█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 11 ┨
สนามบินสุวรรณภูมิยังคงคึกคักไม่เคยเปลี่ยน
“รีบเรียนให้จบแล้วกลับไปอยู่กับพี่ขวัญเร็วๆ นะ”
“ครับ”
ผมและพี่สาวกอดกันแน่น พี่ขวัญจูบหนักๆ บนหน้าผากของผม ฝั่งแม่ปอกับออมก็ไม่ได้ต่างกัน ออมกอดรัดคนเป็นแม่อยู่นานสองนานจนคุณปู่คุณย่าเอ่ยแซ็วว่า
‘ให้กลับไปกับแม่ด้วยดีกว่า’ แค่นั้นแหละครับ ออมถึงได้ยอมปล่อยแม่ปอแล้วเปลี่ยนไปกอดพี่ขวัญแทน ส่วนแม่ปอก็อ้าแขนรอให้ผมเข้าสู่อ้อมกอด
“คนเก่งของแม่ปอ.. แม่ปอรักลูกนะคะ”
“ผมก็รักแม่ปอครับ”
ร่ำลากันเสร็จก็ถึงเวลาที่พี่ขวัญกับแม่ปอก้มลงกราบคุณพ่อคุณแม่ ช่วงเวลา 1 เดือน ผ่านไปไวเหมือนโกหก ผมยกแขนขึ้นโอบไหล่หลานสาว ผมรู้ว่าออมอยากจะร้องไห้แต่ก็ยังอดทนเข้มแข็งเอาไว้เพราะไม่อยากให้บุพการีเห็นน้ำตา ที่สำคัญก็คือมันเป็นเพียงแค่การจากลาชั่วคราว เนื่องจากหลังจากที่ผมและออมเรียนจบปริญญาตรีครอบครัวของเราตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกันแบบถาวร โดยที่จะมีลูกน้องคนสนิทของพวกท่านอีก 2-3 คน ก็จะไปอยู่ที่โน่นกับพวกเราด้วย
ยืนส่งพี่ขวัญกับแม่ปอจนทั้งคู่เข้าไปด้านในจึงค่อยกลับ และระหว่างที่กำลังเดินไปรอให้ลุงศักดิ์คนขับรถวนรถมารับก็ได้มีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคุณพ่อคุณแม่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
“สวัสดีครับท่าน.. คุณหญิง”
“อ้าว.. หลานชายคนโตของเจ้าสัวยางใช่มั๊ยเนี่ย?”
“ครับท่าน.. ผมนายพลครับ”
“แล้วมาทำอะไรล่ะเนี่ย?”
“มาส่งลูกค้าครับท่าน.. พอดีกำลังจะกลับแล้วเห็นท่านกับคุณหญิง ผมเลยเข้ามาทักทายครับ”
คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับหลานชายคนโตของเจ้าสัวยางต่ออีกหลายประโยค จนเมื่อคุณพ่อตบบ่าอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู คนรับก็พนมมือค้อมตัวไหว้อย่างนอบน้อม ชายหนุ่มจึงขอตัวเดินมาหาผมกับออมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งออมยืนฉีกยิ้มหวานรออยู่นานแล้วจนผมอดจะขำหลานสาวไม่ได้
“สวัสดีค่ะพี่นาย”
“สวัสดีค่ะน้องออม.. ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ..”
เด็กสาวเขินอายม้วน แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือนว่าหลานสาวกำลังแกล้งทำ
“ยังไงออมขอตัวก่อนนะคะ”
นั่นไง มีการตัดบทแล้วขอตัวไปแบบเนียนๆ แบบนี้มันแปลกๆ แล้วล่ะครับ
“จะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอครับ.. น้องเต็ม”
“สวัสดีครับ พี่นาย”
คนที่เรียกร้องคำทักทายหรี่ตามองผมพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก
“น้องเต็มเนี่ยเย็นชาจริงๆ นะครับ.. ไม่รู้ว่ากับกองทัพจะเย็นชาแบบนี้ด้วยรึเปล่า?”
แม้จะมีชื่อของบุคคลที่สามอยู่ในบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผมในขณะนี้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย
“ขอโทษด้วยนะครับหากผมทำอะไรให้พี่นายไม่พอใจ”
ก็แค่ยิ้มเพื่อรักษามารยาทมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลยสักนิด และดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้คนฟังพอใจอยู่ไม่น้อย ฝ่ายนั้นจึงได้กล้าขยับตัวเข้าหาผมอีกก้าวและผมก็ไม่คิดจะขยับหนี
“ใครจะกล้าไม่พอใจน้องเต็มได้ล่ะครับ.. น่ารักออกขนาดนี้”
แหม.. มีผู้ชายหล่อชมผู้ชายเหมือนกันว่าน่ารัก ผมควรจะดีใจสิครับ ฉีกยิ้มจนตาปิดเลย
“อาเต็มคะ รถมาแล้วค่ะ”
ออมเดินเข้ามาเอามือควงแขนผมพร้อมกับฉีกยิ้มให้ผมจนตาปิดเหมือนกัน
“ขอตัวก่อนนะครับ”
ค้อมศีรษะขอตัวอีกฝ่ายแล้วพากันเดินไปที่รถ โดยไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังกันอีกเลย ระหว่างนั่งรถกลับบ้านผมแอบเห็นออมหยิบไอโฟนขึ้นมาดูบ่อยๆ จากหน้าบึ้งก็กลายเป็นยิ้มเหมือนเด็กได้ของถูกใจ
“อาเต็ม”
ออมกระซิบ พร้อมกับยื่นโปรไฟล์ของใครคนหนึ่งในแอพพลิเคชั่นไลน์ให้ผมดู ซึ่งแค่ผมเห็นรูปก็อดที่จะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ หากแต่หลานสาวทำหน้าระรื่น
“คนที่
‘ใช่’ ของออมค่ะ..”
ผมได้แต่ร้อง
‘หืม’ ในใจ.. จากนั้นก็ยกมือขึ้นโยกหัวอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
.
.
.
.
แม้พี่ขวัญกับแม่ปอจะกลับอังกฤษไปแล้ว แต่ผมก็ยังเลือกที่จะอยู่บ้านต่อจนวันอาทิตย์เวียนมาอีกรอบผมจึงให้น้าปองมาส่งที่หอพักตอนห้าโมงเย็น แต่เมื่อเปิดประตูออกก็พบว่าภายในห้องไม่มีคนที่อยากจะเจอ
“ก็เห็นบอกว่าจะมาวันนี้”
พึมพำกับตัวเองครับ แล้วเดินเอากระเป๋าเป้ไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบสบายๆ จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้าผมก็รู้สึกเพลียและปวดหัวตุบๆ ไม่แน่ใจว่าเพราะเมื่อคืนนั่งทบทวนบทเรียนเพลินจนลืมเวลาและทั้งที่ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาตักบาตรกับคุณแม่อีก
ตอนแรกตั้งใจว่าจะแค่นอนพักสายตาแต่ไปๆ มาๆ ผมหลับยาวและหลับลึก ผมฝัน.. ฝันเห็นงูตัวใหญ่ยักษ์สีขาวเผือกกำลังเลื้อยพันรอบตัว เกล็ดของมันเงาวับราวกับสลักจากไข่มุกแต่ทว่าดวงตาคมเข้มและลึกล้ำเหมือนห้วงลึกภายใต้มหาสมุทร หัวใจของผมเต้นระรัวร่างกายคล้ายถูกตรึงด้วยมนต์สะกดเมื่อได้จ้องดวงตาที่แฝงไว้ซึ่งความน่ากลัวและน่าค้นหา ยามเมื่อความเย็นจากเกล็ดสีขาวต้องกายร่างกายก็พลันสะท้านไหว
“ฮึก”
ราวกับเสียงกระซิบแผ่วก้องกังวาน
“เต็ม”
ชื่อของผม..
“เต็ม..”
มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ผมจึงพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งเพื่อตอบรับเสียงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี และเมื่อผมลืมตาขึ้นก็ได้พบกับดวงตาคมเข้มลึกล้ำที่จับจ้องผมอยู่ราวกับเป็นดวงตาคู่เดียวกับที่ผมเห็นในความฝัน
“เทมป์?”
ฝ่ามืออุ่นอังหน้าผากและแตะบนผิวแก้มอย่างอ่อนโยน ผมจับมือข้างนั้นเอาไว้แล้วจ้องตาอีกฝ่ายกลับ คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยแต่ก็ตอบรับด้วยเสียงคราง
‘อืม’ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างมาเกลี่ยข้างแก้มของผม
“ไม่สบายตรงไหน? ปวดหัวรึเปล่า?”
“แค่ปวดหัวนิดหน่อยคงเพราะนอนน้อย”
ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมายจริงๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตา โดยที่มีอีกคนยืนพิงกรอบประตูห้องน้ำมองผมอยู่ทุกอิริยาบถ ผมจึงชวนอีกฝ่ายคุย
“มาถึงนานแล้วเหรอ?”
“เกือบชั่วโมงแล้วล่ะ เห็นเต็มนอนอยู่เทมป์เลยไม่ได้ปลุกตั้งแต่แรก”
“แล้วสีส้มล่ะ?”
“อาทิตย์นี้คุณย่าขอไว้เพราะท่านเหงา แต่ถ้าสีส้มมีอาการซึมอีกก็คงให้คนพามาส่ง”
พยักหน้ารับ พร้อมกับถอดเสื้อยืดที่เปียกน้ำออกแล้วพาดไว้บนบ่า มองกระจกพิจารณาไรหนวดของตัวเอง ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีหนวดมีเคราสักเท่าไหร่ แม้แต่ขนหน้าแข้งก็ยังเป็นเส้นบางๆ แค่หรอมแหรม ขณะที่ผมกำลังมองเงาของตัวเองก็มีอีกเงาเข้ามาซ้อนทับด้านหลัง แขนแกร่งโอบรอบเอวของผมไว้ ผมจึงยิ้มให้อีกฝ่ายผ่านบานกระจก
“คิดถึง”
เสียงทุ้มกระซิบคำ จมูกโด่งคลอเคลียอยู่บนผิวแก้ม มือใหญ่บดขยี้หน้าอกของผม
“อ่ะ”
ไม่เคยคิดว่าตัวเองที่ผ่านประสบการณ์เรื่องเซ็กส์กับเพศตรงข้ามมาเยอะจะต้องมาพ่ายแพ้และไวต่อความรู้สึกเพียงแค่สัมผัสจากเพศเดียวกันแบบนี้ ผมหันไปสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับแอ่นหน้าอกรับสัมผัสอันแสนวาบหวิว ริมฝีปากของเราดึงดูดเข้าหากัน สองลิ้นพัวพันแลกเปลี่ยนความหวานของกันและกันไม่รู้อิ่ม
“อืม.. อ๊ะ”
มือใหญ่ไล้ล้วงเข้าไปในขอบกางเกงขาสั้น ความเป็นชายของผมถูกปลดปล่อยออกมามันโค้งงอตื่นตัวรับความอุ่นของฝ่ามือที่โอบรัดไว้
“วันนี้ขอ.. ได้มั๊ย?”
“มีถุงกับเจลรึเปล่า?”
ติ่งหูของผมโดนขบเบาๆ เรียกความเสียวสะท้านให้ลมหายใจได้ติดขัดไปชั่วขณะ ร่างสูงยอมปล่อยผมออกจากพันธนาการแม้จะแค่ครู่เดียวแต่กลับทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงอย่างใจหาย ผมผ่อนลมหายใจที่ร้อนระอุของตัวเองแล้วหันหลังยืนพิงเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้า เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็กลับเข้ามาพร้อมกับกล่องกระดาษเล็กๆ และหลอดเจลทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
เราจ้องตากันครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะถูกอีกฝ่ายกระหน่ำจูบซะจนหายใจแทบไม่ทัน ริมฝีปาก พวงแก้ม ต้นคอ ไหปลาร้า เรื่อยลงมาถึงยอดอก ผิวของผมขึ้นสีตามแรงขบเม้มและดูดดึง ความร้อนภายในร่างกายถูกกระพือให้ลุกโชนอย่างรวดเร็วเมื่อริมฝีปากบางครอบครองส่วนสำคัญของผมไว้ทั้งหมด
“อ่ะ.. ท เทมป์”
ใช้มือเท้ายันกับอ่างล้างหน้าในขณะที่แอ่นสะโพกรับความเคลื่อนไหวจากคนที่นั่งชันเข่าปรนเปรอความสุขให้ผมอยู่ตรงกลางหว่างขา ดวงตาคู่คมช้อนมองผมวินาทีนั้นทำเอาร่างกายของผมแทบละลายไปกับเปลวเพลิงแห่งราคะ
“เทมป์.. อ๊ะ อ๊า”
อีกฝ่ายรับน้ำขาวขุ่นของผมไว้ทั้งหมด แถมยังกลืนลงคอโดยไม่คิดรังเกียจแม้แต่น้อย
“กลืนไปทำไม?”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล่บลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองก่อนจะประกบปิดปากผม กลิ่นและรสชาติที่ซ่านอยู่ในโพรงปากเป็นของผมเอง ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าจูบผมหลังจากที่เพิ่งออรัลเซ็กส์ให้ผมเสร็จ หรือจะพูดให้ง่ายก็คือน้อยครั้งที่ผมจะจูบกับผู้หญิงพวกนั้นยกเว้นว่าเธอจะเป็นคนที่ผมพอใจจริงๆ อย่าง เช่น เนเนะ
“ทำแบบนี้กับทุกคนมั๊ย?”
“คนแรกและคนเดียวเลย”
มีการยักคิ้วให้ผมอีก ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องยิ้มกว้างขนาดนี้ด้วย ผมโน้มคออีกฝ่ายมาจูบเสียเอง พร้อมกับใช้มือช่วยชโลมเจลรูดรั้งจนทั่วความแข็งขึง ขนาดว่ายังไม่ขยายเต็มที่ท่อนเอ็นยังใหญ่ขนาดนี้ผมแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะใส่เข้ามาในร่างของผมได้ยังไง
“อื้ม..”
เสียงทุ้มครางต่ำบ่งบอกถึงความพอใจ ผมจึงหันหน้ากลับเข้าหากระจกใช้มือเท้ายันเคาท์เตอร์ไว้จากนั้นก็แอ่นสะโพกยกสูง
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้านะ”
พูดเตือนให้รู้ว่าอย่ารุนแรงเด็ดขาด และแม้จะดูเหมือนว่าผมไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ หากแต่ภายในอกด้านซ้ายของผมเต้นระส่ำจนแทบจะนับจังหวะไม่ได้ ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองเงาของตัวเองในกระจกเพราะรู้ได้เลยว่ามันคงจะแดงด้วยความเขินอายมากแค่ไหน
มือใหญ่บีบเคล้นสะโพกของผมและใช้ท่อนเอ็นใหญ่ที่ร้อนผ่าวถูไถผิวบริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของผมติดขัดครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสิ่งแปลกปลอมที่ถูกชะโลมด้วยของเหลวอุ่นๆ ก็แทรกเข้ามาในช่องทางที่ไม่เคยมีใครแตะต้องมาก่อน
“ใส่นิ้วแล้วนะ”
“อ๊ะ”
นิ้วแรกที่สอดเข้าไปทำเอาร่างกายของผมถึงกับสะท้านเฮือก เกร็งไปทั้งร่าง
“อ่ะ ท เทมป์”
“เต็ม”
เรียกชื่อผมเสร็จริมฝีปากบางก็บดขยี้แนบชิด ลิ้นชื้นขยับตวัดคล่องแคล่วเสียจนผมลืมไปชั่วขณะว่าด้านหลังมีความเคลื่อนไหว
“โอเคขึ้นมั๊ย?”
เมื่อผมพยักหน้ารับ นิ้วที่ 2 ก็แทรกเข้ามา ความรู้สึกอึดอัด เจ็บ และซ่านสยิวตีกันให้วุ่นจนภายในหัวของผมปั่นป่วนไปหมด แต่ด้วยเพราะว่าอีกฝ่ายคงจะศึกษามาดีจึงได้รู้จักวิธีที่ทำให้ผมผ่อนคลายและเคลิ้มไหว จากนั้นก็ตามมาด้วยนิ้วที่ 3 ซึ่งแค่ 3 นิ้วผมก็แทบจะกรีดร้อง หยดน้ำตาไหลจากหางตา แล้วของจริงใหญ่กว่านี้อีกหลายเท่าตัว ผมจะรับมันได้อย่างนั้นเหรอ?
“ไหวมั๊ย?”
คำถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยสะกดให้ผมพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจว่า ‘ไหว’ จากนั้นก็แอ่นสะโพกจนแผ่นหลังงอโค้ง แยกขากว้างเตรียมรับความมโหฬารอันร้อนระอุที่จ่อชิดปากทางและค่อยๆ ดันส่วนปลายเข้ามา
“จ เจ็บ อ๊ะ”
น้อยครั้งที่ลูกผู้ชายอย่างผมจะยอมเสียน้ำตา แต่ครั้งนี้บอกเลยว่าผมยอมอายและให้หยาดน้ำไหลอาบแก้ม ไม่เคยรู้เลยว่าการเป็นฝ่ายรับจะเจ็บและทรมานขนาดนี้ ร่างกายเหมือนจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ความใหญ่โตหยุดเคลื่อนไหวลงทั้งที่เพิ่งดันเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่ง ลมหายใจร้อนระอุรดอาบผิวตรงต้นคอ ไม่ใช่แค่ผมที่ทรมานแต่อีกฝ่ายก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตาและพยายามยึดต้นแขนที่โอบกอดผมไว้ให้แน่นที่สุดราวกับว่ามันคือพึ่งพิงสุดท้าย
“ต เต็ม”
“เร็ว ร เร็วสิ”
ส่งสายตาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความต้องการ เรามอบจูบกันอย่างดุเดือดและดูดดื่มพร้อมกับช่วงล่างที่ค่อยๆ ดุนดันเข้ามาจนสุดด้าม
“อ๊ะ อร๊างงง”
กรีดร้องจนแทบจะสุดเสียง หากห้องข้างๆ มีคนอยู่ก็คงจะได้ยินและรับรู้เป็นพยานรักของเราเป็นแน่ แท่งเอ็นร้อนราวแท่งเหล็กลนไฟขยายตัวใหญ่ขึ้นจนคับแน่นทำเอาผมหายใจไม่ออก เสียงครางต่ำๆ บ่งบอกความรู้สึกที่อัดอั้นไว้ เจ้าตัวแช่มันนิ่งอยู่อย่างนั้นรอให้ร่างกายของผมคุ้นชินและพร้อมมากกว่านี้
ผมโน้มคออีกฝ่ายเข้ามาแลกจูบกัน มือเรียวข้างหนึ่งบดขยี้เม็ดตุ่มบนหน้าอกทั้งสองข้าง อีกมือก็รูดรั้งด้านหน้าของผมอย่างต่อเนื่อง จนร่างกายของผมผ่อนคลายจากความเจ็บปวดและแปรเปลี่ยนเป็นรับรู้ถึงความเสียวซ่านจากจุดที่ร่างกายของเราเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เทมป์รักเต็ม.. รักเต็มใจ”
คำรักกระซิบแผ่วชิดริมหู ชวนให้สยิวอยู่ในอก ส่วนกลางลำตัวของผมที่ปลดปล่อยไปแล้วหนึ่งครั้งกำลังจะถึงจุดอีกรอบเพียงแค่อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า
‘รักเต็มใจ’“อ่ะ อ๊า”
แรงขยับขับเคลื่อนเนิบนาบเชื่องช้าค่อยๆ เติมเต็มความวูบโหวงในหัวใจจนแทบล้น สมองของผมโล่ง ในท้องเหมือนมีมวลสารวิ่งวนหฤหรรษ์ ช่วงล่างขยับรับทุกจังหวะอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่ทะลวงลึกก็สะท้านหวิวแทบทะลักและทุกครั้งที่ถอยห่างก็ราวกับความฝันกำลังมอดไหม้ ดวงตาที่เอ่อด้วยหยาดน้ำจ้องมองภาพหยาบโลนของตัวเองที่ตอบสนองตัณหาด้วยความสุข ร่างกายเปล่าเปลือยกำลังถูกโลมเล้าด้วยฝ่ามือใหญ่และสะโพกก็กำลังถูกรุกรานไม่ว่างเว้น แต่ทว่าหัวใจผมกลับเป็นสุข มันเป็นความสุขในแบบที่ผมไม่เคยพบเจอ
ร่างสูงด้านหลังจวนเจียนจะถึงฝั่ง ส่วนใหญ่ยักษ์ที่เติมเต็มอยู่ในร่างจึงถูกถอดถอนออก ชั่ววินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของผมได้พังพินาศลงจนไม่เหลือเศษซาก ผมหันไปมองมือใหญ่ดึงถุงยางทิ้งแล้วรูดรั้งฉีดเอาของเหลวสีขาวขุ่นออกมาเลอะเต็มมือ ในลำคอของผมก็พลันแห้งผากและหยดน้ำตาผสมเหงื่อก็ไหลลงบนแก้ม
เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายชวนให้หัวใจเต้นระส่ำ ดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยแรงแห่งความปรารถนาจ้องมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ มอบจุมพิตหวานพร้อมกับขยับมือใหญ่ช่วยให้ผมทยานสู่ฝั่งฝันเป็นรอบที่สอง
“เจ็บมากมั๊ย?”
สะโพกของผมระบมไปหมดแต่ผมกลับเลือกที่จะส่ายหน้าและบ้ายิ่งกว่าก็คือผมเขินเสียจนปั้นหน้าไม่ถูกว่าควรจะยิ้มแบบไหน
“เต็มทำตัวน่ารักแบบนี้เทมป์ก็ตายสิ”
แล้วไอ้ที่มายืนทำหน้าหล่อแบบนี้ผมไม่ตายรึไง? ผมทุบหัวไหล่อีกฝ่ายไปเบาๆ แล้วหัวเราะ แค่จะขยับตัวขายังสั่นแทบยืนไม่อยู่แต่ผมกลับมีความสุขอย่างน่าประหลาด
“เดี๋ยวเทมป์ล้างตัวให้”
น้ำอุ่นจากฝักบัวชะโลมจนร่างกายเปียกชุ่ม สบู่เหลวถูกเทใส่จนเกือบเต็มฝ่ามือใหญ่เพื่อใช้ล้างคราบเหงื่อไคลเจ้าตัวตั้งใจทำความสะอาดร่างกายให้ผมโดยไม่มีวอกแวกตั้งแต่ลำคอไล่ไปจนถึงปลายเท้า ร่างสูงย่อตัวลงนั่งคุกเข่าใช้ฟองน้ำขัดถูผิวกายเบาๆ บนหลังเท้าของผม ที่ผ่านมามีผู้หญิงมากมายยอมคุกเข่าและทำสิ่งที่น่าอายหลายต่อหลายอย่างเพียงเพื่อต้องการดึงดูดความสนใจของผมไว้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครหรือครั้งไหนเลยที่ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งพวกเธอเหล่านั้นไว้ด้วยความรัก ยกเว้นครั้งนี้..
“เทมป์”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองผม ใบหน้าหล่อคมอยู่ห่างจากแก่นกายกลางลำตัวของผมเพียงสองคืบ ลมหายใจของผมติดขัดเล็กน้อย ความร้อนที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ไหลรวมไปยังจุดเดียวกันจนเปิดเผยปฏิกิริยาออกมาอย่างเด่นชัด ผมวางมือลงบนเส้นผมสีดำขลับลื่นมือ จากนั้นก็ไล่ปลายนิ้วลงตามสันจมูกโด่ง และหยุดลงที่ริมฝีปากบาง
“อีกรอบก็ได้นะ”
สายตาของผมเหลือบมองกล่องกระดาษขนาดเล็กที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปใช้นิ้วดีดกล่องนั้นให้ตกลงไปในถังขยะ ผมยิ้ม อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกมุมปากหล่อมาดร้าย แล้วลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง โอบกอดและบดจูบจนแทบจะกลืนกิน
ผมก็แค่อยากจะพิสูจน์ให้แน่ชัดว่า
‘รัก’ ครั้งนี้จะใช่
‘ความสุข’ ที่ผมฝันถึงมาตลอดรึเปล่าก็เท่านั้น และเทมป์ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลยสักนิดเดียว
.
.
.
.
ผลจากการพักผ่อนไม่เพียงพอของเมื่อวันก่อนบวกกับความเร่าร้อนของอารมณ์เมื่อคืนทำให้เช้าวันนี้ผมมีไข้รุมๆ
“แน่ใจนะว่าโอเค?”
“แน่ใจ”
“ถ้าไม่ไหวรีบโทรมาเลยนะ”
“อืม”
ยอมรับครับว่าวันนี้สภาพร่างกายของผมไม่เต็มร้อย ปวดระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณสะโพก แถมยังปวดหัวตุบๆ ตลอดเวลา แต่ก็ยังวาดรอยยิ้มให้คนตรงหน้าได้สบายใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ยังไงก็ยังมาเรียนไหว
“ไฮ้..”
เสียงทักทายที่คุ้นหูทำให้ผมหันไปมอง ซันเดินมาจากฝั่งลานจอดรถจักรยานคงจะเพิ่งมาถึงเหมือนกัน อ่อ ไม่ต้องถามนะครับว่าตลอดเวลามีคนมองผมกับเทมป์มากแค่ไหน แล้วยิ่งมีซันอยู่ด้วยเป้าสายตาจึงเหมือนจะหยุดอยู่ที่พวกเราทั้ง 3 คน เอาเป็นว่าทุกย่างก้าวของผมล้วนเป็นที่สนใจของคนรอบข้างมาตลอดและผมก็ชินแล้วครับ ส่วนซันรายนี้นอกจากเรื่องเรียน งาน เพื่อนและครอบครัว ซันก็แทบจะไม่สนใจอะไรอีกเลย
“เต็มไม่สบายรึเปล่า?”
ซันยกมือขึ้นอังหน้าผากของผมด้วยความเป็นห่วง ไม่ว่าจะโบว์ โอบหรือซันก็มักจะอ่อนโยนแบบนี้เสมอ แต่ดูเหมือนว่าเทมป์จะไม่เข้าใจ ผมสัมผัสได้ถึงความคุกรุ่นที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่คม
“อีจีมันสบายดี ซันไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก”
ขอบคุณโบว์ที่มาได้ทันเวลาพอดิบพอดี เพื่อนสาวจิกตาใส่เพื่อให้รู้ว่าเธอรู้ว่าผมเป็นอะไรจากนั้นก็หันไปโปรยยิ้มให้ซันกับเทมป์
“น้องกองทัพก็มีเรียนตอนเช้าไม่ใช่เหรอจ๊ะ? ไปเรียนเถอะทางนี้ไม่ต้องห่วง พี่โบว์จะดูแลอย่างดี”
“อ่อ.. ขอบคุณครับ”
เจ้าตัวยกมือไหว้โบว์และไม่ลืมที่จะไหว้ซันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหันมามองผมอีกรอบ
“ถ้ามีอะไรอย่าลืมโทรมานะ”
“อืม.. รู้แล้ว”
อีกฝ่ายคงจะเกรงใจโบว์กับซันถึงได้ยอมตัดใจปั่นจักรยานไปเรียนเสียที และเมื่อเหลือแค่เรา 3 คน โบว์ก็หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับผมพร้อมทำเสียงจิจ๊ะจนผมต้องเคาะหน้าผากไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ โบว์ตั้งท่าจะโวยวายแต่เสียงข้อความเตือนจากโทรศัพท์ของซันดังขึ้น ตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับ แต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มละมุนขณะที่อ่านข้อความนี่สิช่างน่าสงสัยเหลือเกิน
“ซัน..”
โบว์แบมือขอไอโฟนของเพื่อนด้วยสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็น และแน่นอนครับคนอย่างซันผู้ไม่เคยขัดใจเพื่อนก็ส่งให้แต่โดยดี ซึ่งแค่โบว์เห็นชื่อคนส่งข้อความก็ยกยิ้มจนหน้าบานจากนั้นก็ยื่นให้ผมดูด้วย ปกติผมไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของเพื่อนหรือเรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่สำหรับเพื่อนรักอย่างซันผมเองก็อยากจะรู้บ้างครับ
“ออม”
ผมหัวเราะเบาๆ ที่รู้ว่าเจ้าของข้อความที่ทำให้ซันเผยรอยยิ้มละมุนได้คือหลานสาวของตัวเอง ผมไม่แปลกใจครับที่เป็นออม เพราะออมแนะนำ
‘คนที่..ใช่’ ให้ผมรู้แล้วล่ะว่าเป็นใคร ซึ่งถ้าซันกับออมจะคบกันผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี และแน่นอนว่าผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
โบว์ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ แล้วเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้กันอีก โบว์ทำทีว่าควงแขนผมเดินมาที่ลิฟท์แต่ความจริงก็คือกำลังช่วยประคองให้ผมเดินได้สะดวกมากขึ้นต่างหาก เพราะทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเท้าความร้าวระบมก็เจ็บแปลบไปทั้งสะโพก ซึ่งก่อนที่จะถึงห้องเรียนโบว์แอบกระซิบผมว่า
‘ครั้งแรกก็แบบนี้แหละ.. ไว้โดนบ่อยๆ เข้าก็ไม่เดินขาถ่างแล้วล่ะ’ ผมมองโบว์อย่างอึ้งๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะขำ
เมื่อนั่งประจำที่ในห้อง โบว์ก็เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยุดมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“อีจี.. เมียเก่ามึงจะมาไทยอาทิตย์หน้าใช่ปะ?”
อ่า.. ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“จะไปเจอเนเนะรึเปล่า?”
เรื่องนี้.. แม้ผมกับเนเนะจะเลิกรากันไปแล้วแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือจะให้พูดกันตามตรงผมคิดว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ระหว่างผมกับเนเนะไม่ได้มีคำว่า
‘ความรัก’ มาตั้งแต่ต้น เพียงแค่สถานะของคำว่า
‘แฟน’ จึงทำให้เรายังติดต่อและพูดคุยกันเท่านั้นเอง
“เนเนะอยากไปเที่ยวทะเล”
เธอเคยบอกผมไว้แบบนั้น ว่าถ้ามาเมืองไทยก็อยากจะให้ผมพาเธอไปเที่ยวทะเล
“ฉันจะฟ้องผัวแก”
“เทมป์จะไปด้วย”
“อ้าวๆ .. ไม่กลัวโดนสายแบ๊วแย่งผัวเหรอคะเพื่อน?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งโบว์”
คนที่ตอบแทนผมคือซันครับ ซันมักจะคิดไปในแง่บวกเสมอ ผมเองก็คิดแบบเดียวกับซัน
“ก็ลองดู.. แต่อย่ามานั่งหน้าเครียดให้ฉันเห็นละกัน”
ผมยิ้มให้เพื่อนสาว
“ไม่หรอก.. เพราะเราจะไปกันทั้งหมดนี่แหละ”
รอบนี้โบว์ได้แต่เบะปากแล้วหัวเราะ
‘หึ’ ในลำคอก่อนจะพึมพำเบาๆ ว่า
‘ฉันจะตั้งกล้องห้องแก’.
.
.
.
.
TBC...
พนมมือแล้วย่อตัวงามให้กับคนอ่านและทุกความคิดเห็นนะคะ
ตอนที่แล้วหรือตอนที่ 10 นั้นเป็นตอนที่รินได้ + เป็ดเยอะที่สุด(21+เป็ด)ตั้งแต่ลงนิยายเรื่องนี้มาเลยค่ะ(ไม่นับ intro นะคะ)
และตอนที่แล้วอีกเหมือนกัน เป็นตอนที่มีคนแสดงความคิดเห็นเยอะที่สุด (แม้จะมีแค่รูปอีโมไม่มีคำพูด)
ดีใจมากๆๆ เลยค่ะ อ่านทุกความคิดเห็นวนหลายรอบมาก
ดีจายยยยยยยยยยยย
จะมีใครเข้าใจหัวอกนักเขียนต่ำต้อยแบบเราบ้างมั๊ยนะว่ามันดีใจจริงๆ เลยค่ะ