CHAPTER 28
“โอ้ย!” ภีมมองนิ้วตัวเองที่ถูกมีดบาดเพราะกำลังหั่นผักเพื่อเตรียมทำกับข้าวจนทิชาต้องรีบผละมือจากจานที่กำลังล้างอยู่ก่อนจะตรงเข้าดูพี่ชาย
“เป็นไรพี่ภีม”
“มีดบาดน่ะ”
“ไปทำแผลก่อนก็ได้เดี๋ยวฉันทำต่อเอง” เธอเสนอแต่ภีมยังดึงดันจะทำ
“ไม่เป็นไรแผลนิดเดียวเอง”
ทิชามองหน้าร่างโปร่งคล้ายจับผิด หญิงสาวรู้สึกได้ว่าวันนี้ภีมดูต่างไปจากทุกวันเขาดูเหนื่อยและเคร่งเครียดจนเธออดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“ฉันว่าวันนี้พี่แปลกๆ นะเมื่อกี้ตอนรดน้ำต้นไม้ก็สะดุดสายยางไปทีนึงแล้วใช่มั้ย”
“ก็นิดหน่อยพอดีเมื่อคืนพี่ฝันร้าย” ภีมตอบไม่เต็มเสียง ร่างโปร่งชะงักมือที่กำลังจะคว้ามีดมาหั่นต่อเมื่อคิดถึงความฝันเมื่อคืน
ฝัน…ที่ดูเหมือนจริงจนน่ากลัว
ฝัน…ที่เขาเป็นฝ่ายคว้ามีดแทงลงบนอกของจอมพลจนเลือดอาบไปทั่ว
“ฝันว่าอะไรล่ะ?” ทิชาเอ่ยถามฉุดให้อีกฝ่ายหลุดออกจากภวังค์ภาพหลอนที่ทำให้วันนี้เขาใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“ช่างมันเถอะ” ภีมว่าก่อนจะลงมือหั่นผักต่อ ทว่าทันใดนั้นเสียงกริ่งกับเสียงทุบประตูบ้านก็ดังสนั่นจนสองพี่น้องที่ง่วนอยู่ในครัวต่างตกใจ
ติ๊งหน่อง!ๆๆ ปัง!ๆๆ
“ใครมันเสียมารยาทแบบนี้นะ!” ทิชาฮึดฮัดถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะเดินออกมาโดยมีภีมเดินตามมาติดๆ
“ทิชา! เปิดประตูหน่อย!!” เสียงของผู้มาเยือนดังลอดประตูบานเลื่อนใสเข้ามาถึงในบ้าน หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็เร่งฝีเท้าก่อนจะเปิดประตูให้กับอดีต คนรักที่บุกมาถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่
“มีอะไรเหรอจอม? ทุบประตูบ้านเราจนมันจะแตกอยู่แล้วนะ!” ทิชาเอ็ด
“พี่ชายเธอ!…” จอมใจยืนหอบก่อนจะมองผ่านหลังทิชาไปหาภีมที่เดินตามมาพอดี หญิงสาวไม่รอช้ารีบสาวไม้ค้ำเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไว
“พี่ภีม...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!” จอมใจเอ่ยตะกุกตะกักพลางโกยอากาศเข้าปอดอย่างเร่งรีบ
“เรื่องใหญ่? อะไรเหรอ”
“พี่พล…พี่พลรถชน!”
“รถชน!!” ภีมเบิกตากว้างตกใจ ร่างโปร่งขาสั่นจนแทบทรุดภาพความฝันที่น่ากลัวยิ่งฉายชัดเมื่อสีหน้าของจอมใจดูไม่ดีเอาเสียเลยก่อนเขาจะตั้งสติได้แล้วถามกลับ “ชะ..ชนที่ไหน!? เมื่อไหร่!?”
“เมื่อคืนตอนเขากำลังจะกลับบ้าน”
“แล้วตอนนี้เขาเป็นไงบ้างอยู่โรงพยาบาลไหน!?”
“ฉันไม่รู้จะบอกพี่ยังไงดีฉันว่าพี่ไปให้เห็นกับตาจะดีกว่า” จอมใจมี สีหน้าคิดหนักหญิงสาวยังคงสั่นเทาเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดตั้งแต่เมื่อคืนไม่หาย
“งั้นไปกันเลย! ทิชาฝากบอกแม่ด้วยนะ” ภีมหันไปวานคนเป็นน้องสาว
“ได้พี่รีบไปเถอะ”
ร่างโปร่งพยุงจอมใจเดินออกจากบ้านก่อนจะตรงไปยังรถที่ไม่สามารถขับเข้ามาในซอยได้เนื่องจากถูกรถส่งของจอดขว้างถนนจนเหลือที่ไว้เพียงมอเตอร์ไซค์ขับผ่านได้เท่านั้น ร่างบางเกาะแขนภีมไว้มั่น สองขาที่ยังไม่ชินกับการสวมขาเทียมก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบก่อนที่พวกเขาจะพากันขึ้นรถที่มีคนขับนั่งรออยู่ด้านในเป็นที่เรียบร้อยและตรงไปยังโรงพยาบาลทันที
ที่โรงพยาบาลภีมเห็นราชันย์และแฟร์นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ทั้งคู่มี สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดก่อนร่างโปร่งจะรีบพยุงจอมใจเดินเข้าไปประจวบกับแฟร์ที่พอเห็นเขาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยด้วยอีกแรง
“คุณจอมพลเป็นไงบ้างครับ!?” ภีมถามคนนั่งกุมขมับ
“ตอนนี้อาการยังน่าเป็นห่วงหมอบอกต้องรอดูจนกว่าร่างกายของมันจะตอบสนองมากกว่านี้” สิ่งที่ราชันย์พูดทำเอาหัวใจของร่างโปร่งกระตุกวูบ
“ผมเข้าไปเยี่ยมเขาได้มั้ยผมอยากเจอเขานะครับผมขอร้อง” ภีมละล่ำละลักเอ่ยขอเสียงสั่น
“หมอยังไม่อนุญาตให้เยี่ยมเลย” แฟร์บอกเพื่อนของตัวเองก่อน ร่างโปร่งจะทรุดฮวบลงตรงนั้นท่ามกลางใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา
“ภีม!”
“ฮึก! เป็นเพราะผม…เพราะผมคนเดียว!” ภีมสะอื้นไห้ออกมาอย่าง ไม่อาย แฟร์ตรงเข้าพยุงเพื่อนของตัวเองให้นั่งบนเก้าอี้ทว่าไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืนเลยสักนิด
“ผมผิดเองที่พยายามปฏิเสธเขามาตลอดทั้งที่เขาเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อขอให้ผมยกโทษให้แต่ผมมัน!...ฮึก! โง่จนทำร้ายเขาให้เจ็บขนาดนี้” ภีมพร่ำด่าตัวเอง
“อย่าโทษตัวเองมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นที่พวกเราควรทำตอนนี้คือภาวนาให้มันพ้นขีดอันตรายก็พอ” ราชันย์พูดอย่างนั้นทว่าร่างสูงก็ลุกออกจากที่นั่งเพื่อหลบไปปาดน้ำตาอยู่ตรงมุมตึกจนแฟร์ต้องเดินเข้าไปปลอบ
“พี่ขอโทษนะจอมใจ” ร่างโปร่งเอ่ยกับคนที่นั่งข้างๆ พลางปาดน้ำตาของตัวเองออกอย่างลวกๆ
“พี่พลเขารักพี่มากจริงๆ นะ” จอมใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“…”
“ฉันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันที่พี่กับพี่พลค้างกันที่โรงพยาบาลกับฉัน”
“…”
“สิ่งร้ายๆ ที่พี่พลเคยทำกับพี่ทั้งหมดมันเป็นเพราะว่าเขารักฉันมาก อีกอย่างมันก็เป็นเพราะฉันเองที่ไม่ยอมบอกความจริงกับเขาตั้งแต่แรก” จอมใจว่าในขณะที่เธอเองก็น้ำตาไหลไม่หยุด
“ถ้าพี่จะโกรธและไม่ให้อภัยพี่พลเพราะเขาเคยทำเรื่องพวกนั้นพี่ก็ต้องโกรธฉันด้วย” ภีมหันไปมองคนข้างๆ หญิงสาวเว้นระยะสักพักก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“แต่ถ้าพี่ให้อภัยฉันแล้วฉันขอพี่อย่างหนึ่งจะได้มั้ย?”
“…”
“ฉันขอพี่ให้อภัยพี่พลอีกคนนะ ถือว่าฉันขอร้องฉันไม่อยากให้เขาต้องเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจแบบนี้ไปตลอดชีวิต” น้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของจอมใจทำให้ภีมรีบฉวยมือเรียวของอีกฝ่ายมากุมไว้ในที่สุด
“พี่ขอโทษที่เอาแต่ผลักไสเขาแต่ตอนนั้นพี่คิดว่าเรื่องระหว่างพี่กับเขามันเป็นไปไม่ได้” ภีมบอกสิ่งที่ค้ำคอออกมา
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าพวกพี่สองคนรักกันหรอก” จอมใจเอื้อมมือขวากุมมือของภีมที่กุมมือซ้ายของตัวเองไว้ประจวบกับที่หมอเจ้าของไข้ของ จอมพลจะเดินออกจากห้องฉุกเฉินมา
“หมอครับอาการของคุณจอมพลเป็นไงบ้างครับ” ภีมพรวดพราดลุกขึ้นพลางถามคนที่เพิ่งจะเดินออกมากลับไปพลัน
“ตอนนี้ร่างกายของคนไข้ตอบสนองต่อการรักษาและพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” หมอตอบด้วยใบหน้ายิ้ม ก่อนราชันย์และแฟร์ที่เดินกลับมาทันได้ยินพอดีจะถามกลับ
“แล้วจะออกจากห้องฉุกเฉินได้เมื่อไหร่ครับ”
“พรุ่งนี้เช้าครับ”
“แสดงว่าเข้าไปเยี่ยมได้แล้วใช่มั้ยครับ” ภีมดีใจเผยรอยยิ้มออกมา
“ตอนนี้หมออยากให้คนไข้ได้พักผ่อนรบกวนเยี่ยมตอนออกจากห้องฉุกเฉินพรุ่งนี้นะครับ” คนเป็นหมอตอบกลับอย่างนุ่มนวลทว่าภีมกลับหุบยิ้มลงอย่างผิดหวังอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรน่าคุณหมอเขาบอกว่าคุณจอมพลปลอดภัยแล้ว” แฟร์ปลอบ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” หมอบอกลาและเดินจากไป ราชันย์เลยถือโอกาสนี้พาทุกคนออกมานั่งพักกันที่ร้านคอฟฟี่ช็อปด้านหน้าล๊อบบี้ของโรงพยาบาลแทน
“พ่อกับแม่เธอว่าไงบ้าง” ร่างสูงถามจอมใจที่เดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากขอตัวโทรไปบอกเรื่องอุบัติเหตุของจอมพล
“ตวาดกลับใหญ่เลยว่าทำไมถึงไม่บอกท่านให้เร็วกว่านี้แต่จอมก็บอกไปแล้วนะว่าตอนนี้พี่พลปลอดภัยแล้ว” หญิงสาวตอบหน้าหงิก
“พวกท่านจะกลับมาเยี่ยมมันมั้ย”
“เห็นแม่บอกว่าน่าจะถึงตอนดึกๆ เพราะพอรู้เรื่องพ่อก็วานให้เลขาฯ จองตั๋วเครื่องบินให้เลย”
“โอเคอย่างน้อยพี่ก็ไม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกใครอย่างที่มันขอ” ราชันย์พ่นลมหายใจออกมา
“อย่างที่มันขอ? คุณราชันย์หมายความว่าไงครับ” ภีมนึกสงสัยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“จอมพลมันขอไว้” ราชันย์บอกก่อนจะพูดต่อ “เมื่อวานตอนฉันไปถึงที่เกิดเหตุหน่วยกู้ภัยเพิ่งจะพามันออกจากซากรถมาได้ตอนนั้นมันยังพอมีสติเลยขอร้องฉันว่าไม่ให้บอกใครโดยเฉพาะนาย”ภีมถึงกับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อรู้เข้า
“ทำไมเขาถึงได้…”
“คงกลัวว่านายจะโทษตัวเองหากมันเป็นอะไรไปล่ะมั้ง เพราะเมื่อวานหลังจากที่แยกกับนายมันก็โทรตามฉันให้ออกไปนั่งดื่มด้วยแถมยังดึงดันจะขับกลับเองอีกแล้วเป็นไง? เกิดเรื่องขึ้นจนได้นี่ความจริงมันต้องไปญี่ปุ่นวันนี้นี่ใช่มั้ย” ราชันย์สาธยายออกมายาวเหยียดก่อนจะหันไปถามจอมใจในประโยคหลัง
“เออ…ชะ…ใช่” หญิงสาวตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ไปญี่ปุ่น? หมายความว่าไง?” ภีมสวนถามขึ้นทันควัน
“มันไม่ได้บอกนายเหรอว่าที่มันไปหานายเมื่อวานคือมันอยากจะมีเวลาอยู่กับนายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องไปบริหารงานที่นั่น”
“!!” ภีมตะลึงงันในสิ่งที่ได้ยิน ร่างโปร่งหัวใจบีบรัดจนรู้สึกจุกไปทั้งอกกับเรื่องที่เขาไม่รู้มาก่อน “ขะ…เขาไม่เห็นบอกเรื่องนี้กับผมเลย” เสียงเศร้าเอ่ยกลับพลางก่นด่าตัวเองที่พูดตัดบัวไม่เหลือใยกับอีกคนไปในใจไม่หยุด
“เออ…คือ…” จู่ๆ จอมใจที่นั่งฟังด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นานก็พึมพำออกมาราวกับมีเรื่องจะพูดก่อนเธอจะตัดสินใจบอกเรื่องนี้ออกไปเมื่อสายตาทุกคู่หันมาจับจ้องเธอเป็นจุดเดียว “เรื่องที่พี่พลจะต้องไปบริหารงานที่นั่นน่ะความจริงมันเป็นแผนของแม่จอมเอง”
“อะไรนะ!?” ราชันย์คือคนที่ถามกลับพลันส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ ขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“แม่อยากจะเร่งให้พี่พลยอมสารภาพความรู้สึกของตัวเองเพราะคิดว่า พี่ภีมจะใจอ่อนและยอมคืนดีด้วยเลยกุเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างแต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้พี่พลตกอยู่ในสภาพนี้” จอมใจบอกเสียงเศร้า
“เธอรู้เรื่องนี้นานแค่ไหน?” ภีมเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เมื่อกี้ที่คุยโทรศัพท์กันนี่เอง” คนตอบทำหน้าเจื่อนอย่างไม่คาดไม่ถึงกันแผนการของแม่ตัวเองเช่นเดียวกัน
“ช่างเถอะยังไงซะตอนนี้ไอ้พลมันก็ปลอดภัยดีแล้ว” ราชันย์เอ่ยออกมาเมื่อจู่ๆ บรรยากาศภายในโต๊ะเกิดอึมครึมขึ้นก่อนร่างสูงจะพูดต่อ “เอาล่ะไหนๆ ก็เข้าเยี่ยมไม่ได้แล้วแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนแล้วค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถอะ”
“แต่ผม…” ภีมอยากจะแย้งแต่แฟร์กลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เถอะน่าภีมถึงมึงอยากจะอยู่ก็เข้าเยี่ยมไม่ได้อยู่ดีเก็บแรงมาใหม่พรุ่งนี้จะดีกว่า” ร่างโปร่งมองเพื่อนตัวเองพลางยอมพยักหน้าเข้าใจกลับ
“ให้ฉันไปส่งมั้ย” ราชันย์ถาม
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ชันย์เดี๋ยวจอมไปส่งพี่ภีมเอง” จอมใจชิงตอบแทน
“งั้นพรุ่งนี้พี่อาจมาแต่เช้าเลย”
“ค่ะจอมเองก็จะมาแต่เช้าให้ทันทำเรื่องย้ายห้องพี่พลเหมือนกัน” พูดเสร็จทั้งสี่ก็พากันแยกย้ายกันโดยจอมใจเป็นคนอาสาไปส่งภีมถึงบ้าน
“พรุ่งนี้ให้พี่ไปรับมั้ย” ภีมถามเมื่อลงจากรถที่จอดเทียบหน้าบ้านตัวเอง
“ไม่เป็นไรพรุ่งนี้จอมจะไปโรงพยาบาลกับพ่อแม่”
“ถ้าอย่างงั้นวันนี้พี่ขอบคุณเธอมากเลยนะ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านทว่าเสียงของจอมใจที่ดังขึ้นก็ฉุดเขาให้หันกลับ
“อย่าโทษตัวเองนะพี่ภีมพี่พลปลอดภัยแล้วพี่อย่าคิดมากนะ”
ภีมเหยียดยิ้มและพยักหน้ารับร่างโปร่งโบกมือลาอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถที่กำลังถูกคนขับเคลื่อนออกจากซอยไปจนลับสายตา
ภีมขับรถออกจากบ้านแต่เช้าหลังจากทำกับข้าวให้แม่และทิชาที่ต้องไปมหา'ลัยเสร็จ ร่างโปร่งโทรหาจอมใจถึงเรื่องห้องพักฟื้นของจอมพลก่อนสองขายาวจะก้าวเดินขึ้นตึกสีขาวสูงระฟ้าเพื่อมุ่งไปยังห้องนั้นทันทีหลังจากเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล
ภีมหยุดยืนมองหน้าห้องพักหมายเลข 4301 สักพักในมือของเขาถือกระเช้าผลไม้ที่ซื้อมาไว้แน่นก่อนร่างโปร่งจะตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูและเปิดเข้าไป
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” ภีมยกมือไหว้จอมเดชและจอมขวัญที่นั่งอยู่ตรงโซฟาก่อนอีกฝ่ายที่เขาพูดด้วยจะส่งยิ้มกลับ
“สวัสดีจ้ะมาแต่เช้าเลยนะภีม” จอมขวัญที่ผละสายตาจากคนบนเตียงเอ่ยขึ้น
“ครับคุณป้า…สวัสดีครับคุณราชันย์” ภีมหันไปหาร่างสูงอีกคนที่นั่งอยู่อีกฝากหนึ่งของเตียง ราชันย์ยิ้มรับนิดๆ พลางพยักหน้าก่อนร่างโปร่งจะวางกระเช้าที่ตัวเองซื้อมารวมกับของเยี่ยมอื่นๆ พร้อมกับหันไปมองจอมพล
ร่างสูงยังคงนอนหลับไม่รู้สึกตัว ใบหน้าคมเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผลที่เกิดจากเศษกระจกบาด บนหัวของเขามีผ้าก๊อตพันเอาไว้หลายชั้นก่อนภีมจะไล่สายตาลงไปที่เท้าซ้ายของอีกฝ่ายซึ่งถูกสวมเฝือกเอาไว้ยาวขึ้นไปจนถึงใต้เข่าประมาณห้าเซ็นต์ฯ
ร่างโปร่งมองภาพของคนเจ็บด้วยแววตาสั่นระริก ภีมรู้สึกจุกไปทั้งอกจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนพูดออกมาได้ ของเหลวใสเอ่อขึ้นจนล้นดวงตากลมไหลออกมาเป็นสายก่อนที่เขาจะจัดการปาดมันออกอย่างไวเพราะกลัวคนอื่นจะเห็น
ภีมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างข้างเตียง บรรยากาศภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้งหลังจากที่เขาเอ่ยทักราชันย์ไป ทุกคนต่างนั่งนิ่งไม่พูดอะไรหากแต่ทุกสายตากลับมองไปยังจุดเดียวนั่นก็คือจอมพล
“ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” จอมขวัญเอ่ยขึ้นพลางมองมาที่ภีม
“ผมเองก็เสียใจครับ” ร่างโปร่งตอบพลางหันมองคนเจ็บอีกครั้ง
“ภีม...”
“ครับ?”
“ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยจะได้มั้ย” ภีมมองจอมขวัญอย่างสงสัยอยู่สักพักก็พยักหน้ารับก่อนคนอายุมากกว่าจะเดินนำเขาออกจากห้องมา
“เอ่อ…แล้วจอมใจไปไหนเสียล่ะครับ” ภีมถามพลางเดินตามหลังอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“พอดีวันนี้คุณหมอบดินทร์เขานัดตรวจร่างกายหลังการรักษาของยัยใจน่ะอีกเดี๋ยวก็คงกลับ” จอมขวัญบอกก่อนทั้งคู่จะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางหนีไฟของชั้น
หญิงวัยกลางคนหันกลับไปมองคนเดินตามด้วยแววตาหมอง เช่นเดียวกับภีมเองที่รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียจนเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งมือก่อนที่ จอมขวัญจะถอนหายใจและเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ก่อนอื่นเลยฉันต้องขอโทษที่ลูกชายฉันเคยทำเรื่องไม่ดีไว้กับเธอตั้งมากมายขนาดนั้นนะ” ภีมสบตากับคนตรงหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างงงๆ
“คะ…ครับ”
“เธอคงเจ็บปวดมากจนให้อภัยตาพลไม่ได้เลยใช่มั้ย” คนถูกถามขมวดคิ้วหน่อยๆ ก่อนร่างโปร่งจะเข้าใจถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายอยากจะคุยกับเขาในที่สุด
“เปล่านะครับ”
“…”
“ผมยังไม่ลืมเรื่องพวกนั้นก็จริงแต่ที่ผมพยายามถอยห่างจากเขามันเป็นเพราะผมคิดว่าเราสองคนต่างกันเกินไปอีกอย่างพวกเราไม่มีทางเป็นในแบบที่เขาต้องการได้ยังไงล่ะครับ” ภีมบอกออกไปอย่างไม่กั๊ก
“ใครกันที่บอกว่าเธอสองคนต่างกันเกินไป” จอมขวัญไม่เห็นด้วย
“…”
“ไม่มีใครนอกจากตัวเธอเองหรอกจริงมั้ย” คำถามของฉุดให้ภีมได้คิด
ร่างโปร่งคิดเองมาตลอดว่าเรื่องระหว่างเขากับจอมพลไม่มีทางเป็นไปได้คิดทั้งที่ไม่สนใจว่าร่างสูงจะรู้สึกยังไงและคิดไปก่อน…แม้กระทั่งยังไม่เคยได้ลองพยายามเลยสักครั้ง
“ผมขอโทษครับ ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เขาเป็นแบบนี้” ภีมยกมือไหว้พลางก้มหัวให้จอมขวัญ
“ไม่หรอกอุบัติเหตุครั้งนี้ฉันเองก็ผิดที่กุเรื่องทำให้ตาพลคิดมากจนขาดสติ” เธอคว้ามือที่พนมกันของภีมเป็นการห้าม “เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากรู้มากกว่าคือเธอรักลูกชายฉันมั้ย”
“แม่คะ! พี่พลฟื้นแล้วค่ะ!!” ไม่ทันที่ภีมจะได้ตอบจู่ๆ จอมใจที่รีบสาวเท้าเดินมาก็ตะโกนบอกด้วยความดีใจ ร่างโปร่งเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นเต้นภีมกำลังจะสาวเท้าเดินไปหาอีกฝ่ายที่หยุดยืนรออยู่ไม่ไกลทว่าผู้เป็นแม่ของร่างสูงกลับฉวยแขนเขาไว้ก่อน
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะ” ภีมสบตากับจอมขวัญก่อนใบหน้าของเขาจะเปื้อนยิ้มขึ้นมา
“รักครับ” ร่างโปร่งตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป “ผมรักคุณจอมพลไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ทั้งที่ตอนนั้นเขาเองก็ร้ายกับผมไว้มากแต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็รักเขาไปแล้ว” จอมขวัญฉีกยิ้มหลังจากได้ยินประโยคนี้ชัดๆ จากคนตรงหน้าก่อนที่เธอจะเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาซึ่งคำพูดนี้เองได้ทำให้ภีมตัดสินใจทำอะไรบางอย่างในที่สุด
“ถ้าอย่างงั้น…อย่ารอให้อะไรมาพรากมันไปก็แล้วกัน”
“แค่กูเข้าโรง'บาลเองมึงก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้จะบอกพ่อแม่กูทำไมลำบากพวกท่านเดินทางมาเปล่าๆ” จอมพลเอ็ดราชันย์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยเสียงแหบพร่า
“ไอ้คนที่พูดว่า แค่เข้าโรง'บาลเอง เนี่ยกูได้ข่าวว่าเพิ่งขับรถชนเกาะกลางถนนเสียบเข้ากับเสาไฟฟ้า ขาหัก หัวแตกเย็บสิบเข็มแถมยังซี่โครงร้าว นี่ถ้าเป็นกว่านี้อีกนิดกูเกือบจองศาลาพร้อมซื้อพวงหรีดไว้ให้ละ” ราชันย์เหน็บสวนทำเอาจอมเดชที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลอดขำให้กับพวกเขาทั้งสองที่ยังคงกัดกันไม่เปลี่ยนแม้จะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักกันก็ตาม
“ไอ้ปากอัปมงคล” คนเจ็บปรายตามองอย่างฉุนๆ
“ไงล่ะครั้งนี้เล่นหมดสภาพเลยสินะ” จอมขวัญที่เดินเข้ามาเอ่ยทักด้วยประโยคแรกที่ทำเอาจอมพลถึงกับจุก
“ก็ไม่ได้เป็นไรมากนี่แม่…มึงนี่นะไอ้ชันย์ไม่น่าบอกพ่อแม่กูเลย” ตอบแม่ตัวเองเสร็จก็หันมาแว้งกัดร่างสูงอีกคนไม่ปล่อย
“เอ้อ! ลืมไปว่ะว่ากูไม่ได้บอกแค่พ่อกับแม่นะเว้ยแต่กูยังบอก…” ราชันย์ที่ได้ยินเสียงคุยกันของจอมใจและภีมหลังจากที่ทั้งคู่เปิดประตูห้องเดินเข้ามาเอ่ยบอกก่อนสายตาของร่างสูงบนเตียงจะจับจ้องไปยังคนที่เดินเข้ามาใหม่ทันที
“ภีม…” จอมพลเหมือนถูกสาปให้แข็งเป็นหิน ร่างสูงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างน้อยใจ
“มึงมาที่นี่ทำไมไหนบอกว่ามึงกับกูจบกันไปแล้วไง” ทุกคนในห้องหันมองภีมเพื่อลุ้นคำตอบกันเป็นตาเดียว
“ก็ใช่ที่ผมเคยพูดแบบนั้น” คำตอบของภีมยิ่งทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องเขาไม่หยุด
“ภีมเขาอุตส่าห์มาเยี่ยมก็พูดกับเขาดีๆ หน่อยสิเจ้าพล” จอมเดชยิ้มอย่างรู้กันกับจอมขวัญก่อนจะทำทีเอ็ดลูกชายตัวเองออกไป
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้” ร่างสูงบิดหน้าหนี
“เอ…ใจพี่ว่าเราพาพ่อกับแม่ออกไปหาซื้ออะไรมาเซ่นคนแถวนี้ดีกว่า”
“ไอ้ชันย์กูยังไม่ตายจะเซ่นเพื่อ!?” จอมพลว่าให้ราชันย์ที่กำลังหาทางให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
“ดีเลยพี่ชันย์”
“ใช่จ้ะแม่เองก็อยากออกไปหาซื้อกับข้าวเหมือนกันนี่เราสามคนยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะใช่มั้ยคะคุณเดช”
“จ้ะแม่…” ทุกคนสวมบทบาทได้อย่างแนบเนียนจนคนคิดแผนถึงกับอึ้ง
“งั้นไปรถผมเลยนะครับเฮ้ย! ไอ้พลกูจะออกไปข้างนอกมึงจะเอาไรมั้ย”
“ฝากซื้อน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในมาให้กูที” ร่างสูงทำทีตอบเพื่อนสนิทก่อนจะปรายตามองร่างโปร่งที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล
“ได้เดี๋ยวกูจะซื้อมาให้สักสามสี่ลิตร” ว่าเสร็จทั้งสี่คนก็พากันเดินออกจากห้องไปทิ้งไว้แต่เพียงภีมที่ตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายข้างๆ เตียง
“เจ็บมากมั้ย” ร่างโปร่งเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ไม่เจ็บ” จอมพลตอบพลางหันหน้าหนีจนภีมทนไม่ไหวต้องยกมือขึ้นกดแผลที่หัวอีกฝ่ายไปหนึ่งที
“โอ้ย!! ซี้ดดด”
“ทำเป็นเก่งไปได้เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ” จอมพลมองภีมด้วยอย่างเคืองๆ
“แล้วมาทำไม? จะตามมาสมน้ำหน้าที่ตอนนี้เหมือนกรรมมันตามสนองกูอยู่สินะ” ร่างสูงว่าเสียงเย้ยหยันจนภีมแทบอยากกุมขมับกับท่าทีนี้เสียจริงๆ
“ก็คิดได้เนอะ” ร่างโปร่งว่าไม่เต็มเสียงนักก่อนบรรยากาศในห้องจะกลับมาเงียบอีกครั้งจนคนที่บิดหน้าหนีหันกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับอีกคน
จอมพลหันมาสบตาภีมที่ยืนมองเขานิ่ง ดวงตากลมของอีกคนเรื่อไปด้วยน้ำตาก่อนภีมจะเอื้อมมือขึ้นจับแขนของร่างสูงและบีบเบาๆ ราวกับอยากจะยืนยันกับตัวเองว่าคนที่นอนอยู่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
“เจ็บขนาดนี้แล้วยังห้ามไม่ให้คุณราชันย์บอกอีกคุณมันโครตบ้าเลยรู้ตัวมั้ย” ร่างโปร่งว่าพลางกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล
“มึงไม่สนใจกูอยู่แล้วนี่จะบอกไม่บอกมันก็เหมือนกัน” จอมพลมองภีมด้วยความไม่เข้าใจก่อนคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายจะทำให้หัวใจของเขาวูบไหว
“ตอนนี้ผมยังดูไม่สนใจคุณเหรอ” ภีมมองด้วยแววตาอ้อน “แล้วต้องทำยังไงผมถึงจะดูสนใจคุณ?”
จอมพลเบิกตาขึ้นเล็กน้อยร่างสูงพยายามขยับตัวปรับท่านั่งโดยที่ภีมก็ไม่รอช้ารีบยื่นมือเข้าช่วยก่อนที่เขาจะมองคนที่ยืนข้างๆ นิ่ง
“งั้นจับมือกู” จอมพลพูดเหมือนสั่ง
ร่างสูงไม่กล้าหวังอะไรมากกับคำนี้เพียงแต่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมทำอย่างที่พูดไว้หรือเปล่า…
และก็เป็นอย่างที่พูดเมื่อภีมเอื้อมมือมาจับมือขวาของเขาเอาไว้แน่นพลางบีบกระชับจนทำให้ร่างสูงรู้สึกอัดอั้นและร้อนผ่าวไปทั่วใต้ตาทั้งสองข้าง
“กอดกู” ภีมโน้มตัวลงโอบกอดเขาไว้ทันที ไม่ใช่กอดเหมือนอย่างทุกครั้งหากแต่ครั้งนี้ร่างโปร่งกอดเขาด้วยใจทั้งหมดที่มี
“จูบกู” ภีมหยัดตัวขึ้นพลางเท้าแขนไว้ข้างตัวของจอมพล ร่างโปร่งทาบริมฝีปากสีแดงระเรื่อลงบนริมฝีปากสีซีดของคนบนเตียงอย่างแนบแน่นแม้จะไม่ได้รุกล้ำแต่บทจูบนี้ก็เรียกน้ำตาให้เรื่อขึ้นมาในดวงตาคมได้เป็นอย่างดี
“คุณอยากให้ผมทำอะไรอีกบอกมาได้เลย” ภีมพูดหลังจากผละ ริมฝีปากออก จอมพลมองดวงตากลมของอีกฝ่ายนิ่งก่อนร่างสูงจะยกแขนแกร่งขึ้นโอบอีกคนเข้ามากอดไว้
“มึงให้อภัยกูแล้วใช่มั้ย” น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบแก้มจนร่างสูงต้องรีบปาดมันออกเพราะกลัวใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่รักคนในอ้อมแขนจนหมดใจ
“ผมให้อภัยคุณไปตั้งนานแล้ว”
“ขอโทษกับเรื่องทุกอย่างที่กูเคยทำ กูรักมึงภีม…รักมาก…อยู่กับกูนะอย่าไปไหนถือว่ากูขอระ!…” ภีมที่คลายอ้อมแขนออกจากจอมพลชิงทาบนิ้วเรียวลงบนริมฝีปากซีดทันที
“คุณไม่ต้องขอร้องผมหรอก”
“…”
“เพราะถึงคุณไม่ขอผมก็จะอยู่ข้างๆ คุณ” คนพูดฉีกยิ้มก่อนประโยคต่อมาของเขาจะยิ่งทำให้จอมพลไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้วฟื้น
“ผมรักคุณครับคุณจอมพล”
“!!”
“รักมากและจะอยู่ข้างๆ คุณต่อจากนี้ไม่ไปไหนถึงคุณจะไล่ผมก็ไม่ไปเตรียมตัวไว้ได้เลย” ภีมก้มลงจูบซับไปบนแก้มสากอีกครั้ง
“มึงแม่ง! ทำกูเสียน้ำตามากกว่าแม่กูซะอีก” จอมพลว่าก่อนภีมจะเอื้อมมือขึ้นปาดน้ำตาให้ร่างสูง
“ไม่เห็นเป็นไรเลยขนาดหน้าคุณมีแต่รอยช้ำแถมยังร้องไห้ขี้มูกโป่งแต่คุณก็ยังดูหล่อเหมือนเดิม” ร่างโปร่งยิ้มพลางแซวอีกฝ่ายกลับ
“หยุดพูดเลยภีม” จอมพลเสมองไปทางอื่นหูของเขาเริ่มแดงขึ้นอย่างอายๆ
“ทำไมล่ะครับก็คุณยังดูหล่อจริงๆ นี่นา” ร่างโปร่งแซวไม่เลิก
“พอได้แล้วภีม” นัยน์ตาคมหันกลับมาจ้องคนตรงหน้าอีกครั้งก่อน ร่างสูงจะยอมรับออกไปในที่สุด “กูเขิน…”
ภีมยิ้มให้กับท่าทีของจอมพลที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็น ร่างโปร่งลากเก้าอี้ตัวที่ว่างมานั่งพลางคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้
“คุณจอมพลครับ”
“หืม?”
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ” ร่างสูงเหยียดยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ
“สวัสดีครับผมภีมวิทธิ์หรือคุณจะเรียกผมว่า 'ภีม' เฉยๆ ก็ได้” ภีมพูดแนะนำตัวเองก่อนจอมพลจะกระชับมือที่ถูกอีกฝ่ายกุมและตอบรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขจนไม่สามารถหักห้ามรอยยิ้มอันน่าหลงไหลของตัวเองไว้ได้
“ผมจอมพลยินดีที่ได้รู้จักครับ…ภีม”
TBC....-----------------------------------------
บทหน้าจบแล้วนะคะ เม้นท์เป็นกำลังใจคนเขียนหน่อยเร้วววววว!!!
