-4-
เช้าวันสดใส ร้านดอกไม้ก็ยังคงเปิดตามปกติ ปูนออกมารับแสงแดดยามเช้าอยู่ครู่ใหญ่ถึงเข้าไปในร้านเพื่อจัดของ เพราะวันนี้ดอกไม้ล็อตใหม่จะมาส่ง ดังนั้นต้องรีบจัดพื้นที่สำหรับของใหม่ ช่วงที่ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้ดอกไม้ เสียงกระดิ่งหน้าประตูก็ดังเตือน ปูนรีบขานต้อนรับพร้อมกับหันไปยิ้มให้
“อ่าว” รอยยิ้มกว้างค่อยๆ หุบลงเมื่อคนเข้ามาเป็นคนรู้จัก
“ทำหน้าแบบนั้น ผิดหวังที่เห็นหน้าพี่หรือ” กรพัฒน์รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อกี้หัวใจเต้นระรัวตอนได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ “แล้วโรสมาหรือยัง”
“ยังครับ พี่โรสน่าจะเข้าช่วงสายๆ พี่กรมีอะไรหรือเปล่าครับ” ปูนวางของในมือก่อนจะเดินเข้ามาหาเพื่อนสนิทของเจ้าของร้าน วันนี้กรพัฒน์แต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ทำให้ดูเหมือนวัยรุ่น
“ทำไงดีล่ะ” คิ้วหนาขมวดมุ่นเหมือนคิดหนัก “แป๊บนะ”
“ครับ”
อยู่ๆ กรพัฒน์ก็เดินออกไปนอกร้าน ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมเด็กคนหนึ่งที่ตีหน้าบึ้ง
“ไหนป๋าบอกจะพาไปเที่ยวไง” ประโยคห้วนๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มตรงหน้า ปูนมองชายหนุ่มสองวัยจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ
“ก็ใช่”
“แล้วไง ไหนล่ะที่เที่ยว ร้านดอกไม้เหรอ มันน่าเที่ยวตรงไหน หรือต้องมารับผู้หญิงของป๋า”
“ไอ้เกน”
“เอ่อ...” ดูเหมือนสองหนุ่มต่างวัยตรงหน้าจะเริ่มทะเลาะกัน ปูนเลยรีบขัด
“แล้วนี่ใคร” น้ำเสียงห้วนไม่พอ สายตาตวัดมามองยังนิ่งได้น่ากลัว ปูนกัดริมฝีปากล่างทันทีที่ถูกเด็กอายุน้อยกว่ามากจ้อง
“พี่ ชื่อปูน” คนถูกมองบอกชื่อพร้อมรอยยิ้มหวานประจำตัว และดูเหมือนเด็กหนุ่มจะแอบชะงักไปเหมือนกัน “แล้วนี่...ใครเหรอครับ” ปูนละสายตาจากเด็กตรงหน้า แล้วเอ่ยถามคนพามา
“ลูกพี่เอง ชื่อเกน” คำตอบของกรพัฒน์ทำคิ้วสวยขมวดเป็นปม “พอดีจะพาไปเที่ยวแต่ที่บริษัทดันมีงานด่วนน่ะ”
“ก็เลยเอามาปล่อยไว้ที่นี่ใช่ป่ะ”
“ไอ้เกน”
ทะเลาะกันอีกแล้ว ปูนมองหนุ่มสองวัยสลับกันไปมา จะว่าหน้าเหมือนกันก็ใช่ แต่เด็กคนนี้คล้ายกับลูกครึ่งฝรั่งซะมากกว่า แม้โครงหน้าจะได้กรพัฒน์มาเต็มๆ ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าหล่อมากนั่นเอง
“ป๋าจะไปไหนก็ไปเลย ไม่ต้องสนใจเกน”
เด็กหนุ่มชื่อเกนสะบัดหน้าพร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้โดยไม่ยอมหันกลับมาสนใจใครอีก ท่าทางเช่นนั้นทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับถอนหายใจออกมา
“ไม่รู้ดื้อเหมือนใคร...ปูนขำอะไร” บ่นเบาๆ กับตัวเอง แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะ
“ขำขัน” คนขำไม่ยอมบอกเหตุผล ก็ใครจะกล้าบอกว่าดื้อได้พ่อ “แล้วพี่กรจะฝากน้องเขาไว้ที่ร้านนี้เหรอครับ”
“อ่า พี่ฝากได้ไหม ถ้างานเสร็จจะรีบมารับ” แม้จะพูดกับปูน แต่สายตาของกรพัฒน์ก็มองไปที่ลูกชายของตัวเอง “โทษทีนะ ลูกพี่นิสัยแย่ไปหน่อย”
“อ่าครับ ปูนจะพยายามเข้าใจ” ก็ไม่อยากตัดสินใจอะไรเด็กมากเพราะยังไม่ได้ทำความรู้จัก ปูนมองตามสายตาคมไปที่คนงอน เด็กหน้าตาหล่อเหลาทำหน้าบึ้งตึงสะบัดหน้าซ้ายขวา ปากก็ยื่นดูตลก แบบนั้นคงจะงอนพ่อตัวเองหนักเอาการ “พี่ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวปูนดูให้ อีกเดี๋ยวพี่โรสก็มา”
“ขอบใจนะ พี่จะรีบมารับก็แล้วกัน” ตอนแรกกรพัฒน์คิดจะพากลับไปที่คอนโดแต่ระยะทางไกลเกินกว่าจะไปกลับบริษัท อีกทั้งลูกชายจะงอนหนักกว่าเดิมเพราะคิดว่าเบี้ยวนัด หากฝากไว้ที่ร้านนี้ อย่างน้อยก็ได้ออกนอกบ้าน “เกน ป๋าจะรีบมานะ อยู่กับพี่ปูนอย่าดื้อ แล้วก็ ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย”
“เออ” คำตอบกลับแข็งกระด้าง ดูไม่น่ารักเอาซะเลย
“ดูมันๆ” กรพัฒน์อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ลูกชาย “พี่ไปนะ รบกวนหน่อยนะปูน”
“ไม่เป็นไรครับ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะเสร็จช้า” ปูนย่นคิ้วเมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มทิ้งท้ายของกรพัฒน์ หลังจากจบประโยคของตัวเอง ไม่รู้คิดอะไรถึงทำสายตาแพรวพราวแบบนั้น หรือประโยคที่พูดไปมันมีอะไร...ก็ไม่เห็นจะมีนี่นา
เมื่อกรพัฒน์ออกจากร้านไปแล้ว เด็กถูกฝากไว้ก็นั่งกอดอก ทำหน้าตาง้ำงอตามอารมณ์น้อยใจของเด็ก ปูนก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก คิดว่าจะได้เที่ยวแต่ก็ไม่ได้ไป
“สวัสดีครับ” ปูนนั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง “ชื่อน้องเกนใช่ไหม”
“รู้แล้วถามทำไม” ประโยคแสนห้วนจนน่าจับตีก้นลาย “เจ้าของร้านนี้เป็นเด็กป๋าเหรอ”
“หา?” คำถามที่ไม่น่าจะออกจากปากของเด็ก ทำเอาปูนกระพริบตาปริบๆ
“ไม่เข้าใจตรงไหน ถามตรงขนาดนี้ โง่หรือเปล่า โอ๊ย”
ทนคำหยาบเกินเด็กไม่ไหว ปูนเลยยื่นมือไปดึงปากแดงคนตรงหน้า คนถูกดึงรีบจับปากตัวเองแน่นพร้อมถลึงตาใส่
“พูดจาไม่น่ารักเลยนะ” จะไม่ว่า ก็ทนไม่ได้
“ก็ไม่ได้ขอให้รัก...” เกนรีบยกมือปิดปากอีกรอบ เมื่อเห็นปูนทำท่าจะยื่นมือมาดึงอีก
“เถียงทุกคำ นิสัยไม่ดี”
“ตัวเองดีงั้นสิ”
“มาก”
“หลงตัวเอง”
ยอกย้อนทุกคำ ทุกประโยค ปูนหรี่ตามองเด็กตรงหน้าที่ทำตัวเกินอายุ
“อายุเท่าไหร่” สุดท้ายก็ต้องถามออกมา อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้ที่เถียงฉอดๆ นี่จะอายุมากสักแค่ไหน
“ถามทำไม” ยังย้อนกลับไม่สนใจใดๆ
“จะได้รู้ ว่าแก่แดดหรือเปล่า” เกนย่นคิ้วเมื่อได้ยินคำว่าแก่แดด แต่ปูนก็จ้องหน้าไม่ลดละ “ว่าไง อายุเท่าไหร่น่ะเรา ถึงสิบขวบหรือยัง” ลองแหย่ไปดู อีกฝั่งก็เริ่มมีอาการ
“สิบเอ็ดแล้วต่างหาก” เสียงแข็งๆ มาพร้อมกับอาการฮึดฮัด
อายุน้อยกว่าที่ตั้งไว้ตอนแรกมาก แต่ก็นะ อายุสิบเอ็ดยังขนาดนี้ โตมาไม่พูดคำ ด่าคำหรือนี่
“แค่สิบเอ็ดปีมากกว่า” เหมือนดูเกทับ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอวดที่ว่าอายุมากกว่า
“อิจฉาคนเด็กกว่าละสิ คนแก่ก็แบบนี้แหละ”
“อิจฉาทำไม พี่ก็เคยอายุสิบเอ็ดมาปีหนึ่ง ไม่เห็นต้องอิจฉา เรานั่นแหละ เคยอายุยี่สิบเอ็ดหรือยัง” ปูนย้อนกลับและบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางเหลอหลาของเด็กตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็ดูจะหาคำโต้ตอบไม่ได้ เลยได้แต่สะบัดหน้าสะบัดตัวไปมา ดูแล้วช่างน่าตลกเสียจริง
“หิว” เกนเงียบไปสักพักก่อนพูดลอยๆ ออกมา
“หา? พูดกับพี่หรือ” ที่จริงก็ได้ยินเต็มสองหู แต่ก็แกล้งไปงั้น
“เออ”
“พูดดีๆ เป็นไหม พูดจาไม่น่ารักอีกแล้ว”
“พูดน่ารักยังไง ปกติก็พูดแบบนี้”
“พูดห้วนๆ แบบนี้กับพ่อแม่เหรอ” หลังจบประโยค เกนก็ปรับสีหน้าจนปูนต้องเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “เกน”
“...”
ไม่มีคำโต้ตอบใดๆ หลุดออกมาอีก มีเพียงความเงียบและสงบนิ่ง
“พี่ขอโทษ ถ้าพูดอะไรที่เกนไม่ชอบ” ดูเหมือนคนตรงหน้าจะยอมรับคำขอโทษนิดๆ สีหน้าและท่าทางกลับมาเป็นแบบเดิม “เอางี้ ชอบกินขนมไหม”
“ขนมอะไร...เชี่ย” เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกหลอกล่อด้วยขนมจนพูด เกนรีบยกมือปิดปากแน่น
“เคยกินลูกชุบไหม” ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงแค่ดวงตาที่กระพริบถี่ๆ “ถ้าเคยกิน แล้วเคยทำหรือเปล่า” คราวนี้ดวงตากระพริบถี่หนักมากกว่าเดิมจนปูนอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“หัวเราะอะไร” เมื่อถูกหัวเราะหนัก คนไม่ยอมพูดก็ต้องพูดออกมาให้คลายความสงสัย ก็เล่นจ้องหน้าแล้วหัวเราะอ้าปากกว้างขนาดนั้น
“ก็หัวเราะดินฟ้าอากาศ” ปูนตีรวนพร้อมรอยยิ้ม “อยากลองทำไหมล่ะ”
“ทำไม่เป็น” ตอบได้ห้วนเหมือนเดิมจนอยากจะถามว่าคำลงท้ายเพราะๆ พูดไม่เป็นหรือไง
“ก็ถึงให้ลองทำไง สนุกนะ สนป่ะ” ดูเป็นการหลอกล่อที่น่าจะได้ผล เพราะเกนดูสนใจไม่น้อย “ถ้าสนละก็ เดี๋ยวพี่โรสมาเราออกไปซื้อของกัน ตกลงไหม”
“เออ”
“พูดเพราะๆ สิ อย่างเช่น ครับ อะไรแบบนี้ มาองมาเออ ไม่น่ารักเลย” ปูนพูดน้ำเสียงเล็กๆ ดัดให้ดูตลก แต่เกนกลับกัดปากตัวเองแน่น ท่าทางดูลังเลไม่มีอารมณ์ขัน “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“เปล่า...ครับ” แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แม้คำลงท้ายจะเบาแสนเบาก็เถอะ แต่ก็ทำให้ปูนยิ้มกว้างออกมา
ระหว่างที่ทั้งคู่พากันยิ้ม เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขัดขึ้น คราแรกคิดว่าเป็นโรส แต่กลับเป็นลูกค้าประจำที่มารับช่อดอกไม้ที่สั่งไว้ล่วงหน้า ปูนฉีกยิ้มกว้างตามแบบฉบับของตัวเอง
“สวัสดีครับน้องปูน พี่มารับดอกไม้ครับ” เสียงทุ้มมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นทุกครั้ง ปูนรีบเดินไปเปิดเอาช่อดอกไม้ในตู้ออกมาให้ “โห สวยเหมือนคนจัด เอ๊ย เหมือนทุกครั้งเลยนะครับเนี่ย”
“ขอบคุณครับ” ปูนยิ้มหวานให้คำชม มือขาวกำลังหยิบปากกาเมจิกเพื่อจะเขียนการ์ดเช่นทุกครั้ง แต่เสียงพูดที่แทรกเข้ามาทำให้ต้องหันไปมอง
“เลี่ยนว่ะ” ทั้งปูนและลูกค้าหนุ่มถึงกับมองคนพูดประโยคนี้ด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“เกนว่าอะไรนะ” ปูนถามออกมา ที่จริงก็ได้ยินนั่นแหละ แต่กลัวว่าจะฟังผิด
“จะบอกว่า น้ำที่กินมันเลี่ยน” คำอธิบายที่คลายความไม่เข้าใจของลูกค้าหนุ่ม แต่ไม่ใช่กับปูน ก็ในเมื่อน้ำที่วางตรงหน้าเป็นน้ำเปล่า มันจะเลี่ยนได้ยังไง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสนใจ ในเมื่อลูกค้าอยู่ตรงหน้านี้
ปูนตวัดลายมือน่ารักลงบนการ์ดอย่างทุกที ชื่อในการ์ดคือชื่อของคุณแม่ของลูกค้าหนุ่ม ช่วงจังหวะที่ก้มเขียน ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นลูกค้าทำหน้าบึ้งตึงอย่างแปลกๆ
“เรียบร้อยแล้วครับ” ปูนยื่นการ์ดให้ไปพร้อมรับเงินสดมา ยังไม่ทันได้กล่าวคำลาใดๆ ลูกค้าประจำก็เดินลิ่วๆ ออกจากร้านไปแล้วอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เป็นอะไรของเขา” เมื่อไม่มีลูกค้า ปูนก็เดินกลับมานั่งกับเกนที่ดูเจ้าตัวจะอารมณ์ดีผิดหูผิดตากับเมื่อกี้ นี่ก็แปลกอีกคน
“เมื่อไหร่จะไปซื้อของ” เกนถามเสียงห้วน แต่คนที่เขาถามกลับหรี่ตามองดูเหมือนไม่ชอบใจ “ครับ” พอลงท้ายประโยคแบบนี้ หน้าขาวๆ นั่นถึงมีรอยยิ้มออกมา
“รอพี่โรสมาก่อน ขืนไปตอนนี้จะไม่มีใครเฝ้าร้าน” ปูนว่า
“ก็ปิดก่อนแล้วค่อยกลับมาเปิด ไม่เห็นจะยาก” คนว่าง่ายๆ ทำท่าทางสบายๆ
“ถ้าลูกค้ามาสั่งดอกไม้จะทำยังไง พี่โรสได้ด่าพี่แน่”
“ก็ให้ป๋าจ่ายค่าเสียหายให้ไง ป๋ารวยจะตาย” เกนว่า แถมยังเอนหลังพิงพนักอย่างไม่รู้สึกอะไร ต่างจากปูนที่ดูไม่ค่อยชอบใจในสิ่งที่ได้ยิน “ทำไมหน้าบึ้ง”
“เงินแก้ปัญหาได้ไม่หมดทุกอย่างหรอกนะ แล้วก็ ไม่ควรพูดแบบนี้ เกนยังเด็ก เดี๋ยวเขาจะว่าไปถึงที่บ้านได้ ที่พี่เตือนเพราะหวังดีนะ” ปูนทำหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าเกนจะถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนถึงได้คิดแค่ว่า เอาเงินฟาดไปก็จบเรื่อง
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของปูน เกนก็ขยับมานั่งตัวตรง “ขอโทษครับ” เพราะปูนเงียบ เกนเลยลองพูดออกมาดู และคงจะเป็นเรื่องที่ถูก ในเมื่ออีกฝ่ายเผยรอยยิ้มออกมา
ความตั้งใจแรกของปูน คืออยากจะลองแกล้งทำเป็นนิ่งดูเฉยๆ อยากรู้ว่าเกนจะทำยังไง พอได้ยินคำขอโทษก็รู้สึกพอใจ อย่างน้อยก็พอคิดได้เอง
ระหว่างที่ปูนกับเกนยังนั่งนิ่ง เสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นเจ้าของร้านคนสวยที่หอบข้าวของมาพะรุงพะรัง ปูนรีบวิ่งเข้าไปช่วยถือ พอดีกับโรสบุ้ยปากมาทางคนที่นั่งมองเฉยๆ
“พี่กรติดงานเลยฝากลูกชายไว้ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะกลับมารับครับ”
“อ๋อ เมื่อกี้กรโทรมาแต่พี่ไม่ได้รับ คงจะเรื่องนี้” โรสหรี่ตามองลูกชายของเพื่อนอย่างวิเคราะห์ โตขนาดนี้แล้วสินะ “แล้วนี่ฝากไว้นานหรือยัง”
“ก็ตั้งแต่เช้า ไม่รู้งานจะเสร็จกี่โมง เห็นว่านัดไปเที่ยวกันด้วย” ปูนบอกรายละเอียดหลังจากทั้งคู่เดินมาเก็บของหลังร้าน “มาแรกๆ ก็เหวี่ยงน่าดู”
“ได้พ่อมันมานั่นแหละ” โรสว่าให้
“พี่โรสครับ คือปูนจะขอไปซื้อของที่ตลาด...”
“ไปเลย เดี๋ยวพี่อยู่ร้านต่อเอง ถ้าจะให้ดี ซื้อมะม่วงดองเจ้าประจำมาฝากด้วยนะ บอกป้าเขาว่าขอแบบพิเศษๆ” โรสแกล้งแหย่ เพราะรู้ว่าลูกสาวเจ้าของร้านขายผลไม้ดองชอบปูน ก็ที่ตลาดไม่ได้มีแค่หนุ่มๆ ที่ชอบ ยังมีเด็กสาวที่ชอบอีกหลายคน
ปูนหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์พร้อมกวักมือเรียกให้เกนมาด้านหลังร้าน เด็กหนุ่มทำหน้าเหลอหลาแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหา
“ซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ใช่ไหม” ถามขณะก้าวขาคร่อมเบาะรถ
“ได้” ไม่พูดเปล่า เกนยังขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเรียบร้อย “ที่บ้านใหญ่เกนก็แอบขี่บ่อยๆ โดนจับได้ทีถูกบ่นหูชา”
“สมควรสิ อายุไม่ถึงนี่” ปูนหัวเราะขณะหันไปยื่นหมวกกันน็อคให้คนซ้อนท้าย
“แล้วพี่ไม่ใส่เหรอ” เกนถามหลังจากสวมหมวกเรียบร้อย
“พี่มีใบเดียว แต่ไม่เป็นไรหรอก ตลาดใกล้แค่นี้เอง”
“งั้นเกนก็ไม่ใส่” ว่าแล้วก็รีบปลดล็อคหมวก ปูนพยายามห้ามแต่คนซ้อนท้ายก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ต้องเลยตามเลย ไม่ใส่ด้วยกันทั้งคู่
ตลาดสดในยามใกล้เที่ยง แม้แดดจะร้อน แต่เกนก็ดูไม่รำคาญอะไร แถมเจ้าตัวดูจะชอบซะด้วยซ้ำ เห็นชี้นิ้วจะเอานั่นเอานี่ ทั้งที่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท
“นี่ขนมอะไร” บนถาดแสตนเลสมีขนมกลมๆ สีเหลืองทองวางอยู่เต็มถาด กลิ่นหอมๆ นั่นทำให้คนหิวเดินมาหาได้ไม่ยาก
“ขนมไข่นกกระทา เคยกินไหม” ยังถามไม่ทันจบดี คนไม่เคยกินก็ส่ายหน้าหัวแทบหลุด จนปูนกับป้าคนขายหัวเราะ
“งั้นเอาอันนี้ด้วย” เกนชี้บอก
“เอาถุงหนึ่งครับ” ปูนส่ายหน้าช้าๆ ให้กับคนอยากกินที่จ้องขนมตาเป็นมัน “ซื้อไปก็กินให้หมดนะ ขนมพวกนี้”
“รู้แล้วๆ หือ อร่อย” ยังไม่ทันเดินออกจากร้าน เกนก็จิ้มขนมเข้าปาก และไม่ลืมป้อนคนออกเงินซื้อให้ด้วย “แล้วไหนของที่จะทำขนม”
“พี่ซื้อมาหมดแล้วนี่ไง” ปูนชูถุงที่มีวัตถุดิบในการทำลูกชุบ “กลับเลยไหม ออกมานานแล้ว พี่เป็นห่วงร้าน”
“เจ้าของเขาก็อยู่”
“แต่พี่เป็นลูกจ้าง”
“งั้นก็...” ท่าทางอ้ำอึ้งทำให้คนฟังอยากรู้ไปด้วย เกนฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับประโยคที่ทำให้ปูนต้องเดินหนี “งั้นพี่ปูนก็ไปทำงานกับป๋าสิ ป๋าไม่ใช้งานพี่ปูนหนักแน่นอน เดี๋ยวเกนช่วย” แม้ประโยคนั้นคนพูดดูจะไม่มีความหมายแอบแฝง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะเดินหนี “พี่ปูน รอเกนด้วย”
สองหนุ่มต่างวัยกลับมาถึงร้านก็เอาแต่คลุกอยู่ด้านหลัง โรสปล่อยให้ปูนดูแลลูกชายของเพื่อน เพราะเธอไม่ค่อยถูกโฉลกกับเด็กสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เกลียด แต่ทำตัวไม่ถูกมากกว่า
ด้านปูนที่เริ่มลงมือทำลูกชุบโดยมีลูกมือ (ที่ถามตลอดเวลา) คอยช่วยอยู่ข้างๆ โชคดีที่เพิ่งซื้อถั่วเขียวเก็บไว้เลยง่ายต่อการทำ เพราะปูนแช่น้ำเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะไปตลาด
“ถั่วเขียวนี่ที่เขาใช้ทำน้ำเต้าหู้ใช่ป่ะ” คำถามจากลูกมือที่นั่งจ้องชามถั่วเขียวมาสักพัก
“ไม่ใช่ นั่นมันถั่วเหลืองต่างหาก มีที่ไหนใช้ถั่วเขียวทำน้ำเต้าหู้” ปูนตอบอย่างขำๆ
“ก็เรียกถั่วเหมือนกัน ทำไมเราไม่ลองทำน้ำเต้าหู้จากถั่วเขียวล่ะ อาจจะอร่อยก็ได้” เกนออกความคิดเห็น ซึ่งปูนก็ดูจะสนใจไม่น้อย
“ไว้พี่จะหาวิธีทำก็แล้วกัน” เหมือนจะเคยเห็นสูตรตามอินเตอร์เน็ตบ้าง “ถั่วเขียวนิ่มหรือยัง”
“ยุ่ยแล้วด้วย” ไม่ว่าเปล่า เกนหยิบเม็ดถั่วเขียวขึ้นมาแล้วบี้ซะเละคามือ “ไม่ได้โม้ด้วย” ปูนส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะยกถั่วเขียวนิ่มไปนึ่งให้สุกโดยมีเกนนั่งเฝ้าไม่ยอมห่าง
เครื่องปั่นถูกเตรียมไว้แล้ว ปูนยกถั่วเขียวที่นึ่งจนสุกออกมาใส่พร้อมผสมกะทิ น้ำตาล เกลือ แล้วปั่นส่วนผสมให้ละเอียด
“มันเละเป็นน้ำแบบนั้นจะปั้นได้เหรอ” เกนถามเมื่อปูนปั่นถั่วเขียวเสร็จ
“เดี๋ยวต้องเอาไปเคี่ยวในกระทะให้มันเหนียวซะก่อน” ปูนอธิบายให้คนที่ดูจะสนใจมากเป็นพิเศษ ถึงขนาดใช้นิ้วจุ่มถั่วเขียวปั่นขึ้นมาชิม “เป็นไง”
“หวานดี” คนชิมว่า เกนเดินตามปูนไปที่หน้าเตา ดวงตาที่ถอดแบบพ่อมา จ้องของในกระทะอย่างสนใจ ยิ่งถั่วเขียวเริ่มหนืดก็ยิ่งตื่นเต้น
“ไม่ได้นะ มันร้อน” ปูนร้องเตือน ก็อยู่ๆ ลูกมือจะใช้นิ้วจิ้มถั่วเขียวในกระทะ
“ยังไม่ได้เหรอ” เกนทำหน้าสลดเพราะคิดว่าเหนียวแล้วก็หยิบมาปั้นได้เลย ตอนนี้อยากโชว์ฝีมือเต็มแก่แล้ว
“ยัง รอให้มันเย็นสักหน่อย” อยากจะขำออกมาแต่ก็ไม่กล้า กลัวไฟในตัวเด็กหนุ่มข้างๆ จะมอดไปซะก่อน
ปูนเดินมาเตรียมผงวุ้นกับสีผสมอาหารที่จะใช้ระบายตอนปั้นลูกชุบเสร็จ ช่วงเตรียมของเกนก็ยังคงใช้นิ้วลองจิ้มถั่วว่าเย็นหรือยัง สงสัยอยากทำเต็มแก่
“มันเริ่มเย็นแล้วนะ ปั้นได้หรือยัง” เกนถามอย่างเซ็งๆ รอมานานหลายนาทีถั่วบดนี่ก็ไม่ยอมจะเย็น แต่พอปูนพยักหน้าปุ๊บ สีหน้าท่าทางเบื่อๆ ก็ดูสดใสขึ้นมาทันตา
ถั่วที่ได้ที่ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆ หลายครั้งที่โรสเดินเข้ามาดูและมองอย่างสนใจ แต่พอจะขอลองทำก็มักถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องจนต้องขอตัวไปรอชิมด้านนอกแทน
ดุเหมือนพ่อไม่มีผิด
“นี่ปั้นอะไร” ปูนหยิบผลงานชิ้นเอกของเกนขึ้นมาดู และเจ้าตัวดูจะภูมิใจกับมันมากถึงขนาดยืดอกและบอกออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ไอ้เฟือง”
“ไอ้เฟือง? ตัวอะไร”
“ก็หมาไง มันเป็นชื่อหมาที่บ้าน เป็นไง เกนปั้นเก่งป่ะ เหมือนมากเลยนะ” ปูนย่นคิ้วมองถั่วที่ปั้นเป็นรูปหมาในมือ นี่มันหมาหรือจิ้งจกกันแน่ แต่ก็เออออไป กลัวเด็กจะเสียเซลฟ์ “แล้วทำไมพี่ปูนปั้นแต่พวกกลมๆ ล่ะ หรือปั้นไม่เก่ง”
“พี่ชอบปั้นอะไรง่ายๆ” พูดไปมือก็ทำไปตาม “ลงสีเลยไหม พูกันอยู่ข้างๆ นั่นน่ะ” ปูนชี้นิ้วบอก คนปั้นเก่งก็รีบละเลงทาสีลูกชุบ “ไอ้เฟืองสีอะไร” ที่ปูนถามก็เพราะเกนระบายสีดำลงไปบนตัวหมาปั้น
“ที่จริงมันขนสีขาว แต่ชอบคลุกโคลนเลยเป็นสีดำ” เกนอธิบาย “เสร็จแล้ว โห โคตรเหมือน”
ปูนหลุดขำออกมาจนได้เมื่อเห็นท่าทางดีใจของเกน ก่อนจะพูดอะไรต่อก็มีคนเดินผ่านประตูครัวเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่ กลิ่นหอมเชียว” เสียงทุ้มดังขึ้น เกนที่นั่งหันหลังรีบหันไปมองพร้อมอวดลูกชุบของตัวเอง “ตัวอะไรน่ะสีดำๆ เกนปั้นควายเหรอ?”
“ป๋า! นี่มันไอ้เฟืองต่างหาก” เสียงแหวขึ้นมาทันที
“อ่าวเหรอ นี่ไอ้เฟืองเหรอ ป๋าคงสายตาไม่ดี” แม้อยากจะหัวเราะแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ “แล้วนี่ทำลูกชุบกันหรือ น่าสนุกจริง”
“มาก พี่ปูนทำอร่อยด้วยนะ” พอเห็นรอยยิ้มกว้างของลูกชาย ก็สร้างความประหลาดใจให้กับคนเป็นพ่อ ปกติแล้วเกนมักจะไม่สนใจใครนอกจากเพื่อนสนิท ขนาดพี่เลี้ยงที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ยังดูไม่สนิทสนมเท่า “ป๋าดูสิ พี่ปูนปั้นแต่พวกผลไม้ ไม่เจ๋งเลย ป๋าลองปั้นบ้างสิ อยากรู้จะสู้เกนได้หรือเปล่า”
“ป๋าปั้นได้เหรอ” เหมือนจะถามลูกชาย แต่สายตามองไปที่อีกคน “พี่ปั้นได้ใช่ไหม”
“ครับ” ปูนตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ต้องไปล้างมือให้สะอาดก่อน เดี๋ยวจะพากันท้องเสีย” กรพัฒน์ยิ้มแหยๆ แต่ก็ยอมลุกไปล้างมือแล้วมานั่งข้างลูกชาย
แล้วผลงานชิ้นเอกของพ่อก็ไม่ต่างจากลูก ปูนเอียงคอมองลูกชุบฝีมือการปั้นของกรพัฒน์อย่างงงๆ
“พี่กรปั้นเฟืองเหมือนเกนเหรอ”
“พี่ปั้นกวางต่างหาก” กรพัฒน์รีบเถียง เขาตั้งใจปั้นแทบตาย ต้องนึกถึงหน้าตากวางอยู่ตลอด ขืนไม่ทำแบบนั้นจะเผลอปั้นรูปปูนออกมา แบบนั้นคงไม่ดีเท่าไหร่
“กวาง?” กลายเป็นเกนที่ถามออกมาแทน พอเอาเฟืองมาเทียบแล้วก็เหมือนกันอยู่มาก “ป๋าปั้นไอ้เฟืองเถอะ ดูๆ เหมือนกับไอ้เฟืองเลย”
“ป๋าปั้นกวาง เห็นไหม กวางมีเขาด้วย”
“ควายก็มีเขานะ”
ปูนดูพ่อลูกเถียงกันเรื่องรูปร่างของลูกชุบ ดูเหมือนทั้งคู่ไม่สนิท แต่ก็สนิท ก็นะ ความสัมพันธ์พ่อลูกนี่นา ก็ต้องรักกันเป็นธรรมดา
“ปูนดูสิ พี่ตั้งใจปั้นกวางให้ปูนเลยนะ” พอเถียงลูกชายสำเร็จ กรพัฒน์เลยหันมาหาปูนแทน และมัวแต่มองรอยยิ้มของปูนเลยไม่ทันระวัง เมื่อลูกชายตัวแสบเอาพูกันสีน้ำเงินเข้มมาแต้มลงไป “ไอ้เกน ทำอะไรวะเนี่ย”
“ก็ป๋าปั้นไอ้เฟืองไง”
“บอกว่ากวางๆ ไม่ใช่หมา ไม่ใช่ควาย”
“เอ้า”
“อย่าทะเลาะกันเลย เรามารีบทำให้เสร็จดีกว่า ปูนเกรงใจพี่โรส” มัวแต่ขลุกดูแลลูกชายของกรพัฒน์จนวันนี้แทบไม่ได้ทำงาน จะถูกหักเงินเดือนหรือเปล่าก็ไม่รู้
สุดท้ายแล้วสงครามเรื่องกวางและหมาก็จบลง เกนได้ลูกชุบฝีมือตัวเองไปพร้อมกับลูกชุบของปูนกล่องใหญ่ ดูเจ้าตัวจะชื่นชอบเอามาก หอบติดอกแทบไม่วางบนโต๊ะ
“ขอบใจนะที่ดูแลลูกชายให้พี่ รบกวนปูนแย่เลย” เมื่อเกนออกไปรอด้านนอก กรพัฒน์ก็รีบพูด
“ไม่เป็นไรครับ” ปูนยิ้ม มือก็เริ่มเก็บของกับเศษถั่วบดที่กระจัดกระจาย “คือ...” ความสงสัยที่เก็บไว้ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ชักอยากรู้เต็มแก่ “ถ้าปูนจะถามเรื่องน้องเกน...”
“ถามมาได้ พี่ไม่มีความลับกับคนที่พี่จีบ” ไม่พูดเปล่า กรพัฒน์ยังขยิบตาส่งให้ปูนอีกที
“เรื่องแม่ของน้องเขา คือพอดีปูนเผลอพูดถึงแม่แก เกนก็เงียบไปเลยช่วงหนึ่ง”
“พี่เลิกกับแม่เกนตั้งแต่เกนเกิดใหม่ๆ แล้วพี่ไม่สะดวกเลี้ยงเองเลยให้เกนไปอยู่กับป๊ากับม๊าพี่ นิสัยเลยได้สองคนนั้นมาคนละครึ่ง ไม่ไหวๆ” ปูนอยากเถียงเต็มแก่ว่านิสัยได้จากกรพัฒน์ต่างหาก
“มิน่า ตอนปูนพูดถึงแม่ เกนเลยซึมๆ”
“จะว่าไป เกนไม่เคยเห็นหน้าแม่หรอก เห็นแค่รูปถ่ายเท่านั้นแหละ เพราะเขาคลอดปุ๊บก็เลิกกันปั๊บ แต่พี่ไม่ได้ขอเลิกนะ เขาไปเอง”
“อ่า...”
ไปต่อไม่เป็นเลย ปูนเม้มริมฝีปากไม่กล้าถามมากไปกว่านี้ เพราะดูจะเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป ช่วงที่เก็บข้าวของ เสียงโวยวายหน้าร้านก็ดังขึ้น ปูนกับกรพัฒน์รีบเดินเร็วออกมาแต่ก็ไม่เจอลูกค้าสักคน
“มาก็ดีแล้ว ลูกชายของนายเรียกฉันว่าป้า” โรสทำหน้าง้ำงอทันทีเมื่อปูนกับกรพัฒน์ออกมา “เมื่อกี้ยังเรียกพี่อยู่เลย อยู่ๆ มาเรียกป้าได้ยังไง พี่อายุน้อยกว่าป๋าเธอซะอีก”
“แต่ป้าก็แก่กว่าพี่ปูน เรียกป้าถูกแล้ว” ตีรวนอย่างกับปูนเจอครั้งแรกไม่มีผิด
“กร พาลูกนายกลับไปเลย”
“อ่าว” กรพัฒน์หัวเราะเพื่อนสนิทสาว
“ปูน หน้าพี่ย่นเหรอ สงสัยต้องไปทำโบท็อกซะแล้ว ใช่ ต้องโทรนัดหมอเลยจะได้ทำเร็วๆ” โรสบ่นเสร็จก็ลุกไปโทรศัพท์ทันที ส่วนตัวต้นเหตุยืนกอดกล่องลูกชุบไม่สนใจอะไร
“พี่กลับก่อนนะ รบกวนปูนมานาน” กรพัฒน์พูดอย่างเกรงใจ พร้อมยื่นมือไปดันศีรษะลูกชายให้โค้ง “ขอบคุณพี่เขาสิ”
“เจ็บนะป๋า” เกนปัดมือใหญ่นั่นออก แล้วเดินมาหาปูน “ขอบคุณครับ ไว้คราวหน้าเกนจะมาหาใหม่” เกนเขย่งเท้านิดๆ หอมแก้มปูนไปฟอดใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะรีบวิ่งออกมาจากร้าน สร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าของแก้มและคนเป็นพ่อ
ป๋าแกจีบก่อนยังไม่ได้แตะเลยนะโว้ย
“พี่ขอโทษแทนลูกด้วยนะ” อยากจะตบกะโหลกลูกชายหนักๆ สักที จะว่าอิจฉาก็ใช่ ปูนไม่ได้ทำท่าทางกลัวหลังจากถูกเกนหอมแก้มเลยสักนิด กลับกัน ทีเขาจับนิดจับหน่อยทำกลัว ลำเอียงชัดๆ
“ปูนว่า เกนน่ารักดี ถ้าปูนมีน้องชายจะน่ารักแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้” พอได้ยินคำว่าน้องชายก็แทบอยกถอนหายใจโล่งอกออกมาดังๆ แต่ติดที่ว่าทำไม่ได้ “รีบไปเถอะครับ มาอีกแล้ว” ปูนพยักพเยิดหน้าไปที่ประตู เกนมายืนทำหน้ายักษ์อยู่ด้านหลังแล้ว
“ขอบใจอีกทีนะ ไว้พี่จะมาหาใหม่”
กรพัฒน์บอกลาพร้อมรอยยิ้ม เมื่อประตูปิดลง โรสก็เดินออกมายืนข้างๆ ปูน
“ปวดหัวคูณสองแน่ปูนจ๋า พี่บอกได้เท่านี้จริงๆ”
ปูนพยักหน้าช้าๆ อย่างเห็นด้วย เริ่มรู้สึกว่า ต่อไปนี้ ชีวิตของตัวเองจะมีแต่เรื่องยุ่งๆ ให้ปวดหัวแน่นอน แต่ก็ยังหวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่คิด...
..TBC