Hello Darling คนนั้น...ที่รักของผม [ตอนพิเศษ คิดถึง][P.5] UP!/ [01/12/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hello Darling คนนั้น...ที่รักของผม [ตอนพิเศษ คิดถึง][P.5] UP!/ [01/12/61]  (อ่าน 81070 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 ปูนไปทำงานให้ป๋าไม่งั้นก็ป๋าซื้อร้านของโรสแล้วให้ปูนดูแลร้านดิ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-10-




         “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวดูแลให้” กรพัฒน์บอกพร้อมตบบ่าเพื่อนสาวเบาๆ ขณะมาส่งที่สนามบิน ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนก่อนหันไปมองปูน ที่กำลังกอดกับแม่ของโรส ดูท่าจะสนิทกันพอดู นี่ถ้าหากเขาไม่ชอบปูนละก็ มีหวังโรสได้พาปูนไปด้วยจริงๆ แน่ ยิ่งรู้มาว่าคนในครอบครัวโรสชอบปูนกันทุกคนอีก ไม่รั้งไว้คงไม่มีหวังแน่

   “ถ้าดูแลไม่ดี ฉันจะบินกลับมาเอาคืนนะ” โรสว่ายิ้มๆ ที่เธอยอมปล่อยปูนไว้ที่นี่ เพราะรู้ว่ากรพัฒน์เป็นคนดีมากคนหนึ่ง แม้ดูเจ้าชู้แต่ก็แค่เปลือกนอก เนื้อแท้รักเดียวใจเดียวไม่เหลียวมองใคร “ฝากปูนด้วยนะ”

   “จะดูแลอย่างดีที่สุด”

   หลังจากฝากฝังปูนเสร็จ โรสก็เดินไปกอดน้องสุดที่รักบ้าง และอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ความผูกพันมันมากซะจนรู้สึกใจหายที่ต้องจากลากันเช่นนี้

   “เดินทางปลอดภัยนะครับพี่โรส” ปูนบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน

   “ขอบใจจ้ะ ปูนก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ไว้พี่จะกลับมาเที่ยวหาบ่อยๆ พอดีรวย” พูดติดตลกไปเรื่อยแต่ก็พากันหัวเราะ “พี่ไปนะ แล้วเจอกัน”

   ปูนพยายามกลั้นน้ำตา แสร้งหัวเราะโบกมือลาคนที่เปรียบเสมือนพี่สาวที่กำลังเดินเข้าประตูไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้พบกันอีก

   “กลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เมื่อคนถูกถามพยักหน้า กรพัฒน์ก็ยื่นมือไปโอบเอวบางไว้พร้อมพาเดินไปที่รถ ชายหนุ่มรู้ดีว่าคนข้างเขากำลังพยายามกลั้นน้ำตา เขาเลยไม่พูดอะไรออกมาอีก กลัวว่าพูดไปน้ำใสๆ ที่คลอหน่วยตาจะไหลอาบแก้ม

   บนรถที่ไม่มีเสียงพูดคุย มีแค่คนขับที่หันไปมองคนเงียบอยู่บ่อยครั้ง ปูนซึมลงถนัดตาอย่างน่ากังวล คงเพราะคิดถึงโรสนั่นแหละ

   “ปูนคิดจะทำอะไรต่อล่ะ” เพราะไม่อยากให้เศร้ามากไปกว่านี้ กรพัฒน์เลยชวนคุยซะเลย ซึ่งปูนก็หันมายิ้มบางๆ ให้แล้วตอบ

   “จะหางานทำครับ” คิดไว้ตั้งแต่รู้ว่าร้านจะปิด ปูนวางแผนจะไปยื่นสมัครงานหลายที่ๆ มีตำแหน่งว่าง

   “งานอะไรหรือ” กรพัฒน์ขมวดคิ้วทันทีที่ปูนว่า

   “ก็งานทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ งานที่ปูนทำได้” คนว่าขำแห้ง “พี่กรส่งปูนแถวนี้ก็ได้ ไม่ต้องไปส่งที่หอหรอก มันไกล” ขืนไปส่งที่หอ กรพัฒน์จะเสียเวลาย้อนกลับไปทำงานอีก

   “ปูนมาทำงานกับพี่ไหม” นอกจากไม่ทำตามแล้ว ยังมีคำถามออกมาอีกด้วย ปูนเลิกคิ้วเอียงคอมองอย่างสงสัย “มาเป็นเลขาอย่างที่พี่เคยชวน”

   “แต่ปูนทำไม่เป็น” ไม่เคยเรียนด้านนั้นมา แม้รู้ว่าเรียนรู้ได้ แต่มันก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นที่จบมาโดยตรง

   “งั้นปูนก็นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้” เป็นตำแหน่งที่น่าสนสำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่ปูน

   “แบบนั้นก็ไม่เรียกว่าทำงานน่ะสิครับ” ร่างผอมยู่ปากเมื่อได้ยินตำแหน่งที่เสนอมา

   “ไม่อย่างนั้นก็ทำคอสตูมไหม ดูพวกเสื้อผ้ากับพวกของประกอบฉากอะไรแบบนี้” ตำแหน่งนี้ค่อยน่าสนหน่อย “แต่งานมันค่อนข้างหนัก พี่ว่าไม่เหมาะ” ที่ไม่เหมาะอีกอย่างคือปูนจะไม่มีเวลาให้เขาต่างหาก

   “น่าสนนะครับ แล้วมันต้องทำอะไรบ้าง” กรพัฒน์หันมามองพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องเสื้อผ้าปูนก็พอทำเป็นนะ แต่ก็ไม่เก่งมาก”

   “ถ้าปูนสนใจละก็ เดี๋ยวพี่พาไปสมัคร”

   “ไม่ได้นะ ถ้าพี่กรพาไปสมัคร เขาก็จะหาว่าปูนใช้เส้นน่ะสิ เดี๋ยวปูนไปสมัครเอง”

   “ปูนไปวันไหนล่ะ พรุ่งนี้เลยไหม” ที่ถามเพราะจะได้บอกฝ่ายบุคคลให้รับเลย แต่จะไม่บอกหรอกว่าเขาสั่ง พออีกคนพยักหน้า กรพัฒน์ก็ยิ้มกริ่ม เอาละวะ อย่างน้อยก็มาใกล้อีกหน่อย “พี่จะรอนะ”



****


   เช้าวันที่ท้องฟ้าสดใส ปูนแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในอ้อมกอดมีซองเอกสารที่จะใช้สำหรับสมัครงาน ดวงตากลมโตทอดมองไปยังตึกสูงที่ออกแบบทรงโมเดิร์น กระจกสีทึบกำลังสะท้อนแสงแดดอ่อนจนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ยังไงซะ ที่นี่ก็มีคนรู้จัก ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที

   ปูนเดินเข้าตึกไปอย่างกังวลเล็กๆ ขาเรียวเดินมาหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งพอบอกชื่อตัวเองปุ๊บ สาวสวยตรงหน้าก็รีบบอกให้ขึ้นไปห้องฝ่ายบุคคลทันที ความตื่นเต้นมันมากซะจนฝ่ามือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งตัวเลขดิจิตอลบอกชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งตื่นเต้น

   ทันทีที่ลิฟต์เปิดประตูออก ปูนก้าวขาออกมาด้วยความประหม่า ด้านหน้ามีคนเดินไปเดินมาให้วุ่น แต่ละคนสวมเสื้อยืดสีดำที่สกรีนชื่อบริษัท ใบหน้าบางคนอิดโรยราวกับคนอดนอนเป็นเดือนๆ ปูนรีบเบี่ยงตัวเดินมาอีกฝั่งตามคำบอกของประชาสัมพันธ์สาว ทางเดินทอดยาวมาจนถึงหน้าห้องที่ติดชื่อฝ่ายบุคคล ร่างผอมสูดเอาความกล้าเอาปอดแล้วยื่นมือผลักบานประตูเข้าไป

   ความเย็นของห้องปะทะเข้ากับหน้าขาว ภายในห้องมีโต๊ะตั้งเรียงกันอยู่ประมาณห้าโต๊ะแต่กลับไม่มีคนนั่ง พอมองเลยไปด้านในสุดยังมีประตูกระจกกั้นห้องเล็กๆ ที่มีป้ายติดว่าเป็นหัวหน้า ปูนก้าวขาเข้าไปด้วยความสั่น ก่อนจะยกมือเคาะประตูกระจกเบาๆ พร้อมกับมีเสียงอนุญาตให้เข้าไป

   “มาแล้วหรือคะ” เสียงนุ่มของหญิงวัยกลางคนทักขึ้น ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุไม่เกินห้าสิบอย่างแน่นอน “นั่งสิ”

   “สวัสดีครับ” ปูนยกมือไหว้ก่อนจะนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะ ความกดดันถาโถมเกือบต้องกลั้นหายใจ ช่างเป็นห้องที่น่ากลัวซะจริงๆ

   “เอาเอกสารมาหรือเปล่าคะ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลเงยขึ้นมองผ่านแว่นตากรอบดำ ปูนรีบเปิดซองสีน้ำตาลแล้ววางเอกสารของตัวเอง “เรียบร้อยค่ะ”

   “ครับ?” ทั้งที่หัวหน้าบุคคลไม่ได้อ่านดูประวัติด้วยซ้ำ กลับบอกว่าเรียบร้อย แบบนี้จะไม่ให้ปูนเผลอหลุดคำอุทานออกมาได้ยังไง

   “สงสัยอะไรหรือคะ” คำถามแม้มาพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ดูเยือกเย็นจนปูนต้องรีบส่ายหน้า “งั้น รอแป๊บนะ” ว่าแล้วหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็กดโทรศัพท์พร้อมเรียกชื่อใครสักคนให้มาหา รอไม่นานก็มีหญิงสาวร่างท้วมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “พาไปที่ห้องคอสตูม ดูแลดีๆ แล้วก็สอนงานด้วยนะ”

   “ค่ะพี่หญิง” สาวร่างท้วมรับคำก่อนจะเรียกปูนให้เดินตาม ปูนยกมือลาแล้วหันหลังเดินตามออกห้อง โดยมีเสียงพึมพำที่ไม่มีใครได้ยิน

   “นี่น่ะหรือเด็กคุณกร ไม่อยากจะเชื่อ”




***



   “ชื่ออะไรเหรอ หน้าตาน่ารักจัง” สาวร่างท้วมชวนคุยขณะพาปูนเดินไปยังห้องที่เธอทำงานอยู่

   “ชื่อปูนครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างอายๆ แม้จะชินกับคำชมแบบนั้นแต่ก็อดจะเขินไม่ได้ “พี่ชื่ออะไรหรือครับ”

   “พี่น่ะเหรอ เรียกว่าแอ้นก็ได้” ท่าทางกับรอยยิ้มช่างดูเป็นมิตรเสียจริง ปูนยิ้มจนตาหยีทำเอาแอ้นหัวเราะให้กับคนน่ารัก

   “ปูนต้องเป็นคนฮอตในแผนกแน่นอน เชื่อพี่สิ” ดูจากหน้าตาและการพูดคุยแล้ว อีกไม่นานคงจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน แต่ก็อาจเจอส่วนน้อยที่ไม่ชอบ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีทั้งคนรักกับคนเกลียด อยู่ที่ว่า เราจะเลือกรับอะไรมาใส่ชีวิตตัวเอง

   “พี่แอ้นก็พูดเกินไป แล้วปูนต้องทำอะไรบ้างหรือครับ”

   “ก็ดูเสื้อผ้าให้กับนางแบบนายแบบ ซ่อมชุดบ้าง ดูแลของที่ใช้กับฉาก ประมาณนี้แหละ ส่วนจะมีอีกทีมจะเป็นคนดูแลตอนนางแบบใช้ถ่ายงาน อันนั้นก็จะสบายหน่อย”

   แอ้นอธิบายงานที่ต้องทำมาตลอดทาง จนมาถึงห้องสตูดิโอขนาดใหญ่ของแผนกดูแลคอสตูม เมื่อประตูเปิดเข้าไป ห้องๆ นี้กว้างขวางถูกจัดเป็นสัดส่วน ที่แน่ๆ เสื้อผ้าเยอะมาก

   “ชุดเยอะมากเลยนะครับเนี่ย” แทบตกตะลึงในสิ่งที่เห็น

   “ใช่แล้ว บางชุดก็สั่งตัดจากโรงงานผลิตของเรา แต่ฝั่งนั่นเป็นของสปอนเซอร์ ไม่ก็ชุดที่ยืมมา ซึ่งเราต้องตรวจให้ดีก่อนจะส่งคืน เพราะบางชุดอาจชำรุดหรือไม่ก็ขาด”

   “ครับ”

   ปูนเดินเข้ามาด้านใน คนเพิ่งเคยมามองนั่นมองนี่อย่างสนใจ แม้คนในนี้จะเยอะไปสักหน่อย แถมดูวุ่นวาย บ่อยครั้งที่ต้องเอี้ยวตัวหลบคนอื่นๆ ที่หอบชุดเดินไปเดินมา

   “พี่เหมียวคะ แอ้นพาเด็กใหม่มาค่ะ” คำบอกของแอ้นทำให้ปูนรีบหันกลับมา คนที่ยืนตรงหน้าเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงผอมแต่งตัวต่างจากคนอื่น “พี่หญิงให้มาลงแผนกเรา”

   “อ๋อ คนนี้นี่เอง” ปูนยืนเกร็งยามถูกคนชื่อเหมียวเดินวนรอบตัว สายตาที่จ้องมาคล้ายกับประเมินอะไรบางอย่าง จนมาหยุดยืนตรงหน้า “ชื่ออะไร”

   “ปูนครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งอีกฝั่งไม่ได้ยิ้มตามเพราะกำลังมองหน้าปูนคล้ายกับจะหาอะไรบางอย่าง จนแอ้นต้องรีบแนะนำแทน

   “นี่พี่เหมียวนะปูน เป็นหัวหน้าของแผนก” พอสิ้นคำแนะนำ ปูนก็รีบยกมือไหว้ ซึ่งคนจ้องหน้าก็ยิ้มบางๆ ให้ “เดี๋ยวแอ้นจะพาปูนไป...”

   “ให้เข้าไปช่วยในสตูถ่ายงาน” คำสั่งที่ดูไม่ค่อยจะเข้าใจของคนพามา “ไม่เข้าใจที่พี่บอกหรือ”

   “เปล่าค่ะ แต่ว่างานในนั้น...”

   “ตามนี้แหละ”

   “เดี๋ยวครับ” เหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่างปูนเลยรีบรั้งคนที่จะเดินหนีไป เหมียวมองปูนอีกครั้งเมื่อถูกเรียกตัวไว้ “คือผมทำอะไรยังไม่เป็น ถ้าเข้าไปแล้วอาจจะทำให้งานช้านะครับ” ข้ามขั้น ใช่ ปูนรู้สึกแบบนั้น ว่าตัวเองเหมือนได้อภิสิทธิ์ที่มองไม่เห็นบางอย่าง

   “งั้น” เหมียวเลิกคิ้วมองประเมินอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ายอมให้ปูนอยู่ในห้องนี้ “เรียนรู้งานจากแอ้นแล้วก็คนอื่นๆ ไปก่อนก็ได้ ดูแลดีๆ นะ” ก่อนไปมิวายกำชับแอ้นเสียงเข้ม ดวงตากรีดอายไลน์เนอร์หันมามองปูนอีกหลายรอบก่อนเจ้าตัวจะหายไปหลังประตูสตูอีกฝั่ง ที่ใช้สำหรับถ่ายแบบ

   “อะไรหรือครับ” รู้สึกเหมือนถูกมองซึ่งก็จริง แอ้นกำลังเลิกคิ้วมองปูนอย่างสงสัย ก็จะมีสักกี่คนที่เข้ามาใหม่แล้วได้เข้าไปในสตูเลย ขนาดมีคนเก่งตั้งหลายคนยังได้อยู่แค่ในนี้ แถมหัวหน้าสองแผนกยังกำชับให้ดูแลดีๆ อีก “พี่แอ้นครับ”
 
   “เปล่าจ้ะ ไปดูงานกันเถอะ” แอ้นเก็บเอาความสงสัยไว้ในใจก่อนจะพาเด็กใหม่ไปเรียนรู้งานจากแรกเริ่ม “ที่นี่เมื่อก่อนก็เป็นแค่บริษัทเอเจนซี่ดูแลนายแบบนางแบบ แต่ปัจจุบันมีหัวหนังสือหลายปกที่อยู่ในเครือด้วย เลยทำให้งานของแผนกเราจึงหนักเป็นพิเศษ ปูนไหวใช่ไหม”

   “ครับ”

   “แม้งานจะหนัก แต่เงินดีมากนะ ค่าโอทีก็เยอะ สวัสดิการอีก บลาๆๆ”

   ปูนมองการทำงานด้วยความทึ่ง ทุกคนดูเป็นมืออาชีพจริงๆ จะหยิบจับอะไรก็ดูเชี่ยวชาญไปเสียหมด ไม่ว่าจะเย็บ จะตัดแต่งก็ดูชำนาญ แอ้นพาเด็กใหม่ไปแนะนำตัวกับคนในแผนกซึ่งก็เป็นอย่างที่แอ้นเคยพูดทิ้งไว้ ว่าปูนจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน

   การเริ่มงานดูติดขัดบ้างในช่วงแรก แต่ปูนก็สามารถปรับตัวได้ไว แถมตอนนี้เสื้อเชิ้ตที่ใส่มาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดของบริษัท ร่างผอมถูกใช้ให้หยิบนั่น หยิบนี่ หลายครั้งถูกสั่งให้วิ่งไปหาของจนหัวหมุน จากการคิดไว้ตอนแรกว่างานคงไม่หนักมากนั้น เขาช่างคิดผิดซะจริง เพราะงานพวกนี้เป็นงานละเอียดอ่อนที่หนักมากและเหนื่อยมากเช่นกัน

   กว่าจะได้พักมือก็เกือบบ่ายสาม ปูนมองนาฬิกาที่ติดเสาอย่างเหนื่อยอ่อน คงเพราะไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วย เรี่ยวแรงเลยน้อยลง ว่าแล้วมือขาวก็ลูบท้องตัวเองไปมา

   “ปูนเอาเสื้อไปส่งในสตูทีนะ” แอ้นส่งชุดเดรสลายดอกไม้มาให้แล้วรีบเดินกลับเข้าไปทำงาน ปูนมองชุดนั้นแล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ

   เอาวะ หนักกว่านี้ก็เคยมาแล้ว

   ร่างผอมลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินเข้าห้องสตูอีกด้านที่กำลังถ่ายแบบอยู่ ปูนก้าวขายาวๆ มาหาทีมชุดที่กำลังจัดแจงเดรสบนตัวนางแบบอยู่ เมื่อส่งตามคำบอกเสร็จก็เตรียมหมุนตัวกลับ บังเอิญไปชนกันคนอื่นเข้า ปากแดงก็รีบเอ่ยขอโทษทันที

   “ขอโทษครับ”

   “ไม่เป็นไร อ่าว น้องนั่นเอง”

   ปูนเงยหน้ามองเมื่อถูกทัก คนชนเป็นตากล้องที่เคยเจอคราวที่แล้วนั่นเอง อีกฝ่ายก็ดูตกใจไม่แพ้กัน

   “มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

   “พอดีผมเพิ่งเริ่มงานวันแรกครับ ขอโทษที่ชนเมื่อกี้นะครับ”

   “เดี๋ยวๆ” มือใหญ่ยื่นมาคว้าแขนปูนที่กำลังจะเดินหนี เจ้าของแขนมองอย่างงงๆ “น้องชื่ออะไรนะ”

   “ปูนครับ”

   “พี่ชื่ออินนะ” ตากล้องหนุ่มเหยียดยิ้มก่อนจะนึกอะไรออก “เจอหน้าก็เพิ่งนึกออก พี่ลืมส่งรูปให้ใช่ไหม เผลอทำงานจนลืมเลย”

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องก็ได้” ไม่แน่ว่ารูปอาจจะถูกลบไปแล้ว

   “ได้สิ พี่เก็บไว้ในคอม อย่าลืมเตือนพี่นะ” อินตบบ่าปูนเบาๆ “แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะเรายังต้องเจอกันอีกนาน”

   “ครับ”

   จังหวะก้าวขาพอดีกับเสียงท้องของปูนร้องพอดี มือขาวเลยยกลูบเบาๆ ขนาดดื่มน้ำเป็นขวดไปแล้วก็ยังไม่หายหิว

   “หิวข้าวหรือ” ก็ไม่แปลกที่อินจะได้ยิน ในเมื่อยืนห่างกันไม่มาก ชายหนุ่มหน้าเข้มขำเบาๆ ยามใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย “ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงใช่ไหม”

   “ครับ” ปูนยอมรับพร้อมยิ้มแห้ง ก็เวลาว่างแทบไม่มี แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปกินข้าว

   “งั้นไปกินข้าวก่อนไป แล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่ ไม่งั้นจะเป็นลมนะ” อินเข้าใจดีว่าเด็กใหม่เกือบทุกคนมักจะเป็นแบบปูน คือปลีกตัวไปกินข้าวไม่ได้ เพราะไม่ว่างานไหนก็ดูยุ่งไปซะหมดจนไม่กล้าทิ้งไป

   “แต่...” ใจหนึ่งก็อยากไป แต่อีกใจก็ทิ้งงานอีกฝั่งไม่ได้ เกิดหายไปแล้วพวกเขาหาไม่เจอ ก็ถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกพอดี “ไม่เป็นไรครับ ผมทนได้”

   “ทนได้หรือต้องทน” คราวนี้ตากล้องหนุ่มไม่ว่าเปล่า มือใหญ่ดึงแขนให้คนตัวผอมกว่าเดินตาม ก่อนออกไปยังตะโกนบอกคนอื่นๆ ที่วิ่งวุ่นว่าจะไปหาอะไรกิน ซึ่งทุกคนก็ไม่ตอบอะไรและไม่ได้สนใจ

   “แบบนี้เขาจะว่าเอานะครับ” รู้สึกไม่ดีที่ต้องทิ้งงานออกมา ป่านนี้ปูนอาจกำลังถูกมองหาอยู่ก็ได้

   “ไม่มีใครว่าหรอก ฝั่งนั่นเขาไม่บอกเหรอ ว่าถ้าไม่มีอะไรทำก็ให้ออกมาหาอะไรกินได้เลยน่ะ” อินหันไปคุย มือก็ยังคงจูงอีกคนอยู่ พอปูนส่ายหน้าเขาก็ขำออกมาเบาๆ “งั้นก็รู้ไว้ ถ้าไม่มีงานอะไรที่เราต้องทำ ก็ออกมาหาอะไรรองท้อง เขาไม่ว่ากันหรอก ที่นี่อยู่กันแบบนี้แหละ ไม่ได้เข้าออกตามเวลาแบบบริษัทอื่นๆ”

   พอได้ยิน ปูนก็เหมือนจะนึกออก ช่วงเวลาที่วิ่งวุ่นในนั้น หลายคนมักจะออกไปข้างนอกนานๆ และกลับเข้ามาพร้อมของกินในมือ และก็มีคนสับเปลี่ยนออกไปตลอด แต่ปูนดันไปช่วยทำงานทุกอย่างเอง เวลาว่างส่วนนั้นเลยหายไป เพราะการอยากเรียนรู้เร็วทำให้ต้องอดมื้อเที่ยงนี่เอง

   ความผิดตัวเองล้วนๆ เลยแบบนี้

   ตากล้องหนุ่มพาเด็กใหม่มานั่งที่โรงอาหารของบริษัท พนักงานหลากหลายแผนกยังคงนั่งกิน นั่งคุยกันอย่างสบาย ไม่มีใครรีบร้อนอย่างที่เห็นในการทำงานสักคน

   “ปูนอยากกินอะไร แต่พี่แนะนำข้าวมันไก่ ขอบอกว่าน้ำจิ้มเด็ดมาก” ใบหน้าแสดงความมั่นใจซะจนปูนขำออกมา “พี่พูดจริงๆ ไม่ได้โกหก ถ้าปูนได้ลองแล้วจะติดใจ”

   “ร้านไหนหรือครับ” ปูนเอียงคอมองหา ตอนนี้อินพามานั่งที่โต๊ะ แทนที่จะพาไปยืนต่อคิวซื้อข้าวอย่างคนอื่นๆ “ร้านนั้นใช่ไหม” ว่าแล้วก็จะลุก แต่มีมือใหญ่มารั้งไว้ซะก่อน

   “เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ พอดีซี้กัน” พูดเสร็จก็เดินมุ่งหน้าไปที่ร้าน ปูนได้แต่มองตามอย่างงงๆ ก็คงจะซี้กันจริงๆ อย่างที่ว่า เพราะเห็นยืนสั่งเสร็จก็คุยกันจ้อเชียว

   ปูนลอบสังเกตรอบๆ บริเวณ โรงอาหารที่นี่ใหญ่โตและดูสะอาดมาก แม้แต่พื้นก็สะอาดไม่มีคราบสกปรกสักนิด ดูเป็นบริษัทที่รักษาความสะอาดได้ยอดเยี่ยม แถมร้านอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งไทย อีสาน หรือแม้แต่อาหารฝรั่งก็ยังมี ช่างเอาใจใส่พนักงานเสียจริง

   “มาแล้วๆ ได้เยอะด้วยนะ พิเศษสุดๆ” อินวางจานข้าวมันไก่ไว้บนโต๊ะสองจาน ปูนมองสองจานสลับกันไปมา “นี่ของพี่เอง เริ่มหิวเหมือนกันนะเนี่ย”

   “ที่ออกมาเพราะหิวเหมือนกันนี่เอง” ว่าแล้วก็ขำออกมา พอปูนลองคำแรกก็ทำตาโตให้กับคนนั่งลุ้น “อร่อยครับ”

   “เห็นไหม พี่ไม่ได้โกหก มันอร่อยจริงๆ” อินพูดจบก็ตักข้าวใส่ปากคำโตจนไก่ร่วงลงมาใส่จาน ทั้งคู่พากันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเสียงดัง ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง ก็คนที่นี่ไม่ได้สนใจกันอยู่แล้ว

   แต่ท่ามกลางคนที่ไม่สนใจกันนั้น กลับมีบุคคลที่ไม่น่าจะลงมาอยู่โรงอาหารในเวลานี้ กรพัฒน์หยุดเดิน ดวงตาคมจ้องมองไปยังโต๊ะตรงกลางที่มีชายหนุ่มสองคนหัวเราะกันอยู่ ยิ่งเห็นสายตาของอินที่มองปูนแล้วนั้น คิ้วก็กระตุกอย่างถี่ยิบ

   “มึงจะกินข้าวที่นี่หรือ” พอลเอ่ยถามเพื่อนอย่างงงๆ ตอนนั่งคุยงานกันในห้อง อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาหา พอวางปุ๊บกรพัฒน์ก็รีบเดินออกมา ด้วยความอยากรู้จึงเดินตามออกมาด้วย แต่ไม่คิดว่าเพื่อนจะมาโรงอาหารทั้งที่เพิ่งกินข้าวไป “ไอ้กร มองอะไรวะ”

   ไม่มีเสียงตอบใดๆ หลุดออกมา นอกจากการเดินตรงเข้าไปหาสองหนุ่มที่โต๊ะนั้น กรพัฒน์ตีหน้านิ่งพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หึงหวงที่พลุ่งพล่านในอกด้วยความยากยิ่ง

   “คุยอะไรกันอยู่ หัวเราะเสียงดังขนาดนี้” ไม่ใช่แค่สะกดกลั้นอารมณ์ แต่น้ำเสียงก็ต้องพยายามปรับอยู่ในโหมดปกติ “นั่งด้วยคนได้ไหม”

   “ครับ” อินตอบรับพร้อมรอยยิ้ม น้อยครั้งที่จะเห็นเจ้าของบริษัทสองคนลงมานั่งที่โรงอาหารกลาง ส่วนมากจะสั่งขึ้นไปบนห้อง “คุณกรกับคุณพอลอยากได้อะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” จะทำดูดายก็ไม่ได้ในเมื่ออีกฝั่งเป็นเจ้านาย อินทำท่าจะลุกแต่กรพัฒน์โบกมือปฏิเสธ

   “แล้วนี่ทำไมลงมากินข้าวกันเวลานี้ล่ะ” กรพัฒน์ถามปูนโดยตรง แต่คนถูกถามกลับก้มหน้ากินข้าวมันไก่อย่างไม่สนใจ ไม่ใช่ปูนจะไม่สน แต่ตอนนี้สายตาทุกโต๊ะกำลังมองมาด้วยความอยากรู้ “ปูน พี่ถามอยู่”

   “พอดีน้องปูนไม่ได้กินข้าวเที่ยง ผมเลยพามา” เสียงที่ตอบมาแทนไม่ได้ทำให้กรพัฒน์สนใจ ชายหนุ่มยังคงนั่งจ้องคนก้มหน้าที่ไม่ยอมสนใจเขา

   “ปูน พี่ถาม” เสียงเข้มขึ้นทำให้พอลตบบ่าเพื่อนตัวเอง “เดี๋ยวกินเสร็จแล้วไปหาพี่ที่ห้องด้วย ถ้าไปไม่ถูกก็ให้อินพาไป” พูดจบกรพัฒน์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงอาหารไปทันที แต่เพื่อนสนิทยังคงยืนงงอยู่กับที่

   “คุณกรเป็นอะไรไปหรือครับ” อินเอ่ยถามเจ้านายอีกคนที่ส่ายหน้ารัวๆ

   “ไม่รู้ว่ะ สงสัยวัยทองมาเร็วกว่ากำหนด” พอลเอ่ยตลก ก่อนจะเดินตามหลังเพื่อนที่เดินหายไปแล้วพร้อมบ่น “ไม่รู้โดนหมาบ้ากัดหรือเปล่า บ้าเลยขึ้น”

     ส่วนปูนยังคงแสร้งทำเป็นกินข้าวมันไก่ต่อ โดยมีอินนั่งจ้องด้วยความอยากรู้ เป็นพนักงานธรรมดาแถมเพิ่งเข้ามาใหม่แท้ๆ กลับดูสนิทสนมกับเจ้าของ ขนาดกรพัฒน์เรียกแทนตัวเองว่าพี่ได้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ถึงจะรู้จักกันก็ใช่เรื่องที่อินจะสนใจ เรื่องส่วนตัวของใครก็ของมันอยู่แล้ว

   “ปูนต้องไปทางไหนหรือครับ” เสียงถามที่เอาคนเผลอจ้องสะดุ้ง “ห้องของพี่ เอ่อ คุณกร”

   “เดี๋ยวพี่พาไปเอง ไม่งั้นปูนอาจหลง” คนตั้งใจดียิ้มให้อย่างจริงใจ ก่อนจะก้มหน้าจัดการข้าวตรงหน้าต่อ

   “ขอบคุณครับ” แม้จะพูดเบาแต่คนนั่งตรงข้ามได้ยินชัด ปูนยิ้มบางๆ แม้ในใจกำลังวิตก ไม่รู้กรพัฒน์คิดจะทำอะไรอีก แค่การมานั่งด้วย ปูนก็กลายเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะอินที่คงกำลังสงสัยแน่นอน ว่าแล้วดวงตากลมโตก็คอยลอบสังเกตคนตรงหน้า แต่ก็ดูเป็นปกติดี คงจะไม่มีอะไรให้กังวล ไม่แน่ ปูนอาจคิดกลัวไปก่อนก็ได้ ทั้งที่อาจไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงได้แต่ภาวนาให้เป็นแบบนั้น



***



   ด้านกรพัฒน์ที่ก้าวเท้ายาวกลับมาที่ห้อง มีพอลซอยเท้ายิกๆ เร่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ พอเข้ามาถึงห้องก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างคนหมดเรี่ยวแรง

   “จะรีบไปตามควายหรือไง” อดที่จะด่าไม่ได้ “แล้วนี่มึงเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับเมียมีชู้”

   “ไอ้พอล!” กรพัฒน์ตวาดเสียงดังจนพอลตกใจ นั่นเพราะเพื่อนกำลังจี้ถูกจุดอยู่ ใช่ เขาหึงและหวงมาก ตอนเห็นปูนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ตากล้องนั่น ยิ่งเห็นอินทำตาเล็กตาน้อยใส่อีก เขารู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาทันที ก็ผู้ชายด้วยกันทำไมจะดูไม่ออกว่ามันก็ถูกใจปูนเหมือนกัน “เชี่ยเอ๊ย” พอคิดก็ยิ่งหงุดหงิด กรพัฒน์กระแทกตัวนั่งที่เก้าอี้ทำงานแล้วหมุนตัวหันหลังให้เพื่อนที่กำลังทำหน้าอยากรู้เต็มแก่

   “เป็นอะไรวะ อยู่ๆ ก็หงุดหงิด” พอลอดไม่ได้ที่จะลุกมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเพื่อน “ไอ้กร มึงเป็นอะไร”

   “เรื่องของกู” บอกปัดๆ ไป ไม่อยากต่อความยาว

   “นี่เพื่อนนะเว้ย กูอยากรู้” พอลไม่ยอม คราวนี้ลุกไปยืนหน้าเพื่อนแล้วจ้อง “บอกกูมา อย่าให้กูเดาเอง”

   “ก็บอกว่าไม่มีอะไร” กำลังจะหมุนเก้าอี้หนี แต่ถูกมือของพอลจับไว้ซะก่อน “ปล่อย ไอ้พอล”

   “เด็กตัวขาวเมื่อกี้” พูดปุ๊บ เพื่อนก็มีอาการทันที พอลลอบสังเกตอาการของกรพัฒน์ที่เริ่มขมวดคิ้ว บอกแล้วว่าอย่าให้เขาเดา ขนาดพูดถึงแค่นี้อาการยังออกชัดเจน จนอยากจะลองอีกสักหน่อย “เด็กเมื่อกี้โคตรน่ารัด เอ๊ย น่ารัก”

   “มึงออกห้องกูไปเลย” ไม่ว่าเปล่า กรพัฒน์ยังยกขาทำท่าจะเตะ พอลหัวเราะลั่นห้องก่อนวิ่งออกไป แต่ก็มิวายโผล่หน้าพ้นประตูมามอง “อะไร!”

   “น่ารัดจริงๆ นะเว้ยเด็กคนเมื่อกี้” พูดเสร็จก็ต้องรีบหนี ก่อนที่แฟ้มหนาจะปลิวมาใส่หน้า เสียงคนหัวเราะด้านนอกยังดังเล็ดลอดเข้ามาอยู่ตลอด

   กรพัฒน์สบถคำหยาบออกมาเป็นชุด ก่อนจะกระแทกแฟ้มที่ถือลงบนโต๊ะ หงุดหงิดเรื่องตากล้องนั่นยังไม่พอ ยังต้องมาอารมณ์เสียจากคำพูดทีเล่นทีจริงของเพื่อนอีก เหอะ น่ารัดเหรอ ไม่มีทางได้รัดหรอก เพราะปูนน่ะเป็นของเขา และเขาคนเดียวเท่านั้นที่รัดได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์โว้ย



...TBC

ขอบคุณมากค่าาาาา  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :laugh: :laugh:
แต่แอบสงสารปูน สู้ๆน้า :mew1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่กรต้องรีบรวบหัวรวบหางน้องปูนแล้ว เดี๋ยวอด :laugh:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พวกที่ทำงานด้วยก็ไม่มีใครถามไม่มีใครชวนปูนไปกินข้าวด้วยเหรอ
งานหนักกว่าอยู่ร้านดอกไม้อีกมั้งเนี่ย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-11-




        เสียงเคาะห้องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ คนนั่งในห้องกำลังพยายามคุมสติตัวเอง เพื่อจะได้ไม่โมโหหากต้องเจอหน้ากับคนที่ตัวเรียก กรพัฒน์กระแอมเบาๆ พร้อมตะโกนอนุญาต พอประตูเปิดออก ใบหน้าขาวของปูนก็ยื่นเข้ามาก่อน พอเห็นว่าเจ้าของห้องนั่งนิ่งไม่ยอมพูดก็เลยเดินตัวลีบเข้ามา

   ปูนไม่ได้กลัวว่าจะถูกด่า แต่กลัวว่าจะถูกไล่ออกมากกว่า ก็นั่นมันเวลางานอย่างที่กรพัฒน์ถาม ว่าทำไมถึงลงมากินเวลานี้ จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเองผิดจริง

   “ขอโทษที่ลงมากินข้าวตอนเวลางานครับ” ทันทีที่มายืนหน้าโต๊ะ ปูนก็รีบยกมือขอโทษทันที จนคนเรียกทำหน้างง “ต่อไปผมจะ...”

   “เดี๋ยวๆ” กรพัฒน์รีบยกมือห้ามคนที่เหมือนจะพูดคนละเรื่องกับเขา “พี่ไม่ได้เรียกปูนมาเพื่อด่าเรื่องกินข้าว”

   “อ่าว” ปูนกระพริบตาปริบๆ ตอนอินเดินมาส่ง ก็ได้บอกแล้วว่าบริษัทนี้ไม่ได้เคร่งเวลาเรื่องกินข้าว จะลงมากินตอนไหนก็ได้ที่จะไม่กระทบกับงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ แต่งานของปูนกระทบแน่นอนเมื่อไม่ได้บอกใครก่อน “ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ แล้วเรียกผมมาทำไมหรือครับ”

   “เรื่องแรกคือแทนตัวเองว่าผมนี่แหละ” กรพัฒน์ลุกออกจากเก้าอี้มาหาปูน มือใหญ่จูงอีกคนมานั่งที่โซฟาตัวยาว “ทำตัวเหมือนเดิม พี่ก็คือพี่”

   “ไม่ได้หรอกครับ อยู่ที่นี่คุณเป็นเจ้านาย” พูดยังไม่จบดี ปากแดงก็ถูกนิ้วชี้คนตรงหน้ายกขึ้นแตะห้าม

   “ไม่มีคำว่าเจ้านายกับลูกน้องสำหรับปูน” เจ้าของห้องยิ้มอย่างอบอุ่น “ใจจริงอยากให้ปูนมานั่งในห้องนี้ด้วยซ้ำ” ว่าแล้วก็มองไปรอบๆ ห้องทำงานตัวเอง “เอาโต๊ะมาวางข้างๆ พี่ดีไหม ปูนจะได้ไม่ต้องไปทำงานที่นั่น ดูสิ ไม่มีเวลากินข้าวอีก”

   “ไม่เอาหรอก ขืนเข้ามานั่งในห้องนี้ พนักงานคนอื่นได้นินทาตายเลย สำหรับปูนไม่เป็นไร แต่พี่กรนี่สิ”

   “พี่ดีใจที่ปูนเป็นห่วงพี่” กรพัฒน์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตอนอยู่โรงอาหารนั่น ปูนทำท่าเหมือนไม่อยากจะยุ่งกับเขา ตอนนั้นโคตรใจแป้วอย่างหนักหน่วง “แต่พี่มีเรื่องไม่สบายใจอยู่”

   “เรื่องไม่สบายใจ?” ปูนเลิกคิ้วมองหน้าคนตีหน้านิ่ง “เรื่องอะไรหรือครับ”

   “ก็ที่ปูนไปทำตัวสนิทสนมกับอิน เอ่อ ตากล้องของบริษัท” บอกไปตามตรงจนถูกขำ “พี่ไม่ตลกนะ พี่รู้ว่าปูนอัธยาศัยดี แต่บางทีก็ควรมีขอบเขตบ้าง” ซึ่งขอบเขตที่ว่านั้น เป็นเรื่องที่ปูนก็พอรู้ว่าอะไร

   “ปูนไม่ได้สนิทมากสักหน่อย พี่เขาคุยสนุกดี” รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบใจและค่อนไปทางหวง แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อยังต้องทำงานที่นี่ การผูกมิตรกับทุกคนมันต้องดีกว่าตีหน้าบึ้งไม่ยอมเข้าหาใคร แบบนั้นคงโดนเกลียดแน่ “อีกอย่าง พี่กรก็แสดงออกมากเกินไป แค่นี้เขาก็เอาไปพูดกันแล้วเรื่องของเรา”

   “พี่อยากบอกเลยมากกว่า แต่ติดที่ปูนยังไม่ยอมรับพี่แค่นั้น พี่ยังรออยู่นะ” ความต้องการรอฟังคำตอบถ่ายทอดออกมาทางสายตาที่แน่วแน่ ปูนทำได้แค่ก้มหน้างุดด้วยความเขิน เวลาถูกสายตาจริงจังนั่นมองมา รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้ง

   “ก็ไหนบอกจะให้เวลา” พูดทั้งที่ยังก้มหน้า

   “เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว อาทิตย์หน้าพี่จะไปดูงานเมืองนอก” คำบอกของกรพัฒน์ทำให้ปูนเงยหน้าขึ้นมอง “พี่อยากได้ยินก่อนไป...ได้ไหมครับ”

   “...มั้ง” ริมฝีปากบางเม้มแน่น ทั้งที่ในใจก็มีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าพูดออกไปก็เท่านั้น

   "ถ้าปูนปฏิเสธนะ พี่จะร้องไห้ให้ดู” แกล้งทำเป็นพูดเล่น แต่ก็หวังอย่างจริงจังว่าจะได้รับคำตอบที่ตรงใจ ปูนหัวเราะออกทันทีที่ได้ยิน “พูดจริงนะ เดี๋ยวให้ไอ้เกนมาร้องไห้เป็นเพื่อนอีกคน”

   “สรุปพี่กรจะร้องหรือเกนร้อง”

   “ทั้งคู่นั้นแหละ”




   ระหว่างที่ทั้งคู่หัวเราะชอบใจอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก คนมาใหม่แอบผงะตกใจเล็กน้อยที่เห็นอารมณ์คนบูดหายไป กลายเป็นคนอารมณ์ดีหัวเราะอย่างสดใส พอลยกมือเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยความมึน

   “ทำไมไม่เคาะประตู” กรพัฒน์รีบปรับสีหน้าทันที ปูนก็รีบผุดลุกขึ้นยืน

   “อ่าวเหรอ” เหมือนจะทำประชด พอลถอยไปเคาะประตูห้องพร้อมทำใบหน้าอยากรู้เต็มแก่ ดวงตาซุกซนกำลังลอบสังเกตคนแปลกหน้าที่ยังยืนอยู่ “พอใจไหมไอ้คุณกร แล้วนี่...”

   “สวัสดีครับ ผมขอตัวก่อน” ปูนทำท่าจะเดินหนี แต่พอลไวกว่าคว้าแขนขาวได้ทัน พอมองในระยะประชิดแบบนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้ชายที่สวย ผิวพรรณก็ละเอียดเนียนนุ่มเหมือนผู้หญิง

   “ปล่อย” ไม่พูดเปล่า คนสั่งลุกขึ้นมาดึงมือที่จับแขนขาวออก

   “แหม มีหวงนะมึง” อดไม่ได้ที่จะล้อเพื่อน เริ่มเข้าใจบางเรื่องแล้วล่ะ คนที่ทำให้เพื่อนสนิทมีอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่เพราะวัยทอง แต่เพราะฮอร์โมนความรักกำลังพลุ่งพล่านอยู่นี่เอง ก็กรพัฒน์ดูง่ายจะตายไป “สวัสดีครับ เมื่อกี้เราเจอกันแล้ว จำได้ไหม”
 
   “ครับ” ปูนพยักหน้าก่อนจะช้อนตาขึ้นมอง ดวงตากลมโตนัยน์ตาเหมือนกวางกำลังจ้องคนทะเล้นตรงหน้า คนๆ นี้ดูเป็นเพลย์บอยตัวจริง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นไม่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ใจไม่แข็ง

   “โอ้” ทันทีที่ได้สบตา คล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ร่างกาย พอลรู้สึกชาไปทั้งร่าง มันเหมือนถูกไฟช็อตทั้งที่ไม่ได้สัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้น ตอนจับแขนเมื่อกี้เห็นไม่เต็มตาเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ เต็มๆ “น่ารักเหี้ย” เผลอมองนานเข้า พอลก็หลุดคำอุทานออกมาตรงๆ และคงจะจ้องนานกว่านี้หากไม่มีคนตัวใหญ่มาขวาง แถมบังซะมิดอีก

   “มีอะไร” กรพัฒน์ยกแขนขึ้นกอดอก แม้พอลจะเป็นเพื่อน แต่จ้องนานๆ แบบนี้เขาก็ไม่โอเค “ถ้าไม่มีก็ออกไป”

   “มึงนี่นะ ขัดกูจริงๆ” พอลตีหน้ายุ่งใส่เพื่อน หลายครั้งที่ยืดคอมองคนด้านหลัง แต่กรพัฒน์ก็โยกตามตลอดจนสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ “เขาสรุปมาแล้วว่านางแบบที่จะถ่ายคือใคร”

   “ใคร”

   “คริสตี้” แค่ชื่อนี้หลุดออกจากปากพอล กรพัฒน์ก็เบือนหน้าหนี ต่างจากปูนที่ทำตาโตเพราะรู้เรื่องราวดีจากคำบอกเล่าของโรส “ถ่ายให้ห้องเสื้อเสร็จก็จะมาถ่ายปกให้เรา แล้วก็กลับ”

   “อืม” ตอบรับสั้นๆ ไม่ทำให้คนมาบอกข่าวเข้าใจ “อะไรอีก”

   “มึงจะไม่แสดงอาการหน่อยเหรอวะ อย่างเช่นตกใจ ดีใจ อะไรแบบนี้”

   “กูต้องทำด้วยเหรอ” บอกอย่างไม่ยี่หระ กรพัฒน์ถอยมานั่งที่โซฟา และก็ไม่ลืมดึงมือปูนมานั่งข้างๆ ด้วย “มึงก็เลือกคนเสริมทีมเข้าไปอีก งานจะได้เสร็จไวๆ”

   “ดูมัน...แล้ว เอ่อ” พอลอ้ำอึ้งเมื่อจะพูดถึงเรื่องส่วนตัว กลัวว่าคนนอกอย่างปูนจะเอาไปเล่า

   “อะไร” เห็นเพื่อนไม่ยอมพูดสักทีก็อดที่จะถามไม่ได้ แต่พอเห็นพอลมองมาที่ปูนก็เริ่มเข้าใจ “พูดเถอะ” แม้จะได้รับอนุญาต แต่พอลก็ยังไม่ยอมพูดอีก “กับปูนกูไม่เคยมีความลับ”

   “นั่นไง กูว่าแล้ว” พอลตบมือฉาดใหญ่เมื่อเพื่อนยอมรับออกมาตรงๆ ไม่อยากจะเชื่อ เสือผู้หญิงอย่างกรพัฒน์ จะตกหลุมรักผู้ชายหน้าหวานได้ แถมยังดูหลงมากซะด้วย “คบกันหรือครับ” ว่าแล้วก็หันไปถามปูนบ้าง คนถูกถามได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่กล้าตอบ

   “พูดมาก จะพูดอะไรก็รีบๆ พูด” รำคาญทั้งสายตาและท่าทางของเพื่อนจนต้องแสร้งทำหงุดหงิดใส่

   “ก็เกนไง มึงไม่อยากให้แม่ลูกเขาเจอกันเหรอวะ” จบประโยคกรพัฒน์ก็นิ่งทันที “นานๆ จะกลับมาทีนะเว้ย”

   “อยากเจอก็ให้มาหาเอง กูก็เคยบอกไว้แล้วนี่”

   “แต่ถ้ามึงไม่อนุญาต ใครจะกล้าวะ”

   สมควรล่ะ ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก จะกล้ามาเรียกร้องก็คงไม่ได้ กรพัฒน์ขมวดคิ้วคิดหนัก ถ้าเกิดให้เจอก็ไม่รู้ลูกชายจะเป็นยังไง เพราะสิ่งที่ต้องรักษามากที่สุด คือความรู้สึกของลูกชาย

   “ไว้บอกอีกที” กรพัฒน์บอกปัดๆ ในตอนนี้ยังคิดไม่ออกจริงๆ ถ้าเกิดเกนได้เจอแม่ที่ทิ้งไปตั้งแต่เกิด ความเสียใจมันจะมากแค่ไหน “ไม่มีอะไรแล้วก็เชิญ” ออกปากไล่แบบสุภาพเมื่อยังเห็นเพื่อนทำท่ากระลิ้มกระเหลี่ยคนข้างกายเขา

   “ไว้เจอกันนะครับ” โบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเดินพ้นประตู ยังยื่นหน้ามาขยิบตาให้ปูนอีกรอบแล้วรีบวิ่งหนีไป ไม่งั้นหนังสือที่วางบนโต๊ะได้ปลิวมาติดหัวเขาแน่นอน

   หลังจากพอลไปแล้ว ปูนก็สังเกตเห็นกรพัฒน์เงียบไป คงเพราะกำลังคิดเรื่องของลูกชายและอดีตภรรยาอยู่แน่ ด้วยความที่ไม่อยากกวน อีกอย่างก็ออกมานานแล้ว ตอนนี้คนที่แผนกคงกำลังตามหาอยู่ ปูนเลยถือโอกาสค่อยๆ ลุกขึ้น

   “จะไปไหน” ลุกยังไม่ทันเต็มความสูงก็มีมือคว้าหมับไว้จนต้องนั่งลงอีกรอบ สายตาคมหันมามองต้องการคำตอบ

   “ปูนออกมานานแล้ว เดี๋ยวเขาจะว่า”

   “ใครมันจะกล้า ลองใครว่าปูนดู พี่จะตัดเงินเดือนให้หมด” ดูจากน้ำเสียงและสีหน้าไม่ใช่การล้อเล่นอย่างแน่นอน ปูนส่ายหน้าให้กับความคิดนี้อย่างไม่เห็นด้วย

   “เจ้านายถ้าทำตัวไม่มีเหตุผล ระวังถูกนินทานะครับ”

   “ใครว่าไม่มีเหตุผล”

   “ก็ได้ครับ ก็ได้ งั้นปูนไปนะ พี่กรจะได้ทำงานต่อ” บอกเสร็จก็จะเดินออกจากห้อง พอดีกับประตูถูกผลักเข้ามา  ต่างฝ่ายต่างตกใจ “ขอโทษครับ”

   “ขอโทษเหมือนกันนะคะ เอ๋” เสียงดัดให้แหลมอย่างผู้หญิงร้องเสียงหลง “น้องคนนั้นนี่ ใช่ไหม” ปูนเงยหน้าเมื่อถูกทัก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนที่เคยชวนปูนมาถ่ายแบบนั่นเอง “ใช่จริงด้วย”

   “สวัสดีครับ” ปูนยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม พยายามไม่สนใจสายตาที่มองประเมินเขาทั้งตัว

   “ทำไมใส่ชุดของบริษัทล่ะ หรือว่าทำงานที่นี่”

   “ครับ เพิ่งเริ่มงานวันแรก”

   “ก็ว่า ถึงไม่เคยเห็น อยู่แผนกไหนล่ะ”

   “คอสตูม” เสียงทุ้มตอบแทน กรพัฒน์เดินมาหาสองคนที่ยืนหน้าประตู “มีอะไรแอมมี่”

   “พอดีแอมมี่จะเอาคอลเลคชั่นใหม่มาให้” แม้จะตอบเจ้านายตัวเอง แต่สายตาเคลือบสีสันยังคงมองคนตัวขาวอยู่ “แล้วก็แบบชุดที่ทางผู้จัดการคุณคริสตี้ต้องการค่ะ เขาอยากได้คอนเซ็ปวินเทจนิดๆ”

   ปูนพอเห็นทุกคนทำงานก็ค่อยๆ ถอยออกมาเพราะประตูเปิดไว้อยู่แล้ว ร่างผอมถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง กว่าจะออกมาได้ก็แทบตาย ขาเรียวกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปยังห้องสตูดิโอที่ใช้ทำงาน เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปก็เหมือนเข้าไปยังอีกโลก ซึ่งเป็นโลกที่มีแต่ความวุ่นวายและเสียงโหวกเหวกสะท้อนไปทั่วบริเวณ

   “น้องปูน ไปไหนมา” แอ้นรีบปรี่เข้ามาหาพร้อมดึงให้ปูนเข้าไปด้านในทันที โดยที่ปูนโค้งศีรษะขอโทษทุกคนที่มาช้า

   งานเสื้อผ้าเป็นงานที่หนักและละเอียดมาก ปูนคอยสังเกตการณ์ทำงานของทุกคนอย่างตั้งใจ มีหลายครั้งที่คนสอนจะให้ลองทำ แม้จะช้าแต่ก็พอใช้ได้ จนถูกชมอยู่บ่อยครั้งว่าเรียนรู้เก่ง ปูนมองทุกคนที่รายล้อมอย่างใจชื้น เพราะที่นี่ต่างจากที่คิดไว้ตอนแรก ที่จะมีแต่การแย่งชิงความเด่นดัง กลายเป็นว่าตอนนี้ชักอยากทำงานที่นี่ไปนานๆ ซะแล้ว



***


   ในขณะที่ปูนมีความสุขในการทำงาน กรพัฒน์ก็กำลังเคร่งเครียด เขาต้องเคลียร์งานทุกอย่างก่อนจะบินไปเมืองนอก อีกอย่างที่ทำให้วิตกคือคนที่เพิ่งมาทำงานวันนี้อย่างปูน ไม่ใช่กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เพราะกลัวจะถูกใครเข้าหามากเกินไป พอนึกแล้วก็แปลกใจนิดๆ ที่ตัวเองกลายเป็นคนขี้หึงหนักตั้งแต่เมื่อไหร่ แบบนี้แหละนะ ที่ไอ้พอลชอบว่า รักมาก ก็หึงแรงเป็นธรรมดา

   “...คุณกรคิดว่าไงคะ” คำถามที่ไม่ได้ผ่านเข้าหูเรียกสติให้กรพัฒน์สะดุ้ง “ที่แอมมี่ว่าน่ะค่ะ คุณกรว่ายังไง เห็นดีด้วยไหมคะ”

   “โทษทีนะแอมมี่ เมื่อกี้คุณถามอะไรผมนะ พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” รู้สึกผิดนิดๆ เหมือนกันที่ไม่ได้สนใจงานตรงหน้า ผู้จัดการมือเอกของบริษัททำหน้าสงสัยเล็กน้อยเพราะปกติเจ้านายไม่เคยเหม่อลอย แต่ก็ย้อนกลับไปอธิบายใหม่อีกรอบ

   “แอมมี่กำลังคิดคอนเซ็ปปกของเดือนหน้าน่ะค่ะ ว่าอยากได้คอนเซ็ป Androgynous คุณกรคิดว่ายังไงหรือคะ”

   “เอานายแบบผู้ชายมาแต่งชุดผู้หญิงน่ะเหรอ ก็น่าสนนะ แล้วจะเลือกคนไหนล่ะ” กรพัฒน์ยกขาขึ้นไขว่ห้างมองลูกน้องคนเก่งยิ้มพราย ดวงตาพราวระยับดูเหมือนจะมีอะไรในใจ “นายแบบหน้าสวยเราก็พอมีใช่ไหม”

   “แต่แอมมี่อยากได้นายแบบหน้าใหม่ ตอนนี้มองไว้แล้วค่ะ”

        เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของลูกน้อง กรพัฒน์ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใครที่ถูกเลือกไว้ในใจ ซึ่งเขาไม่มีทางยอมแน่ๆ

   “ผมไม่อนุญาต” ประกาศคำสั่งออกไปจนคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หันมามองด้วยความสงสัย

   “คุณกรหมายความว่ายังไงหรือคะ”
 
   “ก็คนที่คุณคิดไว้ คือเด็กคนเมื่อกี้ใช่ไหม” พอได้รับการพยักหน้าตอบ กรพัฒน์ก็ยกขาที่ไขว่ห้างกลับมานั่งท่าปกติพร้อมทำหน้านิ่ง “คนนั้นผมไม่อนุญาต”

   “ทำไมล่ะคะ น้องเขาใช่เลยนะคะ รับรองถ้าขึ้นปกพร้อมคอนเซ็ปนี้ น้องเขาจะต้องดังแน่นอน” แอมมี่พูดอย่างมั่นใจ เพราะเขาไม่เคยมองใครพลาดแม้แต่คนเดียว

   “นั่นก็ยิ่งไม่อนุญาต” ไม่มีเหตุผลต่อท้ายอะไรจนแอมมี่แทบอยากทึ้งผมหัวเอง

   “คุณกรขา ตอนนี้น้องเขามาทำงานกับเราแล้วนะคะ เป็นโอกาสที่ดีมาก” แอมมี่ยังไม่ยอมแพ้ ก็ในเมื่อเห็นปุ๊บก็รีบผุดแนวคิดนี้เลย รับรองเลิศ

   “เอาตามที่ผมบอก ถ้าจะถ่ายอย่างที่คุณคิด ก็เอานายแบบคนอื่น อ้อ อย่าแอบไปเกลี่ยกล่อมเขาด้วย ถ้าผมรู้ คุณจะถูกหักโบนัส” กรพัฒน์ชี้นิ้วสั่ง ก่อนจะลุกไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน เพราะบนโต๊ะยังมีแฟ้มที่ต้องอ่านอีกมาก

   ส่วนคนถูกสั่งห้ามค่อยๆ ลุกออกจากห้องไปด้วยความไม่เข้าใจ แอมมี่เดินออกห้องมาเจอหน้ากับเจ้านายอีกคน พอลทักทายตามสไตล์ด้วยการขยิบตา แต่เห็นอีกคนไม่ขยิบตอบกลับอย่างเช่นทุกทีก็สงสัย

   “เป็นอะไรจ๊ะคนสวย ทำหน้าบึ้งระวังต้องไปฉีดโบท็อกซ์ใหม่นะ” เป็นคำทักทายที่ฟังแล้วควรจะได้คำตอบกลับ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง “เป็นอะไรเนี่ย วันนี้ทำไมมาแปลก”

   “แอมมี่กำลังคิดว่าคุณกรแปลกๆ”

   “แปลกยังไง ไหนเล่าซิ”

   “ก็แบบว่า ออกคำสั่งไม่ให้เอาเด็กที่เพิ่งมาทำงานมาถ่ายแบบ คุณพอลว่าแปลกไหมล่ะคะ ทั้งที่ควรจะเห็นดีด้วยแท้ๆ”

   พอลหัวเราะทันทีที่ได้ยิน แต่อีกคนกลับยังตีหน้าบึ้งอยู่อย่างนั้น

   “เอาน่า ทำตามที่มันบอก เรื่องบางเรื่องมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้” พอลตบบ่าผู้จัดการคนเก่งเบาๆ “แต่คนนี้มันหวงจริง อย่ายุ่งเลย” เป็นคำแนะนำที่เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ แอมมี่ตีหน้ายุ่งทึ้งผมตัวเองซะฟูเดินกลับไปที่ห้อง โดยมีพอลมองอย่างขำๆ

   ก็นะ เรื่องส่วนตัวของเพื่อน รอให้มันจัดการเองดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าเพื่อนคนนี้ยุ่งมากเกินไป ว่าแล้วก็ไปหาเด็กใหม่ดีกว่า อยากทำความรู้จักมากกว่านี้ ขืนรอให้ไอ้คนขี้หวงพาไปละก็ จะถูกกันท่าเปล่าๆ แบบนี้ต้องบุกเอง อย่างที่เขาว่า อยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือในช่วงที่พ่อเสือมันยุ่ง ไม่อย่างนั้นอาจถูกตะปบและขบกัดจนบาดเจ็บล้มตาย แค่คิดก็สยองแล้ว


   ผูกมิตรสักนิดกับว่าที่คนรักของเพื่อน แค่คิดก็สนุกแล้ว


...TBC

เรื่องมันค่อนข้างเดินแบบเรียบๆ เรื่อยๆ ไปบ้าง ต้องอภัยจริงๆ ค่า แต่เพราะอดีตปูนมันทำให้มีบางอย่างปิดกั้น เลยรีบไม่ได้ ต้องขอภัยล่วงหน้าหากอ่านแล้วเกิดอาการอ้าปากกว้างเพื่อหาว (ก้มกราบ)

แต่ถ้าพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ความปรู๊ดปร๊าดก็จะตามมา (หมายถึงความรักนะคะ เรื่องบนเตียงเป็นเรื่องของอนาคต)  :mew1: :mew1:

ขอบคุณมากๆ ค่า  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยๆๆๆ สงสารคนขี้หวง ยังไม่เป็นแฟน อาการยังหนักขนาดนี้ ถ้าเป็นแล้ว สงสัยคงต้องพกไว้เอง
ปูนน่ารักนะ ทำเอาคนพ่อออกตัวแรง แต่ยังเอาอยู่ แถมทำมึนไม่รับรู้ 5555
เกนหลงพี่ปูนแย่แล้ว แต่อาการหวงเพื่อน นี่หนักไป

ตลกพอล ต้องแกล้งเพื่อนเบอร์นั้น

ปูนจะตอบตกลงยังไงน้า ลุ้นมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-12-




        สตูดิโอขนาดใหญ่ บรรจุทั้งเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับการถ่ายแบบ ในนี้คนเยอะและวุ่นวายพอดูแต่พอพอลเดินเข้ามา ทุกคนต่างก็ยกมือไหว้กันเป็นแถวๆ เสียงก็เงียบลงมาก

   “อ่าว คุณพอล มาถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หัวหน้าแผนกรีบเข้ามาทักทายหลังจากอีกฝั่งถ่ายแบบเสร็จสิ้นแล้ว แม้พอลจะดูยิ้มแย้มเป็นมิตร แต่เวลาทำงานก็โหดเอาเรื่อง บางครั้งโหดกว่ากรพัฒน์เสียอีก

   “ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ทำงานกันต่อไปเถอะ” พอลบอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินทำเป็นมองนั่นมองนี่ แท้ที่จริงกำลังมองหาคนตัวขาวต่างหาก ไม่รู้ไปอยู่ตรงไหน

   “มองหาใครหรือครับ” คำถามดังมาจากด้านหลัง พอลส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการหาคน

   เมื่อคนเข้ามาไม่มีคำตอบ คนช่างสังเกตก็ยักไหล่พร้อมเดินหันหลังกลับ แต่ดันมีเสียงเรียกไว้ซะก่อน

   “ปูน” แอ้นอยู่ด้านในตะโกนเรียก เธอโบกมือไปมา ก่อนจะเห็นว่าตรงนั้นมีเจ้านายอย่างพอลยืนอยู่ด้วย หญิงสาวก็รีบยกมือขอโทษที่ส่งเสียงดัง

   พอลไม่มีเวลาสนใจคนขอโทษ เพราะชื่อคนคุ้นหูเหมือนจะเคยได้ยินน่าสนใจกว่า พอลค่อยๆ หันกลับไปมอง และก็เจอจริงๆ คนที่กำลังตามหา ปูนโค้งศีรษะให้พอลนิดๆ ก่อนจะเดินผ่านหน้าไปหาคนที่กวักมือเรียก โดยที่พอลก็เผลอเดินตามไปด้วย

   “คุณพอลมีอะไรหรือเปล่าคะ” แอ้นถามอย่างเกร็งๆ ปกติเจ้านายจะไม่ค่อยเข้ามาในนี้ เพราะมันวุ่นวาย

   “เปล่า” พอลตอบพร้อมส่ายหน้า มือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกงสแลคสีดำพลางเสหน้ามองนั่นมองนี่ แต่หนุ่มสาวที่ยืนตรงหน้ากลับไม่ยอมไปไหน “ทำงานเถอะ ผมไม่ได้ต้องการอะไร แค่มาดูอะไรไปเรื่อย”

   “ค่ะ” แม้จะบอกแบบนั้นมันก็เกร็งอยู่ดี

   การทำงานเกือบกลับสู่ภาวะปกติหากไม่มีเจ้านายสุดหล่อเดินตามเด็กใหม่และคนสอนต้อยๆ แถมเวลาแอ้นสอนอะไรปูน พอลก็จะรีบถามย้อนกลับไปทันทีว่าทำไม จากเจ้านายกลายเป็นเจ้าหนูจำไมไปซะแล้ว

   “คุณมีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” เมื่อเห็นทุกคนทำงานไม่เต็มที่ ปูนเลยหันไปถามตรงๆ คราวนี้พอลทำตาใสมองแล้วยิ้มออกมา “ถ้าไม่มี ผมรบกวนให้คุณออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหมครับ ทุกคนทำงานกันไม่ได้” ประโยคของปูน ทำให้พนักงานทั้งหมดในห้องตาโต เพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้าพูดแบบนี้ แถมคนตรงหน้ายังเป็นเจ้านายอีก

   “นี่ไล่กันเลยหรือ” พอลถามออกมา ใบหน้าขาวดูนิ่งเฉยซะคนอื่นๆ พากันเหงื่อตก ไม่รู้ตอนนี้อารมณ์ของเจ้านายเป็นยังไง ไม่แน่ พนักงานใหม่คนนี้อาจทำงานได้แค่วันเดียวแล้วถูกไล่ออก

   “ผมไม่ได้ไล่นะครับ แค่ขอความเห็นใจ” ปูนเห็นช่างเย็บใส่ด้ายในรูเข็มไม่ได้สักที ทั้งที่ปกติทำความเร็วซะจนต้องอึ้ง หรือช่างตัดที่เผลอตัดชายกระโปรงซะเบี้ยวเพราะเกร็งมือมากเกินไป

   “งั้นก็ได้” พอลมองใบหน้าสวยของปูนที่ดูจริงจังก็ต้องยอมแพ้ ชายหนุ่มโปรยยิ้มให้พนักงานก่อนจะเดินออกมานอกห้อง ทันทีที่ชายหนุ่มปิดประตู ริมฝีปากก็ค่อยๆ เหยียดยิ้มจนกลายเป็นหัวเราะ “มิน่าไอ้กรถึงชอบ ดีๆ” พอลเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีกลับห้อง และไม่ลืมหยอดคำหวานใส่บรรดานางแบบที่เดินผ่านอย่างเช่นทุกครั้ง ก็นะ ไม่ว่าเพื่อนจะชอบแบบไหน ก็ต้องยินดีที่เห็นเพื่อนจะมีความสุข ยิ่งเพื่อนได้คนที่ดีก็ยิ่งดีใหญ่ วันนี้ช่างมีความสุขซะจริง สงสัยต้องไปฉลองซะหน่อยแล้ว


****


   ด้านปูน พอเจ้านายออกจากห้องไปแล้ว ร่างผอมก็ถูกรุมล้อมจากพนักงานด้วยกัน ทุกคนลงความเห็นว่าปูนควรจะไปขอโทษพอล เกิดเขาโมโหแล้วไล่ออกจะทำยังไง ที่ทุกคนเตือนก็เพราะอยากให้ปูนทำงานที่นี่ไปนานๆ

   “ก็ปูนพูดเรื่องจริง ทุกคนทำงานไม่ได้นี่นา”

   “โธ่ ปูน พวกพี่รู้ว่าปูนพูดเรื่องจริง แต่แบบ นั่นเจ้านายไง”

   “ปูนพูดไปแล้วนี่ แล้วเขาก็ออกไปแล้วด้วย ช่างเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก...มั้ง”

   เมื่อทุกอย่างเข้าที่จริงๆ การทำงานแบบเร่งรีบก็กลับมาอีกครั้ง ปูนยังคงเรียนรู้งานจากแอ้นอย่างสนใจ โดยมีสายตาคู่หนึ่งมองมาเนิ่นนานแล้ว

   “เด็กคุณกรนี่จริงๆ เลยนะ” หัวหน้าแผนกอย่างเหมียวเห็นทุกอย่างแต่ก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่ง เพราะพอลก็คงอยากรู้จักเลยตามมา เหตุการณ์เมื่อกี้เลยดูไม่มีอะไร และไม่ใช่เรื่องน่าห่วงสักนิด


   เวลาผ่านไปไวราวกับติดปีก นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบจะหนึ่งทุ่ม ปูนถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงตอนไม่มีใคร วันนี้แค่วันเดียวเหมือนใช้พลังชีวิตไปเยอะมาก เขาปวดเมื่อยไปหมด ระหว่างที่นั่งบีบนวดแข้งขาตัวเองอยู่ด้านหน้า ประตูห้องก็ถูกแง้มช้าๆ ก่อนจะมีศีรษะใครบางคนชะโงกเข้ามา

   “พี่ปูน” เสียงใสร้องทักทันทีที่เห็น เด็กหนุ่มรูปร่างสูงผลักบานประตูแล้วเดินเข้ามาหาทันที “คิดว่าจะไม่เจอซะแล้ว”

   “เกนมาได้ยังไง” ปูนตกใจนิดๆ ที่ได้เจอเด็กหนุ่มที่นี่ แถมยังสวมชุดนักเรียนอยู่ด้วย

   “ก็ป๋าบอกว่า พี่ปูนมาทำงานด้วย เกนเลยให้ลุงอ้อมพามา” ว่าแล้วดวงตาที่ถอดแบบพ่อก็มองไปทั่วบริเวณ “งานหนักมากไหมฮะ” เกนสังเกตจากคนด้านในที่ยังเดินกับขวักไขว่

   “ก็นิดๆ น่ะ คงจะเพิ่งมาวันแรกด้วยแหละ พี่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” ปูนบอกพร้อมรอยยิ้ม “แล้วเกนไปหาป๋ามาหรือยัง”

   “ยังเลย ลุงอ้อมจอดรถปุ๊บ เกนก็มาหาพี่ปูนก่อน” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ยื่นถุงขนมมาให้ “ซื้อมาฝาก คิดว่าพี่ปูนต้องหิวแน่นอน”

   ปูนรับถุงนั่นมาเปิดดู เป็นแซนวิสร้านดัง กลิ่นหอมเรียกเสียงท้องให้ร้องได้ทันที และเสียงนั่นก็ดังจนทั้งเจ้าตัวและคนได้ยินต้องหัวเราะออกมา

   “ขอบใจนะ พี่หิวมากเลยตอนนี้” แม้จะบอกแบบนั้น แต่ปูนก็ยังคงเก็บถุงวางไว้ข้างกายจนคนซื้อมาทำหน้าสงสัย

   “แล้วทำไมไม่กินล่ะฮะ” หิวก็ต้องรีบกิน แต่ทำไมถึงยังเก็บเอาไว้

   “พี่ยังไม่เลิกงานน่ะสิ อีกตั้งหลายนาที” งานที่นี่มีเป็นสองเวลา หากเข้าเช้าก็จะเลิกเย็น แต่ถ้าเข้าสายหน่อยก็จะเลิกดึก

   “โหย นี่จะทุ่มแล้วนะ เลิกแล้วมั้ง” เกนมองเวลาแล้วทำหน้างอ “งั้นเดี๋ยวเกนไปบอกป๋าให้”

   “ไม่ต้องๆ พี่ไม่เป็นไร”

   ระหว่างที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ ประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป็นหัวหน้าแผนกอย่างเหมียวที่เรียกให้ปูนไปหยิบแบบชุดจากด้านใน แล้วตามไปเข้าห้องประชุมที่อยู่อีกฟาก โดยที่หัวหน้าสาวรับไหว้จากลูกชายเจ้านายที่นานๆ จะมาที

   “เดี๋ยวพี่ทำงานก่อนนะ”

   เกนพยักหน้ารับ แต่สุดท้ายก็เดินตามปูนไปห้องประชุมอีกฝั่งด้วย คนด้านในนั้นไม่มีใครกล้าว่าอะไร ขืนว่าอาจถูกหักโบนัสได้

   “ปูนอยู่นี่แหละ ช่วยพี่ฟังด้วยนะ แล้วก็จดที่เขาบอก” คำสั่งที่เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ ก็ในเมื่อเขายังใหม่ กลัวจดไปแล้วไม่มีใครรู้เรื่อง

   ปูนไม่ได้พูดอะไรต่อ คิ้วสวยขมวดลงนิดๆ เมื่อได้สมุดเล่มเล็กมาพร้อมปากกา ไม่นานประตูห้องประชุมก็เปิดออก คนเข้ามาเกือบหกคน ท่าทางแต่ละคนดูนิ่งโดยเฉพาะผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาคนสุดท้าย

   “นั่นมัน...” ปูนพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นคนสุดท้าย

   เมื่อทุกคนเดินเข้ามา ต่างก็มานั่งตรงเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ หญิงสาวคนสุดท้ายปรายตามองคนที่นั่งอีกฝั่ง เธอจำได้ว่าเคยเห็นผู้ชายผอมคนนี้ที่ร้านของเพื่อน แต่ทำไมถึงมานั่งอยู่ในนี้ด้วย ก่อนดวงตาเรียวจะค่อยๆ เบนมามองเด็กข้างๆ ที่นั่งมองหน้าเธอเช่นกัน

   ทันทีที่ดวงตาสองคู่สบกัน ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆ เม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อซึมตามบริเวณใบหน้าทั้งที่อุณหภูมิห้องก็ปกติ

   “เป็นอะไรคริสตี้” หญิงท้วมเอ่ยถามทันทีที่เห็นคนข้างกายกระสับกระส่าย แถมมือสองข้างก็บีบกระเป๋าหรูซะแน่นไปหมด “ไม่สบายหรือเปล่า”

   คำถามทำเอาทุกคนในห้องต่างให้ความสนใจ นางแบบตัวท็อปหากป่วย งานก็คงถูกยกเลิก เพราะสุขภาพสำคัญกว่า อีกอย่าง โมเดลลิ่งที่หญิงสาวอยู่นั้น ก็เป็นของสามีซึ่งรวยและดังมาก ดังนั้นทุกเรื่องของเธอสำคัญหมด

   “ปะ เปล่า” คำปฏิเสธที่แสนจะติดขัด ใบหน้าของคริสตี้เซียวลงอย่างเห็นได้ชัด อาการเช่นนี้คงไม่มีใครรู้ดีเท่าเจ้าตัวและคนนอกอย่างปูนกับเหมียวที่ทำงานที่นี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม ปูนเห็นคริสตี้มองมาที่เกนแล้วก็เกิดอาการ ดังนั้นไม่ต้องเดาเลยว่า เธอรู้ว่าเด็กหนุ่มข้างๆ นี้คือลูกชายของเธอ

   “พี่ปูนหิวข้าวหรือเปล่า” ท่ามกลางความเป็นห่วงนางแบบดัง เกนเลือกจะกระซิบถามปูนอย่างเป็นห่วง เมื่อกี้ท้องของปูนร้องแถมเจ้าตัวยังบอกว่าหิวด้วย มีงานแบบนี้คงกินข้าวไม่ได้

   “พี่ไม่เป็นไร” ปูนกระซิบตอบกลับ ช่วงที่เขาตอบนั้น เห็นสายตาของนางแบบสาวมองมาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทางอื่น “เกนไปห้องป๋าก่อนไหม”

   “ไม่เอา เกนจะรอพี่ปูน”

   “เอาเป็นว่า” เสียงดังจากอีกฝั่งทำให้ปูนต้องละสายตาจากเกนขึ้นไปมอง “ขอเลื่อนไปคุยงานวันอื่นแล้วกันนะคะ ดูเหมือนคริสตี้ไม่สบาย”

   “ได้ค่ะ ถ้าคุณสะดวกวันไหนก็นัดวันเรามาได้เลยค่ะ” เหมียวตอบพร้อมรอยยิ้ม รายละเอียดกับแบบของชุดถูกรวบเก็บ “คงจะทำงานหนักนะคะ”

   “ค่ะ ตั้งแต่กลับมาก็ไม่ค่อยได้พัก” คริสตี้ตอบ ดวงตาเรียวยังคงมองมาทางเกนอยู่เรื่อยๆ “ขอโทษด้วยนะคะ”

   “ไม่เป็นไรเลยค่ะ สุขภาพคุณคริสตี้สำคัญที่สุด” เหมียวตอบออกไป

   เมื่อไม่มีการคุยงานอีก ทุกคนต่างก็พากันลุกออกจากห้อง ปูนกับเกนเดินรั้งท้าย โดยที่คนหลังสุดไม่รู้เลยว่ากำลังถูกจ้องมองตลอด เพราะมัวแต่สนใจปูน

   ประตูห้องประชุมเปิดห้อง พอดีกับชายหนุ่มเจ้าของบริษัทเดินมา พอลกอดคอกรพัฒน์แถมยังคุยจ้อเรื่องคนรักของเพื่อน แต่ความรื่นเริงนั้นค่อยๆ หายไปเมื่อต้องปะทะกับกลุ่มคนที่เพิ่งออกจากห้อง พอลรีบหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่ตีหน้านิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ออกมาหลังสุดคือเกน คำว่างานเข้ายังน้อยไปด้วยซ้ำ แล้วทีนี้จะทำอย่างไร

   กรพัฒน์มองหน้ากลุ่มที่เดินออกมา ก่อนจะค่อยๆ ยกยิ้มให้บรรดาทีมงานของนางแบบที่จะมาขึ้นปก พอยิ้มมาจนถึงอดีตภรรยา รอยยิ้มบางๆ นั่นก็หายไป

   “ไม่เจอกันนานนะกร” คำทักทายดูเป็นกันเองของนางแบบที่มีให้กับอดีตสามี คริสตี้หันไปบอกทีมงานว่าให้ไปรอที่รถ พอๆ กับเหมียวสั่งพนักงานให้ไปทำงาน และกำลังจะสะกิดเรียกปูนให้กลับห้องด้วย หากไม่มีคำถามของเกนที่ดังขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ให้มอง

   “พี่ปูนจะไปไหน” เกนเดินตามติดปูนตลอด แม้จะเจอหน้าพ่อตัวเองแต่กลับไม่สนใจมากนัก

   “คือพี่จะกลับไปทำงาน” ปูนละล้าละลังเมื่อถูกจ้องมอง “เกนอยู่กับป๋า เอ่อ คุณกรที่นี่แหละนะ” หลุดคำเรียกที่ใช้กับเกนบ่อยจนเปลี่ยนแทบไม่ทัน

   “ได้ไง แซนวิสของเกนก็อยู่ในถุงที่ให้พี่ปูน เกนเอามากินกับพี่ปูน” เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวยังคงไม่ยอมออกห่าง จนกรพัฒน์ต้องบอกให้ตามปูนไป

   “เกน” เสียงเรียกเบาๆ ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินไป พอได้ยินคนเรียก เกนก็หันกลับไปมอง “โตขึ้นแล้วหล่อจัง” คำชมของคริสตี้ไม่ทำให้เกนยิ้มหรือมีท่าทีตอบโต้อะไร

   “ขอบคุณครับ” ตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปเร่งเร้าให้ปูนกลับห้อง

   “เดี๋ยวสิ” แค่ก้าวขาไม่กี่ก้าวก็ถูกเรียกอีก “คุยกันก่อนสิ”

   “เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ ผมว่า ผมไม่รู้จักคุณป้านะครับ” เกนมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเฉยชา ก็ในเมื่อไม่รู้จัก ไม่สนิท แล้วทำไมต้องอยู่คุย “ป๋า เกนไปกินแซนวิสกับพี่ปูนนะ”

   “เกน” คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง แต่แขนถูกคว้าไว้ด้วยมือที่เคลือบเล็บสีแดงสด สายตาของคนจับดูเว้าวอน ต่างจากคนถูกจับที่ตีหน้ายุ่ง “ไม่อยากคุยกับ...แม่หรือ”

   สุดท้ายก็พูดออกมา คำที่ไม่เคยได้พูดกับลูกชายคนแรก

   “แม่?” เกนตีหน้ายุ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันไปมองหน้าพ่อตัวเอง สลับกับผู้หญิงที่แทนตัวเองว่าแม่กับเขา “ป้าเป็นแม่ใครหรือครับ”

   “เกน นี่แม่เองนะ แม่ของเกน” คริสตี้พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นไหว ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้าในห้องประชุม มือไม้ของเธอก็อ่อนแรง หัวใจเต้นรัวราวกับถูกตีซ้ำๆ ดั่งกลองรบ ความรู้สึกผิดตีรวนวนไปมาจนอยากจะร้องไห้อยู่หลายรอบ แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้

   “แม่...แม่ของผมเหรอ ป๋า นี่แม่เหรอ” คล้ายกับถูกไฟช็อตจนสมองเบลอ เกนหันไปถามพ่อตัวเองเสียงเรียบ ตอนนี้การรับรู้ของเกนแทบจะเท่ากับศูนย์ ผู้หญิงตรงหน้ากำลังร้องไห้ เธอบอกว่าเธอคือแม่...พอกรพัฒน์พยักหน้าลง เกนก็รีบหันมามองหน้าคริสตี้อีกครั้ง “เป็นแม่ของผม แล้วทิ้งผมไปทำไม”

   “เกน...” ประโยคและคำพูดมากมายเลือนหายไปหมด คิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องพบเจอคำถามเช่นนี้ แต่พอเอาเข้าจริง คริสตี้กลับตอบอะไรไม่ได้ มือที่จับแขนลูกชายไว้ค่อยๆ คลายออก ดวงตาเรียวมีน้ำใสเอ่อคลอพร้อมไหลอยู่ตลอด “คือแม่”

   “ที่จริง ผมก็ไม่ได้โกรธหรอกที่แม่ทิ้งไป เพราะป๋า อากง อาม่าก็ดูแลผมอย่างดี ดีมาก ดีสุดๆ ดีซะจนคิดว่าไม่ต้องมีแม่แล้วก็ได้” เกนตอบพร้อมจ้องหน้าคริสตี้ “อาม่าเคยบอก แม่ต้องไปทำงานเพื่ออนาคตของแม่ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมโตแล้วเลยเข้าใจ ว่าอนาคตของแม่ สำคัญกว่าลูกอย่างผม”

   คล้ายกับถูกท่อนเหล็กกล้าตีย้ำๆ ซ้ำๆ หลายรอบ คริสตี้ปล่อยโฮออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้เหลือแค่เธอ กรพัฒน์ พอล เกน แล้วก็ปูนเท่านั้น

   “แม่ขอโทษ” บอกทั้งน้ำตา เสียงสะอื้นเหมือนจะขาดใจไม่ทำให้เด็กหนุ่มสงสารมากนัก คงเพราะไม่คุ้นเคยและไม่เคยรู้จัก “แม่ขอโทษนะเกน”

   “ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ก็ผมบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ แม่ก็ทำงานที่แม่รักไป ผมก็อยู่กับคนที่รักผม แค่นี้ก็ไม่เห็นมีอะไร เราต่างคนต่างอยู่ ทำเหมือนเดิมก็ได้ ผมไม่เป็นไร” คำตอบฉะฉาน แต่ลึกๆ แล้ว เกนรู้สึกเสียใจและไม่โอเคกับความรู้สึก เด็กหนุ่มซ่อนความน้อยใจไว้ด้านใน และเลือกจะยิ้มออกมา “ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมานะครับ หวังว่าต่อจากนี้ไป แม่จะมีความสุขกับอนาคตที่แม่เลือก และมันต้องดีมากแน่นอน” พูดจบเกรก็ดึงมือปูนเดินหนีไปทันที

   “เกน เดี๋ยว เกน” ไม่มีคำเรียกใดหยุดได้อีกแล้ว อีกฝ่ายจ้ำพรวดไปข้างหน้าไม่คิดจะสนใจอีก มีเพียงแค่ปูนที่ทำหน้าเสียหันกลับมามองเป็นระยะจนพ้นสายตา “เกน แม่ขอโทษ” ปากบางยังพร่ำขอโทษอยู่ตลอด น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย

   “ร้องออกมาให้หมด พอหมดก็หยุด” กรพัฒน์บอกเสียงนิ่ง แต่ก็ส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้ แม้ไม่เคยรัก แต่ก็ผูกพัน

   “ฉันจะทำยังไงดี กร ฉันควรทำยังไง” คริสตี้เงยหน้าถามอดีตสามีด้วยน้ำตานองหน้า “ฉันจะทำยังไงให้เกนหายโกรธ”

   “ก็ตามที่เกนว่า มันไม่ได้โกรธจริงๆ” คนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กบอก ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปบีบบ่าเล็กเบาๆ “เกนมันไม่เคยโกรธ ไม่ต้องคิดมาก”

   “ไม่โกรธแต่คงน้อยใจ” เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น หากไม่มีเสียงแทรกเข้ามา “อุ้ย เผลอคิดมีเสียง” พอลแสร้งทำตลก ตอนนี้ความเลวร้ายของการเจอหน้ากันระหว่างแม่ลูกดูน้อยกว่าที่คาดไว้มาก อันที่จริง ที่คาดไว้รู้สึกจะรุนแรงจนอาจเป็นซีนเรียกน้ำตาทั้งสองฝั่ง “ตามสบายนะ” ว่าแล้วพอลก็เดินหนีออกมา ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง แม้จะเป็นอดีตก็เถอะ



***


   ด้านเกนที่ดึงปูนออกมาจากตรงนั้นก็ค่อยๆ หยุดเดิน คนตามหลังอย่างปูนสังเกตเห็นไหล่กว้างสั่นไหวเบาๆ เกนกำลังร้องไห้อยู่สินะ ว่าแล้วมือขาวก็ค่อยๆ ยื่นไปแตะบ่าเพื่อปลอบ

   “พี่ปูน” เกนหันกลับมาพร้อมโผเข้ากอดแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มจนเสื้อตรงบ่าของปูนเปียกชุ่ม “พี่ปูน” เรียกชื่อซ้ำๆ เพราะคนร้องไห้กำลังสับสน

   “ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่ตรงนี้” ปูนลูบหลังเพื่อปลอบใจคนร้องไห้ จากการคาดเดา นี่คงเป็นน้ำตาของความน้อยใจ เพราะประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ อนาคตของแม่สำคัญกว่าลูกนั้น ขนาดปูนที่เป็นคนนอกฟังแล้วยังรู้สึกสะอึกในใจ จนเหมือนมีก้อนแข็งบางอย่างจุกอยู่ในอก “ไม่เป็นไรนะ”

   “พี่ปูนไปนอนกับเกนนะ” คำขอปนสะอื้นช่างน่าสงสาร

   “ครับ พี่จะไปนอนกับเกนนะ ไม่เป็นไรนะ” ปูนตอบรับ มือขาวยังคงลูบหลังกว้างไปมา พาลคิดว่าคริสตี้ก็คงจะร้องไห้หนักไม่แพ้กัน แต่อย่างน้อยตรงนั้นก็ยังมีกรพัฒน์อยู่...

   เนิ่นนานกว่าเกนจะหยุดสะอื้น ใบหน้าหล่อขึ้นสีแดงจัดเพราะร้องไห้อย่างหนัก มีปูนคอยซับน้ำตาให้อยู่ตลอดพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังใกล้ๆ ทำให้ต้องหันไปมอง กรพัฒน์เดินหน้านิ่งเข้ามา ดวงตาคมมองลูกชายเพียงคนเดียวด้วยความห่วงใย นี่แหละที่ทำให้เขาคิดหนักกับการจะให้แม่ลูกเจอกัน เพราะความรู้สึกของเกนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

   “กลับหรือยังเกน” กรพัฒน์เอ่ยถามลูกชาย

   “อื่อ” เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมดึงมือของปูนให้ลุกจากพื้นด้วย “พี่ปูนจะไปนอนกับเกน”

   “ปูนจะไปนอนกับเกน?” ทวนประโยคจนได้รับการพยักหน้ายืนยัน “ที่ไหน ห้องปูนหรือห้องเกน”

   “ห้องของเกน” เจ้าของห้องว่า “ป๋าไปส่งพี่ปูนเก็บของที่หอแป๊บหนึ่งได้ไหม”
 
   “อืม” แม้จะงงๆ แต่ก็รับปาก “ไปเลยไหม”

   ปูนขอตัวไปเก็บของด้านในก่อน ปล่อยให้เกนอยู่กับพ่อตัวเอง เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะชะเง้อมองหาหรือไถ่ถามความต่อ ความเงียบปกคลุมทั้งพ่อและลูก จนปูนเดินออกมาเกนถึงยอมพูด

   “พี่ปูนกินแซนวิสรองท้องไว้ก่อน เดี๋ยวเราค่อยหาอะไรกินก่อนกลับ ได้ไหมป๋า”

   “ได้อยู่แล้ว ว่าแต่ปูนยังไม่ได้กินข้าวหรือ” ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีที่พาปูนมาลำบาก ที่จริงเด็กใหม่หลายคนก็ต้องค่อยๆ ปรับตัวอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคนพิเศษ อะไรนิดหน่อยก็เป็นเดือดเป็นร้อน “งั้นแวะกินก่อนไปเอาของที่หอก็แล้วกัน อยากกินอะไรกันล่ะ”

   “อาหารญี่ปุ่น” กลายเป็นเกนตอบพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งกรพัฒน์ก็ตกลงทันที อย่างน้อยเกนก็ทำตัวตามปกติ “พี่ปูนจะต้องชอบ ร้านนี้ร้านโปรดของเกนเลยนะ”

   “พี่กินอะไรก็ได้” ปูนตอบอย่างเกรงใจ ถ้าเป็นร้านโปรดละก็ ราคาคงจะแพงน่าดู

   “อยู่กับป๋า รับรอง อะไรก็ได้กินแถมมีแต่ของอร่อย เนอะ” มีการชงให้พ่อตัวเองได้อย่างเปิดเผย เล่นเอากรพัฒน์หัวเราะออกมาก่อนจะยื่นมือไปผลักหัวลูกชายเบาๆ

   “แกนี่นะ...ทำดี” คิดว่าจะบ่น แต่กลายเป็นคำชม เกนหัวเราะร่า ต่างจากปูนที่หน้าบูดนิดๆ

   ภาพความสุขของสามหนุ่มอยู่ในสายตาของคริสตี้อยู่ตลอด เธอสะท้อนในใจเมื่อเห็นภาพเหล่านี้ รอยยิ้มของลูกชายที่เฝ้านึกถึงมาตลอด กลับกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว แม้เธอจะมีลูกกับสามีคนปัจจุบัน แต่สายสัมพันธ์ความรักความผูกพันของแม่ลูกระหว่างเธอกับเกนก็ยังคงอยู่ ซึ่งเป็นสายสัมพันธ์ที่ทำให้เธอฝันร้ายมาค่อนชีวิต

   “เกน แม่ขอโทษนะ”



..TBC

เกนของเราช่างน่าสงสารเสียจริง (ดึงมาจูบย้ำๆ) แถมไม่รู้ว่า ป้าเขาจะมาดี มาร้ายนะคะเนี่ย >w<++


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ถ้าป้ามาดีจะให้chocolate แต่ถ้าร้ายนะ...  :m16: จะเอาน้ำมนต์สาด

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอให้ป้ามาดีเถ๊อะะะะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ประหลาดอ่ะ ฟังจากเรื่องเล่าของแม่เกนที่ว่าพอคลอดแล้วก็ออกไปทำงานต่อ การมาร้องห่มร้องไห้นี่แปลกสำหรับเราเลย แต่เราก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของตัวละครนี้มาก
เกนจ๊ะ ฟ้าส่งแม่ใหม่มาให้หนูแล้ว  :laugh:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สงสารเกน ทุกอย่างเหมาะเจาะไปหมด แต่โชคดีที่มีปูน และเกนติดปูนมาก
ถึงตอนมี ไม่อยากมี ตอนทิ้งก็ไม่ทันคิด พอมาเจอกัน ก็ห่วงหา มันเป็นสายสัมพันธ์ แต่ไม่ผูกพันนะ

ตลกพอล ทำไมพยายาม 5555 สามารถจริงๆ
เป็นกันไปหมด พ่อ หลาน เพื่อนพ่อ ตามปูนยิ่งกว่าเงา

ชอบตอนเกนดื้อน่ะ ทำมึนแล้วก็เดินตามไปแบบชิลๆ ก็ทำไมล่ะ 55555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-13-




           ห้องนอนของเกนกว้างขวางไม่ต่างจากห้องพ่อตัวเอง แต่ตอนนี้เจ้าของห้องเริ่มรู้สึกได้ว่ามันคับแคบลง ปูนยืนสวมชุดนอนมองดูคนที่นั่งบนเตียงทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตั้งแต่กรพัฒน์หอบหมอนข้ามฝั่งมาที่ห้องและบอกจะขอนอนด้วย เจ้าของห้องก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมทั้งผลัก ทั้งดันให้พ่อออกไป แต่เรี่ยวแรงที่เหลื่อมกันอยู่ เกนเลยพ่ายแพ้ เพราะแบบนี้เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที

   “ป๋าก็ไปนอนห้องป๋าสิ เกนไม่ให้นอน ลงเตียงไปเลย” เกนพยายามใช้ตัวเบียดร่างของกรพัฒน์ให้ร่วงลงเตียง แต่คนถูกเบียดเอี้ยวตัวกลับเข้าไปอยู่ตรงกลางได้ใหม่ “ป๋า ออกไปเลย เกนจะนอนกับพี่ปูน”

   “แกก็นอนไปสิ ฉันก็จะนอนด้วย แล้วก็ ห้องนี้ป๊าฉันเป็นคนสร้าง ดังนั้นฉันก็มีสิทธิ์” กรพัฒน์เถียง

   “ป๊าของป๋าก็อากงเกน ดังนั้นนี่ก็เป็นของเกนด้วย ไม่ต้องมาอ้างสิทธิ์” เกนก็ยังนั่งตอบโต้ไม่ยอม แถมตอนนี้เริ่มโยนหมอนพ่อตัวเองลงเตียงไปแล้ว “แล้วดู เตียงแคบขนาดนี้ ป๋าจะนอนด้วยได้ยังไง ออกไปนอนห้องตัวเองเลยไป”

   “ไอ้เกน มากไปโว้ย นี่ป๋าแกนะ กล้าไล่เลยเรอะ” 

   “เอ่อ ปูนนอนโซฟาก็ได้นะครับ” เมื่อเถียงเรื่องความกว้างของที่นอน ปูนเลยออกตัวชี้ไปที่โซฟาตัวยาวที่ท่าทางจะนุ่มและนอนสบายเหมือนกัน

   “ไม่ได้/ไม่เอา” สองพ่อลูกตะโกนออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “นอนบนนี้แหละ/นอนด้วยกันนั่นแหละ” ทั้งคู่ก็ยังพูดพร้อมกันอีก จนต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนเด็กๆ 

   “ก็เป็นซะแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้นอนล่ะครับเนี่ย” ปูนถึงกับยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง แค่มานอนด้วยทำไมถึงเกิดเรื่องเยอะขนาดนี้ ตอนอาบน้ำก็ทีหนึ่งแล้ว เกนจะขออาบด้วย พอเดินตามก็ถูกกรพัฒน์ลากคอออกไปนอกห้อง แล้วก็โวยวายกันใหญ่ “ปูนคิดผิดใช่ไหมที่มานอนที่นี่”

   “ไม่เลย ไม่ผิด” เกนรีบขยับไปดึงมือปูนมาใกล้เตียง แต่ก็มิวายส่งสายตาค้อนให้พ่อ “พี่ปูนนอนริมนี้นะ เดี๋ยวเกนนอนตรงกลางเอง”

   “ได้ไง แกนอนดิ้นจะตาย เดี๋ยวปูนก็ตกเตียงพอดี ปูนมานอนฝั่งพี่นี่” คนนอนไม่ดิ้นกักมือเรียก

   “เกนนอนดิ้นที่ไหน ป๋าอย่ามามั่ว”

   “มั่วที่ไหนล่ะ ไม่เชื่อไปถามเพื่อนแกสิ”

   “ก็นั่น...”

   “พอแล้วครับ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว เดี๋ยวปูนนอนตรงกลางเอง”

   สุดท้ายปูนก็ยุติสงครามน้ำลายของพ่อลูกด้วยการปีนขึ้นเตียงแล้วไปแทรกนอนตรงกลาง กรพัฒน์กับเกนมองตากันปริบๆ ก่อนจะก้มมองคนที่นอนหลับตาตรงกลางระหว่างพวกเขา

   “นอนก็นอน” คนลูกยอมก่อน เกนล้มตัวนอนพร้อมวาดแขนมาโอบรอบเอวปูนไว้ “ป๋าปิดไฟด้วย” และพอเห็นพ่อตัวเองจะล้มตัวลงนอนบ้าง ก็ไม่ลืมสั่ง จนมีเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจดังเบาๆ

   เมื่อไฟในห้องดับหมดแล้ว กรพัฒน์ก็ล้มตัวลงนอน ใช้เวลาครู่หนึ่งในการปรับสายตาให้ชิน จนสามารถมองเห็นร่างคนข้างกาย ปูนยังคงหลับตานอนนิ่ง แต่ดูก็รู้ว่ายังไม่หลับ ที่สำคัญ ไอ้ลูกชายตัวดีคล้ายกับจะดึงปูนให้ขยับไปชิดด้วย มันน่าโดนเตะสักที
 
   เสียงนาฬิกาบนโต๊ะยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ไม่นานเสียงนั้นก็ถูกตัดออกจากการรับรู้ พร้อมกับแอร์เย็นยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดี เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ แต่ปูนรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ ขยับตัวไปมาพร้อมเสียงพูดเบาๆ ดวงตากลมโตเลยค่อยๆ ปรือขึ้น

   “...ทิ้งทำไม” เสียงเบาหวิวหลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่มข้างกาย ปูนขมวดคิ้วจ้องมอง เห็นใบหน้าของเกนมีหยาดน้ำตาไหลออกทางหางตาอย่างต่อเนื่อง “ทิ้งเกนทำไม”

   “โธ่ เกน” ปูนเม้มริมฝีปากรู้สึกสงสาร แม้เกนจะดูไม่คิดมากเรื่องแม่ แต่พอเอาเข้าจริงก็ต้องรู้สึกเสียใจมากแน่อยู่แล้ว

   “แม่ไม่รักเกนใช่ไหมเลยทิ้งไป” เกนยังคงละเมอเพ้อถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น มือสองข้างก็กวัดแกว่งไปในอากาศคล้ายกับจะไขว่คว้าหาอ้อมกอด “ไม่รักเกน”

   “อ่าว ปูนเป็นอะไร นอนไม่หลับหรือ” เสียงคนอีกฝั่งเรียกให้ปูนหันไปมอง กรพัฒน์ยกมือขยี้ตาหลังจากพลิกตัวแล้วเห็นปูนนั่งอยู่ “หืม” แต่พอปูนส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองเกน คนเพิ่งตื่นก็ค่อยๆ ลุกมานั่งตาม

   “เกนคงจะเสียใจมากแน่ๆ”

   “นี่ละ ที่พี่คิดหนักเรื่องที่จะให้แม่ลูกเจอกัน”

   กรพัฒน์มองลูกชายนิ่ง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กัน ที่เห็นคนที่รักต้องเสียใจ แต่เรื่องแบบนี้จะหนีก็คงไม่พ้น สักวันเกนก็ต้องรับรู้และเจ็บปวด

   “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะพี่กร” ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นทั้งที่หลับแบบนี้ ยิ่งน่าสงสารไปใหญ่ “พี่กร” ปูนหันไปมองหน้าคนเป็นพ่อเพื่อถามความเห็น

   “เกนมันพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทั้งที่จริงแล้วมันก็ยังเด็กอยู่ ปัญหานี้เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง ให้เวลาทั้งเกนแล้วก็...แม่ของเขา” แม้จะอยากช่วยแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก จะสั่งให้ลูกหยุดเสียใจก็คงเป็นไปไม่ได้ “ปลุกมันดีไหม”

   “ไม่ดีหรอก” ปูนไม่เห็นด้วย ก่อนจะนอนลงแล้วดึงตัวเกนให้ขยับเข้ามาในอ้อมกอด คนละเมอรีบรัดเอวคนกอดแน่นพร้อมซุกหน้าบนอกอุ่น “นิ่งซะนะ พี่อยู่ตรงนี้ พี่ปูนจะอยู่ข้างเกนนะ” ปูนลูบศีรษะคนร้องไห้เบาๆ เพื่อปลอบ และเกนก็เริ่มกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ไม่นานเสียงสะอื้นเบาๆ ก็หยุดลงและมีเสียงหายใจดังขึ้นมาแทน “หลับแล้ว...พี่กรทำอะไร”

   ช่วงที่ปลอบจนเกนหยุดร้องไห้ ปูนก็เอี้ยวคอไปบอก แต่กลายเป็นว่า คนด้านหลังกลับล้มตัวลงนอนแล้ววาดแขนโอบตัวปูนเอาไว้

   “พี่ก็อยากปลอบไอ้เกนบ้าง” กรพัฒน์ว่า ใบหน้าคมซุกตรงต้นคอหอมพอดี “หอม”

   “ไหนบอกจะปลอบเกนไง แต่นี่พี่กอดปูนอยู่” คนถูกกอดไม่กล้าเอี้ยวคออีก เพราะทันทีที่ขยับ จะรู้สึกได้ว่า ริมฝีปากของคนด้านหลังแตะที่ต้นคอ

   “นี่พี่กอดเกนนะ แต่ปูนนอนคั้นกลางแถมยังกอดลูกพี่พอดี” คนแก้ตัวยังแถไปเรื่อย ตอนนี้เขามีคนตัวหอมอยู่ในอ้อมกอด “นอนเถอะ เดี๋ยวไอ้เกนมันตื่น” ว่าแล้วก็แกล้งหลับตาแล้วส่งเสียงกรน

   “คนเรานี่นะ” ปูนว่าอย่างงอนๆ แต่ก็ยอมหลับตาในอ้อมแขนของกรพัฒน์ และมีลูกชายของเขาที่หลับในอ้อมกอดของปูนเช่นกัน



***


   แสงแดดอ่อนๆ เริ่มลอดผ่านผ้าม่านพาดมาที่ดวงตากลมจนต้องค่อยๆ ปรือขึ้น ปูนกระพริบอยู่หลายครั้งว่าจะลืมตาเต็มที่ แสงสว่างด้านนอกทำให้รู้ว่าตอนนี้เช้าแล้ว คนร่างผอมยกแขนจะบิดขี้เกียจเช่นทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ พาดบริเวณช่วงเอว มือขาวเลยรีบเปิดผ้าห่มดู

   “แขน?” พอเห็นว่าเป็นแขน ปูนก็ค่อยๆ ขยับตัวตะแคงมาอีกด้าน ซึ่งทำแบบนั้นแล้ว หน้าขาวปะทะกับหน้าอีกคนพอดี ปูนกระพริบตาปริบๆ นี่เขานอนหมอนเดียวกับกรพัฒน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าตั้งแต่เมื่อคืนนี้...แล้วเกนล่ะ ไปไหน และพอจะขยับตัวมองหาคนที่ปลอบเมื่อคืน คนที่นอนหลับอยู่ก็ขยับตัวจนปูนต้องรีบหลับตาลงเพื่อแกล้งทำเป็นหลับ

   “น่ารักจริง” เสียงชมเบาๆ ยามที่ลืมตาตื่นมาเห็นคนน่ารักอยู่ตรงหน้า แบบนี้แหละที่กรพัฒน์ต้องการเห็นทุกวัน ว่าแล้วนิ้วยาวก็ค่อยๆ ไล้บริเวณใบหน้าขาว ทั้งคิ้วดำที่เรียงสวย เปลือกตาที่ซ่อนนัยน์ตาดั่งลูกกวาง ขนตาแพสวย จมูกโด่งนิดๆ และปากแดงที่น่า...จูบ

   “...”

   ปูนรีบลืมตา มือสองข้างยกขึ้นปิดปากเมื่อถูกจู่โจมด้วยการจูบ คนจูบก็ดูตกใจไม่แพ้กัน

   “ปูนไม่ได้หลับอยู่หรือ” กรพัฒน์รีบผุดลุกขึ้น ชายหนุ่มเอนหลังพิงหัวเตียง มือก็ยกเกาท้ายทอยตัวเองอย่างเขินๆ ไม่เคยแอบจูบใครตอนหลับแบบนี้เลยให้ตาย

   “ลักหลับปูนหรือ” ปูนยกมือออกแล้วพูด ก่อนจะยกมือขึ้นปิดใหม่ ทำแบบนี้แล้วเลยถูกหัวเราะใส่ “ไม่ตลกนะ”

   “งั้นจะให้พี่ทำยังไง ไปขอปูนเลยดีไหม” กรพัฒน์ว่า เลยได้ค้อนมาวงใหญ่ “เอางี้ก็ได้ พี่จะรับผิดชอบปูนเอง ไปย้ายของมาอยู่ห้องพี่เลย”

   “ชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย” ว่าพร้อมใบหน้าง้ำงอ

   “ไม่เล่นก็ได้ แต่ทำจริงเลย” คราวนี้กรพัฒน์ทำหน้านิ่งจริง กลายเป็นปูนที่ทำตัวไม่ถูก “อ่าว หนีเลยพอพูดจริง”

   ปูนรีบลงมาจากเตียงจะไปห้องน้ำ แต่ประตูกลับเปิดออกมา เกนยืนยิ้มสดใสให้ บนตัวมีผ้าขนหนูพันรอบเอวไว้เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

   “เกนตื่นนานแล้วหรือ ทำไมไม่ปลุกพี่ล่ะ” ปูนถาม แต่เกนกลับยิ้มๆ ไม่ตอบ แต่ส่งสายตาพราวระยับไปที่ปูนกับพ่อตัวเอง “พี่เข้าห้องน้ำดีกว่า”

   ประตูห้องน้ำปิดพร้อมเสียงหัวเราะของเจ้าของห้อง ตอนเช้ามืด เกนตื่นมาเพราะปวดท้อง ทันทีที่ลืมตาตื่น ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดปูน แค่นั้นก็รู้สึกอุ่นไปทั้งหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังของปูนยังมีพ่อของเขาที่โอบปูนไว้แน่น ตอนเกนตื่นนั้น พ่อของตัวเองก็ตื่นเหมือนกัน แถมยังส่งซิกไม่ให้ปลุกปูนอีก แล้วแบบนี้จะมาโทษว่าไม่ปลุกไม่ได้ ต้องโทษคนสั่งนู้น

   “ยิ้มเชียวนะป๋า” อดที่จะล้อพ่อตัวเองไม่ได้ กรพัฒน์พิงหัวเตียงยิ้มอย่างมีความสุข

   “แกล่ะ ดีขึ้นไหม” พอถูกถามกลับ รอยยิ้มสดใสก็ค่อยๆ เลือนหาย “เมื่อคืนละเมอร้องไห้หนัก ตาบวมเลยนะ”

   “มันจะดีขึ้นใช่ไหม” เกนมองหน้าพ่อตัวเองแล้วถามออกมา

   “ก็อยู่ที่แกนั่นแหละที่กล้าเผชิญไหม แต่ลูกของไอ้กรซะอย่าง ไม่กล้าก็กลับไปอยู่กับอากงแกได้เลย” แม้จะไม่มีคำพูดปลอบใจที่สวยหรู แต่แค่นี้เกนก็รู้สึกดีใจที่พ่อเป็นห่วง “แม่ของแกน่ะ ไม่ได้อยากทิ้งไปหรอก แต่สิ่งที่รออยู่ของเขา มันดีจริงๆ เข้าใจเขาด้วยล่ะ”

   “เกนรู้”

   “ถึงแม้ว่าฉันกับแม่แกไม่ได้รักกัน แต่แกก็เกิดมาพร้อมกับความรักนะ แกยังมีฉัน มีอากง อาม่า”

   “มีแม่ แล้วก็พี่ปูนด้วย”

   “พอมีแม่ละพูดถึงใหญ่เลยนะ ไง แม่แกสวยใช่ไหมล่ะ”

   “สวย...แต่ป๋าไม่ชอบไง”

   “ดูปากมัน” ว่าแล้วก็ยกขาให้ จนลูกชายหัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้ชอบคนเพราะสวยเว้ย”

   “แล้วป๋าชอบพี่ปูนเพราะอะไร”

   “เพราะเขาทำให้ฉันรู้สึกอยากยิ้มทุกครั้งที่ได้เจอหน้า” พอนึกถึงการเจอกันครั้งแรก รอยยิ้มที่ปูนมอบให้ มันทำให้หัวใจที่ไม่เคยเปิดรับใครเต้นแรง จนอยากเก็บรอยยิ้มนั่นไว้คนเดียว “จนฉันอยากจะยิ้มทุกวัน ทุกเวลา”

   “ป๋าอยากเป็นบ้าเหรอ”

   “ไอ้เกน”

   คนลูกขัดความเพ้อของพ่อเลยถูกวิ่งไล่เตะรอบห้อง เกนหัวเราะพ่อตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ความเศร้าที่มีมาค่อยๆ ลดหายลงไปเรื่อยๆ ใช่ เขาไม่ควรโทษว่าแม่ผิด หรือโทษว่าตัวเองผิด คนเราต่างก็ต้องเลือกทางชีวิตของตัวเอง จนบางทีอาจจะต้องทิ้งบางอย่างไว้ด้านหลัง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

   กว่าปูนจะออกจากห้องน้ำ สองพ่อลูกก็หมดเรี่ยวหมดแรงนอนแผ่หลาบนเตียง เกนถูกไล่ให้ไปแต่งตัวเพื่อไปเรียน  กรพัฒน์ก็ถูกสั่งให้ไปอาบน้ำเพื่อไปทำงาน ส่วนคนอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ออกจากห้องเพื่อไปยังห้องอีกฝั่ง เพราะเครื่องครัวห้องกรพัฒน์นั้นมีครบ

   “ปูนชอบที่นอนแข็งหรือนุ่ม” กรพัฒน์ยังไม่ยอมเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มพาดผ้าขนหนูไว้บนบ่าแล้วเดินตามคนทำกับข้าวต้อยๆ “แล้วเครื่องครัวอยากได้อะไรเพิ่มไหม”

   “พี่กรถามปูนทำไมเนี่ย” คนยุ่งอยู่กับการทำอาหารตวัดสายตาขึ้นไปมอง

   “คืองี้นะ” คล้ายกับคิดอะไรออก “ช่วงที่พี่ไปทำงานเมืองนอก เกนมันอยู่คนเดียวไง แล้วพี่อยากจะขอร้องให้ปูนมาอยู่เป็นเพื่อนมัน ได้ไหม ถือว่าพี่ขอร้อง ปูนก็เห็นเมื่อคืนว่ามันร้องไห้เสียใจ พี่ไม่อยากให้ลูกพี่อยู่คนเดียว”

   “ทำไมพี่กรไม่ให้เกนกลับไปอยู่บ้านล่ะครับ”

   “มันไม่ไปหรอก ไปถามได้เลย” โชคดีที่ลูกชายก็หัวดื้อไม่แพ้เขา เรื่องของการกลับไปอยู่บ้าน “ถือว่าพี่ขอร้องนะ”
 
   “แต่ปูน...” แม้คอนโดนี้จะใกล้ที่ทำงาน แต่มันก็ดูแปลกๆ

   “ไม่ต้องมีแต่หรอก ปูนก็นอนห้องพี่นี่แหละ ไม่ต้องไปนอนห้องเกนหรอก ตื่นมาก็จะได้ทำกับข้าวเลยไง” กรพัฒน์พูดไปก็ลุ้นไป ในใจภาวนาให้คนร่างผอมรับคำ “ตกลงไหม”

   “ก็ได้ แต่แค่ช่วงพี่กรไปทำงานที่นู้นนะ” แม้จะตกลงแต่ก็มีเวลากำหนดแน่ชัด

   “แบบนั้นก็ได้” คนขอร้องยิ้มร่า แต่ในใจกลับคิดว่า อย่างน้อยก็ได้อยู่ห้องนี้ ไม่นานก็คงชินและพร้อมย้ายเข้าอยู่เลย คนอะไรหล่อแถมความคิดดีอีก “ไปอาบน้ำสิครับ”

   “ได้ครับ” ก่อนไปมิวายยื่นหน้ามาโฉบแก้มขาวฟอดใหญ่ “แก้มนุ๊มนุ่ม”

   ปูนมองค้อนตามหลัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยมาลงที่หมู มีดด้ามหนาสับหมูตรงหน้าซะละเอียด

   กรพัฒน์ออกมาจากห้องน้ำก็ได้กลิ่นหอมของข้าวต้ม และลูกชายตัวดีก็นั่งจัดการไปเกือบหมดชามแล้วด้วย พอเจ้าของห้องนั่งปุ๊บ ชามข้าวต้มหมูก็ถูกนำมาวาง

   “ต้องอร่อยแน่เลย” กรพัฒน์พูดพร้อมรอยยิ้มหวานให้คนทำ

   “มากด้วย” เกนแทรกขึ้นมาเลยถูกเตะขาใต้โต๊ะที่ทำลายบรรยากาศ “เป็นเอามาก”

   “พูดมาก กินเสร็จก็รีบๆ ไปเรียน”

   “รู้แล้วน่า ยิ่งแก่ยิ่งบ่น พี่ปูนต้องระวังไว้นะครับ”

   “ไอ้เกนเดี๋ยวเถอะ” ไม่ทันได้ทำโทษเพราะคนพูดวิ่งออกจากห้องไปแล้ว กรพัฒน์หน้าหงิกแต่ปูนกลับหัวเราะออกมา “ของปูนล่ะ มานั่งกินด้วยกัน”

   “ครับ”

   บนโต๊ะอาหารที่ปกติจะมีแค่เขาคนเดียว ไม่ก็ลูกชายที่นานๆ จะมาที ตอนนี้มีปูนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กรพัฒน์กินข้าวไป ยิ้มไปดูมีความสุขจนไม่อยากให้เวลาเดิน

   “คำตอบของพี่ ปูนจะให้พี่ได้เมื่อไหร่หรือ” ไม่อยากให้บรรยากาศของห้องเงียบเกินไป กรพัฒน์จึงใช้จังหวะนี้ถามออกมาอีกรอบ ปูนดูลังเลนิดๆ ก่อนจะอ้าปากตอบ หากไม่มีคนเปิดประตูเข้ามา

   “เอ่อใช่ป๋า” เกนโผล่หน้ามาขัดจังหวะการลุ้นพอดี “ป๋านัดแม่ให้หน่อย เกนอยากเจอ เอาตอนค่ำนะ”

   “นี่แกขัดฉัน แล้วยังกล้ามาสั่งฉันอีกหรือ ไอ้ลูกคนนี้”

   “ขัดอะไร ก็แค่ลืมบอก คราวนี้ไปจริงๆ ละ” ว่าเสร็จก็ปิดประตูลง

   รู้แบบนี้ไปล็อคห้องซะตั้งแต่แรกก็ดี

   “ปูนจะพูดอะไรนะ” กรพัฒน์หันกลับมาสนใจปูนอีกรอบ

   “เอาไว้ให้เกนตกลงกับคุณคริสตี้ได้ก่อน แล้วปูนจะบอก” พอคำตอบเป็นแบบนี้ กรพัฒน์ก็ตีหน้ายุ่ง เมื่อกี้ถ้าลูกชายตัวดีไม่บอกแบบนั้น ปูนก็อาจจะให้คำตอบมาแล้ว คิดๆ แล้วก็อยากตบกะโหลกไอ้ตัวดีสักที



********



   ปูนนั่งรถมากับกรพัฒน์ แต่กลับขอลงก่อนถึงเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มถูกพนักงานนินทา ไม่ใช่อาย แต่ภาพลักษณ์ของกรพัฒน์นั้นจะเสียหายเนื่องจากปูนก็เป็นผู้ชาย หากมีข่าวกับเพศเดียวกันคงไม่ดี

   “คราวหลังพี่ไม่ยอมแล้วนะ” กรพัฒน์กำชับก่อนปูนจะลงรถ แม้อีกคนไม่รับปากแต่กรพัฒน์ถือว่าได้บอกแล้ว เมื่อรถเลื่อนเข้าบริษัทไป ปูนก็ค่อยๆ เดินตามเข้าไป

   วันนี้ปูนมาสายกว่าเมื่อวาน ทำให้วันนี้คงต้องเลิกดึก แต่การเรียนรู้ทำให้ปูนไม่ต้องอดข้าวอีก ช่วงพักเที่ยงที่ไม่มีงานเร่งรีบ ปูนก็ออกมาโรงอาหารกับแอ้น ซึ่งหญิงสาวขอโทษขอโพยใหญ่เรื่องไม่ชวนปูนเมื่อวาน

   “ไม่เป็นไรครับ ปูนก็ผิดเองที่ไม่ถาม”

   “พี่ก็ผิดที่ไม่บอกนั่นแหละ”

   แอ้นยิ้มอ่อน เมื่อวานตอนจะกลับ อยู่ๆ ก็ถูกหัวหน้าอย่างเหมียวเรียกไปคุย เธอกำชับให้ดูแลปูนให้ดี และเรื่องกินข้าวก็ให้เตือน หรือไม่ก็พาไปด้วย เพราะเด็กใหม่มักจะไม่รู้ แม้แอ้นจะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมถึงห่วงเด็กใหม่คนนี้มากนัก ปกติเด็กที่มาใหม่ๆ ก็ต้องเรียนรู้เองทั้งนั้น

   หลังจากกินข้าวเสร็จ ปูนเดินตามแอ้นขึ้นตึก พอดีกับประตูห้องสตูดิโอเปิดออก คนเดินออกมาทำตาโตแล้วปรี่เข้ามาหา

   “ปูนหรือนี่ ใส่ชุดนี้ แสดงว่าทำงานที่นี่หรือ” มิ้นท์มองเสื้อที่ปูนใส่แล้วก็งงๆ แต่พอปูนพยักหน้าก็ยิ้มพรายออกมา “ดีจัง ได้อยู่ใกล้ปูนแบบนี้ เราจะได้มีเพื่อน”

   “น้องมิ้นท์มาคุยกับพี่เหมียวหรือคะ” แอ้นเอ่ยถามออกมา

   “ค่ะ เรื่องงานเดินแบบอาทิตย์นี้ พอดีทางลูกค้าเขาเจาะจงมิ้นท์มา พี่แอมมี่เลยให้มาคุยกับพี่เหมียว” มิ้นท์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “นี่พี่แอ้นสอนงานให้ปูนหรือคะ ปูนเนี่ย เป็นเพื่อนสนิทมิ้นท์เลยนะ ฝากดูแลด้วยนะคะ” มือเรียวของนางแบบสาวตบเบาๆ ที่อกของปูน

   “น้องมิ้นท์ไม่บอก พี่ก็ดูแลดีอยู่แล้วค่ะ น้องปูนแกน่ารักมาก” ว่าแล้วก็หันไปยิ้มให้ “งั้นพี่ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

   “ได้ค่ะ” มิ้นท์ฉีกยิ้มให้ผู้ช่วยคนสนิทของหัวหน้าแผนกคอสตูม ก่อนจะหันมาหาเพื่อนสนิท “ปูนสู้ๆ นะ งานที่นี่หนักมาก ถ้าไม่ไหวบอกเราได้ เราจะบอกให้พี่เหมียวให้งานปูนน้อยๆ”

   “ขอบใจนะ แต่เราไหว” ปูนยิ้มบางส่งให้เพื่อน “มิ้นท์จะกลับแล้วหรือ”

   “ใช่ พอดีงานเราสบายๆ นะ” รอยยิ้มกับคำพูดของหญิงสาว หากไม่สนิทคงจะคิดว่าข่มอยู่ แต่รู้จักกันมานาน มิ้นท์เป็นคนแบบนี้มาตลอด ทำให้ปูนไม่ได้คิดมากเรื่องคำพูดสักเท่าไหร่ “ปูนไปทำงานเถอะ เราว่าจะไปนวดสักหน่อย ไว้เจอกันนะ”

   ปูนยืนมองเพื่อนเดินเข้าลิฟต์ไปก่อนจะกลับเข้าห้องและใช้เวลาทั้งหมดในการเรียนรู้งานจากแอ้น พอปรับตัวได้ก็เริ่มคล่องขึ้น แม้งานจะหนักเหมือนเดิมก็ตาม

   เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ อยู่ๆ ประตูห้องก็มีพนักงานส่งอาหารเข้ามาพร้อมถาดพิซซ่ามากมาย ความหอมที่ส่งกลิ่นไปทั่วห้องเรียกให้บรรดาพนักงานที่เหลือทยอยออกมา รวมทั้งปูนและแอ้นที่เสียงท้องพากันแข่งร้อง

   “ใครโทรสั่งเนี่ย” ขนาดหัวหน้าแผนกอย่างเหมียวยังออกจากห้องมาเพราะความหิว

   ก่อนพนักงานส่งอาหารจะตอบ ประตูด้านหลังก็เปิดออกอีกรอบ คราวนี้เป็นเจ้านายสุดหล่อเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเท่ กรพัฒน์มองถาดพิซซ่าหลายสิบถาดที่กำลังวางอยู่บนโต๊ะ

   “ตามสบาย ผมเลี้ยงเอง” แล้วเสียงฮือฮาจากพนักงานก็ดังมาทั่วสารทิศ “ขอบใจมาก” และไม่ลืมเอ่ยกับพนักงานส่งอาหารทั้งสองคน

   แม้กลิ่นของพิซซ่าจะหอมเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิด ยิ่งคนสั่งเป็นกรพัฒน์ด้วยแล้วก็ยิ่งไม่กล้า จนคนสั่งต้องมาเปิดพร้อมหยิบจากถาดไปกินชิ้นหนึ่งก่อน ทุกคนถึงยอมหยิบตาม จากนั้นต่างก็ลิ้มรสความอร่อยอย่างมีความสุข

   “เดี๋ยวแผนกอื่นเขาจะเขม่นเอานะคะ” เหมียวแอบไปกระซิบบอก พร้อมกัดพิซซ่าคำใหญ่

   “ช่างมัน” แต่กรพัฒน์กลับไม่แคร์คนอื่น “เต็มที่นะ ถ้าไม่อิ่มก็สั่งอย่างอื่นได้เลย ให้หัวหน้าเขาออกก่อน แล้วค่อยมาเบิกทีหลัง”

   “คุณกรละก็” เหมียวโวยวาย แต่พนักงานคนอื่นๆ กลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางคนถึงกับเอ่ยปากว่าไม่เคยได้มื้อค่ำจากเจ้านายแบบนี้มาก่อน

   พอทุกคนสนใจอาหารตรงหน้า กรพัฒน์ก็ทำเป็นเดินมายืนข้างพนักงานคนใหม่ ที่มีแอ้นคอยส่งชิ้นต่อไปมาให้ แม้ในมือจะยังเหลืออยู่ก็ตาม

   “อร่อยไหม พี่ไม่รู้ปูนชอบกินหน้าอะไร เลยสั่งมาหมดเลย” คนใจดีเอนตัวมากระซิบ

   “ปูนกินได้หมด ขอบคุณครับ” พอปูนขอบคุณ คนนั่งใกล้อย่างแอ้นก็รีบขอบคุณด้วย เลยทำให้กรพัฒน์ไม่กล้าพูดอะไรต่อ “คุณกรเอาอีกไหมครับ” พูดจบก็ส่งชิ้นในมือให้ คนรับยิ้มนิดๆ แม้ในใจอยากจะให้ป้อนก็ตาม

   พิซซ่าเกือบสามสิบถาดหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดแล้วก็แยกย้ายกลับไปทำงานต่อ พออิ่มท้องแบบนี้ก็มีแรงขึ้นเยอะ และพอปูนจะเดินไปบ้าง ข้อศอกก็ถูกดึงเอาไว้

   “พี่นัดคริสตี้ให้เกนแล้วนะ”

   “เมื่อไหร่หรือครับ”

   “วันนี้ อีกเดี๋ยวก็คงมา ตอนนี้เกนก็ใกล้ถึงแล้ว”

   “มันไม่เร็วไปหรือ ทั้งที่เมื่อวาน...”

   เพราะเมื่อวานยังคุยกันไม่ค่อยจะไหว น่าจะเว้นไปสักระยะถึงค่อยให้คุยกัน

   “ยิ่งเร็วยิ่งดี เรื่องจะได้จบไว” กรพัฒน์ว่า ก่อนดวงตาคมจะค่อยๆ เป็นประกาย “อย่างเรื่องของเรา ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้จบไวๆ เหมือนกัน และขอจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะ เพราะพี่ไม่ชอบแซดเอ็นดิ้ง”

   ปูนไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อได้ยินคนพูดเป็นเล่น สถานการณ์แบบนี้ยังกล้าจะพูดแบบนี้อีก ทั้งที่ควรห่วงเกนมากกว่า ที่จะต้องเจอหน้าแม่ตัวเองอีกรอบ หวังว่าเรื่องจะจบไวอย่างที่กรพัฒน์บอกจริงๆ

   และสุดท้ายปูนก็เดินตามกรพัฒน์ออกมาเมื่อถูกขอร้อง เผื่อเกนอยากได้คนปลอบใจ ซึ่งเขาทำไม่ค่อยเป็น ยิ่งทำหวานกับลูกชายด้วยแล้วยิ่งไม่เป็นใหญ่

   เกนไปนั่งรอทุกคนในห้องประชุมอยู่ก่อน ห้องนี้เป็นห้องที่เก็บเสียงเหมาะแก่การพูดคุยกันที่สุด จะให้ออกไปคุยด้านนอกก็กลัวคริสตี้เป็นข่าวฉาว ปูนกับกรพัฒน์เข้าห้องมาก่อน ไม่นานคนที่นัดไว้ก็มา คริสตี้สวมแว่นสีดำปิดบังดวงตาคู่สวยที่บวมแดงจากการร้องไห้หนักทั้งคืน

   “เกนอยากเจอแม่หรือ” ทันทีที่เจอหน้า คริสตี้ก็รีบถามทันที เธอนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวท้าย ไม่กล้าเข้าใกล้ลูกชายมากนัก เพราะเมื่อวานเกนดูเหมือนไม่อยากให้ถูกตัว และนั่นก็ทำให้เธอร้องไห้โทษตัวเองมาทั้งคืน แต่เช้ามากรพัฒน์กลับโทรเรียก บอกว่าเกนอยากพบ เธอจึงรีบรับปากทันที แม้ต้องยกเลิกงานของค่ำนี้ก็ตาม “แม่ดีใจ ที่เกนอยากเจอ”

   “ผมแค่ไม่อยากมีอะไรติดค้าง” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ผมไม่ได้โกรธแม่จริงๆ” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปหา เกนค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงที่พื้นตรงหน้าของคริสตี้ ซึ่งเธอดูตกใจ มือรีบเกี่ยวแว่นตาออกทันที

   “เกน...ทำอะไรลูก” คริสตี้รีบยื่นมือลงไปรับมือของลูกชายที่ก้มกราบเท้าไว้

   “ผมอยากจะขอโทษที่พูดไม่ดีกับแม่เมื่อวาน” เกนเงยหน้ามองผู้ให้กำเนิด ดวงตามีน้ำใสๆ เอ่อคลอหน่วยตา “ผมขอโทษที่ทำให้แม่ร้องไห้”

   “แม่ไม่เป็นไรลูก แม่ไม่เป็นไร” คริสตี้เริ่มร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ก่อนจะรีบดึงลูกชายเข้ามาในอ้อมกอด “แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ แม่ขอโทษนะเกน แม่ขอโทษที่ทิ้งเกนไป ยกโทษให้แม่นะ”

   คราวนี้เสียงสะอื้นดังไปทั่วห้อง รวมทั้งคนยืนดูอย่างปูนก็อดที่จะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้ พลางติดว่าอยากมีโอกาสกอดแม่แบบนี้สักครั้ง

   “ผมไม่เคยโกรธแม่เลย อากง อาม่า หรือป๋าก็บอกเสมอว่าอย่าโกรธแม่ ผมก็เลยไม่โกรธ เพราะผมเป็นเด็กดี” แม้จะซึ้ง แต่ก็อยากพูดติดตลกให้แม่ขำ เกนรีบปาดน้ำตาให้ตัวเอง ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่แก้มให้กับแม่บ้าง “แม่อย่าร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวไม่สวยเลย”

   “เกนก็อย่าร้องสิ เดี๋ยวไม่หล่อเหมือนกัน”

   แล้วทั้งคู่ก็กอดกันหัวเราะ แต่มีคนหนึ่งที่ยังคงน้ำตาไหลอยู่ จนคนข้างๆ ต้องดึงเข้ามากอดปลอบบ้าง

   อดีตเป็นเรื่องที่ไม่มีใครย้อนกลับไปแก้ไขได้ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถแก้ไขได้ เกนยิ้มให้กับอ้อมกอดของแม่ที่เพิ่งเคยได้รับ มองไปที่พ่อ ที่เลี้ยงมาแบบให้คิดเอง ตัดสินใจเองทุกอย่าง แม้ไม่เคยพูดหวานแต่ก็ห่วงมาก และคนในอ้อมกอดของพ่อ ที่คอยปลอบและเป็นกำลังใจให้เสมอ รวมทั้งอากง อาม่าที่สั่งสอนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

   “ป๋า อย่ากอดพี่ปูนนาน เกนหวง”

   “ไอ้นี่”


...TBC

คุณป้ามาแววดีนะคะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ ส่วนอดีตของป้าแกจะมาในตอนถัดไปค่ะ ความหลังเมื่อครั้งยังมีเกนอยู่ในท้อง

ขอบคุณค่าาาา

ปล. มาไม่ดึกมากไปใช่ไหมคะ ฮ่าๆๆๆ

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sweetyswtcou

  • R.Chek SwtCou
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ก็ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดีล่ะเนอะ ดีใจที่เกนเปิดใจได้เร็ว จะได้ไม่ค้างคาอะไรกันอีก
รอก็แต่ป๋ากับปูนนี่แหละ  :hao7:
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น้องปูนใจอ่อนหรือยังนะ

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-14-




         ความผ่อนคลายภายในห้องประชุมมีมากกว่าครั้งแรก เกนนั่งข้างแม่ตัวเอง มีกรพัฒน์นั่งอีกฝั่ง โดยที่ปูนขอตัวออกไป เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องของคนในครอบครัวหากปูนอยู่ก็ดูจะไม่เหมาะ ตอนแรกเกนไม่อยากให้ไป แต่กรพัฒน์ก็เห็นชอบกับปูนด้วย ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้ปูนรู้ แต่เรื่องนี้ อยากให้แม่กับลูกสะดวกที่จะเปิดใจมากกว่า

   “เมื่อตอนเด็กๆ แม่ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นนางแบบมาตลอด แม่พยายามอย่างมากในการฝึกตัวเองจนมีโอกาสที่ดีเข้ามา” คริสตี้เริ่มเล่าความหลังให้กับลูกชายฟัง เธอทำหน้าเหม่อลอยเมื่อย้อนนึกถึงอดีต ครั้งเธอยังเป็นวัยรุ่น “พอได้ทำก็รู้เลยว่า งานพวกนี้ทำให้แม่มีเงินทองใช้ มีกระเป๋าหรูถืออวดใครๆ ยิ่งพ่อของเกนชวนแม่มาทำงานด้วย ชีวิตก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ จากนางแบบธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีโอกาสได้ขึ้นปกหนังสือดังๆ ของเมืองนอก มันเป็นอะไรที่แสนวิเศษมาก ชื่อเสียง เงินทองมันมากกว่าเดิมจนแม่อยากทิ้งการเรียนซะด้วยซ้ำ...แต่แล้ววันนึง ก็เกิดเรื่องบ้างอย่างขึ้นมา”

   “เพราะมีเกนหรือครับ”

   คริสตี้ยิ้มบางส่งให้ลูกชาย “ตอนแม่รู้ตัวเองว่ากำลังตั้งท้อง เหมือนโลกทุกอย่างของแม่มันพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา อนาคต ชื่อเสียง เงินทอง อีกทั้งตอนนั้น โอกาสที่ไม่เคยคิดว่าจะมี ก็เข้ามาพอดี โมเดลลิ่งต่างประเทศเขาอยากให้แม่ไปทำงานที่นู้น แม่คิดหนักมาก มันมากซะจน...คิดจะทำแท้ง” พอถึงตรงนี้ คริสตี้รู้สึกมีก้อนแข็งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำเสียงเริ่มสั่นครือ “หากตอนนั้น ไม่ได้ม๊าของพ่อเกนมาขอร้องอ้อนวอนให้เก็บเด็กไว้ แม่ก็อาจจะฆ่าเกนไปแล้ว ด้วยความคิดชั่ววูบเลวๆ ของตัวเอง”
 
   กรพัฒน์ยิ้มบางๆ ส่งให้อดีตภรรยา เรื่องพวกนี้ชายหนุ่มรู้เป็นอย่างดี เพราะเขาก็ผิดด้วยส่วนหนึ่งที่ทำลายอนาคตของหญิงสาวด้วยความเมา

   “แม่ย้ายเข้าบ้านของพ่อเกน ซึ่งทุกคนดูแลแม่เป็นอย่างดี แม่แทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นแม่ก็ยังเด็ก อายุเพิ่งยี่สิบ แม่ยังอยากใช้ชีวิตหรูหรา อยากมีหน้ามีตาทางสังคม อยากเป็นนางแบบแถวหน้าที่โดดเด่นกว่าใครๆ ความอยากพวกนั้นทำให้แม่โกรธเด็กในท้องมาก จนละเลยที่จะดูแล ของบำรุงก็ไม่เคยแตะต้องสักอย่าง ได้แต่รอเวลาให้เด็กเกิดมาไวๆ แล้วแม่จะได้เป็นอิสระ...แม่ช่างเป็นแม่ที่เลวมากจริง”

   เด็กหนุ่มตั้งใจฟังอดีตของแม่ด้วยความสะเทือนในใจ แต่ทุกอย่างมันผ่านมาแล้ว มันคืออดีต... “แม่เคยอุ้มเกนไหมครับ”

   “เคยสิ ทำไมจะไม่เคย”

   “ดีจัง” 

   “พอคลอดได้ไม่นาน ทางเมืองนอกก็ติดต่อเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้แม่รีบตกลงรับปากจะไปทันที เพราะอนาคตที่เคยฝันไว้มันกลับมาอยู่ตรงหน้าแม่อีกครั้ง แม่เลือกจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่โดยไม่ลังเลใจสักนิด...และแม่ก็เลือกที่จะทิ้งเกนด้วย แม่ขอโทษนะเกน” คริสตี้เริ่มร้องไห้อีกรอบ พอมองย้อนกลับไป เธอช่างเป็นคนเลวที่ไม่สมควรเป็นแม่คนด้วยซ้ำ 

   “แม่ไม่รัก ไม่สงสารเกนบ้างหรือครับ ตอนที่ทิ้งเกนไป”

   “เพราะความอยากได้ อยากมีแบบคนอื่นมันทำให้แม่ยอมทิ้งทุกอย่าง” หญิงสาวพยายามกลั้นเสียงสะอื้นตัวเองอย่างหนัก “ยิ่งพอได้ทำงานที่นั่น ความสุขสบายก็ทำให้ลืมทุกอย่าง แม่มีเงิน มีหน้าตาทางสังคม มีอนาคตที่ดีเลิศเลอจนใครๆ ก็ต้องอิจฉา แต่แล้ววันหนึ่ง มีคนส่งรูปเด็กผู้ชายยืนยิ้มรับรางวัลมาให้ดู แม่ถึงคิดได้ว่า แม่ได้ลืมบางอย่างไป แม่ลืมไปว่า ยังมีลูกที่แม่ทิ้งไว้ข้างหลังเพื่ออนาคตของตัวเอง แม่ขอโทษจริงๆ นะเกน แม่มันเลวเอง เกนจะไม่ให้อภัยแม่ก็ได้ เพราะแม่ผิด”

   คริสตี้ปล่อยโฮออกมาอีกระลอก คราวนี้หญิงสาวไม่กลั้นเสียงใดๆ อีก คล้ายกับจะปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นภายในใจให้ออกมาจนหมด

   “ตั้งแต่ได้เห็นรูปเกน แม่ด่าตัวเองมาตลอด เคยทำร้ายตัวเอง เคยอยากฆ่าตัวตาย หากไม่ได้คุณไมเคิลเตือนสติว่าหากแม่ตายก็กลับมาหาเกนไม่ได้ แม่จะกลับมาแก้ไขเรื่องในอดีตไม่ได้ แม่เลยพยายามใช้ชีวิตอยู่อีกครั้ง แม้ความผิดมันจะคอยตามหลอกหลอนจนต้องใช้ยานอนหลับทุกคืนก็ตาม” ไมเคิลคือสามีคนปัจจุบันของคริสตี้ และเขายังเป็นเจ้าของโมเดลลิ่งที่หญิงสาวทำงานอยู่ด้วย “ถ้าเกนฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว จะไม่ให้อภัยแม่ แม่ก็ยอมรับ เพราะแม่เลวเกินไปจริงๆ”

   “เกนไม่โกรธหรอก ไม่เคยโกรธมานานแล้วอย่างที่บอกแม่ไป” เด็กหนุ่มค่อยๆ ฉีกยิ้ม “เกนสงสารแม่ด้วยซ้ำ ที่อนาคตของแม่ถูกทำลายเพราะเกน ดังนั้นเกนไม่โกรธแม่หรอก”

   “โธ่เกน อย่าพูดแบบนี้สิลูก” คริสตี้ดึงลูกชายเข้ามากอด เธอปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนอย่างไม่คิดจะใส่ใจ
 
   “เกนดีใจที่แม่มีชีวิตที่ดี ส่วนเกนถึงแม่จะทิ้งไป เกนก็ได้มีชีวิตที่ดีเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ค่อยๆ มองพ่อตัวเอง “เกนมีป๋า ที่ขี้บ่นไปหน่อย แต่ก็ใจดี มีอากง อาม่าที่ตามใจเกนทุกอย่างตอนที่ป๋าเผลอ มีลุงอ้อมที่คอยขับรถไปส่งเกน และแอบพาเกนไปเที่ยวอยู่บ่อยๆ ยังมีอีกหลายๆ คนด้วย ทั้งเกนและแม่ ต่างก็มีชีวิตที่ดีในแบบของตัวเอง”

   “เกนอยากไปอยู่กับแม่ไหม อยู่ที่นู้นเกนจะได้เรียนโรงเรียนดีๆ มีชีวิตที่ดีนะลูก แม่คุยกับลุงไมเคิลแล้วเรื่องของเกน...”

   “ไม่เอาหรอก” ทันทีที่ได้ยินคำชวน เกนก็รีบปฏิเสธแทบจะทันที “ถ้าเกนไป แล้วป๋าจะอยู่กับใคร อีกอย่าง สมบัติอากงก็เยอะ”

   “ไอ้เกน” กรพัฒน์ถลึงตาใส่ลูกชายที่หัวเราะทั้งน้ำตา

   “เกนชอบอยู่ที่นี่ครับ แค่เกนรู้ว่าแม่อยู่ที่นู้นแล้วมีความสุข เกนก็ดีใจ” เกนมองหน้าแม่ตัวเองพร้อมรอยยิ้ม “เกนมีน้องด้วยใช่ไหมครับ” เมื่อตอนเช้า เกนค้นหาชื่อของคริสตี้ ถึงได้รู้เรื่องราวครอบครัวของแม่ที่ต่างประเทศ ว่าชีวิตนั้นสุขสบายและน่าอิจฉาเพียงใด แถมยังมีลูกชายลูกสาวอย่างละคน พอแม่พยักหน้าลงเกนก็รีบบอก “พามาให้เกนรู้จักบ้าง เกนอยากมีน้อง”

   “แล้วแม่จะพาน้องเขามาเที่ยวนะ” คล้ายกับยกภูเขาหลายๆ ลูกออกจากอก คริสตี้ลูบใบหน้าของลูกชายด้วยความรัก

   “แม่กอดเกนหน่อยได้ไหมครับ” ว่าแล้วก็อ้าแขนรออ้อมแขนจากแม่ที่รีบโผเข้ามารวบกอด

   “ขี้อ้อนจริง นิสัยไม่เห็นเหมือนพ่อเลย” แอบแขวะอดีตสามีที่นั่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งไม่พูดไม่จา

   “ใครๆ ก็ว่าแบบนั้นแหละ ป๋าขี้เก๊กจะตาย” แล้วสองแม่ลูกก็พากันหัวเราะเสียงดัง จนกรพัฒน์ส่งเสียงฮึดฮัดที่ถูกรุม

   “ว่าแต่” คริสตี้เอ่ยออกมาพร้อมหันไปมองกรพัฒน์ “เด็กหน้าสวยที่ออกไปเมื่อกี้ คนรักของกรหรือ” ไม่ใช่จะไม่สังเกต แค่ไม่ถึงเวลาพูดออกมาก็เท่านั้น

   กรพัฒน์ไม่ตอบ แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นมา แค่นั้นก็เป็นคำตอบแล้ว ว่าใช่

   “พี่ปูนดีกับเกนมากเลยครับ น่ารักมากด้วย ทำกับข้าวก็อร่อย” เกนรีบอวดสรรพคุณของปูนทันทีจนคริสตี้หัวเราะออกมา

   “ตรงกันข้ามกับแม่ทุกอย่าง” เพราะคริสตี้ทำกับข้าวไม่เป็น ไม่มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนสักนิด “ถ้าเขาดีกับเกนแม่ก็เบาใจ แต่กร...ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณชอบผู้ชาย”

   “แค่เขาคนเดียว” ตอบทันทีที่ได้ยินประโยคจากหญิงสาวตรงหน้า กรพัฒน์เสหน้ามองไปทางประตูแล้วยิ้มออกมา ไม่รู้ตอนนี้คนน่ารักของเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่แน่อาจกำลังกระสับกระส่ายอยากรู้เรื่องก็เป็นได้

   “ดูพ่อของเกนสิ ยิ้มคนเดียวอย่างกับคนบ้า”

   “พ่อเขาอยากเป็นบ้าครับ”

   แล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะออกมาอีกรอบ และดังมากกว่าเดิม

        จบแล้วสินะ ปัญหาที่แสนหนัก พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ คงต้องยกความชอบทั้งหมดให้กับเกนที่มีสติที่ดี มีความคิดที่โตกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ก็ไม่ได้อยากชมตัวเองว่าสอนลูกมาดี แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ 

   ค่ำนี้สองพ่อลูกไปส่งปูนที่หอพัก ตอนแรกเกนโวยวายอยากให้ปูนนอนด้วยอีกคืน แต่พอรู้ว่าช่วงที่พ่อไม่อยู่ ปูนจะไปนอนที่นั่นด้วย เด็กหนุ่มเลยต้องข่มใจไว้

   “แกชักจะติดปูนมากเกินไปแล้วนะ” อดที่จะว่าลูกไม่ได้

   “ป๋าอิจฉาล่ะสิ” เกนถามกลับอย่างรู้ทันเลยถูกพ่อถลึงตาใส่

   “เออ”



****



   เกนมาที่บริษัทบ่อยขึ้นเพราะปูนทำงานที่นี่ อีกทั้งแม่ยังต้องมาคุยงาน ทำให้คริสตี้ได้พูดคุยกับปูน รวมทั้งไปนั่งโรงอาหารกลางที่ใครหลายคนแทบนึกไม่ออกว่า นางแบบดังจะมานั่งกินข้าวธรรมดาๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางแบบคนดังและลูกชายเจ้าของบริษัททำตัวสนิทสนมกับพนักงานใหม่อีก มันเลยเป็นประเด็นให้คนพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง

   ยิ่งกรพัฒน์บินไปต่างประเทศด้วยแล้ว พนักงานหลายคนเลยพากันถกเถียงเรื่องของพนักงานใหม่กันอย่างเปิดเผย ด้วยความสนิทของเกนที่ตามติดปูนไปทุกที่ราวกับเป็นปาท่องโก๋

   “พรุ่งนี้เครื่องคุณคริสตี้ออกกี่โมงหรือครับ” ปูนเอ่ยถาม เพราะจะได้พาเกนไปถูกเวลา

   “น่าจะดึกมากค่ะ ไม่ต้องพาเกนไปส่งก็ได้” คริสตี้เข้าใจว่าปูนอยากพาเกนมาส่ง

   “แต่เกนคงอยากไปส่งแม่นะครับ” ว่าแล้วก็เหม่อมองไปที่เกนที่นอนเหยียดยาวเล่นเกมส์ในมือถืออยู่ ก่อนจะหันกลับมาเมื่อถูกมือเรียวยื่นมากุมมือ

   “ขอบคุณคุณปูนมากเลยนะคะที่ดูแลเกนเป็นอย่างดี คริสตี้เป็นแม่ที่แย่มาก ไม่เคยดูแลลูกเลย แถมยังทิ้งลูกอีก” หญิงสาวทำหน้าสลดเมื่อมองไปที่ลูกชาย “คริสตี้ฝากเกนด้วยนะคะ”

   “ครับ” ปูนรับคำ แม้ไม่รู้ว่าจะรับฝากได้อีกนานเท่าไหร่

   “ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง” คราวนี้ใบหน้าเศร้าค่อยๆ ผุดรอยยิ้มหวานออกมา “คริสตี้เพิ่งเคยเห็นกรมีความรัก ก็น่ารักดีนะคะ” หญิงสาวเอ่ยแซว

   “อ่าครับ” ปูนไม่รู้จะตอบหรือพูดแบบไหนต่อ เลยได้แต่ยิ้มๆ

   “แม้คนทั่วไปจะมองว่าเขาเป็นเพลย์บอย เจ้าชู้ แต่จริงๆ แล้ว เขารักครอบครัวมาก” ช่วงที่อาศัยอยู่ชายคาเดียวกัน คริสตี้ถึงได้สัมผัสสิ่งนี้ “คริสตี้ดูออกตั้งแต่ครั้งแรกว่าเขาชอบคุณปูนมาก ทั้งที่เขาไม่เคยชอบใคร แปลว่าคุณปูนต้องเป็นคนที่ดีมากถึงทำให้เขาชอบได้”

   “คุณคริสตี้พูดเกินไป ผมไม่ได้ดีเด่อะไรเลย เป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ” ปูนไม่ปฏิเสธเรื่องกรพัฒน์ชอบ เพียงแต่ขัดเรื่องที่ถูกชมว่าเป็นคนที่ดีมาก

   “การที่กรหลงรักคุณ แปลว่าคุณก็ไม่ว่าธรรมดาแล้วนะคะ” หญิงสาวหัวเราะออกเสียง ก่อนจะขอโทษเบาๆ “คริสตี้หมายถึง ต้องมีอะไรดึงดูดประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วก็ คุณปูนก็ชอบกรเขานี่คะ คริสตี้ดูออกน้า”

   “...” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ ปูนเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนความเขินอาย ก่อนจะเงยหน้าเมื่อได้ยินคำอวยพรอย่างจริงใจ

   “รักกันนานๆ นะคะ ดูแลกันให้ดี คริสตี้คงบอกได้แค่นี้”

   “ขอบคุณครับ”   

   และหลังจากคริสตี้ทำงานเสร็จก็บินกลับเมืองนอกทันที ส่วนเกนยังคงเกาะติดปูนเหมือนเด็กน้อย ตั้งแต่ปูนย้ายมาพักที่ห้องของกรพัฒน์ แม้จะแค่ชั่วคราวแต่เกนก็ย้ายที่นอนมานอนด้วย หากพ่อตัวเองกลับมาเห็น คงโดนอาละวาดห้องเละเป็นแน่แท้




****



   “แน่ใจเหรอว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงน่ะ” เสียงพูดคุยเบาๆ ดังอยู่หน้าห้องน้ำ ระหว่างที่ปูนกำลังล้างมือจากการทำธุระส่วนตัว

   “จริงพันเปอร์เซ็น” อีกคนยืนยันเสียงหนักแน่น และปูนคงจะก้าวออกไปหากไม่มีชื่อตัวเองในประโยคถัดมา “มิน่า คุณกรถึงชอบไปแผนกคอสตูม ที่แท้ก็ซ่อนเด็กที่ชื่อปูนไว้ที่นั่นนี่เอง”

   “แต่เด็กนั่นก็น่ารักจริงนะ ฉันเห็นยังอิจฉาเลย ผู้ชายอะไรสวยกว่าพวกเราอีก”

   “คงอยากลองของแปลก คุณกรเจ้าชู้จะตาย เปลี่ยนผู้หญิงราวกับถุงยาง”

   ว่าแล้วสองเสียงนั้นก็หัวเราะคิกคักชอบใจ แต่คนที่บังเอิญได้ยินอย่างปูนไม่ขำเลยสักนิด

   “เห็นว่าตอนนี้เข้าไปยึดคอนโดคุณกรแล้วนะ คงจะสบายไปทั้งชาติแน่”

   “แหม คุณกรรวยออกแบบนี้ ไม่เกาะก็โง่แล้ว เป็นฉันนะ จะสูบเงินไปช็อปปิ้งให้สบายใจเลย”

   ปูนยืนฟังนิ่ง แต่สองมือกำแน่นข่มความโกรธ ใครกันที่กล้าเอาเรื่องพวกนี้มาตีไข่ใส่สีได้ขนาดนี้ เมื่อคนหน้าห้องน้ำเดินไปแล้ว ปูนก็รีบจ้ำอ้าวกลับแผนก และทันทีที่เจอหน้าคนสอนงานอย่างแอ้น ปูนก็แทบเป็นใบ้เมื่อเจอคำถามที่เพิ่งได้ยินคนนินทามา

   “ปูนคบคุณกรหรือ” คนที่ได้ยินข่าวลือมาก็อยากถามให้กระจ่าง “ที่จริงพี่ได้ยินมาสักพักแล้วนะ แต่ตอนนี้มันมีคนยืนยันจริงๆ พี่เลยอยากถามปูน”

   “ข่าวลืออะไรหรือครับ” ปูนพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

   “ก็ข่าวลือเรื่องปูนกับคุณกร แล้วก็ที่ปูนมาทำงานเพราะเป็นเด็กเส้น” คำตอบของแอ้นทำเอาปูนพูดไม่ออก ทั้งที่พยายามไม่ทำตัวเป็นที่สนใจจากใครๆ แล้วแท้ๆ “พี่น่ะ ก็พอสังเกตเห็นหลายครั้ง แต่ก็ไม่อยากยุ่ง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่พี่มาถามเนี่ย เพราะพวกนั้นลือว่าปูนจับคุณกรเพราะอยากได้เงิน”

   “ปูนไม่ได้คิด ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยนะครับ” ช่างเป็นข่าวลือที่ผิดเพี้ยนซะจริงๆ

   “นั่นน่ะสิ พี่ก็เถียงไปแล้ว แต่พวกนั้นบอกว่า คนให้ข้อมูล เขาเห็นว่าปูนอยู่คอนโดคุณกร ทั้งที่ตอนนี้คุณกรก็ไม่อยู่ เลยสนุกปากคนช่างนินทาเขาล่ะ” จากปากหนึ่งบอกต่อๆ กันไป เพิ่มสี เพิ่มไข่คนละนิด จนกลายเป็นเรื่องราวที่ไม่มีความจริงหลงเหลือ “ปูนอย่าโกรธพี่เลยนะ พี่แค่อยากมาถามปูนตรงๆ แค่นั้น”

   “ครับ”     
         
   ปูนพยายามไม่สนใจและเริ่มทำงานต่อ แต่สุดท้ายก็ทนสายตาและเสียงซุบซิบไม่ได้เลยต้องเดินออกจากห้อง ชายหนุ่มสูดเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะปล่อยออกมายาวๆ เพื่อระงับความโมโหลง ใครกันนะ ที่ปล่อยข่าวแบบนี้ พอขายาวทำท่าจะก้าวเดิน ประตูด้านหลังก็เปิดออก คนเดินออกมาเป็นหัวหน้าแผนกที่ดูจะตกใจที่เห็นปูนยืนกำหมัดแน่น

   “มาทำอะไรตรงนี้” เหมียวถามออกมา สายตามองไปยังมือและตัวของปูนที่สั่นเทา

   “พอดีผมจะไปเข้าห้องน้ำครับ” ทั้งที่เพิ่งออกมา แต่จำเป็นต้องโกหก

   “เหรอ ก็ไปสิ” หญิงสาวว่า แต่ก่อนที่ปูนจะเดินไป เหมียวก็รีบพูดออกมาจนปูนต้องหยุดฟัง “ไม่ต้องไปฟังเสียงนกเสียงกาที่มารบกวน เพราะเราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วไม่นานคนพวกนี้ก็จะแพ้ภัยตัวเอง”

   “พี่เหมียวก็รู้เรื่องหรือครับ”

   “เรื่องพวกนี้ดังไวจะตาย” ทันทีที่ได้ยิน ปูนก็ทำหน้าสลดลงทันที “พี่รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ก็คุณกรบอกเองว่าจะฝากปูนไว้กับพี่”

   “ครับ?”

   “พี่ไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้านายหรอกนะ แค่ทำงานทุกวันก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ปูนก็ด้วย เรื่องพวกนี้ปล่อยๆ ไปเถอะ คิดซะว่าเป็นสีสันของชีวิต”

   ปูนมองตามหลังหัวหน้าแผนก ในสมองคิดประโยคที่ได้ยินจนสับสนไปหมด แล้วชายหนุ่มก็ต้องรีบก้มหน้าเมื่อมีพนักงานแผนกอื่นเดินผ่านแล้วมองมาพร้อมเสียงหัวเราะ

 
   ไม่ชอบแบบนี้


   ทันทีที่พนักงานกลุ่มนั้นเดินผ่านไปแล้ว ปูนก็จ้ำอ้าวไปยังห้องเจ้านายที่ยังอยู่ ปูนผลักบานประตูเข้าไป เจอพอลนั่งคิ้วขมวดอยู่หลังโต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีแฟ้มวางอยู่หลายอัน

   “อ่าว” คนยุ่งกับงานสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็มีคนพรวดเข้ามา

   “ขอโทษครับที่ไม่ได้เคาะประตูก่อน” ตอนนี้ปูนอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด คิดได้แค่นั้นจนลืมเคาะประตูห้อง “คือผมขอลาออก”

   “ลาออก?” พอลทำหน้าสงสัย “หมายความว่ายังไงลาออก”

   “ผมไม่ทำงานที่นี่แล้วครับ ขอบคุณที่รับผมเข้าทำงาน ส่วนเงินเดือน ผมเพิ่งทำงานได้ไม่กี่วัน ดังนั้นไม่ต้องให้ก็ได้ ขอบคุณครับ” พูดออกมารัวๆ ก่อนจะยกมือไหว้แล้วเดินออกไปทันที ทิ้งให้เจ้าของห้องนั่งนิ่งด้วยความงงงวย

   พอลกระพริบตาปริบๆ พยายามประมวลประโยคในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ความ

   “ฉิบหายแล้ว” ว่าแล้วก็ผุดลุกไปที่ประตู แต่ไม่เห็นใครเลย “ไอ้พอล มึงฉิบหายแน่นอน โดนแน่กู”



   ด้านปูนพอไปลาออกเสร็จก็รีบกลับมาเก็บข้าวของพร้อมบอกลาเหมียวและขอบคุณแอ้นที่ดูแลมาตลอด หญิงสาวสองคนทำตาโตเมื่อรู้ว่าปูนลาออก แต่ก็ห้ามไม่ได้เมื่อเป็นความสมัครใจของเจ้าตัว เหมียวเลยได้แต่ฝากคำพูดเตือนสติว่า

   “คำนินทาก็เหมือนก้อนหิน ยิ่งเราสนใจก็เหมือนยิ่งบีบ พอบีบแน่นขึ้นเท่าไหร่ ก็มีแต่เราเท่านั้นที่เจ็บ ปูนเก็บคำของพี่ไว้คิดนะ โชคดี”

   “ขอบคุณครับพี่เหมียว”

   “พี่ขอโทษ เพราะพี่ใช่ไหม ปูนถึงลาออก”

   “ไม่ใช่เพราะพี่แอ้นหรอกครับ ปูนไม่สะดวกใจที่จะอยู่เอง ขอบคุณที่ดูแลปูนตั้งแต่วันแรกนะครับ”

   “โชคดีนะ ไว้ค่อยนัดเจอกัน”

   บางทีคำพูดใส่ร้ายก็อาจทำลายคนที่ไม่รู้เรื่องราว จากน้ำลายบูดๆ กลายเป็นน้ำกรดที่คอยสาดใส่คนอื่นให้เจ็บแสบ ซึ่งตอนนี้ปูนก็กำลังประสบปัญหานี้อยู่ แล้วทางที่เขาเลือกคือเดินหนีออกมาเพื่อรักษาตัวเอง และไม่ทำให้กรพัฒน์เดือดร้อน ตัวเขาเองคงไม่เป็นไรมาก แต่สำหรับกรพัฒน์นั้นคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ดังนั้นต้องมีใครคนหนึ่งที่เดินถอยออกมาเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น คนที่ถอยนั้น...

   นั่นคือตัวปูนเอง


...TBC

อาจจะงงๆ เพี้ยนๆ เบลอๆ ไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยนะคะ หากตรงไหนอ่านแล้วงงๆ ก๊งๆ บอกมาได้เลยค่า จะได้ปรับปรุงอย่างเร่งด่วน

ขอบคุณมากๆ ค่า

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
คุณกรกลับมารู้เข้าคงอาละวาดน่าดู

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เห้อ คนบอกเนี่ยใช่มิ้นท์หรือเปล่า
สงสารปูนจังเลย  :hao5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ aiaea83

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 676
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +494/-5

-15-




        จากวันที่ลาออกมา วันนี้ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว ปูนไม่ยอมรับการติดต่อจากเกน หรือแม้แต่สายตรงมาจากเมืองนอกอย่างกรพัฒน์ ชายหนุ่มหมกตัวอยู่แต่ในห้อง พลางก้มหน้าหางานใหม่ในหน้าหนังสือพิมพ์ มือก็คีบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าปาก

   เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขัดจังหวะการเคี้ยวบะหมี่ที่เต็มแก้ม แต่ก็ต้องลุกไปทั้งอย่างนั้น ปูนเคี้ยวเส้นบะหมี่ตุ้ยๆ พร้อมเปิดประตูออก จังหวะที่เห็นใบหน้าครึ่งเสี้ยวของคนด้านนอก ปูนก็แทบจะผลักประตูปิด หากคนอีกฝั่งกลับมีแรงมากกว่า คนด้านในเลยแทบกระเด็นถอยหลัง

   “พี่โทรหาทำไมไม่รับ!” กรพัฒน์ตะคอกเสียงดังจนปูนตกใจรีบเดินถอยหลังหนี “พี่เป็นห่วงมากรู้ไหม ให้ใครติดต่อมา ปูนก็ไม่คิดจะรับ” พอเห็นร่างผอมตรงหน้าตกใจกลัว กรพัฒน์ก็ปรับอารมณ์ตัวเองให้นิ่งขึ้น
 
   “ปูนแค่...”

   “ทำไมถึงลาออก” ยังไม่ได้ฟังคำอธิบาย กรพัฒน์ก็ตั้งคำถามต่อ “ไอ้พอลโทรบอกพี่ว่าปูนลาออก แถมยังติดต่อไม่ได้ รู้ไหมว่าพี่แทบทิ้งงานที่นั่น อยากกลับมาให้เร็วที่สุด”

   “ขอโทษ ปูนแค่ยังไม่อยากคุยกับใคร”

   “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ” กรพัฒน์มองคนที่ทำตัวราวกับเด็กที่ชอบหนีปัญหาแล้วก็ไม่อยากพบเจอใคร “ไปกับพี่”

   “ไปไหน...เดี๋ยวพี่กร”

       ปูนตีหน้างงเมื่อถูกดึงข้อมือให้เดินตาม ทั้งที่กระเป๋าหรือข้าวของทุกอย่างยังอยู่ในห้อง อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ เป็นเสื้อยืดตัวเก่าเนื้อนุ่มกับกางเกงขาสั้น ต่างจากกรพัฒน์ที่แต่งสูทคล้ายกับจะไปออกงาน

   “เดี๋ยวก็รู้”

   รถคันสวยแล่นตามทางมาเรื่อยๆ ก่อนจะเข้าจอดที่ร้านสูทชื่อดัง กรพัฒน์ดึงปูนให้เดินเข้าไป ทันทีที่เปิดประตู เสียงต้อนรับก็ดังขึ้น

   “หาชุดที่เข้ากับเขาให้หน่อยครับ” กรพัฒน์ว่า ชายหนุ่มเดินย้อนกลับไปนั่งรอที่โซฟา ปล่อยให้พนักงานสาวสวยวัดตัวหาชุดสูทให้กับปูนไป

   “ให้ปูนใส่สูททำไม เดี๋ยวครับ” ไม่รอฟังอะไรทั้งนั้น พนักงานสาวผายมือพร้อมออกแรงดึงให้ปูนเข้าห้องลองเสื้อหลังจากได้ชุดที่เข้ากับรูปร่างและสีผิว

   ใช้เวลาไม่นานปูนก็ออกมา เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยชุดสูทสีฟ้าอ่อนทั้งชุดดูเข้ากัน แถมทรงผมก็ถูกจัดทรงสวย ไม่เป็นทรงรังนกอย่างตอนขามา

   “ทางร้านเราลงรองพื้นอ่อนๆ แบบนี้โอเคใช่ไหมคะ” พนักงานสาวยิ้มถามกรพัฒน์ที่ยังนั่งมองอย่างตกตะลึง แม้คนออกมาไม่ได้สวมชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่อง แต่กลับสวยและดูดีไม่ต่างกัน ยิ่งสีแก้มแดงระเรื่อนั่นยิ่งทำให้น่าฟัดกว่าเดิม “คุณกรคะ”

   “ดีมากครับ ขอบคุณนะครับ” ร้านนี้เป็นร้านประจำของชายหนุ่มนั่นเอง “ชุดนี้เหมาะกับปูนดีนะ”

   “ให้ปูนแต่งแบบนี้ทำไมครับ” ปูนตีหน้ายุ่ง ก้มมองตัวเองที่สวมสูทราคาแพงระยับอย่างไม่ค่อยสบายใจ

   “เดี๋ยวปูนก็รู้เองน่า” ยังย้ำคำเดิมพร้อมรอยยิ้ม

   กรพัฒน์ขับรถโดยไม่ยอมบอกสถานที่ที่จะพาปูนไป ชายหนุ่มไม่แม้จะตอบคำถามใดๆ มีเพียงรอยยิ้มส่งมาให้ก็เท่านั้น จนปูนต้องยอมเงียบไปเอง การจราจรที่ติดหนึบแต่ไม่ทำให้อารมณ์คนขับรถบูดเบี้ยวแต่อย่างใด ไม่นานรถคันสวยก็เข้าจอดเทียบหน้าประตูโรงแรมระดับห้าดาว

   “โรงแรม” ปูนเผลอครางออกมาเบาๆ ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ บริเวณ พอกรพัฒน์ลงรถก็ต้องรีบลงตาม ก่อนที่คนขับรถของโรงแรมจะเข้าไปนั่งแทนและออกรถไป “พี่กรพาปูนมาโรงแรมทำไม” ความสงสัยมากมายยังไม่ได้คำตอบ

   ตอนนี้รอบๆ ตัวปูนมีแต่คนแต่งกายหรูหรา บ้างก็สวมชุดเดรสฟูฟ่อง ประดับด้วยเครื่องเพชร เครื่องพลอยที่แข่งกันสะท้อนกับแสงไฟแวววับจนแสบตา หากเป็นผู้ชายก็สวมสูทดูมีราคาแพงทุกคน แถมเมื่อกี้ปูนยังแอบเห็นนักแสดงจากในทีวีด้วย

   กรพัฒน์กุมมือปูนไว้ตลอดทาง ชายหนุ่มพาคนมองนั่นมองนี่เดินขึ้นบันไดปูพรมสีแดงไปจนถึงลานกว้างชั้นบน ทันทีที่ทั้งคู่ก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบ ก็มีกลุ่มคนวิ่งกรูเข้ามาหา พร้อมสาดแสงแฟลชจนปูนต้องหลับตา

   “ไม่ทราบมาก่อนว่าคุณกรจะมาด้วย ได้ข่าวว่าคุณกรต้องดูแลงานนางแบบที่เมืองนอกไม่ใช่หรือคะ”

   “งานนี้ไม่มีนางแบบในสังกัดมาเดินใช่ไหมคะ”

   “เพราะเจ้าของงานไม่สู้ราคานางแบบของคุณกรใช่ไหมคะ”

   และคำถามอีกสารพัดที่ปูนฟังไม่ทัน ตอนนี้ร่างผอมถูกเบียดจนแทบถูกกลืนไปกับคนรุม หากไม่มีกรพัฒน์ที่กระชับมือพร้อมขยับให้ปูนมาชิดติด ปูนก็อาจถูกเบียดออกจากวงไปแล้ว

   “พอดีผมฟังคำถามไม่ทันเลย ขอทีละคำถามได้ไหมครับ” กรพัฒน์ยิ้มตามแบบฉบับของตัวเอง และทันทีที่ถูกถามคำถามแรก เรื่องอัพค่าตัวนางแบบในสังกัด ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “บริษัทของผมไม่มีนโยบายเพิ่มค่าตัวใดๆ เลยครับ นายแบบ นางแบบของผม เรทปกติทุกคน”

   “แล้วที่ว่า นางแบบของคุณกรเลือกงาน แล้วเหวี่ยงทีมงานเป็นมายังไงหรือคะ เรื่องจริงใช่ไหมคะ”

   “นางแบบผมคนไหนหรือครับ บอกผมมาได้เลยนะ ที่บริษัทเราจะมีฝ่ายเทรนอยู่แล้ว หากใครทำตัวไม่ดี ไม่เหมาะสม ก็จะส่งเข้าไปเทรนใหม่ในเรื่องของมารยาท ถ้าคุณมีข้อมูลส่งมาให้ผมได้ครับ”

   “ขอถามเรื่องส่วนตัวได้ไหมคะ” อยู่ๆ ก็มีนักข่าวจากสำนักแห่งหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาทุกคนสนใจเพราะอยากถามเช่นกัน เมื่อได้การพยักหน้าตกลง นักข่าวคนนั้นก็รีบถามทันที “มีแหล่งข่าวระบุมาว่า คุณกรกำลังคบหาดูใจอยู่กับผู้ชายจริงไหมคะ”

   คำถามตรงๆ ที่ทำเอาปูนเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าถามเช่นนี้ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ปูนพยายามจะสะบัดมือออก แต่คนจับกลับกระชับแน่นกว่าเดิม ปูนช้อนตามองคนถูกถามอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าคำตอบที่จะออกจากปากกรพัฒน์จะไปในทางไหน 


   “ครับ”

   แล้วคำตอบสั้นๆ ก็สร้างเสียงฮือฮาได้รอบวง ตอนนี้ไม่ว่านักร้อง นักแสดง หรือคนดังคนไหนเดินเข้ามาในงาน ก็อาจไม่ได้รับความสนใจเท่า ยิ่งกรพัฒน์ดึงปูนมาแนบชิดพร้อมยกมือขึ้นโอบไหล่ ยิ่งมีคนสนใจมากขึ้น

   “คนนี้หรือคะ ที่คุณกรกำลังคบด้วย”

   เพราะทั้งไมค์ ทั้งเครื่องอัดบดบังหน้าตาของปูนไปหมดในคราแรก แต่พอมีคนทัก สิ่งที่ปิดหน้าปิดตาทุกอย่างก็ถูกลดลงมาให้ได้เห็นใบหน้าที่หวานราวกับผู้หญิง

   “ใช่ไหมคะคุณกร”

        คำถามรอการยืนยันยังดังอย่างต่อเนื่อง คนถูกถามหันมายิ้มให้คนข้างกาย ก่อนจะพยักหน้าลง

   “ครับ คนนี้ที่ผมกำลังคบอยู่” แล้วปูนก็เป็นที่สนใจจากบรรดานักข่าวทุกสำนัก “แต่ผมขออนุญาตไม่ให้เขาให้คำสัมภาษณ์นะครับ” เพราะรู้ว่าปูนจะตื่นกลัวและทำตัวไม่ถูก แค่ตอนนี้ใบหน้าหวานก็ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

   “คุณกรยอมรับแบบนี้แล้ว ไม่กลัวว่าจะมีคนไม่ชอบแล้วยกเลิกงานกับนางแบบ นายแบบในสังกัดหรือคะ” ประเด็นที่น่าสนใจถูกหยิบยกมาอีกครั้ง และก็ได้รอยยิ้มพร้อมคำตอบแบบนุ่มๆ ตอบกลับไปเช่นเดิม

   “ผมว่า คนคิดแบบนั้นก็ใจแคบเกินไป ชีวิตส่วนตัวของผม คงไม่ทำให้งานหรือผลิตภัณฑ์ของเขาเสียภาพลักษณ์ถึงขั้นเลิกจ้างงานเด็กในสังกัด เพราะมันคนละส่วนกัน คนที่ทำงานมืออาชีพ เขาจะไม่นำเรื่องพวกนี้มาปะปนกันอยู่แล้ว ที่สำคัญ นี่มันยุคเสรีที่เปิดกว้างเรื่องความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนก็มีความรักที่ดีได้ทั้งนั้น จริงไหมครับ” แม้จะเป็นคำพูดนุ่มๆ หากฟังแล้วก็คล้ายกับจิกกัดเบาๆ จนนักข่าวพากันเม้มริมฝีปาก 

   “งานแฟชั่นของหนังสือคุณกรฉบับหน้ามีอะไรพิเศษไหมคะ”

   เมื่อคำถามเรื่องส่วนตัวถูกตอบกลับมาเช่นนั้น เลยไม่กล้ามีใครถามออกไปอีก กรพัฒน์เป็นคนพูดตรงแต่ก็ไม่แรงจนทำให้รู้สึกไม่ดี ชายหนุ่มตอบคำถามเรื่องต่างๆ อย่างฉะฉาน ก่อนนักข่าวจะจากไป เขาก็ยังไม่ลืมแนะนำว่าคนรักของเขาชื่อปูน พร้อมขอรูปถ่ายคู่สวยๆ ลงหน้าหนังสือพิมพ์ หน้าลอยไม่เอา หน้ามันก็ไม่ไหว คำพูดติดตลกเช่นนี้เลยพลอยทำให้บรรยากาศกลับมาดีอีกครั้ง

   “มันจะดีหรือครับ” ทันทีที่นักข่าวไปรุมล้อมหาข่าวจากคนอื่น ปูนก็รีบถามทันที เมื่อกี้รู้สึกหายใจไม่ออกสักนิด

   “อะไรหรือ” กรพัฒน์ละสายตาจากกลุ่มคนตรงหน้าหันมามอง

   “ก็ที่พี่กรตอบเรื่องปูนไปแบบนั้น พี่กรจะดูไม่ดีเอานะครับ” ปูนรับรู้ได้ว่า เขากำลังถูกหลายคนจ้องมอง เพราะมือที่ถูกจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตลอดงานนี่แหละ “คนอื่นเขา...”

   “พี่ไม่แคร์หรอกนะ ว่าใครจะคิดยังไง เพราะพวกนั้น คือคนอื่นสำหรับพี่ และพี่แคร์แค่ปูนคนเดียว” คำพูดที่หนักแน่นทำให้ปูนนิ่งไปทันที รู้อยู่หรอกว่าคนตัวสูงกว่าชอบเขา แต่ไม่คิดว่าจะจริงจังและจริงใจได้ขนาดนี้ “ดังนั้นปูนก็ไม่ต้องไปแคร์คนอื่น ว่าเขาจะมอง จะคิดยังไง แคร์แค่พี่คนเดียวพอ”

   “ครับ” ปูนยิ้มหวานออกมาทันที

   งานที่กรพัฒน์พามานี้ เป็นงานเดินแบบการกุศลของคนมีหน้ามีตาทางสังคม และคนที่เดินแบบนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นลูก เป็นหลานคนจัดงานทั้งนั้น เพราะแบบนี้นางแบบของกรพัฒน์ถึงไม่ได้มาเดิน

   “เหนื่อยชะมัด” เสียงบ่นดังจากด้านหลัง ปูนหันกลับไปดู คนพูดเป็นคนที่ปูนเพิ่งไปขอลาออก พอลขยับคอเสื้อเชิ๊ตไปมาให้คลายร้อน

   “มาช้านะ” กรพัฒน์ทักเพื่อนสนิท แม้สายตาจะจับจ้องไปยังนางแบบที่เดินเรียงรายกันออกมา

   “นี่ก็รีบสุดๆ แล้ว วิ่งขึ้นมาด้วย เหนื่อยมาก” พอลตอบเพื่อนก่อนจะหันมายิ้มให้กับปูน “พี่ติดต่อปูนไม่ได้เลยตั้งแต่วันนั้น แถมยังจะถูกไอ้กรฆ่าด้วย” คนจะถูกฆ่ารีบฟ้อง

   “ก็บอกให้ดูแลดีๆ ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ สมควรโดน” สายตาคมตวัดมามองเพื่อนแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปสนใจงานต่อ

   “ปากคนเป็นร้อยเป็นพัน จะสั่งหุบได้ยังไงหมด...เนอะปูนเนอะ” พูดจบก็ต้องรีบหลบฝ่ามือของเพื่อน พอลขอแยกตัวไปหาเครื่องดื่มคลายร้อน แต่กลับกลายเป็นว่า ไปยืนจีบสาวสวยอยู่ข้างโต๊ะเครื่องดื่มแทน

        คนเจ้าชู้ต้องไม่ทิ้งลายเสือตัวเอง ประโยคประจำตัวของพอล

   “เรื่องข่าวลือนั่น พี่จัดการต้นตอแล้วนะ” คำบอกเล่าของกรพัฒน์เรียกความสนใจจากปูนได้เป็นอย่างดี “ไม่ต้องห่วงอะไร”

   “ใครเป็นคนปล่อยข่าวหรือครับ” อยากรู้มากที่สุด ว่าใครกันที่มาใส่ร้ายกันได้ขนาดนี้

   กรพัฒน์ใช้หางตามองปูนนิดๆ พลางตอบ “เพื่อนสนิทปูนไง นางแบบที่ชื่อมิ้นท์”

   “มิ้นท์?” แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปูนตีหน้ายุ่งไม่สนใจงานอีก “เป็นไปได้ยังไง มิ้นท์เป็นเพื่อนของปูนนะครับ”

   “ไม่เคยได้ยินหรือ เพื่อนสนิทเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด พี่เคยเตือนปูนเรื่องเพื่อนคนนี้แล้วนะ แต่ปูนไม่เชื่อฟังพี่เลย สุดท้าย ก็ทำร้ายปูนจนได้”

   ก็จริงอย่างที่กรพัฒน์ว่า ชายหนุ่มเคยเตือนแล้วเรื่องเพื่อนสาวคนนี้ แต่เพราะคบกันมานานปูนเลยไว้ใจ ไม่คิดเลยว่า เพื่อนที่สนิท จะมาทำร้ายกันได้ลงคอ

   “พี่กรทำอะไรมิ้นท์หรือครับ” คำถามดูเลื่อนลอยเพราะยังรู้สึกผิดหวังกับเพื่อนสนิท

   “ทำตามกฎของบริษัทน่ะ ไม่ถึงขั้นไล่ออกหรอก”

   ปูนไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ เพราะงานดำเนินมาจนถึงชุดสุดท้ายแล้ว แต่คนข้างกายกลับไม่อยู่ดูต่อ แถมยังจับมือปูนให้ออกจากงานอีกด้วย

   “พี่กรจะพาปูนไปไหนเนี่ย งานยังไม่จบเลยนะ” ดูๆ ไปก็สนุกดีเหมือนกัน ชุดแต่ละชุดก็สวย นางแบบบางคนก็งามซะจริง

   “ไปบ้านพี่” ตอบแบบสั้นๆ ที่กลับทำให้คนฟังสั่นไปทั้งร่าง ปูนขืนตัวเองไม่ให้เดินอีก จนคนจูงต้องมองอย่างสงสัย “ทำไม”

   “ไม่ไปไม่ได้หรือ” แค่พามาเปิดตัวกับนักข่าว ปูนก็แทบหายใจไม่ออก แข้งขา มือไม้สั่นไปหมด นี่ยังจะพาเข้าบ้านอีก มีหวังได้กัดลิ้นขาดพอดี

   “ไม่ต้องกลัวหรอก ป๊ากับม๊าพี่ไม่ได้ดุขนาดนั้น” คนเป็นลูกก็พูดได้ แต่คนนอกอย่างปูนก็ต้องกลัวอยู่ดี “ไปเถอะ พี่ยืนยันว่าครอบครัวพี่ไม่มีใครน่ากลัวสักคน”

   แม้จะยืนยันแบบนั้น ปูนก็กลัวอยู่ดี ครอบครัวคนจีน แม้จะเป็นลูกครึ่งอย่างที่กรพัฒน์บอก ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี และคนกลัวก็นั่งเกร็งไปตลอดทาง พอใกล้ถึงก็รีบบ่นออกมาว่าขาเป็นตะคริว จนคนพามาหัวเราะงอหงาย

   บ้านทรงสไตล์ยุโรปผสมจีนดูแปลกๆ แต่ก็เข้ากันดี อย่างโคมไฟสีแดงข้างหน้าดูสวยเด่นมากเมื่อมองมาที่หน้าบ้าน ยังมีรูปปั้นสิงตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่สองฟากของประตูทางเข้าบ้าน ด้านข้างมีสวนดอกไม้ที่ลูกชายเจ้าของบ้านบอกว่าชื่อดอกโบตั๋นสีชมพูบานสะพรั่งอยู่เต็มสวน

   “เชิญค่ะคุณกร” หญิงสูงวัยมวยผมไว้ที่ท้ายทอย สวมชุดธรรมดาออกมาต้อนรับ ปูนขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อแม่บ้านของที่นี่ไม่ได้แต่งกายเหมือนกับแม่บ้านชาวจีนในละครที่เคยดู

   เมื่อปูนได้ก้าวเข้ามาในบ้าน ความเกร็งก็ทำให้ก้าวขาแทบไม่ออก มือสองข้างเกาะแขนชุดสูทสีดำไว้แน่น พอยิ่งเดินเข้ามา ความกลัวก็มีความแปลกใจค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา

   “รูปพวกนี้มัน...” ปูนกระพริบตาปริบๆ มองไปบนผนังที่ติดรูปนักแสดงหนุ่มจากเกาหลีอยู่เต็มไปหมด มีทั้งแบบโปสเตอร์ผนัง กรอบรูปบนโต๊ะ หรือแม้แต่นาฬิกาตั้งโต๊ะก็ยังเป็นรูปของนักแสดงคนนั้น “ของใครหรือครับนี่”

   “ม๊าพี่เอง” แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กรพัฒน์ขำออกมาเมื่อปูนทำตาโตตกใจ “พี่พูดจริงๆ ม๊าพี่เป็นแฟนคลับนักแสดงคนนี้ เก็บซีรี่ย์แทบทุกเรื่อง งานที่เรียกว่าแฟนมีตอะไรนั่นก็ไปนะ นั่งแถวหน้าสุดด้วย แต่ที่คลั่งแบบสุดๆ ก็เห็นจะเป็นการซื้อตั๋วตามไอ้นักแสดงคนนี้ไปทุกที่ ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น”

   “พี่กรแกล้งอำปูนอยู่ใช่ไหมเนี่ย” หากเดาจากอายุของกรพัฒน์แล้ว ม๊าของเขาก็ต้องอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบ แล้วจะมาชื่นชอบถึงขนาดคลั่งไคล้แบบนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้

   “พี่ไม่เคยโกหกปูนนี่ จริงไหม” พอเจอประโยคนี้ ปูนก็เลยเม้มริมฝีปาก “แล้วถ้าปูนเดินไปอีกห้อง จะมีรูปนักร้องเกาหลีวงวันเดอร์อะไรสักอย่างนี่แหละ นั่นของพ่อพี่ ขานี้ก็คลั่งเหมือนกัน”

   “แน่ใจนะครับ ว่าพี่กรไม่ได้อำ”

   “ไม่เชื่อ ถ้าปูนเจอป๊ากับม๊าพี่ ลองถามได้เลยว่ารู้จักเพลงวงนั้นไหม ไม่ก็ถามเรื่องซีรี่ย์ของนักแสดงคนนี้”

   ปูนกระพริบตาปริบๆ มองรูปภาพของนักแสดงหนุ่มจากเกาหลีที่กำลังโด่งดังและมีเสน่ห์ในมือ นี่ใช่เรื่องจริงหรือนี่

   และปูนก็ได้คำตอบว่ามันคือเรื่องจริง เมื่อได้เจอป๊ากับม๊าที่ไม่ได้ดูแก่แม้อายุจะขึ้นเลขหกปลายๆ ทั้งคู่ยังดูเป็นหนุ่มเป็นสาว อย่างม๊าที่ย้อมผมเป็นสีแดงแบบเปรี๊ยวจี๊ด กับป๊าที่พอถามเรื่องเพลงก็รู้จักหมดจริงๆ จากความกลัวและเกร็งหายไป มีแต่เสียงหัวเราะแทรกเข้ามาแทน



*****



   “วันหลังป๊าจะสอนอาปูนเต้นนะ ไม่ยากๆ” พอพูดคุยได้สักพัก ก็ถึงเวลากลับ แต่ก่อนกลับ ป๊าก็ยังคงไม่ลืมย้ำเรื่องการสอนเต้นจนลูกชายเพียงคนเดียวส่ายศีรษะรัวๆ

   “ขอบคุณครับป๊า ขอบคุณครับม๊า” ปูนยกมือไหว้สำหรับมื้อเย็นที่แสนอร่อย

   “ไม่ต้องกลัวว่าม๊าหรือป๊าจะไม่ชอบหรอกนะ เพราะอากรเนี่ย เป็นพวกหัวดื้อ ยิ่งห้ามไปก็เท่านั้น แต่ดีที่มันเลือกเก่ง และสิ่งที่เลือก ก็เป็นสิ่งดีๆ ทั้งนั้น ม๊าเลยมั่นใจว่าอาปูนต้องเป็นคนดี จริงไหมอากร”

   “แน่ที่สุดครับม๊า”

   แล้วปูนก็ได้รู้ว่า เกนมีนิสัยขี้อ้อนเหมือนกรพัฒน์นี่เอง แม้คนลูกจะอ้อนหนักกว่าก็ตาม

   เมื่อออกจากบ้าน จุดหมายที่จะไปก็ยังไม่ใช่หอพักอยู่ดี เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ปูนคุ้นเคยจนต้องมองอย่างตื่นๆ

   “นี่มันทางไปร้านพี่โรสนี่ครับ หรือพี่โรสกลับมาแล้ว” พอคิดแบบนี้ปูนก็ใจเต้นแรงคิดว่าพี่สาวที่รักจะกลับมา แต่กลับถูกดับฝันจนต้องยู่หน้าลง

   “ไม่ได้มาหรอก ตอนนี้ใช้ชีวิตสบายอยู่ที่นู้น พี่ไปงานก็เพิ่งเจอมา” กรพัฒน์พูดยิ้มๆ มีสิ่งที่เขาตั้งใจจะมอบให้ปูน แม้จะยังไม่เรียบร้อยดี แต่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มันถึงกำหนดไวกว่าที่คาดการณ์ไว้ “ปูนจะต้องชอบแน่”

   ท่าทางและรอยยิ้มดูมีเลศนัยจนไม่น่าไว้ใจ ปูนนั่งกระสับกระส่ายอยากรู้ว่าอีกคนจะทำอะไร

   “ถ้าคิดทำเรื่องไม่ดี ปูนก็สู้นะครับ” ข่มขู่ทั้งคำพูดและสายตา

   “แรงน้อยอย่างปูน แค่พี่เป่าก็ปลิวแล้ว” ว่าเสร็จก็หัวเราะออกมา คนตัวผอมเลยยากที่จะปฏิเสธความจริง “ไปถึงก็รู้เอง”

   “ชอบพูดแบบนี้ตลอด”

   “ก็มันตื่นเต้นดีออก พี่ชอบ”

   “แต่ปูนไม่ชอบ”

   “เดี๋ยวปูนก็ต้องชอบ”

   ไม่อยากต่อปากต่อคำอีก คนตัวผอมเลยได้แต่นั่งนิ่ง รอให้ถึงที่ๆ คนพามาบอก แล้วจะได้รู้ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบอะไรในสิ่งที่กำลังรออยู่...แต่ที่แน่ๆ สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีมากแน่ๆ ปูนเชื่อแบบนั้น เพราะของทุกอย่างที่ได้จากกรพัฒน์คือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ



...TBC


ขอบคุณค่าาาาาา  :pig4: :pig4:

ปล.ปูนก็สู้คนนะคะ (หัวเราะทั้งน้ำตา)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอบคุณค่าา ปูนน่าร๊ากกก พี่กรก็หนักแน่น มิน่าถึงอยู่กันนาน อิอิ  :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด