█ ▌รักเต็มใจ ❤➽ Heart Is Full ▌█ ┠ 37 The End ┨ (2017.11.11) P.36
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: █ ▌รักเต็มใจ ❤➽ Heart Is Full ▌█ ┠ 37 The End ┨ (2017.11.11) P.36  (อ่าน 232416 ครั้ง)

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อิพี่นายต้องร่วมมือกับเนเนะอะไรนี่แน่เลย

ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :katai1:   เกือบเสียท่าไปแล้วพระเอกของเค้า งือๆๆๆๆ

 :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ RIRIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +492/-2
█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█





┠ 14 ┨







ร่องรอยบนร่างกายและคราบเลือดที่เปื้อนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ บ่งบอกถึงความรุนแรงของค่ำคืนที่เพิ่งผ่านพ้นมา ถ้าหากบอกใครต่อใครว่าผมโดนข่มขืนก็คงจะมีคนเชื่ออย่างแน่นอน ผมละจากภาพนั้นมามองผู้ชายหัวยุ่งเหยิงที่นั่งขัดสมาธิยกเท้าของผมวางบนตัก มือใหญ่บรรจงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผิวชื้นน้ำตั้งแต่ขาอ่อนลงไปจนถึงปลายเท้า

“เทมป์”

แค่เรียก เจ้าของชื่อก็เบิกตากว้างตาลีตาเหลือกลนลาน

“เจ็บเหรอ? เจ็บตรงไหน?”

ใบหน้าคมเข้มซีดเผือดจนผมต้องกลั้นขำ ผมส่ายหน้าแล้วก็ยื่นมือไปลูบสางเส้นผมสีดำขลับจัดทรงให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น
เราตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงด้วยสายโทรเข้าจากออม ผมสัญญากับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะกลับถึงกรุงเทพฯ ภายในวันนี้ก่อนหกโมงเย็น ออมจึงเอาเสื้อผ้ามาให้ผมที่โรงแรม

ด้วยสภาพร่างกายที่แม้แต่จะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งยังยากลำบากทำให้อีกฝ่ายต้องช่วยอุ้มเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เสื้อผ้าของเมื่อวานจะหยิบกลับมาใส่ก็คงจะไม่ได้เพราะเสื้อของผมถูกทึ้งจนไม่เหลือสภาพ ตอนนี้เราจึงอยู่ในสภาพมีแค่ผ้าขนหนูพันรอบเอวกันคนละผืนเท่านั้น


“เมื่อคืนจำได้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”

ถามขณะปัดปอยผมที่หล่นมาปรกหน้าผากให้อีกฝ่าย คนถูกถามจ้องตาผมกลับ ในดวงตานั้นแดงก่ำและมีน้ำเอ่อปริ่มหากเพียงแค่กระพริบตาหยดน้ำคงร่วงลงมาเป็นแน่ และคำตอบที่ผมได้รับก็คือริมฝีปากบางที่จุมพิตอย่างอ่อนโยนลงบนหลังเท้า ผมหัวเราะเบาๆ

“จำเฉพาะที่ทำกับเต็ม.. เรื่องอื่นไม่ต้องไปจำ”

ฉุดร่างสูงให้ลุกขึ้นรับจูบแทนการประทับคำสัญญา

“เต็มจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นและเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”

ไม่ต้องพูดอะไรผมก็สามารถเดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้อยู่แล้ว คนที่ควรจะขอโทษในเรื่องนี้ก็คือผมเอง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะมีผมเป็นต้นเหตุ และโชคดีแค่ไหนที่คนที่ผมเลือกคือเทมป์ ถ้าเป็นคนอื่นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง

ครืดๆ

ไอโฟนของร่างสูงสั่นสะเทือนๆ อยู่ใกล้มือของผม ชื่อที่ปรากฎหน้าจอคือ ‘คุณแม่’ ผมหยิบยื่นส่งให้อีกฝ่าย แต่เจ้าของไอโฟนทำสีหน้าลำบากใจ

“รับเถอะ ปัญหามันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับและเรียนรู้ที่จะแก้ไขกันต่อไป”

มือใหญ่รับไอโฟนแล้วกดรับสายพร้อมกับเปิดสปีคเกอร์โฟน

[ไอ้ลูกไม่รักดี แกอยู่ไหนของแกทำไมทิ้งงานให้พี่นายเขารับผิดชอบ รู้บ้างมั๊ยว่าพี่นายเขาต้องหัวปั่นแค่ไหนกับปัญหาที่แกก่อไว้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องงามหน้าที่แกทำเมื่อคืนนะ จะหื่นจะบ้ากามหรือหลงอีลูกชายคุณหญิงนั่นจนถอนตัวไม่ได้โงหัวไม่ขึ้นยังไงก็หัดคิดซะบ้างว่ายัยผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกค้า เอาลูกค้าตัวเองไปประเคนให้มันป่านนี้ข่าวรั่วไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าพ่อแกรู้ฉันจะไม่มีวันช่วยแกเด็ดขาด ให้คุณปู่คุณย่าของแกจัดการเรื่องนี้เองแล้วกัน]

บ่นยาวพรืดชนิดที่แทบจะไม่มีช่องว่างหายใจแล้วก็วางสายไปโดยไม่คิดจะฟังลูกชายพูดหรืออธิบายสักคำ

“อีลูกชายคุณหญิง?”

ทวนคำที่ได้ยินจากในบทสวดมนต์ดำเมื่อครู่แล้วก็นึกขำ

“นี่เทมป์หลงเต็มขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ยังจะมาขำอีก”

“ใครบอกขำ นี่เต็มกำลังดีใจอยู่ต่างหาก”

ผมพูดจริงนะครับ เพราะมีแต่พวกผู้หญิงยอมพลีกายมอบตัวถวายให้ผมด้วยความหลงใหล ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีผู้ชายคิดแบบนี้กับผมเหมือนกัน

“น่ารักจังแฟนใครเนี่ย?”

หยิกปลายจมูกโด่งด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ผัวเหอะ”

ผู้ชายหน้าดุๆ มองค้อนแล้วพูดใส่หน้าให้รู้ว่าไม่ใช่แค่แฟนแต่เรียกว่า ‘ผัว’ แบบนี้มันโคตรน่ารักเลยนะครับ ผมหลุดหัวเราะออกมา และเจ้าตัวก็หัวเราะตาม เราหัวเราะกันอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ออมเอายาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ และเสื้อผ้าของเราทั้งคู่มาส่งแถมมากับซันเสียด้วย ออมบอกว่าจะรออยู่ด้านล่างตรงล็อบบี้และได้สั่งมื้อเที่ยงเอาไว้ให้แล้ว เทมป์จัดการสวมใส่เสื้อผ้าของตัวเองก่อนแล้วจึงมาช่วยผมแต่งตัว และขณะที่มือใหญ่ช่วยกลัดกระดุมเสื้อให้ผม และผมก็ช่วยจัดปกเสื้อให้อีกฝ่ายผมก็ขอสรุปคดีนี้แบบง่ายๆ ได้ว่า..

“พี่นายพลเป็นพระเอก เต็มใจเป็นผู้ร้าย ส่วนกองทัพ.. ตัวประกอบสินะ”

ระบายรอยยิ้มขบขันให้ผู้ชายที่หล่อแทบไม่มีที่ติตรงหน้า

“แค่ผู้ร้ายกับตัวประกอบรักกัน เรื่องนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วล่ะ”

เสียงหัวเราะของเราประสานกันอีกครั้ง แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทั้งๆ ที่พวกเรากำลังเจอปัญหารุมเร้าขนาดนี้แต่ก็ยังขำกันได้ บางครั้งแค่ความรู้สึกที่ว่า รัก เข้าใจ และเชื่อใจในกันและกัน สิ่งเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันที่ทำให้หัวใจของเราแข็งแรง

แต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยร่างสูงก็เดินประคองผมลงไปจนถึงด้านล่าง ซัน โบว์ ออม และน้องดักแด้ นั่งรออยู่ในห้องอาหารของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว โบว์มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางอมยิ้มและส่งเสียง ‘จิ๊จ๊ะ’ จนน้องดักแด้ดักคอขึ้นว่า ‘พี่โบว์ทำผมขนลุก’ นั่นแหละ โบว์ถึงหันไปตวาดแหวใส่รุ่นน้องและก็นั่งกัดกันอยู่อย่างนั้นจนจบมื้อเที่ยง และที่สำคัญก็คือไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีกเลย



.
.
.
.




“ตลกชะมัด”

จู่ๆ หลานสาวคนสวยก็เบะปากหัวเราะก่อนจะส่งข่าวที่โชว์อยู่ในหน้าจอไอโฟนให้ผมดู มันเป็นข่าวซุบซิบ ‘ดาราสาวญี่ปุ่นอักษรย่อ น โดนนายแบบชื่อดังอักษรย่อ ต คั่วทั้งคืนจนส่งผลกระทบต่อกองถ่ายโฆษณา แต่โชคดีที่คุณ น ผู้บริหารบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ สามารถแก้ไขสถานการณ์ทำให้งานเดินหน้าได้ต่อไป’ อ่านจบผมก็ได้แต่กระตุกยิ้ม เกมส์สกปรกที่สามารถเดาเหตุการณ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ยังใช้ได้เสมอ และคนโดยส่วนใหญ่ก็ยังโง่ดิ้นตามกันไป นี่แหละครับที่ทำให้คนโง่มักจะถูกเอาเปรียบจากคนฉลาดเสมอ

“กลับบ้านกันดีกว่านะสีส้ม”

อุ้มเจ้าแมวอ้วนตัวกลมขึ้นมาเอาหน้าผากแนบติดกัน สีส้มใช้จมูกแตะริมฝีปากของผม ผมเองก็ใช้ริมฝีปากแตะจมูกสีชมพูสุขภาพดีกลับไป ตอนนี้สีส้มแทบจะกลายเป็นแมวของผมไปแล้วล่ะครับ

ผม ออม และสีส้ม อยู่ในรถยุโรปคันหรูที่คุณปู่ของเทมป์ส่งมารับผมกับหลานสาวกลับกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ ส่วนซัน โบว์ และน้องดักแด้ กลับรถตู้อีกคัน ในขณะที่เทมป์จะตามกลับมาหลังจากเคลียร์งานเสร็จแล้วพร้อมกับรถของบริษัท

โทรศัพท์มือถือของออมมีสายเข้า ออมกระซิบบอกผมก่อนรับสายว่าคุณย่าโทรมา ออมกดรับสายแล้วก็เปิดสปีคเกอร์โฟนให้ผมได้ยินด้วย แต่ผมก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆ เพราะปกติถ้าผมไปไหนกับออมคุณแม่จะโทรหาผมเสียมากกว่าแต่ครั้งนี้โทรหาออมนั่นแสดงว่าท่านคงยังทำใจเรื่องของผมไม่ได้ คำถามที่ท่านถามออมก็ปกติทั่วไปตามประสาความเป็นห่วงนั่นก็คือตอนนี้พวกเราเดินทางถึงไหนกันแล้ว? และที่ทำให้ผมอดจะยิ้มไม่ได้ก็คือท่านถามออมว่าผมเป็นยังไงบ้าง? มีนักข่าวโทรไปที่บ้านเรื่องของผมกับเนเนะแต่ท่านก็ปฏิเสธบอกว่าไม่รู้เรื่องและมั่นใจว่าลูกชายไม่ใช่คนแบบนั้น ออมตอบกลับคนเป็นย่าไปว่า ‘คนในข่าวไม่ใช่อาเต็มหรอกค่ะ เพราะอาเต็มไม่ใช่นายแบบชื่อดังค่ะ’ ทำเอาคุณแม่ของผมหัวเราะขำแล้วก็พูดว่า ‘นั่นสินะ’ ก่อนจะวางสายไป ออมหันมายักคิ้วให้ผมด้วยรอยยิ้ม

“ฝั่งนั้นโดนแดด ออมมานั่งฝั่งนี้ดีกว่า”

แม้ฟิล์มกันแสงยูวีของรถคันนี้จะหนาพอสมควร แต่เมื่อเห็นหลานสาวนั่งหยีตามองข้างถนนผมก็อดจะสงสารไม่ได้ ตอนแรกออมก็อิดออดบอกว่าไม่เป็นไร แต่พอผมบอกว่าให้มานั่งเล่นกับสีส้มแทนผมหน่อยเพราะผมรู้สึกเมื่อยตัวแค่นั้นแหละออมถึงยอม

เอาตามความจริงตอนนี้ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังจะจับไข้ เมื่อยเนื้อตัวไปจนถึงกระดูก โดยเฉพาะช่วงสะโพกที่ถูกใช้งานอย่างหนักจนบวมและฉีกขาดพอนั่งนานๆ ก็รู้สึกเจ็บระบมทำให้ต้องขยับเปลี่ยนท่านั่งตลอด ไว้กลับถึงกรุงเทพผมคงต้องรีบจัดการตัวเองให้หายเป็นปกติโดยเร็ว ช่วงที่ติดสัญญาณไฟจราจรก่อนจะขึ้นทางด่วนยิงยาวเข้ากรุงเทพฯ ผมจึงเอนตัวพิงกรอบหน้าต่างรถแล้วหลับตาลงพักผ่อน

จังหวะที่กำลังจะเคลิ้มหลับผมได้ยินเสียงดัง ‘โครม’ ใหญ่คล้ายระเบิด มันดังติดๆ กันหลายครั้งและได้ยินเหมือนเสียงของออมกรีดร้องเรียกชื่อผม แต่ผมก็ไม่สามารถลืมตาได้ ราวกับว่ามนุษย์โลกอย่างผมกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของพ่อมดเมอร์ลินซึ่งเป็นผู้ช่วยตัวร้ายกาจของกษัตริย์อาร์เธอ และตอนนี้ผมก็กำลังถูกพลังวิเศษที่พ่อมดเมอร์ลินใช้กำจัดมนุษย์โลก พลังนั้นทำให้เกิดแรงปะทะอันรุนแรงบีบอัดร่างของผมโดยที่ไม่ทันจะได้ตะโกนร้องตกใจ มันรวดเร็วและหนักหน่วงเสียจนร่างกายที่บอบช้ำอยู่แล้วถูกซ้ำเติมให้แหลกสลายลงไปอีก เจ็บไปทุกส่วนของร่างกายจนไม่อาจจะกระดิกได้ กลิ่นคาวเลือดลอยแตะอยู่ปลายจมูก กลิ่นไหม้และกลิ่นน้ำมันคลุ้งจนแทบจะอาเจียน เสียงหวีดหวอดังระงม ช่างเป็นสงครามทำลายล้างที่แสนโหดร้าย และการรอคอยออพติมัสไพรม์ของผมก็แสนยาวนานเหลือเกิน..



.
.
.
.

   


นั่นเสียงคุณพ่อ.. ผมไม่เคยได้ยินเสียงคุณพ่อดุดันและพูดด้วยความโกรธเคืองใครขนาดนี้มาก่อน และเท่าที่จำความได้พี่อุ่นกับพี่ขวัญไม่เคยเถียงคุณพ่อเลยสักครั้งนี่นา คุณแม่กับแม่ปอกำลังร้องไห้? ปกติพวกท่านเข้มแข็งจะตายไปนั่นแสดงว่าท่านกำลังผิดหวังและเสียใจจริงๆ  ครอบครัวของเราไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ทั้งหมดเป็นเพราะผม???..
สาเหตุเกิดจากผมอย่างนั้นเหรอ???..

“อาเต็ม อาเต็มฟื้นแล้ว”

เสียงของออมทำให้ทุกเสียงเงียบลงและผมต้องขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ทำไมแค่จะลืมตายังยากเย็นขนาดนี้นะ เสียงร้อนลนของใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่าให้ตามหมอ ผมคิดว่านั่นน่าจะใช่เสียงของโอบ ตอนนี้ผมอยู่ไหนกันนะ? บ้านที่อังกฤษเหรอ? ทำไมทุกคนถึงอยู่กันครบแบบนี้

ผมพยายามอยู่นานในการพยายามจะลืมตาแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมเจ็บ.. ระบุไม่ได้ว่าเจ็บตรงส่วนไหนของร่างกาย อาจจะทั้งหมด หรืออาจจะที่หัวใจ มีเสียงของใครที่ผมไม่คุ้นเคยกำลังเรียกชื่อของผม เรียกซ้ำๆ อยู่หลายครั้งแต่ผมก็ไม่อาจจะต้านทานความเจ็บปวดและอ้าปากตอบรับเจ้าของเสียงนั้นกลับไปได้ ผมเหนื่อย.. เพราะฉะนั้นขอผมนอนพักอีกสักงีบเผื่อว่าตื่นขึ้นมาจะได้พบเจอว่าเรื่องราวที่ผมได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝัน

ฝันร้าย..

ขอให้มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น..



.
.
.
.


      

“ลูกชายของแม่ปอทำไมขี้เซาจังเลยคะ?”

แว่วเสียงของแม่ปอดังคล้ายกระซิบอยู่ข้างหูและแรงบีบที่ฝ่ามือทำให้ผมต้องย่นคิ้วด้วยความสงสัย ผมเนี่ยนะขี้เซา ไม่ใช่หรอกมั้ง? แม่ปอต้องเข้าใจผิดแน่ๆ

“โอบ โอบลู๊กกตามคุณหมอเร็วว”

ผมกลอกตาไปมาภายใต้เปลือกตาที่ยังปิดสนิทผมคงนอนหลับไปนานแล้วจริงๆ เปลือกตาถึงได้หนักอึ้ง หากสุดท้ายผมก็พยายามจนสำเร็จ แต่แสงจ้าเกินไปทำให้ผมต้องหรี่ตาปิดลงอีกรอบและใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะปรับสภาพได้ ทว่าคนตรงหน้าของผมกลับไม่ใช่แม่ปอ

“สวัสดีครับ”

ผู้ชายวัยกลางคนหล่อคมเข้มในชุดกาวน์สีขาวสะอาด ปักชื่อหน้าอกว่า ‘ผศ.ดร.นพ.เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย’ ถ้าผมจำชื่อไม่ผิด บุคคลคนนี้น่าจะเป็นรุ่นพี่ในตำนานของคณะแพทย์ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นที่นับถือและกล่าวขานกันถึงความหล่อและความเก่งกาจชนิดที่ทำให้วงการแพทย์ของไทยมีการพัฒนาเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

คุณหมอยืนส่งยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน แม่ปอและโอบยืนห่างจากเตียงออกไปเล็กน้อย ทั้งคู่มองมาที่ผม ดวงตาและใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา แม่ปอยกมือขึ้นปิดปากทั้งสองข้างเอาไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ผมอ้าปากจะถามว่าแม่ปอร้องไห้ทำไม? แต่ลำคอแสบเหลือเกินจึงไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมาสักคำ

ในหัวของผมมึนตื้อไปหมด คุณหมอกับคุณพยาบาลตรวจร่างกายภายนอกของผมอย่างละเอียด ก่อนจะชวนผมพูดคุยซักถาม

“คนไข้ชื่ออะไรครับ?”

“เต็มใจครับ เต็มใจ... ฉัตรักษ์บริบูรณ์”

ตอบกลับไปด้วยเสียงแหบแห้ง ผมเว้นระยะครู่หนึ่งก่อนจะตอบนามสกุลด้วยเสียงที่เบาหวิวและแหบพร่า

“คุณเต็มใจจำได้มั๊ยครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”

ผมมองขาข้างขวาของตัวเองที่ถูกห่อหุ้มด้วยวัตถุสีขาวจนหนาเตอะ แขนซ้ายก็เช่นเดียวกัน ผมจำอะไรได้บ้างนะเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ?? ผมหลับตาลงเพื่อคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานรึเปล่านะ?? ใช่แล้วล่ะ เมื่อวานผมกลับจากพัทยา ในรถนอกจากคุณลุงคนขับรถก็มีสีส้ม ออม และก็ผม ตอนนั้นผมกำลัง...

“รอ.. ออพติมัสไพรม์”

คำตอบของผมทำให้คุณหมอเลิกคิ้วเล็กน้อย

“คุณหมอคิดว่าออพติมัสไพรม์จะกลับมาช่วยพวกเรามั๊ย?”

ริมฝีปากของคุณหมอวาดรอยยิ้ม

“ออพติมัสไพรม์เขาต้องออกไปตามหาสิ่งที่จะทำให้ดาวไซเบอร์ตรอนซึ่งเป็นดาวบ้านเกิดของเขาที่ดับสูญไปแล้วให้กลับคืนชีพอีกครั้ง”

ระบายยิ้มให้คุณหมอกับคำตอบที่ได้รับ

“ถ้าดาวไซเบอร์ตรอนกลับคืนชีพได้ ออพติมัสไพรม์ก็จะได้เจอครอบครัวสินะครับ ครอบครัวที่แท้จริงของเขา”

“คงจะเป็นอย่างนั้น”

คุณหมอยังคงระบายรอยยิ้มอ่อนโยน

“คนไข้อยากเจอออพติมัสไพรม์เหรอครับ?”

ผมส่ายหน้า

“อยากจะให้ออพติมัสไพรม์ได้เจอครอบครัวที่แท้จริงของเขา แต่ถ้าหากไม่ได้เจออย่างน้อยก็ขอให้เขาได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาคือใคร.. แค่นั้นครับ”

“ถ้าออพติมัสไพรม์ได้เจอครอบครัวแล้วคนไข้ก็จะตอบหมอได้ใช่มั๊ยครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”

เจอคำถามนี้เข้าไปผมจอดเลยล่ะครับ ผมยอมแพ้ให้กับคุณหมอเปรมนทีป์คนนี้แล้วล่ะ เก่งจริงๆ นะครับ ที่สามารถหลอกล่อผมกลับมายังคำถามเดิมได้ รอบนี้ผมจึงตอบคำถามคุณหมอตามความจริงเท่าที่ผมจำได้ และคำตอบทั้งหมดของผมก็ทำให้แม่ปอและโอบยิ้มกว้างทั้งน้ำตาได้เสียที

เรื่องที่เกิดขึ้นผมจำไม่ได้หรอกครับ คุณหมอนั่นแหละที่เล่าให้ผมฟังว่าทำไมผมถึงได้มานอนอยู่ที่นี่ คุณหมอบอกว่าได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางที่ผมกลับเข้ากรุงเทพฯ คนขับรถพ่วง 18 ล้อที่คาดว่าจะเมายาบ้าขับรถข้ามเลนส์มาประสานงากับรถบรรทุก ซึ่งรถที่ประสบอุบัติเหตุทั้ง 2 คันได้ลื่นไถลไปตามถนนชนกับอื่นๆ อีก 7 คัน โดยมีรถของผมอยู่ในนั้นด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 7 ศพ บาดเจ็บอีกระนาว ผมและคนขับรถนั่งฝั่งที่โดนแรงกระแทกแบบเต็มๆ ส่วนหลานสาวแขนขวาหักและหัวแตกเล็กน้อย ผมมีแผลเต็มตัวจนคุณหมอเองก็ยังจำไม่ได้ว่าเย็บไปทั้งหมดกี่เข็ม แขนหัก ขาหัก หัวแตก และเสียเลือดมาก อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างที่ผมเข้าใจแต่มันคือเมื่อ 4 วันที่แล้วต่างหาก นี่ผมนอนหลับไปถึง 4 วันเต็มๆ เลยเหรอ??

หลังจากที่คุณหมอและคุณพยาบาลเดินออกไปจากห้องผมก็หลับไปอีกรอบ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าวันใหม่ แม่ปอเดินมาทรุดตัวลงนั่งบีบมือของผมเบาๆ เพื่อส่งความห่วงใย ในขณะที่โอบเดินอ้อมมายืนมองผมอยู่อีกข้าง ไม่รู้ว่าไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ตอนนี้โอบสุดหล่อของสาวๆ จึงเหมือนมีแพนด้าเข้าสิง เจ้าตัวยิ้มให้ผม

“ถ้ามึงยังหลับยาวแบบนี้กูคิดว่าจะตามไปกระชากมึงมาจากนรกเองแล้วนะเนี่ย”

“ถ้าอย่างนั้นนรกคงไม่ต้องการกูแล้วล่ะถึงได้ส่งกูกลับมาหามึง”

โอบหัวเราะทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ ถ้าเป็นเวลาปกติหากเราพูดจากันแบบนี้ต่อหน้าแม่ปอเราทั้งคู่คงได้โดนเอ็ดจนหูชาแน่ แต่เพราะแม่ปอมัวแต่ร้องไห้ด้วยความดีใจไม่ว่าผมจะพูดจายังไงแม่ปอก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว

“แม่ปอโทรไปบอกที่บ้านว่าน้องเต็มฟื้นแล้ว ทุกคนกำลังฝ่ารถติดกันมาด้วยความดีใจเลยล่ะ”

“พี่อุ่นลางานมาด้วยเหรอครับ?”

“แน่ละสิ.. น้องเต็มรู้มั๊ยลูกว่าทุกคนเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน?”

พูดไปพูดมาแม่ปอก็ร้องไห้อีกรอบ ใบหน้าที่สวยอยู่เสมอบัดนี้มีแต่ความทรุดโทรม โอบเล่าให้ฟังว่าพอรู้ข่าวจากคุณย่า แม่ปอกับพี่ขวัญก็แข่งกันเป็นลม จนพี่อุ่นต้องขู่ว่าถ้าใครเป็นลมอีกจะไม่ให้กลับไทยมาเยี่ยมผม สองสาวเลยต้องอัดยาดมยาลมยาหม่องแล้วหิ้วสังขารกลับมาไทย เพิ่งมาถึงกันเมื่อวาน มาถึงปุ๊ปพี่ขวัญก็ขออยู่เฝ้าผมคู่กับออมทั้งคืนแล้ววันนี้แม่ปอกับโอบก็มาเปลี่ยนเวรซึ่งผมก็ฟื้นพอดี

“น้องเต็มอยากกินอะไรมั๊ยลูก? แม่ปอจะได้โทรสั่งให้”

ยังไม่ทันจะได้ตอบประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

“อาเต็ม/น้องเต็ม”

ออมกับพี่ขวัญแทบจะถลากระโจนมากอดผม ทั้งคู่ร้องไห้ปานใจจะขาดทั้งๆ ที่ผมก็นอนลืมตาและหายใจอยู่บนเตียง นานแล้วครับที่ผมไม่เห็นหลานสาวร้องไห้ขี้มูกโป่งขนาดนี้ ผมอยากจะกอดพี่ขวัญและลูบหัวปลอบหลานสาวแต่ติดตรงที่มือข้างหนึ่งก็เข้าเฝือกส่วนอีกข้างก็ระโยงระยางด้วยสายน้ำเกลือ ทางเดียวที่ผมทำได้คือนอนนิ่งๆ ให้สาวๆ รุมล้อม จนกระทั่งโดนพี่อุ่นดุเอานั่นแหละครับทั้ง 2 สาวจึงยอมปล่อยผม พี่อุ่นเดินมาจูบหน้าผากตรงที่ว่างจากแผล แล้วกระซิบบอกว่า ‘ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ’

เสร็จจากพี่อุ่นก็เหลือผู้หญิงคนสุดท้ายนั่นคือคุณหญิงแม่ของผมเองครับ ปกติคุณแม่เป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก ไม่เคยให้กาลเวลามาทำร้ายได้ แต่ดูตอนนี้สิครับ ขอบตาคล้ำและบวมช้ำ ใบหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยริ้วรอย คุณแม่มองผมด้วยสายตาที่ห่วงหาอย่างที่สุดจนผมไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้

“ขอโทษครับ”

ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา บุพการีเดินเข้ามาหาผมและลูบศีรษะอย่างถนอม หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าล่วงหล่นบนแก้มของผมแต่ทว่าใบหน้าก็ยังประดับรอยยิ้มเอาไว้

“ไม่ต้องขอโทษหรอกลูก.. แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย”

สองมือที่อุ้มชูผมมาตั้งแต่เด็กเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้ผมอย่างเบามือที่สุด

“ลูกไม่เป็นอะไรแค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว”

ผมยิ้มให้ท่าน เป็นยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

“แม่รักลูกนะ.. น้องเต็มเป็นลูกของแม่.. แม่รักน้องเต็มมากนะลูก”

คำว่ารักจากคุณแม่มันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด มือบอบบางค่อยๆ แตะเนื้อตัวของผม ดวงตาที่ร่วงโรยและแฝงด้วยความรวดร้าวสำรวจรอยแผลบนร่างกายของผมราวกับว่าหากท่านเจ็บแทนผมได้ท่านก็จะยอมทำ

“ผมก็รักคุณแม่ครับ”

อยากจะโอบกอดท่านไว้ด้วย 2 แขน อยากจะก้มลงกราบแนบตัก ความรักและความเมตตาที่เลี้ยงดูผมมาจนเติบใหญ่มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาทดแทนพระคุณนี้ได้อีกแล้ว

คุณพยาบาลเอาอาหารและยาสำหรับมื้อเย็นเข้ามาให้ทำให้คุณแม่ต้องละออกจากผมไปรับอาหารและยาจากคุณพยายาบาลมาจัดการให้ผมเอง ไม่นานนักซันและโบว์ก็มาถึง โบว์ร้องไห้ไปด่าผมไป อีจีอย่างนั้น อีจีอย่างนี้ จนซันต้องกระตุกแขนบอกว่าในห้องนี้มีญาติผู้ใหญ่ของผมอยู่เต็มไปหมดเมื่อนั้นโบว์ถึงได้รู้สึกตัว เปลี่ยนสรรพนามจากอีจีกลับมาเป็นอีเต็ม ซึ่งผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่เลย

ระหว่างอาหารมื้อเย็น ผมมองโอบ ซัน นั่งคุยกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน พี่อุ่นออกไปคุยโทรศัพท์เรื่องงานที่นอกระเบียง พี่ขวัญกับออมคอยตักกับข้าวใส่จานให้ผม และโบว์ ที่กำลังช่วย แม่ปอ และคุณแม่คอยปอกผลไม้ใส่จาน

“คุณพ่อละครับ?”

ถามขึ้นเพราะไม่เห็นมีใครพูดถึงคุณพ่อสักคน และแค่คำถามง่ายๆ ทำไมทุกคนถึงหยุดนิ่งแล้วพากันหลบสายตาของผมกันหมด จนกระทั่งพี่อุ่นที่เพิ่งคุยงานเสร็จเดินกลับเข้ามาในห้องยังเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผมจึงถือโอกาสถามคำถามเดิมกับพี่อุ่นอีกครั้ง

“อ่อ.. คุณพ่อท่านกลัวเห็นหน้าลูกชายแล้วร้องไห้หน่ะ ท่านคงกลัวเสียฟอร์ม”

ใบหน้าอ่อนโยนเสมอของพี่อุ่นระบายรอยยิ้มฝืดเจื่อน เท่าที่ผมจำความได้มีแต่คนบอกผมว่าพี่อุ่นเป็นคนที่โกหกแล้วแม้แต่เด็กอนุบาลยังจับได้ แต่ผมก็ยังยิ้มและพยักหน้ารับ ตอนนี้ผมชักง่วงแล้วสิครับ ผมจึงหลับตาลงแล้วก็คิดว่าบางทีที่บางคนเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ฝันร้ายอาจจะกลายเป็นความจริงได้’ มันคงจะจริงตามนั้นก็เป็นได้นะครับ



.
.
.
.
.
.



TBC...  : 222222:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
มาหยอนระเบิดมาแล้วรีบกินมาม่าให้หมดไว้ๆนะ ใจจะขาดด

ออฟไลน์ lune

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 688
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ทำไม เทมป์ไม่มา และเต็มไม่คิดถึง ถามถึง  :mew2:
 
ทำไมคุณพ่อเต็ม ไม่มาและทุกคนนิ่งๆเงียบกัน  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ o4u0n7

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: พายุกำลังจะโหมกระหน่ำแล้วหง่าาา

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :hao7: :hao7: :hao7:  เต็มไปไหนหว่า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พายุกระหน่ำชัด ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :เฮ้อ:   ขวัญเอ้ย ขวัญมาน้อน้องเต็ม 

จะหมดเคราะห์รึยังเนี่ย


แล้วคุณพ่อ กะ กองทัพไปไหนอ่า ... อย่าทิ้งน้องเต็มน้าาาาา

 :z3: :z3:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
กลัวง่ะ

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
ทำไมเต็มไม่นึกถึงเทมป์ หรือความจำเสื่อมบางส่วน :ling2:

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เพราะเนเนะคนเดียว!!!!

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ทำไมตอน 14 เศร้า ทำเราเสียน้ำตา T^T

ออฟไลน์ Unnie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
คว่ำหม้อมาม่าได้มั๊ย  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
กว่าจะได้รักกัน

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
สีส้มล่ะ มีใครบอกได้ไหมว่าน้องสีส้มเป็นยังไงบ้าง ออมยังแขนหักเลย สีส้มล่ะ เหมียวน้อยตัวอ้วนกลมของเราเป็นอย่างไรบ้าง T^T

ออฟไลน์ มะปรางเปรี้ยว

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 340
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
โอ๊ยยยยยย อะไรเนี่ยยยย ฮืออออ ตะเตือนไต มาต่อไวๆ นะคะ  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Unnie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สีส้มล่ะ มีใครบอกได้ไหมว่าน้องสีส้มเป็นยังไงบ้าง ออมยังแขนหักเลย สีส้มล่ะ เหมียวน้อยตัวอ้วนกลมของเราเป็นอย่างไรบ้าง T^T


ใช่เลย... สีส้มล่ะ?????  :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Wrwrwr

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ติดตามเรื่องนี้ด้วยๆ~

ออฟไลน์ PinkCaramel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มันก็จะมีน้ำตาหน่อยๆ อะค่ะ เป็นห่วงสีส้มมากอะตอนนี้  :mew6:

ออฟไลน์ simpleyaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นี่คือดราม่าสุดของเรื่องใช่มั๊ยคะ หมดแค่นี้ใช่มั๊ยคะ  :ling1:

ออฟไลน์ Wrwrwr

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 163
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นี่มันอะไรกันเนี่ย  :katai4:

ออฟไลน์ r.saranya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมรู้สึกว่านี้เป็นแค่ออร์เดิร์บมาม่า  :ling2:

ออฟไลน์ เด็กดอยดาว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่ๆๆ เดี๋ยววว  :a5:

ออฟไลน์ simpleyaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โง่วววว  :ling1:

ออฟไลน์ RIRIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +492/-2
█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█





┠ 15 ┨







“กองทัพเอ้ย ไคว้เตี่ยน กายชือจ่ายฟ่านเลอ”

เช้านี้คุณย่าตะโกนจากหน้าห้องบอกให้ผมรีบไปกินข้าวเช้าไวๆ ด้วยภาษาจีน ผมอยากจะลุกขึ้นไปตามเสียงเรียกของคุณย่าแต่ทว่าร่างกายของผมมันไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อน

อาทิตย์ที่ผ่านมาเกิดเรื่องมากมายจนผมตั้งรับไม่ทัน หลังจากที่ส่งเต็มขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ผมก็กลับไปดูงานถ่ายทำโฆษณาบริเวณชายหาด ผมโดนพี่นายต่อว่าเรื่องไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าลูกน้องและทีมงาน แต่ด้วยหน้าที่ผมจึงอดทนหน้าด้านอยู่ต่อ

ขณะทำงานผมได้รับโทรศัพท์จากดักแด้ว่ารถของเต็มเกิดอุบัติเหตุและเต็มได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมทิ้งทุกอย่างแล้วรีบตามไปที่โรงพยาบาล ช่วงเวลาที่เฝ้ารออีกฝ่ายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินนั้นยาวนานและทรมานอย่างที่สุด

เต็มเสียเลือดมากและต้องการเลือดโดยด่วน ครอบครัวฉัตรักษ์บริบูรณ์มีกันแค่ 3 คน ออมเองก็ประสบอุบัติเหตุถึงจะไม่ได้สาหัสมากมายแต่สภาพร่างกายไม่พร้อม ในขณะที่ท่านกิตติและคุณหญิงหยดก็ไม่สามารถให้เลือดกับลูกชายได้ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบในเหตุผล เอาเป็นว่าเหลือแค่ผม ดักแด้ พี่ซัน และพี่โบว์ แต่สุดท้ายแล้วเลือดที่สามารถใช้ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียว

พวกเราก็ยังคงนั่งรอฟังอาการกันต่ออีกหลายชั่วโมง จนกระทั่งคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับบอกว่าคนเจ็บพ้นขีดอันตราย แต่ก็ไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยม หลังจากนั้นคุณหมอเชิญท่านกิตติและคุณหญิงหยดเข้าไปพูดคุยเรื่องอาการของคนเจ็บต่อ พี่โบว์จะอยู่เฝ้าออมที่โรงพยาบาล ดักแด้โทรบอกให้รถที่บ้านมารับ  ส่วนผมกับพี่ซันบ้านเราอยู่ทางเดียวกันและอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่จึงตั้งใจว่าจะเรียกแท็กซี่กลับด้วยกัน

ระหว่างที่กำลังจะแยกย้ายผมก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อของผม และยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวหรือตั้งสติ หมัดหนักแบบเต็มแรงก็ซัดเข้ามาเต็มหน้าจนผมล้มลงไปกองกับพื้น กลิ่นเลือดกบไปทั้งโพรงปาก พี่โบว์ร้องกรี๊ดลั่น ดักแด้พุ่งตัวเข้ามาช่วยประคองผม ส่วนพี่ซันรีบเข้าหาคู่กรณีซึ่งก็คือคุณพ่อของเต็ม ในขณะที่คุณหญิงหยดร้องไห้สะอึกสะอื้นจับแขนห้ามปรามสามีไว้แน่น

ดวงตาที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชนมองผมด้วยโทสะที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ผมมั่นใจว่าท่านกิตติจะต้องปล่อยหมัดใส่ผมซ้ำอีกรอบแน่นอน ผมจึงปาดเลือดที่ริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืนมองหน้าท่านกลับโดยไม่คิดจะหลบสายตา

“เต็มใจเป็นลูกชายของฉัน”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ และมั่นคงทุกคำพูด

“ถ้าแกรักเขาก็อย่าคิดทำร้ายและทำลายเขาอีก”

หากใครได้มาเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำและเอ่อไปด้วยหยาดน้ำแล้วจะหมดความสงสัยในทันทีครับว่าว่าเหตุใดชายชาติทหารผู้เคยเป็นถึงผู้นำกองทัพของประเทศถึงใช้กำลังทำร้ายผมแบบนี้ หมัดที่ท่านปล่อยใส่ผมเมื่อครู่ไม่ใช่การคิดร้าย ข่มขู่ แบบนักเลงโตแต่อย่างใด ทว่ามันเป็นความทรมานที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของคนเป็นพ่อต่างหาก และเหตุผลเดียวที่ท่านโกรธผมขนาดนี้อาจจะเพราะคุณหมอได้รายงานผลการตรวจร่างกายของเต็มให้ท่านฟังโดยละเอียด ซึ่งขณะประสบอุบัติเหตุสภาพของเต็มก็ไม่ได้ต่างจากโดนข่มขืนแม้แต่น้อย ถ้าเป็นจริงอย่างคิดโดนต่อยแค่นี้ก็ยังถือว่าน้อยมากเพราะถ้าหากเป็นผมคงจะทำมากกว่าต่อยและมากกว่ากระทืบด้วยซ้ำ
 
‘อย่ามาเจอและอย่าติดต่อลูกชายของฉันจนกว่าฉันจะอนุญาต’ นั่นคือประโยคสุดท่ายที่ท่านกิตติทิ้งไว้ให้ผมได้กลุ้มอกกลุ้มใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยิ่งกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในหอพัก ห้องที่ไม่มีสีส้มว่าเงียบแล้วแต่ห้องที่ไม่มีเต็มมันเงียบเหงามากยิ่งกว่า ผมไม่ควรจะปล่อยให้เต็มใจกลับกรุงเทพฯ ก่อน ผมควรจะรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่ออีกสักหน่อยบางทีเรื่องร้ายๆ แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น

“เฮ้ออ”

ถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ออมเพิ่งมาเรียนเมื่อวานเป็นวันแรกแต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากเพราะดูเหมือนว่าออมจะยังหวาดกลัวเรื่องอุบัติเหตุ ผมอยากจะไปเยี่ยมเต็มที่โรงพยาบาล อยากโทรหา อยากเห็นหน้า แต่ถ้าหากผมยังดื้อแบบไม่ใช้สติโผล่ไปให้ครอบครัวของเต็มเห็นหน้าอีกหรือติดต่ออีกฝ่ายอย่างใจคิด บางทีผมอาจจะต้องสูญเสียคนรักไปอย่างแน่นอน

“ยังโกรธพี่นายกับแม่อยู่รึไง?”

สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงของคุณปู่ ไม่รู้ว่าท่านเข้ามาในห้องและยืนมองผมด้วยสายตาผิดหวังตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง

“พ่อของแกไม่ใช่คนโง่ ปู่กับย่าเลี้ยงมันมาเองกับมือทำไมจะไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นคนยังไง”

คุณปู่เดินไปนั่งตรงโซฟาข้างหน้าต่างแล้วเอ่ยเกี่ยวกับงานที่มีปัญหาจนโดนพี่นายตำหนิและทำให้คุณแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เอาตามตรงผมเองก็เครียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เท่ากับเรื่องของหัวใจ ผมเลือกที่จะเงียบแล้วเดินไปนั่งบนพื้นเอาหัวซบลงบนเข่าของคุณปู่ ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวของผมด้วยความเอ็นดู

“เด็กคนนี้โตขึ้นจะต้องเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและกล้าหาญ ตอนท่านกิตติตั้งชื่อให้หลานท่านพูดไว้แบบนี้”

ท่านตบแผ่นหลังของผมหนักๆ ถูกต้องแล้วครับ ชื่อของผมกับพี่นายนั้นท่านกิตติเป็นคนตั้งให้

“เย่า หย่งกั่น.. ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าหัวใจตัวเองหรอก”

ฝ่ามือใหญ่เปลี่ยนจากตบแผ่นหลังมาลูบหัว คุณปู่เน้นย้ำคำภาษาจีนที่แปลว่า ‘ต้องกล้าหาญ’ ราวกับเป็นคำอวยพรให้ผมชนะต่อทุกสิ่ง

“ไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปกินข้าว อย่าให้พ่อเขารอ”

"คุณพ่อมาเหรอครับ?"

“อืม รีบๆ เข้าล่ะ อย่าให้ย่าแกบ่นมากกว่านี้.. เถ่าเยี่ยน”

คุณปู่โบกมือไปมาประกอบคำว่า ‘น่ารำคาญ’ เป็นภาษาจีน ผมจึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วตามคุณปู่ออกไปที่ห้องอาหาร

ผมยกมือไหว้คุณพ่อ ปกติถ้าคุณพ่อว่างก็มักจะมาทานข้าวเช้าหรือไม่ก็มื้อเย็นกับคุณปู่คุณย่าเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง บางทีพี่นายก็แวะมาด้วย ยกเว้นคุณแม่ไม่เคยเหยียบมาที่นี่เลย เท่าที่ผมจำความได้อะนะ

อาหารมื้อเช้าที่คุณย่าลงมือทำในวันนี้เป็นเมนูของโปรดผมเลยล่ะ คุณย่าคงจะเห็นว่าช่วงนี้ผมทานอะไรไม่ค่อยลงจึงพยายามทำอาหารที่ผมชอบ แม้พวกเราจะมีเชื้อสายจีนแต่ก็ชอบความเป็นไทยอย่างที่สุด ซึ่งดูได้จากบ้านทรงไทยหลังนี้นี่แหละครับ

“เป็นไงเรา ได้ข่าวไปก่อเรื่องไว้เหรอ? แม่เขาตามไปฟ้องพ่อถึงที่บริษัทเลยนะ”

ระหว่างมื้ออาหารคุณพ่อก็พูดเรื่องเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วขึ้นมา แต่ท่านพูดเหมือนติดตลกมีหัวเราะขำเบาๆ ตอนท้ายด้วย

“ผมขอโทษครับคุณพ่อ”

“ขอโทษที่ไม่ระวังตัวจนพ่อเกือบเสียสมดุลให้ต่างชาติใช่มั๊ย?”

เรื่องนี้ไม่ตลกสักนิดครับ และในความทรงจำของผมมีเพียงเต็มใจ เต็มใจ และเต็มใจ เต็มจนล้นหัวใจไปหมด คิดถึงแทบจะทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ และดูเหมือนว่าคุณพ่อจะจับความรู้สึกของผมได้ท่านจึงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ

“เมื่อวานพ่อไปเยี่ยมน้องเต็มที่โรงพยาบาล น้องเต็มอาการดีขึ้นก็จริงแต่ก็คงต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน อ่อ.. น้องเต็มถามถึงลูกด้วยนะ”

หูของผมผึ่งและหัวใจที่แห้งเหี่ยวกลับมาเต้นรัวเร็วให้อารมณ์และความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ผมมองคุณพ่ออย่างคาดหวัง ท่านอมยิ้มแล้วเหลือบสายตาไปมองคุณปู่คุณย่าเล็กน้อย

“น้องเต็มถามว่า... ‘กองทัพตายไปแล้วเหรอครับคุณอาดิษฐ์?’ ถามต่อหน้าคุณหญิงหยดเลยล่ะ”

เหมือนมีใครเอามีดมาจ้วงในอกด้านซ้ายดัง ‘ฉึก’ เจ็บฉิบหาย... แต่ทำไมคุณพ่อและคุณปู่คุณย่าพากันหัวเราะร่วนราวกับฟังเรื่องตลกแบบนั้นล่ะครับ??

“ก่อนจะกลับ พ่อก็เลยถือโอกาสคุยกับคุณหญิงเรื่องของลูกกับน้องเต็มเสียเลย พูดตามตรงพ่อก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่หรอกนะเกี่ยวกับความรักแบบนี้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อลูกมั่นใจว่ารักจริงแล้วเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว พ่อเลยพูดทาบทามเอาไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างพ่อก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูน้องเต็มมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะ”

ที่ผมเงียบไม่ใช่กำลังดื่มด่ำกับอาหารอยู่หรอกนะครับ แต่เงียบเพราะกำลังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยคิดและรู้มาก่อนเลยว่าคุณพ่อที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นงานนั้นจะรับรู้ปัญหาและเข้าใจผมถึงเพียงนี้ ราวกับว่าในจุดที่ผมมองไม่เห็นนั้นท่านได้คอยมองผมอยู่ตลอดเวลา

“แล้วคุณหญิงท่านว่ายังไงบ้างล่ะลูก?”

คุณย่าถามด้วยความใคร่รู้

“ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ คุณหญิงท่านรักน้องเต็มมากแม้ว่าจะยังไม่ยอมรับแต่ก็คงจะให้น้องเต็มเป็นคนตัดสินใจ แต่ปัญหาอยู่ที่ท่านกิตติมากกว่า ด่านนี้ยากหน่อยคงต้องให้คุณพ่อกับคุณแม่ช่วยออกหน้าแทนหลานด้วย”

ผมเปลี่ยนสายตาไปมองคุณปู่แทนครับ ท่านพยักหน้าน้อยๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง

“ท่านกิตติท่านเป็นชายชาติทหาร ชอบอะไรตรงไปตรงมา รักก็คือรัก ไม่ใช่ลักลอบ การที่เราเดินไปหาท่านและแสดงให้ท่านเห็นถึงความจริงใจนี่แหละดีที่สุด.. ปู่เองก็เห็นด้วย”

บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นยังไงไม่มีใครรู้แต่ที่ผมรู้ก็คือ....   

“ขอบคุณนะครับคุณปู่ คุณย่า.. คุณพ่อ”

ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นกราบลงบนหน้าขาของผู้ที่เป็นแสงสว่างที่ส่องทางออกให้ผมทีละคน คุณปู่หัวเราะชอบใจแล้วบอกให้ผมกินข้าวเยอะๆ จะได้มีแรงไปหาแฟนเพราะช่วงบ่ายคุณปู่กับคุณย่าจะไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาล ผมรู้แล้วล่ะครับว่าอาการดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นยังไง และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่และต้องการความเข้าใจจากพวกท่านเหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละครับ


.
.
.
.



ตลอดช่วงเช้าจนถึงเที่ยงผมขลุกอยู่แต่ในครัวเพื่อจะทำเมนูเพื่อสุขภาพไปให้อีกฝ่ายที่โรงพยาบาล พวกคุณไม่รู้กันใช่มั๊ยว่าผมเก่งเรื่องการทำอาหารด้วยนะครับ ครบสูตรความเพอร์เฟคเลยใช่มั๊ยล่ะ? เรื่องอาหารเนี่ยผมได้ครูดีอย่างคุณย่าล้วนๆ ครับ ท่านเลี้ยงผมมาเองกับมือ เวลาเข้าครัวทีไรก็หนีบเอาผมเข้ามาด้วย มันจึงซึมซับมาตั้งแต่เด็ก แต่นานทีปีหนผมจะลงมือทำอาหารเองส่วนใหญ่จะเน้นช่วงโอกาสพิเศษเท่านั้น

ผมตั้งใจจะทำซุปสี่กษัตริย์ หลังจากสำรวจวัตถุดิบในครัวหลวงของไทเฮาจูแล้วก็พบว่ามีครบครันและเหลือเฟือ ดังนั้นก็ลงมือได้ ส่วนประกอบที่สำคัญของซุปสี่กษัตริย์สูตรนายกองทัพก็คือหอยเป๋าฮื๊อ ตังก๋วย กระเพาะปลาสด และผักขมห่อกุ้ง ซึ่งผมใช้ผักขมแทนแผ่นแป้งห่อกับเนื้อกุ้งจะได้เป็นเกี๊ยวหยกเพื่อสุขภาพ ส่วนตัวน้ำซุปนั้นผมปรุงให้มีรสชาติอ่อนๆ เบาๆ แต่เน้นหอมกลมกล่อม และที่เติมไม่ยั้งก็คือความตั้งใจและความรักนี่แหละครับ

เอาละ อาหารพร้อม คุณปู่คุณย่าก็พร้อม ผมเองแม้จะตื่นเต้นจนเหงื่อแตกพลั่กแต่ก็โคตรพร้อม เพราะฉะนั้นออกเดินทางได้ครับ
ถึงจุดหมายตอนบ่าย 2 โมงเศษ ผมสวนทางกับพี่ซันและพี่โบว์ที่กำลังจะกลับตรงล็อบบี้ของโรงพยาบาลพอดี เราหยุดทักทายกันเล็กน้อยครับ พี่ซันเป็นคนพูดน้อยแต่ผมรู้ว่าพี่ซันเป็นคนดีมากๆ รุ่นพี่ตบไหล่ให้กำลังผม ส่วนพี่โบว์นั้นไม่ต้องพูดเลยครับรายนี้เข้าใจ รู้ใจ และเดาใจผมถูกแทบจะทุกอย่าง บางทีผมก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าพี่โบว์เชี่ยวชาญด้านโหราหรือไสยศาสตร์อะไรทำนองนี้รึเปล่า??

ห้องพักผู้ป่วยของคนที่จะมาเยี่ยมอยู่ชั้น 8 ห้องที่ 8 ออมเป็นคนเดินมาเปิดประตู ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยที่เห็นผมแต่แค่แว่บเดียวเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นอมยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมชักจะเสียวสันหลังวูบวาบขึ้นมาทันที

ภายในห้องพักผู้ป่วยตกแต่งและหรูหราจัดแบ่งโซนของระหว่างเตียงคนไข้และคนเฝ้าไข้ มีเคาท์เตอร์ครัวเล็กๆ  และชุดโซฟาไว้รับรองคนที่มาเยี่ยม วันนี้คนที่เฝ้าไข้เป็นออม คุณแม่ปอ และคุณอาขวัญครับ พวกท่านดีใจมากที่ได้เจอคุณปู่คุณย่าของผม โดยเฉพาะคุณอาขวัญที่แทบจะก้มลงกราบเท้าแต่โดนคุณปู่ห้ามเอาไว้เสียก่อน และเมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอคุณอาขวัญก็เชิญคุณปู่คุณย่าไปที่เตียงคนไข้ซึ่งมีผนังกั้นเอาไว้ ซึ่งทันทีที่ผมได้เห็นคนบนเตียงนอกจากความรู้สึกของความห่วงหา คิดถึง ก็มาพร้อมกับคิ้วของผมก็กระตุกแบบฉับพลัน

“ไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอกลูก.. ลุงกับป้าแค่จะมาเยี่ยม”

คนเจ็บพยายามจะลุกขึ้นนั่งและยกมือไหว้คุณปู่คุณย่าของผม แต่ติดที่แขนและขาก็เข้าเฝือกหนา แขนที่เหลืออีกข้างก็มีสายน้ำเกลือ บนหัวมีผ้าก๊อตพันเต็มไปหมด ใบหน้ายังคงซีดเซียว ไม่ได้เจอกันแค่อาทิตย์เดียวอีกฝ่ายผอมลงไปมากจนน่าตกใจ ออมเคยบอกว่าอาการภายนอกดีขึ้นเยอะก็จริงแต่ก็ยังมีอาการปวดหัวและเจ็บแน่นตรงหน้าอก บางครั้งก็หายใจติดขัด เพราะเหตุนี้คุณหมอจึงต้องให้อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะ

ผมยืนมองคุณปู่คุณย่าถามไถ่อาการคนเจ็บด้วยความห่วงใยอยู่ครู่ใหญ่ คุณอาขวัญกับแม่ปอก็เชิญคุณปู่คุณย่าไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านคาเฟ่ตรงชั้นล่างของโรงพยาบาล และเมื่อพวกผู้ใหญ่ออกจากห้องไปหมดแล้วผมจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟา

“จะมาหึงทำพ่องอะไรตอนนี้?”

เพื่อนสาวใช้แขนที่ไม่เข้าเฝือกเท้าสะเอวมองผม ก็จะไม่ให้หึงและน้อยใจได้ยังไงละครับ ภาพแรกที่ผมเห็นก็คืออีกฝ่ายนอนดูทีวีอยู่บนเตียงโดยที่ข้างๆ มีใครบางคนที่ผมไม่คุ้นหน้าและไม่เคยรู้จักมาก่อนนอนเบียดอยู่ข้างกัน พอคุณปู่คุณย่าของผมเข้าไปผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ลงจากเตียง ซึ่งตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนนี้คนๆ นั้นก็ยังคงประคบประหงมเอาอกเอาใจกันไม่ห่าง ในขณะที่ผม... แค่จะปลายตามามองบ้างยังไม่มี

“เฮ้.. นี่เอามาให้อาเต็มรึเปล่า?”

ออมชี้ไปที่กล่องใส่อาหารแบบเก็บความร้อนโชว์ให้ผมดู ผมพยักหน้าตอบว่า ‘ใช่’

“อะไรเหรอ?”

“ซุปสี่กษัตริย์”

“ทำเอง?”

“อืม”

“เฮ้ย! แล้วทำไมไม่เอาไปให้อาเต็มเล่า? ในตู้นั่นมีถ้วยชามช้อนครบชุดเลยนะ”

พูดจบออมก็เดินไปเปิดตู้เล็กๆ ให้ผมดู ซึ่งมีของใช้ตามที่ออมบอกครบถ้วนครับ ออมมองหน้าผมแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหยิบถ้วยช้อนในตู้ออกมา ทำเอาผมต้องรีบเข้าไปช่วยเพราะกลัวเพื่อนรักจะเทกระจาด และก็เข้าทางออมครับ เจ้าตัวออกคำสั่งให้ผมเทซุปลงถ้วยเสร็จสรรพด้วยเลย

“โคตรหอมและน่ากินเลยอะ อาเต็มต้องชอบแน่ๆ นี่ที่บ้านก็เครียดอยู่เพราะอาเต็มกินอะไรไม่ค่อยได้ ถ้านายทำให้อาเต็มกินซุปหมดนี่คุณย่าคงจะใจอ่อนลงไปกว่าเดิมอีกเยอะเลยนะเนี่ย”

ถาดอาหารถูกเลื่อนมาตรงหน้า แต่ทว่าเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังอยู่ในตอนนี้ทำให้อยากจะลุกหนีไปเสียไกลๆ

“นั่งบื้ออยู่ทำไม? ยกไปให้อาเต็มสิ”

ดวงตากลมโตมองจ้องผมอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ออมรู้ว่าผมค่อนข้างจะเป็นคนอ่อนไหวในเรื่องแบบนี้และตอนนี้ผมกำลังรู้สึกยังไง แต่ออมก็ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยัดเยียดถาดอาหารใส่มือแล้วตะคอกเสียงดัง

“รับไป!”

เพื่อนหรือแม่ครับเนี่ย ดุจริงๆ ออมส่งยิ้มให้ผมพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตรงหางตาให้ อ่า.. ผมร้องไห้เหรอเนี่ย??

“หน้าด้านเข้าไว้”

แผ่นหลังของผมโดนผลักให้เดินไปด้านหน้า และทันทีที่ผมปรากฎตัวขึ้นใบหน้าของคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ระบายรอยยิ้ม ฝ่ายนั้นยืดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงคนไข้แล้วมองมาที่ผมครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาจากผมแล้วหันกลับไปถามคนเจ็บที่นอนดูทีวีนิ่งๆ อยู่บนเตียงด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดีเยี่ยมว่า ‘ผมคือใคร?’

“ฮูอิซฮี?”

คำตอบก็คือความนิ่งเงียบไม่มีแม้แต่จะหันมามองกันสักนิด ผมอยากจะตอบแทนว่า ‘ผัว’ ก็จุกในอกซะเหลือเกิน เสียงออมกระซิบเป็นทัพหลังบอกว่า ‘เดินเข้าไปเลย หน้าด้านๆ’ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกเพื่อเรียกพลัง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปวางถาดซุปลงบนโต๊ะรถเข็น ปรับระดับให้พอดีแล้วเลื่อนให้คร่อมเตียงคนเจ็บ แค่เอาหมอนวางดันหลังคนบนเตียงไว้ก็จะพอดีกับโต๊ะ

“ทำซุปมาให้.. ลองกินดูสิ”

อารมณ์ในตอนนี้มันทำให้คิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ

“ว้าว.. อิทลุคส์ยัมมี่”

คนที่ตื่นเต้นและพูดว่า ‘มันน่าอร่อยจังเลย’ เป็นภาษาอังกฤษแบบนี้ก็คงมีแค่คนเดียวแหละครับ หนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของผม นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในโรงพยาบาลผมคงได้กระชากใบหน้ากวนๆ คล้ายแพนด้านั่นมาต่อยสักหมัดแล้วตะโกนใส่หน้าว่า ‘เสือก!’ แต่ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น

หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง มองไอ้คนชอบเสือกพล่ามไม่หยุดแถมยังเสนอหน้าป้อนซุปที่ผมทำมาเองกับมือให้คนเจ็บคำแล้วคำเล่า ผมถอนหายใจหนักๆ หนีสายตาจากภาพตรงหน้าไปมองหน้าจอทีวีแทน แค่เห็นน้องหมาวิ่งไปมาผมก็รู้แล้วว่ามันคือหนังเรื่องอะไร ครั้งหนึ่งดักแด้เคยชวนผมกับออมไปดูหนังเรื่องนี้แต่ผมก็เลือกที่จะไปดักรอใครอีกคนแทน

ภาพในจอคงเพิ่งจะดำเนินเรื่องมาได้แค่ไม่นาน เป็นเรื่องของวิญญาณของสุนัขตัวหนึ่งจุติความรู้สึกขึ้นและค้นพบว่า เมื่อมันตายจากร่างหนึ่งมันจะเกิดใหม่ในร่างใหม่แต่ความรู้สึกและความทรงจำยังคงเหมือนเดิม มันเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต การเกิด การอยู่และการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ จนกระทั่งมันไปเกิดในร่างของหมาพันธุ์ โกลเด้น ชื่อว่า เบลีย์ สัตว์เลี้ยงคู่ใจของเด็กชายชื่อว่า อีธาน ทั้งสองเติบโตและผ่านปัญหามาด้วยกัน จนกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตหมาของเบลีย์ หลังจากมันตาย มันเกิดใหม่อีกครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มันจะลืมอีธาน และเป้าหมายของมันคือ การกลับมาได้พบกับอีธานอีกครั้ง ดูหนังจบแล้วย้อนกลับมาดูตัวเอง.. แล้วผมล่ะ? สีส้มจะตามหาผมและเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งรึเปล่า?

มัวแต่นั่งดูหนังเพลินไปหน่อย หันกลับมาอีกครั้งคนบนเตียงก็หลับไปแล้ว แถมยังนอนตะแคงหันหลังให้ผมอีก แต่นั่นก็ไม่สำคัญไปกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนเดิมบังอาจมาลูบศีรษะเมียผมด้วยท่าทางอย่างอ่อนโยน ฝ่ายนั้นยิ้มให้ผมจะเรียกว่ายิ้มเยาะก็ได้นะครับ แต่ผมก็ยังหน้าด้านหน้าทนและหน้านิ่งต่อไป

ผ่านไปหลายสิบนาทีผมลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ออมเดินมาบอกผมว่าจะลงไปหาอะไรกินกับพวกผู้ใหญ่ที่ด้านล่างของโรงพยาบาล เธอจึงฝากอาเต็มของเธอไว้กับผม

“ไม่จำเป็นมั้งออม.. อาเต็มของออมมีคนดูแลดีอยู่แล้วนี่นา”

“นายกับพี่โอบมันเหมือนกันซะที่ไหนเล่า?”

คำตอบของออมทำให้ผมยิ่งอ่อนอกอ่อนใจ แต่ชื่อโอบนี่มันคุ้นๆ อยู่นะ เคยได้ยินที่ไหนหว่า? แต่ช่างเถอะครับ ผมไม่ได้สนใจไอ้หมอนั่นอยู่แล้ว

ออกมาจากห้องน้ำก็ไม่มีใครอยู่แล้วครับนอกจากคนเจ็บที่นอนหลับอยู่บนเตียง ผมกวาดสายตามองหาไอ้ตัวเสือกก็ไม่เจอ แต่ก็ช่างเถอะครับ ไม่อยู่หน่ะดีแล้ว ผมนั่งลงที่เดิมแล้วมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่แง้มผ้าม่านเอาไว้เล็กน้อย แสงแดดยามบ่ายยังร้อนแรงเหมือนตอนเที่ยงไม่มีผิด อากาศร้อนๆ แบบนี้สีส้มมักจะนอนอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ด้วยท่าทางที่สบายอบนเบาะอันโปรด..

ครืดๆ

ล้วงหยิบไอโฟนที่สั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดอ่านข้อความจากคุณปู่ ข้อความสั้นๆ ระบุว่า ‘คืนนี้อยู่เฝ้าน้องเต็มด้วย’ นี่คุณปู่คุณย่าไปทำสัญญาอะไรกับผู้ใหญ่บ้านโน้นครับเนี่ยเขาถึงได้ปล่อยไข่ในหินให้อยู่กับผมแค่สองคน แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ผมก็ต้องทำตามจริงมั๊ยละครับ

ปิดข้อความ แล้วนั่งไล่ดูรูปตั้งแต่เจอสีส้มวันแรก เจ้าแมวตัวเล็กผอมกะหร่องมอมแมมหวาดกลัวต่อทุกสิ่งค่อยๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนกลายเป็นแมวอ้วนจ้ำม่ำขนฟูสุขภาพดี.. ยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึง ผมจึงเก็บไอโฟนกลับเข้าที่เดิมแล้วฟุบหน้าลงบนเตียง ไม่นานนักก็เผลอหลับไป ผมฝันว่ามีสัมผัสนุ่มนิ่มแตะตรงแก้มและมันก็ทำให้ผมนึกถึงสีส้ม ทุกเช้ามันจะมาเลียผมตรงแก้มเพื่อปลุกผมให้ตื่น

“สีส้ม?..”

สะดุ้งตื่นแล้วรีบมองหาเจ้าแมวอ้วน แต่พบเพียงความว่างเปล่า.. ผมมองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มราวกับจะบอกให้ผมรู้ว่าสีส้มมองผมอยู่จากบนนั้น ผมใช้มือขยี้หน้าตาตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ได้รู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองผมอยู่ แถมตรงหน้าก็มีชุดอาหารสำหรับมื้อเย็นพร้อมยาที่คุณพยาบาลคงจะเข็นเข้ามาวางไว้ให้ตอนที่ผมหลับไป

“สีส้มทำไม?”

เป็นคำถามที่รู้คำตอบแต่กลับไม่อยากจะเอ่ยมันออกมา ผมเบี่ยงสายตาไปมองผืนฟ้ายามเย็นที่ถูกฉาบไปด้วยสีส้มอีกครั้ง

“อยู่ตรงนั้นไง..”

อีกฝ่ายเบนสายตาตามผม เราเงียบไปด้วยกันทั้งคู่ เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินบอกเวลาอย่างชัดเจนและนานเสียจนแสงสีส้มเริ่มจางหายและถูกแทนที่ด้วยสีของรัตติกาล

“สีส้มคงกำลังหลงทางอยู่”

ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงแหบพร่า

“ถ้าหมั่นเรียกหาสีส้มบ่อยๆ สีส้มก็จะคงจะหาทางกลับบ้านได้”

เสี้ยวหน้าของคนพูดดูสงบและหดหู่เสียจนความเศร้าที่อยู่ในหัวใจของผมแทบจะเอ่อทะลักล้นออกมา ทว่าไม่นานใบหน้าซีดเซียวหันมามองหน้าผม และมอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นให้

“สีส้มรักทาสของมันจะตายไป ยังไงก็ต้องหาทางกลับมาหาทาสของมันเจอ”

มันเป็นคำพูดปลอบใจที่ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งที่กำลังเศร้า ผมพูดว่า ‘นั่นสินะ’ ใครจะไปรู้ว่าบางทีสีส้มมันอาจจะเหมือนน้องหมาในหนังที่ดูในวันนี้ก็ได้

V
V
V
V
V
V

มีต่อด้านล่างอีกนิดนึงนะคะ

ออฟไลน์ RIRIN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +492/-2
ผมยื่นมือตั้งใจจะเกลี่ยแก้มนิ่มที่คิดถึง แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะได้แตะโดนผิว อีกฝ่ายก็เบี่ยงหน้าหลบเสียก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงจะยังงอนผมอยู่แน่นอน

“จะเข้าห้องน้ำ”

คนพูดพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ผมจึงรีบเข้าประคองช่วยให้อีกฝ่ายลงจากเตียง ข้างหนึ่งใช้ไม้ค้ำ อีกข้างมีผมโอบรอบเอวพร้อมกับลากเสาน้ำเกลือไปจนถึงห้องน้ำ

“ออกไปสิ”

“แล้วจะถอดกางเกงยังไง ถอดมือเดียวได้เหรอ?”

เล่นสงครามทางสายตากันครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็ยอมแพ้เพราะคงจะปวดฉี่

“รีบๆ เข้า”

พูดด้วยน้ำหนักเสียงเบาหวิว แล้วรีบสะบัดหน้าไปอีกทาง นี่จะมาอายอะไรกันเนี่ย?

ผมยกยิ้มให้กับความน่ารักนั่นแล้วก็ช่วยปลดเชือกผูกตรงเอว แน่นอนครับว่าภายใต้ชุดของโรงพยาบาลไม่มีอันเดอร์แวร์สักชิ้น มือบางกุมเอวกางเกงไว้แน่นแล้วบอกให้ผมหันหน้าไปทางอื่น นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังเจ็บอยู่ผมคงได้ช่วยรีดน้ำให้อีกฝ่ายเบาตัวแล้วล่ะครับ

ทำธุระเสร็จก็ประคองกลับมาที่เตียง เดินไปดูอาหารในถาดที่เย็นชืดไปหมดแล้ว ผมจึงเอาไปอุ่นด้วยไมโครเวฟพลางตรวจเช็คยาว่าต้องทานยังไง ก่อนหรือหลังอาหาร ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่คุณหมอและคุณพยาบาลเดินเข้ามาในห้องเพราะได้เวลาตรวจอาการของร่างกายในช่วงเย็น

ผลการตรวจของวันนี้คุณหมอยังคงให้เฝ้าระวังเรื่องปวดหัว ปวดหน้าอกและหายใจติดขัด หากมีอาการดังกล่าวให้รีบกดปุ่มฉุกเฉินตรงหัวเตียงทันที ผมรับทราบและรอจนคุณหมอและคุณพยาบาลเดินออกจากห้องผมจึงกลับไปจัดการอาหารเย็นและยาให้คนบนเตียงต่อ เสร็จแล้วจึงยกวางบนโต๊ะเลื่อนปรับทั้งโต๊ะและเตียงรวมถึงท่านั่งของคนเจ็บให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด

“กินเยอะๆ จะได้หายไวๆ”

คนรักแขนหักนะครับเพราะฉะนั้นผมต้องป้อนสิครับรออะไร แต่นอกจากริมฝีปากสีซีดจะเม้มแน่นกว่าเดิม ดวงตาคู่เรียวตวัดมองผมซะจนเสียวสันหลังวูบ

“โง่.. ขี้ขลาด”

ง่ายๆ สั้นๆ และได้ใจความ แต่เขาว่าเมียด่าแปลว่าเมียรักไม่ใช่เหรอครับ ยอมรับว่าผมก็โง่และขี้ขลาดจริงๆ นั่นแหละที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องของเรายังไง ผมโง่ที่มองข้ามความรักจากคุณปู่คุณย่าและคุณพ่อเอาเป็นว่าตอนนี้ผมฉลาดขึ้นมาแล้วล่ะครับ

“โนบิตะสอนให้รู้ว่า.. ต่อให้โง่แค่ไหน ก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่ารักเดียวใจเดียวต้องทำยังไง..”

ยักคิ้วให้อีกฝ่ายที่กลอกตามองบน แต่ก็แอบมีอมยิ้มด้วยนะครับ

“ซุปหมดแล้วเหรอ?”

แหน่ะ เขินแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเฉยเลย..

ผมเดินกลับเข้าไปในครัวอีกรอบเพื่อเอาซุปสี่กษัตริย์ที่เหลือออกมาอุ่นแล้วยกไปเสิร์ฟคนบนเตียง ดีใจนะเนี่ยที่ถูกปากคนรักแบบนี้คงต้องหาเมนูบำรุงร่างกายมาให้กินบ่อยๆ ส่วนอาหารของโรงพยาบาลผมจัดการเองครับ ขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมคนเจ็บนี่แหละ กินไปป้อนไปโคตรโรแมนติคเลยใช่มั๊ยละ

“คุณพ่อหมัดหนักรึเปล่า?”

ไม่ตอบครับแต่ชี้รอยช้ำตรงมุมปากที่ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ยังมีรอยให้เห็นอยู่ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนี้อีก

“ว่าแต่ไอ้ผู้ชายที่พูดมากและชอบเสือกคนนั้นอะใคร?”

ขอโหมดผมโหดบ้างนะครับ ไม่ต้องมาทำตาใสเอียงคอใส่เลย ไม่ตลกนะครับคุณเมีย

“โอบไง”

โอบพ่องดิ! นี่คือสบถแค่ในใจนะครับ แต่ที่แสดงออกก็แค่ขมวดคิ้วมุ่นและหรี่ตาลงเท่านั้น ยังไงก็ต้องเค้นความจริงออกมาให้ได้ ผมตั้งท่าอ้าปากจะยิงอีกคำถาม แต่...

“เอาเป๋าฮื๊อ”

ห๊ะ?! ดวงตาคู่เรียวกระพริบปริบๆ มองหน้าผมสลับของกินในถ้วย อ่อๆ จ่ะๆ จะรีบป้อนหอยเป๋าฮื๊อเดี๋ยวนี้แล้วจ่ะ อ้ามมม อีกฝ่ายเคี้ยวแก้มตุ่ยแถมยังยิ้มหวานให้ผมจนตาหยีอีก แม้ผิวจะซีดแก้มจะตอบไปสักหน่อยแต่ก็ไม่อาจบั่นทอนความน่ารักลงไปได้เลยสักนิดเดียว

“ไว้พรุ่งนี้เทมป์จะทำเมนูอร่อยๆ มาให้กินอีกนะ”

คนน่ารักพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะอ้าปากรับอาหารที่ผมป้อนอีกรอบ กินไปคุยไปป้อนไปแป๊ปเดียวก็ของกินบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง จากนั้นก็ให้กินยาและพักผ่อน

ขณะที่ผมกำลังหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาดื่ม.. ผมมีความรู้สึกว่าผมลืมอะไรบางอย่างไป?? ลืมอะไรหว่า??? เหมือนว่าจะคุยเรื่องอะไรค้างไว้รึเปล่า?? ผมหันไปมองคนที่นั่งจุมปุ๊กอยู่บนเตียง ฝ่ายนั้นก็หันมามองผมพอดิบพอดี เราสบตากัน ผมอ้าปากจะถามแต่ริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามวาดเป็นรอยยิ้มเสียก่อน

“เต็มอยากไปสูดอากาศตรงระเบียงอะ”

“อ.. อ่อ ได้สิ”

ได้หมดถ้าสดชื่นครับที่รัก..



.
.
.
.



TBC.....  : 222222:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด