█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 22 ┨
สีส้ม.. กลับมาแล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีอีกหนึ่งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั่นคือต้องป้อนยาบำรุงสิ่งมีชีวิตสี่ขาตัวจ้อย ที่ผมกับเทมป์พร้อมใจกันตั้งชื่อมันว่า
‘สีส้ม’ ด้วยเหตุผลที่ว่านอกจากสีและลายของขนจะเป็นสีส้มสลับขาวแล้วยังมีแต้มสีน้ำตาลส้มตรงจมูกเหมือนสีส้มตัวเดิมจนแทบจะเป็นตัวเดียวกัน และที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือเจ้าตัวน้อยดูจะคุ้นเคยกับอุปกรณ์และของเล่นทุกอย่างที่สีส้มตัวเดิมทิ้งไว้ นี่ถ้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกันผมคงคิดว่าเป็นตัวเดียวกันแน่ๆ
จัดการสีส้มเสร็จผมจึงอาบน้ำเตรียมไปเรียน ขณะที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อนักศึกษาผมหันไปมองคนที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง จนเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปนั่งลงข้างเตียง ใช้หลังมืออังหน้าผากวัดอุณหภูมิ แพขนตาหนาขยับลืมขึ้นมองผม
“ปวดหัวมากมั๊ย?”
“นิดหน่อย”
เสียงทุ้มแหบพร่าอย่างน่าสงสาร ผมลูบแก้มขาวที่ขึ้นสีจางๆ เพราะพิษไข้ก่อนจะลุกขึ้นไปต้มโจ๊กสำเร็จรูปให้อีกฝ่ายกินรองท้องก่อนกินยาในช่วงเช้านี้
หลังจากประชุมงานเมื่อครั้งก่อนเจ้าตัวก็เคร่งเครียดมากขึ้น เรื่องเรียนก็ทิ้งไม่ได้ เรื่องงานก็ต้องจัดการให้เสร็จทันในเวลาที่กำหนด วันๆ ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่แทนที่ทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดีกลับกลายเป็นว่าทีมงานหลายคนถอนตัวจากงานนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘คุณกองทัพไม่รับฟังความคิดเห็นของทีมงานและอวดเก่ง’ แต่ยังดีหน่อยตรงที่ผู้กำกับที่ดูจะอาวุโสสูงสุดในทีมมีสปิริตพอที่จะอยู่ลุยงานนี้ต่อ
ผมยกโจ๊กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ วางไว้บนโต๊ะ พร้อมน้ำและยา จากนั้นก็เดินไปประคองคนป่วยมานั่งที่โต๊ะ แล้วจึงเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองมานั่งข้างๆ กัน ตักโจ๊กขึ้นมาเป่าแล้วป้อนให้จนแทบจะหมดถ้วน นานๆ จะป่วยสักทีก็ต้องเอาใจกันหน่อยครับ
“ไปเรียนยังไง?”
คนป่วยถามขึ้นหลังจากทานยาเสร็จแล้ว
“เดี๋ยวซันแวะมารับ”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ ผมเดาได้เลยครับว่าถ้าหากไม่ป่วยหนักแบบนี้คงได้ถ่อสังขารไปส่งผมแน่ๆ
“ถ้าหิวในตู้เย็นมีบะหมี่นะ ซื้อมาเผื่อไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเอาออกมาอุ่นกินได้ หรือถ้าอยากจะกินอะไรก็โทรบอก”
“อืม”
หัวยุ่งๆ โน้มลงมาพิงตรงอกของผมอย่างออดอ้อน นานทีจะมีโมเม้นเป็นเด็กขี้อ้อนทำเอาผมแทบหลุดขำ
“อยู่กับสีส้มนะ นอนพักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไวๆ เรื่องงานค่อยว่ากันหลังจากหายป่วย แล้วก็อย่าดื้อกับสีส้มด้วย ส่วนเลคเชอร์เดี๋ยวจะให้ออมเอามาให้”
ลูบหัวอีกฝ่ายคล้ายกำลังพูดกับเด็กน้อย ทำเอาฝ่ายนั้นหัวเราะขำด้วยเสียงแหบๆ และก่อนจะออกจากห้องผมก็ไม่ลืมที่จะลูบหัวสีส้มตัวน้อยด้วย
ลงมายืนรอเพื่อนรักที่หน้าหอพักไม่นานซันก็ปั่นจักรยานคู่ใจมาจอดตรงหน้า นานแล้วที่ผมไม่ได้ซ้อนท้ายซันไปเรียนแบบนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเจอหน้าโบว์ปุ๊ปเพื่อนสาวก็ทำหน้าหมั่นไส้แล้วพูดว่า
‘แฟนคลับ ‘ซันเต็ม’ กลับมาหวีดร้องอีกครั้งนะยะ’ ส่วนผมกับซันก็ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะขำ แต่ก่อนจะขึ้นเรียนผมได้รับข้อความจากใครคนหนึ่ง.. ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างครุ่นคิด
“มีอะไรรึเปล่า?”
ซันถามขึ้นเมื่อจู่ๆ ผมก็หยุดเดินแล้วเอาแต่ก้มหน้าดูหน้าจอไอโฟนในมือ
“ไหนมาดูซิ”
คุณนายโบรัมดึงไอโฟนไปจากมือผม
“หืม?????”
โบว์ยังทำหน้างงเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจพร้อมกับส่งไอโฟนคืนมาราวกับว่าเจอของร้อน
“เขาอยากเจอแกทำไมวะอีจี?”
“ไม่รู้ดิ”
ตอบตามความจริงครับ
“ถ้าไม่รู้ก็ต้องไปให้รู้”
เพื่อนสาวออกความเห็น ในขณะที่ซันหันมาถามผม
“เต็มอยากไปเจอเขามั๊ยล่ะ?”
“ก็ลองดู”
ต่อให้ไม่อยากเจอสักแค่ไหนแต่ก็อย่างที่โบว์พูดนั่นแหละครับว่าเราต้องไปเพราะเราอยากจะรู้ว่ามีเรื่องสำคัญอะไรถึงต้องนัดเจอและอยากจะคุยกับผมแบบกะทันหัน ซึ่งซันกับโบว์ก็พยักหน้ายังไงทั้งคู่ก็ต้องตามผมไปด้วยแม้จะไม่ได้เข้าไปร่วมสนทนาแต่ก็จะรออยู่แถวๆ นั้น ดังนั้นผมจึงตอบตกลงไปโดยไม่ลังเล
.
.
.
.
ก่อนเข้าเรียนช่วงบ่ายผมโทรไปถามอาการคนป่วย ฟังจากน้ำเสียงแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ถ้าหากไข้ยังไม่ลดเย็นนี้ผมคงต้องพาอีกฝ่ายไปหาหมอสักหน่อย
5 โมงเย็นคือเวลาที่ผมเลิกเรียน ใจจริงอยากจะรีบกลับไปดูแลคนป่วยแต่ก็มีอีกสิ่งที่ต้องทำและผมคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเทมป์อย่างแน่นอน
“เทมป์ เต็มกลับช้านิดนึงนะ พอดีมีธุระนิดหน่อย”
[ธุระด่วนเหรอ? อะไร?]
รู้เลยครับว่ากำลังน้อยใจที่ผมเห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่าตัวเอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าเวลาป่วยจะงอแงได้เหมือนเด็กจริงๆ
“ธุระกับพี่นายพล พี่ชายเทมป์นั่นแหละ”
[หืม?]
มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นความลับอะไรเลยสักนิด บอกไปตรงๆ นี่แหละครับดีที่สุด และนึกภาพออกเลยครับว่าคิ้วเข้มต้องกำลังขมวดเป็นโบว์อยู่แน่นอน
“พี่นายเขาส่งข้อความมาว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย เต็มอยากรู้ว่าเรื่องอะไรจึงตอบตกลงไปหน่ะ”
ปลายสายเงียบไปนานพอดู
“เทมป์.. ฟังอยู่รึเปล่า?”
[อืม]
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เต็มไม่ได้ไปคนเดียว ซัน โบว์ และออมก็ไปด้วย”
[อืม]
“เดี๋ยวจะรีบกลับนะ เด็กดี ไม่ดื้อนะ”
รอบนี้เป็นเสียง
‘หึ’ ในลำคอ จึงค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย หลังจากนั้นก็คุยต่ออีก 2-3 ประโยคจึงวางสาย
เวลาที่นัดกันไว้คือประมาณ 6 โมงเย็น สถานที่ก็เป็นร้านคาเฟ่ในห้างใกล้ๆ มหาลัยนี่แหละครับ ตอนที่ผมมาถึงที่ร้านเจ้าตัวก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเพื่อนๆ และหลานสาวจึงแยกไปนั่งอีกร้านซึ่งอยู่ติดกันและมองเห็นกันได้ ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายแล้วก็แอบกวาดตามองรอบๆ นิดนึงก่อนจะนั่งลง
“มารอนานแล้วเหรอครับ?”
“สักพัก.. จะสั่งอะไรมาดื่มก่อนมั๊ย? ”
“ไม่ดีกว่าครับ.. ผมต้องรีบกลับ?”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก ในขณะที่ผมก็โปรยยิ้มหวานกลับไปพร้อมกับเหลือบมองแผ่นหลังกว้างแบบบางภายใต้เสื้อนักศึกษาของใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน
“เข้าประเด็นเลยก็ได้นะครับ”
“รีบขนาดนั้น?”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าประเด็นเลยก็ได้”
พยักหน้ารับว่าเชิญรีบๆ พูดเถอะครับ
“เธอเป็นคนเสนอให้คุณพ่อยกงานของว๊องกรุ๊ปให้กองทัพ?”
“ครับ”
ดวงตารีเล็กหรี่ลง ระหว่างคิ้วขมวดเล็กน้อยด้วยคงคาดไม่ถึงว่าผมตอบรับอย่างเร็ว
“ทำไม?”
“งานมันมีปัญหาและสาเหตุก็เกิดจากน้องชายของคุณ ผมก็เลยบอกคุณอาดิษฐ์ไปว่าควรจะให้คนที่สร้างปัญหาเป็นคนที่รับผิดชอบแบกภาระงานนี้ไว้เอง”
ริมฝีปากบางเฉียบระบายรอยยิ้มนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ระหว่างนั้นผมก็แอบมองไปที่แผ่นหลังของคนเดิมอีกครั้ง คนๆ นั้นทำอะไรบางอย่างหล่นลงพื้นทำให้ต้องเอี้ยวตัวหยิบและผมก็สังเกตเห็นเสี้ยวหน้าพอดี
“อืม.. มันก็จริง แต่รู้มั๊ยว่าถ้างานไม่เสร็จทันตามกำหนดจะเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพบ้าง?”
“ผมคิดว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้นหรอกครับ”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?”
“ผมมั่นใจในศักยภาพของคนที่ผมรักครับ”
คู่สนทนายกยิ้มแล้วมองผมอยู่เช่นนั้น ผมเองก็ไม่คิดจะหลบสายตาไปไหนมองมาก็มองกลับครับ แถมยิ้มหวานให้ด้วย
“เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อหรอกนะที่คุณแม่บอกว่าเธอเหมือนใครบางคนที่เคยทำให้ท่านเจ็บปวดหัวใจ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วล่ะ แล้วก็มั่นใจเสียด้วยว่า.... น่าจะ...”
ถ้าคนตรงหน้าเป็นนักแสดงก็ถือว่าเล่นได้สมบทบาทมาก โดยเฉพาะสายตาที่ใช้ประเมินคู่ต่อสู้อย่างเข้มข้น
“ไม่ต้องอ้อมโลกไปไกลหรอกครับ.. คุณกำลังพูดถึงคุณรดา ภรรยาแรกของคุณพ่อของคุณใช่มั๊ยล่ะครับ?”
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า แววตาเปลี่ยนเป็นเข้มขึงขึ้นแว่บนึงก่อนจะกลับมาเรียบนิ่ง
“ถ้าบอกว่าผมลูกชายอีกคนของคุณพ่อของคุณ.. แบบนี้ไม่น่าสนใจกว่าหรือครับ?”
เอียงคอเล็กน้อย ให้พอน่ารักแล้วพูดต่อ
“พี่นายไม่อยากจะมีน้องชายเพิ่มอีกสักคนเหรอครับ?”
โปรยยิ้มแบบเขินเล็กๆ ซึ่งถ้าผมทำท่าทางแบบนี้ใส่สาวๆ เชื่อมั๊ยละครับว่าร้อยทั้งร้อยหลงเสน่ห์ผมทุกราย แต่ดูท่าทางว่ามันจะไม่มีผลกับผู้ชายอย่างคุณนายพลสักเท่าไหร่ ฝ่ายนั้นมองผมนิ่งๆ ก่อนจะวางเงินค่าเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยิ้มค้างอยู่คนเดียว และยังไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้น ผู้ชายในชุดนักศึกษาที่ผมแอบมองมาตลอดก็หยิบหมวกขึ้นมาสวมแล้วเดินก้มหน้าเลี่ยงไปอีกทาง
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลกเสียสิ้นดี ผมอมยิ้มขำก่อนจะเดินออกจากร้านมาสมทบกับสมาชิกทั้ง 3 คน แล้วไอโฟนลูกรักก็สั่นสะเทือนเหมือนผีเข้า เห็นชื่อแล้วผมก็ต้องรีบกดรับสาย
[อยู่ไหน?]
แหบเสน่ห์มาเชียวครับ
“ออกจากร้านแล้วนี่ไง กำลังจะกลับ”
[ถามว่าอยู่ไหน?]
ผมหันไปมองชื่อร้านแล้วกรอกตอบปลายสาย และยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อพ่อเจ้าพระคุณทูลหัวก็วางสายไปซะงั้น ท่าทางเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรอยู่..
“เฮ้ยๆๆ อีจี นั่นผัวมึงรึเปล่า?”
โบว์กระตุกแขนผมแล้วชี้ไปฝั่งตรงกันข้าม ผมหันไปมองตามแล้วก็ได้แต่เบิกตากว้างพร้อมกับร้อง
‘อื้อหืออ’ อยู่ในใจ ผู้ชายร่างสูงสมส่วนเดินตรงมาหาผมยังกับว่ากำลังเดินอยู่บนแคทวอร์ค แต่นั่นไม่พีคเท่าเจ้าตัวใส่ชุดนอนแบบเต็มยศ ลากรองเท้าอีแตะ สวมหมวกและแถมมีแมสปิดปาก นี่คือแฟชั่นล่าสุดที่ทำให้คนเหลียวมองทั้งห้าง ถ้าไม่หล่อจริงทำไม่ได้นะครับ ว่าแต่ รปภ. ปล่อยให้เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย?
“หายป่วยแล้วรึไง? ถึงได้มีแรงมาเดินเป็นนายแบบกลางห้าง”
จะไม่ยิ้มกว้างก็ทำไม่ได้ครับ ผมดึงแมสปิดปากของอีกฝ่ายลงแล้วยกมือขึ้นอังหน้าผาก ยังมีไข้รุมๆ อยู่เลย
“พี่นายล่ะ?”
“กลับไปแล้ว”
“พี่นายมาคุยเรื่องอะไร?”
“เรื่องงานของเทมป์นั่นแหละ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ผมจึงใช้นิ้วคลึงตรงกลางระหว่างคิ้วให้คลายออก
“พี่นายเขาคงเป็นห่วงเทมป์มั้ง”
มือใหญ่จับมือของผมไว้แล้วมองหน้า ผมจึงยิ้มพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด
“เขากลัวว่าเทมป์จะทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด”
ตอบตามความคิดและความรู้สึกครับว่าคุณนายพลคงจะไม่ได้มีเจตนาร้าย ผมยิ้มให้คนตรงหน้า ถอดหมวกของอีกฝ่ายออกเพื่อช่วยปัดเสยผมให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิมก่อนจะสวมหมวกกลับลงไปใหม่
“งานจะต้องเสร็จให้ทันภายในสองอาทิตย์นี้ แล้วพอดีช่วงนี้เต็ม ซัน โบว์ และออมก็ว่างๆ อยู่ด้วย อยากจะทำงานพิเศษจัง.. ไม่รู้ว่าจะมีโปรดิวเซอร์หรือลูกหลานเจ้าของบริษัทคนไหนจะใจดีว่าจ้างบ้างรึเปล่าน๊า??”
“หืม?”
คิ้วเข้มเลิกสูง เครื่องหมายคำถามลอยเต็มไปหมด ผมยอมแพ้แล้วล่ะครับว่าตอนที่เทมป์ป่วยเนี่ยนอกจากอ้อนเก่งแล้วท่าทางทุกอย่างยังดูเหมือนเด็กน้อยอีกต่างหาก
“อะแฮ่มมม ค่าตัวของออมกับพี่โบว์แพงนะจ๊ะคุณเพื่อนรัก จ้างไหวมั๊ยล่ะ?”
“พี่ไม่เอาค่าจ้างนะ”
ซันแย้งขึ้น ทำเอา 2 สาว โวยวายขึ้นพร้อมกัน ออมกับโบว์มองค้อนซันไปตามประสาก่อนจะหัวเราะขำกันเอง
“นี่พูดเล่นหรือพูดจริง?”
คนป่วยมองหน้าทุกคนและมาหยุดอยู่ที่ผมเป็นคนสุดท้าย
“อืม.. จริงจังมากเลย”
ผมตอบพร้อมขยับไปยืนด้านข้างแล้วควงแขน
“น้องกองทัพเชื่อมั่นในฝีมือพี่เถอะ นอกจากรักษาสัตว์ งานติ่งเกาหลีและเรื่องวายๆ แล้ว เรื่องอื่นพี่ทำไม่ได้เลย”
โบว์ยืดอกแล้วกระพริบตาปริบๆ ด้วยความมั่นใจ แต่พวกเราทุกคนกลับหัวเราะขำ
“ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”
“หายป่วยดีแล้วก็นัดประชุมได้เลยนะ”
ซันตบบ่ารุ่นน้องเพื่อให้กำลังใจ
“ครับ.. ขอบคุณนะครับ”
“เอาล่ะค่ะ.. เป็นอันว่าตกลงตามนี้นะคะ ส่วนตอนนี้ออมอยากจะให้อาเต็มช่วยพาคนป่วยกลับไปหอพักก่อนดีกว่าค่ะ ไม่ใช่อะไรหรอกนะคะ ออมแค่เริ่มรู้สึกอายแล้วค่ะ”
มัวแต่คุยกันจนลืมมองรอบข้างว่าตอนนี้พวกเราแทบจะกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน เมื่อเริ่มรู้สึกตัวโบว์กับออมจึงยกกระเป๋าขึ้นปิดหน้าแล้วพากันเดินจูงมือกันไปอีกทาง พวกผม 3 คนก็ได้แต่เดินหัวเราะตามไป พวกเราหาอะไรกินกันตรงฟู้ดคอร์ทเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ อ่อ.. ลืมบอกไปครับว่านอกจากคนรักของผมจะแต่งตัวมาเดินห้างด้วยแฟชั่นสุดล้ำแล้ว ยังปั่นจักรยานมาจากหอพักอีกด้วย อึดแค่ไหนลองคิดดูนะครับ
.
.
.
.
.
ผมนั่งมองและฟังคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะประชุมชนิดที่ว่าไม่สามารถละสายตาไปได้ ผมไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในมุมของผู้บริหาร สายตาที่มุ่งมั่น น้ำเสียงทุ้มที่มีพลัง ผสมกับบุคลิกที่มั่นใจทำให้ผมลืมภาพเด็กหนุ่มที่งอแงตอนป่วยไปเลย ซึ่งผมคิดว่าคนเราทุกคนมีความสามารถแตกต่างกันไปและไม่มีใครที่จะเก่งไปซะทุกอย่าง และผมก็เชื่อว่าทุกคนล้วนเคยผ่านความผิดพลาดกันมาแล้วทั้งนั้น อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นจะเก็บและปิดบังจุดด้อยของตัวเองไว้ได้ดีแค่ไหน แม้แต่ผมเองหรือแม้แต่สุภาพบุรุษแสนดีอย่างซันก็มีเรื่องที่ไม่อยากจะเก็บมันเอาไว้เพียงคนเดียว แล้วคุณคิดว่าผู้ชายตัวโตที่ดูร่าเริงและเข้มแข็งอย่างเทมป์จะไม่มีปมด้อยที่แอบซ่อนไว้เหรอครับ อย่างน้อยเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ.. เทมป์โหยหาความรักจากแม่อยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่ตัวเองป่วย ท้อ หรืออ่อนแอ
อ่า.. ลืมบอกไปครับว่าตอนนี้เรากำลังประชุมงานแบบเร่งด่วน เพราะเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ถ้าถามว่าผม ซัน โบว์ และออมทำหน้าที่อะไรบ้างก็คงจะบอกตามตรงว่าแทบจะไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ดีหน่อยตรงที่ผมกับออมเคยช่วยงานพี่ขวัญมาตั้งแต่เด็กๆ จึงพอจะมีประสบการณ์บ้าง แต่ความรู้แค่หางอึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้งานไปรอดได้หรอกครับ ที่พวกเราได้นั่งประชุมอย่างมั่นใจอยู่ตอนนี้ก็เพราะบารมีของพี่ขวัญที่ช่วยติดต่อทีมงานมืออาชีพมาให้ต่างหาก อีกทั้งยังได้การสนับสนุนเสื้อผ้าและแอคเซสเซอร์รี่ต่างๆ จากแบรนด์ TJ ด้วยนะครับ อีกทั้งเจ้าสัวยางยังคอยให้คำปรึกษาเป็นพี่เลี้ยงตลอดงานส่วนคุณนายจูก็จัดอาหารอร่อยๆ มาเลี้ยงทีมงานตั้งแต่วันประชุมจนถึงวันถ่ายทำแบบอิ่มหมีพีมันไปเลยครับ เพราะฉะนั้นเมื่อวันถ่ายทำจริงมาถึงแม้พวกเราจะตื่นเต้นและค่อนข้างเครียดสักแค่ไหนแต่ทุกอย่างก็ดูจะราบรื่นดี
ลิซ่ามาถึงก่อนวันถ่ายทำหนึ่งวัน เธอระบุว่าให้ผมเป็นคนไปรับเธอที่สนามบิน ผมก็ตอบตกลงโดยไม่มีข้อแม้เพียงแต่ผมให้เทมป์ไปกับผมด้วยเพราะลิซ่าไม่ได้บอกว่าให้ผมไปแค่คนเดียวนี่นา ผมรู้ว่าลิซ่าค่อนข้างจะไม่พอใจแต่เธอก็ไม่กล้าโวยวายใส่ผมหรอกครับ
พรีเซนเตอร์ของเราเป็นนางแบบมืออาชีพ ไม่เคยผ่านงานด้านการแสดงใดๆ มาก่อน ดังนั้นจึงต้องคุยและทำความเข้าใจกับเธอล่วงหน้า แต่โชคดีหน่อยลิซ่าเป็นคนหัวไวและใจกว้างพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน ดังนั้นการทำงานจึงค่อนข้างจะไปได้ไวกว่าที่คิด
“เทมป์”
ระหว่างพักกอง เดินเข้าไปหาไดเรคเตอร์หนุ่มรูปหล่อที่ยืนทำหน้าเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า ฝ่ายนั้นหันมามองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วถามว่า
‘มีอะไรรึเปล่า?’ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ สบตา และวางมือลงบนหน้าอกแน่นมัดกล้ามก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นกระซิบข้างหู
“อย่ามองลิซ่าเยอะสิ”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย พร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ความจริงแล้วเทมป์ไม่ได้มองลิซ่าเกินกว่าเรื่องงานสักนิดเลยครับ ผมรู้ตัวและรู้สึกตลอดเวลาว่าดวงตาคู่คมคอยตามจี้ผมอยู่จนเหมือนเป็นเงาตามตัว แต่ที่แกล้งพูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเครียดกับงานมากเกินไปก็เท่านั้นเอง
มือใหญ่วางลงบนสะโพกของผมแล้วดึงร่างของผมเข้าสู่อ้อมอก ใบหน้าคมโน้มลงขบต้นคอจนเกิดรอย เมื่อทำรอยจนพอใจก็ขยำแก้มก้นและตีดัง
‘เผี๊ยะ’ แรงๆ ผมหัวเราะออกมากับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
ให้กำลังใจให้พอกระชุ่มกระชวยผมก็แยกไปทำงานของตัวเอง แต่พอหันกลับมาก็เจอคุณนายโบรัมยืนอ้าปากตาทำตาเชื่อมอยู่แล้วครับ
“อย่าหยุดดิ เอาอีกๆ นี่กำลังฟินได้ที่เลย”
ไม่รู้จะขำและเขินยังไงดีแล้วล่ะครับ ผมจึงได้แต่ดึงแขนเพื่อนสาวลากออกไปจากตรงนั้น
“ไปทำงานได้แล้ว”
“อีจี แกอย่าดับฝันกูบ่อยนักดิ อิเพื่อนเหี้ย ฮืออออ”
โบว์โวยวายเหมือนเด็ก และตลอดวันนั้นทั้งวันจนเสร็จงานผมก็ถูกเพื่อนสาวใช้สายตาจิกใส่เหมือนไก่จิกข้าวเลยครับ
โลเคชั่นที่เราใช้ถ่ายทำก็คือบริษัทวายจีนี่แหละ วางตัวพรีเซนเตอร์เป็นพนักงานในบริษัท แล้วก็ยืมตัวหนุ่มสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์อีกอย่างละคนมาเป็นนักแสดงประกอบ เรื่องที่เทมป์วางไว้ก็ใช้พื้นฐานชีวิตประจำวันเป็นหลัก พนักงานบริษัททำอาหารใส่กล่องมากินเป็นมื้อเที่ยงที่บริษัท ซึ่งทุกบริษัทก็จะมีส่วนที่จัดเป็นห้องครัวเล็กๆ ไว้ให้พนักงาน ซึ่งกล่องข้าวอุปกรณ์ทุกอย่างในครัวล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ของลูกค้าทั้งสิ้น
ดูเหมือนจะง่ายแต่เราใช้เวลาถ่ายทำกันตั้งแต่เช้าตรู่ยันค่ำ จากนั้นก็จะนำมาการตัดต่อให้เหลือความยาวแค่ 15 วินาที ซึ่งงานตัดต่อใช้เวลาอีก 2 วัน ผมกับเทมป์เป็นคนเลือกทุกฉากตลอดจนเพลงประกอบด้วยตัวเอง และมันก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจแถมยังควบคุมค่าใช้จ่ายได้อยู่ในงบประมาณ ที่สำคัญคือเสร็จทันเวลาที่กำหนดทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือลูกค้าพึงพอใจกับมาสเตอร์ของหนังที่เสร็จสมบูรณ์เป็นอย่างมาก บริษัทจึงอนุมัติสั่ง Release Tape หรือก็คือเทปที่ก้อปปี้จากมาสเตอร์ เพื่อส่งสถานีออกอากาศในทันที พรุ่งนี้ก็จะรู้แล้วล่ะครับว่าผลตอบรับจะออกมาแบบไหน
“เก่งจังนะ...”
อดจะชมแฟนตัวเองไม่ได้ครับ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ แล้วแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของผมหนักๆ
“คนไทยเขาจะพูดว่า.. ผัวจะได้ดีก็เพราะมีเมียคอยสนับสนุน”
“หืมมมม”
ผมลากเสียงยาวแล้วกรอกตาด้วยความหมั่นไส้ปนเขิน อีกฝ่ายหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมก่อนจะย่อตัวลงแล้วบอกให้ผมขึ้นขี่หลัง ผมจึงกระโดดขึ้นเกาะแผ่นหลังกว้างด้วยความยินดี
“เราไม่มีเซ็กส์กันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย?”
พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกลำคอแห้งผากยังไงก็ไม่รู้ ผมวางคางลงบนลาดไหล่แข็งแรงแล้วขบติ่งหูอีกฝ่ายเบาๆ
“เทมป์จองโรงแรมไว้สองคืนแล้วล่ะ”
“หืม?”
ตกใจจริงนะครับ เพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้ฟัง เสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าวกว่าเดิม จมูกโด่งหันมาฝังลงบนแก้มของผมแล้วกระซิบ
“ถ้าเจลสามหลอดที่เตรียมไว้ไม่หมด.. เทมป์ไม่หยุดนะ”
นี่คือเรื่องจริงใช่มั๊ยครับ? ผมกระพริบตาปริบๆ เพื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาแทนคำตอบทั้งหมดที่อยู่ในใจ...
.
.
.
.
.
.
TBC......