้องๆ ชมรมก็ผลัดกันมาช่วยงาน ไอ้เด็กเปรตก็มาช่วยยกน้ำยกท่าด้วยแทบทุกวันทั้งๆ ที่มันเป็นคริสเตียน

“พี่นพ ไม่เป็นไรนะ?”
มันถามหลังเสร็จพิธีช่วงค่ำวันสุดท้าย ผมขับรถมาส่งมันบ้าน ตอนแรกมันจะติดรถกลับกับคนอื่น แต่ผมว่าผมจะไปส่งมันเอง
“อือ...เหนื่อยนิดหน่อย เหลือแค่งานเผาพรุ่งนี้ก็เสร็จแล้ว” ผมจอดรถหน้าบ้านมัน
“พี่รู้ใช่ไหมว่าคุยกับผมได้ทุกเรื่อง” ก้อนสะอื้นพลันจุกขึ้นมาที่คอผม

สำหรับญาติคนไข้โรคมะเร็งอย่างผม การที่คนไข้ตายไปถือเป็นการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานที่ประสบอยู่ บางครั้งผมก็คิดอยู่ในใจว่าดีแล้วที่แม่ไม่ต้องทรมานนานนักจนผมเองลืมเสียใจ
“พี่ยังไม่ได้บอกลาแม่เลย” หยาดน้ำใสๆ ไหลออกตาผม
แม่นอนอยู่โรงพยาบาลหลายคืนก่อนที่จะเสีย ช่วงนั้นผมง่วนอยู่กับการตรวจข้อสอบ โดยหอบไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วย ตอนเช้าก็ไปคุมสอบวิชาอื่น ตอนที่แม่เริ่มเข้าโคม่า ผมก็ไม่ได้อยู่ด้วยและไม่ได้บอกลาแม่ตอนที่ยังรู้ตัว

“...”
มือใหญ่นั้นปาดน้ำตาให้ผม แล้วบีบกระชับมือผมแน่นเพื่อให้กำลังใจ แต่ก่อนที่พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมยกขึ้นมาดู
“พี่วัฒน์...”
นานๆ ทีพี่วัฒน์จะโทรทางไกลมาหาผมสักครั้ง ราฟาปล่อยมือผม โบกมือลาแล้วลงรถเดินเข้าบ้านไป ผมถอนหายใจ แล้วกดรับสาย
“ว่าไงครับ พี่?...”



สิงหาคม 2545

ชีวิตของผมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมยังคงเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ ยังเข้าชมรมบ้าง ไปรับ ไปส่ง ไปกินข้าวกับราฟา แต่บางทีเราก็โดดซ้อมไปเดินห้างบ้าง นั่งร้านกาแฟ ร้านขนมบ้าง แต่ยังคงสถานะเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ราฟาเริ่มถอยห่างจากการฟันดาบและไปด้านดนตรีมากขึ้น ผมว่ามันไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงของพี่เดียวไปได้ ผลงานช่วงหลังๆ ของมันไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไหร่และคงถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว

ด้านความสัมพันธ์ ผมเริ่มคบหากับพี่วัฒน์เต็มตัว ที่จริงก่อนแม่เสียผมเคยพาแกมาแนะนำให้แม่รู้จักตอนที่พี่แกปิดเทอมแล้วกลับมาไทย แม่ชอบแกทีเดียวเพราะแกเป็นคนเรียบร้อย จากการที่คุยกันมาปีกว่า ผมว่าแกเป็นคนรอบรู้มาก ถามอะไรก็รู้หมด (เป็นอับดุล...) ยิ่งถ้าถามเรื่องธรณีวิทยานี่ แกอธิบายได้เป็นวันๆ เลยทีเดียว หลักๆ เรายังคุยกันผ่านโปรแกรมแชท แต่ที่เพิ่มมาคือ...บางทีเราก็เปิดกล้องแล้วเราก็...ผมไม่เล่าแล้วกัน ผมก็เขินเป็นนะครับ

ผมผวาขึ้นทั้งตัวพร้อมครางอย่างสุขสม ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนซบแผงอกเปลือยที่กระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจหอบถี่ ปลายนิ้วซุกซนผมไล้ไปทั่วก่อนอุ้งมือเพรียวแต่แข็งแรงจะคว้ามือผมหมับก่อนที่มันจะรุกล้ำสิ่งที่พึ่งหลับใหลไปหมาดๆ
“อะไร พี่วัฒน์ หวงเหรอ?” ผมถามยิ้มๆ
“เดี๋ยวสิ ขอพักก่อน” เจ้าของร่างเพรียวที่นอนเคียงข้างผมโอดครวญ
พี่วัฒน์ตัวไม่ใหญ่นัก รูปร่างบางแต่แข็งแรง ผิวคล้ำแดดเพราะต้องออกฟีลด์บ่อย แต่ตอนนี้ตามเนื้อตัวแกมีจุดแดงเป็นจ้ำๆ เพราะผมเองครับ
“หิวแล้วอ่ะ” ผมพูดพลางดูนาฬิกา ตายล่ะ หกโมงกว่าแล้ว
“ก็เราน่ะ ไหนว่าจะมารับพี่ไปกินข้าว แล้วไหงมากินพี่แทน?” พี่วัฒน์ถามยิ้มๆ ผมรุนหลังแกให้เข้าไปอาบน้ำ มีเสียงพึมพำดังออกมา
“โห แดงเป็นปื้นเลย”
ผมแอบขำ ก็ผมตั้งใจตีตราเต็มที่เลยนี่

พี่วัฒน์มาหาผมได้สองวันแล้วครับ ตอนกลางวันแกก็นั่งๆ นอนๆ อยู่โรงแรมแถวบ้านผม บางทีแกก็จะลงไปเดินเล่นในซอย นั่งร้านกาแฟที่เริ่มเปิดประปราย ตอนเย็นผมก็รับแกไปกินข้าว ดูหนัง เดินห้างตามเรื่องไป วันนี้ผมเลิกสอนเร็วก็เลยมาหาแกตั้งแต่บ่ายสาม ตอนแรกว่าจะพาไปเดินห้างแล้วก็กินข้าว แต่พอนัวเนียกันไป นัวเนียกันมา สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไหน
“เออ พี่ เราไปแวะชมรมก่อนได้ป่าว” ผมถาม
“ได้สิ พี่จะได้แวะทักอ. สุทัศน์ด้วย ไม่รู้วันนี้แกมาไหม”
พี่วัฒน์กับอ.สุทัศน์อยู่สายธรณีฯ เหมือนกัน คราวที่แล้วที่แกมาผมเลยพาแกมาแนะนำให้อ.รู้จักด้วย
ผมเดินจับมือกับพี่วัฒน์ลงบันไดมาถึงชมรม พวกรุ่นน้องก็วี้ดวิ้วแซวกันยกใหญ่

“มิน่าล่ะ หายหน้าหายตา แฟนมานี่หว่า”
เสียงใครสักคนแซว ผมแอบหน้าแดงนิดๆ กับคำว่าแฟน ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนักครับ กับพี่ภูมิ ผมเรียกแกว่าแฟนไม่ได้เต็มปากนัก แต่กับคนนี้ ผมว่าผมใช้คำนั้นได้ ผมหันไปเจอตาคมที่ฉายแววยิ้มๆ จากร่างสูง ผมรีบปล่อยมือพี่วัฒน์อย่างไม่รู้ตัว  ผมแนะนำรุ่นน้องชมรมให้พี่เขารู้จัก บางคนก็เจอกันแล้วจากตอนแกมาครั้งก่อน แต่บางคนยังไม่เคยเจอเพราะไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย

“นี่ไอ้เด็กเปรตราฟา...” ร่างสูงเบ้หน้า
“ทำไมต้องติดยศให้ผมด้วยอ่ะ?”
“ก็มึงอ่ะ กวนตีนตลอด” ผมจิกมันไป อ๊ะ...ตายล่ะ เสียภาพพจน์หมด
“หิวน้ำหรือเปล่า? พี่ไปซื้อน้ำให้ เดี๋ยวมานะ”
พี่วัฒน์เดินขึ้นไปที่แคนทีน ผมมองตามอย่างชื่นใจ ที่แล้วมามีแต่ผมที่เป็นฝ่ายเอาใจคนอื่น ตอนนี้มีคนมาคอยดูแล ผมงี้ชอบมาก

“ว่าแต่มาทำไมอ่ะ พี่นพ ชมรมจะเลิกแล้ว”
“เอ๊า ก็พาพี่วัฒน์มาให้รู้จักไง”
“จะอวดแฟนว่างั้นเหอะ...” ไอ้นี่ รู้ทันอีก
“เดี๋ยวจะพาพี่เค้าไปกินข้าว ก็เลยว่าจะมารับมึงกลับบ้านด้วย วันนี้เหยี่ยวไม่มานี่?”
ทุกวันที่มาชมรม ราฟาจะกลับบ้านกับผมไม่ก็เหยี่ยวแล้วแต่ว่าวันนั้นมันไปชมรมไหน ผมยังทำตามคำฝากฝังของอ. สดศรีอย่างเคร่งครัดครับ ไอ้ตัวดีทำหน้าเกรงใจ
"จะดีเหรอพี่ เกรงใจอ่ะ..."
“...งั้นไปกินข้าวด้วยได้ป่าว วันนี้แม่กับปะป๊าไม่อยู่บ้าน ไม่มีอะไรกิน” อืมม์ มึงเกรงใจมาก

เรามากินข้าวกันที่ร้านอาหารแถวหลังม. ผมนั่งยิ้มๆ มองไอ้ตัวแสบยิงคำถามสัมภาษณ์พี่วัฒน์ที่ดูงงๆ ว่าไอ้เด็กนี่มาด้วยได้ไง ช่วยไม่ได้ ผมทนสายตาอ้อนวอนมันไหวที่ไหน ตาคมคู่นั้นตอนนี้กำลังแอบเหล่ไปที่ปื้นแดงๆ ที่ซอกคอและแผงอกที่เห็นรำไรจากคอเสื้อ มันอาศัยจังหวะที่พี่วัฒน์ไปเข้าห้องน้ำหันขวับมาถามผม

“เห้ย ทำรุนแรงอะไรกันขนาดนั้น?”
“รุนแรงอะไร? ไม่เก็ตว่ะ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เล่นซะคอลายเป็นดัลเมเชี่ยนเลยนะ พี่นพ...” มันก็ช่างเปรียบ
“มิน่าล่ะมาชมรมช้า ที่แท้ก็มัวแต่...” มันยิ้มกริ่ม
“เห้ยๆ พอๆ หยุดๆ ไอ้นี่ ลามปามๆ” ผมหน้าร้อนวูบเมื่อโดนมันแซว
“แล้วคนนี้น่ะ ตัวจริงหรือยัง?”
มันซึ่งรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่ผ่านๆ มาของผมถาม สำหรับพี่วัฒน์ มันก็รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น รู้ว่าเราเริ่มกันจากแค่เรื่องเซ็กส์
“ไม่รู้ว่ะ...” ผมลังเลที่จะตอบ
“...ตอนนี้มันก็ยังหนักไปทางอย่างว่าอยู่ แต่คุยๆ กันกูก็ว่าเค้าเป็นคนดี ซื่อๆ จริงใจ แถมยังตามใจกูด้วย”
“พี่รักเขาไหมล่ะ?” ราฟาถามอย่างจริงจัง
“คือ...ตอนนี้ถ้าจะให้บอกว่าคนนี้เป็นแฟนใช่ไหม? ใช่ พี่วัฒน์เป็นแฟนกู...”
“...แต่ถ้าจะให้บอกว่ารักไหม? ก็บอกไม่ได้ว่ะ กูก็ยังเข็ด ยังไม่พร้อมเปิดใจให้ใคร พี่ภูมิทำกูเจ็บเหลือเกิน ...”
ปลายเสียงของผมสั่นเครือ ราฟาถอนหายใจ แล้วพูดว่า

“ถ้าคิดอะไร พี่นพก็บอกเขาไปตรงๆ อย่ามัวแต่ปิดบังความรู้สึกตัวเอง ไม่งั้นอะไรๆ ก็อาจสายเกินไป เหมือนผมอ่ะ”

ผมรู้ว่ามันพูดถึงน้องออยล์ รักแรกตอนมัธยมของมัน ผมเข้าใจที่มันสื่อ แต่จะให้ผมบอกความจริงในใจผมเหรอ? จะดีจริงๆ เหรอ? ผมว่า ผมไม่พูดออกไปน่าจะดีกว่า

“อ้าว ทำหน้าเครียดกันเชียว คุยอะไรกันอยู่” พี่วัฒน์ (ที่เข้าห้องน้ำนานโคตร) ทรุดตัวลงนั่ง
“ไม่มีอะไรพี่ คุยเรื่องเรียนไอ้ราฟามันนิดหน่อย ไปกินขนมกันต่อไหมพี่?”



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ --- Are You the One? ##
« ตอบ #9 เมื่อ: 13-07-2017 03:41:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- Wind of Change ----



มีนาคม 2546

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค ผมซึ่งคุมสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแต่เช้าก็มานอนอ่านการ์ตูนอยู่ในชมรม วันนี้ผมมารอใครบางคนเพราะผมมีเรื่องสำคัญจะบอกมัน

จำได้ใช่ไหมครับว่าผมมาเป็นอาจารย์พิเศษเพราะเป็นความประสงค์ของย่า คุณย่าของผมเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในจังหวัดเชียงใหม่และเป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ของบ้านเรา ตระกูลของย่าทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ย่าผู้ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ด้านการเรียนของผมและน้องๆ กลับอยากให้ผมประสบความสำเร็จทางวิชาการมากกว่า ผมจึงต้องเดินทางสายนี้ จริงๆ แพลนคือผมต้องไปเรียนต่อนอกในระดับป.โทและเอก แต่ผมขอผัดผ่อนมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น คุณย่าที่แสนจะแข็งแรงของผมป่วยและเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน แผนเรียนต่อของผมก็จบตามไปด้วย ผมเองซึ่งไม่ได้ชอบงานสอนมากอยู่แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเลิกสอนและกลับไปช่วยในธุรกิจของครอบครัวแทน ที่ผมมาชมรมวันนี้ ก็เพื่อจะมาบอกลาพี่ๆ น้องๆ ชมรม

“ราฟา...มานี่หน่อย”
ผมกวักมือเรียกร่างสูงที่เดินสะพายเป้ฟังซีดีเข้ามาในชมรม มันเดินมานั่งข้างๆ แล้วยื่นหูฟังซีดีให้ผมข้างนึง
“เพลงใหม่ของ Chayanne อ่ะ ฟังดิ”  อ่ะ ฟังก็ฟัง


“Nunca imaginé, la vida sin ti
En todo lo que me plantié siempre estabas tu
Solo tu sabes bien quién soy
De dónde vengo y a dónde voy...”

ฉันไม่เคยจินตนาการถึงชีวิตที่ไร้เธอ
ในทุกสิ่งที่ฉันทำ เธอมักอยู่ตรงนั้นเสมอ
มีเพียงเธอที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน
ว่าฉันมาจากไหนและจะมุ่งไปที่ใด

มันแปลเพลงให้ผมฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่มันทำเป็นนิสัยไปแล้ว...เสียงหวานๆ ของ Chayanne ในวันนี้กลับคมเหมือนมีดที่กรีดไปกลางใจ

“Ohhh! Y ahora tu te vas, así como si nada
Acortándome la vida, agachando la mirada
Y tu te vas
Y yo que me pierdo entre la nada (y tu te vas)
Dónde quedan las palabras y el amor que me jurabas
Y tu te vas ohohhhhh...”

แล้วตอนนี้เธอกลับจากไปเหมือนไม่มีอะไร
เธอบั่นทอนชีวิตฉัน ขยี้มัน
แล้วเธอก็ไป ส่วนฉันหลงอยู่ในความว่างเปล่า
แล้วเธอก็ไป เหล่าถ้อยคำและความรักที่เธอเคยสัญญาให้ฉันนั้นอยู่ที่ไหน?
แล้วเธอก็ไป...

(ํY Tu Te Vas -- Chayanne https://www.youtube.com/watch?v=ODsqyfI5R28)

ผมส่งหูฟังคืนให้มัน...แล้วเริ่มชวนมันคุย
“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วนะ?” ผมถามขึ้น...
“เอ ไม่เคยนับว่ะ พี่นพ” มันนับนิ้ว...
“11 ปีมั้ง? แต่ที่เจอกันบ่อยๆ นี่ก็ ตั้งแต่ผมอยู่ม. 4 ก็...จะแปดปีละมั้ง มีอะไรเหรอ?”
“...” ผมนั่งนิ่ง
“มีอะไร? วันนี้พี่แปลกๆ ว่ะ” น้ำเสียงนั้นฟังดูกังวล
“มึงรู้ใช่ไหมว่าย่ากูเสียแล้ว” มันพยักหน้า
“รู้ใช่ไหมว่าที่กูมาสอนทุกวันนี้ เพราะตามใจเค้า...”
“กูก็ไม่ได้ชอบสอนอะไรนักหรอก ตอนนี้เลยคิดว่าจะเลิกแล้วล่ะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในม.ของกู”
ผมพูดเบาๆ
“แล้วถ้ากลับไปทำงานกับที่บ้าน ก็ไม่รู้จะได้ว่างเข้ามาที่นี่ มาเจอพวกมึงอีกไหม”
ผมหลบตามัน รู้สึกร้อนๆ ที่หางตา

เพี๊ยะ! ไอ้เด็กเวรมันตบหัวผมครับ

“เพี้ยนไปแล้ว ไอ้พี่นพ” ...ครับ...มันลามปามครับ
“ผมก็ตกใจนึกว่ามีอะไร แค่ไม่ได้เข้ามาในม.แค่นี้ ทำเหมือนจะตาย” มันโวยใส่ผม
“เบอร์โทรศัพท์ก็มี บ้านอยู่ไหนก็รู้ ชมรมก็ไม่ได้ล้อมรั้วห้ามคนนอกเข้า ก็มาสิ ไม่ใช่ว่าจะได้ห่างกันตลอดชีวิตหรือไปแล้วไปเลยที่ไหน”

มันบ่นผมเสียยืดยาว ก็ถูกของมัน แต่มันจะเหมือนเดิมไหม? เมื่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป ความรู้สึกของผมจะต่างจากเดิมหรือเปล่า? ผมนึกไปถึงต้า พี่เป้ พี่เดียว หรือกระทั่งพี่ภูมิ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคนเหล่านั้นไม่อยู่รอบกายผม พวกเขากลับเลือนหายไปจากใจผมได้เหลือแต่เพียงรอยเงาจางๆ แต่กับเจ้าเด็กคนนี้ ผมไม่อยากลืม ผมอยากจำ ผมอยากมีภาพมันอยู่ในใจไปตลอด

“ว่างๆ ก็มาหากันมั่ง อย่าหายหัวไปเลย เข้าใจป่าว? บ้านก็อยู่ใกล้ม. แค่นี้” มันยังสั่งสอนผมไม่เลิก
“อือ ก็ได้ ตามนั้น”
“ทำเหงาเป็นไก่ป่วย ไอ้เราก็นึกว่าป่วยหนักหรือว่าอะไร”  มันบ่นพึมพำ
“โอเคๆ ไม่จ๋อยก็ได้ ป่ะ งั้นไปกินหนมกัน” ผมทำร่าเริงแล้วดึงให้มันลุกขึ้น
“นี่ก็กินตลอด อ้วนขึ้นอีกแล้วนะ พี่นพ” มันขยำพุงผม แล้วลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินออกชมรม
“เออ กูรู้ตัว จะกินไหม?” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มัน
“กิน!!!”
“...”



5 กรกฎาคม 2547

ผมทำงานกับออฟฟิศของที่บ้านมาได้ปีกว่าแล้ว ไม่บอกแล้วกันนะครับว่าทำอะไรเพราะมันก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ชีวิตผมผ่านไปวันๆ กับการเรียนรู้งานใหม่ เข้าออกงานตามเวลาออฟฟิศทั่วไป  ช่วงแรกๆ หลังเลิกงานตอนห้าโมงเย็น ผมก็รีบฝ่าการจราจรแวะไปที่ชมรมอยู่บ้างหรอกครับ แต่หลังๆ ผมก็มักไปห้างมั่ง หาร้านกาแฟนั่งมั่ง ส่วนหนึ่งก็เพราะผมไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอีก ในช่วงหลังผมแทบไม่เจอร่างสูงนั้นที่ชมรม ราฟาไปขลุกอยู่ชมรมดนตรีแทบจะเต็มตัว ผมเองก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะพอแม่ไม่อยู่และน้องสาวคนกลางลงไปทำงานที่กทม. ก็เหลือแค่ผมกับน้องคนเล็กที่ต้องคอยดูพ่อ จะกลับค่ำกลับดึกก็ไม่สะดวกนัก ผมเลยได้เจอมันบ้างตอนชมรมดนตรีมีคอนเสิร์ตหรือจัดงาน

พอเดือนมีนาคมมันเรียนจบ พวกเราก็ยิ่งไม่ได้เจอกันไปใหญ่ มีนัดเจอกันข้างนอกบ้าง กินข้าวบ้าง กาแฟบ้างซึ่งบางทีก็มีเหยี่ยวและน้องซอลมาด้วย ผมโทรคุยกับมันนานๆ ที ซึ่งหลังๆ มานอกจากจะถามสารทุกข์สุขดิบ มันก็ยังต้องรับบทศิราณีให้ผมอีก อย่างวันนี้เป็นต้น

“...เออ แล้วพี่วัฒน์เป็นไงมั่งพี่? ได้ด๊อกยัง?”
“ไม่ต้องพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยินเลย” ผมหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อพี่วัฒน์
“อะไร ตีกันอีกแล้ว?” มันถามอย่างเอือมๆ
“เออ ดิ แม่ม กลับมาไทยรอบนี้ไม่ว่างมาหากูสักนิด” ผมบ่นด้วยความเซ็ง

“...บอกว่าต้องไปออกฟีลด์ทั้งเดือน อะไรนักหนาวะ? ว่างสักนิดก็ไม่มีเลยรึไง?”
 ผมพูดถึงการออกสำรวจพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลทางธรณีวิทยาประกอบการทำวิทยานิพนธ์ของแก
“พี่นพก็ไปกับเขาเลยสิ จะได้ไปดูเขาทำงานด้วย เค้าจะได้เห็นว่าพี่ใส่ใจงานของเขา”
“เออ เข้าท่าว่ะ งั้นเดี๋ยวพี่โทรถามก่อนว่าแกสะดวกพาพี่ไปด้วยไหม...”

ผมกำลังจะวางสายแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ...เกือบลืม...สุขสันต์วันเกิดว่ะ”
“แหม...นึกว่าจะลืมซะแล้ว” ผมรู้สึกได้ว่าที่ปลายสายนั้นต้องยิ้มอยู่แน่ๆ



มกราคม 2548


ครึ่งปีที่ผ่านมานี้วุ่นวายพอสมควรครับ น้องชายคนเล็กของผมซึ่งพึ่งเรียนจบตัดสินใจขอพ่อเปิดร้านกาแฟที่หน้าบ้าน เราวุ่นวายกับการก่อสร้างเตรียมนั่นเตรียมนี่ กว่าจะเปิดได้ก็ปาเข้าไปเกือบปลายปี ร้านเป็นของมันโดยที่ผมจะเป็นคนช่วยดูร้านให้บ้างในตอนเย็นและสลับกันขึ้นไปจัดการเรื่องอาหารให้พ่อ จะจ้างแม่บ้านเค้าก็ไม่ยอมครับ ส่วนวันอาทิตย์ที่เป็นวันว่างเดียวที่มี ผมก็จะมาช่วยที่ร้านเต็มวัน ฉะนั้นเวลาว่างของผมก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก เวลาที่จะนัดเจอเพื่อนฝูงก็หดหายไป

ส่วนราฟา ที่บ้านมันย้ายออกจากบ้านพักอาจารย์ในม. หลังอ. สดศรีเกษียณ ต่อให้ย้ายไปไม่ไกล ก็ไม่ได้ใกล้บ้านผมเหมือนเดิม มันรับงานฟรีแลนซ์เป็นนักเขียนภาษาต่างประเทศประจำนิตยสารท้องถิ่นเล่มหนึ่งและยังรับงานแปลบ้าง ฉะนั้นงานของมันส่วนใหญ่ก็คือนั่งทำอยู่ที่บ้านก็เลยได้เจอกันน้อยลง แต่ราฟาและบางทีก็มีเหยี่ยวและซอลด้วยก็แวะเวียนมาหาผมที่ร้านบ้าง แม้ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอเลย อย่างน้อยก็ได้จิกกัดกันไปมา เฮฮาเหมือนเดิมครับ

แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ไอ้เด็กเปรตมันจะรับปริญญาครับ มันกำชับให้ผมต้องไปถ่ายรูปกับมันในวันซ้อมใหญ่ให้ได้ พอถึงเวลานัด ผมก็เดินจากบ้านไปหอประชุมที่อยู่ไม่ไกล พอเข้าไปถึงก็หาตัวมันได้ไม่ยากครับ สูงเป็นเปรตซะขนาดนั้น แต่พอเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปใกล้ หัวใจผมที่ลิงโลดกลับห่อเหี่ยวลง ข้างกายมันมีหญิงสาวร่างเล็กบอบบางยืนอิงแอบ มือของทั้งสองประสานกันแน่น


“อ้าว พี่นพ มาซะที” ราฟายิ้มกว้างให้ผม ผมยิ้มตอบ...แต่รอยยิ้มผมมันคงฝืนน่าดู
“แจง นี่พี่นพ พี่ชมรมที่ผมเคยเล่าให้ฟัง พี่นพ นี่แจง แฟนผม”
แฟน...แฟน...แฟนอะไรวะ? มันไปทันมีแฟนเมื่อไหร่? สมองผมตื้อไปหมด

“สวัสดีค่ะ พี่นพ” แจงยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
แจงเป็นหญิงสาวร่างบางน่าทะนุถนอม หน้าตาจิ้มลิ้มนั้นดูสดใสแม้จะทาแค่แป้งและลิปสติกบางๆ
“ราฟาเค้าเล่าเรื่องพี่ให้ฟังเยอะเลย ขอบคุณจริงๆ นะคะ ที่คอยดูแลเค้ามาตลอดสิบกว่าปีนี้”
รอยยิ้มของแจงจริงใจจนผมต้องยิ้มตอบ ผมทำเป็นหัวเราะ แซวทั้งสองคนจนเขินม้วนกันไป หลังจากซักถามแล้วถึงรู้ว่าทั้งสองคบกันมาได้เกือบปีแล้วโดยการแนะนำของเพื่อนของทั้งสอง

“มาถ่ายรูปกันดีกว่าค่ะ พี่นพ เดี๋ยวแจงถ่ายให้”
น้องแจงจัดท่าให้ผมกับราฟายืนถ่ายรูปคู่กัน มันโอบไหล่ผม แต่ผมแอบขยับตัวห่างมันน้อยๆ หวังว่ามันคงไม่สังเกตว่ายิ้มของผมนั้นฝืนแค่ไหน...จากนั้นผมก็ช่วยถ่ายรูปให้มันกับแจง สายตาเปี่ยมรักที่มันมองแฟนสาวของมันนั้นทำให้ผมรู้ว่าผมไม่มีวันเป็นคนที่อยู่ในสายตาของมันได้อีก
‘ไอ้นพ มึงเป็นพี่มัน อย่าลืมสิ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันก็มองมึงเป็นพี่มาตลอด อย่าสำคัญตัวเองผิด’ เสียงในหัวผมกำชับ
‘จงเป็นแค่พี่ที่ดีของมัน อย่าพยายามเป็นอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นมึงจะเสียมันไปตลอดกาล’



5 กรกฎาคม 2548

“แฮ้ปปี้ เบิร์ธเดย์ว่ะ ไอ้เด็กเปรต”
ผมโทรไปสุขสันต์วันเกิดมันตอนเที่ยงคืนแบบที่ทำทุกปี
“ขอบคุณครับ...ว่าแต่พี่นพ ทำไมวันนี้เสียงแปลกๆ เป็นหวัดเหรอ?”
มันถามอย่างสงสัย... มันรู้จักผมดีเกินไปแล้ว

“ราฟา...มึง...ฮึกๆๆ” ผมทนกลั้นสะอื้นต่อไปไม่ไหว จนปล่อยโฮมาในที่สุด
“เห้ย เป็นอะไร? มีอะไรพี่?”
“กูทนไม่ไหวแล้ว ทนพี่วัฒน์มันไม่ไหวแล้ว”

พี่วัฒน์กับผมเราคบกันทางไกลมาหลายปี ในที่สุดเมื่อเดือนพฤษภาที่ผ่านมาแกก็เรียนจบแล้วกลับมาไทยถาวรในที่สุด เนื่องจากเป็นเด็กทุน ข้อบังคับคือต้องทำงานใช้ทุนกับสถาบันรัฐเป็นเวลา 10 ปี ผมรู้ว่าแกเองคงอยากทำงานกับม.สีชมพูที่แกจบมา แต่ผมก็ว่าอยากกล่อมแกให้ขึ้นมาทำงานที่ม.เชิงดอย ผมบอกแกว่าจะลองถาม อ.สุทัศน์ที่ชมรมฟันดาบซึ่งสอนธรณีฯ เช่นกันดูว่ามีตำแหน่งเปิดไหม มันก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้อยู่ด้วยกันเต็มเวลาเสียที ผมพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตคู่เต็มตัวกับแกแม้เราจะยังจูนกันได้ไม่ติด 100% แต่นั่นก็เพราะเราไม่เคยได้ใช้ชีวิตด้วยกันจริงๆ สักที เราเรียนรู้กันและกันผ่านโทรศัพท์และตัวอักษรเสียส่วนใหญ่ ผมจึงมองว่าการมาอยู่ด้วยกันเป็นก้าวสำคัญสำหรับเรา แต่เมื่อผมลองแย็ปๆ ถามแกว่าสนใจมาอยู่เชียงใหม่ไหม คำตอบที่ได้คือ

‘อือ ถ้าเกษียณแล้วพี่ก็อยากขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เหมือนกัน’

“แบบนั้นแหละ...ฮึกๆ มันพูดออกมาได้ยังไง? กูอุตส่าห์ชวนแล้ว...” ผมพูดทั้งน้ำตา
“...”
ปลายสายฟังผมระบายออกมาอย่างเงียบๆ

“กูอุตส่าห์เปิดใจให้แล้ว พร้อมที่จะก้าวไปพร้อมๆ กัน แต่มาทำกับกูแบบนี้”
"ทุกวันนี้เหมือนมีแต่กูคนเดียวที่คิดถึงเรื่องอนาคต...ที่ผ่านมามีแต่กูคนเดียวใช่ไหมที่พยายาม? จะขึ้นมากูก็หาตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบินให้ โรงแรมกูก็จองให้ มันไม่เคยต้องทำอะไรสักนิด แค่จ่ายตังค์อย่างเดียว..."

“...กูเลยบอกมันไปว่า งั้นต่อแต่นี้ ระหว่างเราสองคนจะมีแค่เรื่องทางกายเท่านั้น ถอยกลับไปเหมือนวันคบกันวันแรก ถ้ามันอยากนัก ก็หาทางมาหาเอง ทำกัน แล้วก็จบ”
“พี่นพคิดดีแล้วเหรอ?” มันเปิดปากถามผม
“ตลอดเวลาที่คบกัน พี่นพเคยแสดงให้พี่เขาเห็นหรือเปล่าว่าพี่แคร์เขาหรือรักเขาขนาดไหน?...”
“...เจอหน้ากัน ผมก็เห็นพี่เอาแต่ชวนทะเลาะ..."

นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเฝ้าถามตัวเองทุกครั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่วัฒน์ สิ่งผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำดูกลายจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมมักหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
"...เป็นผม ผมก็ไม่ขึ้นมาอยู่ด้วยหรอก ไม่รู้ว่าพี่นพจะจริงจังด้วยแค่ไหน" มันเทศนาต่อ
“พี่เขาพูดไม่ค่อยเก่ง พี่นพก็รู้ เขาไม่เหมือนพี่ภูมิที่พูดอะไรออกมาก็ถูกใจพี่นพไปหมด พี่กำลังเอาเขาไปเทียบกับใครหรือเปล่า?”
ผมหน้าชา...ข้อนี้ผมก็รู้เช่นกัน พี่วัฒน์เป็นหนุ่มเนิร์ด จริงอยู่ที่ตอนแรกผมถูกใจความรอบรู้ของเขา แต่เมื่อคุยกันไปนานเข้า กลับกลายเป็นว่าแกเป็นคนพูดน้อย และไม่ค่อยมีปากมีเสียง บางครั้งที่เราทะเลาะกัน การที่แกเงียบหรือยอมผมยิ่งทำให้ผมโมโหหนักขึ้นไปอีก ที่บอกว่าอยากมาอยู่เชียงใหม่หลังเกษียณนั้นก็เป็นการพูดออกมาแบบซื่อๆ

พี่วัฒน์ไม่ใช่คนมีคาริสม่าหรือเป็นคนเด่นเป็นผู้นำแบบที่ผมชอบ ราฟาพูดถูกว่าผมกำลังเอาแกไปเทียบกับคนอื่น แต่ผมบอกมันไม่ได้หรอกครับว่าคนที่ผมเอาพี่วัฒน์ไปเปรียบด้วยนั้นไม่ใช่พี่ภูมิ...แต่เป็นเจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังตำหนิผมอยู่นี่

“ถามจริงๆ พี่รักพี่วัฒน์หรือเปล่า?”
“...” ผมเงียบไปพักใหญ่
“กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดยังไง...” ผมพูดออกมาเบาๆ
“พี่วัฒน์ยอมกูทุกอย่าง กูจะร้ายจะแรงใส่ยังไง แกก็ยอม แต่นั่นคือความรักแน่เหรอ? ถ้ารักแล้วต้องทน มันก็ไม่ต่างกับกูกับพี่ภูมิ”
ผมน้ำตาร่วงเมื่อนึกถึงวันเวลาอันแสนเลวร้ายนั้น
“กูไม่ได้อยากใจร้ายกับแก แต่ไม่รู้ทำไม มันอดไม่ได้ทุกที” มันถอนหายใจ
“ไปคิดมาดีๆ อ่ะ พี่ สำรวจใจตัวเองซะ จริงใจกับความรู้สึกตัวเองหน่อย ชีวิตคนเรามันสั้น ถ้าเราไม่พูดความรู้สึกจริงๆ ตัวเองออกมา สักวันหนึ่งอาจต้องนึกเสียใจถ้าเราไม่มีโอกาสได้พูดอีก...” ผมนิ่งฟังมัน...

“...เหมือนผมกับแจงอ่ะ เนี่ยถ้าผมไม่ไปสารภาพรักกับเค้านะ ก็คงไม่รู้ว่า...”มันทำเสียงเพ้อ
“หยุดๆ พอๆ มึงเล่ามาสามสิบรอบละเรื่องเลิฟๆ ของมึงน่ะ กูจะท่องได้แล้ว รู้ว่าเห่อแฟน” ผมแซวมัน...
“ไว้กูจะเก็บที่มึงพูดไปคิดแล้วกัน ขอโทษจริงๆ ที่มารบกวนเรื่องไม่เป็นเรื่องในคืนวันเกิดมึงแบบนี้ แต่ช่วยได้มากจริงๆ ว่ะ”
“...ถ้าไม่มีมึง กูจะอยู่ยังไงวะ?” นี่คือความรู้สึกแท้จริงที่ผมพูดออกไปในวันนี้

สามวันให้หลัง...
“ราฟา ขอความช่วยเหลือหน่อยดิ...” ผมโทรไปหาไอ้ตัวแสบ
“กูจะหยุดงานไปแบ็คแพ็คคนเดียวที่สเปนสามสัปดาห์ช่วงเดือนกันยา ขอข้อมูลหน่อย”
“...แล้วมึงสอนภาษาสเปนให้หน่อยนะ จ้างก็ได้ กูกลัวอดข้าว”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 05:20:07 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- My Black, Black Heart ----


ตุลาคม 2548


ผมกลับจากสเปนแล้วครับ มันเป็นสามสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมมาก ประเทศสเปนช่างวิเศษจริงๆ มันเต็มไปด้วยสีสันทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม อาหารและแน่นอนว่าผู้คนด้วย หนุ่มๆ ที่นั่นเป็นอาหารตาชั้นดีเลยครับ ผิวแทน ใบหน้าหล่อเหลาได้รูป ตาวับวาวเป็นประกาย ผมงี้น้ำลายหก แต่...อย่าถามครับว่าได้กี่คน เพราะตอนนี้ผมขอแค่ดูอย่างเดียว จุดประสงค์หลักของผมไม่ใช่ไปหาผู้ แต่คือการไปสำรวจใจและค้นหาตัวเอง ไปใช้ชีวิตกับตัวเองสักพัก

หลังจากคุยกับราฟาในวันเกิดของมัน ผมโทรไปเคลียร์กับพี่วัฒน์ ผมบอกแกว่าผมขอห่างกันสักพัก ผมขอไปสำรวจใจตัวเองก่อนว่าผมคิดกับแกแบบไหน และให้แกไปคิดมาแน่ๆ ว่าสำหรับแกแล้ว ผมเป็นอะไร และในวันนี้ผมนัดคุยกับแบบต่อหน้ากับพี่วัฒน์ซึ่งเดินทางมาเชียงใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“ผมมีคำตอบให้พี่แล้ว”
ร่างเพรียวที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมรอฟังอย่างตั้งใจ
“ผมยังไม่พร้อมที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีวันกลับไปเป็นแบบนั้นได้ไหม”
ใบหน้านั้นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่มีคำประท้วงใดออกจากปากอิ่มที่เม้มจนแน่น

ผมอธิบายให้พี่วัฒน์ฟังว่าตอนที่ผมอยู่คนเดียว ผมค้นพบว่าสิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้คืออิสระปราศจากพันธะใดๆ ผมใช้ชีวิตผูกติดและคอยวิ่งตามหารักจากคนอื่นตลอดชีวิต ตั้งแต่ต้า พี่เดียว และที่แย่ที่สุดคือ พี่ภูมิ

“ผมไม่รู้จักความรักหรอกพี่ ที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะกับพี่ภูมิมันเป็นแค่ความหลงใหล ความใคร่ ความอยากมีใครสักคนมาใกล้ๆ กับพี่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพียงความต้องการที่จะทดแทนความรู้สึกเจ็บปวดที่พี่ภูมิทำไว้หรือเปล่า และผมไม่อยากที่จะเจ็บอีกแล้ว”
ถึงตอนนี้ตาของพี่วัฒน์เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา
“ผมผิดเองที่พาพี่เข้ามาในวังวนนี้ ผมไม่อยากให้พี่ถลำลึกลงไปอีก พี่ยังสามารถกลับตัว ไปมีครอบครัว ไปหาคนที่จะรักพี่ พร้อมอยู่กับพี่ในทุกที่ไปตลอดชีวิตได้”

ผมยอมรับว่ายังแอบน้อยใจเรื่องที่พี่วัฒน์ปฏิเสธการมาอยู่กับผมที่เชียงใหม่ แต่เมื่อผ่านการตรึกตรองแล้ว นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาดูสถานการณ์ของเราสองคนที่เจอหน้ากันปีละไม่กี่ครั้ง ได้คุยกันแค่ตัวหนังสือและโทรศัพท์ ใครจะพร้อมเอาอนาคตตัวเองมาเสี่ยงกับผม? ผมเองก็ไม่พร้อมที่จะลงไปอยู่กรุงเทพฯ กับเขา แล้วจะเหลือทางอื่นใดให้เราอีก?

“...อย่ามาหวังความรักจากผมเลย ในเมื่อพี่เองก็ยังไม่พร้อม ผมเองก็ไม่สามารถให้ใจพี่ได้อีก เราก็ควรจากกันก่อนที่จะทำร้ายกันมากไปกว่านี้”
ผมตัดสินใจหักดิบ ผมไม่เถียงว่าผมตลอดหลายปีมานี้ ผมรู้สึกดีๆ กับพี่วัฒน์ แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่จากการที่เป็นฝ่ายถูกรัก ถูกเอาใจ แต่นั่นจะใช่ความรักไหม ผมไม่แน่ใจ และผมไม่อยากให้ความไม่แน่ใจนี้มายึดคนดีๆ คนหนึ่งไว้กับผม ผมควรปล่อยให้พี่วัฒน์เป็นอิสระ
พี่วัฒน์ก้มหน้านิ่ง กายสั่นน้อยๆ พร้อมปล่อยโฮมาอย่างสุดกลั้น ผมสะท้านใจวูบ ภาพของผมที่ร้องไห้เพราะพี่ภูมิซ้อนทับกับร่างเพรียวเบื้องหน้า

“นพอย่าพูดแบบนี้เลย จะให้พี่ทำอะไรก็ได้ พี่ยอมทุกอย่าง...”
ใบหน้าเปรอะน้ำตานั้นทำให้ผมแทบใจอ่อน แต่ผมมีคำตอบสำหรับเหตุการณ์นี้แล้ว
“งั้น...ถ้ายังอยากเจอหน้ากันต่อไปก็ได้ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขผม...”
พี่วัฒน์ปาดน้ำตา พยักหน้ารัวๆ ผมถอนหายใจ
“ผมอยากให้พี่จำไว้ว่าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ใช่แฟน ถ้าพี่วัฒน์มาเชียงใหม่ผมก็ต้อนรับตามปกติ ถ้าอยากขึ้นมาก็เรียกหากันได้ ผมไม่มีปัญหา แต่เราอย่าคิดผูกมัดหรือผูกพันกัน จำไว้ว่าเราทั้งคู่ไม่มีพันธะต่อกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจอคนที่ถูกใจ อีกฝ่ายต้องปล่อยไป ถ้าผมหงุดหงิดใส่หรือทะเลาะด้วย ด่าได้ไม่ต้องมานั่งเกรงใจ และไม่จำเป็นต้องมาเอาใจมาก คิดว่าผมเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็พอ”
ผมร่ายยาวพลางรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในอก ที่ผมพูดนั้นแทบไม่ต่างกับที่ภูมิเคยพูดกับผมและผมรู้ว่าคนฟังจะรู้สึกเจ็บแค่ไหน แต่ผมไม่อยากให้พี่วัฒน์มาหวังลมๆ แล้งๆ กับคนอย่างผม
'โดนแบบนี้ไม่มีใครทนไหวหรอก เดี๋ยวแกก็คงตัดใจเอง' ผมคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง
พี่วัฒน์นั่งนิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นเค้นเสียงออกมา
“พี่พร้อมทำตามเงื่อนไขของนพ แต่พี่แค่อยากบอกให้นพรู้ว่าพี่ไม่เต็มใจยอมรับสถานะเพื่อน...”
หยาดน้ำใสๆ ร่วงออกจากตาโศกนั้นอีกครั้ง
“...แต่ถ้ามันทำให้นพยอมพบหน้าพี่ต่อ พี่ก็ยอม”

ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเลวมากเลยครับ ผมดูคนที่พยายามกลั้นสะอื้นอยู่ข้างหน้าด้วยหัวใจที่สับสน ใจหนึ่งผมอยากดึงตัวพี่วัฒน์มากอด มาปลอบให้หายเศร้า แต่ผมไม่อยากทำให้แกเขวอีก ผมอยากทำให้แกตัดผมออกจากชีวิตให้ได้เร็วที่สุด
‘อย่าใจอ่อนนะ นพ อย่าใจอ่อน’ เสียงในหัวผมพูด

ผมรอดูจนพี่วัฒน์หยุดร้องให้ ส่งแกเข้านอนและกลับบ้าน คืนนั้นผมนอนไม่หลับ สุดท้ายผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาคนที่คอยรับฟังผมมาตลอด

“โหล ไหงโทรมาดึกเลยอ่ะพี่?”
“นอนแล้วเหรอ?” เด็กเปรตตอบว่ายัง ผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้มันฟัง ยิ่งเล่าผมยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองจนน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมา
“แม่ง กูมันเลวไม่ต่างกับไอ้พี่ภูมิเลยสักนิด”
มันนิ่งฟังผมฟูมฟายผ่านทางโทรศัพท์ จากนั้นถอนหายใจดัง...
“เห้อ ตัวก็เคยเจอแบบนั้นมาแล้วจะทำแบบนั้นทำไม?”
“กูก็ไม่รู้ ก็แค่อยากให้เขาตัดใจ ไม่อยากให้เขามาเสียเวลางมอยู่นี่”
“แล้วเขาเคยพูดเหรอว่าเขาเสียเวลา?”
มันทำเสียงขรึม ผมส่ายหน้า ลืมไปว่าทางนั้นมองไม่เห็นหรอก
“กูแค่รู้สึกว่ากูไม่สามารถรักใครได้อีกอ่ะ อย่างน้อยไม่ใช่ในตอนนี้ กูยังไม่พร้อมที่จะเจ็บอีก แล้วกูไม่อยากให้เขามารอ” ผมพึมพำ
“ก็เลยจะผลักไสเขาไปซะงั้น?” มันถาม
“แล้วพี่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีกับพี่เขา?” มันทำเสียงเข้ม

ผมนิ่ง...ไร้คำตอบ

“เอาเหอะ ไหนๆ พี่นพก็ทำไปแล้ว ผมพูดอะไรไปก็คงเท่านั้น แต่ผมขออะไรอย่างได้ไหม?...”
“ผมอยากให้พี่ให้โอกาสพี่วัฒน์เขาบ้าง ถ้าพี่เขาไปเจอคนใหม่ตามที่พี่อยากให้เขาไป ก็ดีไป แต่ถ้าพี่เขาเกิดไม่ยอมไปไหน ผมอยากให้พี่ลองพิจารณาดูหน่อย บางทีคนๆ นี้อาจเป็นคนที่จะมาเติมเต็มพี่ก็ได้” มันเทศนาผมเสียยาว
“...ผมไม่อยากให้พี่ปิดใจเพียงเพราะประสบการณ์แย่ๆ ในอดีต...ตอนนี้พี่จะคบพี่เขาด้วยสถานะไหนก็แล้วแต่ แต่ในอนาคต ถ้าพี่วัฒน์เปิดใจพี่ได้ ผมอยากให้พี่นพยอมรับมัน อยากให้แสดงมันออกมา อย่าเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวไว้”

มันพูดถึงความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้อีกแล้ว ผมยิ้มหยัน...บางครั้งมันไม่ง่ายหรอกนะที่จะพูดในสิ่งที่ตัวคิดออกมาได้
“ไว้กูจะเก็บไปคิดดูแล้วกัน...” ผมตอบ
“ดื้อ!” เออ ด่ากูอีก

“เห้อออ พูดออกไปแล้ว สบายใจแล้ว” ผมทำเสียงแร่ด เอ๊ย ร่าเริง
“ไหนๆ ก็โทรมาคุยแล้ว มาเม้าเรื่องไปเที่ยวกันดีกว่า”
ผมพยายามปัดสิ่งที่อยู่ในหัวออก แล้วเล่าเรื่องราวที่พบเจอระหว่างการเดินทางให้มันฟัง

“มาดริดรถโคตรติดเลยว่ะ..”
“บาร์เซโลน่ามีแต่งานของเกาดี้เต็มไปหมด สวยแบบเข้าใจยากอ่ะ...”
“...เซวิย่านี่เจ๋งสุด ให้บรรยากาศสเป๊น สเปน...เดินเข้าออกร้านทาปาส จิบร้านละหน่อย แต่ก็เมาเละเลยมึง”
“หนุ่มสเปนหล๊อ หล่อ...” ราฟาสวนมาทันควัน
“ขอบคุณที่ชมครับ!”

ผมอึ้งไปแว่บนึง ก่อนที่เราจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน การคุยกับมันทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะ
“หัวเราะได้แล้ว แปลว่าสบายใจแล้วสิ?” มันถาม
“อือ สบายใจละ”
“ดีแล้ว งั้น ผมมีเรื่องดีๆ จะบอก ผมว่าจะบอกตั้งนานละ แต่พอดีพี่นพไม่อยู่”

“...ผมขอแจงแต่งงานแล้วอ่ะพี่”



############################

ได้ไงอ่ะ ราฟา????


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- For Your Precious Memories (ตอนจบ) ----


กันยายน 2549


ราฟาแต่งงานแล้วครับ พิธีจัดขึ้นที่โบสต์คริสต์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ใบหน้าของร่างสูงในชุดทักซิโดสีฟ้าเบบี้ บลูฉายแววแห่งความสุขพร้อมเกาะกุมมือบอบบางของน้องแจงไว้แน่นตลอดงาน ผมดีใจกับมันจริงๆ ที่ในที่สุดมันก็ได้คนที่จะมาดูแลมันตลอดชีวิตแล้ว เมื่อบาทหลวงประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามี ภรรยา เมื่อริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกัน ผมอดไม่ได้ที่จะกุมมือคนที่นั่งข้างตัว พี่วัฒน์บีบมือผมตอบเบาๆ ผมสะดุ้งเมื่อพี่วัฒน์ยกมือเช็ดหยาดน้ำใสๆ จากหางตาของผม ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลออกมาเมื่อไหร่...และทำไม

หลังพิธีทางศาสนา บ่าวสาวที่ยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขเรียกบรรดาสาวโสดในงานมารวมตัวกันหน้าโบสถ์ สาวๆ พวกนั้นเบียดเสียดกันเพื่อรอรับช่อดอกไม้จากเจ้าสาว ผมเดินหลบออกไปอยู่หลังกลุ่มสาวๆ ผมเห็นราฟากระซิบเบาๆ ที่หูน้องแจง พร้อมหัวร่อต่อกระซิกกัน ผมมองภาพนั้นเพลินๆ เมื่อ...

ตุ้บ!!!

ผมตะครุบช่อกุหลาบงามที่มากระทบอกผมแทบไม่ทัน
“อุ๊ย โยนแรงไปหน่อย ขอโทษนะเพื่อนๆ” สาวแจงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้หันไปขอโทษพวกสาวๆ  ผมหันไปมองไอ้ตัวแสบที่ปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่ ฝีมือมันแน่ๆ
“เอ้า ได้ช่อดอกไม้แล้ว รีบๆ หาคนแต่งด้วยได้แล้วพี่นพ” มันกระเซ้าผม แต่ตามองไปที่พี่วัฒน์นู่น หน้าผมงี้ร้อนไปหมดครับ ถ้าไม่ติดว่าเป็นงานแต่งมันผมจะไปเตะมันให้ซักป้าบ

ดอกไม้ช่อนั้นแขวนอยู่ที่หัวเตียงของผมนานหลายปีจนกระทั่งมันหลุดร่วงไปตามกาลเวลา



5 กรกฎาคม 2550


ปีนี้ผมไม่ได้โทรไปสุขสันต์วันเกิดมันครับ ที่จริงผมแทบไม่ได้โทรหามันแล้ว ผมไม่อยากรบกวนเวลามันกับน้องแจง ผมรู้ว่าน้องแจงคงไม่ว่าอะไรถ้าผมโทรไป แต่เป็นตัวผมเองที่ไม่สะดวกใจที่จะโทร เราเจอกันบ้างเมื่อมันมากินกาแฟที่ร้านก่อนที่น้องผมจะตัดสินใจปิดร้านตอนต้นปีที่ผ่านมาก จากนั้นก็เจอตอนเหยี่ยวชวนไปดูการแสดงนั่นนี่ เจอกันตามห้างบ้าง แต่เราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันยาวๆ อีก ตัวผมเองก็เริ่มไม่ค่อยมีเวลาว่าง ตอนนี้ผมอยู่บ้านกับพ่อแค่ 2 คน เพราะน้องชายได้งานที่กทม. หลังเลิกงานผมจะโต๋เต๋ทำนั่นทำนี่ของตัวเองสักพัก พอค่ำก็เข้าบ้านมาจัดการเรื่องอาหารให้พ่อ ผมว่าสิ่งที่ผมกลัวเมื่อตอนตัดสินใจเลิกสอนในม. กำลังเริ่มเป็นจริงแล้ว



ตุลาคม  2551


ผมเริ่มแฮงก์เอาท์กับกลุ่มเพื่อนใหม่ เราเป็นกลุ่มที่เจอกันทางพันทิป เรานัดกันกินข้าวเป็นประจำ ผมเริ่มสนิทกับน้องคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนใหม่เป็นพิเศษ น้องเจเป็นหนุ่มน้อยร่างบาง ผิวขาวท่าทางเรียบร้อย อิมเมจประมาณกระต่ายน้อยครับ แต่ใครจะรู้ว่าข้างในมันนี่คือเสือดีๆ นี่เอง สาวๆ น้ำตาตกเพราะมันมาเยอะแล้ว

ไอ้เด็กเจนี่มันแสบครับ มีครั้งนึง ผมบังเอิญไปเจอพี่ภูมิกับเมียแกที่สตาร์บัคส์ (ครับ เมีย ในที่สุดพี่ภูมิก็แต่งงานกับผู้หญิงที่แกคบหาอยู่จนได้) เราเดินชนกันก็เลยจำเป็นต้องทัก พอเจรู้ว่านี่คือพี่ภูมิ มันงี้รีบมาทำท่าประจ๋อประแจ๋ผม พอไปนั่งโต๊ะมันก็ทำจับมือจับไม้ผมโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ถ้าไม่ห้าม มันคงจูบปากผมไปแล้ว ผมรู้สึกเลยว่าพี่ภูมิมองตาม เจมันกระซิบผมว่าที่ทำงั้นเพราะอยากให้พี่ภูมิแกเห็นว่าผมมีชีวิตที่เป็นสุขดี

ชีวิตผมก็เป็นสุขดีจริงๆ ครับ ผมแบ่งเวลาระหว่างที่ทำงาน บ้านและชีวิตส่วนตัวได้แล้ว ผมยังคบหากับพี่วัฒน์ แต่ผมยังไม่ให้ใจผมไปเต็มร้อย เราคุยโทรศัพท์กันน้อยลงเนื่องจากยุ่งกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็พยายามหาเวลาเจอกันอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้งรวมทั้งหาทางไปเที่ยวไกลๆ กันปีละหน ผมก็ยังวีนแตกใส่แกบ่อยครั้ง ส่วนแกก็ทนเหมือนเดิม แต่เราก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

ปีนี้ทั้งปี ผมไม่ได้โทรคุยกับราฟาเลย มีแค่แชทคุยกันสั้นๆ เมื่อเจอมันออนไลน์ใน msn



กันยายน 2552


‘พี่นพ เฟซพี่มีแต่ของกิน มิน่าบวมเอาๆ’  นี่คือประโยคแรกที่มันทักผมหลังจากผมรับแอดมันในเฟซบุ้ค

'ไอ้เด็กเปรต! ในนี้ก็ยังปากด๊อกเหมือนเดิมนะมึง’ นี่คือคำต้อนรับของผม



5 กรกฎาคม 2553


“สุขสันต์วันเกิดว่ะ”

ผมพิมพ์ข้อความสั้นๆ ลงในเฟซมันพร้อมแนบรูปเค้กช็อคโกแลต ผมดีใจมากที่หามันเจอบนเฟซบุ้ค ตั้งแต่รับแอดมัน ผมได้รับรู้ถึงชีวิตของมันโดยตลอด รู้ว่ามันเข้าไปเรียนป. โทที่ม. และกำลังจะจบ ชีวิตมันแฮ้ปปี้ดี เราคุยกันออนไลน์บ้าง เมนท์กันบ้าง กดไลค์นั่นนี่กันบ้าง ผมเคยคุยกับเหยี่ยวซึ่งเจอตัวเป็นๆ ของราฟาบ่อยกว่าผมว่าว่างๆ จะแวะไปหามันที่บ้านมั่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีโอกาสไปซะที ก็เลยได้แต่ส่องเฟซมันไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ผมกับน้องเจแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาครับ เราสองคนเข้ากันได้สุดๆ ทั้งรสนิยมการกิน การใช้ชีวิต ความชอบหลายๆ อย่าง ผมไปไหนมาไหนกับมันจนทุกคนคิดว่ามันเป็นแฟนผม แต่เราไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้นครับ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับมันทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอด ตอนแรกพี่วัฒน์ก็กังวลอยู่ แต่หลังจากผมยืนยันแน่ชัดว่าไม่มีอะไรแน่ แกก็เข้าใจ แถมยังกลายเป็นเพื่อนกับมันไปด้วย

กับพี่วัฒน์...เราสองคนก็ยังมีความสัมพันธ์แบบเดิม ทะเลาะกัน งอนกัน ดีกัน มันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตคู่เราไปแล้ว เขาไม่ได้มองหาใครใหม่ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการจะมีใครอีก ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีตามครรลองของมันเอง



กันยายน 2555


ชีวิตผมก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นครับ มีแต่น้ำหนักที่ขึ้นพรวดๆ พี่วัฒน์บ่นบ้างแต่ก็เอา...เอ๊ย!! จุ๊ๆๆ

ผมก็ยังตัวติดกันกับเจเหมือนเดิม ไปเที่ยวนั่นกินนี่เรื่อยไป การเจอเพื่อนที่เข้ากันได้นี่มันดีจริงๆ ครับ ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมันสมบูรณ์แล้ว มีทั้งคนที่รักและมีคนที่เข้าใจอยู่ใกล้ๆ ผมไม่ปรารถนาอะไรอื่นอีกแล้ว

อ้อ วันนี้ผมเจอราฟากับน้องแจงครับ พวกเขากำลังจะมีลูกคนแรกกัน กำหนดคลอดต้นๆ ปีหน้า ผมดีใจกับน้องมันจริงๆ ที่ในที่สุดมันจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ซะที



กรกฎาคม 2556


“พวกเราจะไปดูหลานกัน นพจะไปด้วยป่าว?” เหยี่ยวโทรมาถามผม น้องซอลมาเยี่ยมเหยี่ยวจากกทม. พวกเขาเลยว่าจะไปรับขวัญหลานกันซักหน่อย อ. สดศรีตั้งชื่อให้หลานสาวว่า ลินดา ชื่อที่เป็นได้ทั้งชื่อไทยและชื่อภาษาสเปน ผมเองก็อยากไปแต่ติดที่ต้องดูพ่อ
“ยังไม่สะดวกอ่ะ เหยี่ยว ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย ไว้ถ้าเรียบร้อยแล้วเราค่อยนัดกันอีกทีนะ” ผมบอกไปตามนั้น

พ่อผมเกิดปวดท้องอย่างหนักเมื่อเดือนที่แล้ว ผลการตรวจบอกว่ามีก้อนเนื้ออุดตันที่ลำไส้และต้องผ่าตัดด่วน ผลชิ้นเนื้อบอกว่าเป็นมะเร็ง ตอนนี้พ่อต้องปรับการใช้ชีวิตใหม่หมด อีกทั้งต้องไปทำคีโมแทบทุกเดือน โชคดีที่น้องคนเล็กผมออกงานและกลับมาอยู่เชียงใหม่ได้เกือบปีแล้ว ผมเลยพอได้หายใจหายคอได้บ้าง

‘ไว้พ่อหายแล้วค่อยเจอกันนะ ราฟา น้องแจง ลินดา’




มีนาคม 2557


พ่อผมเสียแล้วครับ ทั้งๆ ที่ผลคีโมออกมาดีแต่พ่อผมกลับเสียด้วยโรคแทรกซ้อนอย่างปอดอักเสบ พ่อเข้าไอซียูอยู่หลายวันแต่ในที่สุดก็สู้ไม่ไหวและจากไปในที่สุด เมื่อเสร็จงานศพ ผมรู้สึกแย่มากและต้องการคนคุยด้วย คนแรกที่ผมนึกถึงไม่ใช่พี่วัฒน์หรือน้องเจ แต่เป็นไอ้เด็กปากจัดคนนี้...ผมโทรหาราฟา

“ว่างคุยป่าววะ?”
“คุยได้พี่ ลูกเพิ่งหลับ...เสียใจด้วยนะพี่นพ”
“...ผมแวะไปงานมาแป๊บนึง แต่เห็นพี่ยุ่งเลยไม่ได้ไปทัก...”

“...แล้วพี่เป็นไงมั่ง หายเหนื่อยหรือยัง? กินข้าวกินน้ำมั่งนะ” น้ำเสียงของมันอบอุ่นเหลือเกิน
“ราฟา กูรู้สึกแย่ว่ะ...กูกับพ่อทะเลาะกันก่อนเค้าเสีย...เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย” ผมเล่าให้มันฟัง
“เราทะเลาะกัน แล้วเค้าบอกว่า...” ผมกลั้นสะอื้น
“เค้าบอกว่า กูไม่เคยทำให้เค้าภูมิใจได้สักอย่าง”
“...กูก็ทิฐิ ไม่ยอมคุยกับเค้า สุดท้ายเราก็ไม่ได้คุยกันดีๆ”
ราฟายังคงเป็นผู้ฟังที่ดี มันนิ่งฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากผม สุดท้ายมันก็หาทางพูดจนผมรู้สึกดีขึ้นจนได้ เหมือนอย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง

"พี่นพนี่น้า พี่ต้องเรียนรู้การแสดงความรู้สึกตัวเองมั่ง" มันบ่นต่อ
“อย่างที่ผมบอกอ่ะ พี่ สุดท้ายคนเรา มีอะไรก็ต้องพูดกัน รู้สึกอะไรก็บอก แล้วอะไรๆ ก็ดีเอง...อย่างกับพี่วัฒน์ก็เหมือนกัน”
“หยุดเลย ไอ้นี่ ขยันทำคะแนนให้พี่มันจริง ได้สินบนมาเหรอ?”
ผมที่สบายใจขึ้นมากแล้วกลั้นยิ้ม ทำเสียงเข้มใส่มัน ผมรู้ตัวมาพักใหญ่แล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่วัฒน์ แต่ผมขอปากแข็งต่ออีกสักหน่อย

“ขอบใจว่ะ ตลอด 20 ปีนี้ กูมาร้องไห้กับมึงนี่กี่ครั้งแล้ว? เบื่อหรือยัง?” ผมอ้อมแอ้มถาม
“ไม่เบื่อหรอกพี่ มีอะไรก็คุยมาได้นะ อินบ็อกซ์มาก็ได้” ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จากทางปลายสาย
“ลูกตื่นแล้วเหรอ? งั้นกูวางก่อนดีกว่า ไว้ว่างๆ จะแวะเข้าไปหานะ ไม่ได้เจอมึงกับน้องแจงนาน คิดถึงเหมือนกัน” ผมพูดออกไปตรงๆ



5 กรกฎาคม 2557

‘Happy Birthday นะเว้ย มีความสุขมากๆ ล่ะ’

ผมโพสต์บนเฟซบุ้คของราฟาพร้อมแนบรูปดอกไม้ช่อโต ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่คุยกัน ผมก็ยังไม่ได้แวะไปหามัน เดี๋ยวพรุ่งนี้แวะเข้าไปหาดีกว่า ไม่ได้ตัวมันเป็นๆ นานแล้ว คิดถึงตาคมๆ ของมันเหมือนกันน้อ



14 กรกฎาคม 2557


‘ไง พี่นพ ว่าจะมาหาผมวันก่อนแล้วหายไปเลย’ มันพิมพ์มาใน fb messenger
‘โทษทีว่ะ วิกฤตทางอารมณ์นิดหน่อย แม่ม อิพี่วัฒน์กวนตีนกูอีกแล้ว’
‘คู่นี้มันยังไงกันน่ะ ตกลงจะรักหรือเกลียดกัน? หรือพี่วัฒน์แกจะเป็นมาโซฯ?'
'...ว่าแต่เม้คอัพ เซ็กส์นี่มักจะเด็ดใช่ไหม พี่นพ?’
‘เสือก!!!’  ไอ้เด็กนี่มันร้ายนัก

มันพิมพ์อีโมติค่อนคนแลบลิ้นมาเป็นสิบตัวกลับมา
'...อยากบอกอะไรก็รีบบอกกันซะนะ ก่อนจะสายไป...' มันสำทับ

'ไว้หายเขินก่อนค่อยบอกว่ะ' นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมบอกมัน



20 กรกฎาคม 2557


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา
“ไง เหยี่ยว โทรมาซะดึกเชียว มีอะไร?”

“นพ...รู้เรื่องราฟาหรือยัง?”

เสียงที่ปลายสายฟังดูร้อนรน สิ่งถัดไปที่ได้ยินทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัวเหมือนสายฟ้าฟาดลงไปกลางใจ

“มันเป็นลมล้มไป ตอนนี้อยู่ไอซียูอยู่ ...ฮัลโหลๆ นพ ฟังอยู่ไหม?”

ผมสั่นไปทั้งตัว ในหัวผมขาวโพลนไปหมด

“เราอยากไปหามัน มันอยู่ที่ไหน เราจะไปหา”
ผมพูดอย่างไร้สติ เหยี่ยวรีบห้ามผมไว้ บอกว่าให้รอฟังอยู่ที่บ้านดีกว่า ผมวางสายด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง...น้ำตาร่วงพรูออกมาอย่างสุดกลั้น
‘มึงต้องไม่เป็นอะไรนะ ราฟา มึงต้องไม่เป็นอะไร กูยังไม่ทันได้บอกมึงเลย...”

ผมอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในโลกขอให้มันปลอดภัย



25 กรกฎาคม 2557


ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง


ราฟาจากไปอย่างสงบในเช้าของวันถัดมา ผมเสียน้ำตาอย่างหนักให้กับการจากไปของมัน แม้ผมผ่านความตายของคนรอบข้างมาหลายครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้เพราะมันเป็นการจากไปแบบไม่ทันรู้ตัว

ในงานศพของราฟา ผมได้เจอลูกสาวมันเป็นครั้งแรก ผมยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยนั้นโตแค่ไหนแล้ว

...นี่ผมละเลยไม่ให้ความสำคัญกับคนที่ผมบอกว่าแคร์ถึงขนาดนั้น?

การที่เฝ้าดูพวกเขาทางโซเชียลมีเดียทำให้ผมนึกเอาเองว่าเราได้เจอกันบ่อย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย มันไม่สามารถทดแทนความรู้สึกได้ชัดเจนเท่ากับการพบปะกันจริงๆ

ที่บ้าน ผมนั่งเหม่อเหมือนคนไร้ใจ

หลายครั้งที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก

ผมรับไม่ได้กับความจริงที่ว่าผมจะไม่ได้เจอมันอีกในชีวิตนี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เจอตัวกันแต่ผมยังรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมันเสมอ

แม้ห่างหายกันไป ผมก็รู้ว่ามันยังอยู่ในระยะเอื้อมถึงตลอด

ผมไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับมันเพราะผมชะล่าใจคิดไปว่าเรามีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะได้พบเจอกัน

ผมคิดเอาว่าผมสามารถไปพบเจอมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ

‘เดี๋ยวก็ได้เจอ’
 ‘ไว้ค่อยไปหาก็ได้’
‘บ้านมันอยู่แค่นี้เอง’
‘ไว้ค่อยโทรหามัน’


แต่ในตอนนี้ผมไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งเหล่านั้นแล้ว

ผมจรดริมฝีปากที่ปลายนิ้วและแตะไปบนรูปที่ตั้งหน้าเมรุ...นี่เป็นจูบแรกและจูบเดียวเพื่ออำลาคนสำคัญที่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ

น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุดเมื่อเห็นควันจากปล่องเมรุ

‘กูเข้าใจแล้วที่มึงบอกว่าให้แสดงความรู้สึกออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาส’

ตอนนี้โอกาสของผมที่จะบอกว่าผมรู้สึกกับมันยังไงหมดไปแล้ว
...โอกาสที่ผมจะบอกว่าผมขอบคุณมันแค่ไหนที่อยู่ในชีวิตผมมาตลอด 22 ปี...
โอกาสที่จะบอกว่ามันสำคัญต่อชีวิตผมแค่ไหน...ไม่มีอีกแล้ว


ผมรู้สึกว่างเปล่าเหมือนมีรูขนาดใหญ่ในใจ ส่วนหนึ่งของชีวิตผมตายไปพร้อมกับมันด้วย
ต่อไปนี้ผมจะไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเอง ผมจะให้ความสำคัญกับคนรอบข้างและแสดงออกให้เขารู้ว่าผมคิดอย่างไร



5 กรกฎาคม 2560



ราฟาจากผมไปเกือบสามปีแล้วครับ

หลายครั้งที่ผมเหมือนเห็นมันอยู่ในฝัน

บางครั้งผมเผลอไผลนึกไปว่ามันยังอยู่
 
เผลอคิดไปว่าคิดถึงมันจัง อยากโทรหาหรือคิดว่าเดี๋ยวไปหามันดีกว่า แต่ก็ต้องน้ำตาร่วงทุกครั้งที่นึกได้ว่าผมไม่อาจจะเจอหน้ามันได้อีกแล้วในชีวิตนี้

แต่ผมก็ยังเป็นผม สันดานเดิมมันแก้ยาก ผมไม่ได้แวะเวียนไปหาน้องแจงและลูกบ่อยเท่าที่ควร ผมยังคงทะเลาะเหวี่ยงวีนใส่พี่วัฒน์ ยังคงไม่ตอบรับทุกครั้งที่เขาบอกว่ารักหรือบอกว่าคิดถึง ผมปากแข็งเกินไปที่จะแสดงความจริงในใจของผมให้เขารู้ ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่สามารถจากคนๆ นี้ไปได้อีก แต่ผมก็ทิฐิเกินไป

แต่ในวันนี้ของทุกปี วันที่ 5 กรกฎาคม ผมจะเปิดใจ ผมจะบอกความรู้สึกของผมให้แก่พี่วัฒน์เพื่อเป็นการอุทิศแด่ความทรงจำของราฟา


  " ..."
“นพครับ” เสียงทุ้มนั้นทำให้ผมตื่นจากภวังค์
“ครับ พี่วัฒน์”
“อารมณ์ไหนถึงมาบอกว่าคิดถึงพี่?...อ๋อ หรือวันนี้...?”
พี่วัฒน์คงนึกออกแล้ว
“โอเค...พี่พร้อมรับฟังแล้ว” เสียงนั้นเคร่งขรึมขึ้น
“พี่วัฒน์ครับ...”

ผมหลับตาลงนึกถึงความทรงจำของคนที่สอนผมให้รู้ถึงความสำคัญของการเอ่ยคำๆ นี้



“รักนะครับ”




***********************************



ปัจฉิมบท


ผมวางดอกลิลลี่สีขาวช่อหนึ่งบนแท่นหินแกรนิตขนาดใหญ่อันเป็นที่พักผ่อนตลอดกาลของคนสำคัญของผม ผมมองไปที่ชื่อบนป้ายนั้น

‘ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า’

ชื่อนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงครั้งแรกที่ผมได้เจอมัน
ผมกลับมาที่บ้าน ความทรงจำของผมเกี่ยวกับมันพรั่งพรูออกมา ในวันนี้ผมจะบันทึกไว้ให้หมดเพื่อที่ผมจะได้ไม่ลืม ผมเปิดคอมและเริ่มพิมพ์ลงไปอย่างตั้งใจ


“... 5 กรกฎาคม 2560
00:01 น.

ตรู๊ดดด

“ว่าไง โทรมาดึกเชียว” เสียงทุ้มที่ปลายสายฟังดูง่วงเล็กน้อย
“หลับแล้วเหรอ?” ผมถาม
“ใกล้แล้วล่ะ นอนอ่านนั่นนี่เพลินๆ... เป็นอะไรหรือเปล่า?”  น้ำเสียงนั้นเจือความกังวลเมื่อได้ยินผมถอนหายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่...คิดถึง”
“เห้ย อารมณ์ไหน? ร้อยวันพันปีโทรมามีแต่ด่า กินยาผิดเหรอ?”  ปลายสายหัวเราะเบาๆ ผมไม่ตอบ แต่หวนนึกไปยังภาพอดีตอันแสนไกล...”



###########  F I N  ###########

ตอนหลักที่เกี่ยวกับนพและราฟาจบลงตรงนี้นะคะ ถ้ามีใครเศร้าให้กับราฟาบ้างและให้ความสำคัญกับการเอ่ยความรู้สึกของตนออกมาให้กับคนสำคัญของตนเพิ่มขึ้น ไรท์จะดีใจมากค่ะ

เดี๋ยวมีต่ออีกสองตอนพิเศษเป็นเรื่องราวของนพกับฆาเบียร์จากตอน First Time นะคะ เป็นช่วงที่นพอยู่อเมริกา มีฉากเลิฟๆ ติดเรทด้วยนะคะ แต่เป็นการลองเขียนดูครั้งแรก อาจจะประดักประเดิดไปบ้างก็ต้องขออภัยค่ะ
[/font][/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 05:47:41 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

Update (20/8/60) -- ขอแก้ชื่อภาษาสเปนของฆาบี้หน่อยนะคะ พอดีไปอ่านเจอมาว่าการสะกด Xavier  เป็นแบบอังกฤษ คาตาลัน กาลิเซีย ไม่ใช่แบบสเปน


---- SP – My Name Is Javier [Pt. 1] ----




"สวัสดี ผมชื่อนพ นายชื่ออะไร?" เสียงใสๆ ทักผม
ผมงงไปเล็กน้อยที่เปิดประตูห้องตัวเองมาเจอคนแปลกหน้ากับกระเป๋าใบโต
"เอ่อ ผมชื่อฆาเบียร์ คุณเป็นใคร?"
ผมถามอย่างสงสัย ผมนึกว่าปีนี้ผมจะไม่มีรูมเมทเสียอีก
"ผมชื่อนพ ออกเสียงเหมือน Nope ที่แปลว่าไม่น่ะ ผมเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศไทยจะมาอยู่ที่นี่ปีนึง"
ปากบางส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด พร้อมส่งมือมาเช้คแฮนด์
"คุณผู้ดูแลหอจัดผมให้มาอยู่ห้องนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ"

ผมเจอนพครั้งแรกตอนก่อนเปิดเทอมประมาณ 1 สัปดาห์ครับ ผมอยู่ห้อง 810 นี้มา 2 ปีแล้ว เดิมทีผมมีรูมเมทแต่เขาเพิ่งจะตัดสินใจย้ายออกเมื่อก่อนเปิดเทอมไม่นาน ทำให้ห้องนี้มีเตียงว่างเตียงหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกหนุ่มน้อยชาวเอเชียคนนี้กับกระเป๋าใบโตยึดครองไปแล้ว

อ้อ ขอผมแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อ ฆาเบียร์ บาเลนติน มาติเนซ เด ลา โรซ่า เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ด้านคอมพิวเตอร์ ในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐทางเหนือของสหรัฐอเมริกา ผมเป็นอเมริกันเชื้อสายละติน พ่อแม่ผมมาจากปัวเอร์โต ริโก้และมาทำงานที่รัฐอันหนาวเย็นแห่งนี้ ส่วนตัวผมเกิดที่นี่และเป็นอเมริกันเต็มตัวครับ

ผมดูร่างสันทัดที่ง่วนกับการรื้อนั่น ขนนี่ออกจากกระเป๋า แล้วสังเกตเห็นบางอย่าง
"นพ ยูมีเครื่องนอนหรือยัง?"  ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมีแววฉงน
"ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม...มีหรือยัง?"
"ต้องมีด้วยเหรอ? เค้าไม่ได้เตรียมให้?"
สงสัยรายนี้จะไม่เคยอยู่หอมาก่อนแน่ ผมเปิดตู้ค้นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและปลอกผ้านวมส่งให้
"เดี๋ยวผมพาไปรับหมอนกับผ้าห่มที่แม่บ้านหอนะ" ปากบางนั้นคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
"ขอบคุณมาก ฆาเบียร์" ผมแปลกใจที่หนุ่มเอเชียคนนี้ออกเสียงชื่อผมได้ถูกต้อง
"ผมนึกแล้วว่าคุณต้องเป็นคนดีแน่ๆ " 
ผมกระตุกยิ้มที่มุมปาก 'ถ้านายรู้จักฉัน นายจะไม่คิดแบบนั้นแน่'

ผมเป็นผู้ชายแบบที่หลายคนอาจเรียกว่า เสือ ครับ
แต่ผมไม่ใช่เสือผู้หญิงหรอก ผมเลือกจับแต่เหยื่อเพศชายครับ เมื่อผมถูกใจใครคนๆ นั้นมักจะไม่หลุดมือผม ผมพร้อมใช้ทุกวิธีเพื่อให้ได้คนๆ นั้นมา แต่ไม่ได้จะอวดหรอกนะครับ ส่วนมากน่ะผมไม่ค่อยต้องพยายามนักก็มักได้สิ่งที่หวัง

ผมไม่ได้หน้าตาหล่อเฉียบเหมือนดารา แค่คมเข้มตามมาตรฐานละติโน่ แต่สิ่งที่มักทำให้คนตกหลุมเสน่ห์คือดวงตาวับวาวของผมที่มักทำให้คนที่อยู่ใต้ร่างผมอ่อนระทวยเหมือนต้องมนต์ ผมมีรูปร่างสูงปานกลาง มีมัดกล้ามอันเกิดจากการออกกำลังกายเป็นประจำ ซิกซ์แพ็คผมแน่นไม่หยอกนะครับ

อวยตัวเองพอแล้ว เดี๋ยวคุณๆ จะหมั่นไส้ผมเอา ผมมาสนใจคนตรงหน้าผมนี่ก่อนดีกว่า ผมโล่งใจหน่อยที่นพไม่ใช่สเป็คของผม เขาดูจืดชืดไป แถมยังอวบๆ เกินไปนิด ผมชอบแบบตัวบางๆ หน้าหวานๆ ไม่ก็ต้องแมนๆ กล้ามแน่นๆ ไปเลย เพราะมันท้าทายดีครับ  ก็ดี ผมจะได้คบเขาเป็นเพื่อนได้อย่างสะดวกใจ จะได้ไม่เป็นเหมือนจอช รูมเมทคนเก่าของผมซึ่งสุดท้ายดันไปมีอะไรลึกซึ้งกันเข้าซะงั้น ทีนี้ก็นรกแตกเลยครับ ผมจะกระดิกตัวไปหาคนนั้นคนนี้ก็ลำบาก สุดท้ายก็ทะเลาะกันแล้วเขาก็ขนข้าวขนของย้ายออกไปซะดื้อๆ ยุ่งครับ ยุ่งมากกกกกก

"นพ หิวยัง?" ผมถาม นพพยักหน้าอย่างเร็ว
"งั้นเราไปที่สนามหลังตึกลาร์สันกัน วันนี้มีงานแคมป์ไฟ เป็นธรรมเนียมตอนเปิดเรียน ของกินเพียบ เดี๋ยวผมพาไป ของน่ะเดี๋ยวค่อยมารื้อ"

ที่งานเรานั่งปิ้งมาชเมลโล่กับไส้กรอกและคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ผมได้รู้ว่านพเป็นเด็กแลกเปลี่ยนในโครงการของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือของไทยและจะมาอยู่ที่นี่เพียงปีเดียว ตอนแรกผมนึกว่าเขาเป็นเด็กปีหนึ่งเพราะหน้าตาอ่อนวัยแบบชาวเอเชียแต่ที่จริงแล้วเราอายุเท่ากัน นพเคยผ่านการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนมัธยม แต่ไม่เคยอยู่หอมาก่อนและนี่เป็นครั้งแรกที่นพได้อยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีใครคุม สนุกแน่ๆ ครับ

สัปดาห์แรกของเทอมผ่านไป หลังพิธีต้อนรับนักศึกษาใหม่และลงทะเบียนก็ถึงเวลาเรียนแล้ว อย่างวันนี้พวกผมก็มีเรียนเช้ากันทั้งคู่
"ฆาเบียร์ ตื่นๆ สายแล้ว!!"
ผมซึ่งปาร์ตี้หนักไปหน่อยเมื่อคืนรีบตาลีตาเหลือกลุกขึ้น สลัดกางเกงนอนออก แล้วหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่ นพรีบเบือนหน้าหนีไปจากร่างเปลือยของผม ผมแอบเห็นพวงแก้มนั้นเข้มขึ้นจนเป็นสีกุหลาบ...ผมชักสงสัยแล้วสิครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้แสดงให้นพเห็นว่าผมเป็นเกย์เพราะผมไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดยังไงกับผม คนเอเชียมักจะหัวอนุรักษ์นี่นา แต่ เอ เมืองไทยก็เป็นแดนสวรรค์ของชาวทรานส์ฯ  ไว้ผมค่อยลองพิสูจน์ดูครับ

ผมตรึงร่างบางนั้นไว้บนโซฟา ปากผมดูดดุนริมฝีปากสีกุหลาบนั้น ลิ้นร้อนของเราบดเบียดกันอย่างกระหาย มือของผมปะป่ายไปตามอกเนียนและกำลังจะยึดกุมแกนกายแข็งนั้นตอนที่ไฟห้องสว่างวาบขึ้น

"เฮ้ย!!!"
นพซึ่งไขประตูห้องเข้ามาเจอร้องลั่นอย่างตกใจ หนุ่มน้อยที่อยู่ใต้ร่างรีบดันตัวผมออก ผมรั้งร่างนั้นไว้แนบอก

"นพ...ขอผมใช้ห้องแป๊บนึงนะ ไม่นานหรอก นั่งรอนอกห้องก็ได้"
นพพยักหน้าอย่างใจลอยแล้วปิดประตูห้องตามหลังอย่างเบามือ ผมกลับไปจัดการกับเหยื่ออันโอชะต่อและทำให้แน่ใจว่าเสียงครวญครางของหนุ่มน้อยนั้นจะดังพอให้ถึงหูคนที่รออยู่นอกห้อง

หลังจากหนุ่มน้อยซึ่งผมยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำคนนั้นกลับไป นพที่หน้าแดงก่ำก็เข้าห้องมา ผมทำทีขอโทษขอโพยที่ไม่ระวังจนให้ต้องมาเห็นอะไรแบบนั้น

"นพรังเกียจหรือเปล่าที่ผมเป็นเกย์ บอกได้นะ ถ้าผมทำให้นพไม่สบายใจ"
ผมแกล้งตีหน้าเศร้าถาม นพส่ายหน้า
"ไม่หรอก ฆาเบียร์ ผมไม่รังเกียจหรอก..." ก่อนที่จะยืนยันสิ่งที่ผมสงสัย
"ผมก็ เอ่อ...ชอบผู้ชายเหมือนกัน"
ผมงี้ตบเข่าฉาดเลย เซนส์ผมมันไม่พลาดอยู่แล้ว ผมทำท่าดีใจที่ว่าได้รูมเมทที่เป็นแบบเดียวกัน หลังจากพูดคุยกันสักพัก นพก็ดูมีทีท่าผ่อนคลายขึ้น

"ผมว่าจะถามนพนานแล้ว ทำไมคุณถึงออกเสียงชื่อผมถูก?"
เพื่อนชาวต่างชาติของผมส่วนใหญ่ออกเสียง Xavier เป็นจาเวียร์มั่ง เฮเวียร์มั่ง แต่นพออกเสียงถูกเป๊ะ
"เอ่อ พอดีผมมีเพื่อนสนิทที่เป็นลูกครึ่งสเปนครับ เขาสอนการออกเสียงภาษาสเปนให้ผมบ้างเหมือนกัน"
'อืมม์...เพื่อนสนิทที่ว่านี่ทำให้คุณแก้มแดงแจ๋แบบนี้ได้ด้วยเหรอ?' ผมคิดในใจ มองดูคนที่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอายอยู่ข้างหน้า
"คุณเรียกผม ฆาบี้ ก็ได้นะ"

ฤดูกาลผันเปลี่ยนไป ใบของต้นเมเปิ้ลที่ปลูกทั่วไปในวิทยาลัยน้อยๆ แห่งนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานสลับกับใบต้นแป๊ะก๊วยสีเหลืองทอง อากาศหนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว

"หนาวโว้ย"
 นพรวบคอเสื้อแจ็คเก็ตแน่น พอสนิทกันหนุ่มน้อยเรียบร้อยคนต้นเทอมก็ไม่อยู่แล้วครับ เหลือแต่ไอ้นพจอมโวยวายและกวนส้น พวกเรากำลังฝ่าฝนปนน้ำแข็งของฤดูใบไม้ร่วงไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง
"วันนี้มีอะไรกินเนี่ย?" นพยืนส่องใบเมนูหน้าโรงอาหาร
"โอ้ วันนี้มีกริลล์ชีส ดีเลย แถวหมูอบจะได้ว่าง ไม่รู้ไอ้เด็กพวกนี้จะชอบกินกริลล์ชีสอะไรนักหนา ต่อคิวกันซะยังกับไม่เคยกินแซนวิช"
ผมขำมันที่บ่นกะปอดกะแปดไปตามเรื่อง ค่าเทอมที่วิทยาลัยนี้รวมค่าอาหารไปแล้วครับ เรามีอาหารดีๆ กิน 3 มื้อ มีอาหารให้เลือกหลายอย่างซึ่งมีทั้งซุป สลัดหรือผักเคียง ของเรียกน้ำย่อย จานแป้ง จานเนื้อ หรือมังสวิรัติก็มี แถมยังมีขนมให้อีกด้วย นพเดินแวะซุ้มนั้นทีนี้ทีจนได้ของกินมาเต็มถาด

"กินเยอะอีกละวันนี้ แก้มยุ้ยหมดแล้ว" ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มเต่งนั้น
"เรื่องของกู ไม่ได้กลัวอ้วนเหมือนมึงนิ ไอ้ฆาบี้"
มันเบ้หน้าดูกริลล์ชีสหนึ่งชิ้นกับสลัดบนถาดผม
"แดกขนาดนี้ไม่ต้องวิ่งเป็นชั่วโมงเหรอ ชีสเชียวนะมึง" มันประชดให้
ผมหัวเราะหึๆ ใส่ความติงต๊องของมัน สองสามเดือนที่ผ่านมานี่ผมเรียนรู้นิสัยมันเยอะเลยครับ มันเป็นคนตลก ร่าเริง ยิ้มเก่ง แต่บางทีก็รู้สึกว่ามันยังมีสิ่งที่ซ่อนในใจไม่ได้เปิดเผยมาทั้งหมด แต่ก็นับว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี คบได้ครับ

"โอยยย อิ่ม ท้องจะแตกแล้ว" มันเดินลูบพุงนำผมเข้าประตูห้อง
"อิ่มแล้วก็ต้องต่อด้วยของหวาน" ผมพูดยิ้มๆ
"ของหวานอะไรอีกอ่ะ กูแดกไม่ไหวแล้ว" ผมชูซีดีที่ยืมมาให้มันดู มันทำตาวาว
"ให้ไวๆ เปิดเลย"
มันกุลีกุจอนั่งลงที่หน้าคอมพ์ ผมรีบเปิดแผ่นนั้น ตานพจ้องเป๋งไปที่ร่างเปลือยของชายหนุ่มสองคนในจอคอมพ์ แก้มมันแดงก่ำเมื่อเห็นปากของนักแสดงขยับรูดขึ้นลงตามแท่งลำแข็งของอีกฝ่าย เมื่อดูไปสักพักมันก็ขอตัวไปห้องน้ำซึ่งเป็นห้องน้ำรวม

"กูไม่ไหวแล้วว่ะ ไปก่อนนะ"
ทุกครั้งที่ต้องการถึงขีดสุดมันจะต้องไประบายออกเองที่ห้องน้ำรวม ผมเคยเสนอตัวช่วยมัน แต่มันก็ไม่ตอบรับความหวังดีของผม ผมก็สงสัยว่ามันทนไม่มีอะไรกับใครได้ยังไง นี่ก็มาอยู่ได้หลายเดือนแล้วผมก็ไม่เห็นมันจะไปสนใจผู้ชายที่ไหน มีแต่มาระบายออกตอนดูหนังโป๊กับผมแค่นั้น ผมสงสัยว่ามันคงมีแฟนอยู่ที่เมืองไทยอยู่แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งในบรรดารูปที่มันติดไว้ข้างเตียงมัน

ผมละความสนใจจากจอคอมแล้วหันไปดูรูปพวกนั้น นอกจากรูปครอบครัวแล้วยังมีรูปคนจากชมรมฟันดาบที่นพเคยบอกผมว่ามันเล่นอยู่ 3 ปี มันพูดด้วยความภูมิใจว่ามันเป็นศิษย์รักของนักกีฬาทีมชาติไทยด้วย ซึ่งน่าจะเป็นชายหนุ่มคนที่ห้อยเหรียญทองอยู่นั่น ผมไล่ดูรูปมาแล้วก็สะดุดตาเข้ากับร่างสูงร่างหนึ่ง ใบหน้าของร่างนั้นดูก็รู้ว่ามีเชื้อสายตะวันตก แววตาอันคมวาวส่องประกายระยิบระยับ

'มีเชื้อละตินแน่นอน'
ผมคิดอยู่ในใจ แล้วก็ฉุกคิดขึ้นว่านี่คงเป็น "เพื่อนสนิท" ที่สอนภาษาสเปนให้นพเป็นแน่แท้
"งั้นก็น่าจะเป็นคนนี้สินะ...ตัวจริงของนาย" ผมพึมพำออกมา
"ตัวจริงอะไรเหรอ?" เสียงใสๆ ถาม ผมสะดุ้งเฮือก มันเข้ามาเงียบๆ จนไม่ทันรู้ตัว
"ไม่มีอะไร แค่สงสัยว่าคนไหนเป็นแฟนตัวจริงของนายที่ไทย" ผมตอบไปตรงๆ
"เห้ย บ้า แฟนอะไร ไม่มี๊" มันอายม้วนเลยครับ อ่ะ ไม่มีก็ไม่มี เชื่อ

"เป็นไง สบายตัวแล้วสิ? ก็บอกแล้วให้หาหนุ่มซักคนจะได้ไม่ต้องเมื่อยทำเอง" ผมกระเซ้ามัน
"จะได้รู้ว่าหนุ่มฝรั่งน่ะเด็ดกว่าหนุ่มไทยแค่ไหน" มันทำเฉย ไม่ตอบว่ะ ผมว่าไม่เกินสามเดือนมันต้องทนไม่ไหวแล้วนอกใจแฟนมันแน่

สามเดือนผ่านไป มันก็ยังไม่มีใคร ผมงี้ยอมใจมันจริงๆ ครับ อะไรจะเหนียวแน่นขนาดนั้น ในตอนนี้ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วครับว่าชายหนุ่มร่างสูงตาแพรวพราวคนนั้นคือตัวจริงของมัน ไม่งั้นมันไม่เที่ยวพกกระดาษเอสี่ที่มีรูปวาดเท้าใหญ่ยักษ์ใบนั้นติดตัวไปไหนมาไหนด้วยหรอก ผมเห็นมันเดินเข้าออกร้านรองเท้าเป็นว่าเล่นตั้งแต่มาถึง พอผมถามมันก็บอกว่าเพื่อนฝากซื้อ...แหม ทำให้ขนาดนั้นคงไม่ใช่เพื่อนหรอกม้าง นพ?


เดือนมกราคม...รัฐทางเหนืออันหนาวเย็นนี้ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน Interim หรือเทอมสั้นๆ ที่คั่นระหว่างเทอม 1 กับเทอม 2 เพิ่งจะเริ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปผมกับนพยิ่งสนิทกันมากขึ้น ช่วงขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านมาผมหนีบมันกลับบ้านไปด้วย พ่อแม่ผมชอบมันมากครับ บอกว่ามันคุยสนุก ผมก็ดีใจที่ได้มันเป็นเพื่อนจนเสียดายว่ามันน่าจะอยู่เรียนต่ออีกหลายๆ ปี ช่วงคริสต์มาสกับปีใหม่มันลงไปเที่ยวทางใต้ น่าจะอะลาบาม่า พอกลับมาผมงี้แซวมันใหญ่ว่ามันติดสำเนียงคนใต้กลับมาด้วย

"นี่ ค่ำนี้ว่างป่าว?" ผมถามมันหลังกินข้าวเย็นเสร็จ มันตอบว่าว่าง
"งั้น...แอบเอาถาดข้าวยัดใต้เสื้อหนาวมา เดี๋ยวจะพาไปเล่นสนุก" มันทำท่างงๆ แต่ก็ทำตาม

ผมพามันไปที่หลังตึกโอลด์ เมน ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของวิทยาลัยซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี ด้านหลังของอาคารเป็นเนินลาดชันซึ่งตอนนี้ถูกทับถมไปด้วยหิมะ นพทำตาวาวเมื่อนึกออกว่าผมพามาทำไม มันซึ่งเคยอาศัยอยู่นอร์เวย์มา 1 ปีคงเคยเล่นไถลลงเนินแบบนี้แล้ว

"เคยเล่นไหม?" ผมถาม
"อือ เคย แต่ตอนอยู่นู่นใช้ยางรถยนต์ ไม่ก็ผ้ายาง"

เราสองคนดึงถาดออกมารองนั่งแล้วเริ่มไถลลงเนินอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของมันดังก้อง พอถึงตีนเนินมันเสียหลักเอียงวูบ แต่ไม่เอียงเปล่ามันดึงผมให้ล้มกลิ้งไปกับมันด้วย ผมคว้าตัวมันไว้แล้วขืนตัวไม่ให้กลิ้งต่อ ร่างผมคร่อมทับร่างมัน ลมหายใจร้อนๆ ของมันปะทะหน้าผม...อกของเรารับรู้ถึงการเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย ตาของเราประสานกันนิ่ง ปากบางนั้นแดงระเรื่อเพราะความหนาว 
โดยไม่รู้ตัว ระยะห่างระหว่างริมฝีปากของผมกับมันลดลงไปทีละน้อยจนแทบจรดกัน

“ฆาเบียร์...อย่า"
เสียงนั้นแหบพร่า ผมได้สติแล้วผละกายออก ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ มัน ความเงียบปกคลุมรอบกายเราทั้งสอง
"เอ่อ..." เสียงแผ่วๆ ทำลายความเงียบ
"เห้ย ไม่ต้องคิดมาก ลืมๆ มันไปเหอะ" ผมว่า แต่หัวใจผมมันคันยุบยิบจริงๆ
"มะ ทำ สโนว์แองเจิ้ลกันดีกว่า" ผมพูดพลางนอนวาดแขนขาไปมาบนหิมะจนกลายเป็นรูปเหมือนนางฟ้า มันก็ทำตามเงียบๆ ใต้แสงดาวพราวพราย

จากวันนั้น ผมเริ่มมองมันไม่เหมือนเดิม ทุกท่าทาง ทุกการเคลื่อนไหวของมันช่างจับใจผม แต่ผมซึ่งไม่เคยปล่อยให้ใครหลุดมือกลับกลัวเกินไปที่จะรุกเร้าหนุ่มน้อยตัวกลมคนนี้ ผมกลัวว่าถ้าผมทำอะไรมันไป ความเป็นเพื่อนของเราจะเปลี่ยนไป เหมือนจอชและอีกหลายๆ คนก่อนหน้านั้น ผมรักการเป็นเพื่อนมันมากกว่าที่จะอยากครอบครองตัวมัน

"อา เฮเวียร์ แรงๆ อีก ลึกๆ"
เสียงกระเส่าที่เรียกชื่อผมแบบผิดๆ น่าขัดหูดังก้องเต็มห้อง ผมเสือกแก่นกายผมเข้าลึกช่องทางที่คุ้นชินกับแท่งลำนั้นอย่างเต็มเหนี่ยว ร่างแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามของนักอเมริกันฟุตบอลดาวเด่นประจำวิทยาลัยซึ่งเป็นคู่ขาลับๆ ของผมผวาขึ้นอย่างเสียวกระสันทุกครั้งตามแรงกระแทก ผมมองใบหน้าที่เหยเกนั้นแล้วจินตนาการเห็นเป็นหน้ากลมๆ ของนพ

"โอยย เสียว ผมจะออกแล้วนะ"
ผมครางต่ำๆ อย่างสะใจพร้อมกระแทกแรงๆ ไปอีกสองสามทีก่อนจะหลั่งออกมาเต็มถุงยาง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมจินตนาการถึงมันตอนที่ช่วยตัวเองหรือกระทั่งตอนนอนกับคนอื่น ผมอยากรู้นักว่ามันจะทำอย่างไรตอนโดนคนอื่นกอด จะครางอย่างไร ใบหน้ากลมๆ ของมันจะบิดเบี้ยวแค่ไหน ปากบางๆ นั้นจะเม้มแน่น หรือจะเผยอออก แค่คิดถึง ส่วนนั้นของผมก็แข็งเกร็งขึ้นมาอีก ผมหันไปบดปากกับร่างแน่นที่นอนหอบอยู่ข้างๆ และยกกายขึ้นทาบทับอีกรอบ


ฤดูใบไม้ผลิเริ่มคืบคลานเข้ามา หิมะละลายไปเกือบหมดแล้ว ดอกสโนว์ดร็อปสีขาวตัดกับก้านและใบสีเขียวสด ดอกโครคัสสีม่วงกับเหลืองทองและแดฟโฟดิลสีเหลืองใสเริ่มชูช่อบานสลอน ผู้คนเริ่มสลัดเสื้อผ้าตัวใหญ่หนาและใส่เสื้อคาดิแกนเบาบางแทน

"ติดกระดุมไม่ได้!!!"
เจ้าของเสื้อที่ดูเหมือนจะเล็กไป 1 เบอร์แล้วบ่นอย่างเสียอารมณ์
"ดีนะที่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดที่เตรียมมายังพอใส่ได้บ้าง ไม่งั้นได้เสียตังค์ซื้อใหม่หมดแน่" นพคุ้ยตู้เสื้อผ้าทำหน้าเซ็ง
"ก็กินจังอ่ะ ไม่ออกกำลังกาย มันก็น้ำหนักขึ้นสิ" ผมว่า มันทำหน้ามุ่ยใส่
"ก็ขี้เกียจอ่ะ ช่วงที่แล้วก็หนาวจะตาย แค่เดินไปเรียนแล้วกลับหอก็หมดพลังแล้ว"

"ใครจะเหมือนมึงล่ะ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน"
มันพูดพลางมองมาที่ซิกซ์แพ็คของตัวผมที่ใส่แค่บ็อกเซอร์อย่างอิจฉา เราชินกับการโป๊ให้อีกฝ่ายเห็นแล้วครับ แต่ช่วงหลังๆ มานี่ ผมชักไม่ค่อยอยากเห็นมันโป๊เท่าไหร่ เพราะน้องชายผมมันพาลจะมีปฏิกริยาขึ้นเมื่อเห็นอกที่เริ่มตั้งเต้าน้อยๆ ยอดอกทับทิม กับพุงขาวเนียนของมัน ผมคงต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

"เซ็กส์ก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีนะ..."ผมหลุดปากพูดออกไป
"...สนไหม จัดให้...อุ๊บ" 
หมอนลอยมากระแทกหน้าผมเต็มๆ เลยครับ มันทำหน้าบึ้งใส่ผม
"ไม่เอา ก็บอกแล้วไง เราเพื่อนกันนะ ไม่ต้องมาล้อเล่นงี้เลย"
มันทำกับผมแบบนี้ทุกครั้งที่ผมหยอดมัน คงนึกว่าผมแกล้งมันเล่น
"เออๆ ไม่เล่นก็ได้ ป่ะ ไปห้างฯ กันดีกว่า ไปหาซื้อเสื้อหนาวใหม่กัน"

พวกเราอยู่ในร้านยอดนิยมของหนุ่มสาวอเมริกันอย่าง Gap นพกำลังลองเสื้อสเว็ตเตอร์ในห้องลอง มันเรียกผมเข้าไปดูด้วยเพื่อขอความเห็น
"ตัวนี้เป็นไง?" ผมงี้ไม่เข้าใจรสนิยมมันจริงๆ ชอบแต่สีชมพู สีฟ้าอ่อน ลายจุด อะไรแบบนี้
"ไม่ไหวมั้ง สีอ่อนทำให้ดูตัวใหญ่"
มันหน้ามุ่ย ถอดเสื้อไหมพรมแขนยาวตัวนั้นออก แต่ดันดึงเอาเสื้อยืดตัวในติดไปด้วย ผมเลยต้องช่วยดึงชายเสื้อไว้ให้ ผมถือโอกาสโอบมือไปด้านหลังมัน จนเหมือนเรากอดกัน อกของผมแทบเบียดอกมัน
"ทำไรวะ ไอ้ฆาบี้ ดีๆ หน่อยดิ" มันเอ็ด
ผมถอนใจปล่อยมือ จังหวะดึงมือกลับ ปลายนิ้วผม "บังเอิญ" ไปไล้ผ่านหัวนมสีชมพูของมัน
"อ๊า" มันครางเบาๆ อย่างลืมตัว
"ตั้งใจหรือเปล่าวะ?" มันถามเสียงเขียว
"เปล๊า" ผมปฏิเสธ ผมนี่มันนิสัยไม่ดีจริงๆ

“เออ คืนนี้มี salsa night ที่โอเล่ คาเฟ่ ไปไหม?”

ผมพูดถึงกิจกรรมที่จัดในคาเฟ่ของโรงเรียน คืนนี้เป็นงานปาร์ตี้ที่จะมีการเปิดเพลงแนวเต้นรำแบบละตินอย่างซัลซ่าและเมอเรงเก้ ผมไม่เคยพลาดงานนี้เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการหว่านเสน่ห์ ปกติผมจะไปคนเดียวแต่คราวนี้ผมชวนนพน้อยของผมไปด้วย

“ไปๆ กูยังไม่เคยเต้นซัลซ่าเลย” หนุ่มน้อยตรงหน้าผมพูดอย่างตื่นเต้น
“ว่าแต่ ไปชุดนี้ไม่ได้นะนพ” ผมกวาดตามองร่างอวบในกางเกงยีนส์ทรงปล่อยและเสื้อยืด
“มะ เดี๋ยวป๋าจัดให้”
ผมยักคิ้ว พลางกระดิกเครดิตการ์ดในมือ แม้ยังเรียนอยู่ แต่ผมทำเงินได้บ้างจากการเขียนโปรแกรมขาย
“!Ay! Papi!” ‘อ๊าย ป๋าขา’
นพทำเสียงสะดิ้งใส่ผม เราหัวเราะใส่กันอย่างสุขใจ อยู่กับมันแล้วสบายใจจัง

“โหย เท่เกินไปไหมวะ? กะฟาดเรียบทั้งงานหรือไง” เสียงใสนั้นแซว
ค่ำนี้ผมใส่กางเกงสแล็คและเสื้อเชิร์ตรัดรูปสีดำพร้อมรองเท้าหนังมันปลาบและผมที่เซ็ตไว้เรียบแปล้ ผมมองตัวเองในกระจก จัดปกเสื้อให้ตั้งขึ้น ปลดกระดุมลงสองสามเม็ดเพื่ออวดมัดกล้ามและขนรำไรที่อก ผมหันไปหาเจ้าของเสียงนั้นแล้วยิ้มอย่างพึงใจ ร่างนั้นใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวบางเบาที่ยัดชายลงกางเกงยีนส์เข้ารูปที่ทำให้ดูขาเพรียวยาวขึ้น ผมขยับกายเข้าไปช่วยจัดเสื้อผ้ามัน ผมพับแขนเสื้อมันขึ้นถึงข้อศอกแล้วปลดกระดุมเสื้อมันลงอีกจนเห็นแผงอกขาวเนียนของมัน

"คนเอเชียนี่ผิวดีเนอะ"
ผมไล้นิ้วตามผิวนิ่มละเอียดนั้น มันสะดุ้งเล็กน้อย
"เอ้า หันหลัง เดี๋ยวจัดการผมให้"
ผมแกะหนังยางที่เจ้าตัวมัดผมยาวระต้นคอของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจออก ตั้งแต่มานี่มันยังไม่ตัดผมเลยครับ 'เปลืองตังค์' มันบอก ผมหยิบหลอดผลิตภัณฑ์แต่งผมมาบีบใส่ฝ่ามือแล้วขยี้จัดทรงให้ผมหยักศกสีดำขลับ
"อย่าไปหยิบผิดเอาเจลอื่นมาแทนนะเฟ้ย"
มันหมายถึงเจลหล่อลื่นซึ่งผมวางทิ้งไว้อย่างเปิดเผยที่หัวเตียง
"อันนั้นเดี๋ยวป๋าจะใส่ที่อื่นให้แทนนะครับ"
ผมกระเซ้ามันกลับ หลังๆ พวกผมพูดสองแง่สองง่ามใส่กันเป็นประจำครับ ผมน่ะหยอดจริงหวังได้ แต่มันก็คงไม่คิดอะไร

"อ่ะ เรียบร้อย"
ผมดูผลงานตัวเองอย่างพอใจ ผมหยักศกดำขลับของมันสยายล้อมกรอบหน้าทำให้หน้ากลมๆ นั้นเรียวขึ้น เจลที่ผมใช้แต่งผมเป็นแบบ wet look ทำให้ดูเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
"นี่ถ้าใส่แว่นดำปิดตาชั้นเดียวก็เหมือนหนุ่มละตินแล้วนะเนี่ย" ผมกระเซ้ามันซึ่งมองตัวเองในกระจกอย่างพึงใจ


"แล้วมันเต้นไงล่ะเนี่ย?" นพมองเหล่าชายหญิงที่วาดลวดลายบนฟลอร์ตามจังหวะเพลงอันเร่าร้อน
"เดี๋ยวสอน มาสิ" ผมดึงมันลุกขึ้น รุนร่างนั้นไปที่กลางฟลอร์
"นี่ มือขวาจับมือซ้ายกู มือซ้ายโอบไปที่ข้างไหล่นี่ ไม่ใช่โอบเอว" ผมจัดท่าให้มัน
"ฟังจังหวะนะ...จังหวะแรกยืนท่าเริ่มต้น นับในใจไว้ ถ้านพเต้นนำ ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าหนึ่งก้าวนับหนึ่ง เปิดส้นเท้าขวาขึ้น ปิดส้นเท้าขวาลงนับ 2 ชักเท้าซ้ายกลับนับ 3 นับที่ 4 ให้ยืนเฉยๆ ตรงท่าเริ่มต้น จากนั้นนับ 5 ก้าวเท้าขวาไปข้างหลัง นับ 6 ย่ำเท้าซ้ายกับที่ นับ 7 ชักเท้าขวากลับสู่ตำแหน่งเริ่มต้น นับ 8 ยืนนิ่ง จากนั้นก็วนต่อไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ในตำแหน่งเต้นตามก็ทำสลับกัน เริ่มจากถอยก่อน" (ผู้เขียน -- วิธีเต้นนะคะ www.addicted2salsa.com/how-to-dance-salsa)

ดูท่าคนข้างหน้าผมจะไปไม่เป็นแล้วครับ
"งั้น เดี๋ยวกูนำ มึงก้าวเท้าตาม...จำไว้ว่าอย่าเครียด ให้สนุกไว้ พริ้วไว้!"
ตอนแรกมันก็เหยียบเท้าผมบ้างครับ แต่หลังจากสองสามเพลงมันก็เริ่มคุ้น และด้วยการนำขั้นเทพของผม (ไม่ค่อยอวยตัวเองเลย) มันก็เต้นได้เหมือนคนที่เต้นมานาน ใบหน้ากลมนั้นแดงก่ำและชุ่มเหงื่อ ปอยผมที่เปียกชื้นสะบัดไปตามแรงหมุนตัวของเราสองคน มันหัวเราะอย่างเริงร่า ผมเผลอมองอย่างเพลิดเพลินพร้อมโอบกระชับเอวมันเข้าจนอกและกลางกายเราชิดกันแต่ก่อนที่ผมจะทันฝังหน้าลงกับซอกคอขาวเนียน เพลงก็จบ



############################

เป็นตอนพิเศษ 2 ตอนของนพกับฆาเบียร์จากตอน First Time นะคะ เป็นชีวิตช่วงที่นพไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา อิมเมจของฆาบี้ก็จะเป็นประมาณพ่อหนุ่ม Chayanne แต่เป็นตอนหนุ่มๆ กว่า (แซ่บประมาณนี้ https://www.youtube.com/watch?v=GuZzuQvv7uc)

ฆาบี้เป็นตัวละครที่ชอบมากตัวนึง มีแพลนระยะยาวว่าอาจจะจับมาเขียนเป็นเรื่องแยก แต่คงต้องหาแฟนให้มันใหม่เพราะน้องนพของเราไม่ว่างซะแล้วค่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2017 13:42:42 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ

---- SP – My Name Is Javier [Pt.2]


(ต่อ)


"โอย เหนื่อย ไม่ได้เหงื่อออกแบบนี้มานานแล้ว" มันนั่งลงที่โต๊ะ ใช้แผ่นพับโฆษณาโบกต่างพัด
"สนุกมาก ขอบใจมึงมาก ฆาบี้"
แค่ได้เห็นริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มผมก็ชื่นใจแล้วครับ
เสียงเพลงใหม่ดังขึ้น สาวๆ บนฟลอร์พากันร้องกรี๊ดกร๊าด
"เพลงอะไรน่ะ คุ้นๆ" นพถาม หนุ่มหน้ากลมคนนี้ชอบฟังเพลงภาษาสเปนเป็นพิเศษครับ
"No Me Ames ของมาร์ค อันโธนี กับเจโล แต่นี่เป็นเวอร์ชั่นซัลซ่า" บนเวทีเต้นกันอย่างเร่าร้อน
"อ๋อ เพลงผัวเมียตีกัน" ผมขำที่มันจำเหตุการณ์ใน MV ของเพลงนี้ได้

"เจ๊โลร้องว่า
No me ames para así olvidarte de tus días grises
Quiero que me ames sólo por amarme   

อย่ารักฉันเพื่อให้ลืมวันอันแสนหมองหม่น ฉันอยากให้คุณรักฉันเพราะตัวคุณรักฉันจริงๆ

แล้วมาร์คก็ร้องตอบว่า
No me ames, tú y yo volaremos
Uno con el otro y seguiremos siempre juntos

อย่ารักผม เราสองจะออกโบยบินไป เคียงข้างกันและตลอดไปตราบชั่วนิรันดร์"

(No Me Ames (Tropical Remix) - J-Lo and Marc Anthony https://www.youtube.com/watch?v=T_-4w08RoX4)
(No Me Ames -- MV ที่นพบอกว่าเป็นเพลงผัวเมียตีกัน  https://www.youtube.com/watch?v=-rbe6YT_t0c)


นพน้อยของผมชอบให้ผมแปลเพลงภาษาสเปนให้ฟังครับ แต่เมื่อฟังมันมักใจลอยไปไหนต่อไหนแทนไม่รู้ วันนี้ก็เช่นกัน ใบหน้ากลมนั้นหมองลงเล็กน้อย ผมเดาว่ามันคงคิดถึงใครสักคนอยู่ ผมถอนหายใจ

"Te amo..."
หูผมฝาดไปหรือเปล่า ผมจ้องหน้ามัน แทบจับไหล่มันเขย่า
"มึงว่าไงนะ?"
ใจผมเต้นระรัวแทบจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว
"เอ่อ...กูถามมึงว่า เต อาโม แปลว่าอะไร" ใจผมห่อเหี่ยวลง
"มันแปลว่า ผมรักคุณ..." ผมกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

"...แต่กูชอบใช้คำอื่นมากกว่า"

"คำไหนอ่ะ? ความหมายเหมือนกันเหรอ?" มันถาม ผมจ้องตามันนิ่ง...พยายามส่งความรู้สึกทั้งหมดไปทางสายตา
"Te quiero..."
"ห้ะ? ว่าไงนะ? เพลงมันดัง กูไม่ได้ยิน" ผมยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูมันด้วยเสียงที่แหบพร่า...

"Te quiero, Noppito (นพน้อย)"

มันสะดุ้ง สบตาผมและเห็นว่าผมไม่ได้พูดเล่น มันเบือนหน้าหนีก้มมองพื้น...
"กูเหนื่อยว่ะ กลับก่อนนะ" มันพูดและลุกเดินออกไป ทิ้งผมนั่งอยู่คนเดียวกับดนตรีอันเร่าร้อน

คืนนั้นผมไม่กลับห้อง แต่ไปนั่งกินเหล้ากับพวกเพื่อนกลุ่มเด็กเชื้อสายละตินด้วยกันจนถึงเช้า


ผมเข้าห้องไปในตอนเช้าด้วยสภาพสุดโทรม ทันเวลาที่นพกำลังจะออกไปเรียนพอดี มันมองผมด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก
"ทำไมไม่กลับห้องวะ กูอุตส่าห์เปิดไฟรอ"
"...ใกล้สอบแล้ว มึงถนอมตัวมั่ง อย่าเที่ยวหนักนัก" น้ำเสียงมันยังแสดงความอาทร
"มึงต้องสนทำไมวะ นพ กูถามจริงๆ จะใส่ใจทำไม?"
ผมกระชากเสียงถาม มันผงะไป ใจผมเจ็บแปล๊บเมื่อเห็นน้ำตาที่รื้นขึ้นตาคู่นั้น

"...มึงจะมาทำดีกับกูทำไม ในเมื่อมึงไม่ได้มีใจให้กูเลย" หน้ากลมๆ ของมันแดงก่ำขึ้น

"ไอ้ฆาบี้ มึงเป็นเหี้ยอะไร?” มันผลักอกผมด้วยแรงโมโห
“...กูไม่เข้าใจ มึงไม่ชอบที่เราเป็นอยู่เหรอ? เป็นเพื่อนกันแบบนี้ไม่ดีตรงไหน?" 
มันกระชากคอเสื้อผมแล้วตะโกนใส่หน้า
"กูอยู่กับมึงแบบนี้ กูมีความสุขดี มึงเป็นเพื่อนกู เพื่อนสนิทคนเดียวที่นี่ กูไม่อยากจะเป็นอย่างอื่น..."
มันปล่อยคอเสื้อผม แล้วลงไปนั่งกุมหัวบนเตียง ผมยืนนิ่ง
"ถ้าเป็นอย่างอื่น สักวันเราก็ต้องทะเลาะกัน ยิ่งนิสัยเจ้าชู้ๆ แบบมึงเนี่ย กูไม่อยากต้องมาเกลียดมึงทีหลัง"  มันพึมพำพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ผมทรุดตัวลงนั่งข้างมัน

"กูขอโทษ นพ กูห้ามใจตัวเองไม่ได้"
"มึงอาจจะแค่หลงผิดเพราะมึงยังไม่ได้กู ไอ้ฆาบี้..." มันพูดแทงใจผม
"...แต่หลังจากนั้นล่ะ? ฉะนั้น กูขอล่ะ อีกสองเดือนกูก็กลับแล้ว ขอกูกลับไปแบบยังมีมึงเป็นเพื่อนจะได้ไหม? มันทำเสียงโศก ผมถอนหายใจยาว...

"ถ้ามันเป็นความต้องการของมึง นพ...กูจะให้ตามมึงขอ"


หลังจากวันนั้นทุกอย่างกลับเป็นปกติ ผมพยายามทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมัน ช่วงวันหยุดอีสเตอร์ มันก็ไปบ้านผมอีกเหมือนเดิม ผมพยายามใช้เวลาที่เหลือกับมันให้มีค่าที่สุด เรานอนคุยกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันทั้งคืน เราหัวเราะให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเกือบปีที่ผ่านมา

"ฆาบี้ พรุ่งนี้มึงไปเป็นเพื่อนกูซื้อของหน่อยสิ"
มันชวนผมไป The Mall of America ห้างฯ ใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลบ้านผม มันยกเอากระดาษเอสี่ที่มีรูปเท้าใหญ่เขียนอยู่มาดู กระดาษนั้นเปื่อยไปมากแล้วเพราะถูกดึงเข้าดึงออกกระเป๋าตังบ่อยครั้ง
"ซื้อของให้แฟนอ่ะสิ" มันหน้าแดง
"เห้ย น้องเว้ย น้อง ไม่ใช่แฟน"

หึ...น้อง น้องที่มึงมักเผลอครางชื่อออกมาตอนทำอะไรกุกกักๆ ใต้ผ้าห่มน่ะสิ อย่าคิดนะว่าผมไม่ได้ยิน
'ราฟา...' ผมยังจำชื่อที่เสียงกระเส่านั้นเผลอเรียกออกมาได้

ที่เดอะ มอลล์ มันก็เดินเข้าออกร้านรองเท้าเหมือนเดิมครับ หลังผ่านไป 5 ชั่วโมง เดินไป 3 ชั้น 4 ห้างฯ นพก็เจอของที่มันตามหา...รองเท้ากีฬาเบอร์ 16 หนึ่งคู่ครับ มันนั่งกอดกล่องรองเท้ายักษ์นั่นอย่างทะนุถนอมตลอดทางกลับบ้านผม

"นี่ กูไปเดินเป็นเพื่อนมึงมาโคตรนาน เมื่อยขาจะตายละ ขอรางวัลหน่อยดิ"
ผมทำตาเว้าวอนใส่มันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจก
"อือ เอาดิ ให้ทำไร? ให้นวดขาให้มะ?"
"คืนนี้ กูขอนอนกอดมึงได้ป่าว?"
มันหยุดเช็ด หันมาหาผม ทำหน้าครุ่นคิด...ผมชอบเวลามันกัดปากบางๆ ของมันจริงๆ เห็นแล้วมันช่างชวนให้จินตนาการไปไหนต่อไหน
"ก็ได้ เห็นแก่ที่มึงยอมตามใจกู...แต่กอดเฉยๆ ห้ามทะลึ่งนะโว้ย" มันสำทับ

ร่างอวบๆ นี่มันอุ่นจริงๆ ครับแถมยังนุ่มนิ่มไปหมด ผมเคยแต่กอดหนุ่มๆ ตัวบางๆ ไม่ก็กล้ามแน่นๆ แต่ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มร่างอวบตรงหน้าผมจะทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้ กลิ่นสบู่แชมพูอ่อนๆ จากตัวมันทำให้ผมอดไม่ไหวที่จะฝังหน้าลงไปที่หลังคอขาวเนียนนั่น ผมจูบพรมไปตามลาดไหล่ของนพ

"ไอ้ฆาบี้..."
เสียงเย็นเยือกดังออกมาจากปากคนที่ผมนึกว่าหลับไปแล้ว...ผมใจหายวาบ
"ไอ้จูบคอ จูบไหล่ กูจะยอมทนให้ แต่มึงเก็บงูมึงที่ทิ่มหลังกูซะ ไม่งั้นกูตัดมันทิ้งแน่"
เสียงเหี้ยมนั้นมีแววเอาจริง ผมกลัวแล้วค้าบบบบ

ปีการศึกษานี้กำลังจะจบลงแล้วครับ ฤดูกาลสอบกำลังจะผ่านพ้นไป อีกไม่นานภาพไอ้นพที่นั่งเคี้ยวซีเรียลตุ้ยๆ อยู่ข้างหน้าผมจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ ผมไม่อยากให้มันจบลงเลย...

"..."
มันพูดอะไรซักอย่าง
"หือ ว่าไงนะ?"
"กูว่า..." มันกลืนซีเรียลคำสุดท้ายลงคอ
"วิทยาลัยนี้ดีเนาะ มีมื้อดึกให้ช่วงสอบด้วย"

โรงอาหารที่นี่จัดไลน์อาหารมื้อดึกที่เรียกว่า late night breakfast ที่มีอาหารเหมือนช่วงมื้อเช้าให้กับพวกนักศึกษาที่อยู่อ่านหนังสือสอบจนดึกดื่นด้วย

"มึงก็จะยัดให้หมดทุกอย่างที่มีเลยงิ?"
"ก็กูเครียด" มันหยิบแซนวิชเนยถั่วมากินต่อ...
"...ไม่ได้กลัวอ้วนเหมือนมึงนี่ แดกแต่ผักผลไม้" ผมมองมันกินอย่างเอ็นดู
"มึงสอบเสร็จมะรืนใช่ไหม? ไอ้นพ" มันพยักหน้า
"กูสอบเสร็จพรุ่งนี้ ค่ำวันมะรืนบ้านไอ้เก้บมันจะจัดปาร์ตี้ฉลองสอบเสร็จ มึงไปด้วยไหม?"
ไอ้เก้บที่ว่านี่คือ  กาเบรียล เพื่อนกลุ่มหนุ่มๆ ละติโน่ของผม มันอยู่บ้านข้างนอกวิทยาลัย ที่นั่นเราจะกินเหล้าอะไรได้เต็มที่
"ไปสิ มีเต้นซัลซ่าอีกป่าว กูอยากเต้นอีก" ไงก็ได้ เพื่อนเอ๋ย ตามใจมึงเลย
"อือ มึงควรเต้นมาก จะได้เอาแคลอรี่พวกนี้ออกให้หมด"
ผมหลบเปลือกกล้วยที่มันปามาแทบไม่ทันเลยครับ นพของผมนี่โกรธก็ยังน่ารัก

ที่บ้านไอ้เก้บมีเสียงเพลงเต้นรำดังกระหึ่มออกมาดังถึงถนน เสียงคนหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างปลดเปลื้องความเครียดที่สะสมมาตลอดช่วงสอบ
"งานนี้เบียร์เหล้าไม่อั้นโว้ย" ไอ้เก้บเจ้าของบ้านประกาศก้อง บ้านมันเป็นเศรษฐีจากแคลิฟอร์เนีย แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกครับ

"นพ อย่ากินเยอะนะ มึงยิ่งคออ่อนอยู่"
ไอ้นพน้อยของผมซดเบียร์เข้าไปสองขวดแล้วครับ หน้ากลมๆ ของมันเริ่มแดงระเรื่อ
"น่าๆ นานๆ ที เดี๋ยวกูก็กลับไทยแล้ว ถึงเมา ไงๆ มึงก็ลากกูกลับไหวใช่มะ?"  มันเริ่มพูดอ้อแอ้ละ ไม่ได้การ สักพักคงต้องลากกลับแล้ว

"งั้นเดี๋ยวกูมานะ ขอไปหาพวกเพื่อนๆ ก่อน กินแต่เบียร์พอนะมึง อย่างอื่นอย่าแตะ"
ผมสำทับก่อนที่จะเดินไปไล่ทักทายพวกเพื่อนๆ จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็กลับถูกมือแข็งแรงคู่หนึ่งผลักผมกลับเข้าไปในห้องน้ำพร้อมปิดล็อคตาม ก่อนที่ผมจะทันทำอะไร ปากที่ร้อนผ่าวก็ประกบลงที่ปากผม ลิ้นอุ่นพยายามสอดแทรกเข้ามาพันเกี่ยวกับลิ้นของผม ผมซึ่งไม่ได้แตะต้องใครมาพักใหญ่แล้วเคลิ้มตามสัมผัสที่คุ้นเคยนั้นและจูบตอบไปอย่างเร่าร้อน มือของเราเปะป่ายตามร่างกายกันและกัน แต่ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือสากนั้นเริ่มรุกเร้าแกนกายผมซึ่งแข็งขึ้นจนแทบระเบิด ผมได้สติรีบผลักร่างนั้นออกไป

"จอช พอได้แล้ว หยุด!" ผมตวาดใส่รูมเมทเก่า ฝ่ายนั้นทำท่าหงุดหงิดมากที่ถูกขัดอารมณ์
"ทำไมล่ะ ฆาบี้ ทำไมตอนนี้ทำมาเป็นเล่นตัว?" ดวงตาวาวโรจน์คู่นั้นแดงก่ำ มันคงเมามาก
"เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จอช อย่ามาแตะตัวผมอีก" ผมเสียงแข็ง
"เฮอะ คุณเคยแคร์ด้วยเหรอว่าต้องเป็นอะไรกันถึงจะเอาได้?..." ผมนิ่งเงียบไป

"...เมื่อก่อนเอาไปทั่ว ไม่เห็นจะแคร์ ทำไมตอนนี้มาทำไม่ได้ล่ะ?..."

นั่นสิ ทำไมล่ะ ผมเลิกโปรยเสน่ห์ไปทั่วมาพักใหญ่โดยไม่รู้ตัว

"เพราะมันใช่ไหม? ไอ้อ้วนหัวดำที่คุณหนีบไปหนีบมาด้วยตลอด เสียใจด้วยนะ มันกำลังนัวเนียกับไอ้นันโด้อยู่ที่โซฟานั่น"
จอชตะคอกใส่หน้า ผมหัวร้อนไปหมด รีบเปิดประตูห้องน้ำพรวดออกไป เสียงจอชหัวเราะอย่างสะใจไล่หลังมา

กลับมาที่โต๊ะ ผมแทบขาดใจเมื่อเห็นไอ้ตัวแสบนั่งคอพับคออ่อนอิงซบร่างหนึ่งอยู่ ร่างนั้นคือไอ้นันโด้ อริผมเอง ไม่รู้ทำไมมันชอบมาวอแวกับคนที่ผมสนใจ จอชเองมันก็เป็นคนแย่งไป ผมกัดกรามแน่นเมื่อเห็นไอ้นันโด้ฝังหน้าซุกไซร้ซอกคอที่ไร้สตินั่น มือของมันลูบไล้แผ่นหลังเนียน หัวใจผมเต้นแรง เลือดขึ้นหน้า ผมไม่เคยรู้สึกหึงหวงใครแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมเดินพรวดเข้าไปกระชากตัวนพออกมาจากไอ้นันโด้

"ไป นพ กลับบ้าน!" ผมตะโกนกรอกหูมัน บีบแขนมันแน่น
"อือ หนวกหูน่า ยังม่ายกลับ วันนี้สนุกจัง" มันงึมงำ
"นี่ คนเค้าไม่อยากไป มึงจะไปฝืนทำไม ปล่อยมันมาสนุกกับกูต่อดีกว่า"
ไอ้นันโด้พูดด้วยน้ำเสียงยียวน ผมไม่สนใจมัน จับนพเอนนอนบนเก้าอี้นวม ทำไมมันถึงเมาขนาดนี้นะ ผมอยู่ห่างตัวมันแป๊บเดียวเอง ผมกวาดตามองที่โต๊ะ เหอะ...แก้วช็อตเตกิล่าวางเรียงกันเป็นสิบ

"ไอ้นพ มึงกินไปกี่ช็อต?"
"หือ อาราย?" มันพยายามลืมตาตี่ๆ ของมัน
"กูกินไปสี่ห้าอึกเอ๊ง เหล้าแก้วนิดเดียว ใส่มะนาวเปรี้ยวๆ กินง๊ายง่าย ไม่เป็นราย ไม่มาวววว"
บร๊ะเจ้า...สี่ห้าแก้ว แถมเบียร์อีกสองขวด นพเอ๊ยยยยย มึงหาเรื่องใส่ตัวแล้ว
"เพื่อนมึงดี๊ ดี เค้าสอนกูกินด้วย" มันอ้อแอ้ต่อ ผมหันขวับไปหาไอ้นันโด้ทันที
"มึง..."
"เออ กูสอนมันกิน มีอะไรมะ? นพครับ ยังเหลืออีกห้าแก้ว ต่อให้หมดเลยไหมครับ?"

มันเมินผม หันไปเจ๊าะแจ๊ะนพต่อ ไอ้ตัวดีลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ตายังปิด มือควานหาแก้วเหล้า
"นพ ไม่ต้องกิน พอแล้ว กลับ" ผมดึงมือให้มันลุก
"เดี๋ยวสิครับ คุณบอกผมว่าจะกินให้หมดนี่?"
ไอ้นันโด้ตื๊อต่อ กูชักรำคาญแล้วโว้ย ผมหยิบแก้วเล็กๆ พวกนั้นขึ้นมากระดกพรวดๆ จนหมด
"หมดเรื่องยัง? กูจะได้พานพกลับ" ไอ้นันโด้ยิ้มยียวน
"หึ หวงก้างเหรอวะ ไอ้ฆาบี้"
"หวงก้างอะไร นี่เด็กกู" ผมปดไป มันหัวเราะเยาะ
"เท่าที่กูได้ยินมา มึงยังไม่ได้มันเลยไม่ใช่เหรอ?..." ผมหน้าร้อนวูบ ไม่ใช่เพราะจากแอลกอฮอล์ที่เพิ่งกระดกลงไป
"เห็นว่ามึงตามมันต้อยๆ เหมือนลูกหมาตามเจ้าของ...เกิดอะไรขึ้นกับนักล่าอย่างมึงวะ? ไร้น้ำยาแล้วเหรอ? ฮ่าๆๆ"

ผมนิ่งเงียบ นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นกับผม ถ้าเป็นผมคนเก่า นพคงไม่หลุดมือผมมานานขนาดนี้
"ถ้ามึงไม่มีน้ำยาเอาแล้ว กูขอนะ"
มันเอื้อมมือไปลูบไล้หน้าท้องขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อที่เลิกขึ้นของนพ ผมปัดมือมันออกโดยแรง ดึงร่างที่เมามายนั้นขึ้นมาประคองไว้
"มึงไม่ต้องยุ่ง ไอ้นันโด้ ไปดูไอ้จอชในห้องน้ำซะ เมาเหมือนหมาจนจะมาปล้ำกูอยู่แล้ว" ไอ้นันโด้หน้าเปลี่ยนสี รีบลุกไปทันที

ผมเรียกแท็กซี่มาส่งผมกับไอ้ตัวดีที่หอ ผมประคองมันเดินเข้าตึก กลิ่นกายมันผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ปลุกเร้าประสาทของผม ร่างนุ่มนิ่มเต็มไม้เต็มมือนั้นอ่อนปวกเปียก ผมควรทำยังไงกับมันดี

เมื่อถึงห้อง ผมจับมันขึ้นนอนบนเตียง ถอดรองเท้าและกางเกงยีนส์หนาออกให้ ผมหาน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้มัน แต่ก็ต้องหน้าร้อนวูบเมื่อเห็นแท่งลำที่เริ่มแข็งเกร็งขึ้นในกางเกงในสีขาวนั้น

"นพ กูจะทนไม่ไหวแล้วนะ..."
ผมกระซิบเบาๆ ใส่หูมัน แต่ก็พยายามข่มใจเช็ดเนื้อตัวมันไป
"กูอยู่ไหนวะ?"
ไอ้ตัวดียันกายลุกขึ้นนั่งทำตาปรือ มันคงสร่างเมามั่งแล้ว
"อยู่หอ..." ผมก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวต่อ
"...มึงเมามาก นอนพักเหอะ"

'ขอเหอะนพ อย่าพึ่งชวนกูคุยเลย ไม่งั้นกูสติขาดผึงแน่'
ผมนึกในใจ พยายามเบี่ยงตัวไม่ให้มันเห็นความผิดปกติในตัวของผม ทั้งกลิ่นและสัมผัสอันนวลเนียนของผิวกายมันทำให้อารมณ์ผมที่ถูกจอชปลุกไว้เมื่อครู่พลุ่งพล่านขึ้นอีก ผมบังคับบางส่วนของผมไม่ได้อีกแล้ว มันล้มตัวลงนอนต่อ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไม่ได้การละ ต้องจัดการให้ลูกชายมันสงบซะหน่อย ผมเปิดคอม เปิดลิ้นชักสุ่มๆ เลือกหนังสักแผ่นมาแล้วเปิดดู ผมดูร่างกายในจอกอดก่ายสอดแทรกกัน มือผมขยับขึ้นลงตามไอ้ลูกชายที่แข็งตัวเต็มที่

"ไอ้ฆาบี้ ทามรายวะ?"
ผมชะงักกึก...มันยังไม่หลับเหรอ? ผมจะทำไงดี...ในที่สุด เสียงชั่วๆ ในหัวผมก็ชนะ
"เปิดหนังโป๊ กูอยาก"
ผมตอบไปอย่างนั้น เอาวะ อย่างมากมันก็คงมาดูด้วยแล้วต่างคนต่างไปทำอะไรของตัวเองเหมือนเดิม
"เห้ย กูดูด้วย" นั่นปะไร

แต่แทนที่มันจะมานั่งห่างๆ เหมือนทุกที มันกลับมานั่งแปะซ้อนข้างหลังผมแล้วเอาคางเกยที่ไหล่ สัมผัสเนียนนุ่มของร่างร้อนผ่าวที่เปลือยท่อนบน อีกทั้งกลิ่นลมหายใจผสมแอลกอฮอล์ของมันทำให้ไฟของผมลุกฮือ ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมไม่อยากเป็นเพื่อนที่ดีแล้ว ผมอยากได้มัน และผมต้องได้เดี๋ยวนี้

"ไอ้ฆาบี้ เก็บงูก่อน ไม่ไปทำในห้องน้ำวะ?"
มันบ่นขึ้น แต่ก็ลงนั่งข้างๆ ผม ตาจับจ้องไปยังร่างในจอที่ครวญครางอย่างเสียวซ่าน หน้ากลมๆ ของมันขึ้นสีเข้ม มันกัดปากบางๆ ของมันอีกแล้วครับ สติของผมขาดผึง

"ช่วยกูที นพ...กูไม่ไหวแล้ว"
ผมพูดเสียงแหบพร่าพร้อมส่งสายตาเว้าวอน ผมดึงมือมันไปเกาะกุมแท่งลำร้อนของผม มันมองลึกเข้ามาในตาผมด้วยสายตาลังเล ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันไม่ได้มองผมอยู่นะ แต่ผมไม่สนใจแล้ว มันจะใช้ผมเป็นตัวแทนใครก็ช่าง ผมขอแค่ได้กกกอดร่างนี้ก็พอ

มันขยับมือช้าๆ ไปตามแก่นกายของผมเป็นสัญญานว่ามันโอเค ผมล้วงมือเข้าไปในกางเกงในของมันและลูบไล้แกนกลางที่ตื่นตัวเต็มที่ นิ้วของผมไล้ลากไปตามส่วนหัว เขี่ยอย่างแผ่วเบาที่ส่วนปลาย นิ้วโป้งคลึงบริเวณคอหยัก มันส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ผมรูดมือตามแนวยาวของมันไม่กี่ครั้งก่อนที่มันจะพ่นน้ำสีขาวขุ่นออกใส่มือผม

ผมดึงกระดาษมาเช็ดมือและขยับตัวมันมานั่งคร่อมตัก ตอนนี้มันกำลังเคลิ้มตาลอยครับ ปากผมซุกไซร้ที่ซอกคอขาวเนียน นิ้วผมเขี่ยคลึงยอดอกสีแดงระเรื่อ ลมหายใจหอบหนักของมันบอกผมว่ามันคงไม่ขัดผมแน่แล้ว ผมประกบปากผมกับปากนิ่มของมัน ลิ้นผมเข้าพัวพันกับลิ้นหนา จูบของมันงุ่มง่ามเหมือนคนไม่เคย คงไม่ค่อยมีใครได้ปรนเปรอมันเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะบริการมันให้ถึงใจ ผมปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเราทั้งคู่อย่างรวดเร็วและผลักมันลงไปที่เตียงและเอนกายลงทาบทับ ผมพรมจูบทั่วทั้งกายที่บิดเร่าด้วยแรงปรารถนา ปกติผมมักปรนเปรอคู่รักผมด้วยปากก่อน แต่วันนี้ผมใจเย็นรอไม่ไหวแล้ว ผมหยิบถุงยางมาใส่พร้อมเทเจลลงที่นิ้วแล้วเสือกพรวดเข้าช่องทางอันคับแคบ

'แม่ง แน่นเหมือนยังไม่เคยเลยว่ะ'

ผมนึกในใจ แต่ไม่น่า ก็มันมีแฟนแล้วนี่? สงสัยคงเพราะมันร้างมานาน ใบหน้าของนพเหยเกเพราะความเจ็บแต่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสูดปากเมื่อนิ้วผมโดนจุดเสียว ผมค่อยๆ ขยับนิ้วเข้าออกแล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็นสองและสามนิ้วจนกระทั่งช่องทางนั้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยเจล ผมจับส่วนปลายลำของผมจ่อที่ช่องทางสีชมพูและดันพรวดเข้าไปทีเดียว มันผวาเฮือกขึ้นกอดผมทั้งตัว ผมดันตัวมันกลับลงไปนอนต่อ ดันเข่าทั้งสองมันชิดอกพร้อมเริ่มสาวแท่งลำผมช้าๆ

"เจ็บ ฆาบี้...กูเจ็บ อย่า...เอาออกไปเถอะ กูขอ"

มันอ้อนวอนทั้งน้ำตา ผมที่หน้ามืดไปแล้วทำหูทวนลมและตั้งหน้าตั้งตาซอยไม่ยั้ง ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอจัดหนักรอบนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะบริการมันอย่างนิ่มนวลทีหลัง เสียงร้องด้วยความเจ็บของมันกลายเป็นเสียงครางด้วยความเสียวซ่าน ผมดึงแก่นกายผมออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปหนักๆ ช่องทางแคบนั้นตอดรัดแท่งเสียวของผมจนแทบทนไม่ไหว ผมพลิกตัวมันให้นอนคว่ำ สะโพกลอยเด่นขึ้น ผมเอามือโอบเอวมันข้างหนึ่ง อีกข้างรูดไล้แก่นกายของมันไปด้วย ผมกระหน่ำแทงช่องเสียวของมันต่อ ผมอ่อนโยนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากได้มันเหลือเกิน ร่างที่สั่นระริกนั้นครางจนไม่มีเสียงแล้วซบหน้าลงกับหมอน

"โอว...นพ มันรัดมาก กูจะไม่ไหวแล้ว"
ผมพลิกให้มันลงนอนหงายอีกครั้ง ผมอยากดูหน้ามันตอนจะเสร็จ ใบหน้ากลมนั้นแดงก่ำ ตาหรี่ปรือ ปากแดงนั้นเม้มแน่น ผมจูบพรมไปทั่วหน้ามันแล้วฝังหน้าไปกับต้นคอ มันส่งเสียงครวญครางอย่างลืมตัว ผมเร่งซอยยิกเมื่อช่องทางแคบนั้นตอดรัดผมถี่

"โอย กูเสียว ไม่ไหวแล้ว จะออกแล้ว...ราฟา..."
มันหลั่งออกมาเมื่อสิ้นเสียงเรียกชื่อคนที่อยู่ในใจมัน ผมแทบอยากหยุดแต่ช่องทางนั้นบีบรัดแท่งร้อนของผมจนทนไม่ไหวต้องพ่นน้ำสีขาวขุ่นออกมาเต็มที่

ผมถอนหายใจเบาๆ และถอนแท่งลำที่เริ่มอ่อนตัวออกมา
ผมรู้ตัวว่าผมทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้วครับ จากประสบการณ์...ผมรู้สึกได้เมื่อเริ่มสอดใส่ว่านพน่าจะยังไม่เคยผ่านมือใครมา แต่ผมหน้ามืดเกินกว่าที่จะหยุดหรือว่าอ่อนโยนกับร่างนั้นได้...ผมลงนอนข้างร่างอวบที่หลับไหลไปแล้วเพราะความอ่อนเพลีย ปลายนิ้วผมไล้แก้มใสเป็นพวงนั้น แล้วก้มจูบปากบางที่เผยอน้อยๆ นั้นอย่างแผ่วเบา

"Te quiero, mi amor"
ผมรักคุณ ที่รักของผม...ผมกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูนั้น ก่อนที่จะนอนตะคองกอดมันจนหลับไป

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อคนที่นอนข้างกายขยับตัว ผมพลิกตัวไปกอดร่างนุ่มนิ่มนั้น ปากซุกไซร้ไปทั่ว พร้อมกลั้นใจทำเสียงร่าเริงถามไป
"ตื่นแล้วเหรอ นพที่รัก เป็นไงมั่งเมื่อคืน? อยากให้ฆาบี้บริการอีกรอบไหม เช้านี้"
มันยกมือขึ้นปัดมือผมออกอย่างเย็นชา ใบหน้าเรียบเฉยนั้นทำให้ผมกลัว...นพยันกายลุกขึ้น ใบหน้านั้นเหยเกด้วยความเจ็บ ผมพยายามช่วยนพยืนแต่ร่างอวบนั้นเบี่ยงหนีแถมยังสะบัดมือผมออก
'ซวยแล้วกู'
"เอ่อ นพ กูขอโทษ เมื่อคืนกูเผลอจัดเต็มไปหน่อย เจ็บไหม?"
'เจ็บแน่ล่ะ ใส่ไม่ยั้งไปซะขนาดนั้น' ผมคิดอย่างรู้สึกผิด

มันเมินผม ไม่ตอบ แต่ไปคุ้ยเอากางเกงในใหม่กับเสื้อยืดมาใส่ ผมกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ พร้อมเนียนถามสิ่งที่อยากรู้
"มันส์ไหมมึง? นี่ไม่ได้ทำนานแค่ไหนแล้วเนี่ย แน๊น แน่น ตอดกูซะแรงเชียว" ผมทำตลกเผื่อมันจะขำมั่ง

สิ่งต่อไปที่ผมรู้คือหมัดลุ่นๆ ต่อยเปรี้ยงเข้าปลายคางผม มันบอกคุณว่ามันต่อยผมทีเดียวใช่ไหม? จริงๆ แล้วหนึ่งหมัด ตบหน้าอีกสองที พร้อมเตะเข้าที่กล่องดวงใจอีกครั้งครับ มันยืนคร่อมร่างผมที่นอนตัวงออยู่บนพื้น ตาแดงก่ำนั้นรื้นไปด้วยน้ำตา
"นานแค่ไหนเหรอ? นี่มันครั้งแรกของกู แม่งใส่มาไม่ยั้ง ห่าเอ๊ย..." มันกระแทกเสียงด้วยความเจ็บใจ พร้อมใช้หลังมือปาดน้ำตา
"ก็เคยบอกมึงแล้ว ว่ากูไม่เอา ไม่ทำ มึงก็ยังจะทำ" น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายจากตาคู่นั้น

"กูบอกแล้วว่ากูอยากเป็นเพื่อนมึง ไม่ได้เป็นอย่างอื่น ทำไมมึงทำให้กูไม่ได้?..."

ผมเจ็บแปล๊บขึ้นที่หัวใจ นี่ผมทำร้ายจิตใจคนที่ผมรักไปเสียแล้ว ผมผวาเข้ากอดเอวนพ
"กูขอโทษ นพ กูไม่รู้ กูเมามากจนขาดสติ กูไม่น่าทำเลย"
ผมปดมันไปแต่น้ำตาที่ไหลออกจากตาผมนั้นของจริง ผมไม่กล้าบอกมันว่าผมรู้ตัวเต็มที่ ส่วนที่ทำไปนั้นเพราะรักมันและอยากครอบครองเป็นเจ้าของมัน ผมรู้ว่าในตอนนี้ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้ ผมฉวยโอกาสพรากเอาสิ่งที่ตัวมันควรจะเป็นฝ่ายยกให้คนที่มันรักด้วยความเต็มใจไปเสียแล้ว

มันดันตัวผมออก แล้วนั่งลงบนเตียง ถอนหายใจ...
"ช่างมันไปแล้วกัน กูมันก็เป็นผู้ชาย จะให้มาคร่ำครวญเหมือนสาวๆ เสียพรหมจรรย์ก็ใช่ที่ กูก็จะถือว่าให้ให้หมามันกินแล้วกัน" เจ็บครับ...เจ็บมาก มันด่ามันเตะมันต่อยผมให้ตายไปเลยยังจะดีกว่าแบบนี้
"นพ...กู..." มันยกมือห้าม
"ไม่ต้องพูดแล้ว ฆาเบียร์" เรียกกันเต็มยศแบบนี้...เอามีดมาแทงเลยดีกว่าครับ

"กูจะคิดว่ากูฝันไป มันเป็นแค่ one time thing ต่อไปนี้ มึงกับกู เราเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกัน ที่ผ่านมาทั้งหมด กูจะถือว่ามันหมดค่าลงแล้ว" ผมใจหายวาบ ไม่นึกว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้
"อีกสี่ห้าวันกูก็จะกลับแล้ว ก็ดี จะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกัน"
น้ำตาผมไหลออกมาไม่รู้ตัว แต่จะให้ผมทำอะไรได้ ผมเลือกความเสียวซ่านชั่วครู่มากกว่ามิตรภาพระหว่างเรา ตอนนี้แทนที่จะได้คนรักผมกลับเสียเพื่อนสนิทไปแล้ว นพเดินออกห้องไป ทิ้งผมให้นั่งซึมอยู่บนพื้นห้อง

วันเวลาอันน้อยนิดที่เหลือ ผมพยายามง้อนพเต็มที่ แต่มันก็แสดงทีท่าเย็นชากับผมชัดเจน ผมทั้งขอโทษ หาขนมมาฝาก ซื้อดอกไม้มาให้ หรือกระทั่งทำเนียนกอดมันอ้อนมัน ที่ได้มาก็มีแต่ท่าทางเป็นปฏิปักษ์ ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วครับ ยิ่งเห็นมันเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับไทย หัวใจผมยิ่งแทบระเบิด แทนที่ผมจะได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกันในฐานะเพื่อนสนิท ผมกลับทำลายมันไป ผมทำได้ยังไง ไม่น่าเลย

วันสุดท้ายของเราสองคนก็มาถึง ผมแค่ลุกไปอาบน้ำ พอกลับเข้าห้องมาก็เจอแต่ความว่างเปล่า ผมรีบใส่เสื้อผ้าแล้ววิ่งตามลงมา ทันเจอมันที่หน้าหอพอดี มันกำลังให้เพื่อนร่วมชั้นมันสักคนถ่ายรูปมันกับหอพักให้ ผมรีบวิ่งเข้าไปหา พอเพื่อนมันเห็นผมก็รีบกวักมือเรียกผมมาเข้ากล้องด้วย ผมรีบก้าวเท้าเดินไปอยู่ข้างๆ มัน ผมมองหน้ามันเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้านั้นปั้นปึ่งเย็นชา ผมถอนหายใจเบาๆ...

"เอ้า มองกล้องหน่อย..."

ผมไม่ยอมให้มันกลับไปเฉยๆ แบบนี้...

"1..."

ผมจะฝากอะไรบางอย่างให้มัน


"2..."

เพื่อที่มันจะไม่ลืม...ไม่ลืมว่าเราเคยได้ใกล้ชิดกัน

"3..."

ผมโอบเอวมัน และก้มลงจูบต้นคอขาวเนียนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

แชะ...



ผมกับนพขาดการติดต่อกันมาหลายปีแล้วครับ ก็ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มันเดินจากผมไปที่หน้าหอนั่น ผมเพียรส่งทั้งอีเมล์ msn กระทั่งส่งจดหมายไปหามัน แต่ก็ไร้คำตอบใดๆ จากทางนั้น ผมได้รับจดหมายจากมันแค่ 1 ฉบับหลังจากมันกลับไปไม่นานซึ่งผมเก็บมันไว้ในกล่องอย่างมิดชิดเหมือนเป็นความทรงจำที่ปิดล็อคเก็บไว้

ชีวิตผมดำเนินต่อไป ผมกลับมาเป็นฆาเบียร์คนเก่าที่หว่านเสน่ห์ไปทั่วแต่ไม่เคยรักใครจริง หัวใจผมมันปิดตายไปแล้วตั้งแต่วันที่ผมเลือกที่จะทำลายคนที่ผมรักด้วยมือของผมเอง ตอนนี้ผมเลือกตั้งใจทำงานอย่างหนักและมีสัมพันธ์เพียงชั่วคืนเพื่อแค่ระบายความใคร่ ชีวิตผมมีเพียงแค่นั้น

วันนี้ ผมไขกุญแจเปิดกล่องนั้นออกอีกครั้ง เปิดซองจดหมายนั้น ในซองนั้นไร้ข้อความ มีเพียงรูปถ่าย 1 ใบ มันเป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายของเราสองคนที่หน้าหอพัก ผมยกมันขึ้นดูแล้วใจผมก็พลันเต้นรัว ในภาพผมกำลังโอบเอวอวบนั้น หน้าผมฝังลงที่ซอกคอขาว แต่สิ่งที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นหลังจากผ่านมาหลายปีคือใบหน้าของนพ ตอนถ่ายรูปผมเห็นมันทำหน้าปั้นปึ่ง แต่ในรูปนี้เห็นได้ชัดว่าริมฝีปากบางนั้นกลับเผยอยิ้มน้อยๆ อย่างลืมตัว

ผมเปิดหน้าเฟซบุ้ค ทำในสิ่งที่ผมไม่กล้าทำมานาน ผมกรอกชื่อจริงมันลงไปช่องค้นหา และมันอยู่ตรงนั้น...นพน้อยของผม ผมกดปุ่มขอแอดเฟรนด์มันไปอย่างไวและได้แต่ภาวนาขอให้มันรับแอด


############### F I N (?) ##################

ทีนี้รู้แล้วว่าน้องนพเอาความหมายคำว่า te amo กับ te quiero มาจากใคร น่าสงสารฆาเบียร์ โดนปฏิเสธแถมยังโดนขโมยมุกไปใช้อีก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2017 13:44:08 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ ##
«ตอบ #15 เมื่อ13-07-2017 07:01:05 »

แปะไว้ก่อน วันหลังจะมาตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ ##
«ตอบ #16 เมื่อ13-07-2017 08:47:35 »

ตอนที่เห็นชื่อตัวเอก "เฮ้ย นพเนี่ยเป็นอิมเมจของความเตี้ยเหรอวะ" เพื่อนเราชื่อนพ เป็นผู้ชายตัวเตี้ยเหมือนกัน (หัวเราะ)

อ่านแล้วสงสารพี่วัฒน์ ไม่น่ามาเจอกับผู้ชายใจง่ายอย่างนพเลย นอกจากใจง่ายแล้วยังไม่รู้จักใช้สมองอีก กับราฟาที่เหมือนจะชอบก็แค่หลงเพราะสนิทกัน แบบที่เคยเป็นกับต้ากับพี่เดี่ยวนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นราฟาคงจีบนพไปแล้ว เราคิดว่าราฟามันคงรู้แหละว่านพชอบ แต่เพราะนิสัยแบบนพจะทำให้คบกันไม่ยืดเลยยั้งอยู่สถานะเดิมแบบนี้ดีกว่า

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
Re: ## Para Ti...คำ "รัก" นี้แด่เธอ ##
«ตอบ #17 เมื่อ13-07-2017 20:54:17 »

ตอนที่เห็นชื่อตัวเอก "เฮ้ย นพเนี่ยเป็นอิมเมจของความเตี้ยเหรอวะ" เพื่อนเราชื่อนพ เป็นผู้ชายตัวเตี้ยเหมือนกัน (หัวเราะ)

อ่านแล้วสงสารพี่วัฒน์ ไม่น่ามาเจอกับผู้ชายใจง่ายอย่างนพเลย นอกจากใจง่ายแล้วยังไม่รู้จักใช้สมองอีก กับราฟาที่เหมือนจะชอบก็แค่หลงเพราะสนิทกัน แบบที่เคยเป็นกับต้ากับพี่เดี่ยวนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นราฟาคงจีบนพไปแล้ว เราคิดว่าราฟามันคงรู้แหละว่านพชอบ แต่เพราะนิสัยแบบนพจะทำให้คบกันไม่ยืดเลยยั้งอยู่สถานะเดิมแบบนี้ดีกว่า


นพมันเป็นพวกผู้ชายไม้เลื้อยจริงๆ ค่ะ ใกล้ไหนพันนั่น แถมยังไม่รู้ใจตัวเองอีก สมแล้วที่ต้องมาเสียใจเองทีหลังน้อ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

UPDATE - 16/7/17

 

มาเพิ่มตอนพิเศษตอนสุดท้าย เป็นบทสรุปจบเรื่องราวของ ราฟา - นพ - พี่วัฒน์นะคะ ว่าจะจบๆ แต่มันก็ค้างคาใจว่ายังไม่ได้รูดม่านปิดให้เรื่องราวของนพซักที หมดบทนี้แล้วก็จะไม่มีนพโผล่มาเป็นตัวละครหลักอีก ถ้าจะมาอีกทีก็จะเป็นตัวรองในเรื่องอื่นๆ เลยค่ะ (ถ้าจะยังเขียนเรื่องอื่นไหวอีก ฮ่าๆๆ)


---- From Here to Eternity ----


4 กรกฎาคม 2575




Rrrrrr….


“ครับ วัฒน์ครับ”

“...”

“ครับ...บ่ายโมงนะ?”

“...”

“ไว้เจอกันครับ...ครับ นพไปด้วยครับ...โอเคครับ บาย”

วัฒน์กดปุ่มวางสายพร้อมระบายลมหายใจยาว


‘ถึงวันนี้อีกแล้วสินะ’


ร่างสันทัดที่ยังดูแข็งแรงในวัยเกือบ 60 ปีออกเดินจากเพิงพักกลางพื้นที่ไร่นาสวนผสม 40 ไร่ในอ. เชียงดาว ที่เขาและนพซื้อจากเหยี่ยว เพื่อนของนพเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วตอนที่เขาตัดสินใจเกษียณก่อนกำหนดจากม.สีชมพู การเป็นเกษตรกรทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ด้านนี้เลยเป็นเรื่องยากมากในตอนแรกเริ่ม แต่ด้วยที่เป็นการต่อยอดจากของเดิมที่เหยี่ยวทำไว้อย่างดีและจากการหาข้อมูลและศึกษาอย่างหนักของทั้งเขาและนพ อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ทำให้ในตอนนี้พวกเขาสามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วยผลิตผลจากในไร่ นอกเหนือจากนั้น นานๆ ครั้ง เขายังไปทำหน้าที่อาจารย์รับเชิญหรือผู้ชำนาญการพิเศษตามสายงานเดิมของตน ชีวิตที่เชียงใหม่ของเขาถือว่าสวยงาม ได้ทำงานตามใจตัวเองและได้ใช้ชีวิตกับคนที่รัก


วัฒน์ปิดประตูรถเรนจ์โรเวอร์ของเขาแล้วขับออกไปตามทางดินลูกรังเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังตัวบ้าน

บ้านของเขาและนพสร้างบนที่ตั้งบ้านไร่เดิมของเหยี่ยว บ้านหลังเก่าที่เป็นไม้นั้นสภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พวกเขาจึงรื้อและสร้างบ้านปูนเปลือยชั้นเดียวขนาดไม่ใหญ่นักขึ้นแทน สิ่งเดียวที่นพขอให้เก็บไว้คือชานไม้ขนาดใหญ่ซึ่งยื่นคร่อมลาดเนินเตี้ยๆ หลังบ้าน นพไม่ต้องบอกสาเหตุเขาก็พอจะรู้ว่าทำไมถึงต้องเก็บมันไว้ แต่เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก เพื่อนพ เขาทำให้ได้ทุกอย่าง


ชีวิตคู่ของเขากับนพก็เหมือนกับคู่อื่นๆ มีทั้งวันที่ดีและร้าย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไป 10 กว่าปีจากวันที่เขาตัดสินใจมาอยู่เชียงใหม่ นพก็ยังคงเป็นนพน้อยปากแข็งที่ไม่ค่อยยอมอ้อนหรือหวานกับเขาเหมือนเดิม แต่พวกเขาทั้งคู่ก็รู้กันว่าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถพรากจากกันไปไหนได้อีก แม้เขาจะรู้ว่าเสี้ยวหนึ่งของใจนพได้ตายไปเมื่อ 18 ปีที่แล้วหากความผูกพันและความห่วงหาอาทรของความสัมพันธ์ที่มีให้กันมากว่า 30 ปีนั้นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

เขาจอดรถที่หน้าบ้านน้อยและสาวเท้าเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ หน้าบ้าน

“จันทร์ คุณนพล่ะ?”  เขาถามจันทร์ แม่บ้านวัยกลางคนที่อยู่ดูแลพวกเขามาตั้งแต่ซื้อไร่นี้

“อยู่หลังบ้านเจ้า”


เขาเดินไปที่ชานหลังบ้านที่สร้างคร่อมเนินเตี้ยๆ มองเห็นทิวทัศน์ของต้นไม้เขียวและแปลงผักที่อยู่เบื้องล่าง เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขาใช้กระจกใส​ครอบชานไม้นี้และติดเครื่องปรับอากาศเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกมานั่งเล่นที่ชานนี้ได้ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างเช่นตอนนี้ที่ฝนกำลังเริ่มลงเม็ด

“พี่วัฒน์ กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงแผ่วเบาเรียกเขา

“นพให้จันทร์เตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้วนะ มีผัดกุ้ยช่ายขาวหมูกรอบของโปรดพี่วัฒน์ด้วย”

“แล้วนพล่ะ กินข้าวหรือยัง?” เขาถามอย่างเป็นห่วง

“นพยังไม่ค่อยหิวน่ะ...เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ พี่วัฒน์กินก่อนเลย”

วัฒน์นิ่วหน้า เดินไปทรุดตัวนั่งข้างร่างที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาเบ้ดนุ่มสบายที่ตั้งอยู่กลางชานบ้าน

“ไม่กินได้ไง เดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอก”


ตาโศกของวัฒน์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนพ...นพของเขาผอมลงอีกแล้ว...ร่างที่เคยอวบใหญ่ตอนนี้แทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เมื่อ 5 ปีที่แล้วหมอตรวจพบมะเร็ง โรคตามกรรมพันธุ์ที่คร่าชีวิตทั้งพ่อและแม่ของนพ แม้จะเป็นถึงขั้นที่ 4 แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น พวกเขายื้อชีวิตนพมาได้ถึง 5 ปี แต่ในที่สุดธรรมชาติย่อมเป็นฝ่ายชนะ นพน้อยของเขากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ

นพแอบทอดถอนใจเมื่อสังเกตเห็นแววเศร้าในตาของคนรัก

“กินพี่วัฒน์แทนก็อิ่มแล้ว”

นพพูดพร้อมแววซุกซนในตาเหมือนกับที่เป็นมาตลอดเมื่อยามยังไม่ป่วยและยกแขนผอมบางไปน้าวคอวัฒน์ วัฒน์จรดริมฝีปากไว้กับปากคนรักเนิ่นนาน จูบนั้นไม่ได้ร้อนแรงเรียกไฟราคะเหมือนเมื่อสมัยยังหนุ่มแน่น สำหรับทั้งคู่เซ็กส์ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว หากเป็นจุมพิตอ่อนโยนหรืออ้อมกอดอบอุ่นที่ถ่ายทอดความรักความห่วงใยให้กันที่ทั้งสองต้องการ


วัฒน์โอบกระชับร่างผอมบางนั้นไว้แนบอกเหมือนกลัวว่าร่างนั้นจะสลายไป เสียงฝนตกกระทบหลังคาแก้วดังเปาะแปะก่อนที่จะหนักขึ้น

“ฝนตกแล้ว เข้าบ้านเถอะ อยู่ตรงนี้เสียงดัง”

วัฒน์ประคองร่างบางนั้นขึ้นและพาเดินเข้าบ้าน เขาเคยจะอุ้มนพเดินไปไหนมาไหน แต่เจ้าตัวแว๊ดเอาบอกว่าเขาแค่ป่วยนิดหน่อย ไม่ได้พิการ...’ขนาดนี้ก็ยังดื้อนะ นพน้อยของพี่’

“เออ วันนี้แจงโทรมา” เขาพูดพลางตักผัดผักใส่ชามข้าวต้มให้นพ

“เหรอ? แจงว่าไง?”

“อืมม์ เรื่องพรุ่งนี้น่ะ” สีหน้านั้นฉายแววเศร้าลงเล็กน้อย พรุ่งนี้แล้วสินะ

“นัดกันบ่ายโมง ลินดามาด้วยนะ” หน้านั้นแช่มชื่นขึ้นเมื่อพูดถึงหลานสาว

“เหรอ? ดีจัง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”


เมื่อเวลาผ่านไป นพกับเขาก็ไปมาหาสู่กับครอบครัวของราฟาอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน พวกเขาเฝ้ามองดูลินดาเติบโตจนกลายเป็นสาวสะพรั่ง ยิ่งนาน สาวน้อยยิ่งดูเหมือนพ่อขึ้นไปทุกที

“นพไปไหวไหม ปีนี้?” นพพยักหน้าแทนคำตอบ

“งั้นเราไปเร็วหน่อยเหมือนทุกทีแล้วกันนะ” วัฒน์พูดอย่างรู้ใจร่างบางที่นั่งอยู่ข้างหน้า




5 กรกฎาคม 2575

00:01 น.



“พี่วัฒน์ครับ...” เสียงแผ่วๆ ดังจากร่างผอมบางที่นอนเคียงข้าง

“ว่าไง นพ ยังไม่นอนอีก แสงแยงตาเหรอ?”

เขากดปิดหน้าจอแท็บเล็ตลง วันนี้สุดที่รักของเขานอนดึกจัง


“...รักนะครับ”



อา...ใช่สินะ ธรรมเนียมประจำปีของพวกเขาที่ทำมาตั้งแต่เมื่อ 17 ปีที่แล้ว นพน้อยปากแข็งของเขาจะยอมเปิดปากบอกรักเขาทุกๆ วันที่ 5 กรกฎาคม แม้ในช่วง 10 ปีมานี้ ตั้งแต่ที่เขาย้ายมาอยู่เชียงใหม่เขาได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วนพรักเขามากแค่ไหน หากเจ้าตัวนั้นเคยเจ็บช้ำเพราะลมปากลวงของคนจึงกลายเป็นคนไม่เชื่อในคำพูดที่สวยงามหวานหู

"Action speaks louder than words" การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด
นั่นคือคำพูดติดปากของนพ และในช่วงตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกัน นพได้แสดงให้เขาได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ


แต่มันก็ยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยินคำรักนั้นจากปาก


เขาวางแท็บเล็ตที่ใช้อ่านงานเมื่อครู่ลง เอื้อมมือไปโอบกระชับร่างผ่ายผอมนั้นและจรดริมฝีปากลงที่หน้าผาก

“พี่ก็รักนพ สุดที่รักของพี่”

ส่วนตัวเขานั้นยังคงชอบแสดงความรู้สึกด้วยคำพูดเหมือนเดิม


นพโน้มคอเขาลงหา จรดริมฝีปากบางเข้ากับปากอิ่มของเขา พร้อมจูบอย่างอ้อยอิ่ง ริมฝีปากที่เลาะเล็มปากของเขายังคงเชี่ยวชาญเหมือนก่อน ร่างบางนั้นพลิกขึ้นทาบทับตัวเขา นพน้อยของเขาชอบเป็นผู้นำเสมอ แกนกลางตัวเขาเริ่มมีปฏิกิริยา มันยังแข็งแรงดีอยู่แม้อายุอานามเขาจะเลยครึ่งชีวิตมานานแล้ว หากวันนี้เขาดันตัวนพออก...

“นพ...ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่จัดการเองได้”

เขาคว้ามือเพรียวที่เอื้อมไปสัมผัสแท่งลำของเขาไว้ เขาสองคนไม่ได้มีเซ็กส์แบบสอดใส่กันมานานแล้วตั้งแต่นพเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ การคีโมและกระบวนการรักษาต่างๆ ทำให้นพสูญเสียความต้องการและความสามารถทางเพศไป แต่นานๆ ที นพก็ยังช่วยระบายความอัดอั้นให้เขา แต่ช่วงนี้นพอ่อนแอลงมาก เขาไม่อยากให้คนรักของเขาต้องเหนื่อย


“นพไหว นพอยากให้ความสุขพี่วัฒน์”

ริมฝีปากบางนั้นจุมพิตเบาๆ ที่ปากของเขาก่อนจะซุกไซร้ตามพวงแก้ม ใบหู ซอกคอ ด้วยความคุ้นชิน นพรู้ดีว่าต้องเลาะเล็มตรงไหนถึงจะจุดไฟคนรักขอตัวเองได้ นพพรมจูบต่อลงมายังแผงอกและยังตุ่มไตทั้งสอง มันทำให้วัฒน์เสียวซ่านไปทั้งตัว แม้เขาจะเป็นฝ่ายกกกอด แต่เม็ดสีน้ำตาลทั้งสองก็เป็นจุดเสียวของเขา ริมฝีปากบางนั้นเคลื่อนต่อลงมาที่กลางลำตัว วัฒน์ขยับกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง นพจูบยั่วเย้าที่ฐานแท่งลำ พร้อมใช้มือไล้รูดแก่นกายแข็งนั้น จากนั้นเลียไล้ที่ถุงเนื้อและดูดอมเบาๆ วัฒน์สูดปากด้วยความเสียวซ่าน ปากบางเลาะเล็มตามแท่งลำ ลิ้นร้อนๆ นั้นช่างร้ายกาจนัก มันกำลังเลียไล้เล็มตามรูร่องส่วนปลายและฉกตวัดรอบคอหยัก ก่อนนพจะดูดกลืนแท่งร้อนนั้นเข้าปาก วัฒน์มองคนรักที่ช้อนตามองขึ้นมาที่เขาทั้งๆ ที่ยังดูดรูดส่วนสงวนของเขา นพน้อยของเขายังคงเซ็กซี่เหมือนวันแรกที่ได้เจอกัน วัฒน์หวนนึกไปถึงครั้งแรกอันแสนหวานของเขา


“พี่วัฒน์แน่ใจแล้วนะ?” นพในวัย 20 ต้นพิมพ์ถาม

“...แน่ใจ พี่อยากให้นพเป็นคนแรกของพี่” วัฒน์พิมพ์ตอบ


เมื่อเดือนกรกฎาคม มาถึง ทั้งสองก็ได้พบกันหลังจากกินข้าว ดูหนัง ก็ถึงเวลาที่นพต้องทำตามสัญญา ทั้งสองเดินกุมมือกันเดินเข้าห้องพักของวัฒน์ เมื่อประตูปิด วัฒน์ดึงร่างอวบนั้นมากอดกระชับแนบอก นพขืนกายออกห่าง วัฒน์ที่คอตกเพราะคิดว่าตนถูกปฏิเสธพลันถูกผลักลงนอนบนเตียง โดยมีนพตามขึ้นมานั่งคร่อมสะโพก

“นพ...”

ชายหนุ่มเริ่มกลัวเมื่อนึกไปว่าตนอาจเป็นฝ่ายถูกกระทำ นพที่สังเกตท่าทางนั้นออกหัวเราะน้อยๆ ในคอ

“ทำไม นพเป็นฝ่ายกดไม่ได้เหรอ? ก็ไหนว่าอยากมีครั้งแรก?”

นพทำเสียงจริงจัง หากสายตานั้นมีแต่ความยั่วเย้า

“ถ้านพอยาก...พี่ก็ยอม”

วัฒน์พูดเสียงอ่อยๆ นพน้อยของเขาหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อเห็นทีท่า

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปกดลง”


นพพูดพร้อมก้มลงจุ๊บเบาๆ ที่ปาก ก่อนจะเริ่มส่ายสะโพกถูกับกลางตัวเขาเบาๆ สัมผัสจากแท่งลำที่เบียดกันผ่านกางเกงทำให้นพรู้ว่าร่างที่ถูกเขาสยบไว้นั้นพร้อมแล้ว นพค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อเชิร์ตตัวเองช้าๆ อย่างเย้ายวน ฟันขาวที่ขบปากบางน้อยๆ นั้นทำให้วัฒน์ร้อนรุ่มขึ้นมา นพโยนเสื้อตัวเองทิ้งไปข้างๆ ก่อนที่จะจัดการถอดเสื้อให้เขา นพดึงมือทั้งสองเขามาเกาะกุมไว้ที่แผงอกของตน

“ใช้นิ้วเขี่ยบีบที่ตรงนี้...อ๊ะ...นั่นแหละ อา ดีมากครับ พี่วัฒน์ เสียวจัง”

เสียงครางเล็กๆ ทำให้ใจวัฒน์เตลิดไปไกล นพขยับกายลงพร้อมรูดซิปกางเกงปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ในกางเกงของวัฒน์ พร้อมมองอย่างพึงใจก่อนจะใช้มืออวบนิ่มรูดไล้ตามแท่งลำอย่างชำนาญ วัฒน์สะดุ้งเล็กน้อยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นสัมผัสส่วนสงวนนั้น

“นพ...อา ดีครับ”

ชายหนุ่มสูดปากด้วยความรัญจวนใจ

นพก้มหน้าลงจุ๊บปากเขา และเปลี่ยนเป็นจูบที่หนักขึ้น พร้อมกระซิบสอนคนที่ไม่เคยจูบมาก่อนว่าต้องทำอย่างไร มือไม้ของวัฒน์เริ่มเปะป่าย ท่าทีเขาอาจยังงุ่มง่ามบ้างแต่มันกลับเป็นประสบการณ์ที่เร้าใจสำหรับนพ ความรู้สึกที่ได้เป็นผู้นำนั้นช่างทำให้ลำพองใจนัก นพปลดปล่อยสิ่งที่แข็งเกร็งในกางเกงเขาออกมาบ้างแล้วบอกให้วัฒน์เกาะกุมลูบไล้มัน ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามอย่างว่าง่าย นพฝังใบหน้าลงกับซอกคอของวัฒน์พร้อมทิ้งรอยจูบไว้เป็นการตีตรา จากนั้นดูดดุนตุ่มไตสีน้ำตาลที่ยอดอกก่อนจะเลาะไล้ลงมายังแท่งร้อนนั้น ร่างนั้นสั่นสะท้านทุกครั้งที่ริมฝีปากเขาสัมผัส

‘น่ารักจริง’

นพคิด วันนี้เขาจะปรนนิบัติหนุ่มซิงคนนี้ให้ถึงใจ...

นพดูดกลืนแท่งลำนั้นเข้าไปจนสุด ลิ้นร้อนๆ ของเขาซุกซนไปทั่ว วัฒน์ดิ้นเร่าด้วยความเสียวซ่าน


“นพ...พี่ไม่ไหวแล้ว พอก่อน เดี๋ยวจะออกซะก่อน”


วัฒน์อ้อนวอนเสียงกระเส่า นพไม่ใส่ใจคำอ้อนวอนนั้นหากยิ่งเร่งเร้า วัฒน์คำรามลั่นพร้อมปล่อยน้ำรักออกมาเต็มปาก นพช้อนตาขึ้นมองอย่างยั่วเย้าพร้อมกลืนกินน้ำนั้นไปจนหมด วัฒน์มองลิ้นเรียวที่เลียไล้ปากบางที่เปรอะน้ำนั้นอย่างมันเขี้ยว


“ยั่วนักนะเราน่ะ”

วัฒน์ดึงร่างนั้นขึ้นมานอนเคียงข้าง นพหัวเราะเบาๆ

“ว่าไง...นี่แค่ยั่วน้ำลาย พร้อมสำหรับของจริงหรือยัง? ไหวหรือเปล่า?”

นพตบๆ แกนกายที่อ่อนลงบ้าง วัฒน์กระดิกมันเบาๆ ให้รู้ว่ายังไหวคร้าบ นพลูบไล้โลมรูดมันอีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพร้อมแล้ว นพผละจากร่างสันทัดนั้นเพื่อถอดกางเกงแล้วหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าก่อนกลับมาหาวัฒน์ซึ่งเหลือตัวเปล่าแล้วเช่นกัน


นพฉีกซองถุงยางและคาบมันเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ ใช้ปากรูดใส่ถุงยางให้กับแก่นกายแน่นนั้น นพเทเจลหล่อลื่นใส่มือแล้วค่อยๆ สอดนิ้วเข้าช่องทางแน่นของตน เมื่อรู้สึกว่าพร้อมแล้ว เขาก็ค่อยๆ จ่อช่องทางของตนเข้ากับปลายแท่งร้อนแล้วและครอบนั่งลงช้าๆ วัฒน์ทำหน้าเหยเกด้วยความเสียว ช่องทางนั้นคับแน่นและแสนอุ่น เมื่อเข้าไปจนหมด นพหยุดนิ่ง ก่อนที่จะเริ่มบดเบียดสะโพกลงช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มเร่งจังหวะ วัฒน์เอื้อมมือมาช่วยรูดเร้าแก่นกายแข็งของนพ นพครางออกมาต่ำๆ ก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นเมื่อแท่งนั้นสัมผัสจุดเสียวภายใน วัฒน์เม้มปากแน่น เขาแทบไม่ไหวแล้ว

“นพ...เปลี่ยนท่าเถอะ พี่ยังไม่อยากเสร็จ”

นพหยุดแล้วดึงวัฒน์ให้ขึ้นนั่งส่วนตนหงายลงนอนบนเตียงโดยที่กลางลำตัวยังเชื่อมต่อกัน

“พี่วัฒน์...ยกขานพพาดบ่าเลย”

ชายหนุ่มทำตาม เมื่อได้ท่าแล้ว วัฒน์ก็เริ่มขยับเอวไปตามสัญชาตญาน นพร้องครางอย่างเสียวซ่าน เสียงหวานนั้นกระตุ้นเร้าวัฒน์เหลือเกิน เขาโยกซอยถี่ยิบ เสียงเนื้อกระทบกันดังทั่วห้อง

“พี่วัฒน์ นพเสียว อ๊า....”

นพหลั่งออกมาเต็มหน้าขาเมื่อสิ้นเสียงนั้น วัฒน์ขยับอีกไม่กี่ทีเขาก็ถึงฝั่งฝันตามไปด้วย วัฒน์ซบกายลงกับร่างที่นอนหมดแรงอยู่ข้างใต้ พร้อมจูบเบาๆ ที่แก้มอย่างเอ็นดู ความรู้สึกรักใคร่เต็มตื้นขึ้นมาในอก เขากอดกระชับร่างนั้นแน่นเหมือนไม่อยากให้จากไปไหน




“อ๊ะ นพ...นั่นแหละ”

วัฒน์ในวัย 60 ครางออกมาอย่างลืมตัว

“โอย จวนแล้ว นพ...อีกนิด อ๊ะ โอย พี่จะออกแล้ว”

แล้ววัฒน์ก็คำรามลั่นห้องพร้อมปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาใส่ปากของคนรัก...

“นพ ไม่ต้องกลืน คายออกมาเถอะ”

แต่นพน้อยจอมดื้อของเขาก็กลืนกินมันลงไปจนหมด...ปากบางๆ ที่เปรอะน้ำนั่นช่างดูเย้ายวนไม่ต่างจากเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาลุกไปเทน้ำใส่แก้วยื่นให้คนรักแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างตัว เมื่อกลับออกมาที่รักของเขาก็หลับไปแล้ว

‘คงเพลียสินะ ต้องฝืนตัวเองแบบนี้’

เขาลงทอดกายเคียงข้าง นิ้วไล้ตามกรอบหน้าซูบนั้นด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร ก่อนจะประทับจูบลงที่แก้มซูบ แล้วตะคองกอดร่างนั้นหลับไหลไปอย่างแสนสุข


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


----- From Here to Eternity  Pt. 2 ----



5 กรกฎาคม 2575

9:30 น.


 


“นพ...เดินช้าๆ เดี๋ยวล้ม”

วัฒน์สาวเท้าเดินตามร่างผอมบางนั้นไปตามแปลงกุหลาบปลอดสารที่ปลูกไว้ในไร่ นพกำลังเลือกหากุหลาบขาวดอกที่งามที่สุดในแปลงนั้น

“มา เดี๋ยวพี่ตัดให้”

วัฒน์ตัดดอกงามนั้น พร้อมลิดหนามออกให้เสร็จสรรพแล้วยื่นให้ นพหันไปยิ้มหวานให้กับคนรัก พร้อมชี้ดอกสีแดงสวยที่ชูช่ออยู่ไม่ห่างกัน

“เอาดอกนี้ด้วย”

วัฒน์ตัดให้อย่างงงๆ ทุกทีนพของเขาจะเลือกแค่กุหลาบขาวเท่านั้น วัฒน์ลิดหนามเสร็จก็ส่งให้นพ นพรับมาแล้วจรดปากจุมพิตลงที่ดอกสีแดงงามนั้นและส่งคืนให้คนรัก

“ดอกนี้ของพี่วัฒน์ แทนใจของนพ เก็บไว้ดีๆ นะ”

ที่รักของเขาบทจะโรแมนติกขึ้นมาก็หวานหยดเสียจริงๆ

 


“นพรอพี่แป๊บนึงนะ” วัฒน์บอกร่างบางที่เขาเพิ่งประคองขึ้นนั่งบนรถเทสล่าคันที่เขาใช้เมื่อตอนที่ต้องพานพไปไหนมาไหน นพของเขาปีนขึ้นไอ้เร้นจ์โรเวอร์คันโตที่เขาใช้ในไร่ไม่ไหวหรอก วัฒน์วิ่งถือกุหลาบแดงขึ้นไปที่บ้าน และหาเชือกแขวนมันไว้ที่ข้างเตียง

“พี่จะเก็บมันให้ดีที่สุด” เขาพึมพำ


ไร่ของเขาห่างเมืองออกไปเกือบ 2 ชั่วโมง เขาค่อยๆ ขับรถช้าๆ ตามทางหลวง นพเอนนอนหลับตานิ่งอยู่ข้างๆ เขา วัฒน์เอื้อมมือไปจับมือผอมบางนั้นซึ่งบีบมือเขาตอบเบาๆ


“เออ พี่ลืมบอกไป”

“...เย็นๆ เจกับแฟนจะแวะมาที่บ้านนะ” นพลืมตาขึ้น ในแววตานั้นฉายแววดีใจ

“ไอ้ตัวแสบมาเหรอ? โอ๊ย คิดถึงมัน ไม่ได้เจอมันนานแล้ว”


วัฒน์หัวเราะเบาๆ เค้ารู้ว่านพน้อยรักไอ้เพื่อนตัวแสบคนนี้ขนาดไหน ในช่วงหนึ่งของชีวิตเขาเคยนึกกังวลว่าจะเสียนพให้เด็กคนนี้ไป แต่นพยืนยันหนักแน่นว่าสำหรับทั้งคู่มีแค่มิตรภาพให้กันเท่านั้นและมันก็เป็นแค่นั้นจริงๆ ทั้งสองคนคงความเป็นเพื่อนที่ดีกันมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแม้ตอนนี้เจจะแต่งงานกับชาวต่างชาติและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ติดตามคนรักซึ่งเป็นนักธุรกิจข้ามชาติเดินทางไปมาระหว่างประเทศก็ตาม

“งั้นเดี๋ยวต้องโทรบอกจันทร์ให้จัดของโปรดของทั้งคู่ให้”

นพพูดพร้อมจะเอื้อมหยิบโทรศัพท์

“เดี๋ยวพี่โทรให้เอง เอาเหมือนทุกทีใช่ไหม? นพเอนหลังก่อนเถอะ ยังอีกไกล”

นพพยักหน้า พร้อมหลับตาลง


“นพ...ถึงแล้ว ตื่นเถอะ”

เสียงทุ้มเรียกคนรักเบาๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นร้อนใจเมื่อร่างผอมบางนั้นไม่ยอมลืมตาตื่น

“นพ...ตื่น ตื่นสินพ”

เสียงนั้นร้อนรนพร้อมเขย่าร่างผอมนั้นแรงๆ นพรีบลืมตาขึ้นก่อนที่คนข้างกายจะปล่อยโฮออกมา

“จ้าๆ ตื่นแล้วๆ แกล้งนิดเดียวเอง เขย่าซะแรงเลย”

นพบิดขี้เกียจเบาๆ นิสัยขี้แกล้งของเขาไม่ได้หายไปตามเวลาหรือความเจ็บป่วยของร่างกาย แต่วันนี้คนข้างกายเขาดูเหมือนจะโกรธจริงๆ ต้องง้อหน่อยซะแล้ว

นพหันไปกอดแขนคนที่นั่งหน้าตึงอยู่ตรงที่นั่งคนขับพลางซบหน้าลงที่ไหล่

“ขอโทษน้า ที่รัก”

“ไม่ตลกนะนพ...พี่ตกใจมากรู้ไหม” เสียงนั้นเจือความเคืองขัด

“ถ้า...ถ้าเป็นเหมือนคราวที่แล้วจะทำยังไง?”

วัฒน์พูดถึงคราวที่นพแน่นิ่งไปปลุกไม่ตื่นจนต้องรีบพาไปโรงพยาบาล คราวนั้นเขาต้องนอนไอซียูอยู่หลายคืนและอวัยวะภายในเกือบล้มเหลวไปหลายครั้งจนหมอบอกให้ญาติเตรียมทำใจ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์

“...พี่จะอยู่ต่อยังไง?”

เสียงวัฒน์สั่นเครือ นพรวบกายคนรักมากอด คนๆ นี้ช่างรักเขามากเหลือเกิน เขาเองก็ไม่อยากจากวัฒน์ไปแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เขาได้แต่หวังว่าที่สุดแล้วเมื่อเขาจากไป คนๆ นี้จะหาทางใช้ชีวิตต่อไปได้


“พี่วัฒน์พูดแบบนี้อีกแล้ว พี่วัฒน์สัญญากับนพว่ายังไง?” นพทำเสียงเข้ม

“...ว่าพี่วัฒน์จะอยู่ต่อไป ห้าม...ห้ามตามนพไปเด็ดขาด พี่วัฒน์ต้องอยู่ดูแลไร่และคอยเป็นคุณลุงแสนดีให้หลานๆ ของนพด้วย”

นพพูดถึงลูกๆ ของน้องสาวและน้องชายของเขา

“พี่วัฒน์ต้องมีชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งและอายุยืนนาน อยู่...เพื่อรักษาความทรงจำของนพ เข้าใจไหม?”

วัฒน์จรดริมฝีปากลงที่หน้าผากของนพแทนคำตอบ นพตีแขนเขาเบาๆ

“ฮึ่ย เดี๋ยวเหอะ ทำอะไรดูที่ดูทางมั่ง”


รถของเขาทั้งสองจอดอยู่หน้าสุสานคริสต์แห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่


“เที่ยงกว่าละ ลงไปกันเถอะ”

วัฒน์ปิดสวิตช์รถไฟฟ้าของเขา หยิบตะกร้าเล็กๆ ที่เบาะหลังก่อนที่จะประคองเจ้าตัวยุ่งของเขาลงจากรถ ทั้งสองเดินลึกเข้าไปด้านในสุสาน ไปในที่ๆ ทั้งสองแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนทุกปีในวันที่ 5 กรกฎาคม

เมื่อถึงแท่นแกรนิตสีดำ วัฒน์ก็จัดแจงปูผ้าที่เตรียมมาไว้ที่พื้นตรงหน้าแท่นนั้น นพยืนจ้องแท่นอันเป็นที่พักผ่อนชั่วนิรันดร์ของชายที่ตายไปพร้อมเสี้ยวหนึ่งของหัวใจเขา วัฒน์หยิบกุหลาบขาวให้คนรักอย่างรู้งาน นพจรดริมฝีปากกับดอกไม้นั้นเนิ่นนานก่อนจะบรรจงวางลงบนแท่นนั้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพร้อมแนบแก้มลงกับป้ายชื่อด้วยอาการที่เหมือนจะโอบกอดโดยไม่รังเกียจฝุ่นดินบนแท่นนั้น


วัฒน์มองภาพชายคนรักพูดคุยกับป้ายหินนั้นด้วยความรวดร้าวใจ ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความหึงหวง หากเป็นความเห็นอกเห็นใจคนรักของตนที่ต้องจากกับคนสำคัญโดยไม่ทันได้บอกลา

สำหรับตัววัฒน์แล้ว ราฟาก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่นพไม่เคยรับรู้และเขาเองก็ไม่เคยบอกคือเขารู้จักกับราฟามานานพอๆ กับที่รู้จักนพเนื่องจากทั้งสามเป็นสมาชิกในห้องแชทบ้าๆ บอๆ ห้องเดียวกัน แต่ตอนนั้นเขาใช้คนละไอดีกับที่ใช้เริ่มคุยกับนพ เขาสนใจนพบ๊องๆ ที่เขาพบในห้องนั้น แต่นพเองก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เข้าใกล้สักนิดเพราะยังยึดติดอยู่กับไอ้ภูมิ จนกระทั่งเขาลองคุยกับราฟาซึ่งรู้จักตัวตนจริงๆ ของนพ ราฟาเองซึ่งในตอนนั้นก็เป็นห่วงนพที่หลงอยู่ในวังวนของไอ้ภูมิก็ได้แนะนำเขาให้เข้าหานพผ่านทางห้องเซ็กส์ซึ่งเขาก็ทำตามและมันก็ได้ผล หลังจากนั้น เขาก็คอยมาปรึกษาราฟาเรื่องนพอยู่เนืองๆ จากการคุยกัน เขารู้สึกได้ว่าเด็กร่างโย่งคนนั้นห่วงหาอาทรคนรักของเขาด้วยใจจริง เหมือนกับที่คนรักของเขาห่วงหาอาทรไอ้น้องชายตัวดีคนนั้น


“ราฟา...พี่ขอถามตรงๆ นะ ราฟารักนพไหม?”

วัฒน์พิมพ์ถามไปในช่องแชทส่วนตัว

“...รัก”

ทางนั้นพิมพ์ตอบหลังจากหยุดคิดเนิ่นนาน

“ถ้านพเขาบอกว่าเขารักราฟาล่ะ?”

วัฒน์ถามสิ่งที่เขาสงสัยออกไป ถ้าสองคนนั้นใจตรงกัน เขาก็พร้อมจะหลีกทางให้

“...พี่ไม่ต้องคิดหลีกทางให้ผมเลยนะ” ไอ้ตัวแสบดักคอ

“ผมรักพี่นพ รักมาก แต่ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเป็นคนรักให้พี่นพได้”

“ผมชอบอยู่กับพี่นพ ชอบพูดคุย ชอบนิสัย อยากอยู่ด้วยตลอด แต่ผมไม่อยากที่จะต้องทะเลาะกัน หึงหวงกัน หรืออะไรสารพัดที่คนรักเขาทำกัน ผมคงทนแบบนั้นไม่ได้...” ทางนั้นพิมพ์ร่ายยาว


“อีกอย่าง ผมเป็นลูกคนเดียว สุดท้ายแล้วก็ต้องมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มนะพี่วัฒน์”


“ผมเห็นพี่นพกับไอ้ภูมิแล้วผมปวดใจมากเลยว่ะ”

กับเขา ราฟาไม่เคยเรียกไอ้ภูมิว่าพี่ภูมิเหมือนตอนอยู่กับนพ

“พี่นพเหมาะกับคนดีๆ แบบพี่วัฒน์มากกว่า”

“ผมเคยบอกพี่นพไว้ว่า ‘พี่นพเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเอง’ และผมเชื่อว่าพี่วัฒน์คือสิ่งดีๆ สิ่งนั้น”

“พี่วัฒน์ห้ามทำพี่นพเสียใจแบบไอ้ภูมิเด็ดขาดนะ”

มันพิมพ์มาด้วยสีแดงตัวหนา วัฒน์ตอบรับอย่างหนักแน่น


“เออ สัปดาห์หน้าพี่จะขึ้นเชียงใหม่ ถ้านพพาไปชมรมแล้วเราเจอกัน พี่ต้องทำไง?”

วัฒน์พิมพ์ถามไป

“พี่วัฒน์ ห้ามให้พี่นพรู้เด็ดขาดว่าเราเคยรู้จักกัน โอเค๊? ไม่งั้นเดี๋ยวผมคอยสอดส่องให้ไม่ได้”

วัฒน์รับคำและนั่นคือสิ่งที่เขาทำตามอย่างเคร่งครัดมาจนถึงปัจจุบัน


“ไปก่อนนะ น้องรัก กูคิดถึงมึงมาก...ไว้ปีหน้าเจอกันใหม่”

นพกระซิบแผ่วๆ กับแท่นหินนั้น พร้อมดันกายยืนขึ้น วัฒน์ตื่นจากภวังค์และรีบเข้าไปประคองร่างผอมบางที่ซวนเซจนแทบล้ม

“เกือบบ่ายโมงแล้ว เดี๋ยวสักพักพวกแจงคงมา นพไปนั่งรอในรถก่อนดีกว่า”

วัฒน์พูดพลางพาคนรักเดินกลับไปที่รถ พวกเขารอไม่นานนักแจงและสาวน้อยร่างสูงเพรียวหน้าตาสวยเฉี่ยวอีกคนหนึ่งก็มา นพตาเป็นประกายเมื่อเห็นสาวน้อยคนนั้น

“ลุงนพ!!”

สาวน้อยวิ่งเข้ามาไหว้นพอย่างอ่อนช้อยก่อนจะรวบร่างผอมบางนั้นกอดแน่น

“ลินดาคิดถึง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“ลินดา กอดลุงเค้าเบาๆ หน่อยสิ”

แจงติงลูกสาวสุดที่รักของเธอซึ่งหน้าเสียไปนิดหนึ่งเมื่อนึกได้ว่าคนในอ้อมแขนนั้นไม่ค่อยแข็งแรงนัก

“ขอโทษค่ะ ลุงนพ ลินดาลืม...อ๊ะ สวัสดีค่ะ ลุงวัฒน์”

สาวน้อยหันไปสวัสดีวัฒน์ นพหัวเราะเบาๆ ความสดใสร่าเริงสาวน้อยคนนี้ทำให้เขานึกถึงไอ้เด็กตัวสูงคนนั้นนัก

“ปีนี้อ.สดศรีไม่มาด้วยเหรอ?”

นพหันไปถามแจงถึงแม่ของราฟาผู้เป็นอาจารย์ของเขาตอนเรียนป.ตรี ส่วนผู้เป็นพ่อของราฟาซึ่งอายุมากแล้วนั้นเสียชีวิตหลังลูกชายไม่กี่ปี

“ปีนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบายค่ะ เลยนอนพักอยู่ที่บ้าน”

แจงตอบ พร้อมชวนนพกับวัฒน์เดินเข้าไปด้านในสุสาน สองแม่ลูกทำการปัดกวาดเช็ดถูสิ่งสกปรกบนแท่นหินนั้นโดยไม่แตะต้องกุหลาบขาวที่วางอยู่ก่อน วัฒน์ยืนประคองนพอยู่รอจนสองแม่ลูกจัดการวางแจกันดอกไม้ที่เตรียมมาไว้จนเสร็จแล้วจึงพากันเดินออกมา


“ลินดาจ๊ะ เล่าเรื่องไปแข่งให้ลุงนพฟังหน่อยซิ”

หลานสาวคนสวยของนพเจริญรอยตามพ่อด้วยการเริ่มเล่นฟันดาบตั้งแต่เล็กโดยได้บรรดาพี่ๆ น้องๆ ชมรมช่วยกันผลักดันโดยเฉพาะพี่เดียวที่ตอนนี้เป็นโค้ชจอมโหดประจำทีมชาติไทยที่นอกจากจะเคี่ยวเรื่องซ้อมแล้วยังทำหน้าที่เป็นคนกันกันพวกหนุ่มๆ ที่มารุมตอมสาวน้อยคนนี้ สาวน้อยเล่าเรื่องการไปแข่งเก็บคะแนนที่ยุโรปให้ฟังอย่างตื่นเต้น

“ต้องขอบคุณบริษัทแฟนอาเจที่เป็นสปอนเซอร์ให้ค่ะ ถ้ารอให้สมาคมส่งไปลินดาคงไปไม่ถึงไหนแน่ ตอนนี้ก็สะสมคะแนนไปเรื่อยๆ เผื่อจะได้ไปโอลิมปิคค่ะ”

สาวน้อยร่างโย่งคนนี้กำลังเป็นความหวังในฐานะนักฟันดาบสาวไทยคนเดียวที่อาจจะได้ไปโอลิมปิคปี 2035

“ลุงหวังว่าลุงจะทันเห็นลินดาแข่งโอลิมปิคนะ”

นพพูดเบาๆ สาวน้อยหน้าหมองลง พร้อมทำตาแดงๆ

“ลุงนพอย่าพูดแบบนั้นสิ ลินดาไม่ชอบเลย”

“พี่ก็ไม่ชอบนะ นพ...”

วัฒน์ก็พลอยทำตาแดงๆ ตามหลานไปด้วย นพหัวเราะเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก พวกเขายืนสนทนากันอีกสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไป




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2017 06:13:26 โดย La Vida Sin Tu Amor »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



​---- From Here to Eternity Pt. 3 ----



ตลอดทางกลับบ้านวัฒน์สังเกตว่านพดูอ่อนเพลียกว่าทุกที นพเอนตัวนอนหลับนิ่งไปจนตลอดทาง ทั้งสองกลับถึงบ้านเอาตอนบ่ายแก่ๆ วัฒน์ค่อยๆ อุ้มนพที่ยังหลับอยู่เข้าบ้าน ถึงเขาจะยังแข็งแรงอยู่สำหรับชายวัยใกล้ 60 แต่การอุ้มคนหลับนั้นก็ทำให้เหนื่อยเอาการ เขาวางร่างผอมบางนั้นลงบนโซฟาเบ้ดบนลานหลังบ้าน ร่างนั้นเบาลงกว่าครั้งที่แล้วที่เขาอุ้ม วัฒน์ยกมือผอมบางนั้นขึ้นจรดกับริมฝีปากเขาเนิ่นนาน...


“อยู่กับพี่นานๆ นะ ที่รัก” เขารำพึง

“อืมม์...” ร่างนั้นทำเสียงงึมงำ พร้อมพลิกตัว คนรักของเขาคงนอนพอแล้ว วัฒน์เขย่านพเบาๆ

“นพ...เป็นไงมั่ง?”

“อือ...เพลียนิดหน่อยน่ะ  พี่วัฒน์ กี่โมงแล้ว?”

“เกือบสี่โมงแล้ว นพไหวไหม? ให้พี่โทรเลื่อนเจไหม?” วัฒน์พูดถึงแขกที่จะมาเยือนในตอนเย็น

“ไม่เป็นไรๆ นพนอนพอแล้ว เราเตรียมตัวรับสองคนนั่นดีกว่า” นพยันกายขึ้นนั่ง

“เดี๋ยวไปดูหน่อยว่าจันทร์เตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว”


ยามเย็น แขกทั้งสองก็มาถึง วันนี้บ้านไร่เปิดไฟสว่างไสวกว่าทุกที ทั้งบ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เจ้าเจตัวแสบก็ยังคงเหมือนเดิม แม้จะอายุย่างเข้ากลางเลข 4 แล้วมันก็ยังทำหน้าแบ๊วเป็นกระรอกน้อยเพื่อพรางลายเสือ แต่เสือตัวนี้ก็ถูกชายต่างชาติร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้างๆ ล่ามโซ่ไว้แล้ว คนรักของเจอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนพ ใบหน้าคมสันนั้นดูเคร่งขรึมและภูมิฐานสมฐานะ มีเพียงสายตาวิบวับแบบละตินที่บ่งบอกความขี้เล่นที่แฝงอยู่


“อ่ะ พี่วัฒน์ ของฝาก เจจิ๊กมาจากเซลล่าร์ของตาบ้านั่น”

เจพยักเพยิดไปทางคนรักของตนที่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติกับนพ

“ว้าว...ชาโต มาโกซ์ วินเทจ 2020...เห้ย เกรงใจอ่ะ ขวดนี้หายากนี่ จะเฉียดแสนแล้วมั่งน่ะ”

นพซึ่งแย่งถุงไวน์ไปจากมือวัฒน์ อุทาน ทำตาลุกวาว

“ไม่ได้...ห้ามเลย ขวดนี้ของพี่”

วัฒน์แย่งคืนมา นพน้อยของเขาเป็นคอไวน์จนกระทั่งหมอสั่งให้เลิกดื่มเมื่อห้าปีที่แล้วแต่เจ้าตัวก็แอบจิบบ้างนานๆ ครั้ง

“นะๆๆ นิดนึงก็ได้ ขอนพชิมหน่อย”

สายตาเว้าวอนนั้นทำเขาใจอ่อนได้ทุกครั้งจริงๆ

“งั้น เปิดมากินพร้อมกับทุกคนนั่นแหละ โอเคไหมเจ?”


วัฒน์ถามคนเอามาฝาก ซึ่งทางนั้นก็พยักหน้าโอเคและหันไปยักคิ้วกับเจ้าของเซลล่าร์ที่ทำตาปริบๆ ที่เห็นไวน์หายากของตัวเองโดนจิ๊กมาให้คนอื่นซะแล้ว แต่เพื่อครอบครัวนี้ซึ่งทำให้เขาและเจได้พบกัน เขาไม่ขัดอยู่แล้ว


“งั้น เดี๋ยวโผมเปิดให้...ทิ้งให้มันหายใจซักพักก่อน ไว้กินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยมานั่งดื่มกันขรับ”

คนรักของเจพูดขึ้นเป็นภาษาไทยเกือบชัดเป๊ะ

“แหม...เลี้ยงซะเชื่องเลยนะ พูดไทยชัดขึ้นทุกวันๆ ”

นพกระซิบเพื่อนรักรุ่นน้อง

“ฝีมืออยู่แล้ว”

เจมันยังขี้โอ่เหมือนเดิม มันทำหน้าแป้นแล้นหันไปตะโกนหาแม่บ้านที่กำลังง่วนอยู่ในครัว


“จันทร์จ๋า ผมหิวแล้ว วันนี้มีอะไรให้ผมกินมั่งเนี่ย”

จันทร์หัวเราะ คุณเจมาทีไร บ้านนี้สดใสทุกครั้ง

“มาแล้วค่ะ คุณเจ คุณวัฒน์ให้จันทร์เตรียมแต่ของโปรดคุณทั้งนั้น”

แม่บ้านวัยกลางคนทยอยเอาอาหารจัดวางลงกลางโต๊ะ เจและสามีแวะเวียนมาที่บ้านนี้ปีละหลายๆ ครั้งจนเป็นที่รู้กันแล้วว่าชอบกินอะไร


“ว้าวววว คั่วถั่วเน่า แกงสะแล แกงโฮะ คั่วตับหมู จิ๊นเกื๋อ แล้วในหม้อนั่นอะไร โอ๊ย ไก่เมืองนึ่ง...จันทร์จ๋า จะให้เจอ้วนตายเหรอ?”

เจลงมือตักนั่นนี่จนเต็มจานไปหมด ทั้งโต๊ะยิ้มหัวเราะออกมาเพราะความตะกละของหนุ่มใหญ่รายนี้

“โอยยย อร่อยที่สุดในโลก กินแต่กับข้าวฝรั่งจืดๆ มานาน ไม่มีอะไรลำเท่ากับข้าวเมืองบ้านเฮาอีกแล้ว”   เจพูดทั้งๆ ที่จิ๊นเกื๋อยังเต็มปาก

คนรักของเจก็หัวเราะในความตะกละของที่รักของเขา นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรักหนุ่มใหญ่หน้าตาน่ารักคนนี้ เขานึกขอบคุณนพที่ชักพาให้เขามาเมืองไทยจนได้เจอกับคนที่เขาจะใช้เวลาไปด้วยตลอดชีวิตคนนี้


“ฆาบี้...เอาไก่นึ่งไหม เดี๋ยวกูตักให้”

นพถามอดีตรูมเมทที่กลายมาเป็นสามีของเพื่อนรัก ฆาบี้ส่งจานให้คนที่เคยอยู่กลางใจ

“นพ มีแต่กับข้าวเผ็ดๆ มันๆ มึงกินอะไรได้วะ?” เขาก็ยังอดห่วงนพไม่ได้

นพชี้ให้ดูหมูอบกับข้าวต้มซึ่งจันทร์เตรียมให้เขาไว้เป็นพิเศษ ฆาบี้สะท้อนใจเมื่อคิดถึงว่าเพื่อนสนิทคนนี้ของเขาชอบกินแค่ไหน แต่ในวันนี้ร่างที่เคยอวบกลับผอมซูบไปอย่างน่าตกใจ

“น่า กูชินแล้ว”

นพสังเกตสีหน้าอดีตรูมเมทออก

“...มึงเหอะ อย่ามัวแต่ช้า ไอ้เจมันฟาดจะเกลี้ยงทุกจานแล้ว”



หลังอาหารทั้งสี่คนออกไปนั่งดื่มไวน์ที่เปิดรอไว้แล้วที่ชุดโซฟานุ่มบนชานใหญ่หลังบ้าน กระจกครอบที่วัฒน์ทำไว้เพื่อกันลมและฝนอีกทั้งยังติดเครื่องปรับอากาศไว้ทำให้มันเป็นที่นั่งดูดาวอันแสนวิเศษในเดือนที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ ทั้งสี่เอนกายนอนคุยถึงเรื่องเก่าๆ เสียงหัวเราะเป็นระยะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไวน์แพงระยับเริ่มพร่องไปกว่าครึ่งขวด นพอ้อนวัฒน์จนได้ไวน์มาเกือบครึ่งแก้ว...เขาค่อยๆ จิบทีละน้อยอย่างรู้ตัว เมื่อไวน์หมดขวดแขกทั้งสองก็ลากลับไปที่เรือนพักแขกที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านหลังใหญ่


“นี่...คืนนี้ก็เบาๆ หน่อยละกัน แถวนี้มันเงียบ”
นพกระเซ้าแขกทั้งสองของเขา ทั้งคู่หน้าแดงก่ำ แม้ผ่านไปหลายปี บทรักของทั้งสองก็ยังคงร้อนแรงเสมอ


เมื่อทั้งคู่กลับไป นพทรุดกายลงนั่งบนโซฟาเบ้ดตัวประจำ วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ คงเพราะสารพัดกิจกรรมที่ทำมากกว่าปกติ วัฒน์ที่สังเกตถึงอาการผิดปกติของคนรักก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจ

“นพ โอเคไหม? ให้ตามหมอไหม?” นพส่ายหน้า

“แค่เหนื่อยๆ น่ะ พี่วัฒน์ มึนนิดๆ ด้วย อาจจะเพราะดื่มไวน์ไปนิดหน่อย”

วัฒน์รีบคว้าไวน์ที่เหลือติดก้นแก้วมาดื่มเอง นพมองอย่างเสียดาย แต่ก็...ไม่กินแล้วก็ได้ วัฒน์จัดท่าให้นพนอนเอนพิงหมอน ส่วนเขาลงนอนตะแคงเคียงข้าง นิ้วมือไล้ตามแขนผอมนั้น


“เจกับฆาบี้ดูมีความสุขมากเลยนะ” วัฒน์พูดเบาๆ

“ใช่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสุดท้ายไอ้คู่นี้จะแต่งงานกันได้ ตอนแรกกัดกันจะตาย”

นพพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงตอนที่คู่นั้นเจอกันครั้งแรก

“ถ้านพคบฆาบี้ นพอาจจะมีความสุขเหมือนเจตอนนี้”

วัฒน์พูดด้วยเสียงเศร้าๆ นพหันขวับไปเอ็ดใส่เบาๆ

“อีกแล้ว พี่วัฒน์ คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง นพไม่เคยบอกนะว่าเสียใจที่อยู่กับพี่วัฒน์”

นพหายใจหอบถี่ วัฒน์ใจหายวาบ รีบลุกขึ้นพัดวีให้คนรักของตน

“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”


นพถอนหายใจ คนรักของเขามักไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อไหร่กันนะที่เขาถึงจะเข้าใจว่านพไม่มีทางแลกเขากับใครอื่นใดในโลกนี้

“นพไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่สักนิด”

นพยกแหวนแพลตตินั่มลาย Celtic love knot ที่นิ้วนางข้างซ้ายขึ้นดู   วัฒน์มองตามพร้อมนึกถึงวันที่เขาขอสุดที่รักของเขาแต่งงาน


วัฒน์พกแหวนวงนี้ติดตัวอยู่หลายปี เขาเพียรขอนพแต่งงานหลายครั้ง แต่ที่ได้มามีแต่คำปฏิเสธ นพมักพูดว่า

‘ยังไม่พร้อมที่จะอยู่ด้วยกัน’ หรือ ‘แต่งแล้วจะทำยังไง นพก็ยังไม่พร้อมอยู่กทม. พี่วัฒน์ก็ยังไม่เกษียณ จะขึ้นมาเชียงใหม่ได้เหรอ?’​

คำพูดซื่อๆ ของเขาที่เคยหลุดปากออกมาครั้งหนึ่งกลับถูกยกมาเพื่อใช้ปฏิเสธ ในที่สุด 2 ปีหลังจากใช้ทุนครบ วัฒน์ก็ตัดสินใจที่จะเกษียณก่อนกำหนด แต่ทางคณะขอให้สอนต่อไปอีกสองปี ซึ่งเขาก็ตกลง

ในปีนั้น ทั้งสองไปเที่ยวประจำปีกันไกลถึงนอร์เวย์เพื่อเยี่ยมครอบครัวอุปถัมป์ของนพ ขณะที่ทั้งสองเดินเล่นกันในทุ่งหญ้าเขียวขจีซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าภายใต้แสงโพล้เพล้ของอาทิตย์เที่ยงคืน วัฒน์เด็ดช่อดอกลิลลี่ออฟเดอะแวลลี่ย์ ส่งให้นพพร้อมตัดสินใจขอแต่งงานอีกครั้ง เขาไม่ได้หวังอะไรมาก การขอแต่งงานเป็นเหมือนการบอกรักขั้นสูงสุดของเขาไปแล้ว


“อือ...ได้ เรามาแต่งงานกัน”


นพตอบตกลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วัฒน์หน้าตาตื่น เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบนี้เลยสักนิด

“แต่...เอ่อ...พี่ยังไม่เกษียณนะ ที่ภาคขอให้สอนต่ออีก 2 ปี ยังขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ด้วยไม่ได้”

เขาตะกุกตะกักบอกไป...เดี๋ยวโดนด่าอีกชัวร์...เขาจำได้แม่นว่านพเคยโกรธมากเมื่อเขาบอกว่าเขาจะไปอยู่เชียงใหม่ด้วยได้เมื่อตอนหลังเกษียณแล้ว...

นพหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางคนรัก ในตอนนี้ตัวเขาปราศจากพันธะแล้ว น้องสาวและน้องชายของเขากลับมาอยู่เชียงใหม่กันหมด พ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว กิจการครอบครัวก็มีคนมาช่วยทำ เขาสามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเองเต็มที่แล้ว อีกอย่าง เขาได้แอบซื้อไร่ของเหยี่ยวกะเอาไว้เซอร์ไพรส์พี่วัฒน์ เขาเองก็เตรียมขอคนรักของเขาแต่งงานไว้เช่นเดียวกัน


“จะกรุงเทพ เชียงใหม่ ขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน นพก็พร้อมไปอยู่กับพี่วัฒน์ ขอแค่เรามีกันก็พอ”

นพจูบเบาๆ เข้าที่ปากอิ่มนั้น

“ว่าแต่พี่วัฒน์เถอะ จะยอมแต่งงานกับนพไหม?”

วัฒน์สะอื้นไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน พร้อมพยักหน้ารัวๆ และประทับจูบหนักแน่นลงบนริมฝีปากบางของนพท่ามกลางแสงตะวันสีส้มทอง

“...ว่าแต่ขอตังค์ด้วย นพซื้อไร่ของเหยี่ยวไว้ ตอนนี้หาตังค์ซ่อมบ้านใหม่อยู่...”


งานแต่งงานของทั้งสองจัดขึ้น 2 ปีหลังจากวันนั้น วัฒน์ลาออกจากการเป็นอาจารย์และย้ายขึ้นมาตั้งรกรากอยู่ที่เชียงใหม่ ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา วัฒน์ขึ้นมาเชียงใหม่แทบทุกเดือนเพื่อมาช่วยนพเรื่องปรับปรุงบ้านและเรียนรู้เรื่องการเกษตรที่ไร่ ในวันนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเต็มตัว

งานแต่งงานนั้นจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่ได้รับเชิญ ญาติฝ่ายนพมีน้องสาวน้องชายและครอบครัวของพวกเขา ส่วนทางวัฒน์ซึ่งพ่อแม่อายุมากแล้วเดินทางไม่สะดวกก็มีแค่น้องสาวที่มาเป็นตัวแทนครอบครัว บรรดาเพื่อนของทั้งสองที่ร่วมงานก็มีเพียงเจและฆาบี้ เหยี่ยวกับซอล พี่เดียว น้องแจงและหนูลินดาและเพื่อนๆ อาจารย์ของวัฒน์ ผู้ใหญ่ของฝ่ายนพคืออ.สดศรี แม่ของราฟา ส่วนฝ่ายวัฒน์คืออ.สุทัศน์

พิธีจัดในแบบล้านนาโดยมีการยกขบวนขันหมากเล็กๆ จากเรือนรับรองแขกมาที่เรือนใหญ่ที่นพรออยู่อย่างกังวล ขบวนเจ้าบ่าวของวัฒน์ต้องเผชิญกับประตูเงินประตูทองสุดโหดอย่างเหยี่ยวกับซอล และเจกับฆาบี้ เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ หนูน้อยลินดาก็ทำหน้าที่ยกพานหมากพลูไปรับขบวนเจ้าบ่าว จากนั้นเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่เจรจากันเสร็จสรรพแล้วก็ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวทั้งสองจะได้เจอกัน ทั้งคู่ตัดสินใจข้ามช่วงมอบสินสอดและพิธีการเข้าหอไปเหลือแต่เพียงสวมแหวนให้กัน จากนั้นจึงไปไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเพื่อรับศีลรับพรและผูกข้อมือ ถือเป็นอันจบพิธี

คืนนั้นหลังส่งแขกทั้งหมดแล้ว ทั้งสองก็ได้ร่วมเตียงกันในฐานะคู่ชีวิตเป็นครั้งแรก การร่วมรักในคืนนั้นเป็นไปอย่างอ่อนหวาน ทั้งคู่เพียรจูบลูบไล้กันทั้งคืนอย่างไม่รู้เบื่อและตระคองกอดกันหลับไปเมื่อยามเกือบรุ่งสาง



“พี่วัฒน์ครับ...พี่วัฒน์...”

เสียงแผ่วเบาเรียกวัฒน์ให้ตื่นจากภวังค์กลับมาสู่ปัจจุบัน

“ว่าไง ที่รัก...”

ใบหน้าของนพช่างดูเศร้าหมองภายใต้แสงเดือนซีดๆ

“นพขอโทษ ที่นพอยู่กับพี่วัฒน์ไม่ได้จนแก่เฒ่า”

เสียงนพสั่นเครือ จนสุดท้ายก็สะอื้นไห้ออกมา วัฒน์ใจสะท้าน รีบกอดไหล่บางที่ไหวเบาๆ นั้น

“นพอย่าพูดแบบนี้ พี่เสียอีกที่ต้องขอโทษที่ไม่เลือกมาอยู่กับนพตั้งแต่ที่นพขอพี่ครั้งแรก”

วัฒน์ตาแดงๆ เมื่อนึกถึงเวลาที่เสียไป แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจสักนิดที่ได้รักคนๆ นี้

“จำไว้นะนพ พี่ไม่เคยคิดว่าเวลาของเราที่มีให้กันมันสั้นไป พี่รักทุกเสี้ยววินาทีที่เรามีให้กัน ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย มันคือความทรงจำที่มีค่าที่สุด”

วัฒน์พูดอย่างหนักแน่น พลางจูบซับน้ำตาของคนรัก และจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากบางซึ่งจูบตอบเขาอย่างอ่อนหวาน

“นพอยากมีเวลากับพี่ให้นานกว่านี้...” นพพูดอย่างแผ่วเบา

“มีสิ นพต้องมีแน่ๆ เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน เราจะแก่ไปด้วยกัน ดูหลานๆ โตเป็นผู้ใหญ่”

วัฒน์พูดในสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่เขาแอบคุยกับหมอ หมอบอกเขาว่าเวลาของนพเหลือน้อยลงทุกที เขาเองก็รู้สึกได้และคิดว่านพเองก็รู้สึกเช่นกัน

นพยิ้มบางๆ ให้คนรัก

“อื้อ นั่นสิ...เราจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานเลย นพสัญญา”

นพยกนิ้วขึ้นเกี่ยวก้อยสัญญากับวัฒน์ ทั้งคู่ตะคองกอดกันนอนดูดาวพราวระยับบนฟ้า

“ง่วงจัง ของีบแป๊บนึงนะพี่วัฒน์ เดี๋ยวปลุกนพไปนอนด้วยนะ”

นพพูดด้วยความง่วงงุน วันนี้เขาเพลียเหลือเกิน เปลือกตาของเขาเริ่มหลุบลง ความมืดคืบคลานมาหาช้าๆ ในห้วงภวังค์นั้นเขารู้สึกถึงจุมพิตแผ่วๆ ที่ปาก และได้ยินเสียงของคนรักกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู


“หลับให้สบายเถิด สุดที่รักของพี่ พี่รักนพมากนะ”



.

.

.

.


เสียงนั้นค่อยๆ จางหายไป ในห้วงภวังค์นพกลับได้ยินเสียงอื่นซ้อนทับขึ้นแทน


“Te quiero, mi amor”


เสียงนั้นเป็นเสียงของเขาเองแน่แท้ นพพลันลืมตาขึ้น

หากเบื้องหน้าของเขาหาใช่พี่วัฒน์คนรักของเขาไม่ แต่เป็นใบหน้าคมสันและตาแพรวพราวสีน้ำตาลอ่อนที่ปรากฏแค่ในห้วงฝันอันเลือนลางของเขาเป็นเวลากว่า 18 ปี ใบหน้านั้นช่างดูอ่อนเยาว์ รอบกายเขานั้นคือบ้านไร่ของเหยี่ยวในคืนที่เขาเอ่ยคำรักแก่หนุ่มน้อยคนนั้น หากภายหลังเลือกที่จะเสไปเรื่องอื่นแทนที่จะรอฟังคำตอบ เขามองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แววหวั่นไหวที่เขาเคยเห็นยังคงปรากฏ


‘โอ ถ้านี่เป็นแค่ฝันก็ขออย่าให้ลูกตื่นขึ้นเลย’


นพหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นภาพนั้นก็ยังคงอยู่ เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำเมื่อ 30 ปีก่อน เขายกมืออันสั่นเทาขึ้นประคองใบหน้าแกร่งและจุมพิตแผ่วเบาลงบนริมฝีปากบางคู่นั้นและปล่อยใจไปกับห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์




#######  จ บ บ ริ บู ร ณ์ จ ริ ง ๆ แ ล้ ว จ้า ######


สำหรับคนเขียนแล้ว เรื่องนี้ได้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ภาพของราฟาในบทสุดท้ายจะเป็นเพียงภาพฝันของนพที่ยังคงต้องตื่นมาทุกข์ทนกับอาการป่วยแต่มีคนที่รักตนเคียงข้าง หรือเป็นนิรันดร์กาลที่นพได้พบหลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว หรือจะเป็นการย้อนไปแก้ไขเรื่องราวในอดีต ก็ทิ้งไว้ให้เป็นจินตนาการของคนอ่านต่อเองแล้วกันนะคะ ก็คงไม่มีการอัพเดทเนื้อเรื่องอะไรต่อ ถ้าจะมีก็คงแค่แก้ไขคำผิดที่เจอค่ะ


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
จะว่าไป เรื่องนี้ถ้าไม่มีสามตอนหลัง เราก็รู้สึกว่ามันเป็นตอนจบที่ดีอยู่นะ เพราะเนื้อหาค่อนข้างสมจริง อ่านจบก็รู้สึกว่าพี่วัฒน์กับนพคงคบกันไปเรื่อยๆ แต่มีตอนพิเศษมา อืม คนเขียนโหดร้ายเหมือนกันแหะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
จะว่าไป เรื่องนี้ถ้าไม่มีสามตอนหลัง เราก็รู้สึกว่ามันเป็นตอนจบที่ดีอยู่นะ เพราะเนื้อหาค่อนข้างสมจริง อ่านจบก็รู้สึกว่าพี่วัฒน์กับนพคงคบกันไปเรื่อยๆ แต่มีตอนพิเศษมา อืม คนเขียนโหดร้ายเหมือนกันแหะ


แหะๆๆ งงตัวเองเหมือนกันค่ะว่าทำไมโหดขนาดนี้ อ่านเองก็ยังสงสารวัฒน์

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
อ่านแล้วทำไมสงสารวัฒน์ มันเหมือนแค่วัฒน์ทุ่มเท สงสารนพ สงสารตัวเอง มาอ่านตอนนี้ทำไม แง๊ 555 ดึงอารมณ์แบบ อะไรว่ะกันเลยทีเดียว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด