█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 37 ┨
The End
ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำผมโดนฉุดกระชากลากออกมาที่รถจนเปียกโชกไปทั้งตัว แถมขาข้างขวายังโดนของแข็งตรงมุมโต๊ะซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหัวตะปูข่วนเอาจนได้แผล เมื่อขึ้นมาบนรถอีกฝ่ายยังจงใจเร่งแอร์ให้แรงขึ้นเพราะรู้ว่าผมใส่แค่เสื้อยืดบางๆ เท่านั้น แต่เรื่องแค่นี้ผมทนได้ครับ เจ็บทางกายเรื่องเล็กน้อยแต่เจ็บที่ใจนี่สิผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไงดี
ไม่รู้ว่าปลายทางที่อีกฝ่ายจะพาไปคือที่ไหนแต่ผมเดาว่าคงจะเป็นทะเลใกล้ๆ กรุงเทพ ระหว่างทางผมชวนอีกฝ่ายคุยไปหลายประโยคแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ผมจึงเลิกที่จะเซ้าซี้แล้วนั่งเงียบๆ ผมรู้ตัวว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ผมอยากจะบอกเจ้าตัวว่าขอโทษเป็นร้อยเป็นล้านครั้งแต่ก็คงจะไม่มีประโยชน์ ถ้าผมย้อนเวลาไปได้ผมจะวางแผนควบคุมสถานการณ์ให้ดีไม่ให้เหตุการณ์ต้องลุกลามจนถึงขั้นนี้เด็ดขาด
ออกจากเขตเมืองหลวงฝนก็เริ่มขาดเม็ด เจ้าของรถแวะจอดเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่งพร้อมกับลงไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ตอนแรกผมตั้งท่าจะลงไปด้วยแต่สายตาคู่คมที่เหลือบมองมาทำให้ผมรู้ว่าผมจะต้องนั่งรออยู่ในรถเท่านั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะเดินลงไปโดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้ผมเลือกที่จะทำตามอย่างว่าง่าย และเมื่อในรถเหลือแค่ผมเพียงคนเดียว ผมจึงยกขาข้างขวาที่รู้สึกเจ็บของตัวเองขึ้นมาดู แผลเป็นรอยลึกจนเห็นเนื้อสีขาวแถมลากยาวเกือบคืบ ผมได้แต่นึกตำหนิตัวเองว่าวันนี้ไม่น่าใส่เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงขาเต่อเลย แม้เลือดแห้งไปบ้างแล้วแต่ถ้าหากปล่อยไว้อาจอักเสบหรือเกิดการติดเชื้อได้
หันมองหาผ้าสะอาดๆ ในรถหวังจะเอามาปิดแผลไว้ก่อนแต่ก็ไม่มีสักผืน ผมจึงใช้ทิชชูซับรอบแผลไปพลางก่อน ไว้ถึงปลายทางค่อยขออุปกรณ์ทำความสะอาดแผลจากทางโรงแรมเอาละกัน ยังไงซะแผลแค่นี้ก็ยังน้อยกว่าความเจ็บปวดที่ผมได้ก่อไว้กับคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามเมื่อมันพลาดไปแล้วสิ่งที่ดีที่สุดก็คือต้องยอมรับผิดและยอมรับในผลการกระทำของตัวเอง..
ย้อนกลับไปผมยังจำได้ดี เมื่อกลับถึงบ้านภาพของคุณพ่อที่ยืนกอดอกรอผมอยู่หน้าบ้านนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นห่วงมากเพียงใด ประโยคที่คุณพ่อบอกกับผมเมื่อเจอหน้าก็คือ
‘ลูกพลาดแล้วล่ะน้องเต็ม’ เมื่อได้ยินประโยคนั้นหัวใจของผมสั่นวูบแทบจะทันที ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองผิดทำพลาดไปคืออะไรร่างกายก็พลันเหมือนจะอ่อนแรง
‘คุณอาดิษฐ์กับภรรยาเสียชีวิต.. พรุ่งนี้เตรียมตัวไปงานศพและอโหสิกรรมให้พวกท่านเสียด้วย’ คุณพ่อบอกผมไว้แค่นั้นก่อนจะโอบกอดผมไว้อย่างปลอบโยน
ที่ผ่านมาท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผมคิดจะทำอะไรแต่ท่านก็ไม่เคยห้ามเพราะรู้ว่าไม่ว่าจะห้ามหรือพูดยังไงผมก็จะหาวิธีและดื้อที่จะทำให้จนได้ ซึ่งถ้าลูกดื้อคุณพ่อก็มักจะสอนด้วยการปล่อยให้ทำและรับผิดชอบผลการกระทำด้วยตัวเอง และตอนนี้ผมก็รู้แล้วครับว่าผลจากการกระทำของผมนั้นส่งผลกับผมมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ..
เรื่องที่คุณอาดิษฐ์เป็นคนทำร้ายคุณรดามีเพียงคุณพ่อเท่านั้นที่รู้ความจริงทั้งหมด คุณพ่อยอมเก็บความเจ็บปวดเอาไว้เพียงลำพังเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้าสัวยางกับคุณนายจู คนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกยังไงหากรู้ว่าลูกเพียงคนเดียวก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ จึงไม่แปลกที่แรกเริ่มคุณพ่อจะไม่เห็นด้วยกับการที่ผมชอบพอกับเทมป์ ท่านไม่อยากให้ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้โดยเฉพาะคุณอาดิษฐ์แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ไม่สามารถจะแสดงหรือพูดอะไรได้มากเพราะกลัวว่าทางคุณดิษฐ์จะระแคะระคาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมท่านกับคุณแม่จึงส่งผมไปอยู่อังกฤษตั้งแต่เด็กนั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคุณอาดิษฐ์ แต่จนแล้วจนรอดผมก็หนีไม่พ้น คุณพ่อบอกว่ามันคงเป็น
‘ชะตากรรม’ ผลจากการกระทำของผมทำให้เกิดช่องว่างระหว่างผมกับเทมป์ อีกฝ่ายหลบหน้าอีกทั้งยังไม่ยอมตอบข้อความหรือรับสายโทรศัพท์ใดๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวรู้สึกยังไงกับผม แต่ในเมื่อวันหนึ่งหลังงานฌาปณกิจของคุณอาดิษฐ์และคุณวิริยาไม่กี่วัน จู่ๆ คนจากบ้านสวนรังสิตก็ได้หอบหิ้วพาสีส้มใส่ตะกร้ามาส่งให้ผมถึงบ้านพร้อมกับข้อความสั้นๆ ว่า
‘คุณกองทัพฝากให้คุณเต็มช่วยดูแลคุณสีส้มค่ะ’ โดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้คุณกองทัพยุ่งมากจึงไม่มีเวลาดูแลสีส้ม ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าเทมป์ไม่ได้เกลียดผมอย่างแน่นอน..
เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณแม่บอกว่าจะทำอาหารส่งไปให้คนป่วยที่โรงพยาบาล ผมจึงถือโอกาสนี้จะทดสอบลองใจอีกฝ่ายด้วยการลองทำเมนูง่ายๆ ไปฝากคนเฝ้าไข้ด้วย แม้ว่าประสบการณ์ด้านงานครัวของผมจะเข้าขั้นติดลบ แต่ผมก็มีคุณแม่คอยช่วยเหลือดังนั้นอาหารกล่องเบนโตะง่ายๆ จึงออกมาหน้าตาดีอย่างเหลือเชื่อ เอ่อ.. ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ และด้วยความมั่นใจผมจึงให้น้าปองเป็นคนไปส่งอาหารให้ฝ่ายนั้นเองกับมือ พร้อมทั้งกำชับว่าให้สังเกตทุกอิริยาบถมาอย่างละเอียด ซึ่งเมื่อน้าปองก็มารายงานผลบอกตามตรงครับว่าผมเดาใจเจ้าตัวอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ มันทำให้ผมยิ่งร้อนใจจนแทบจะเป็นบ้า อาทิตย์หน้าผมก็ต้องบินไปอังกฤษ ผมมีเวลาเหลือไม่มากเพื่อที่จะคุยกับเจ้าตัวให้รู้เรื่อง ดังนั้นเมื่อออมบอกว่าวันนี้เทมป์จะเข้าไปส่งโปรเจ็คจบที่คณะ ผมจึงตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งหน้าด้านหน้าทนรออีกฝ่ายด้วยความหวังเพียงแค่อยากจะคุยและพูดว่า
'ขอโทษ’ จากใจ ต่อให้จะไม่ได้รับการให้อภัยแต่ขอเพียงแค่อย่าเกลียดกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ..
มองออกไปนอกรถฝ่ายนั้นยังไม่เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ผมจึงถือโอกาสปิดช่องแอร์ตรงหน้าแล้วถอดเสื้อที่เปียกออกให้เหลือแค่เสื้อกล้ามบางๆ แค่ตัวเดียว ก่อนจะก้มลงสำรวจแผลอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาร่างสูงก็วิ่งเหยาะๆ หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ฝ่าสายฝนมาถึงรถพอดี ผมจึงรีบอดทนเก็บความเจ็บปวดจากแผลเอาไว้ด้วยการปั้นหน้านิ่งเพราะถึงอย่างไรเสียในตอนนี้หัวใจของผมก็เจ็บกว่าร้อยพันเท่าทวีคูณ
.
.
.
.
.
1 ทุ่มตรง 4 ล้อจอดลงหน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลที่เมื่อหลายปีก่อนเราก็เคยมาที่นี่ ถูกต้องแล้วล่ะครับ.. เมื่อตอนที่เนเนะมาทำงานที่เมืองไทยนั่นแหละ ผมหันมองอีกฝ่ายตั้งท่าจะถามว่าพักที่นี่เหรอ? แต่เจ้าตัวไม่อยู่ฟังคำถามผมสักคำ สองขาเรียวยาวลงจากรถพร้อมถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อแล้วจ้ำเท้าก้าวเข้าสู่ตัวบ้านโดยไม่คิดแม้แต่จะหันมามองหน้าผมสักนิดเดียว
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นสะพาย เพราะไม่คิดว่าจะถูกพาตัวมาที่นี่ผมจึงไม่ได้เตรียมของใช้อะไรมาสักอย่าง แต่ผมก็เลือกที่จะโทรไปบอกคุณแม่ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนและอยู่กับใครเพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วงมากไปกว่านี้
เปิดประตูลงจากรถแค่เท้าข้างขวาแตะพื้นก็เจ็บยวบจนต้องกัดริมฝีปาก แถวนี้แทบจะไม่มีร้านสะดวกซื้อเสียด้วย ถ้าหากไม่ได้ทำแผลคงจะอักเสบแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรครับเผื่อบางทีในบ้านอาจจะมีตู้ยาสามัญประจำบ้านอยู่บ้างก็เป็นไปได้ ผมพยายามข่มความเจ็บและพยายามเดินให้ดูเป็นปกติมากที่สุดแล้วตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน
“เทมป์”
ภายในบ้านมีเพียงแสงไฟจากหน้าประตูที่ผมยืนอยู่เท่านั้น มองซ้ายมองขวาท่ามกลางแสงสลัวก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า ผมจึงเรียกหาอีกฝ่ายแต่ก็นั่นแหละครับถ้าเจ้าตัวตะโกนตอบกลับมาก็แปลกแล้วล่ะ..
เสียงกุกกักจากชั้น 2 ทำให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองตามเสียง ไม่เจอตัวคนแต่ได้ยินเสียงเปิดบานประตู ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ ใช้มือเกาะราวบันไดแล้วไต่ขึ้นด้านบนทีละก้าวอย่างยากลำบาก เมื่อมาถึงหน้าห้องที่บานประตูแง้มอยู่ผมก็เอ่ยเรียกอีกครั้ง
“เทมป์..”
เงียบเหมือนเดิม..
“เต็มเข้าไปนะ..”
ขออนุญาตแล้วนะครับ ถ้าไม่ตอบก็ถือว่าตกลงนะ...
ก้าวเท้าเข้าไปในห้องที่ไร้แสงไฟ แต่ก็สามารถมองเห็นร่างสูงยืนหันหลังมองผ่านบานกระจกใสมองผืนทะเลยามค่ำคืน แค่ไม่กี่อาทิตย์แผ่นหลังกว้างดูผอมบางลงไปเยอะมันสะท้อนให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่ทุกข์เพียงใด ซึ่งผมนี่แหละที่เป็นคนผลักให้เจ้าตัวตกลงไปในเหวลึกนั่นด้วยตัวเอง
วางกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ร่างสูง ด้วยรู้ว่าสภาพจิตใจของอีกฝ่ายคงยังไม่พร้อมที่จะอยากจะอยู่ใกล้ผมมากนัก ผมจึงเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้พอประมาณ
ผืนทะเลตอนนี้ถูกฉาบด้วยสีเข้มของรัตติกาล ท้องฟ้าไร้แสงดาวและไม่มีแม้แต่แสงจากดวงจันทร์ และด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนจึงปรากฎแสงวาบจากสายฟ้าที่แหวกความมืดของค่ำคืนปรากฎอยู่เป็นระยะเมื่อผสานกับเสียงเกลียวคลื่นแรงที่ซัดกระทบฝั่งก็ราวกับว่าธรรมชาติได้กำลังแสดงอารมณ์เบื้องลึกภายในจิตใจของพวกเราในขณะนี้
นานหลายนาทีที่เราทั้งคู่เอาแต่เงียบและทิ้งให้ทุกอย่างตกในอยู่ในภาวะที่แสนน่าอึดอัด สุดท้ายก็คงเป็นผมนี่แหละที่อดทนต่อความรู้สึกที่กัดกร่อนหัวใจให้เจ็บระบมแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ผมขยับตัวเข้าไปหาร่างสูงอย่างระมัดระวัง เมื่อฝ่ายนั้นยังคงนิ่ง ผมจึงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเอ่ยคำที่อยากจะพูดที่สุดออกไป
“ขะ..”
เผี๊ยะ!!เพิ่งจะได้อ้าปาก ฝ่ามือหนาก็ฟาดเข้าที่บนใบหน้าของผมฉาดใหญ่แบบเต็มแรง และโดยไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้การทรงตัวที่ย่ำแย่อยู่แล้วเกิดการเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้น อีกทั้งแผลที่ขาขวายังโดนเสียดสีกับพื้นอย่างจัง จนแยกไม่ออกว่าเจ็บที่ตรงส่วนไหนมากกว่ากันหรือไม่ก็อาจจะเป็นที่หัวใจมากที่สุดก็เป็นไปได้ สภาพของผมในตอนนี้ดูอ่อนแอจนน่าสมเพช แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะร้องอุธรณ์ออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน กัดฟันทนแล้วพยุงตัวลุกขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดเราก็ได้สบตากันตรงๆ เสียที แม้แสงสว่างจะน้อยนิด แต่ผมก็เห็นประกายโกรธแค้นจากดวงตาคมเข้มได้อย่างชัดเจน ไม่แปลกหรอกครับที่อีกฝ่ายจะแสดงอารมณ์ด้านมืดแบบนี้ออกมาเพราะคงจะไม่มีใครทนยืนมองคนที่มีส่วนทำให้บุพการีของตัวเองจากโลกนี้ไปโดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้หรอกครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงคาดหวังว่าในโกรธทั้งหมดทั้งมวลจะไม่มีความเกลียดชังปะปนอยู่แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว...
จังหวะที่เหมือนเส้นอารมณ์บางๆ ขาดสะบั้น ขาเรียวยาวก้าวพรวดเข้ามาประชิดตัวผม สองมือใหญ่ตะปปต้นคอแล้วออกแรงบีบเสียแรงจนผมแทบหายใจไม่ออก
“มึงคิดว่ามึงเป็นใคร? หน้ากากทักซิโด้?”
เสียงทุ้มกดต่ำฟังแล้วชวนน่ากลัวแต่ในดวงตาคู่เข้มกลับมีหยาดน้ำท่วมแววตาที่เศร้าหมอง และทั้งๆ ที่ถ้าผมออกแรงหักข้อมือของอีกฝ่ายก็สามารถจับร่างสูงทุ่มลงไปนอนบนพื้นได้อย่างสบาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะดิ้นรนต่อสู้ใดๆ เลยสักนิด
จวบจนมั่นใจว่าผมกำลังจะขาดใจอยู่รอมร่อ มือใหญ่จึงยอมคลายออกให้ผมได้พักหายใจอยู่เกือบ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นใช้ริมฝีปากบดขยี้ริมฝีปากของผมแทน อีกฝ่ายใช้ฟันคมขบลงบนกลีบปากล่างแรงๆ ความเจ็บทำให้ผมเผลอเผยอปาก ลิ้นอุ่นจึงแทรกเข้ามาในโพรงปากอย่างดุดัน
รสชาติของเลือดเค็มปร่าทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ร่างสูงผละริมฝีปากออกแล้วผลักผมให้ล้มลงบนเตียงในท่าคว่ำหน้าแล้วจับมือผมไขว้ไว้ข้างหลัง จากนั้นก็โถมตัวลงทาบทับกัดซอกคอของผมอย่างแรงจนคิดว่าเนื้ออาจจะหลุดไปแล้วเสียก็ได้
“อ่ะ”
เพราะแผลที่ขาถูกเสียดสีและกระแทกหลายต่อหลายครั้ง บวกกับแรงกัดที่คอทำให้ผมเผลอร้องออกมาก่อนจะรีบกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้เพื่อกลั้นความเจ็บปวด
เสื้อกล้ามตัวบางที่ผมใส่อยู่ถูกฉีกทึ้งจนขาดเพื่อใช้แทนเชือกพันธนาการข้อมือของผมไว้ในท่านอนคว่ำมือไขว้หลัง จากนั้นกางเกงก็ถูกกระชากออกจากร่างกาย ไม่กี่วินาทีถัดมาอีกฝ่ายก็กระแทกส่วนร้อนอันใหญ่โตฝังเข้าช่องทางด้านหลังของผมทีเดียวจนมิด
“โอ๊ย”
ความใหญ่โตรุกรานโดยไม่ทันตั้งตัวโดยที่ไม่มีการเบิกทางให้พร้อม แม้ร่างกายนี้จะมีไว้เพื่อรับสัมผัสจากคนรักด้านบนแค่คนเดียว แต่ก็เจ็บเสียจนไม่อาจจะทนเก็บกดเสียงร้องเอาไว้ได้ไหวอีกต่อไป ร่างกายยังขดเกร็งต่อต้านตามสัญชาตญาณ แต่
แรงกระแทกจากด้านหลังก็ยังจาบจ้วงขยับอย่างรุนแรงบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจความรู้สึกของผมเลยสักนิด ผมกัดฟันกับผ้าปูที่นอนแน่นเพื่อข่มความร้าวระบม และปล่อยให้อีกฝ่ายได้ลงทัณฑ์บนร่างกายของผมอย่างพอใจ ก็แค่คิดเสียว่าดีกว่าโดนคนอื่นข่มขืนก็เท่านั้น
“อ๊าา”
ของเหลวขุ่นร้อนถูกปลดปล่อยในร่างของผมก่อนจะถอนกายออกอย่างรวดเร็วจนผมเผลอสะดุ้งสั่นเทิ้ม ข้อมือด้านหลังได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ แต่แค่ไม่กี่วินาทีมือหนาก็ขยุ้มเส้นผมของผมแล้วกระชากให้ผมแหงนหน้าขึ้นมองสบตากัน
“เจ็บมั๊ย?”
คำถามที่ผมพอจะเดาได้ว่าความเจ็บที่อีกฝ่ายพูดอยู่นั้นไม่ได้หมายถึงความเจ็บปวดทางกาย ทว่าเป็นความเจ็บปวดในหัวใจต่างหาก
คำตอบของผมมีเพียงหยดน้ำที่ไหลกลิ่งออกจากหางตา ผมได้ยินเสียงหัวเราะ
‘หึ’ ในลำคอเบาๆ และยังไม่ทันได้หยุดพักปรับลมหายใจ ผมก็ถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ในท่านั่งซ้อนตัก แผ่นหลังชนหน้าอกกว้าง ความแข็งแรงใหญ่ยักษ์จ้วงแทงเข้ามาในร่าง ยิ่งจังหวะที่แท่งเนื้อพองตัวขยายขนาดคับแน่นแทรกลึกอยู่ในร่างทำเอาสะท้านเฮือกด้วยความจุกและเสียวในช่องท้องจนกรีดร้องไม่ออก ผมพยายามจะขยับสะโพกเพื่อไม่ให้ความใหญ่โตแทงลึกจนเกินไป แต่ทว่าร่างกายก็โดนแขนแกร่งโอบรัดพันธนาการเอาไว้จนยากจะขยับตัว
“ท..”
ราวกับว่าแก่นกายใหญ่ทิ่มแทงมาถึงกระเพาะ ร่างกายของผมสั่นระริกจนยากจะควบคุม ผมอ้าปากจะขอร้องให้อีกฝ่ายถอดถอนออกก่อนแต่เสียงก็ขาดหวิว ผมแอ่นหน้าอก แหงนเงยหน้าแล้วผ่อนลมหายใจเข้าออกด้วยหวังจะผ่อนปรนความทรมาน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
ช่วงล่างร้าวระบมชาหนึบจนแทบหมดความรู้สึก แม้จะเคยผ่านประสบการณ์ความรุนแรงจากตอนที่อีกฝ่ายโดนยาปลุกเซ็กส์แต่ในครั้งนี้ให้ความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่ต่างหากที่เรียกว่า
‘ข่มขืน’ ของจริง ทว่าผมกลับยินดีที่จะให้อีกฝ่ายกระทำย่ำยีถ้าหากว่ามันจะทำให้ความทุกข์ระทมในหัวใจของเจ้าตัวเบาบางลง
เสียงทุ้มครางอย่างเป็นสุขเมื่อได้ปลดปล่อยความอัดอั้นเป็นครั้งที่สอง และรอบนี้ไม่มีการถอนแกนกายออก หากแต่ท่าทางถูกปรับเปลี่ยนโดยที่ช่วงล่างยังเชื่อมต่อกัน อีกทั้งความหนักหน่วงและรุนแรงยังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนผมจำไม่ได้ว่าตัวเองสลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่...
ผมถูกอีกฝ่ายใช้น้ำเย็นๆ รดลงบนหัวจึงทำให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ความรู้สึกที่ว่าเจ็บจนร่างกายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นเป็นเช่นไร
“เจ็บ.. อ่ะ”
ในลำคอแห้งผากทำให้เสียงครางของผมเบาหวิวเสียจนคิดว่าคงจะมีแค่ตัวเองเท่านั้นที่ได้ยิน ที่บอกว่าเจ็บไม่ใช่เฉพาะที่ร่างกาย แต่มันคือความเจ็บปวดจากก้นบึ้งของหัวใจ และแม้ว่าตัวเองจะโดนกระทำให้แหลกละเอียดสักเพียงใด ผมก็ยังคงพร้อมที่จะรับความขื่นขมของอีกฝ่ายไว้ทั้งหมดเพียงคนเดียว
น้ำสีขาวขุ่นที่ถูกปลดปล่อยในร่างกายเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้วันเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าคลับคล้ายคลับคลาว่ามันคือความฝัน ผมได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกำลังร้องไห้ เมื่อผมลองเพ่งมองจึงได้รู้ว่าเด็กผู้ชายรูปร่างอ้วนกลมคนหนึ่ง รู้สึกคุ้นหน้าแต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน ผมดึงเด็กคนนั้นเข้ามาโอบกอดไว้แล้วลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลม..
‘ไม่เป็นไรนะ.. เด็กดี’ ผมเอ่ยคำปลอบซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเสียงสะอื้นหายไป...
.
.
.
.
.
หนาว.. คือความรู้สึกเดียวที่ผมรับรู้ หนาวจนปวดประดูกไปทั้งตัว เปลือกตาก็หนักอึ้งเสียจนคิดว่ามีใครใช้เข็มร้อยด้ายมาเย็บปิดเอาไว้ ผมพยายามขดตัวกอดตัวเองเพื่อให้ร่างกายสร้างความอบอุ่นได้มากที่สุด ทว่าแค่ขยับตัวร่างกายก็ร้าวแปลบจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
“เจ็บ...”
เสียงจากที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกลดังว่า
‘อืม’ แผ่วเบาราวกับเป็นเสียงที่ลอยมาตามลม
“เจ็บ...”
ร้องออกมาอีกครั้งว่าเจ็บจริงๆ ผมเจ็บไปหมดทั้งตัวและหัวใจ และไม่นานก็มีเสียงแว่วดังราวกับกำลังกระซิบว่า
‘รู้แล้ว’ แม้น้ำหนักเสียงยังคงเบาหวิวแต่ก็ถือว่าชัดกว่าเดิมนิดหนึ่ง
ไม่รู้ว่าสายลมอุ่นพัดมาจากทิศทางใด รู้แค่ว่ามันช่างอบอุ่นเหลือเกิน ผมพยายามไขว่คว้าความอบอุ่นที่พัดวนอยู่รอบตัว และไม่น่าเชื่อว่าผมทำมันสำเร็จ ผมโอบกอดความอบอุ่นไว้ด้วยหัวใจและมันก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ก้อนหินที่เหมือนใครเอามาวางถ่วงไว้บนหัวก็ค่อยๆ เบาลง ผมจึงได้หลับอย่างสบายเสียที...
.
.
.
.
.
เสียงกุกกักๆ ที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งอยู่นานสองนานแต่สุดท้ายก็สำเร็จ หลังจากปรับสายตาให้สมดุลกับแสงภายในห้องได้คนแรกที่เห็นก็คือ
‘โบว์?’ “อีจี... แกจำฉันได้ป่ะ?”
คนตั้งคำถามมองหน้าผมตาแป๋วพร้อมกับใช้นิ้วชี้เข้าหาตัวเอง ผมไม่ได้ตอบโบว์ในทันทีแต่เลือกที่จะหันมองรอบๆ สีของทะเลกลมกลืนแทบจะเป็นสีเดียวกับสีของท้องฟ้าคราม คลื่นลมในเวลานี้ดูสงบ มันทำให้ผมนึกถึงสำนวนอังกฤษที่ว่า
‘Every cloud has a silver lining.’ หลังฝนตกฟ้าจะสดใสเสมอ..
“อีจี... มึงโอเคปะเนี่ย?”
เพราะผมเงียบไปนานและไม่ยอมตอบคำถามเสียที เพื่อนสาวจึงเริ่มเป็นกังวล สีหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงระบายรอยยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย พร้อมกับลองขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณเพื่อน.. กระดูกหักไปสักท่อนคุณนายโบรัมไม่มีปัญญาซ่อมให้นะคะ”
ปากบ่นแต่ก็ช่วยประคองผมให้นั่งพิงหัวเตียงจนสำเร็จ จากนั้นก็รินน้ำอุ่นให้ผมดื่ม โบว์นั่งมองผมดื่มน้ำจนหมดแก้วและก็ยังคงนั่งมองอยู่อย่างนั้นจนผมแอบอมยิ้ม
“พูดมาสิ”
แค่ประโยคเดียวจากผม เพื่อสาวก็ฉีกยิ้มกว้าง
“แกทะเลาะกับน้องกองทัพรึเปล่า? ฉันมั่นใจว่าน้องกองทัพไม่ใช่ประเภทเอสเอ็ม”
“เอสเอ็ม?”
เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย โบว์กลอกตามองบนแล้วทำหน้าเบื่อโลก
“คงเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีละมั้ง”
“หืม?”
งงเข้าไปใหญ่สิครับ เพื่อสาวทำเสียง
‘จิ๊จ๊ะ’ พร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“กินข้าวกินยาดีกว่าจะได้กลับบ้าน พรุ่งนี้ต้องเดินทางไกล ถ้าขืนลากสังขารไปแบบนี้โดนเจ้าหน้าที่สนามบินกักตัวไว้ไม่รู้ด้วยนะเว้ย”
พูดเสร็จก็ลุกขึ้นไปยกถาดอาหารและยาที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา แต่เดี๋ยวนะครับ.. พรุ่งนี้ผมจะกลับอังกฤษงั้นเหรอ?
“วันนี้วันที่เท่าไหร่?”
ดวงตาคู่โตหันมามองผม
“แกไม่สบายไงอีจี.. แกถึงไม่รู้ว่าตัวเองนอนซมเพราะพิษไข้ไปตั้งสองวัน”
สองวัน?!! หมายความว่ายังไง?
“แล้ว.........”
ตั้งท่าจะถามต่อ แต่เสียงถอนหายใจของโบว์ก็ทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
“อย่าถามอะไรฉันเลย.. เพราะฉันเองก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แค่ว่าเมื่อเช้ามืดน้องกองทัพโทรบอกให้ฉันมาช่วยดูแลแกแทนเขาหน่อยและถ้าแกฟื้นก็ให้ฉันช่วยพาแกไปส่งบ้านให้ด้วย”
เพื่อนบอกแบบนี้ผมจะทำหรือถามอะไรต่อได้รับนอกจากพยักหน้ารับเท่านั้น
“แต่ก่อนหน้านี้แกจำได้ใช่มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“อืม”
ทำไมจะจำไม่ได้ ทุกอย่างยังชัดเจนในทุกความรู้สึกและยังคงตอกย้ำให้รู้ว่าความผิดพลาดที่ผมก่อไว้ได้สร้างรอยแผลขนาดใหญ่ให้กับอีกฝ่ายมากเพียงใด โบว์คงจะอ่านความรู้สึกจากสีหน้าของผมออก เจ้าตัวถอนหายใจอีกครั้ง
“เรื่องระหว่างแกกับน้องกองทัพฉันจะไม่ยุ่ง หน้าที่ของฉันคือหน้าที่ของเพื่อน.. และถ้าหากแกจะขอบคุณฉันละก็ไม่ต้องบอกเป็นคำพูด.. แค่คราวหน้าคราวหลังหัดเปิดโอกาสให้ฉันได้เรียนรู้วิถีวายสายดาร์กในแบบที่ไม่ต้องมโนเอาเองบ้างก็ได้นะ”
เอ่อ.. 2-3 ประโยคแรกผมเข้าใจอยู่นะครับ แต่ประโยคหลังๆ นี่ผมตามไม่ทันจริงๆ
โบว์ฉีกยิ้มหวานพร้อมกับยกถาดอาหารขึ้นแล้วทำท่าดมจากนั้นก็พูดว่า
‘น้องกองทัพของฉันฝีมือปลายจวักขั้นเทพเลยนะเนี่ย’ ผมได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ข้าวต้มในถ้วยใบใหญ่นั้นฝีมือของเทมป์อย่างนั้นเหรอ?? แต่ถ้าคิดตามที่โบว์บอก ผมนอนป่วยอยู่ 2 วัน และโบว์ก็เพิ่งจะมาหาผมเมื่อเช้า ถ้าเป็นอย่างนั้นช่วงเวลาก่อนหน้านี้คนที่ดูแลผมก็ต้องเป็นเทมป์อย่างไม่ต้องสงสัย..
ถาดอาหารถูกยกมาวางตรงพื้นที่วางบนเตียง แต่เหมือนโบว์เพิ่งนึกได้ว่าผมเพิ่งตื่น เจ้าตัวหันมาถามว่า
‘อยากล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก่อนมั๊ย?’ ซึ่งผมตอบด้วยการพยักหน้า เพื่อนสาวจึงเดินกลับมาที่เตียงช่วยประคองผมไปส่งถึงห้องน้ำ
ผมยืนมองเงาตัวเองในกระจก เสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่เป็นชุดนอนแบบเสื้อและกางเกงขายาวซึ่งขนาดค่อนข้างจะใหญ่กว่าตัวผมอยู่หลายไซด์ ผมค่อยๆ แกกระดุมเสื้อนอนออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นร่องรอยเขียวช้ำเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีแผลขบกัดจนห้อเลือดอยู่อีกหลายจุด แต่ที่หนักที่สุดคงเป็นช่องทางด้านหลังที่แม้จะผ่านมา 2 วันแต่บริเวณนั้นยังระบมและรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่ลงน้ำหนักเท้า.. เอ๊ะ.. ใช่สิ ผมมีแผลที่เท้าขวาด้วยนี่นา?
ถลกขากางเกงนอนข้างขวาขึ้นก็เจอผ้าก็อตสะอาดปิดไว้ตลอดความยาวของแผล ผมลองแกะแง้มผ้าก็อตออกเพื่อตรวจเช็คสภาพแผล ปรากฎว่าแห้งลงไปเยอะแล้วผมก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมหยดน้ำตาที่ไหลอาบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงมีการใส่ยาและทำความสะอาดแผลให้อย่างดีทุกวัน ดูแลอย่างดีแต่ก็ยังไม่พร้อมจะเจอหน้ากัน.. แบบนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากผมยังไม่ได้รับการให้อภัย..
ค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นห้องน้ำ แล้วยิ้มเยาะให้กับเงาในกระจกที่สะท้อนภาพแสนน่าสมเพชของผู้ชายคนหนึ่ง ผมกำลังเรียกร้องอะไรอยู่เหรอ? ความเข้าใจ? การให้อภัย? หรืออะไรกันแน่? ถ้าลองคิดสลับให้ผมเป็นเทมป์ไม่แน่ว่าผมอาจจะจุดระเบิดรุนแรงกว่านี้ก็เป็นไปได้ ผมรักครอบครัวของผม เทมป์เองก็ไม่ต่างกัน แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าหากอีกฝ่ายจะโกรธและเกลียดจนไม่คิดอยากจะมองหน้ากันอีกตลอดชีวิต เพราะความเจ็บปวดที่ผมได้รับเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความทุกข์ทรมานที่อีกฝ่ายจะต้องเผชิญ
“อีเหี้ยจี! มึงเข้าไปนั่งวิปัสนากรรมฐานรึไง?!”
เสียงโบว์ตะโกนโวยวายอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ช่วยเรียกสติให้ผมรู้ว่าตัวเองกำลังอ่อนแอเพียงใด ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วกลัดกระดุมเสื้อจนถึงคออย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ
ผมมองข้าวต้มรวมมิตรทะเลในถ้วยที่โบว์อุตส่าห์เอาลงไปอุ่นให้ใหม่อีกรอบ โบว์บอกว่าอร่อยมากเพราะเจ้าตัวกินไปแล้วตั้งแต่เช้า และขณะที่ผมกำลังละเลียดรสชาติอาหารโบว์ก็นั่งเล่าเรื่องโน่นนี่นั่นไปตามประสาจนกระทั่งผมกินหมดไปเกินครึ่งก็รู้สึกอิ่ม โบว์จึงหยุดพูดแล้วส่งสารพัดยาให้ผมกินพร้อมกับบอกให้ผมนอนพักต่ออีกสักหน่อย แต่ผมยืนยันว่าอยากจะกลับบ้าน เพื่อนสาวมองหน้าอยู่ครู่ใหญ่แล้วสุดท้ายก็ได้แต่เอ่ย
‘เออๆ ตามใจ’ ก่อนจะปล่อยให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าตามลำพัง
โบว์ขับรถจากกรุงเทพฯ มาหาด้วยตัวเอง และดูท่าว่าจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เพราะถ้าบอกซันคงจะต้องมาด้วยแน่ๆ
“แกเคยได้ยินมั๊ยที่เขาพูดกันว่า คนงี่เง่าจะเก็บความเจ็บปวดไว้ในดวงตาในขณะที่คนฉลาดจะเก็บความเจ็บปวดไว้ในรอยยิ้ม”
เพื่อนสาวมองผมด้วยความเป็นห่วงจากใจ ผมเข้าใจในสิ่งที่โบว์ต้องการจะบอก ตั้งแต่เด็กจนโตผมร้องไห้น้อยมาก ผมมักจะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มของตัวเองจนใครหลายคนมองว่ามันคือความเย็นชา แต่ตั้งแต่ได้เจอกับเทมป์ผมก็ได้กลับมารู้จักกับ
‘น้ำตา’ อีกครั้ง..
“บางครั้งเวลาที่แกงี่เง่ามันก็โมเอะดีนะเว้ย เคะแบ๊วไง..น่ารักดีออก”
อารมณ์ที่ว่าเศร้ามันก็จะเบาบางลงนิดหนึ่งเพราะผมมัวแต่คิดตามคำศัพท์ในคลังของโบว์ และจนแล้วจนรอดผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จึงได้แต่ปล่อยให้เพื่อนสาวพล่ามยาวต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่นานฤทธิ์ยาก็ทำให้ผมหลับยาวจนถึงบ้านเลยครับ
.
.
.
.
.
มีต่อด้านล่างนะคะ ^^