█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 25 ┨
ถ้ามันเป็นความสบายใจของคนรักและมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือทำให้ใครยุ่งยากใจผมก็จะไม่ห้าม แต่ตรงกันข้ามถ้ามีใครคนอื่นมาทำให้คนของผมเป็นกังวลหรือไม่สบายใจผมก็ไม่สามารถทำเป็นมองข้ามและปล่อยมันไปไว้ได้หรอกครับ
หลังจากได้หยุดพักผ่อนกลับไปชาร์ตแบตที่บ้านมาจนเต็มผมกับเทมป์ก็กลับมาลุยภารกิจของนักศึกษาปีสุดท้ายกันต่อ แม้จะเป็นแค่ช่วงฝึกงานแต่มันก็ไม่ต่างไปจากการทำงานจริงๆ เลยสักนิด
นาฬิกาบอกเวลา 3 ทุ่ม ผมเก็บของลงกระเป๋า แล้วหันไปมองเพื่อนรักทั้ง 2 คน
“แกไม่ต้องอ้าปากพูดหรอกอีจี ดิฉันรู้ค่ะว่าผัวคนดีของแกมารอรับ ดิฉันกลับกับเสี่ยซันได้ค่ะ”
โบว์พูดแบบจีบปากจีบคอซะจนผมกับซันหัวเราะขำออกมาพร้อมกัน แม้แต่โบว์เองก็คงจะขำตัวเองอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวพูดจบก็หัวเราะร่วน
เราและนักศึกษาอีกหลายคนที่เพิ่งเคลียร์งานเสร็จพากันทยอยเดินออกทางประตูด้านข้างของโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อออกมาด้านนอกผมก็เห็นคนที่มานั่งรออยู่แล้วครับ
“ต๊าย มานั่งรอเมียจนหลับ แล้วยังใจบุญสังเวยเลือดให้พี่ยุงอิ่มหนำอีก พ่อคุณของอีจีช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
เดากันถูกใช่มั๊ยครับว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้ โบว์ส่งสายตาจิกแบบเอ็นดูเด็กขั้นสุดไปให้อีกฝ่าย แต่น่าเสียดายฝ่ายนั้นนั่งหลับจึงไม่ทันได้เห็นแววตาของผู้ใหญ่ใจบุญอย่างโบว์
ซันขำพร้อมส่ายหน้าให้โบว์ก่อนจะเดินมาแตะไหล่ผม
“ไปเถอะ”
ผมพยักหน้าพร้อมโบกมือให้ทั้งคู่ แล้วเดินไปหยุดยืนตรงหน้าใครคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้าสัปหงกอยู่คนเดียว ย่อตัวลงนั่งแล้วเงยมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มที่หลับตานิ่ง เมื่อคืนเจ้าตัวกลับมาถึงหอพักตอนใกล้จะเที่ยงคืน เช้าก็ต้องออกไปทำงาน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เหนื่อยและเพิ่งจะได้หลับพักผ่อนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังลุกขึ้นมานั่งรอรับผมอีก
ถ้าถามผมว่ารักผู้ชายคนนี้ตรงไหน ก็คงจะเป็นตรงที่ดูแลเอาใจใส่ผมในทุกเรื่อง จดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของผมได้ รู้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร และเคารพในการตัดสินใจของผมเสมอ หากวันหนึ่งมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมต้องทำร้ายอีกฝ่าย นั่นไม่ใช่เพราะผมหมดรักแต่เพราะผมเลือกที่จะเก็บความรักของเราไว้และเพื่อต้องการจะปกป้องเขาอย่างดีที่สุดต่างหาก
“เทมป์”
เจ้าของชื่อลืมตาขึ้นช้าๆ ผมยื่นมือไปแตะแก้มขาว อีกฝ่ายผอมลงไปเยอะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อลดลงแม้แต่น้อย
“มานานรึยัง?”
ทั้งที่ผมควรจะเป็นคนถามว่า
‘มารอนานรึยัง?’ แต่กลับโดนคนตรงหน้าแย่งคำถามไปเสียก่อน ผมอมยิ้มและส่ายหน้าตอบตามความจริงว่าเพิ่งมาถึงนี่แหละ
“ล้างหน้าสักหน่อยมั๊ย?”
“ไม่เป็นไรหรอก กลับเลยดีกว่า”
แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ผมพยักหน้าตอบรับ แล้วลุกขึ้นยืน อีกฝ่ายก็ลุกตาม บิดขี้เกียจคลายความเมื่อยขบเล็กน้อย ผมยื่นมือไปกุมมือใหญ่ไว้แล้วเราก็เดินกลับหอพักด้วยกัน
.
.
.
.
.
แม้จะเป็นเวลา 4 ทุ่มแต่ย่านหอพักก็ยังคึกคัก เราเดินกุมมือกันไปเงียบๆ โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างทางเทมป์แวะร้านสะดวกซื้อซื้อน้ำดื่มยี่ห้อที่ผมดื่มเป็นประจำหลาย 10 ขวด เราแบ่งกันถือคนละครึ่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็แวะซื้อของกินในตลาดโต้รุ่งอีกหลายอย่าง ผมจ่ายกับข้าวไม่เก่งหรือจะบอกว่าเดินจ่ายตลาดไม่เป็นเลยก็ว่าได้เพราะฉะนั้นจึงทำแค่เดินตามและยืนรอเงียบๆ มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยจนบังเอิญไปสบตากับใครบางคนที่ผมไม่รู้จักแต่ก็คุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะคนๆ นั้นคอยตามผมอยู่แบบนี้มาเป็นปีแล้วล่ะครับ มุมปากของผมกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งใดนอกจากคนที่ยืนต่อราคาผักปลาอยู่กับแม่ค้า
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั๊ย?”
พ่อบ้านประจำตัวของผมหันมาถามหลังจากตกลงกับแม่ค้าจนได้ราคาเป็นที่น่าพอใจ ผมได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้าตอบว่าไม่มี คนถามอมยิ้มและไม่ได้พูดหรือถามอะไรอีก เราทั้งคู่จึงตรงกลับหอพักกันเลย
กลับถึงห้องผมเล่นกับสีส้มครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ เสร็จแล้วออกมาอีกฝ่ายก็ยืนคุยโทรศัพท์เรื่องงานอยู่ตรงนอกระเบียง ผมจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนมองสีส้มเล่นตะกุยกล่องพร้อมกับฟังเสียงทุ้มคุยเรื่องการประสานงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ต่อให้ไม่เคยถามหรืออีกฝ่ายไม่เคยบอกแต่ผมก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าคนรักกำลังเจอปัญหาอะไรบ้าง นี่ขนาดคุณปู่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่แต่เจ้าตัวกลับถูกบีบและปิดกั้นการทำงานในบริษัทซะจนผมใกล้จะหมดความอดทนกับการทำเป็นหูหนวกตาบอดอีกต่อไป
เสียงตรงระเบียงเงียบไปครู่หนึ่งแต่ร่างสูงก็ยังยืนอยู่ด้านนอก ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกไปหาอีกฝ่าย เจ้าตัวยืนเอามือเท้าแขนกับขอบระเบียงใบหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน แผ่นหลังกว้างที่แข็งแรงดูเหนื่อยล้ากว่าทุกครั้ง แม้จะไม่รู้ว่าใบหน้าคมมีสีหน้าแบบไหนแต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันกำลังแบกรับปัญหาเอาไว้มากมายเพียงใด
สองแขนของผมโอบรอบเอวสอบไว้ให้แน่นที่สุด แล้วซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างสูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคย
“ทำไมยังไม่นอน?”
“ก็เทมป์ยังไม่นอน”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ร่างสูงจับแขนของผมให้ผละออกเล็กน้อยเพื่อจะได้ขยับตัวหันเข้าหากัน เมื่ออยู่ในท่าที่พอใจผมก็กระชับแขนกอดแน่นเหมือนเดิม ร่างกายของเราแนบชิดแทบทุกส่วน ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายระบายรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากบางจะโน้มลงมาประกบแลกลิ้นกันจนผมแทบขาดอากาศหายใจ
ส่วนล่างของร่างกายของเราสำแดงฤทธิ์ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม เราจึงเลือกที่จะจัดการความอึดอัดอันแสนสุขนี้ด้วยการออรัลเซ็กส์เท่านั้น และท่วงท่าที่ถูกนำมาใช้ก็ไม่พ้นท่ายอดฮิตอย่าง 69 ซึ่งไม่ว่าจะพยายามยังไงผมก็ไม่สามารถใช้ปากครอบครองแก่นกายใหญ่ได้ ดีที่สุดที่ทำได้แค่ไล้เลียแค่สวนปลายจนของเหลวสีขาวขุ่นพุ่งใส่เต็มใบหน้าของผม ในขณะที่เทมป์กลืนกินความสุขทั้งหมดของผมไปจนหมดเช่นเคย
หลังจากล้างหน้าล้างตัวกันอีกรอบเราก็นอนกกกอดกันเงียบๆ บนเตียงปล่อยให้ความง่วงคืบคลานเข้ามาช้าๆ แต่ผมยังลืมตามองเสี้ยวใบหน้าคมอีกฝ่ายยังไม่หลับ ยังคงลืมตามองเพดาน
“เทมป์เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานนะ ไม่จำเป็นต้องมาแบกรับมันไว้ทั้งหมด ทำไม่ได้แก้ไม่ได้ก็บอกเขาไปตรงๆ กับเรื่องบางเรื่องเราก็แกล้งโง่บ้างก็ได้ไม่ใช่รึไง”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ใบหน้าคมหันมาสบตากับผม ผมใช้นิ้วเกลี่ยข้างแก้มขาว
“เสือย่อมรู้ว่าลูกหลานของตัวเองเป็นยังไง ต่อให้ลูกหลานจะไม่กินเนื้อตามสัญชาตญาณของมัน แต่เสือมันก็ยังเป็นเสือวันยังค่ำ”
“ถ้าอย่างนั้นคงเพราะเป็นเสือเหมือนกัน.. เลยอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้สินะ?”
รู้เลยครับว่าเสืออีกตัวที่เทมป์พูดถึงเป็นใคร
“ใครบอกว่ามีเสือสองตัวล่ะ?”
ดวงตาคู่คมหรี่ลงมองผมเพื่อรอคำอธิบาย ผมขยับเข้าไปใกล้ ซุกตัวเข้ากับแผ่นอกแล้วกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
“เสือ.. มีแค่ตัวเดียว.. และก็อยู่ในอ้อมกอดของเต็มนี่แหละ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น แขนแข็งแรงกระชับกอดและแกล้งขยุ้มขยำก้นของผม
“ไปรู้หรือไปได้ยินอะไรมาอีกล่ะ?”
รอบนี้ผมหัวเราะบ้าง
“รู้ดีเลยล่ะ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
“เดี๋ยวนี้มีความลับกับเทมป์แล้วเหรอ?”
“มันไม่ใช่ความลับสักหน่อย”
จู่ๆ ผมก็โดนมือใหญ่ตีก้นเสียแรงจนเสียงดัง
‘เผี๊ยะ!’ ผมเลยเอาคืนด้วยการหยิกหัวนมสีเข้มไปเต็มแรงจนเจ้าตัวร้องโอดครวญ
“ไม่ต้องมาสำออย”
ยู่หน้าใส่คนตัวโตกว่า อีกฝ่ายดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบพร้อมกับจูบหน้าผากซ้ำๆ เพื่อง้อ จะว่าไปผมก็ไม่ได้โกรธหรือเคืองอะไรหรอกครับ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าได้รับงานอะไรมาแล้วเกินความสามารถของเด็กฝึกงานก็บอกเขาไปเลยว่าทำไม่ได้เข้าใจมั๊ย?”
“คร้าบ”
“แค่ตั้งใจทำงานในหน้าที่ของเด็กฝึกงานก็พอ อย่างอื่นปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาจัดการเอง”
“คร้าบ คุณเมีย”
“ส่วนเรื่องของเต็มเทมป์ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก ถ้าเทมป์เป็นห่วงเต็มมากก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ”
“เทมป์มีเมียคนเดียวจะไม่ให้ห่วงได้ไง”
“เต็มก็มีผัวคนเดียวปะ?”
เจอคำถามกลับอีกฝ่ายได้แต่มองผมตาปริบๆ ตั้งแต่คบกันมานี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมต่อปากต่อคำชนะอีกฝ่าย โคตรภูมิใจในตัวเองจริงๆ ผมหอมแก้มคนรักเพื่อปลอบใจในความพ่ายแพ้ จากนั้นก็ซุกหน้าลงในอ้อมแขนและหลับตาลง
“ไม่มีใครทำอะไรเต็มได้หรอก.. วางใจเถอะ”
ประโยคสุดท้ายที่ผมบอกเจ้าของอ้อมแขนก่อนจะผล็อยหลับไปพร้อมกับสัมผัสจากจุมพิตอุ่นตรงหน้าผาก
.
.
.
.
.
หลายวันมานี้เทมป์ดูผ่อนคลายขึ้นซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี และวันนี้ก็เหมือนทุกวันที่ผมจะต้องอยู่ทำงานดึก ฝ่ายนั้นมานั่งรอผมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่นั่งหลับ หน้าตาสดใสขึ้นแถมยังพาสีส้มมาด้วย
“เทมป์รอเต็มอีกสักสิบห้านาทีนะ เดี๋ยวเต็มขอไปทำธุระแป๊ปนึง”
ร่างสูงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ผมลูบหัวสีส้ม 2-3 ครั้งแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในโรงพยาบาลอีกรอบ ความจริงแล้วผมไม่ได้มีธุระอะไรเร่งด่วนหรอกครับ แต่มีบางอย่างที่อยากจัดการแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมเดินออกทางประตูหนีไฟฝั่งลานจอดรถแล้วยืนพิงมุมเสาใช้เท้าเขี่ยฝุ่นเล่นอย่างใจเย็น ไม่นานนักร่างของใครบางคนก็เดินผ่านไป
“ผมอยู่นี่..”
ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่สวมเสื้อแจ็คเก็ต หมวก และแว่นดำหยุดเท้าที่ก้าวแล้วยืนนิ่งโดยไม่ได้หันกลับมามองผม ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ ผมยืดตัวขึ้นเล็กน้อย
“สวัสดีอย่างเป็นทางการครับ คุณวิชิต..”
ฝ่ายนั้นยังคงนิ่ง ผมเองก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรมากนัก ยืนประเมินฝ่ายตรงข้ามอีกนิดพร้อมกับคิดว่ามันก็สนุกดีเหมือนกัน
“หลานชายของคุณมาก่อกวนผมอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไป หลังจากนั้นเจ้านายของคุณก็ส่งคุณมาคอยตามผมอยู่หลายเดือนไม่ทราบว่าได้ข้อมูลอะไรไปบ้างรึเปล่าครับ?”
รู้ครับว่าต่อให้ผมถามอะไรออกไปอีกฝ่ายก็ไม่มีวันตอบโต้ แต่ผมก็ยังอยากจะถามนี่นา
“ต่อให้คุณมาตามผมอีกสักสิบปีคุณก็ไม่ได้คำตอบหรอกครับ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่ผม แต่อยู่ที่ไหนเจ้านายคุณนั่นแหละรู้ดีที่สุด”
หวังดีนะครับเนี่ยถึงได้บอกให้รู้เอาไว้ ผมเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามอีก 2-3 ก้าว ร่างนั้นเริ่มขยับตามสัญชาตญาณการระแวดระวัง แต่ก็ยังใจแข็งไม่กล้าเผชิญหน้านับว่าฉลาดทีเดียว
“ถ้าเจ้านายของคุณอยากรู้อะไรเกี่ยวกับผม ก็ให้มาถามผมเองตรงๆ เลยจะดีกว่า ผมพร้อมจะตอบทุกคำถาม.. เว้นเสียว่า.. จะไม่กล้า”
ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย ใกล้จะครบ 15 นาทีตามที่บอกกับคนรักไว้แล้ว
“ผมฝากไปบอกเจ้านายคุณหนึ่งเรื่อง...”
ปรับน้ำเสียงของตัวเองให้ฟังดูจริงจังมากขึ้น
“ถ้าหากเจ้านายของคุณยังใช้ลูกชายของตัวเองเป็นตัวล่อในเกมส์ให้ผมเข้าไปติดกับอยู่แบบนี้.. นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว.. ระวังจะไม่เหลืออะไรเลยนะครับ”
จงใจย้ำท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ให้รู้ว่าผมพูดจริงทำจริงแน่นอน ฝ่ายตรงข้ามก็ฉลาดไม่ใช่ย่อยร่างใหญ่ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเรื่องที่ผมเพิ่งพูดจบไปไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ผมถอยหลังกลับเมื่อสมควรแก่เวลา
“ผมไปก่อนนะครับ”
ตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่เพิ่งนึกได้ว่าลืมอะไรไปอีกเรื่อง
“ณดล.. ต่อให้เขาไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณ แต่เขาก็รักและนับถือคุณมาก อย่าให้เจ้านายของคุณดึงเขาเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย”
พูดจบผมก็เดินกลับเข้าโรงพยาบาลโดยไม่คิดจะสนใจอีกฝ่ายอีกเลย แน่ะ อย่าคิดว่าผมเก่งหรืออะไรหรอกนะครับ ผมไม่ใช่พระเอกในซีรี่ย์ที่ฆ่ายังไงก็ไม่ตายและผมก็ไม่มีเวทมนต์ใดๆ สิ่งที่ผมทำอยู่เป็นเพียงการตู้สู้ในเกมส์ทางจิตวิทยาก็เท่านั้น ซึ่งแค่เรารู้ทางคู่ต่อสู้ รู้จักคิดแยกแยะวิเคราะห์ อีกทั้งการที่เรามีคู่หูที่รู้ใจแค่นั้นก็สามารถชนะได้แล้วล่ะครับ และแน่นอนว่าคู่หูของผมนั้นเก่งชนิดที่เรียกว่าระดับครูเลยทีเดียว เพียงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยบอกใครได้ก็เท่านั้น
“มาแล้ว”
ร้องตะโกนบอกคนที่นั่งรอ ใบหน้าคมหันมามองผมพร้อมระบายรอยยิ้ม มือหนึ่งถือตะกร้าลูกชายอีกมือก็กุมผมไว้ เราเดินกลับหอพักไปด้วยกันแบบนี้แทบจะทุกวันจนได้เวลาที่ผมจะต้องเปลี่ยนโรงพยาบาลฝึกงานแล้วล่ะครับ
.
.
.
.
.
ในที่สุดก็ได้กลับเข้าสู่เมืองหลวงสักทีครับ..
เทมป์มาส่งผมถึงบ้านและอยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน พักหลังมานี้คุณพ่อค่อนข้างจะพูดคุยถูกคอกับอีกฝ่าย ช่วงนี้คุณพ่อท่านกำลังสนใจเกี่ยวกับกล้วยไม้ครับ ผมแอบได้ยินนะว่ามีการนัดแนะจะไปดูกล้วยไม้กันด้วย
วันรุ่งขึ้นผมก็ไปรายงานตัวโรงพยาบาลสัตว์เล็ก ความรู้สึกและบรรยากาศก็เหมือนกับตอนไปเรียนนั่นแหละครับ หลังจากรายงานตัวเสร็จ ผม ซัน และโบว์ที่หนีบน้องดักแด้มาด้วยก็ไปเดินเล่นในห้างและหาอะไรกินมื้อเที่ยงกัน
“อีจีแกไม่โทรไปชวนน้องกองทัพด้วยเหรอ?”
ผมยิ้มแล้วล้วงหยิบไอโฟนในกระเป๋าออกมากดหาคนรัก โบว์จึงหันไปหาซัน
“เสี่ยซันไม่ตามน้องออมด้วยเหรอคะ อยู่ใกล้แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ?”
“บอกออมไปแล้วล่ะ เดี๋ยวตอนเที่ยงคงจะแวะมา”
“หูยย ไวจริงๆ เลยนะคะเสี่ยซัน”
นานๆ ซันจะโดนโบว์แซ็วครับ ซันยิ้มเขินเล็กน้อย นานมากแล้วที่ผมไม่เห็นซันมีท่าทีเขินแบบนี้ นานจนเกือบลืมไปว่าครั้งหนึ่งเพื่อนคนนี้เคยเจ็บปวดกับความรักมาก่อน
ซันนัดกับออมที่สถานีรถไฟฟ้า รอไม่นานหลานสาวของผมก็เดินสวยๆ พร้อมรอยยิ้มหวานมาแต่ไกล
“แล้วน้องกองทัพล่ะ?”
“คงไม่ได้มาหรอก ช่วงนี้งานยุ่งหน่ะ”
ผมโทรไปหลายรอบแต่อีกฝ่ายไม่รับสาย เลยคิดว่าคงจะติดงาน
ตั้งแต่กลับมาจากฝึกงานที่โรงพยาบาลสัตว์ใหญ่ เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันแบบจริงจังเหมือนเมื่อก่อนเพราะเราต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เอาเป็นว่าแค่อีกฝ่ายไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนช่วงฝึกงานแรกๆ แถมตอนนี้ยังดูจะอารมณ์ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำแค่นั้นก็โอเคแล้วล่ะครับ
ดวงตากลมโตของโบว์มองผมแบบแปลกๆ และทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอถามว่ามีอะไรรึเปล่า? เจ้าตัวก็ทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนแล้วส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร
.
.
.
.
.
วันถัดมาผมหมกตัวอยู่ในบ้าน กินๆ นอนๆ อ้อนคุณแม่ทั้งวัน จนคุณพ่อแซ็วว่าลูกชายอยู่บ้านแค่นี้ทำเอาคุณแม่ยิ้มไม่หุบเลยครับ และหลังจากคุณพ่อคุณแม่เข้านอนแล้วผมก็กลับเข้ามาห้องตัวเอง อาบน้ำจนสดชื่นแล้วนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้ต่อ
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อาเต็มคะ ออมเองค่ะ”
“อาไม่ได้ล็อคประตู”
หลานสาวคนสวยเดินเข้ามาในห้องพอเห็นผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ก็เข้ามานั่งเบียดเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ ผมเลยต้องปิดหนังสือแล้วมองหน้าหลานสาวที่ส่งสายตามองผมปริบๆ มาไม้นี้ต้องมีอะไรแน่ๆ ครับ
“เดือนหน้าอาขวัญจะบินกลับมานะคะ”
“อืม”
อมยิ้มแล้วพยักหน้า พี่ขวัญบอกผมล่วงหน้าไว้แล้วล่ะครับ กลับมารอบนี้พี่ขวัญคงจะอยู่ยาวเป็นเดือนเลยแถมยังขนทีมงานของ TJ มาอีกกรุ๊ปใหญ่ เพราะพี่ขวัญจะใช้ธีมประเทศไทยเป็นธีมหลักในการเปิดตัวแฟชั่นคอลเลคชั่นใหม่ และแน่นอนครับว่าผมนี่แหละยังคงเป็นนายแบบหลักให้กับ TJ เหมือนเดิม
ออมเงียบไปครู่ใหญ่สีหน้าและแววตาดูกังวลเล็กน้อย เห็นแล้วก็อดจะสงสารไม่ได้
“ว่ามาสิ อารอฟังอยู่”
เจ้าตัวส่งยิ้มประดักประเดิดแต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา
“คือ.. ปีนี้อาเต็มก็อยู่ปีหกแล้วใช่มั๊ยคะ แล้วแบบว่าเพื่อนของออมเขาเป็นรองประธานสภานักศึกษาไรงี้.. แล้วก็มหาลัยเราก็จะมีงานประเพณีทุกปี.. เอ่อ แล้วก็..”
“เขาขอให้ออมมาคุยกับอาเรื่องการแสดงบนเวทีงั้นสินะ?”
“ออมลำบากใจมากเลยนะคะอาเต็ม แต่ถ้าอาเต็มจะปฏิเสธก็ได้นะคะ เพราะออมแค่รับปากว่าจะมาพูดกับอาเต็มให้เฉยๆ เรื่องตกลงหรือไม่ตกลงก็ขึ้นอยู่กับอาเต็มค่ะ”
นอกจากกิจกรรมและการออกค่ายเกี่ยวกับวิชาการแล้วงานอื่นที่ติดต่อเข้ามาต่อให้เป็นของมหาวิทยาลัยผมก็ปฏิเสธไปทั้งหมด เพราะลำพังแค่เรียนและกิจกรรมของคณะอย่างเดียวก็เหนื่อยจนแทบหาเวลาว่างเป็นของตัวเองไม่ได้ ถ้าขืนยังรับงานอื่นอีกผมคงเรียนไม่จบหรือไม่ก็คงได้นอนหยอดน้ำเกลือแน่ๆ ซึ่งออมรู้เรื่องพวกนี้ดีครับและนี่คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลานสาวลำบากใจ แต่ถ้าคิดอีกแบบปีนี้ผมก็เรียนเป็นปีสุดท้ายแล้ว ถ้าหากจะทำกิจกรรมร่วมกับมหาลัยสักครั้งก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“เขาจะให้อาแสดงอะไรล่ะ?”
“ง่ายๆ เลยค่ะอาเต็ม .. ร้องเพลงค่ะ”
หืม?? ขึ้นเวทีร้องเพลงครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของผมก็คือเมื่อตอน 7 ขวบ แถมตอนนั้นยังร้องผิดร้องผิดจาก ที ทูเดอะ เจ เป็น ที ทูเดอะ จี อีกต่างหาก ถ้าเปลี่ยนเป็นเดี่ยวเปียโนก็ว่าไปอย่าง
“อาร้องเพลงไม่เก่งออมก็รู้นี่นา”
“อาเต็มไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ออมจะเป็นคนเลือกเพลงให้อาเต็มเอง เอาแบบเพลงง่ายๆ เลยค่ะ”
พูดเสนออย่างคล่องแคล่วแบบนี้แสดงว่าเตรียมการมาอย่างดีคงอยากจะให้ผมขึ้นเวทีจริงๆ แล้วผมจะกล้าปฏิเสธหลานรักลงเหรอครับ
“อืม”
“อืม.. นี่แปลว่า
‘ตกลง’ รึเปล่าคะ?”
“อืม”
“เย้ๆ ออมรักอาเต็มที่สุดเลย”
หลานสาวกอดผมไว้แน่นด้วยความดีใจ นี่ขนาดว่าโตจนบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เวลาอยู่บ้านก็ยังทำตัวเป็นเด็กเสมอ
“ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง?”
เปลี่ยนเรื่องคุยบ้างครับ
“สนุกดีค่ะ พี่ๆ และเพื่อนร่วมงานใจดีทุกคนเลยค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ ต่อไปจะได้ช่วยงานอาขวัญได้”
คนฟังยืดอกอย่างภาคภูมิใจแล้วยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก แต่ครู่หนึ่งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ดวงตากลมโตมองหน้าผมนิ่งๆ และเม้มปากเล็กน้อย
“อาเต็มกับกองทัพล่ะคะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็โอเคนะ ทำไม? มีอะไรรึเปล่า?”
“มีค่ะ”
“หืม??”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
ผมหรี่ตามองหลานสาว ออมอาจจะโกหกคนอื่นได้แต่ไม่มีทางโกหกผมได้หรอกครับ ผมนั่งมองหลานสาวอยู่อย่างนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามก้มหน้าหลบสายตาผมก็ตาม
“ออม.. มีอะไรรึเปล่า?”
ถามย้ำอีกครั้ง เจ้าตัวทอดถอนใจเฮือกใหญ่จนผมรู้สึกใจหายตามไปด้วย นี่ออมมีเรื่องอะไรหนักอกหนักใจรึเปล่า?
หลานสาวเงียบไปครู่ใหญ่ก็เอียงหัวมาพิงบนไหล่ของผม
“ถ้าใครทำให้อาเต็มเสียใจ หรือมาทำร้ายอาเต็ม ออมจะไม่มีวันให้อภัยคนๆ นั้นเด็ดขาด”
แม้ภายในใจจะรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ แต่ผมก็เลือกที่จะยิ้มให้หลานสาว ลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
“เด็กโง่”
ถ้าหากใครทำให้หลานสาวของผมเสียใจ ผมเองก็จะไม่มีวันให้อภัยเช่นกันครับ
.
.
.
.
.
.
TBC....