@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115113 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Dinner at Diner ----




"เย็นนี้กินอะไรดี?"

"กินอะไรก็ได้ ตามใจเจ ฉันยังอิ่มจากเมื่อกลางวันอยู่เลย"

ฆาเบียร์ยังไม่หิวเลยสักนิดแม้เวลาจะล่วงเข้าหกโมงกว่าแล้ว แต่เขารู้ว่าคนตัวเล็กของเขาคงต้องการอาหาร

"งั้น ผมจะพาไปกินร้านที่รสชาติกลางๆ แต่เป็นตำนานด้านอาหารของเชียงใหม่ร้านนึงเอามะ?"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์งง คนตัวเล็กของเขาหมายความว่ายังไง? เจขับรถเข้าเมืองมาทางแยกรินคำ เขาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนห้วยแก้ว ตรงมาผ่านห้างที่แทบจะร้างแล้วอย่างกาดสวนแก้ว เมื่อผ่านสี่แยกเข้าสู่เขตคูเมือง เขาตบชิดขวาและยูเทิร์นเข้าถนนศรีภูมิ เขาชิดซ้ายและเลี้ยวตามแนวแจ่งหัวลินจากนั้นเปิดไฟเลี้ยวซ้ายและหาที่จอดถัดจากร้านขายรถเก่า

"ร้านนี้แหละ ฆาเบียร์"

"Sandwich Bar..."

ฆาเบียร์อ่านป้ายหน้าร้านอาหารขนาดกลางๆ ที่มีรั้วเหล็กน้อยๆ กั้นระหว่างถนนกับตัวร้าน ด้านหน้าของร้านดูร่มรื่นด้วยกระถางต้นไม้ที่จัดวางและแขวนไว้เต็ม ตัวร้านนั้นยกพื้นขึ้น พวกเขาต้องเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ 2-3 ขั้นเพื่อขึ้นไปยังตัวร้าน ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพด้านใน ในร้านนั้นเป็นเหมือนร้านที่เรียกว่า Diner เก่าๆ ที่นั่งในร้านเป็นเก้าอี้บุนวมตัวยาวพร้อมพนักสูงหันหลังชนกันเป็นแถว ทุกอย่างทำให้เขารู้สึกเหมือนย้อนยุคกลับไปช่วงยุค 70 หรือ 80

เจชวนเขานั่งลง พนักงานท่าทางคล่องแคล่วเดินเอาเมนูมาให้ เจได้เล่มภาษาไทย เขาได้เล่มภาษาอังกฤษ อาหารในนั้นปนเปกัน มีทั้งพวกอาหารเช้าอย่างไข่ดาว ขนมปัง ไส้กรอก แฮม พวกแซนวิช อาหารฝรั่งอย่างสตูว์ลิ้นวัว สเต๊กเนื้อ สเต๊กปลา อาหารจานเดียวแบบไทยและกับข้าวไทย มีกระทั่งอาหารใต้อย่างแกงไตปลาและอาหารเหนืออย่างแกงแค นี่มันร้านอะไรกันแน่?



"ฆาเบียร์ จะสั่งอะไรก็สั่ง แต่อย่าสั่งแซนวิช"

เจนยุทธกระซิบเบาๆ ฆาเบียร์งง ก็ร้านชื่อแซนวิชบาร์ ทำไมสั่งแซนวิชไม่ได้? เจทำท่าว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง สรุปว่าเจเป็นคนรวบอำนาจสั่งอาหารและจบลงด้วยการสั่งมาเจ็ดอย่าง ฆาเบียร์กุมขมับ จะกินหมดไหม เจนยุทธ?

พวกเขานั่งรออาหารไป คุยกันไป เจแอบบ่นเล็กน้อยว่าอาหารวันนี้ช้ากว่าทุกที ระหว่างที่พวกเขารออาหารก็มีคนเดินเข้าร้านมากขึ้น กลุ่มคนที่มาดูเป็นขาประจำซึ่งก็ล้วนเป็นคนมีอายุทั้งนั้น บ้างก็มีลูกหลานมากินด้วย

"ร้านนี้นะ ฆาบี้ เปิดมาตั้งแต่ปี 1974 แล้ว แก่กว่าคุณอีกนะ"

"พูดงี้เจหาว่าฉันแก่มากเลยใช่ไหมเนี่ย?"

คนตัวโตหน้าตูม เจหัวเราะคิกคัก

"อะไรๆ อย่าร้อนตัวสิครับ ที่รัก"

เจเอื้อมมือมาหยิกแก้มเขาเบาๆ

"อ่ะ เล่าต่อๆ เขาว่ากันว่าร้านนี้เปิดขึ้นช่วงปลายสงครามเวียดนาม ตอนนั้นในเชียงใหม่ยังมีพวกทหารฝรั่งประจำอยู่เยอะ ร้านนี้เปิดขึ้นเพื่อทำอาหาร 'ฝรั่ง' ให้กับฝรั่งพวกนี้ โดยเน้นอาหารเช้าและอาหารกินง่ายๆ อย่างแซนวิช"

"...ซึ่งมันก็เป็นอาหารฝรั่งสไตล์ไทยตามวัตถุดิบที่หาได้ในตอนนั้น เดี๋ยวกินแล้วคุณจะรู้เอง รสชาติของมันจะเป็นแบบที่คนไทยคิดว่า 'นี่แหละ อาหารฝรั่ง' เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว"



เจหยุดพูดเมื่อพนักงานเดินมาเสิร์ฟขนมปังบาแกตต์กับเนยและมาร์มาเลด เจทำท่าดีใจเมื่อเห็นว่าขนมปังนั้นมาร้อนๆ แสดงถึงความใส่ใจของร้าน

"ขนมปังนี่มากับซุปหางวัว ผมยังไม่เคยสั่งซุปนี้นะ ไม่รู้จะออกมาแบบไหน"

ความเข้าใจแรกของเจคือน่าจะเป็นซุปหางวัวแบบมุสลิม คือเผ็ดเปรี้ยว แต่เมื่อเห็นว่ามันมากับขนมปังแล้วเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบซุปฝรั่งแน่ๆ ซึ่งก็ใช่ส่วนหนึ่ง มันเป็นซุปรสชาติค่อนข้างหนัก รสชาติคล้ายสตูว์ลิ้นวัวแบบที่คนไทยคุ้นเคยกันแต่ออกจะติดหวานเล็กน้อย แต่ที่แปลกคือใส่หอมแดงเจียวด้วย ในถ้วยน้อยๆ นั้นมีหางวัวมาถึง 2 ชิ้นใหญ่ๆ ฆาเบียร์ชิมไปเล็กน้อย

"พอเข้าใจที่เจว่าแล้วล่ะ"

จานถัดมายิ่งทำให้ฆาบี้เข้าใจคำว่าอาหารฝรั่งของคนไทยในยุคนั้น

"ทาโก้? สมัยนั้นคนไทยรู้จักทาโก้แล้วเหรอ?"

"ผมก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ในเมนูตั้งแต่แรกหรือเปล่า แต่ว่าวัดจากรสชาติแล้ว ผมว่าน่าจะใช่นะ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หักแผ่นแป้งจิ้มกับซอส เพราะดูท่าทางแล้วถ้าเขายกขึ้นกัดกินมันน่าจะเละเทะมากแน่ๆ มันเป็นทาโก้แบบเท็กซ์เม็กซ์ซึ่งมีแผ่นแป้งกรอบ เขาชิมมันแล้วทำหน้าปูเลี่ยนๆ

"รสมันไม่ใช่เลยนี่เจ"

คนตัวเล็กปิดปากหัวเราะคิกคักกับสีหน้าของคนตัวโต แหงล่ะ ทาโก้ของที่นี่รสชาติออกหวานจ๋อย แถมมีกลิ่นซอสมะเขือเทศแล้วยังโปะมายองเนสมาด้วย มันไม่เหมือนทาโก้แบบที่คนตัวโตรู้จักแน่

"จากที่ผมเดานะ สมัยนั้นอาหารฝรั่งของคนไทยคือใช้ซอสเคทชัปไม่ก็ tomato paste แบบกระป๋องแทนมะเขือเทศสด รสมันเลยออกมาหวานซะหมด ผมว่าซอสนี้คงเป็นเป็นซอสเดียวกับสปาเก็ตตี้มีทซอสด้วย"



เจเล่าว่าสมัยก่อนถ้าแม่เขาทำอาหารฝรั่งอย่างมะกะโรนีให้กิน มันก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ขายในร้านแบบนี้ คือมะกะโรนีผัดใส่ซอสมะเขือเทศกระป๋องหรือที่เรียกว่า tomato paste ยี่ห้อไมก้าไม่ก็เคทชัปแล้วก็ใส่หัวหอมซอยกับเนื้อไก่ไม่ก็แฮมหรือกุ้ง

“…ส่วนแซนวิชที่ผมบอกว่าไม่ต้องสั่งก็เพราะมันเป็นแบบโบราณ คุณคงว่าไม่อร่อยหรอก

“...กินนี่ดีกว่า อร่อยแน่นอน”

เจเลื่อนจานของว่างแบบไทยอย่างขนมปังหน้าหมูให้ฆาเบียร์

“นี่ก็น่าจะเป็นการผสมผสานของอาหารไทยกับฝรั่ง ผมว่านะ แต่มันเป็นของกินที่มีมานานมากแล้ว ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กเลย”

ฆาเบียร์ชิมขนมปังหน้าหมูร้อนๆ รสมันเป็นอาหารไทยแน่ๆ ด้วยรสชาติของรากผักชีที่เด่นชัดในนั้น

“อร่อย!”

คนตัวโตยิ้ม

“ใช่มะ? ที่นี่เค้าทอดดี ไม่อมน้ำมันสักนิด…นี่ คุณต้องกินกับนี่”

เจเลื่อนถ้วยอาจาดที่ทำอย่างดีส่งให้ฆาเบียร์ อาจาดของที่นี่แตงกวายังดูสดใหม่ ทำอย่างประณีต ไม่ใช่สลดเหมือนแช่มานานแล้วเหมือนของหลายๆ ร้าน ฆาเบียร์ตาวาว นี่มันคือของโปรดเขา

“นี่มัน Thai cucumber relish ใช่ไหมเจ? ที่สหรัฐฯ ฮิตกันเลยนะ กินเป็น side dish กับหลายๆ อย่าง บางทีก็กินเป็นสลัดเลย”

ฆาบี้จิ้มอาจาดกินเปล่าๆ แล้วทำหน้าฟิน เจบอกให้เขาตักมันกินกับขนมปังหน้าหมู คนตัวโตกินไปชมไป และลงท้ายด้วยการกินอาจาดเสียหมดถ้วย เจทำตาปริบๆ สงสัยเขาต้องหาสูตรอาจาดมาทำให้เมียตัวโตเขากินเสียแล้ว เขาบอกฆาเบียร์ว่าที่คนไทยกินอาจาดกับพวกของทอดบางอย่าง สะเต๊ะและแกงกะหรี่

“มันเป็นเหมือนเครื่องจิ้มมากกว่า ไม่ใช่กินทีเป็นอ่างนะคุณฆาเบียร์”



เจทำท่าจะบ่นต่อแต่อาหารจานหลักก็มาลงพอดี

“เอ้า นี่ ของคุณ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ”

ฆาเบียร์ตักอาหารของเขาชิมดู มันดูคล้ายราดหน้าที่เขาเคยกินมาก่อนแล้ว เส้นเป็นแบบเดียวกัน แต่รสชาติไม่ใช่เลย มันมีกลิ่นหอมๆ และรสเผ็ดร้อนเล็กๆ ของผงกะหรี่ปนอยู่ด้วย

“นี่ยังไม่ใช่แบบดั้งเดิมแท้ๆ นะ ฆาเบียร์ ถ้าแบบโบราณแท้ๆ ต้องไม่ใส่ผักอื่น ใส่แต่หัวหอมกับผักกาดหอม อย่างมากก็มะเขือเทศ”

“…แบบดั้งเดิมแท้ๆ น่ะ ผมเคยกินจากบ้านพี่นพแหละ ถ้าพี่แกให้คนทำทีก็จะแบ่งมาให้ผมด้วย แยกเส้นแยกแยกน้ำราดมาแล้วให้ผักกาดหอมมาถุงโต เวลากินก็เอามารวมกันที กินทีไรผมกินผักได้เยอะเลย”

เจน้ำลายสอเมื่อนึกถึงมัน เขาคงต้องไปอ้อนขอสูตรจากพี่ชายตัวกลมมาซะแล้ว ของที่ร้านนี้ใส่ผักอื่นอย่างมันฝรั่งและแครอทหั่นเต๋ามาด้วย มันก็อร่อยอยู่นะ แต่ก็ยังไม่ใช่รสชาติที่เขาต้องการจริงๆ

“ผมเบื่อมากเวลาคนใส่แครอทลงในอาหารไทย มันสีสวยก็จริง แต่บางทีกลิ่นรสมันกลบรสชาติอาหารไปหมด”

ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย เขาเคยกินผัดกะเพราหรือกระทั่งแกงเขียวหวานที่ใส่แครอทด้วยตอนมาไทยครั้งก่อนๆ

"...ผมเคยอ่านเจอคนเรียกแครอทว่า 'ผักเสือก' เอ่อ...ใช้คำว่าอะไรดี 'nosy vegetable' ดีมะเพราะมันไปโผล่อยู่ในอาหารแทบทุกจานแล้วตอนนี้"

ฆาบี้ขำก๊ากเมื่อนึกถึงภาพหัวแครอททำลับล่อๆ อยู่แถวอาหารจานนั้นจานนี้



"แล้วของเจล่ะ สั่งอะไรมามั่ง?"

เขาดูอาหารทั้งสองจานที่อยู่หน้าเจ นี่ใจคอเจจะกินทั้งหมดนี่ลงไปจริงๆ หรือ?

"จานนี้คือ Beef Stroganoff ตามแบบของร้านนี้ ส่วนนี่ ข้าวผัดอเมริกัน"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ขอลองชิมบีฟ สโตรกานอฟเวอร์ชั่นของร้านนี้ เขาตักเนื้อและเห็ดผัดใส่ซอสสีออกครีมนั้น ถึงเขาจะไม่คิดว่าในจานนี้ใส่ซาวร์ครีมเหมือนกับจานต้นแบบซึ่งเป็นอาหารคลาสสิคของรัสเซีย แต่รสชาติมันก็ใช้ได้ถึงเนื้อจะเหนียวไปนิดก็ตาม

"เจ นี่ straw mushroom ใช่ไหม?"

เขาชี้ไปที่เห็ดในจานนี้

"อ๋อ ใช่แล้ว เห็ดฟาง หากินยากแล้วนะ รู้ไหม?"

"...เมื่อก่อนมันคือเห็ดบ้านๆ ที่ทุกร้านอาหารใช้กัน โดยเฉพาะในต้มยำที่ต้องเป็นเห็ดฟางเท่านั้น แต่ทุกวันนี้มันเสียพื้นที่ให้กับเห็ดออรินจิไปแล้ว คงเพราะมันสวยและดูราคาแพงกว่า แต่ผมว่าเห็ดฟางอร่อยกว่าเยอะ"

ฆาเบียร์เห็นด้วย ถ้าปิ้งย่างหรือกะทะร้อน เห็ดออรินจิอาจจะอร่อยกว่า แต่ถ้าใส่ในผัดหรือต้ม เห็ดฟางให้รสชาติที่เด่นชัดกว่ามาก



"แล้วนี่อะไรนะ? ข้าวผัดอเมริกัน? ฉันไม่เคยเห็นแบบนี้ในสหรัฐฯ นะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ มองดูข้าวผัดกับซอสมะเขือเทศที่มาพร้อมแฮม ไส้กรอก ไข่ดาวและไก่ทอด นี่คงเป็นนิยามคำว่า "อเมริกัน" ของคนไทยในตอนนั้นกระมัง

"มันมีที่มาหลายทาง..."

"ทางนึงเขาว่ามันเกิดจากคุณหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการห้องอาหารที่สนามบินดอนเมืองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน น่าจะช่วงปี 1950..."

เจเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่าตามที่เคยอ่านเจอว่าในวันนั้นเที่ยวบินที่ทำการสั่งอาหารเช้าและกลางวันไว้เกิดยกเลิก ทำให้เหลืออาหารเช้าแบบอเมริกันซึ่งประกอบด้วยไข่ดาว แฮม ไส้กรอกจำนวนมาก คุณหญิงจึงได้ทำข้าวผัดมากินกับอาหารเช้านั้น แล้วมีนายทหารไทยและอเมริกันมาเห็นและสนใจขอสั่งด้วย ทหารอเมริกันถามชื่อนั้น คุณหญิงจึงตอบว่ามันเป็น "American Fried Rice หรือข้าวผัดอเมริกัน" นั่นเอง และมันก็กลายเป็นเมนูประจำของห้องอาหารนั้นไป โดยวัตถุดิบเปลี่ยนไปแต่ละวันตามของที่มีในครัว

ฆาเบียร์ฟังเจนยุทธเล่าไปพลางกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับของตัวเองไปพลาง ไม่นานนักมันก็หมด เขายังได้ยื่นช้อนมาตักข้าวผัดของเจกินหน้าตาเฉย รสชาติของซอสมะเขือเทศกับรสหวานอมเปรี้ยวของลูกเกดและสัปปะรดทำให้มันไม่เหมือนอาหารไทยเลยจริงๆ

"...อีกกระแสก็เล่าว่ามันเกิดขึ้นช่วงสงครามเวียดนามตอนไทยยังเป็นฐานทัพของอเมริกัน นี่เป็นอาหารที่ร้านอาหารคิดค้นขึ้นเพื่อเสิร์ฟให้พวกจีไอ เป็นการผสมเอาของชอบของฝรั่งเข้ากับรสชาติแบบไทยๆ

"...ผมเคยเห็นร้านอาหารร้านนึงในเชียงใหม่ เสิร์ฟข้าวผัดอเมริกันแล้วให้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Strip Club Fried Rice 'ข้าวผัดบาร์เปลื้องผ้า' ด้วยนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าร้านไหน"

ฆาเบียร์นึกออกเลยว่าร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารจานนี้ให้พวกจีไอในตอนนั้นเป็นร้านแบบไหน เจตักข้าวผัดขึ้นกิน ฆาเบียร์กินของเขาแหว่งไปซะเยอะเหมือนกัน แต่เขาก็ดีใจที่เห็นคนตัวโตกินข้าวอร่อย เขาตักข้าวผัดคำโตกินขึ้นกิน เขาชอบตัวข้าวผัดอเมริกันของร้านนี้เพราะเขาให้เครื่องจัดเต็ม บางร้านอาจมีแค่ลูกเกด แครอทแล้วก็ถั่วลันเตาในตัวข้าวผัด แต่ร้านนี้มีทั้งแฮม ลูกเกด ถั่วลันเตา แครอท สัปปะรดและไส้กรอกหั่นชิ้นเล็กๆ เจยื่นไก่ทอดป้อนให้ฆาเบียร์ ฆาเบียร์ชมว่าร้านนี้ทอดไก่ได้อร่อยจริงๆ



"เออ พูดถึงไก่ทอดแล้วนึกได้..."

เจเรียกคนเสิร์ฟมาถามถึงอาหารอีกอย่างที่เขาสั่งแต่ยังไม่มา ไม่นานอาหารจานนั้นก็ยกมาเสิร์ฟ

"ไก่ตะกร้า ของโปรดผมเลย!"

ฆาเบียร์นิ่วหน้า เขาว่ามันไม่ดูน่ากินเท่าไหร่เลย ไก่ตะกร้าของเจเป็นน่องไก่ที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปชุบแป้งจนหนาแล้วทอด ที่ร้านเสิร์ฟไก่นี้ในตะกร้าหวายใบเล็กๆ มันถึงได้เรียกว่าไก่ตะกร้ากระมัง

"แป้งหนาเชียว จะอร่อยเหรอเจ?"

"เอาน่า เชื่อผม อร่อยชัวร์"

ฆาเบียร์จิ้มไก่ชิ้นหนึ่งกำลังจะเอาเข้าปาก

"อะอังนะ อันอ้อน..."

'ระวังนะ มันร้อน'

คนตัวเล็กที่ทำแก้มป่องสูดลมเข้าปากเพื่อดับความร้อนของชิ้นไก่ที่ตัวเองใช้มือหยิบเข้าปากด้วยความเร็วสูงเตือนมา ฆาเบียร์ชะงักแล้วเป่ามันเบาๆ ก่อนที่จะกินเข้าไป

"เฮ้ อร่อยจริงๆ ด้วย เจ ว้าว ฉันโดนหน้าตามันหลอกเต็มๆ เลย"

ไก่ชิ้นน้อยๆ พวกนั้นหมักมาอย่างดี กลิ่นรากผักชีหอมฟุ้งอยู่ในปากของฆาเบียร์ แต่ที่ทำให้อร่อยที่สุดคือแป้งที่ให้ความกรอบนอกนุ่มใน ส่วนของหนังไก่นั้นก็กรุบกรอบดี เสียดายว่ามันมาน้อยไปหน่อย เขากับเจจิ้มกันไม่กี่คำก็หมดเสียแล้ว



"เจ ฉันว่า ฉันชอบร้านนี้นะ ต่อให้อาหารมันไม่ได้อร่อยเลิศ แต่มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ"

ร้านสไตล์ไดเนอร์แบบนี้ทำให้ฆาเบียร์นึกถึงร้านอาหารแบบไดเนอร์เก่าๆ โทรมๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านของพ่อแม่เขา ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังว่าตอนเขายังเป็นเด็ก เขา พ่อแม่และคริสจะไปกินข้าวที่นั่นกันสัปดาห์ละครั้ง ที่เขาชอบที่สุดคือวาฟเฟิลกับไก่ทอดและไอศกรีมซันเดย์ถ้วยใหญ่ ถึงมันจะไม่อร่อยนัก แต่มันก็เป็นอาหารที่เขาจะกินได้แค่ที่นั่น

"ผมว่ามันคงเหมือนที่นี่แหละ อาหารหลายอย่างไม่ได้อร่อยเลิศเลอ แต่กินได้แค่ที่นี่ แต่ที่อร่อยๆ เลยก็มีไอ้เจ้าไก่ตะกร้านี่ ขนมปังหน้าหมู สตูว์ลิ้นวัวซึ่งอร่อยแบบไทยๆ คือน้ำจะติดหวานหน่อย เนื้อผัดน้ำมันหอยก็อร่อย..."

ฆาเบียร์รีบเบรคเจก่อนที่จะสาธยายมาจนหมดเมนู เขากำลังจะเรียกเก็บเงินแต่เจบอกว่าเขายังไม่ได้กินของหวานเลย ฆาเบียร์จนปัญญา ต้องปล่อยให้เจสั่งไป ไม่นานคาราเมล คัสตาร์ดหน้าตาดูโบราณสองถ้วยก็มาวางตรงหน้าทั้งสอง

"ขม..."

คนตัวโตทำหน้าเบ้ มันเป็นคัสตาร์ดไข่ที่ชุ่มไปด้วยรสชาติของน้ำตาลไหม้ สำหรับเขามันติดจะขมไปสักนิดแต่ก็ให้รสชาติของวันวาน ส่วนคนตัวเล็กนั้นเหมือนจะชอบมากเพราะกวาดเกลี้ยงจนไม่เหลือคาราเมลสักนิด

"นี่ผมเพิ่งเคยกินครั้งแรกนะเนี่ย ปกติจะอิ่มตายตั้งแต่อาหารแล้ว"

นี่แสดงว่าวันนี้เจยังไม่อิ่มจัดงั้นเหรอ? เขาสงสัยจริงๆ ว่าปกติเจกินอะไรเข้าไปบ้าง

"เห้อ อิ่ม อร่อย งั้นเรากลับกันได้ละ"

เจนยุทธยิ้มอย่างพึงใจ นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว เขายังได้คุยนั่นนี่มากมายกับฆาเบียร์ด้วย เขาจ่ายเงินโดยไม่ยอมให้ฆาเบียร์ดูราคา จริงๆ ร้านนี้ก็ไม่ถือว่าถูกนัก แต่สำหรับเจแล้วมันคุ้มทุกครั้งที่มากิน


] (ftp://image.goosiam.com/imgupload/upload43/R8R7waEuqYht.jpg[/img)



ฆาเบียร์ขับรถพาเจที่นั่งตาปรือเพราะความอิ่มกลับไปยังคอนโด ระหว่างทางพวกเขาก็ยังคุยกันถึงร้านแซนวิช บาร์ เจบอกว่าถ้ามีหนังสักเรื่องที่อยากถ่ายร้านที่ให้ฟีลแบบหว่องกาไว ที่กำลังฮิตๆ กันตอนนี้ ก็ควรมาใช้ร้านนี้เป็นโลเคชั่น ฆาเบียร์ขำใหญ่แต่ก็เห็นด้วย

"แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักษารสชาติแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ช่วงที่แล้วผมมากิน อาหารบางอย่างในเมนูเขาก็ไม่ทำแล้ว อย่างวันนี้อาหารก็ช้ากว่าทุกที ผมเคยถามพนักงานเขาบอกว่าในครัวขาดคน พวกคนครัวเก่าๆ ก็เริ่มแก่จนทำงานกันไม่ไหวแล้ว ก็ต้องรอดูกันต่อไป"

ฆาเบียร์ถอนหายใจอย่างเสียดาย เขาก็หวังว่าร้านนี้จะสามารถต้านแทนกระแสของการเวลาและคงอยู่ต่อไปได้อีกนานๆ ฆาเบียร์ขับรถต่อไปเงียบๆ ก่อนจะโพล่งอะไรขึ้นมาจนเจที่กำลังจะหลับสะดุ้งเฮือก

"ฉันนึกออกแล้วเจว่าข้าวผัดอเมริกันนี่เหมือนอะไร มันเหมือนออมไรซ์ของญี่ปุ่นไงล่ะ ในชุดอาหารคุณหนู อะไรแบบนั้น"

"เออ ใช่ๆ ร้านนี้ก็เป็นเหมือนร้านอาหารแบบ family restaurant ของที่นั่นด้วย”

“ ใช่ อย่างที่ฮ่องกงเองก็มีร้านแนวนี้หลายร้านเหมือนกันนะ"

“ของไทยร้านดังๆ แนวนี้ที่เคยมีสาขาถึงเชียงใหม่ก็คือ 13เหรียญกับร้านโบ้ทแหละ แต่ 13เหรียญในเชียงใหม่ตอนนี้ปิดไปแล้วนะ แต่โบ้ทยังอยู่”

เจสาธยายถึงอาหารของทั้งสองร้านนั้นต่อ ฆาเบียร์ยิ้ม วันนี้เขารู้สึกว่าได้พูดคุยอะไรเยอะแยะกับเจ สองวันที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกันทำให้เขายิ่งกระหายอยากใช้เวลาร่วมกับเจ อยากพูดคุย อยากสัมผัสเนื้อตัว เขาเริ่มคิดแล้วว่าบางทีการที่เจอยากให้พวกเขาเพลาๆ การมีเซ็กส์กันง่ายๆ ก็อาจจะเพราะอยากให้พวกเขาได้รู้สึกถึงความโหยหาและความตื่นเต้นที่เคยมีในช่วงแรกๆ ของความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง แต่ที่จริงสำหรับเขาแล้วเขาตื่นเต้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจอยู่แล้ว เขาอยากกอด อยากหอม อยากจูบ อยากสัมผัสทั้งกายและใจของคนตัวเล็กของเขา อยากรับรู้ทุกความรู้สึกไม่ว่าจะดีหรือร้าย อยากเรียนรู้ทุกๆ สิ่งทุกๆ ของตัวเจนยุทธ



"มองหน้าผมทำไม มีอะไรติดอยู่เหรอ?"

เจนยุทธถามเมียตัวโตของเขา พวกเขาเข้ามาที่จอดรถของคอนโดแล้วแต่คนตัวโตยังไม่ยอมดับเครื่องรถแถมยังนั่งอมยิ้มมองหน้าเขาอยู่ได้

"ฉันรักเจนะ"

คนตัวโตทำหน้าจริงจัง เจหน้าร้อนวาบ อารมณ์ไหนกันฆาเบียร์จึงอยากจะมาบอกรักเขาแบบนี้

"ผมก็รักคุณนะ ฆาบี้"

เจยื่นมือไปกุมมือใหญ่ของคนรักซึ่งบีบมือเขาตอบ

"ฉันอยากให้เจรู้และมั่นใจว่าความรู้สึกของฉันจะยังเป็นเหมือนเดิมไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรือว่าอยู่ที่ไหน จะยามหลับหรือยามตื่น หัวใจฉันก็จะยังเป็นของเจคนเดียวเท่านั้น"

เจส่งเสียงตอบรับแผ่วๆ ในลำคอและเอนกายเข้าสู่อ้อมอกที่อ้ารอของคนตัวโต เขาตอบสนองความรู้สึกนั้นด้วยความรู้สึกรักที่ท่วมท้นขึ้นมาพอๆ กัน เขาจูบริมฝีปากบางคู่นั้นซึ่งเผยอรออยู่แล้ว ฆาเบียร์จูบตอบ เขาดูดดึงริมฝีปากน้อยๆ นั้นอย่างกระหาย เจเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อหามุมถนัด มือของเขาประคองใบหน้าคมเข้มของฆาเบียร์ มือใหญ่ของคนตัวโตก็โอบรอบเอวของเขาและดึงตัวเขาให้แนบกับร่างกำยำของตน

"เจจ๋า ฉันรักเจเหลือเกิน รักจนอยากจะกลืนกินเจไปทั้งตัวแล้ว..."

"...ฉะนั้น คืนนี้...ขอเถอะนะ"

เจนยุทธอุทานออกมาดังลั่น เขารีบดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของคนตัวโตซึ่งหัวเราะลั่นเมื่อเห็นทีท่าของเจ เขาแค่ขอเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง ฆาเบียร์ดับเครื่องรถแล้วรีบเดินตามคนรักที่หนีลงรถไปยืนหน้างอรอลิฟท์อยู่นู่นแล้ว เขาโอบเอวเจแล้วเอาคางเกยไหล่คนตัวเล็ก

"ล้อเล่นน่า อย่างอนฉันนะ เจ"

"...แต่ที่บอกว่ารักน่ะ เรื่องจริงนะ"

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ พร้อมซุกไซร้ริมฝีปากตามพวงแก้มแดงๆ นั้น เจบ่นพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาไทย แต่ก็หันมาจุ๊บเร็วๆ ที่ปากคนตัวโตก่อนจะลากเข้าลิฟท์ เขาไม่รู้จะจัดการเมียตัวโตของเขายังไงแล้ว


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2017 00:51:12 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Dinner at Diner (ต่อ) ----



เจนยุทธนอนระทวยซบอกฆาเบียร์อยู่บนโซฟา ที่ช่วงคอและอกที่โผล่พ้นเสื้อยืดของเขามีรอยสีกุหลาบจางๆ กระจายอยู่ทั่ว ฆาเบียร์ยังคงรักษาคำพูดของเขาก็จริง แต่เขาก็ไม่ยั้งที่จะแสดงความรักของเขาในทางอื่น พอขึ้นมาถึงห้องเขาก็กอดปล้ำเจจนหนำใจ คนตัวเล็กก็ได้แต่ปัดป้องในช่วงแรกๆ แต่ก็ปล่อยให้คนตัวโตทำตามอำเภอใจในภายหลัง

"ฆาเบียร์ครับ..."

"Yes?"

"คุณก็รู้ใช่ไหม ว่าผมรักคุณ"

ฆาเบียร์พยักหน้า นั่นเป็นสิ่งที่เจทำให้เขามั่นใจมาเสมออยู่แล้ว

"ผมก็อยากให้คุณรู้เหมือนกันว่าไม่ว่าคุณจะไปไกลหรือนานแค่ไหน ผมก็จะยังรอคุณ โอเคไหม?"

ฆาเบียร์กอดเจแน่น นี่คือกำลังใจที่ทำให้เขายังคงทำงานต่อไป เขาพยายามทำงานของเขาให้เสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีสิ่งคั่งค้างมากวนเวลาที่เขามาอยู่เชียงใหม่ เขาจุ๊บเบาๆ ที่แก้มใสที่ยังคงแดงก่ำเพราะความรู้สึกที่ได้รับจากสัมผัสของฆาเบียร์



"ฆาบี้ อาปามาพรุ่งนี้ใช่ไหม?"

เจนยุทธถามขึ้น

"ไฟลท์ไหนน่ะจะได้ไปรับ"

"ไฟลท์เย็นของคาเธย์ดราก้อนน่ะ ถึงเชียงใหม่ก็ราวๆ ห้าโมงกว่า กว่าจะผ่านต.ม.อะไรก็คงหกโมงกว่า เจจะไปรับเหรอ?"

เจพยักหน้า

"อืมม์ เราไปเจออาปาที่สนามบินแล้วค่อยพาอาปาไปส่งโรงแรมก็ได้"

"เอ ทางโรงแรมน่าจะมีรถมารับนะ เจ"

เจบอกว่าเขาก็ยังอยากไปหาอาปาถึงสนามบินอยู่ดี อย่างน้อยไปรอรับที่หน้าประตูก่อนจะส่งขึ้นรถโรงแรมก็ได้ ฆาเบียร์จูบเรือนผมคนตัวเล็กของเขาอย่างเอ็นดู เจน่ารักแบบนี้อาปาของเขาถึงได้ติดใจนักหนา

"ทีฉันเจยังไม่เห็นไปรับเลย"

ฆาเบียร์แกล้งพูดอย่างน้อยใจ เจบ่นพึมพำว่าเขาก็บอกตั้งหลายหนแล้วว่าจะไปรับ แต่คนตัวโตเองนั่นแหละที่อยากจะนั่งแท็กซี่มาเอง



"ผมถามอะไรอย่างสิ"

"อะไรเหรอ เจ?"

"คุณกับอาปาเดินทางบ่อยทั้งคู่ พวกคุณไม่ใช้เครื่องส่วนตัวกันบ้างเหรอ จะได้ไปไหนมาไหนได้ตามใจตัวเองไม่ต้องมารอเวลา"

เจถามอย่างสงสัย เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาเห็นในหนังฝรั่ง พวกเศรษฐีหรือพวกประธานบริษัทนั่นนี่ก็ชอบนั่งเครื่องส่วนตัวกันจัง เหมือนมันมีกันได้ง่ายๆ ฆาเบียร์หัวเราะแล้วบอกว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นในหนัง

"การมีเครื่องส่วนตัวน่ะ ในสหรัฐฯ ถ้าเครื่องใบพัดน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้าต้องการบินข้ามทวีป ก็ต้องเป็นเครื่องเจ็ตน่ะเจ ราคาต่อลำถ้าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gulfstream G650 เริ่มต้นก็ 65 ล้านเหรียญถ้าแต่งจัดเต็มก็ลำประมาณ 72 ล้านเหรียญ"

เจนยุทธอยากจะเป็นลม แค่ฟังราคาเครื่องเขาก็เลิกสงสัยละ

"แต่มันก็มีทางเลือกที่ถูกกว่าเช่น G4 ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่า ถ้ามือสองน่ะซักสี่ห้าล้านก็ได้แล้ว แต่ไอ้ที่หนักน่ะ ไม่ใช่แค่ค่าเครื่องน่ะ..."

"อย่างแรก เจต้องมีโรงจอดที่สนามบิน อย่างที่ LAX หรือสนามบิน LA เท่าที่เคยได้ยินมาค่าจอดเดือนละ 13,000 เหรียญ..."

"...แล้วก็ต้องมีค่านักบินกับลูกเรืออีก อย่างนักบินเครื่อง G5 ของคนที่ฉันรู้จัก คนนี้เขาทำสัญญารายปี ก็เหมือนจะปีละแสนกว่าเหรียญ ไม่งั้นถ้าพวกจ้างรายครั้ง ก็ครั้งละหมื่นกว่าเหรียญ นี่ยังไม่นับลูกเรือและไหนจะเรื่องอาหารขึ้นเครื่องอีก..."

"แล้วไหนจะยังค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องต่อการบินแต่ละครั้งอีก อย่างพวกค่าน้ำมัน ที่ได้ยินมาต่อชั่วโมงก็ 5-6,000 เหรียญแล้วนะ ไหนจะค่าซ่อมบำรุงอีกล่ะ"



"โอย ค่าใช้จ่ายเต็มไปหมดเลยอ่ะ นึกถึงว่าต้องบินไปเซ็นสัญญามูลค่าเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม ต้องรวยโคตรๆ จริงๆ ถึงจะมีได้เนาะ"

คนตัวเล็กบ่นพึมพำขึ้น

"ใช่แล้ว เจ มีคนพูดว่าถ้าคิดจะมีเครื่องบินส่วนตัว แล้วต้องมาคอยคิดว่าการเอาเครื่องขึ้นแต่ละครั้งจะคุ้มหรือเปล่า แสดงว่ายังไม่พร้อมที่จะมี​มัน"

"...อย่างฉันกับอาปา ถ้าจำเป็นต้องใช้เครื่องส่วนตัวจริงๆ เราก็ใช้วิธีเช่าเหมาลำเอา มีผู้ให้บริการแบบนี้เยอะแยะ ที่ฮ่องกงก็มี ที่ไทยก็น่าจะมีเหมือนกัน"

เจพยักหน้า เขาก็ว่าแบบนี้น่าจะเหมาะกว่า

"อีกอย่าง..."

ฆาเบียร์ยิ้มเศร้าๆ

"ฉันไม่ชอบเครื่องประเภทนี้เท่าไหร่หรอก มันทำให้ฉันอดนึกถึงตอนนั้นไม่ได้..."

เจนยุทธใจหายวาบ ใช่สิ เมียตัวโตของเขาเสียพ่อแม่ไปก็เพราะไอ้เครื่องบินเล็กแบบนี้

"ผมขอโทษ ฆาบี้ ผมถามอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้วใช่ไหม?"

ฆาเบียร์จูบเบาๆ ที่หน้าผากของคนตัวเล็กที่พูดเสียงเครือน้ำตาคลอเบ้า

"ไม่หรอกเจ ไม่เป็นไร ถามได้ ที่ฉันไม่ชอบเพราะขึ้นไปแล้วมันอดกลัวไม่ได้ว่ามันจะตกหรืออะไรหรือเปล่า เครื่องบินเล็ก เฮลิคอปเตอร์พวกนี้ ขึ้นแล้วฉันอดมือเท้าเย็นไม่ได้ทุกที"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาเล่าว่าขึ้นเครื่องเล็กพวกนี้ทีไรเขาเป็นต้องกินยานอนหลับก่อนทุกที ไม่อย่างนั้นอาการหวาดวิตกก็จะกลับมา คริสเองก็รู้ดีถึงพยายามเลี่ยงใช้เครื่องเหมาลำพวกนี้แค่เวลาจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เจนยุทธพยักหน้าบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว

"ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไรหรอก ผมแค่คิดว่าเครื่องที่บินตรงมาเชียงใหม่จากฮ่องกงน่ะ ไม่มีนั่งสบายๆ เลยซักสายการบินเดียว ของคาเธ่ย์ดราก้อนที่เหมือนจะเป็นเจ้าเดียวที่มีชั้นบิสซิเนสก็ดูนั่งไม่สบายเลย ตัวเล็กๆ อย่างอาปาก็น่าจะยังพอโอเค แต่ตัวโตๆ อย่างคุณนั่งก็คงขาติดอ่ะ ตอนแรกก็ยังคิดว่าทำไมไม่นั่งเครื่องส่วนตัวกันสบายๆ พอได้ยินที่คุณอธิบายมาก็เลยเข้าใจเลย ทนต่อไปนะคุณฆาเบียร์"



เจนยุทธดูนาฬิกา แล้วลุกขึ้นยืนและดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นจากโซฟา

"ป่ะ ดึกละ เราอาบน้ำกันดีกว่า"

"เจไปอาบก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันค่อยอาบทีหลัง"

ฆาเบียร์ยังไม่ค่อยอยากเห็นร่างเปลือยของเจเท่าไหร่ เขากลัวใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามคำพูดที่ให้กับคนตัวเล็กของเขาไม่ได้ แต่เจเดินมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขาด้วยหน้าแดงก่ำ

"วันนี้คุณเป็นเด็กดี ผมจะมีเซอร์วิสพิเศษให้นะ นับหนึ่งถึงสิบถ้าไม่มาอด"

พูดจบร่างเพรียวของเจก็รีบพรวดเข้าห้องนอนไป พร้อมกับเสียงนับเลข ฆาเบียร์ยืนตัวแข็งอยู่พักหนึ่งแล้วก็รีบตามเข้าห้องน้ำไป



ฆาเบียร์ปิดประตูห้องน้ำ เขาเข้ามาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออก เจนยุทธที่เสื้อผ้าอยู่ครบก็ยืนยิ้มกริ่มรอเขาอยู่ในห้องน้ำ ฆาเบียร์ก้าวพรวดเข้าประชิดตัวคนตัวเล็กและทำท่าจะจูบ แต่เจเอามือปิดปากของเขาไว้แล้วดันตัวเองออกห่าง เจโยกตัวไปตามจังหวะเพลง เขาเอาลำโพงน้อยกับโทรศัพท์ของเขาเข้ามาในห้องน้ำด้วย เจค่อยๆ เลิกเสื้อยืดของตัวเองขึ้นอย่างมีชั้นเชิง เขาเลิกชายเสื้อขึ้นจนเห็นตุ่มไตสีทับทิมรำไรและใช้นิ้วคลึงมันเบาๆ จนชูชัน เขาปล่อยชายเสื้อลง แต่มือของเขายังเคลื่อนไหวอยู่ใต้เสื้อ ถึงไม่เห็นภาพ แต่ฆาเบียร์ยังเห็นได้จากรอยโป่งของเสื้อยืดว่าเจกำลังทำอะไรอยู่ เจนยุทธซี๊ดปากอย่างรู้สึกดี เขาค่อยๆ เลิกเสื้อขึ้นอีก ทีนี้ถอดมันพ้นหัวและโยนมันไปให้ฆาเบียร์

ฆาบี้สูดดมกลิ่นคนรักจากเสื้อที่รับมา เจเริ่มปลดกระดุมกางเกงช้าๆ เขาทำท่าเหมือนจะถอดมันออกพ้นสะโพก แต่ก็เหมือนเปลี่ยนใจ เขาหันหลังให้ฆาเบียร์แล้วค่อยๆ รูดกางเกงลงช้าๆ ตามจังหวะเพลง ตอนแรกเขารูดมันลงพร้อมกางเกงใน แต่เมื่อมันพ้นสะโพกไปได้ครึ่งตัวเผยให้เห็นก้อนเนื้อหนั่นแน่นทั้งสอง เจก็หยุดและดึงชั้นในขึ้นเหมือนเดิม และเริ่มรูดกางเกงยีนส์ลง เจหันกลับมา ฆาเบียร์เห็นชัดว่าชั้นในสีขาวของเจนั้นอัดแน่นไปด้วยแก่นกายที่ขยายเต็มที่ เจใช้ค่อยๆ ยกขาขึ้นจนพ้นขากางเกง เขาทำแบบเดียวกันจนกางเกงยีนส์ลงไปกองบนพื้น เขาขยับกายเข้าใกล้คนตัวโตและดันให้ลงนั่งที่โถส้วม

เจขึ้นไปนั่งคร่อมตักฆาเบียร์ เขาบดเบียดสะโพกลงไปกับส่วนร้อนๆ ที่พองแน่นกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง เขารั้งตัวฆาเบียร์ให้ใบหน้าซบลงกับอกของเขา ฆาเบียร์ถือโอกาสจูบหนักๆ ลงไปที่อกซ้ายของเจ จากนั้นย้ายไปใช้ลิ้นดุนเขี่ยที่เม็ดทับทิมที่ชูชัน มืออีกข้างเขาเขี่ยไล้อีกข้าง เจสูดปาก เขากำลังคิดว่าคืนนี้เขาจะรอดตัวไปได้อย่างไร? ฆาเบียร์ดูดดุนหนักขึ้น มือของเขากำหมับเข้าที่ส่วนสงวนของเจ และดึงกางเกงในสีขาวตัวน้อยนั้นลง แต่ก่อนที่เขาจะได้ขยับ เจก็เลื่อนตัวออกจากตักเขาและลงนั่งแกะกระดุมกางเกงให้เขา

ฆาเบียร์ตาลุกวาว หรือนี่คือเซอร์วิสที่เจว่า เขาต้องผิดหวังเมื่อเจนยุทธแค่ถอดกางเกงยีนส์ของเขาออกและดึงตัวเขาให้ลุกขึ้น หลังจากถอดเสื้อยืดและกางเกงในให้ฆาเบียร์แล้ว เจก็สลัดกางเกงในสีขาวของตัวเองออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ทั้งคู่ เขาดึงคนตัวโตเข้าไปยืนใต้แผงฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ที่เพดานแล้วเปิดน้ำอุ่นราดรดตัว เขามอบจูบอ่อนหวานให้ฆาเบียร์ซึ่งจูบเขาตอบด้วยความอ่อนโยนเช่นเดียวกัน ทั้งคู่รู้ว่าในคืนแบบนี้ถ้าจุมพิตกันแบบเร่าร้อนแบบทุกครั้งพวกเขาต้องไม่สามารถทำตามคำพูดได้แน่ๆ



เจเทสบู่ลงที่มือเล็กน้อยและใช้มันฟอกเข้าที่ส่วนกลางกายของฆาเบียร์ เขาทำเช่นเดียวกันกับตัวเองก่อนที่จะบดเบียดกลางกายของตนเข้ากับของฆาเบียร์ เจใช้มือทั้งสองกอบกุมแกนกายที่แข็งเกร็งทั้งสองเข้าด้วยกันและใช้มือกำรูดมันพร้อมๆ กัน ปากเขาซุกไซร้ที่อกและลำคอของคนตัวโตที่ทำหน้าฟิน

"เจ ทำแบบนี้ดีกว่า"

ฆาเบียร์ใช้มือตัวเองกำไปที่ส่วนสงวนของเจและให้เจกำของรักของเขาไว้ เขาค่อยๆ ขยับมืออย่างคุ้นเคยเช่นเดียวกับเจที่พยายามทำแบบเดียวกันด้วยจังหวะเดียวกันกับคนตัวโต ทั้งสองซี้ดปากด้วยความเสียวซ่าน ฆาเบียร์ดึงเจมาจูบแบบรุนแรงขึ้นกว่าเมื่อครู่ เจเองก็ดูดดุนลิ้นฆาเบียร์อย่างไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากเขาบดกันจนรู้สึกเจ็บ เจคุมตัวเองไว้ไม่ให้เผลอลงนั่งและกลืนกินแก่นกายของฆาเบียร์อย่างที่ใจอยากทำในตอนนี้

“แค่มือนะ ขอร้อง”

เจกระซิบเสียงแหบพร่าแล้วก็ต้องครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายโจมตีส่วนไวต่อสัมผัส เจเอาคืนด้วยการดูดดุนเม็ดสีน้ำตาลอ่อนบนแผงอกกว้าง ทั้งคู่เร่งมือและพากันถึงฝั่งในที่สุด ฆาเบียร์รวบตัวคนตัวเล็กที่หายใจหอบกระเส่าไว้ในอ้อมอก เขาจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากน้อยๆ นั้น

“แกล้งกันจริงนะ เจ ฉันจะคลั่งตายอยู่แล้วนะ รู้ไหม?”

มือใหญ่ที่ร้อนผ่าวของฆาเบียร์ลากเลื้อยลงไปเกาะกุมที่บั้นท้ายหนั่นแน่นของเจและคลึงเคล้นเบาๆ เจใจหายวาบ รีบดันตัวออก เขาเปิดน้ำอีกรอบและรีบหยิบแชมพูมาเทใส่หัวฆาเบียร์ คนตัวโตทำหน้ามุ่ย เอาวะ รออีกวันเดียว แล้วเขาจะจัดหนักมันให้ลุกไม่ขึ้นเลย

ฆาเบียร์ก้มหัวลงให้คนตัวเตี้ยกว่าสระผมให้ เขาผ่านใครต่อใครมาเยอะ แต่เจเป็นคนแรกที่เขายอมให้แตะหรือลูบไล้ผมและหัวนอกเหนือจากยามมีอะไรกัน มันแสดงถึงความไว้ใจขั้นสุดที่เขาจะมีให้คนตัวเล็กคนนี้ได้

เจล้างแชมพูออกจากหัวฆาเบียร์ เขาเทครีมอาบน้ำกลิ่นมินท์ช็อคโกแลตยี่ห้อจูป้าจุ๊บที่เขาเพิ่งซื้อมาใส่มือและฟอกไปที่ลำตัวหนาใหญ่ของฆาเบียร์ เขาลูบไล้ฟองที่กล้ามอกนูนนั้นอย่างอิจฉา คนตัวโตที่กำลังเกานวดหนังหัวให้เขาหยุดและเบ่งกล้ามนั้นอย่างภูมิใจ เจหมั่นไส้เลยกัดเบาๆ เข้าจนคนตัวโตร้องออกมา

“แหวะ ครีมอาบน้ำนี้หอมน่ากินก็จริง แต่รสชาติไม่เอาอ่าวเลย”

เจบ่นอุบอิบ เขาเอาน้ำล้างปาก ฆาเบียร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก็อยู่ดีไม่ว่าดีมากัดเขาทำไม



ฆาเบียร์ดึงฝักบัวที่ผนังมาล้างผมให้เจ เจนยุทธรอจนเรียบร้อยแล้วถึงฟอกตัวฆาเบียร์ต่อ เขาโอบรอบตัวคนตัวโตและใช้มือไล้ฟองไปตามแผ่นหลังกว้าง ลำตัวด้านหน้าเขาบดเบียดกับแผงอกกว้างเพื่อรับฟองสบู่ที่เขาฟอกให้ก่อนหน้านี้ ฆาบี้ครางเบาๆ อย่างพึงใจ รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้นแว่บหนึ่งบนริมฝีปากรูปกระจับ เจฟอกสบู่ต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ถึงบั้นท้ายแน่นที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของฆาเบียร์ เขาคลึงเค้นมันอย่างย่ามใจ ฆาเบียร์ที่กำลังเพลินปล่อยให้เจบีบนวดไป เขาสูดปากเมื่อรู้สึกถึงนิ้วที่นวดเฟ้นอยู่ตรงปากทางอันคับแคบ

“ซี้ด เจ อ๊ะ”

ตอนนี้นิ้วของเจไม่เพียงนวดคลึงอยู่ภายนอก มันเริ่มรุกล้ำเข้าสู่ช่องทางสีแดงก่ำนั้น ฆาเบียร์ใจสั่นระรัว เขาแยกขาออกน้อยๆ เพื่อให้เจทำงานได้ถนัด ความลื่นของสบู่ทำให้มันง่ายขึ้น คนตัวโตครางลั่นเมื่อเจเพิ่มน้ำหนักและความเร็ว ตอนนี้เจใส่เข้าไปสองนิ้วแล้ว ฆาบี้ทนไม่ได้ต้องใช้มือช่วยปลดปล่อยให้ตัวเอง เจนยุทธเปลี่ยนให้ฆาเบียร์โก้งโค้งหันหน้าเข้าผนังแทนเพื่อความถนัด ฆาเบียร์ซี้ดปาก เจใส่เข้ามาสามนิ้วแล้ว และทุกครั้งที่มันล่วงล้ำเข้ามามันสัมผัสกับจุดเสียวของเขาทุกครั้ง

“เจ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ อา เจจ๋า”

เจหันหน้าคนตัวโตให้มาบดริมฝีปากกับเขาก่อนที่ฆาบี้จะตัวไหวเยือกและปลดปล่อยออกมาเต็มผนัง คนตัวโตซบหน้ากับผนัง ตอนนี้เขารออย่างอื่นที่จะล่วงล้ำช่องทางของเขาเหมือนทุกครั้ง แต่เจกลับเปิดน้ำที่แผงฝักบัวเพดานและลูบไล้ชำระคราบสบู่ออกจากตัวเขาแทน ฆาเบียร์หันกลับมาช่วยคนตัวเล็กชำระล้างร่างกายบ้าง เขาไล้มือไปตามแนวสีข้างของเจ

"ไม่ทำจริงๆ เหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามด้วยเสียงเว้าวอน แต่คนใจแข็งส่ายหน้าปฏิเสธ เขาต้องอดใจไว้ก่อน เมื่อกี้ที่จริงเขาแทบอดใจไม่ไหวและเกือบจะถอนนิ้วออกแล้วส่งสิ่งอื่นเข้าช่องทางอันเย้ายวนของฆาเบียร์แทน แต่ก็ต้องข่มใจไว้ก่อน

"ถามแบบนี้ อยากโดนจริงๆ เหรอจ๊ะ เมียจ๋า?"

คนตัวเล็กทำท่าภูมิใจใหญ่โตแถมยักคิ้วให้เขาอีก ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าในชีวิตนี้จะต้องมาร้องขอชายอื่นให้เอาอะไรใส่ก้นของตัวเอง เขารวบร่างเพรียวข้างหน้ามากอดปล้ำอย่างหมั่นไส้ เจร้องลั่นและหัวเราะก๊ากขึ้นเมื่อโดนจั๊กกะจี้ ฆาเบียร์ดึงผ้าเช็ดตัวมาพันร่างของเขาทั้งสองและจัดการแบกคนตัวเล็กไปโยนบนเตียงก่อนจะโถมตัวลงทับ แต่เขาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าการกอดจูบเจ้าตัวร้ายของเขาจนพอใจ



"ฆาบี้ครับ..."

ฆาเบียร์ตอบรับเบาๆ เขาลูบผมที่ยังเปียกชื้นอยู่ของคนรักที่นอนหงายหนุนแขนเขาอยู่

"อีกวันเดียว ทนหน่อยนะ คนดี"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ โอเค วันเดียวก็วันเดียว เขาก็ทนมาตั้งสองวันแล้วก็ยังไหว แถมเจเองก็ยังใจดียอมบริการให้เขาด้วย

"ฉันยังทนไหว เจ ยิ่งถ้าเจทำตัวน่ารักกับฉันแบบนี้ด้วยนะ ไม่มีปัญหา วันเดียวเอง สบายๆ"

แววตาเจ้าเล่ห์ของคนตัวเล็กโผล่แว่บมาให้เขาเห็นอีกแล้ว ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว ทีนี้อะไรอีกล่ะ

"งั้น ผมขอเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อได้ป่าว? นะๆๆ"

เจทำท่าออดอ้อนและทำตาแป๋วใส่เขาอีกแล้ว ปากฆาเบียร์เผลอตกลงไปทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะทำให้เขาลำบากแน่ๆ

"ไหนๆ วันนี้ผมก็เซอร์วิสคุณไปแล้ว วันพรุ่งนี้คุณห้ามแตะต้องตัวผม ห้ามจูบ ห้ามกอด ห้ามลวนลาม โอเคมะ?"

ฆาบี้อ้าปากค้าง แต่ก่อนที่เขาจะเถียงอะไร เจก็จูบปากเขาหนักๆ จนทำให้เขากลืนคำประท้วงนั้นลงไป

"ผมยังไม่ใจร้ายนักหรอกน่า...ผมยังอนุญาตให้จับมือได้อยู่นะ"

"นี่ยังเรียกว่าไม่ใจร้ายอีกเหรอ เจ?"

คนตัวโตโอดครวญ เจจูบปลายคางคนตัวโตแผ่วๆ

“ก็ยังไม่ได้เริ่มคืนนี้ซะหน่อยนี่ เริ่มพรุ่งนี้เช้า…”

ฆาเบียร์ตาลุกวาวและพลิกกายขึ้นคร่อมร่างเพรียวของเจนยุทธที่อ้าแขนรออยู่แล้ว


-------------------------------------------


เจเอ๊ย...

ร้านแซนวิชบาร์นะคะ https://goo.gl/3WxLzM

อีกลิงค์ค่ะ https://www.reviewchiangmai.com/2303-p/

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับแบบดั้งเดิมค่ะ https://goo.gl/C2PPXk

ว่าด้วยข้าวผัดอเมริกัน https://goo.gl/Mu51Vn

เผื่อใครจะอยากมีเครื่องบินส่วนตัวซักลำ https://goo.gl/x48jNy

ตอนนี้ยังคงใส่รูปในเรื่องไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวถ้าเว็บฝากไฟล์ดีแล้วจะรีบเอารูปมาแปะนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2017 04:50:38 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วันที่สาม ----



เจนยุทธตื่นขึ้นมาเพราะถูกหนวดแข็งๆ ของคนตัวโตทิ่มเอาที่ซอกคอ เขารู้สึกได้ว่าฆาเบียร์กำลังกอดจูบลูบไล้ตัวเขาอย่างย่ามใจ เจแกล้งพลิกตัว เขาได้ยินเสียงคนตัวโตอุทานเบาๆ อย่างตกใจและหยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ เจซ่อนยิ้ม เขาแกล้งทำเสียงงึมงำในคอเหมือนคนละเมอและซุกหน้าลงกับหมอนแล้วทำท่าหลับต่อ เมียตัวโตของเขาถอนหายใจและลงมือลวนลามเขาต่อ เอาเถอะ เขาจะปล่อยให้ทำตามใจไปก่อนสักพักเพื่อเป็นการขอบคุณที่เมื่อคืนฆาเบียร์ยังทำตามคำพูดของตัวเอง หลังจากโถมกายใส่เขา ฆาเบียร์ไม่ทำอะไรนอกจากจูบและสัมผัสเขาด้วยมือ ที่จริงด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเขาเมื่อคืนนั้น ถ้าคนตัวโตรุกเร้าหนักอีกนิดเขาก็คงตบะแตกไปแล้วแน่ๆ

"อือ ฆาบี้ คุณทำอะไรน่ะ?"

เจทำเสียงงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าฆาเบียร์ชักจะทำรุ่มร่ามเกินไปแล้ว พ่อม้าของเขาเริ่มเอาส่วนสงวนของตัวเองมาถูไถกับบั้นท้ายของเจ ฆาเบียร์ใจหายวาบ เขารีบกระเถิบออกห่างร่างเพรียวที่นอนหันหลังให้เขา เจพลิกตัวกอดร่างกำยำที่นอนตัวเกร็งอยู่ข้างๆ และซบหน้าไปกับแผงอกกว้าง เขาอยากตื่นเช้ามาโดยมีร่างอุ่นๆ นี้อยู่เคียงข้างทุกวันจริงๆ เตียงที่ปราศจากฆาเบียร์นั้นช่างเย็นเยือกนัก

"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์เรียกชื่อคนรักด้วยน้ำเสียงหวานเชื่อม

"ขอจูบทีได้ไหม?"

เจมองหน้าคนรักตัวโต เมื่อกี้ตอนเขาแกล้งหลับพี่แกก็ทั้งจูบทั้งหอมไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ นี่ยังจะมีหน้ามาขออีกเหรอ?

"ครั้งสุดท้ายของวันนี้นะ โอเค๊?"

เมื่อกล้าขอ เขาก็กล้าให้ ฆาเบียร์ดึงเจให้ขึ้นนอนพังพาบบนตัวเขาและโน้มคอคนตัวเล็กให้ริมฝีปากคู่สวยนั้นประกบกับริมฝีปากร้อนๆ ของเขา เจดูดดึงริมฝีปากเขาอย่างกระหายอยาก มันทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว ลิ้นร้อนๆ ของเจซอกซอนไปในโพรงปากของเขา ลิ้นของฆาเบียร์ก็ตวัดเกี่ยวพันอย่างไม่ยอมแพ้ มือของเขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของคนตัวเล็ก มือของเจก็ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอันอ่อนนุ่มของคนรัก



เจลากลิ้นไล้ที่ริมฝีปากบางของฆาเบียร์ก่อนที่จะถอนริมฝีปากออก เขาไม่เคยเบื่อที่จะจูบปากบางๆ คู่นี้เลย มันดึงดูดเขาเหมือนขนมหวานอันโอชะที่ชวนให้เขาลิ้มลองอย่างไม่รู้จบ เขาซบหน้าลงกับอกกว้าง หากคนตัวโตดันตัวเขาให้ลงนอนข้างๆ ส่วนตัวเองลุกออกจากเตียง

"เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา"

ร่างกำยำนั้นเดินเข้าห้องน้ำไป เจได้ยินเสียงน้ำเปิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่ฆาเบียร์ที่ตัวชื้นเล็กน้อยจะเดินกลับขึ้นมานอนเคียงข้างเขาบนเตียง ตัวของเขาค่อนข้างเย็น เจถอนหายใจ ฆาเบียร์คงไปเปิดน้ำเย็นราดตัวเพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เจนยุทธดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกำยำนั้นและซุกกายเข้ากับร่างของคนรัก เขากอดร่างนั้นไว้เพื่อให้ไออุ่น

"เจ...ไหนว่า..."

"คุณน่ะ นอนนิ่งๆ ไปเถอะ นี่ถือว่าคุณไม่ได้แตะตัวผม แต่ผมไปแตะตัวคุณข้างเดียว โอเคไหม?"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ คนตัวเล็กนี่หัวหมอจริงๆ ตั้งกฎเองก็แหกกฎซะเอง แต่เขาก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้วถ้ามันจะทำให้เขาได้อิงแอบร่างนี้ต่ออีกหน่อย เจดูนาฬิกาเรือนใหม่ที่เขาเห่อจนถอดออกเฉพาะตอนอาบน้ำเท่านั้น เข็มอันเที่ยงตรงของมันชี้ไปที่เก้านาฬิกา ในวันว่างๆ แบบนี้เขาก็อยากจะนอนต่ออีกสักหน่อย เขาทำเป็นหลับไปบนอกของคนตัวโต เขารู้สึกได้ถึงมือและริมฝีปากที่เริ่มรุกรานเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ปล่อยให้คนตัวโตทำตามใจไปจนเขาหลับไปบนแผงอกกว้างแสนอุ่นนั้นจริงๆ



"Mi alma...ตื่นได้แล้ว จะเที่ยงแล้ว"

ฆาเบียร์เขย่าตัวเจเบาๆ เขาพึ่งสะดุ้งตื่นมาเมื่อครู่ตอนคริสโทรมาบอกว่าตอนนี้พวกเขามาถึงสนามบินแล้วและกำลังจะเช็คอิน เจงัวเงียลุกขึ้นนั่งทำตาปรือ ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นจากเตียงและรุนหลังเจเข้าห้องน้ำให้ไปทำธุระอะไรให้เรียบร้อย ส่วนเขาไปใช้ห้องน้ำในห้องนอนเล็ก เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จกลับเข้ามาเจก็ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กอยู่ในเสื้อยืดกับกางเกงบอลเหมือนเดิม

"วันนี้ไม่ออกไปกินข้าวไหนเหรอ เจ?"

"ไม่อ่ะ วันนี้ทำอะไรกินที่บ้านดีกว่า ไว้ค่อยออกไปตอนไปรับอาปาทีเดียวเลย"

ฆาเบียร์นิ่วหน้า อยู่ด้วยกันสองคนทั้งบ่ายโดยห้ามไม่ให้เขานัวเนียเลย เจนยุทธใจร้ายกับเขาจริงๆ เจหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก เขาจับมือใหญ่นั้นขึ้นมาจูบเบาๆ

"อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงเองนะคุณ อดทนหน่อยนะคนดีของผม"

ฆาเบียร์มองลึกเข้าไปในตากลมโตที่เป็นประกายนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ทนก็ทน แต่หลังจากนั้นฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของเจนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจหน้าร้อนวาบเมื่อเห็นแววตาเอาจริงจากดวงตาคู่งามคู่นั้น เขาคงต้องเตรียมตัวช่วยไว้มากๆ สำหรับพรุ่งนี้



เจนึกได้ถึงของที่นพฝากมาให้ฆาเบียร์และเขาได้เอาเก็บไว้ในช่องฟรีซ เขาเปิดตู้เย็นหยิบทับเปอร์แวร์กล่องใหญ่ที่เขาบรรจุของสิ่งนั้นไว้ เขาแบ่งออกมาประมาณสองกำมือและนำมันใส่ลงไปในหม้ออบลมร้อนเป็นเวลาครู่หนึ่งจนมันกรอบดี เขาเอามันวางแผ่ไว้บนตะแกรงพักหนึ่งก่อนนำใส่จาน แล้วนำไปวางไว้ตรงหน้าคนตัวโตที่นั่งอ่านนั่นนี่จากไอแพดอยู่ที่เคาเตอร์กลางห้องครัว คนตัวโตเงยหน้าขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นของโปรดของตัวเอง

"หนอนทอด!"

"รถด่วนเว้ย รถด่วน express train น่ะ, you know? อย่าเรียกหนอนทอดสิคุณ มันฟังไม่น่ากิน"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากกับความหมายของชื่อเจ้าหนอนทอดพวกนี้ เจบ่นพึมพำ เขาหยิบรถด่วนร้อนๆ ใส่ปากสามตัวรวด ฆาเบียร์หยิบขึ้นกินบ้าง

"ว้าว นี่มันยังอุ่นๆ อยู่เลยนี่ เจทำเองเหรอ? ฉันว่ามันอร่อยกว่าที่ได้กินคราวที่แล้วอีกนะ"

เมียตัวโตของเจหยิบหนอนทอดกรอบๆ กินเอาๆ จนเจต้องเบรคไว้

"ผมฝากพี่นพซื้ออ่ะ พี่นพซื้อตรงมาจากคนที่เขาเพาะหนอนขายมั้ง ผมได้มาโลนึง 750 รวมทอดให้เสร็จสรรพ"

เจยกทั้งกล่องมาให้ฆาเบียร์ดู

"แบบนี้ได้เยอะกว่าที่ขายเป็นตลับในตลาด แต่ว่าถ้าไม่รีบกินมันจะเหม็นหืน พี่นพบอกว่าให้เอาใส่ช่องฟรีซจะช่วยยืดอายุมัน ถ้าจะกินทีก็เอามาทอดใหม่หรือใส่พวก air fryer ผมไม่มีเลยใส่หม้ออบลมร้อน มันก็ออกมาใช้ได้ดีนะ...เห้ย เหลือให้ผมมั่ง!!"

เจรีบคว้าจานรถด่วนที่เหลือเพียงน้อยนิดมาไว้กับตัว ฆาเบียร์ดูเหมือนจะเป็นคนกินน้อยก็จริง แต่เวลาเจอของโปรด พี่แกก็ตบะแตกได้ง่ายๆ เหมือนกัน เจบ่นพึมพำพร้อมหยิบรถด่วนที่เหลือใส่ปาก

"เดี๋ยวอุ่นเพิ่มให้อีกหน่อยก็ได้ แต่แค่นั้นพอนะ กินเยอะเดี๋ยวเวียนหัว"



เจอุ่นรถด่วนมาเพิ่มให้อีกหน่อยเพื่อเอาใจคนรักของตัวเอง มันคุ้มค่าที่ได้เห็นเมียตัวโตของเขาตาเป็นประกายเพราะอาหารซึ่งเป็นสิ่งที่นานๆ จะเห็นที  เจนึกถึงความทรงจำวัยเด็กของเขาเกี่ยวกับเจ้ารถด่วนนี่ขึ้นมาได้และเล่าให้ฆาเบียร์ฟัง

"ตอนผมเด็กๆ มีครั้งหนึ่งพ่อไปได้ไอ้พวกหนอนไม้ไผ่หรือไอ้เจ้ารถด่วนพวกนี้มาจากตลาด คนขายลวกมันมาให้แล้วแต่ยังไม่ได้ทอด วันนั้นแม่ไม่อยู่บ้าน พ่อก็เกิดอยากกรึ๊บขึ้นมาแล้วจะกินไอ้เจ้ารถด่วนนี่เป็นกับแกล้ม แต่จะรอแม่กลับบ้านก็คงอีกสักพัก พ่อเลยตัดสินใจจัดการเอง..."

เจหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น พ่อของเขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง พ่อก็เลยเอาน้ำมันใส่กะทะแล้วเอามันลงคั่ว สภาพของรถด่วนของพ่อวันนั้นเหมือนเกี้ยมอี๋ขาวๆ ใสๆ ที่กองเขละๆ อยู่ในกะทะ เมื่อไหร่มันก็ไม่กรอบซักที จนสุดท้ายพ่อจนปัญญาและทิ้งมันไว้ในกะทะทั้งอย่างนั้น เมื่อแม่กลับบ้านมาเห็นก็ถึงขั้นกรี๊ดและสั่งให้ทิ้งกะทะใบนั้นทันที สรุปว่าหลังจากคบหาและแต่งงานกันมาหลายสิบปีพ่อก็เพิ่งรู้ในวันนั้นเองว่าแม่เกลียดหนอนเข้าไส้เลย

ฆาเบียร์ทำท่าขนลุกเมื่อนึกถึงหนอนตัวใสๆ นิ่มๆ แล้วบอกเจว่าถ้าเขาเห็นแบบนั้นเขาก็คงไม่กล้ากินเหมือนกัน

"แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เท่าไหร่เท่ากันนะเจ"

ฆาเบียร์ตัดหน้าเจหยิบรถด่วนสามตัวสุดท้ายเข้าปาก คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้าง นี่สงสัยพี่แกจะชอบมันซะจริงๆ

"ผมไม่ห่อมันกลับไปฮ่องกงให้คุณนะ ไม่รู้ว่ามันเข้าประเทศเขาได้ไหม เดี๋ยวไปโดนกักที่สนามบิน ไม่คุ้มกัน"

ฆาเบียร์พยักหน้าเข้าใจ เขาก็จะรอมากินแค่ที่เชียงใหม่นี่แหละ

"แต่ฆาบี้ อย่ากินเยอะมากนักนะ โอเค๊? ไม่ใช่ว่าแอบย่องมาจิ๊กกินตอนดึกๆ นะ"

"...ขอเตือนไว้ก่อนว่าไอ้เจ้ารถด่วนนี่ 100 กรัม ประมาณ 650 กิโลแคลอรี่นะครับ"

คนกลัวอ้วนชาวาบไปทั้งตัว วันนี้เขากินเข้าไปเท่าไหร่แล้ว?

"เจ...พอหมดถุงนี้แล้ว ห้ามซื้อมาทีละเยอะๆ แบบนี้อีกนะ"

ฆาเบียร์ทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ อาหารพื้นเมืองของไทยทำไมโหดร้ายนัก คราวที่แล้วข้าวเหนียวก็ 30 กรัม 80 กิโลแคลอรี่ แล้วนี่รถด่วน 100 กรัม 650 กิโลแคลอรี่ แล้วทำไมคนตัวเล็กของเขาที่กินหมดไปเสียทุกอย่างถึงไม่อ้วนเลยสักนิด?



"เที่ยงนี้คุณอยากกินอะไรอ่ะ ฆาเบียร์"

"ตามใจเจแล้วกัน ฉันอะไรก็ได้"

ที่จริงตอนนี้ฆาเบียร์เรียกได้ว่ากินอะไรไม่ลงแล้ว ไอ้เจ้าหนอนทอดที่กินไปทั้งจานนี่คงเท่ากับพลังงานที่เขาจะได้รับจากอาหารเที่ยงมื้อหนึ่งแล้ว

เจนั่งเปิดมือถือดูเพจ 'ครัวลุงหนู' และ 'Krua Lungnu' ในเฟซบุ๊คซึ่งเป็นเพจแจกสูตรอาหารไทยของอาจารย์นริทธิ์ สีตะสุวรรณ อาจารย์ประจำภาคชีววิทยาของม. เชียงใหม่ ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับอาหารไทยเรื่อง ระลึก นึก ทำ เจนยุทธพึ่งเพจของอาจารย์ตอนที่นึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร ตอนนี้เขากำลังนั่งน้ำลายยืดดูอาหารอย่างข้าวผัดแหนม น้ำพริกมะดัน แกงเขียวหวานหมูยอดมะพร้าว แกงคั่วผักบุ้ง ข้าวผัดปลาแห้ง และสารพัดน้ำพริกหายากอย่างน้ำพริกลูกหนำเลี้ยบ น้ำพริกมะเกว๋นและอาหารอื่นๆ ในเพจทั้งสอง เขางุ่นง่านลุกไปเปิดตู้เย็นและตู้เก็บวัตถุดิบอื่นๆ แต่ก็หาอะไรมาทำอาหารแบบที่อยากกินไม่ได้สักอย่าง เขาทำหน้าเซ็งแล้วมานั่งไล่ๆ ดูหน้าไทม์ไลน์ของเฟซบุ๊ค แล้วก็ทำตาโต

"ป่ะ ฆาบี้ แต่งตัว เราจะออกไปกินข้าวข้างนอกกัน"

เจลุกพรวดขึ้นดึงแขนฆาเบียร์ซึ่งทำหน้างงๆ คนตัวเล็กเปลี่ยนใจเร็วจริงๆ

"ตกลงว่าไม่ทำอะไรกินแล้วเหรอ? แล้วจะกินอะไรล่ะ เจ?"

"อาหารไทย ผมอยากกินอาหารไทยแท้ๆ อ่ะ เร็วๆๆ หิวๆๆ"

เจเร่งเมียตัวโตของเขายิกๆ เขาเห็นร้านที่เขาสนใจจากหน้าเฟซบุ๊คของเพื่อน ดูจากหน้าตาอาหารแล้วมันน่าจะตอบโจทย์ความอยากของเขาในวันนี้ได้ ฆาเบียร์ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง เจอดรนทนไม่ไหวไปฉุดมือคนตัวโตให้ลุกขึ้น ฆาเบียร์ดึงแขนเบาๆ เจก็เซล้มมาซบในอ้อมอกของฆาเบียร์ที่หัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ เขาพ่นลมหายใจร้อนๆ ใส่ซอกคอของเจ คนตัวเล็กห้ามเขากอด จูบ สัมผัสนั่นนี่ แต่นี่เจเป็นฝ่ายจับมือเขาเอง แถมเขาก็ไม่ได้จูบไม่ได้หอม ไม่ได้แตะตัว แค่พ่นลมหายใจใส่เอง นี่ก็คงไม่นับใช่ไหม เจนยุทธหน้าแดงก่ำ ความร้อนจากลมหายใจของฆาเบียร์ทำให้เขาฟุ้งซ่านไปไหนต่อไหน คนตัวโตนี่ช่างทำอะไรตามใจตัวเองจริงๆ เขาขืนตัวออกแล้วลากฆาเบียร์ลุกและเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจนได้



เจขับรถตามจีพีเอสไปยังร้าน "ครัวอาจารย์สายหยุด" แถบโชตนา เขาจอดรถในซอยหน้าร้านและก้มมองที่มือซ้ายของตัวเองอย่างจนปัญญา

“ฆาบี้ ปล่อยได้แล้ว”

เมียตัวโตของเขานั่งกุมมือเขามาตลอดทาง พอว่าพี่แกก็อ้างหน้าตาเฉยว่าก็เจอนุญาตให้จับมือได้ก็เลยใช้สิทธิ์เต็มที่ คนที่เป็นคนออกปากอนุญาตเองนั้นถึงขั้นพูดไม่ออก เจดับเครื่องรถและสะบัดมือแรงๆ จนคนตัวโตยอมปล่อย พวกเขาลงรถเข้าไปในตัวร้านที่เป็นห้องกระจกติดแอร์ เจสังเกตเห็นว่ามีห้องกระจกแบบนี้กระจายอยู่ในพื้นที่ร้านสองสามห้องแสดงว่าปกติคนต้องเยอะเอาการอยู่ ตอนเขาเข้าไปก็มีอยู่หลายโต๊ะพอสมควรแล้ว

พวกเขาโชคดีที่มีโต๊ะว่างในห้องหลักพอดีจึงได้ที่นั่ง พอลงนั่งพนักงานก็เอาเหยือกน้ำมาตั้งให้บริการตนเองก่อนแล้วจึงยกเมนูมาให้ เมนูของที่นี่ทำอย่างสวยงามเหมือนเป็นหนังสือเกี่ยวกับอาหารเล่มหนึ่งซึ่งพิมพ์สีทั้งเล่ม แต่ละหน้าบรรยายเกี่ยวกับอาหารไทยแต่ละประเภทและเมนูอาหารในหมวดหมู่นั้น เจบอกฆาเบียร์ว่าวันนี้เขาก็ขอยึดอำนาจในการสั่งอาหารซึ่งคนตัวโตก็ไม่ขัดและปล่อยให้เจนยุทธสั่งตามใจ เจเขียนสั่งอาหารลงในกระดาษที่เด็กเสิร์ฟให้มา

"อย่าสั่งเยอะแล้วกันนะ เจ"

"อือ...ไม่เยอะๆ"

นี่คือคำตอบรับของคนที่สุดท้ายสั่งมา 7 อย่าง

"ร้านนี้เขาไม่ติดราคาอาหารเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์กระซิบถามเจเมื่อไม่เห็นราคาอาหารในเมนู

"ผมเพิ่งอ่านเจอจากเฟซของเพื่อนผม​ว่าร้านนี้เขาทำอาหารตามปริมาณคนที่มากินน่ะ ฉะนั้นราคาจะแตกต่างกันไปตามปริมาณคน เดี๋ยวตอนคิดเงินก็รู้"

แต่ในใจเจเองก็อยากให้เขาติดราคาให้ชัดไปเหมือนกัน อย่างน้อยบอกขั้นต่ำสำหรับ 1 หรือ 2 คนก็ยังดี แต่เท่าที่ได้ยินมาราคาก็ไม่ได้แรงมากจนเกินไป เขาก็คิดว่าน่าจะโอเค อีกอย่างที่เขาได้ยินมามากเกี่ยวกับร้านนี้คือเรื่องบริการ ที่ได้ยินมาคือเด็กร้านนี้ไม่ค่อยอยู่ประจำในห้องและมักจะตามไม่เจอเวลาต้องการอะไร และไหนจะเรื่องที่ว่าอาหารช้า ต้องให้ตามและไม่ค่อยบอกเวลาของหมด ซึ่งเขาก็ทำใจเผื่อไว้แล้ว แต่ในวันนี้อาหารมาเร็วกว่าที่เขาคิดมาก หลังสั่งไปไม่นานอาหารจานแรกคือแกงคั่วหอยขมใบชะพลูก็มา ฆาเบียร์ตักๆ ดูอย่างตื่นเต้น เขาไม่เคยกินหอยชนิดนี้มาก่อน แกงถ้วยนี้มาในถ้วยไม่ใหญ่นักแต่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหอยขมซึ่งก็น่าจะจริงอย่างที่เจได้ยินมา คืออาหารที่นี่มาตามจำนวนคนกินจริงๆ

เจนยุทธตักแกงคั่วขึ้นชิม มันติดหวานไปหน่อยสำหรับคนเหนืออย่างเขาแต่ก็ตามด้วยรสเผ็ดและความจัดจ้านของเครื่องเทศ น้ำแกงติดจะใสไปนิดแต่รสชาติก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วสำหรับจังหวัดเชียงใหม่ที่หาอาหารไทยแท้ๆ กินได้ยาก ส่วนเนื้อหอยขมหนึบๆ นั้นถูกใจเขาเป็นอย่างมาก เจชิมไปหนึ่งคำแล้วก็หยุดเพื่อรอข้าวซึ่งยังไม่มาสักที ปัญหาหนึ่งของร้านอาหารหลายๆ ร้านคือมักยกข้าวมาให้ช้ากว่าอาหารมาก สำหรับร้านนี้เจต้องรอพักใหญ่กว่าข้าวจะมา ยังดีที่ระหว่างนั้นมีของกินเล่นที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ

"สวยมากเลย เจ!"

ฆาเบียร์ชมของว่างไทยอย่างช่อม่วงและปั้นขลิบปลาที่เสิร์ฟมาอย่างละ 6 คำ เขาเคยกินพวกของว่างไทยคำเล็กๆ พวกนี้ในการเดินทางมากรุงเทพฯ ครั้งก่อนๆ ที่หนึี่งที่เขาชอบมากคือที่ห้องอาหารเบญจรงค์ โรงแรมดุสิตธานี แต่ฆาเบียร์ก็ไม่นึกว่าจะหาของพวกนี้กินได้ที่เชียงใหม่เหมือนกัน เขาคิดว่าของว่างไทยพวกนี้เป็นเหมือนงานศิลป์คำน้อยๆ บนจาน มันดูน่ารักไปหมด เจจิ้มช่อม่วงขึ้นกินหลังปล่อยให้คนตัวโตถ่ายรูปไปหลายแชะ

"อืมม์ รสชาติโอเคนะ แต่ผมว่าแป้งมันยังหนาและแข็งไปหน่อย คงเพราะอยากให้ปั้นออกมาสวยมั้ง"

เจบอกว่าเขาเคยกินที่อร่อยกว่านี้ ไม่แน่ใจว่าของร้าน "หวานละมุน" หรือเปล่า แต่นี่ก็ถือว่าโอเคแล้ว ส่วนปั้นขลิบปลาเขายังไม่ค่อยว้าวเท่าไหร่

"แต่นั่นก็เพราะผมเคยกินที่สุดยอดมาแล้ว ก็เลยคิดว่าคงหากินที่ไหนเหมือนไม่ได้อีก"

ฆาเบียร์ถามว่าของร้านไหน หากเจตอบว่าสุดยอดปั้นขลิบปลาที่เขาเคยกินเป็นของโฮมเม้ด มันมาจากบ้านของผู้หลักผู้ใหญ่ในเชียงใหม่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณย่าของนพ ท่านมักให้เด็กที่บ้านทำฝากมาให้ครอบครัวของนพ และนพก็เอามาแบ่งเขาอีกต่อหนึ่ง แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่ท่านนั้นไม่อยู่แล้วเขาก็เลยไม่ได้มีโอกาสได้กินปั้นขลิบปลานั้นอีก

"มันเป็นอาหารอีกหนึ่งอย่างที่จะยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปนะ"



ข้าวสวยและอาหารจานอื่นๆ เริ่มทยอยมาจนครบ เจนยุทธตักข้าวใส่จานให้ฆาเบียร์ เขาสั่งข้าวไป 2 จาน แต่ที่ได้มาคือ 1 โถเหมือนกับจะรู้ว่าทั้งคู่ต้องเติมข้าวแน่ๆ อย่างแรกที่เจตักนอกจากแกงคั่วหอยขมคือน้ำพริกไข่ปูที่มีผักมาให้เต็มจาน เนื้อน้ำพริกที่นี่เป็นสีส้มและเนียนเหมือนตำเอาไข่ปูใส่ลงไปในนั้นเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีเนื้อปูในนั้นด้วย

"อืมม์ อร่อยเนาะ คุณว่าไง?"

ฆาเบียร์พยักหน้า มันไม่เผ็ดจัดจนเกินไป แต่ก็ไม่จืด รสชาติปรุงมาครบรสดี แต่มันมีกลิ่นอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบแต่ก็บอกไม่ได้ว่ากลิ่นอะไร เขาตักมันกินพร้อมกับผักสดที่มีมาให้มากมาย มีทั้งแตงกวา มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ฟักทองและกะหล่ำต้ม

"นี่อะไรน่ะ เจ?"

ฆาเบียร์ชี้ไปที่อะไรสักอย่างที่หน้าตาเหมือนพวกถั่วแต่มีแผงยาวๆ ยื่นออกมา

"ถั่วพู เอ่อ winged bean น่ะ ส่วนนี่ลูกชาโยเต้ Chayote ลวก คุณน่าจะรู้จักอยู่แล้ว ส่วนแผ่นๆ ขาวๆ นี่คือขมิ้นขาว หรือ White Turmeric"

เจชี้ไปที่ผักแนมและแนะนำให้เขารู้จักทีละอย่าง ฆาเบียร์ยกสมุดขึ้นมาจดตามเคย นอกจากผักสดและผักลวกก็ยังมีผักทอดอีกด้วย นอกจากมะเขือและชะอมชุบไข่ทอดที่เคยกินตามปกติแล้ว ที่ร้านนี้ยังมีผักอื่นอีกด้วย

"นี่ดอกโสนชุบแป้งทอด โหย หากินยากนะเนี่ย ไม่นึกว่าจะได้เจอ"

เจบอกเขาว่าเขาไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร เจนยุทธบิดอกโสนทอดที่มีให้แค่แพเดียวแบ่งให้ฆาเบียร์

"อร่อยนะ มันมีรสเฉพาะตัวของมัน นอกจากทอดแล้วเอาไปทำอะไรกินได้อีกน่ะเจ?"

"อืมม์ ผมก็เคยกินแต่ที่เขาเอามาผัดอ่ะนะ แต่เคยได้ยินว่าเอาไปแกงหรือยำก็ได้ แล้วมันก็ยังมีขนมที่เรียกว่าขนมดอกโสน ก็คงทำจากดอกไม้ชนิดนี้แหละ"

เจบอกว่าของพวกนั้นคงหากินได้ในภาคกลางมากกว่า ฆาเบียร์ชูใบไม้ชุบแป้งทอดที่มีมาให้หนึ่งใบให้เจดู

"นี่ใบอะไรน่ะเจ?"

เจรับมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูแล้วก็จนปัญญา เขาถามเด็กเสิร์ฟที่เดินผ่านมาว่านี่คือใบอะไร

"ใบทองหลางค่ะ"

เจทำตาปริบๆ ดูไอ้เจ้าใบไม้ที่เขาเคยได้ยินแค่ชื่อ เขาจับมันหักครึ่งแบ่งให้ฆาเบียร์ และค่อยๆ เล็มชิมส่วนของตัวเอง

"แปลกดีเนาะ ผมเพิ่งเคยกินใบนี้เป็นครั้งแรก"

เจว่าใบมันหนาๆ มันๆ ดี แต่ก็ไม่ได้ให้รสอะไรมากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีที่ได้กินของแปลก



"แล้วไอ้ก้อนๆ นี่คืออะไรน่ะ? ไข่คว่ำเหรอ?"

ฆาเบียร์ชี้ไปที่จานใส่อาหารประเภททอด หน้าตาของมันดูเหมือนทอดมันก้อนใหญ่ ไม่แปลกที่ฆาเบียร์จะนึกว่าเป็นไข่คว่ำที่ชุบไข่ทอดเหมือนกัน

"คุณเคยกินห่อหมกไหม ฆาเบียร์ ที่เป็นเหมือนคัสตาร์ดที่ใส่เนื้อสัตว์และพริกแกงแล้วเอาใส่ในกระทงใบตองแล้วนึ่งน่ะ"

เจอธิบายถึงอาหารไทยคลาสสิคอย่างห่อหมก ฆาเบียร์นึกภาพตามแล้วก็นึกได้ว่าเขาเคยกินแล้ว

"นั่นแหละ ไอ้นี่คือห่อหมกทอด"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์รีบตัดชิมทันที รสชาติมันคือห่อหมกจริงๆ เพียงแต่ถูกจับเอามาชุบไข่ทอด

"เออ แปลกดี แต่ฉันชอบนะ ไม่ต้องมาคอยแงะมันออกจากกระทง แล้วก็ยังได้รสชาติของห่อหมกครบอีกด้วย"

เจนยุทธเห็นด้วย ในนั้นมีเนื้อปลาและพวกผักที่ควรอยู่ในห่อหมกหั่นฝอยใส่มาให้อยู่แล้ว ฆาเบียร์หันไปตักอาหารประเภทยำอีกอย่างขึ้นชิม มันเป็นยำผักใบเขียวชนิดหนึ่งซึ่งยำใส่หมูสับ หอมแดง มะเขือเทศ มะเขือเปราะและถั่วลิสง


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2017 21:58:51 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- วันที่สาม (ต่อ) ----



"หือ นี่ใบอะไรน่ะเจ ขมติดลิ้นเหมือนกันนะ"

"ผักเซียงดาน่ะ เป็นผักพื้นเมืองของเชียงใหม่น่ะ แต่ผมไม่เคยกินที่เอามายำแบบนี้เหมือนกัน เคยกินแต่ที่เอาไปแกง"

เจอธิบายว่าวิธียำแบบนี้น่าจะคล้ายกับยำถั่วพูแค่ว่าไม่ใส่มะพร้าวขูดและน้ำพริกเผา รสชาติของมันออกหวาน เปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อย เจบอกฆาเบียร์ให้ระวังพริกที่ซอยใส่มาในยำด้วย

"ฉันเจอไปแล้วล่ะ เจ แต่มันไม่ค่อยเผ็ดเท่าไหร่นะ ยังไหวอยู่"

พอเริ่มชินกับรสขมน้อยๆ ของผักเซียงดา ฆาเบียร์ก็ตักยำจานนั้นกินอย่างถูกใจ เขากินหมดกระทั่งมะเขือเปราะและมะเขือเทศ เจอมยิ้ม เมียตัวโตของเขานี่เป็นตัวกินผักจริงๆ นอกจากยำแล้วฆาเบียร์ยังกวาดผักที่มากับน้ำพริกไปจนเกลี้ยง ยกเว้นแต่ถั่วฝักยาวกับถั่วพูดิบที่เขากินไปเพียงนิดหน่อยให้รู้รสเท่านั้น

เจนยุทธตักกุ้งตัวโตในอาหารจานสุดท้ายให้ฆาเบียร์

"กุ้งทอดซอสมะขาม น้ำมันออกหวานไปหน่อยสำหรับผม แต่กุ้งดีมากเลยนะ ฆาบี้"

ฆาเบียร์ตัดกุ้งตัวโตที่ชุบแป้งเล็กน้อยแล้วทอดมาอย่างดีขึ้นชิม เขาตักน้ำราดที่มีกลิ่นรสของน้ำมะขามเปียกชัดเจนราดเพิ่มอีกนิดหน่อย

"กุ้งดีจริงๆ ด้วยเจ ว้าว น้ำราดนี่ก็รสดีนะ"

เจบอกว่าเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นกุ้งแชบ๊วย ไม่น่าใช่กุ้งขาว เขาตักกุ้งมากินอีกตัว สำหรับ 2 คนนั้นได้กุ้งมา 4 ตัว เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจานนี้จะออกมาราคาเท่าไหร่ ทั้งสองคนใช้เวลาละเลียดอาหารมื้อนี้อย่างเต็มที่ เจนยุทธยกน้ำแกงคั่วหอยขมช้อนสุดท้ายขึ้นซดอย่างสมใจ ตอนแรกเขายังคิดว่าข้าวหนึ่งโถที่ให้มานั้นเยอะไป แต่มันก็แทบไม่พอกับกับข้าวที่ให้มาด้วยซ้ำ กระทั่งฆาเบียร์เองยังกินข้าวไปตั้งสองสามทัพพี ตอนนี้เขาอิ่มจนแทบจุกแล้ว คนตัวโตที่นั่งข้างๆ เขานั้นก็ทำหน้าเหมือนจะตายแล้วเช่นกัน



"ขนมไหม ฆาบี้?"

เจถามขึ้น ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ มองเจ

"ยังกินไหวอีกเหรอ เจ?"

"น่า...There's always room for dessert มีที่เหลือพอยัดขนมได้เสมอแหละครับ คุณฆาบี้"

เจเรียกพนักงานมาถามว่าวันนี้มีขนมขึ้นชื่ออย่างมันเชื่อมที่แกะสลักอย่างสวยงามเป็นรูปดอกไม้หรือไม่ แต่น่าเสียดายว่าวันนี้อาจารย์สายหยุดไม่ได้แกะมันไว้ เจเลยสั่งทับทิมกรอบมาแทน แต่เขาก็ต้องผิดหวังเล็กๆ

"โอ๊ย เสียดายอ่ะ"

"ทำไมเหรอเจ?"

"น้ำกะทิอร่อยเลยแหละ ใส่ขนุนแบบที่ผมชอบด้วย มะพร้าวอ่อนก็เริ่ด แต่ตัวทับทิมไม่อร่อยง่ะ"

เจบ่นกะปอดกะแปดใหญ่ ฆาเบียร์ชิมขนมชิ้นสีแดงที่เจเรียกว่าทับทิมแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเจถึงบ่น เขาเหมือนจะเคยกินขนมแบบนี้ที่กรุงเทพเหมือนกัน

"แป้งมันหนาไปใช่ไหม?"

"ใช่ แป้งหนาไปหน่อย แล้วชิ้นมันไม่เท่ากัน บางชิ้นที่ใหญ่หน่อยแป้งมันยังไม่ค่อยสุก"

เจยังบ่นเสียดายต่อ แต่ก็เลิกบ่นเมื่อถึงเวลาคิดเงิน

"เฮ้ย ทำไมมันถูกงี้ล่ะเนี่ย?"

บรรดาอาหารทั้งหมดทั้งมวลที่เขาสั่งมารวมทั้งขนม 2 ถ้วยนั้นสนนราคาออกมาเพียงแค่ 880 บาท

"ผมอ่านในเน็ต มีคนบอกว่าราคาแรง แล้วนี่มันแรงตรงไหนสำหรับอาหารไทยที่ทำอย่างประณีตแบบนี้? ทีพิซซ่าถาดตั้งหลายร้อยมีแค่แป้งโยนๆ หน้าลงไปแล้วก็โปะชีสก็ยังกินกันได้ ทีอาหารไทยราคาแค่นี้ก็ยังบ่นกัน"

เจนยุทธบ่นๆๆ และควักบัตรจ่ายไปอย่างไม่เกี่ยงงอน เขามาไล่ๆ ดูราคาอาหาร

"นี่ๆ ช่อม่วงกับปั้นขลิบปลาอย่างละ 60 บาทเองนะ"

ทั้งสองอย่างมาอย่างละ 6 ชิ้นโตๆ น้ำพริกไข่ปูกับแกงคั่วหอยขมนั้นราคาเท่ากันคือที่ละ 130 บาท ส่วนที่ราคาสูงหน่อยคือยำผักเซียงดา 145 บาทและห่อหมกทอด 150 บาท ข้าวสวยหนึ่งโถนั้นอยู่ที่ 45 บาท ที่ถูกจนเจเลิกบ่นคือทับทิมกรอบถ้วยละ 30 บาท ส่วนกุ้งซอสมะขาม 4  ตัวเบ้งนั้น ราคาที่เขียนมาคือ 100 บาท ส่วนน้ำนั้น ฟรี


] (ftp://image.goosiam.com/imgupload/upload43/i1RbXLWd3XuO.jpg[/img)


"ฆาบี้...ผมว่าเค้าคิดค่ากุ้งเราผิดแน่ๆ เลย"

"นั่นสิ เจ กุ้งตัวใหญ่ขนาดนั้น มันจะตัวละ 25 บาทไปได้ยังไง"

"ถ้าไม่คิดผิด ก็เขียนราคาสลับกับห่อหมกทอดแหงๆ"

เจและฆาเบียร์คุยกันเรื่องราคาอาหารระหว่างขับรถกลับไปยังคอนโด เจบอกว่าอย่างกุ้งพริกเกลือที่ร้านเหมยเจียงยังหารออกมาตกตัวละ 55 บาทเลย เขาฟันธงว่าคิดผิดแน่นอน

"งั้นเราคงต้องกลับไปซ้ำกันอีกซักรอบเนาะ จะได้รู้ว่ามันผิดแน่หรือเปล่า"

เจนยุทธบอกฆาบี้ว่าเขาหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าคราวหน้าที่ไปเขาจะลองกินอีกหลายอย่างที่ไม่เคยกินมาก่อนเช่นแกงรัญจวน ขนมจีบไทย แพนงปลากราย และที่ร้านยังมีน้ำยาปูที่มีแต่คนว่าอร่อย ไหนจะหรุ่มอีก แล้วไหนจะ...

"เจ...น้ำลายไหลแล้ว"

ฆาเบียร์แซวคนรักที่ทำหน้าเคลิ้มนึกถึงอาหาร เจยกมือขึ้นเช็ดปากแต่ก็ไม่เห็นมีน้ำลายอย่างที่คนตัวโตแซว ฆาเบียร์หัวเราะท่าทางน่าเอ็นดูของคนตัวเล็กของเขา เขายกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้แค่สองโมงกว่า เขากะว่าคริสน่าจะมาถึงราวๆ หกโมง เขาถามเจว่าจะเข้าบ้านหรือว่าจะอยู่ข้างนอกรอ

"งั้นไปเดินริมปิงกันดีกว่า เผื่อจะซื้อนั่นนี่เตรียมไว้งานวันสิ้นปี"

คนตัวเล็กออกความเห็น ฆาเบียร์ซึ่งถูกเจบังคับให้ขับรถเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งจับมือเขาอีกก็ขับรถไปที่ริมปิงซุเปอร์มาร์เก็ตสาขานิ่มซิตี้เดลี่ เขาจอดรถที่ลานจอดและเดินจับมือคนรักเข้าไปด้านใน



"หนักอ่ะ ฆาบี้"

เจนยุทธซึ่งเข็นรถเข็นอยู่บ่นคนตัวโตที่เดินเอาแขนพาดบ่าเขาตลอดทาง

"นี่เห็นผมเป็นที่วางแขนรึไง เห็นว่าสูงกว่าแล้วข่มเหรอ?"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาชอบเห็นเจตอนมันบ่นเป็นหมีกินผึ้งแบบนี้จริงๆ เขาว่ามันน่ารักดี ที่จริงเขาก็ชอบทุกอย่างที่เจนยุทธทำนั่นแหละ เว้นแต่ตอนที่คนตัวเล็กโกรธหรือร้องไห้ ฆาเบียร์ใจสั่นเมื่อนึกถึงตอนที่เจร้องไห้อยู่ในอ้อมอกเขาเมื่อสามคืนที่แล้ว เขาสัญญากับตัวเองอยู่ในใจว่าจะไม่มีวันทำให้เจต้องเสียใจแบบนั้นอีกเป็นอันขาด

"ฆาบี้ เจ็บ"

คนที่ถูกแขนล่ำสันโอบไหล่ประท้วงขึ้นมาเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ลืมตัวรัดไหล่บางนั้นแน่น คนตัวโตรีบคลายมือออก

"คุณเป็นอะไร ดูเหม่อๆ พิกล?"

เจจับมือฆาเบียร์แล้วถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ฆาบี้ถอนหายใจและเสชวนคุยไปเรื่องอื่น

"แล้วนี่เราจะมาซื้ออะไรมั่ง เจ?"

"อืมม์ อะโวคาโด้ เอาไปทำ Guacamole แล้วก็ tortilla chips กับพวกขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม อ้อ แล้วก็ไวน์ที่จะเอาไปทำซังเกรียด้วย พวกผลไม้นี่เราซื้อไปเลยก็ได้ แช่ตู้เย็นไว้สองสามวันคงไม่เป็นไรมั้ง"

เจหยิบๆ ของตามที่ว่าไว้ ฆาเบียร์ก็หยิบเครื่องดื่มตามที่เขาอยากดื่มไปด้วย เขาเลือกไวน์จากแคว้น Rioja ของสเปนแต่เลือกที่ราคาย่อมเยาหน่อยมา 6 ขวดเพื่อทำซังเกรีย เขาไม่แน่ใจว่าคนเยอะขนาดไหน เอาไปเผื่อหน่อยดีกว่า เจบอกเขาว่าไม่ต้องเอาโซดาไป เพราะเดี๋ยวพี่จืดจะสั่งให้ร้านน้ำแข็งเ.,อามาให้ที่บ้านในวันงานพร้อมกับน้ำแข็งอยู่แล้ว

"ที่บ้านมี cayenne pepper หรือเปล่า เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เขาจะใส่มันในกัวคาโมเล่ เจบอกว่าไม่มี ฆาเบียร์ก็หยิบมันมาจากชั้น ที่ริมปิงนี้ีมีสารพัดเครื่องเทศให้เลือกจริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มี Achiote ที่ใช้ในการทำสตูว์แบบปูเอร์โตริโก้ เขายังไปซื้อพวกผลไม้สำหรับทำซังเกรียมาอีกเยอะแยะ เจเดินไปหยิบน้ำตาลทรายแดงกับผงอบเชยมาใส่ในตะกร้า

"เจจะเอาไปทำอะไรน่ะ?"

"ผมว่าจะทำสัปปะรดย่างแบบบราซิลด้วย วันนั้นไปค้นเจอสูตรในเน็ต ดูน่าสนใจดี"

ฆาเบียร์บอกว่าน่าอร่อย เจบอกฆาเบียร์ว่าเขาแทบรอให้ถึงวันงานไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ฉลองปีใหม่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักจริงๆ

"แล้วทุกทีเจฉลองปีใหม่ยังไง?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย ปีใหม่ของเขาหลังจากเสียพ่อแม่ไป ถ้าไม่ใช่ฉลองที่งานปาร์ตี้สุดหรูของบริษัท ก็ใช้เวลาไปกับการกกกอดใครสักคนบนเตียงจนเลยวันสิ้นปีไปโดยไม่รู้ตัว

"ผมฉลองปีใหม่ทุกปีกับที่บ้าน ไม่ก็เมาปลิ้นอยู่ที่ห้องกับปรินซ์แล้วก็ซันซันน่ะ"

"ไม่เคยนอนกอดสาวคนไหนข้ามปีเลยเหรอ เจ?"

เจนยุทธส่ายหน้า ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม

"งั้นฉันจะเป็นคนแรกที่เจจะนอนกอดจนขึ้นปีใหม่เลยสินะ"

"No way!..."

เจปฏิเสธทันควัน ฆาเบียร์หน้าเสียไปนิดหนึ่ง

"คนเต็มบ้านแบบนั้น ผมจะไปนอนกอดคุณได้ไง ฆาเบียร์ ยืนกอดน่ะพอได้อยู่หรอก หรือ...เอ่อ หรือ..."

เจหน้าแดงก่ำก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

"หรือจูบกันข้ามปีน่ะก็พอได้อยู่"

ฆาเบียร์มองแก้มแดงๆ ของเจที่ยืนบิดไปบิดมาด้วยความเขินอย่างชุ่มชื่นหัวใจ เขาอดไม่ได้ต้องก้มหน้าไปหอมแก้มแดงๆ นั้นฟอดใหญ่ เจสะดุ้งเฮือก ฆาเบียร์ใจหายวาบ ตายล่ะ เขาลืมตัวไปว่าเขายังติดโทษแบนจากคนตัวเล็กอยู่ เจนยุทธซัดคนตัวโตเข้าผั่วะหนึ่งที่ต้นแขนและก้มหน้าเข็นรถเดินเพื่อไปที่เคาเตอร์คิดเงิน ฆาเบียร์รีบเดินตามไปจนทันที่ล็อคขายน้ำผลไม้

"เจจ๋า โกรธฉันเหรอ ขอโทษที ฉันลืมตัวไป"

เจนยุทธยังคงก้มหน้านิ่งอยู่ เขาจะให้เมียตัวโตเห็นไม่ได้ว่าตัวเขานั้นอมยิ้มแก้มจะแตกอยู่แล้วไม่งั้นจะเสียการปกครองหมด

"ผมไม่ได้โกรธหรอก ฆาเบียร์ คุณลืมๆ มันไปซะเถอะ"

เจตอบด้วยเสียงนิ่งๆ

"โธ่ เจ เจพูดแบบนี้แล้วฉันจะสบายใจอยู่ได้ยังไง"

เสียงของฆาเบียร์ร้อนรนจนเจนยุทธแทบใจอ่อน

"งั้นผมจะให้คุณไถ่โทษ..."

ฆาเบียร์กลั้นใจรอฟัง หวังว่าเจจะไม่บอกว่างดมีเซ็กส์ต่ออีกสามวันนะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงต้องขาดใจตายแน่ๆ

"คืนนี้คุณต้องนวดให้ผม โอเคไหม?"

ฆาบี้ตอบรับด้วยความลิงโลด นวดก็คือการได้สัมผัสกายคนรัก การลงโทษที่เหมือนของขวัญแบบนี้เขาพร้อมน้อมรับอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เจซ่อนยิ้ม เขาทำโทษคนตัวโตมาหลายวันแล้วคืนนี้เขาจะให้รางวัลสักหน่อย และไม่แน่ ถ้าฆาเบียร์ทำตัวดี เขาอาจจะยกเลิกโทษตั้งแต่เที่ยงคืนโดยไม่รอเช้าเลยก็ได้

ฆาเบียร์ยื่นมือมาเกาะกุมมือคนตัวเล็กของเขาและพาเดินไปที่เคาเตอร์คิดเงิน เขาแทบรอให้ถึงตอนกลางคืนไม่ไหวแล้ว


---------------------------------------------


สองคนนี้ช่างว่างและชิลกันจริงๆ

วิธีทอดรถด่วน https://goo.gl/PPp3Rs

ว่าด้วยดอกโสน https://goo.gl/76pP5z

ร้านครัวอาจารย์สายหยุด https://goo.gl/RqBfVT

เพจ “ครัวลุงหนู” https://goo.gl/JQEPDQ

เพจ “Krua Lungnu” https://goo.gl/Zgm81M



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2017 00:56:17 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ผู้มาเยือน ----




“ไง เมลิน่า เครื่องลงแล้ว? โอเค…อา ฮะ…ได้ เดี๋ยวฉันกับเจจะไปรอที่หน้าประตูทางออกนะ โอเค เจอกัน”

“เครื่องลงแล้ว เราไปรอเลยก็ได้”

ฆาเบียร์ตัดสายการสนทนาและหันมาบอกเจที่นั่งเล่นเกมในมือถืออยู่อย่างเมามัน เจกดปิดเกมและยก Peppermint mocha ของโปรดประจำฤดูกาลของเขาขึ้นดื่มจนหมด พวกเขามานั่งรอกันที่สตาร์บัคส์สาขาห้างเซ็นทรัลแอร์พอร์ทพลาซ่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามบินนัก เจและฆาบี้เดินลงมาที่ลานจอดรถน้อยๆ หน้าสตาร์บัคส์ โชคดีที่มีที่จอดตรงนี้พอดี เจขับรถออกจากห้างแต่ก็ต้องเจอกับรถติดเป็นแพ

“โอย ทำไมรถติดงี้เนี่ย”

เจบ่นพึมพำ แล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่พีคที่สุดช่วงหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เชาชี้ให้ฆาเบียร์ดูป้ายทะเบียนรถ

“มีแต่รถต่างจังหวัดทั้งนั้น คุณดูนะ ถ้าแถวล่างสุดยาวๆ คือรถจากกรุงเทพฯ ไม่ก็พวกรถเช่า”

ฆาเบียร์กวาดตาดูรถที่จอดใกล้ๆ หรือขับผ่านพวกเขา มีตัวหนังสือยาวๆ เต็มไปหมด

“ช่วงนี้ปริมาณรถในจังหวัดเชียงใหม่จะเพิ่มขึ้นมากเลย การจราจรจะแย่มาก เกิดอุบัติเหตุบ่อยด้วย งั้นตั้งแต่วันนี้ไปผมขอเป็นคนขับเองนะ คุณไม่ต้องขับแล้ว”

เจบอกฆาเบียร์ว่าปกติถ้าช่วงเทศกาลแบบนี้ เขาจะสะสมเสบียงและอยู่แต่ในห้องคอนโดช่วงกลางวันและออกเที่ยวตอนกลางคืน ไม่ก็ไปอยู่ยาวที่บ้านไร่ของจืดจนกว่าจะพ้นเทศกาล

“เอ จริงๆ ตอนฉันมาเจจะทำเหมือนเดิมก็ได้นะ ฉันไม่ขัด พรุ่งนี้เราอยู่แต่บนเตียงกันทั้งวันไม่ต้องออกไปไหนก็ได้นี่”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมส่งสายตาเชิญชวนมาให้เจนยุทธ เจทำหูทวนลมไม่สนใจที่ฆาเบียร์พูด แต่ใจเขาเต้นระรัว ถ้าคนตัวโตทำตามที่พูดเขาต้องแย่แน่ๆ


รถของเจค่อยๆ เดินทางไปอย่างช้าๆ กว่าจะถึงสนามบิน มันใช้เวลาถึงเกือบ 15 นาทีจากที่ปกติใช้เพียง 5 นาที แต่โชคดีที่พวกเขาได้ที่จอดในลานใกล้กับอาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศของสนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาเข้าไปนั่งรอไม่นานนักคนทั้งสามก็เดินออกประตูมา เจนยุทธรีบลุกขึ้นยกมือไหว้คริส คริสดึงตัวลูกรักคนใหม่ของเขาไปกอดแน่นและหันไปทักทายลูกชายบุญธรรมของเขาที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ เจหันไปทักทายเมลิน่าและริคกี้ เขาทำท่าจะช่วยริคกี้ยกกระเป๋าออกจากรถเข็นแต่เลขาฯ หนุ่มรีบห้ามไว้ แม้เจจะให้ความสนิทสนมกับเขา มันก็ไม่เหมาะอยู่ดีเพราะถึงอย่างไรเจก็อยู่ในสถานะคนรักของเจ้านาย

“อาปาพักที่ไหนครับคราวนี้ โฟร์ซีซันส์เหมือนทุกทีหรือเปล่า?

ฆาเบียร์ถาม เขามองหาพนักงานที่มาคอยรับแขกของเครือโรงแรมที่คริสมาพักเป็นประจำเวลาเดินมาเชียงใหม่ หรือประเทศไทย

“พักที่เดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้อองรีเขาให้ยืมเรซิเดนซ์ที่เขาซื้อไว้ จะได้มีห้องพอให้สองคนนี้ด้วย”

อองรีที่คริสกล่าวถึงคืออองรี ริเชลิเยอ ประธานเครือโรงแรมใหญ่ยักษ์ชาวฝรั่งเศสผู้เป็นพ่อของฌอง ถึงเขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมที่คริสมาพักแต่ก็ไม่พลาดในการซื้อเรซิเดนซ์หรูของโรงแรมเครือคู่แข่งแห่งนี้ไว้เมื่อมันเปิดขายในปี 2010

“แล้วอาปามีคนมารับหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มี เดี๋ยวผมขับไปส่งเอง”

“มีแล้วล่ะ อองรีเขามีรถพร้อมคนขับให้ด้วย นั่นไง มาแล้ว”

หนุ่มไทยท่าทางคล่องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคริสและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เขาแนะนำตัวกับเจและฆาเบียร์ว่าเขาชื่อแจ็ค เป็นพนักงานโรงแรมในเครือของอองรีในเชียงใหม่ที่ถูกส่งมาขับรถให้คริสจนกระทั่งวันกลับ เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้วชายหนุ่มก็ขอตัวไปเอารถ สักพักรถเบนซ์เอสคลาสสีดำมันปลาบก็มาจอดเทียบ


“เมลิน่า ริคกี้ พวกเธอกับกระเป๋าไปกับแจ็คนะ เดี๋ยวฉันจะนั่งรถไปกับเจและฆาบี้”

เลขาฯ ทั้งสองมีท่าทางลำบากใจ ทั้งคู่ขอคริสให้นั่งไปด้วยกัน เจเองก็ขอร้องด้วยเพราะเขาคิดว่าต่อให้รถของเขาเป็นบีเอ็มแต่มันก็เป็นตัวครอสโอเวอร์แบบถูกเกือบที่สุดของบีเอ็ม ไม่มีทางนั่งสบายเท่ารถซีดานรุ่นหรูเกือบที่สุดของเบนซ์ได้ มีเพียงฆาเบียร์ที่ยืนเงียบๆ ใช้สายตาคมวาวของเขาจ้องเลขาฯ ทั้งสองกับอาปาของเขา

ทั้งริคกี้และเมลิน่าจนปัญญาต้องขึ้นนั่งบนรถหรูนั้นเพราะรปภ.เริ่มเดินมาไล่รถที่จอดแช่หน้าประตู เจนยุทธและฆาเบียร์เดินนำคริสไปที่น้องอัซซูรี่ของเจ ฆาเบียร์ขยับจะเปิดประตูหน้าฝั่งข้างคนขับ

“ไม่ ฆาบี้ ให้อาปานั่งหน้าดีกว่า เบาะหน้ารถคันนี้นั่งสบายกว่าเบาะหลัง”

คริสหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นลูกชายทำหน้าจ๋อยแต่ก็ยอมเดินไปนั่งเบาะหลังโดยดี เมื่ออยู่กับเจนยุทธลูกของเขาแสดงอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายแบบที่เขาไม่เคยเห็นฆาเบียร์แสดงออกกับคนอื่น แม้กระทั่งกับเขาและพ่อแม่ ฆาเบียร์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าแต่ก่อน

“ขอบใจนะ เจ”

คริสพูดลอยๆ ขึ้นมาพร้อมหันไปยิ้มให้เจนยุทธซึ่งทำหน้างงๆ

“ไม่เป็นไรครับ อาปา มารับแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

เจเข้าใจว่าคริสขอบใจตนเพราะเรื่องที่มารับ หากฆาเบียร์ผู้อยู่กับคริสมาทั้งชีวิตเข้าใจความหมายแฝงของพ่อบุญธรรมดี เขายิ้มให้คริสที่หันมายิ้มให้เขา

“ฉันก็ต้องขอบใจเจด้วยเหมือนกันนะ”

‘ที่รักกัน และเลือกมาเดินบนเส้นทางนี้กับฉัน’

เจนยุทธงง สองพ่อลูกนี่จะมาขอบอกขอบใจเขาทำไมกัน มารับแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาซะอีกที่เกรงใจว่าคริสควรจะได้นั่งเบนซ์สบายๆ แต่กลับอยากจะมานั่งรถเขาเสียอย่างนั้น

“อ๊ะ!…”

เจนยุทธอุทานเมื่อนึกได้ว่าที่หลังรถเขายังมีพวกของสดที่ซื้อมาจากซุเปอร์ฯ ก่อนหน้านี้

“อาปาครับ ผมขอแวะห้องเอาของไปเก็บแป๊บนึงนะครับ ไม่นาน”


เจจอดรถที่ลานจอดของคอนโด โชคดีที่มันอยู่ในเส้นทางไปโรงแรมจึงไม่ต้องเสียเวลามากนัก

“ฆาบี้ คุณอยู่กับอาปาที่รถนะ เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บแป๊บเดียว”

เจหันไปบอกฆาเบียร์

“ไม่เป็นไรหรอก เจ ขึ้นห้องกันไปหมดนี่แหละ ของเยอะ เดี๋ยวให้ฆาบี้ช่วยขนด้วย”

คริสตอบมายิ้มๆ

“อีกอย่าง อาปาจะได้ขึ้นไปดูห้องเจด้วย”

เจนยุทธอึ้งไป ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนลูกสะใภ้ที่พ่อแม่สามีมาขอดูบ้าน ในหัวเขาคิดแต่ว่ามีอะไรตรงไหนรกหรือสกปรกบ้าง

“เอ่อ อาปาเดินทางมาเหนื่อยๆ กลับไปพักผ่อนให้สบายก่อนดีกว่าครับ พรุ่งนี้ผมค่อยพามา”

ฆาเบียร์เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง ถ้าคริสจะขึ้นไปดูห้องจริง เขาคงต้องพุ่งร่างไปเคลียร์สารพัดของใช้บนเตียงที่เขากองไว้ที่โต๊ะข้างหัวนอนก่อน เจที่ขัดคริสไม่ได้เดินนำผู้อาวุโสเข้าลิฟท์ขึ้นไปที่ห้อง เมื่อเข้าห้องเจพาคริสไปนั่งรอที่โซฟา ก่อนหน้านั้นเขาแอบกวาดสายตาเช็คดูก่อนว่าเขาและฆาเบียร์ไม่ได้ทิ้ง "ร่องรอย" อะไรไว้จากวันก่อนๆ นี่พวกเขาคงต้องเพลาๆ การ "ใช้พื้นที่" ส่วนอื่นนอกเหนือจากห้องนอนและห้องน้ำลงบ้างแล้วเผื่อจะมีแขกมาโดยไม่ได้นัดหมายแบบวันนี้


"ฆาบี้ คุณรินน้ำเย็นๆ ให้อาปาซักแก้วสิ เดี๋ยวผมจะเอาของเข้าตู้เย็นก่อน"

ฆาเบียร์ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินไปหยิบแก้วและที่รองแก้วออกมา เขาเปิดตู้เย็นและรินน้ำเย็นๆ จากขวด เจเก็บไวน์ใส่ตู้แช่ไวน์ ฆาเบียร์วางแก้วน้ำไว้บนเคาเตอร์ครัวก่อนแล้วมาเก็บพวกผลไม้เข้าตู้เย็น เจหันมาเห็น เขาขมวดคิ้วแล้วลุกมาไล่ฆาบี้ให้เอาน้ำไปเสิร์ฟให้คริส ส่วนตัวเองมาเก็บของแทน คริสนั่งอมยิ้มดูลูกของเขาและคนรัก ทั้งคู่ดูเหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน

คริสกวาดสายตาสำรวจห้องของเจ ห้องนี้ขนาดไม่เล็กนัก เมื่อเข้าประตูห้องมาก็จะเจอครัวอยู่ทางขวาและพื้นที่นั่งเล่นและรับแขกอยู่ทางซ้ายมือ เจนยุทธทำห้องครัวของเขาอย่างพิถีพิถัน เขาลงเงินไปมากกับชุดบิลด์อินครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าในนั้น ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ของที่ติดมากับห้องเป็นแน่แท้ แต่ส่วนที่เจได้ใช้มากที่สุดคือเคาเตอร์บาร์ลอยตัวหรือแบบที่เรียกว่า Island ขนาดใหญ่กลางครัวอันเป็นที่นั่งกินข้าว ทำงาน และอื่นๆ ของเจและฆาเบียร์ ใกล้ๆ กันนั้นเป็นโต๊ะกินข้าวไม้ขนาดสี่ที่นั่งซึ่งสามารถขยายได้เป็น 6 ที่ยามที่มีแขกมา

ในส่วนรับแขกของห้องนั้น เจหาซื้อโซฟาแบบที่เรียกว่าเลิฟซีทผ้าสีเทาควันบุหรี่ที่นุ่มนั่งสบายสำหรับสองคนนั่งมาไว้ พร้อมกับอาร์มแชร์ที่ใช้วัสดุเดียวกันแต่เป็นสีครีมอีก 2 ตัว เขามีโต๊ะกาแฟเตี้ยๆ ทำจากไม้เก่าวางตรงกลาง เจแต่งห้องเขาด้วยโทนสีออกเทาหลายๆ เฉดตัดกับสีครีมและสีน้ำตาลของไม้ซึ่งทำให้ห้องดูหรูหรา


"ห้องสวยดีนะ เจ แต่งเองเหรอ?"

"ครับ อาปา แต่ผมก็ได้ไอเดียจากพี่ๆ เพื่อนๆ บ้าง ดูจากหนังสือแต่งบ้านบ้าง ผมเลือกคอนโดนี้เพราะมันมาเป็นห้องเปล่าทำให้ผมแต่งมันได้เต็มที่"

เจหมดค่าตกแต่งไปมากโขอยู่แต่ก็นับว่าคุ้มมากเพราะเขาได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการเท่าที่งบจะอำนวย ฆาเบียร์มองคนรักของตัวเองอย่างทึ่ง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจเป็นคนตกแต่งห้องเอง

"ฉันนึกว่านายจ้างคนออกแบบซะอีก"

"ก็มีตัวช่วยบ้าง ตอนไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์กับแต่งห้องน้ำเขาก็มีคนคอยช่วยออกแบบให้ แค่ผมก็บอกว่าอยากให้อะไรไว้ตรงไหนแล้วทางร้านเขาก็ปรับแก้ให้ ส่วนพวกของตกแต่งก็ค่อยๆ เก็บเอา"

เจนยุทธใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่ทุกอย่างจะลงตัว ของบางอย่างเขาก็ได้มาจากตลาดของมือสอง บางอย่างก็ได้มาจากตอนไปเที่ยวต่างประเทศหรือลงกรุงเทพฯ แต่มันก็คุ้มค่ากับการรอ

"ขอฉันเดินดูรอบๆ หน่อยได้ไหม?"

คริสลุกจากโซฟา ฆาเบียร์พยักเพยิดกับเจว่าเขาจะขอไปเคลียร์ห้องนอนก่อน เจเดินมาพาคริสไปดูครัว จากนั้นก็ห้องนอนเล็กที่เขาเปลี่ยนเป็นยิมน้อยๆ กับห้องทำงานที่ไม่ค่อยได้ใช้ เขาชวนคริสคุยนั่นนี่จนฆาบี้เดินกลับมาหาเขาจึงพาคริสไปดูห้องนอน เจยิ้มเมื่อเห็นว่าฆาเบียร์จัดการห้องอย่างเรียบร้อย เขาจัดการเอาผ้าห่มคลุมเตียงไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อซ่อนร่องรอยทั้งหลาย ส่วนอุปกรณ์เสริมหรือตัวช่วยทั้งหลายที่กองระเกะระกะไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ฆาเบียร์ก็ไปหากล่องมาแล้วกวาดทั้งหมดลงใส่กล่องแล้วซุกไว้ใต้เตียง เสื้อผ้าที่โยนไว้อย่างไม่ใส่ใจในตอนเช้าฆาเบียร์ก็จัดการเก็บลงตะกร้าผ้าไว้เรียบร้อย


เจพาคริสมาดูห้องน้ำใหญ่และโชว์ของที่เขาภูมิใจคือแผงเรนชาวเวอร์ขนาดใหญ่ที่ติดบนเพดาน เขาลงเงินกับมันไปเยอะและมันก็คุ้มทุกสตางค์

"ผมเคยเห็นแบบนี้ตอนไปพักโรงแรมซักที่ ผมจำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน ผมเลยถอดอ่างอาบน้ำของห้องนี้ออกแล้วติดเรนชาวเวอร์แบบนี้แทน"

"จริงๆ มันมีไฟ LED ส่องลงมาด้วยนะครับ แต่ผมรำคาญเลยปิดไว้"

"ผมเองก็ถูกใจแผงอาบน้ำแบบนี้เหมือนกันครับ อาปา คิดเหมือนกันว่าจะหาไปติดในห้องน้ำผมที่บ้านอาปาด้วย..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ ว่าเจบอกเขาว่ามันมีแบบที่มี jet stream พ่นออกจากผนังด้วย แต่มันแพงกว่ามากและเดินพวกระบบท่อยากกว่าเขาเลยไม่เอา

"...ผมชอบตรงมันเข้าอาบด้วยกันสองคนสบายๆ เลย โอ๊ย!"

ข้อศอกแหลมๆ ของคนตัวเล็กที่ยืนหน้าแดงซ่านอยู่ข้างๆ กระทุ้งปั้กเข้าที่ชายโครงของคนตัวโตที่หลุดปากพูดเรื่องส่วนตัวออกมาต่อหน้าอาปา คริสยิ้มๆ และมองดูนั่นนี่ในห้องน้ำที่เจตกแต่งด้วยวัสดุอุปกรณ์ชั้นดี ทันใดนั้นสายตาเขากระทบเข้ากับของบางอย่างที่ดูแปลกตา

"ตายห่าน!"

เจอุทานออกมาเบาๆ เป็นภาษาไทยอย่างลืมตัวเมื่อมองตามสายตาคริส บนชั้นวางอุปกรณ์บนซิงค์น้ำมีของเล่นรูปร่างประหลาดที่เมลิน่าให้มาวางเด่นอยู่ พวกเขาใช้มันตั้งแต่คืนวันคริสต์มาสจากนั้นเอามาทำความสะอาดแล้วดันลืมไว้ในห้องน้ำเสียอย่างนั้น ฆาเบียร์มองตามสายตาเจแล้วก็ต้องหน้าร้อนวาบ

"เอ่อ อาปาครับ ผม เอ่อ..."

คริสหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของคนหนุ่มไฟแรงสูงทั้งสอง

"ไหน พาอาปาไปดูระเบียงหน่อยซิ"

คริสเดินนำทั้งสองที่หน้าแดงก่ำออกจากห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงบางอย่างดังจากด้านหลัง พร้อมเสียงโอดโอยของฆาเบียร์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกชายของเขาคงโดนคนรักทำโทษเข้าให้แล้ว


"อาปาหิวหรือยังครับ? หรือว่าเพลียอยากพักหรือเปล่า? ผมจะได้พาไปส่งที่โรงแรม"

เจนยุทธถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว

"...ริคกี้กับเมลิน่าคงถึงห้องนานแล้วด้วย ผมกลัวสองคนจะเป็นห่วงอาปา"

"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาปาจะโทรไปบอกสองคนนั่นไว้ก่อนแล้วกันว่าจะอยู่กินข้าวกับพวกลูก โอเคไหม?"

เจนยุทธบอกว่าไม่มีปัญหา ฆาเบียร์ก็ไม่ขัด คริสใช้โทรศัพท์ของฆาบี้โทรหาเมลิน่า

"...อืมม์ คงสักพักใหญ่ พวกเธอตามสบายกันเลยนะ ไปนั่งกินข้าวที่โรงแรมหรือว่าสั่งรูมเซอร์วิสก็ได้ ลงบิลฉันไว้เลย โอเค เดี๋ยวเจอกัน"


หลังจากปรึกษากันครู่หนึ่ง ฆาเบียร์และเจก็พาคริสไปยังร้านอาหารไทยเก่าแก่คู่ถนนนิมมานเหมินท์อย่างร้าน "ห้องแถว" ซึ่งอยู่เยื้องโรงแรม U Nimman เขาจอดรถด้านหลังร้านซึ่งเป็นซอยในหมู่บ้านและพาทั้งสองเดินเข้าทางหลังร้าน ด้านในตกแต่งเหมือนบ้านเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยนาฬิกาติดผนังโบราณ

"เจ ร้านอาหารไทยสมัยก่อนชอบนาฬิกาเหรอ? ที่ร้านแซนวิชบาร์ก็มีนาฬิกากุ๊กกูเต็มผนัง"

ฆาเบียร์ถามขึ้นอย่างสงสัย เจตอบว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันแล้วก็ไม่เคยสังเกตด้วย ฆาบี้ก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจ เจดึงเก้าอี้ให้คริสนั่งลงโดยมีเขาและฆาเบียร์นั่งขนาบสองมุมโต๊ะ

"อาปากินอาหารไทยได้แน่นะครับ ผมกลัวว่ามันจะรสจัดเกิน"

เจถามย้ำอีกครั้ง ก่อนมาเขาถามคริสว่าอยากกินอะไรซึ่งคริสก็ตอบว่าอาหารไทยก็ได้ ไม่มีปัญหา

"ได้ เจ ไม่ต้องห่วง อาปากินได้ ตอนอยู่ที่บ้านอาปาก็ไปกินอาหารไทยบ่อยอยู่แล้ว"

ที่แคลิฟอร์เนียนั้นอาหารเอเชี่ยนโดยเฉพาะอาหารไทย เกาหลี ญี่ปุ่น จีนและเวียดนามนั้นหากินได้ง่ายไม่ต่างจากอาหารตะวันตกเลย ฉะนั้นทั้งคริสและฆาเบียร์จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับอาหารเอเชียอื่นนอกเหนือจากอาหารจีนเป็นอย่างดี ยิ่งช่วงหลังมานี้ คริสยิ่งกินอาหารไทยบ่อยขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นจะได้ผูกพันกับประเทศและวัฒนธรรมนี้

"งั้นเดี๋ยวผมสั่งที่เผ็ดกลางๆ หรือเผ็ดน้อยหน่อยมาก็แล้วกันนะครับ"

เจก็ยังอดห่วงไม่ได้ เขาสั่งอาหารมาหลายอย่างรวมทั้งของโปรดของตัวเองอย่างน้ำพริกไข่เค็ม ฆาเบียร์มองหน้าคนตัวเล็กที่สั่งอาหารไปยิ้มไป เจคงมีความสุข เขาบ่นอยากกินอาหารไทยมาตั้งแต่เช้า ก็ได้กินมันทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น ฆาเบียร์ดูๆ เมนูภาษาอังกฤษของที่ร้านแล้วก็ปล่อยให้เจรับหน้าที่สั่งไป

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ผู้มาเยือน (ต่อ) ----



ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ เจเน้นสั่งอาหารที่เผ็ดไม่มากนัก มีทั้งของกินเล่นอย่างข้าวตังหน้าตั้ง อาหารที่เป็นเครื่องจิ้มอย่างหลนปลาสลิดกับน้ำพริกไข่เค็ม มียำอย่างยำปลาดุกฟูและเนื้อคำหวาน ประเภทผัด เจสั่งสายบัวผัดไข่และซาโยเต้ผัดน้ำมันหอยให้ฆาเบียร์ และตบท้ายด้วยแกงคั่วสัปปะรดใส่กุ้ง

เจสอนทั้งคู่กินข้าวตังหน้าตั้ง แต่เขาเองก็บ่นว่าน้ำข้าวตังวันนี้หวานมาก ถึงรสชาติจะโอเค แถมตัวข้าวตังยังทอดมาใหม่ๆ แต่ด้วยความที่น้ำมันหวานมากทำให้เลี่ยนไปสักหน่อย จากนั้นก็ถึงเวลากินข้าว คริสกับฆาเบียร์ชอบการเสิร์ฟข้าวของที่นี่ที่นำใบตองมารองข้าวและยังทำเช่นกันกับอาหารหลายๆ อย่าง เจนยุทธอธิบายอาหารแต่ละอย่างให้ทั้งคู่ฟัง

"นี่น้ำพริกไข่เค็ม ของโปรดของผม ทุกครั้งที่ผมมากินร้านนี้ผมก็จะต้องสั่งมัน..."

เขาบอกคริสว่าพวกน้ำพริกของไทยเป็นเหมือนพวก dip ของอาหารฝรั่งที่กินคู่กับผักสด เพียงแต่ในอาหารไทยมันกินเป็นกับข้าวชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นอาหารว่าง ในจานมีผักหลายชนิดมาให้เลือกจิ้ม ทั้งแตงกวา ถั่วฝักยาว ยอดผักบุ้งไทย มะเขือเปราะ สายบัว ขมิ้นขาว ผักกาดดอง และมีปลาวงทอดมาด้วย เจตัดแตงกวาซึ่งน่าจะเป็นของกินง่ายที่สุดแล้วตักน้ำพริกวางบนนั้นแล้วส่งให้คริสชิม คริสชมน้ำพริกรสชาติง่ายๆ นั้น

"ผมไม่รู้ว่ามันใส่อะไรมั่ง แต่ดูจากสีแล้ว น่าจะมีแค่พริก กระเทียม น้ำปลา มะนาวแล้วก็ไข่แดงเค็ม แต่ผมเคยลองทำเองที่บ้านมันก็ออกมาไม่เหมือน"

"ส่วนนี่ หลนปลาสลิด นี่ก็เป็นเครื่องจิ้มของไทยอีกอย่างหนึ่งครับ..."

เจแนะนำเครื่องจิ้มที่มาพร้อมผักสดคล้ายๆ กับในชุดน้ำพริกไข่เค็ม

"ผมไม่แน่ใจว่าตัวหลนเป็นหลนกะทิเฉยๆ หรือใส่ปลาด้วย แต่ว่าข้างบนที่โรยมานี่เป็นปลาสลิด เอ่อ ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งของไทย เอาไปตากแดดและทอดจนกรอบจากนั้นก็เอามาป่นแล้วโรยครับ"

คริสกับฆาเบียร์ตักหลนชิม รสชาติมันคล้ายน้ำของข้าวตังหน้าตั้งอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หวานและข้นเท่าและไม่ได้มีรสชาติของถั่วลิสงเหมือนน้ำข้าวตัง ฆาเบียร์ตักหลนกินแค่สองสามคำก็พอ วันนี้มีอาหารที่เป็นกะทิถึง 3 อย่าง เขาคงกินแค่อย่างละหน่อยพอ

"จานนี้เป็นซาโยเต้ผัดน้ำมันหอยครับ"

จานนี้ไม่ได้เด่นอะไรมาก รสชาติก็เป็นแบบผัดผักทั่วไป เจชี้ไปอีกจานที่ดูเขละๆ และสีตุ่นๆ ดูไม่น่ากิน

"นี่คือสายบัวผัดไข่ครับ สายบัวคือส่วนก้านของดอกบัวที่ลอกเอาผิวแข็งๆ ออกแล้ว..."

"ฉันไม่คิดว่าเคยกินอาหารที่ทำจากสายบัวมาก่อนนะ ถ้ารากบัวน่ะเคยกิน"

คริสบอกเจ เจบอกว่าเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีชาติไหนอีกบ้างที่กินสายบัว แต่เท่าที่รู้เหมือนจะมีเวียดนามอีกชาติที่ใช้สายบัวทำอาหาร คนที่ไม่เคยกินสายบัวทั้งสองคนยกช้อนตักมันมากิน รสสัมผัสของมันค่อนข้างแปลก แต่ตัวมันไม่ได้มีรสชาติอะไรมาก

"มันก็คือไอ้เจ้านี่แหละครับ"

เจยกสายบัวดิบที่อยู่ในจานผักของน้ำพริกไข่เค็มขึ้นมาให้ดู

"อาหารไทยเราใช้ทั้งสายบัว รากบัวที่ก็ใช้ในอาหารจีนเช่นกัน แล้วก็ไหลบัวซึ่งก็เป็นส่วนก้าน แต่เป็นก้านที่อยู่ในช่วงขยายพันธุ์ ตัวมันจะเป็นก้านแหลมๆ ที่แทงลงดินไปขยายพันธุ์ หน้าตาจะคล้ายๆ รากบัวผสมสายบัวครับ"

เจบอกว่าเขาชอบรสชาติกรุบๆ ของไหลบัว แต่แถวนี้หากินยาก ตัวเขาเองเคยกินแค่ครั้งหรือสองครั้งเอง เจหันไปจะตักน้ำพริกไข่เค็มแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเหลือแต่ถ้วยเปล่าๆ จานผักก็เหลือแต่ถั่วฝักยาวกับมะเขือเปราะ เขาทำตาปริบๆ มองคนตัวโตที่เพิ่งเอาขมิ้นขาวชิ้นสุดท้ายที่ใช้กวาดน้ำพริกจนเกลี้ยงเข้าปากไป ฆาเบียร์ยิ้มแหยๆ ให้กับทั้งอาปาและเจ เขาฟังเจเพลินและเผลอตัวกินน้ำพริกไข่เค็มถ้วยน้อยนั้นจนหมดไม่รู้ตัว

"ชอบเหรอ?"

เจนยุทธถามเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ เจได้แต่หัวเราะ เขาเรียกพนักงานมาสั่งน้ำพริกไข่เค็มเพิ่มอีกถ้วย

"ถ้วยนี้ห้ามแย่งแล้วนะ ให้ผมกับอาปากินบ้าง"

"ไม่เป็นไรหรอกเจ ให้ฆาบี้กินไปเถอะ รายนี้ทั้งกินยากแล้วก็กินน้อย เห็นเขากินได้แบบนี้อาปาก็ดีใจแล้ว"

คริสตอบอย่างอารมณ์ดี นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นแก้วตาดวงใจของเขากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้

"อาหารจะอร่อยที่สุดเมื่อมีคนนั่งกินด้วยกันใช่ไหม ฆาบี้?"

คริสยิ้มกว้างและยกคำพูดติดปากของคาตาลิน่าขึ้นมา ฆาเบียร์ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มอันเปี่ยมสุขกลับไปให้อาปาของเขา ส่วนเจนยุทธที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วยนั่งหน้าแดง เขาจำได้ว่านั่นเป็นคำพูดจากครั้งแรกที่เขากับฆาบี้ลงนั่งกินข้าวต้มหมูที่เขาทำให้ด้วยกันในช่วงแรกที่ฆาเบียร์มาอยู่กับเขา

"เอ้า ฆาบี้ กินนี่ซะ"

เจตักปลาดุกฟูที่มาเป็นแพให้ฆาเบียร์โดยไม่ลืมตักผักกาดแก้วใบใหญ่ไปให้พ่อคนชอบผักด้วย เขาตักน้ำยำที่ใส่มะม่วงดิบสับราดลงไปให้ด้วย เขาตักให้คริสด้วยเช่นกัน ฆาเบียร์ตักขึ้นชิม เขาขมวดคิ้ว มันเป็นรสชาติที่เขาไม่คิดว่าเคยกินมาก่อน

"นี่อะไรน่ะ เจ? รสชาติมันเหมือนเนื้อสัตว์ แต่หน้าตามันไม่ใช่"

"มันคือปลา ฆาบี้ ปลาดุก เป็นตระกูลเดียวกับแคทฟิชของบ้านคุณ..."

"อ้าว แล้วมันออกมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง?"

คนตัวโตเกาหัวด้วยความงุนงง

"ผมก็ไม่เคยทำนะ แต่ที่ได้ยินมา เขาเอาเนื้อปลาดุกที่ย่างจนสุกแล้วมาลอกหนังออกแล้วยีๆ ให้ฟูๆ หน่อย แล้วเอาลงทอดในน้ำมันท่วมๆ และร้อนจัด มันก็จะแผ่เป็นแพ พอมันลอยก็กลับมันจากนั้นพับทบๆ"

"...จากที่ฟังมา หน้าตาแบบของร้านนี้คือแบบที่ไม่ได้ผสมแป้งอะไรมาก แต่ของสมัยนี้ที่ทำขายกันมันจะฟู๊ฟู เพราะว่าเขาใส่เกล็ดขนมปังลงไปตำรวมกับเนื้อปลาด้วยแล้วค่อยเอาทอด"

คริสดูถูกอกถูกใจกับยำปลาดุกฟูมาก เขากินอย่างเอร็ดอร่อย เช่นเดียวกับฆาเบียร์ที่ดูจะติดใจผักสลัดราดน้ำยำรสชาติเปรี้ยวอมหวาน แต่เจที่ไม่ค่อยกินอาหารหวานๆ ก็ยังบ่นกะปอดกะแปดว่าวันนี้น้ำยำหวานกว่าปกติ

"ส่วนนี่แกงคั่วสัปปะรดกับกุ้ง"

เจชี้ไปที่แกงชามโตที่มีสัปปะรดชิ้นเล็กๆ และกุ้งตัวไม่ใหญ่นักหกเจ็ดตัวซึ่งพร่องไปประมาณครึ่งถ้วยแล้ว

"เอ๊ะ ชื่อมันคล้ายๆ ที่เรากินเมื่อกลางวันเลยนะ เจ ที่ใส่หอยแปลกๆ นั่นน่ะ"

ฆาเบียร์พูดถึงแกงคั่วหอยขมใบชะพลูที่เขากินที่ครัวอาจารย์สายหยุดเมื่อตอนเที่ยง

"ใช่ มันเป็นแกงแบบเดียวกัน คือใช้น้ำพริกแบบเดียวกัน แต่ผมก็ว่ามันไม่เหมือนกันเนาะ"

เจบอกว่าเขาคิดว่ารสชาติมันเหมือนอาหารไทยอีกประเภทคือแกงเผ็ดเป็ดย่างมากกว่า แต่อาจจะเป็นเพราะมันใส่สัปปะรดก็เลยไม่เหมือนกัน ฆาเบียร์ยักไหล่ ไม่เหมือนแต่ก็อร่อยดีเหมือนกัน เจและคริสมองคนตัวโตที่ตักนั่นกินนี่แล้วหันมายิ้มให้กัน

"อยู่กับเจนี่สงสัยลูกของอาปาจะน้ำหนักขึ้นแล้วมั้ง?"

มือของคนตัวโตที่กำลังจะเอื้อมไปตักน้ำพริกไข่เค็มถ้วยใหม่ที่พึ่งลงที่โต๊ะชะงักไปชั่วครู่แต่ก็ตักต่อจนได้

"ไม่เป็นไรครับอาปา เดี๋ยวผมค่อยออกกำลังกายเอาทีหลัง"

ฆาเบียร์เน้นคำว่าออกกำลังกาย แต่เขาส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้คนตัวเล็กที่นั่งตรงข้าม เจหน้าร้อนผ่าวเมื่อเขารู้สึกถึงปลายเท้าของคนขายาวที่ไล้ขึ้นตามขาของเขา คริสที่ตามสองคนนี้ไม่ทันก็เออออไปกับลูกชายด้วย

]
(ftp://image.goosiam.com/imgupload/upload43/F6HdeUKKeki0.jpg[/img)


"เห้อ อร่อย"

เจจิ้มเนื้อคำหวานคำสุดท้ายเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข ถึงเนื้อจะเหนียวไปนิดแต่รสชาติของน้ำก็กลมกล่อมดี แต่เขาอยากให้มันเผ็ดและเปรี้ยวกว่านี้อีกนิดหนึ่ง

"อาหารอร่อยจริงๆ เจ ขอบใจนะที่พาอาปามากินร้านนี้"

เจยิ้มหน้าบาน เขาดีใจที่อาปาชอบร้านนี้ สาเหตุหนึ่งที่เขาเลือกร้านนี้เป็นร้าน "รับแขก" ที่มาจากต่างประเทศก็เพราะรสของมันไม่จัดจ้านจนเกินไป สำหรับคนไทยแล้วร้านนี้อาจจะรสอ่อนไปหน่อย แต่ถ้าใช้รับแขกแล้วถือว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ร้านที่มีแต่ต้มยำ ผัดไทยหรืออะไรเทือกนั้น

"ผมก็ว่าใช้ได้เลยครับ อาปา วันนี้ผมกินอาหารไทยมาสองมื้อแล้ว แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรที่ซ้ำกันเลย"

ฆาเบียร์เสริมขึ้น

"อืมม์ จากมื้อนี้ฉันก็เห็นแล้วเหมือนกันว่าอาหารไทยนั้นหลากหลายและไม่ได้มีแค่ของที่คนต่างชาติอย่างเรานิยมกัน"

คริสบอกว่าอาหารที่เขากินในวันนี้เขาไม่เคยกินเลยที่ร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ อาจจะมีแค่ผักผัดน้ำมันหอยที่คุ้นปากเขาเพราะมันก็คืออาหารจีน

"ไว้เจพาฉันไปกินอีกหลายๆ ที่เลยนะ"

"เดี๋ยวตอนงานวันสิ้นปี อาปาก็จะได้ชิมอาหารพื้นเมืองของเชียงใหม่ครับ ไม่ต้องห่วง"

เจพูดยิ้มๆ แต่เขาไม่แน่ใจว่าคริสจะกินลาบเมืองไหวหรือเปล่า เจเรียกคิดเงิน คริสล้วงบัตร Amex Centurion ของเขาออกมาแต่ถูกเจตัดหน้าดึงบิลจากพนักงานไปก่อน

"เจ ไม่ได้นะ มื้อนี้อาปาขอเป็นคนจ่าย"

"ไม่ได้ครับ อาปา ผมขอเถอะ ผมกับฆาเบียร์คุยกันไว้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายอะไรที่เกี่ยวกับฆาเบียร์ในไทย ผมจะเป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด มื้อนี้ฆาบี้ก็กินด้วย กินเยอะอีกต่างหาก ผมก็ต้องเป็นคนจ่าย"

เจนยุทธพูดตีขลุมเอาง่ายๆ แบบนี้หน้าตาเฉย คริสจนปัญญาต้องหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากฆาเบียร์

"ปล่อยเจจ่ายเถอะครับ อาปา ไม่งั้นเขางอนขึ้นมาผมจะลำบากอีก"

เจส่งสายตาดุๆ ให้คนตัวโตที่เบือนหน้าหนีทำไม่รู้ไม่ชี้ เจรีบหยิบเงินส่งให้พนักงาน​และบอกว่าไม่ต้องทอน

"งั้นพรุ่งนี้อาปาขอเป็นคนเลี้ยงข้าวลูกนะ ห้ามปฏิเสธ เดี๋ยวอาปาจะเลือกร้านเองแล้วจะบอกไปอีกทีนะ"

คริสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เจตอบตกลงและชวนฆาเบียร์กับคริสลุกออกจากร้าน


"อาปาครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?"

เจที่ขับรถไปตามถนนเลียบคลองชลประทานถามขึ้น เขาบอกว่าที่สนามบินเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดสังเกต

"คือ...ผมรู้สึกว่าระหว่างเมลิน่ากับริคกี้มันมีความมึนตึงอะไรบางอย่างอ่ะครับ ผมอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ แต่ผมรู้สึกแปลกๆ"

ปกติสองคนนั้นจะค่อนข้างสนิทกันพอสมควรเพราะต้องทำงานด้วยกันตลอด ระหว่างทำงานทั้งคู่เป็นมืออาชีพ เมลิน่าซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกเลขาฯ ของสาขาเอเชีย แปซิฟิคก็ทำหน้าที่ได้ไม่มีที่ติ ส่วนริคกี้แม้ว่าจะเพิ่งมาเริ่มทำงานร่วมกันกับเมลิน่ากับฆาเบียร์ในช่วงเตรียมเปิดสาขาที่ฮ่องกงเมื่อประมาณปีเศษๆ ที่ผ่านมา แต่ก็ได้เคยร่วมงานกันมาบ้างตอนที่ยังอยู่บริษัทของคริสที่ฮ่องกง เขาเองก็ทำงานสอดคล้องกับเมลิน่าได้เป็นอย่างดี ถึงจะโดนเมลิน่าดุเรื่องความซื่อบื้อในบางด้านไปบ้าง

นอกเวลางาน ทั้งคู่ยิ่งสนิทกันด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้าและยังไม่มีพันธะทั้งคู่ แต่มันเป็นความสัมพันธ์แบบพี่สาวน้องชาย ริคกี้มักเดินตามต้อยๆ และเรียกเมลิน่าว่าเจ่เจ๊ะ ซึ่งเจ้าตัวก็จะโวยกลับทุกครั้งแล้วบอกว่าหล่อนไม่ใช่คนจีน​ หลังเลิกงาน พวกเขาสองคนเหมือนเด็กไม่รู้จักโตที่เล่นหัวเฮฮา ไปไหนไปกัน เมลิน่ามักรับบทเป็นพี่ใหญ่ที่ชอบแกล้งน้องชาย ส่วนริคกี้ก็ยอมให้มาโดยตลอด ทุกคนในบริษัทเป็นอันรู้กันว่าสองคนนี้สนิทกัน แม้กระทั่งเจที่ไม่ได้เจอกันบ่อยก็ยังรู้สึกได้ แต่มาคราวนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน

"เจก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ?"

ฆาบี้ถามขึ้น เขาเองรู้สึกได้ตั้งแต่สองคนนั้นเดินออกประตูมาแล้ว มันเหมือนมีกำแพงบางอย่างกั้นกลางระหว่างสองคน มันไม่ใช่ความโกรธขึ้ง แต่เป็นความอึดอัดที่บอกไม่ถูก

"คืนที่ฉันไปปาร์ตี้กับพวกนั้นในคืนวันที่ 22 ก็ยังโอเคกันอยู่เลย ทั้งคู่ชวนกันเมาอยู่ตอนฉันออกจากร้านมา ยังบอกฉันอยู่เลยว่าจะไปร้องคาราโอเกะกันต่ออยู่เลย"

"อืมม์ อาปามาถึงฮ่องกงวันที่ 23 ริคกี้มารับอาปาตอนเช้าพร้อมกับคนขับรถ ท่าทางดูแฮงค์ๆ มานะ เขาก็ขอโทษขอโพยว่าเมื่อคืนดื่มหนัก แต่อาปาก็ว่าเขาซึมๆ ไป ทุกทีจะต้องเล่านั่นเล่านี่ให้ฟัง แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเหล้า"


คริสเล่าต่อว่าวันนั้นทั้งวันเขาไม่เจอเมลิน่าเลย โดยปกติเมลิน่าต้องรีบมาต้อนรับเขา แต่หล่อนโทรมาลาบอกว่าป่วย เมื่อถึงวันที่ 24 ช่วงกลางวันคริสจัดเลี้ยงคริสต์มาสล่วงหน้าที่บริษัทฮ่องกงของเขาเหมือนที่ทำทุกปี เมลิน่าและริคกี้ต่างก็มาทั้งคู่ แต่เหมือนมีบางอย่างต่างออกไปทุกครั้ง ริคกี้เหมือนอยากเข้าไปคุยกับเมลิน่าแต่ก็ไม่กล้า ส่วนเมลิน่าเองก็ไปขลุกอยู่กับคนอื่นของบริษัทฮ่องกงที่หล่อนเคยร่วมงานด้วย พอตกเย็น สองคนนั้นตามคริสกลับไปที่บ้านบนวิคตอเรีย พีค ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ทำกันเป็นประจำทุกปี ถ้าคริสมาที่ฮ่องกงในช่วงคริสต์มาส แต่โดยปกติก็จะมีฆาเบียร์มาด้วย

"กร่อยน่าดูเลย ลูกเอ๋ย นึกถึงโต๊ะกินข้าวเงียบๆ ที่ต่างคนต่างกิน คือทั้งสองคนก็คุยกับอาปานะ แต่ไม่ยอมคุยกันเอง"

คริสถอนหายใจ เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นเลย

"แล้วช่วงก่อนมาที่นี่ล่ะครับ?"

"อืมม์ ตั้งแต่วันคริสต์มาสจนถึงวันนี้ ก็เป็นแบบนั้นตลอด ทั้งสองคนมาอยู่เป็นเพื่อนอาปาที่บ้านนะ แต่ก็ตึงๆ ใส่กัน ก็ไม่เชิง...เหมือนเมลิน่าเป็นฝ่ายหนี ส่วนริคกี้เป็นฝ่ายเหมือนจะง้อแต่ก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ อะไรแบบนั้น"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขานึกภาพออกเลย ไม่รู้ริคกี้ไปทำอะไรให้เมลิน่าโกรธ แต่ต่อให้ริคกี้อยากง้อแค่ไหน แค่โดนยัยเลขาฯ ของเขาที่เป็นฝ่ายข่มริคกี้มาตลอดถลึงตาใส่ ริคกี้ก็คงไม่กล้าพูดอะไรแล้ว

"ผมขอเวลาสังเกตทีท่าทั้งสองคนอีกสองสามวันนะครับ อาปา แล้วผมจะจัดการเคลียร์ให้ภายในสิ้นปี เป็นแบบนี้ไม่เข้าท่าเลย คนต้องทำงานด้วยกันแท้ๆ"

"ไม่รู้เขาโกรธกันเรื่องอะไรเนาะ หวังว่าจะหายโกรธกันเร็วๆ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย"

เจนยุทธบ่นขึ้นเบาๆ แต่เขาคิดว่าเขารู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะเรื่องอะไร เขาเหลือบตาดูกระจกมองหลังเพื่อดูคนตัวโตที่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เบาะหลัง เขารู้ว่าฆาเบียร์เองก็รู้ว่าปัญหามันคืออะไร เจถอนหายใจอย่างหนักใจ ถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง ก็คงจะยุ่งยากไม่น้อยแน่ๆ


-----------------------------------------------


วันนี้เวิ่นเว้อ ไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้าค่ะ

คุยกันนิดนึงนะคะ เผื่อคนจะงงว่าทำไมอิสองตัวนี่กินนั่นกินนี่กันตลอดเวลา และมีการบรรยายเรื่องร้านอาหารอะไรเยอะแยะ คือความตั้งใจจริงของผู้เขียนคืออยากให้เรื่องนี้เป็นนิยายสายกิน คือมีการรีวิวร้านอาหารที่คนเขียนได้มีโอกาสได้ไปใช้บริการมาในชีวิตจริง อย่างตอนนี้เน้นร้านที่เชียงใหม่อันเป็นถิ่นอาศัยของผู้เขียน และอาจแทรกเรื่องท่องเที่ยวบ้างโดยยกเอาที่เที่ยวที่เคยไปจริงมาผสมกับการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตบ้าง ฉะนั้นร้านหรือที่เที่ยวไหนมีรูปประกอบก็เป็นการรีวิวจากของจริง แต่อาจมีบางส่วนที่หาข้อมูลเพิ่มเพราะอาจจะไปมาพักใหญ่แล้ว อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ  ช่วงนี้เรื่องอาจเดินช้านิดนึง เพราะร้านอาหารเชียงใหม่มันเยอะ ต้องค่อยๆ แบ่งลงค่ะ แหะๆๆ

แต่พูดถึงเรื่องลงรูป ตอนนี้ก็กำลังมีปัญหาชีวิตคือ ผู้เขียนฝากไฟล์กับเว็บ PicZ แล้วตอนนี้ล็อกอินเข้าไม่ได้เพราะเขาย้ายเซิร์ฟเวอร์เลยไม่มีรูปลงประกอบชั่วคราว ฉะนั้นก็ต้องรอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ ไม่ก็ต้องหาที่ฝากใหม่ ก็รอดูกันไปค่ะ


ร้านอาหารห้องแถวค่ะ https://goo.gl/CT2o3j


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2017 00:59:02 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

เว็บฝากไฟล์ที่ใช้ประจำยังคงด๋อยอยู่ค่ะ ก็เลยเอาไฟล์ไปฝากเรื่อยเปื่อยไว้ก่อน ตอนนี้ลงรูปของสองสามตอนที่ผ่านมาเพิ่มแล้วนะคะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- คืนนี้จะได้นอนไหม? ----



เจนยุทธขับรถเข้าไปหน้าล็อบบี้ของโรงแรมโฟร์ซีซันส์ เชียงใหม่ พนักงานรับรถกุลีกุจอมาเปิดประตูให้ทั้งสามคน และขับรถของเจไปไว้ยังลานจอดรถ คริสเดินเข้าไปที่พนักงานต้อนรับซึ่งทักทายคริสและบอกว่าคุณริเชลิเยอได้แจ้งแล้วว่าคริสจะมาใช้เรซิเดนซ์และผู้ติดตามทั้งสองของคริสมาถึงแล้วก่อนหน้านี้ พนักงานสาวเรียกรถบักกี้และนำคนทั้งสามนั่งรถไปยังส่วนเรซิเดนซ์อันหรูหราของโรงแรม

รถพาพวกเขาเข้าไปยังส่วนพักอาศัยแบบ Residence ซึ่งก็คือที่พักที่ทางโรงแรมสร้างขึ้นเพื่อขายให้กับบุคคลภายนอกโดยผู้ซื้อสามารถเข้ามาใช้บริการต่างๆ ที่โรงแรมได้เหมือนแขกโรงแรมคนหนึ่ง และสำหรับคนที่ต้องการซื้อไว้เพื่อลงทุน ทางโรงแรมยังเสนอบริการจัดการอสังหาฯ ให้ โดยของที่โฟร์ซีซั่นส์นี้ทางโรงแรมจะนำที่พักนี้ออกให้เช่ารายคืนเหมือนเป็นห้องโรงแรม และจะมีการแบ่งรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วให้เจ้าของเรซิเดนซ์ 60% และทางโรงแรมได้ 40% ถ้าเจ้าของเรซิเดนซ์ต้องการมาใช้สถานที่ก็ทำการแจ้งล่วงหน้ามาได้


"คราวหน้าถ้าพี่เจเข้ามาที่นี่ พี่เจก็เอารถเข้ามาจอดได้เลยนะคะ หลังนี้มีโรงจอดรถสำหรับสองคัน"

พนักงานต้อนรับผู้ขับรถพาพวกเขาเข้ามาบอกกับเจ หล่อนเป็นรุ่นน้องที่คณะของเจซึ่งพอจบมาแล้วก็เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งนี้ หล่อนพาทุกคนเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าสไตล์ล้านนาก็จะเห็นลานกว้างที่ขนาบด้วยสวนเขียวๆ นำเข้าไปสู่โถงใหญ่ที่เป็นส่วนรับแขกและกินข้าว เมลิน่าและริคกี้ยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่ห้องรับแขก​ เจตะลึงเมื่อได้เห็นความโอ่อ่าของเรซิเดนซ์แบบวิลล่าซึ่งทั้งหลังตกแต่งด้วยสไตล์ล้านนาประยุกต์ เจมองไปรอบๆ ด้านขวาของเขาเป็นผนังกระจกที่เปิดไปสู่สวนงามและธารน้ำ ด้านซ้ายมือของห้องเป็นชานบ้านขนาดใหญ่ที่นำไปสู่สระว่ายน้ำพร้อมทั้่งบ่อจากุซซี่ ไกลออกไปเป็นน้ำตกน้อยๆ และลำธาร ด้านซ้ายมือของสระเป็นศาลาน้อยสำหรับกินข้าว

"ที่นี่มีครัวด้วยนะคะ อยู่ข้างๆ ประตูทางเข้าที่เราเดินผ่านมาเมื่อสักครู่"

พนักงานสาวพาเจและฆาเบียร์เดินไปดูห้องนอนเล็กซึ่งไม่ได้เล็กเท่าไหร่ที่แยกตัวออกมาอยู่กลางสวนส่วนตัวที่ด้านหนึ่งของที่ดินขนาด 2 ไร่นี้ จากนั้นพาเดินย้อนกลับมาที่ตึกใหญ่

"ด้านบนของตึกหลังนี้เป็นห้องนอนใหญ่ค่ะ พี่เจจะขึ้นไปดูไหมคะ?"

เจนยุทธปฏิเสธ ห้องนอนใหญ่เป็นห้องที่อาปาจะนอน เขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง

"...ส่วนอีกหลังข้างๆ มีห้องนอนขนาดย่อมลงมา อีก 2 ห้อง ห้องล่างเป็นเตียงทวิน ส่วนด้านบนเป็นเตียงดับเบิลค่ะ"

"...ส่วนด้านบนของโรงรถเป็นห้องนอนแม่บ้านที่อยู่ประจำวิลล่านี้ค่ะ"

เจอ้าปากค้าง นี่มีแม่บ้านประจำให้ด้วยเหรอ? พนักงานสาวอธิบายรายละเอียดเรื่องห้องและเครื่องใช้ต่างๆ ให้ทุกคนฟังจนเสร็จแล้วจึงได้ขอตัวลากลับ เจบอกให้ฆาเบียร์ไปนั่งกับคริสที่ส่วนรับแขกก่อนเพราะเขาจะอยู่เม้ากับรุ่นน้องต่ออีกหน่อย เขายืนมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาส่งรุ่นน้องคนงามที่ลานกว้างหน้าวิลล่า


"พี่ว่าพี่เจอที่พักหรูมาก็เยอะ แต่ที่นี่อลังการที่สุดเท่าที่เคยเจอแล้ว สุดๆ เลยอ่ะ"

"หลังข้างๆ ยังว่างนะพี่เจ สนไหม? แต่เป็นแบบสามห้องนอนนะ"

พนักงานสาวรุ่นน้องพูดยิ้มๆ เจปฏิเสธลั่น เท่าที่เขาได้ยินมามันเริ่มต้นที่ 150 ล้าน อย่างเขาจะเอาปัญญาไหนไปซื้อ

"รุ่งไม่เจอพี่เจเลยช่วงนี้ ไม่ค่อยว่างมาแถวนี้แล้วเหรอ พี่?"

เมื่อก่อนเจมานั่งดื่มและสูบซิการ์ที่บาร์ของโรงแรมนี้บ้าง แต่ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขามากับฆาเบียร์เมื่อหกเจ็ดเดือนที่แล้วเขาก็ไม่ได้มาอีก

"อือ พี่ไม่ค่อยได้เที่ยวแล้วน่ะ"

เจตอบอ้อมแอ้ม

"มิน่าล่ะ รุ่งไปแถวร้าน xxxx ก็ไม่เคยเจอซักที เจอแต่พี่ปรินซ์ พี่ซันกับไอ้ตั้มมัน นี่ก็ยังว่าคิดถึงพี่เจอยู่นะเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกันแบบนี้"

รุ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้องรหัสของเขาพูดยิ้มๆ เจยิ้มเจื่อนๆ ให้ รุ่งเคยเป็นสาวคนหนึ่งในคอลเล็คชั่นของเขาเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ยุ่งกันมานานแล้ว เขาก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ได้เจออดีตพี่น้องท้องชนกันคนนี้ต่อหน้าฆาเบียร์


เจสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ที่ด้านหลัง ตามมาด้วยลำแขนล่ำสันที่โอบหมับเข้าที่เอวของเขาอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

"เจ เข้ามาข้างในได้แล้ว อาปารอ"

ฆาเบียร์รั้งกายคนตัวเล็กเข้าแนบกายตนอย่างหวงแหน ถึงเขาฟังที่สองคนคุยกันไม่ออก แต่เขารู้สึกได้ถึงความสนิทสนมของคนทั้งคู่ เจนยุทธมองหน้าคนขี้หวงอย่างจนปัญญา รุ่งมองทั้งสองคนอย่างงงๆ ตอนแรกหล่อนนึกว่าเจคงทำงานให้กับคุณคริสและคุณฆาเบียร์ที่เป็นแขกของคุณอองรีเจ้าของเรซิเดนซ์แห่งนี้ แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้พี่เจน่าจะไม่ใช่แค่พนักงานคนหนึ่งแล้ว

"เอ่อ งั้น พี่ขอตัวเข้าไปก่อนนะ ไว้เราเจอกันที่ล็อบบี้ตอนพี่ไปเอารถแล้วกัน"

เจเปลี่ยนเป็นใช้ภาษาอังกฤษคุยกับรุ่งเพื่อให้คนขี้หวงเข้าใจด้วย

"เอ่อ ผมว่าคุณให้พนักงานรับรถเอารถของเจมาจอดให้เราที่หน้าวิลล่าเลยจะดีกว่านะครับ"

ฆาเบียร์พูดเสียงแข็งแต่ก็ยังแฝงด้วยความสุภาพ

"จะได้ไม่ต้องลำบากคุณต้องขับรถมารับเราอีกรอบ ใช่ไหม ที่รัก?"

ฆาเบียร์เน้นคำว่า "เรา" และ "ที่รัก" เป็นพิเศษ

เจทำตาปริบๆ เขาทั้งฉิวทั้งขำ เขาโมโหเล็กๆ ที่คนตัวโตขี้หึงไม่เข้าท่า แต่ก็ขำท่าทางของฆาบี้ที่พยายามเต็มที่ให้รุ่งรับรู้สถานะของตัวเอง เขาตัดสินใจเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มคนตัวโตที่ทำหน้านิ่งปั้นปึ่งอยู่

"คุณเข้าไปรอข้างในก่อนนะ คนดี เดี๋ยวผมตามเข้าไป"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างออกมาและหอมแก้มคนตัวเล็กกลับจากนั้นหมุนตัวเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีกลับเข้าไปในตัวตึก เจมองอดีตกิ๊กของตัวเองที่ทำหน้าเหวอไปเรียบร้อย​ เขาหัวเราะเบาๆ

"ก็ ตามนั้นแหละ รุ่ง ตอนนี้พี่มีแฟนแล้วเลยไม่ค่อยได้เที่ยว"

"พะ พี่เจ แต่...เมื่อก่อนพี่ก็ชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?"

"อืมม์ ก็ไม่เชิงว่าพี่ชอบผู้ชายหรอกนะ คือกับคนอื่นพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย พี่ก็ยังชอบมองสาวๆ สวยๆ อยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องของหัวใจ พี่ว่าพี่เจอคนที่พี่รักจริงๆ แล้ว แค่ว่าเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน แค่นั้นเอง"

"โหย รุ่งดีใจด้วยนะพี่ พี่ลอยชายไปมานานเกินไปแล้วอ่ะ"

"อือ พี่คงหยุดที่คนนี้แล้วล่ะ"

เจยิ้มกว้าง

"เอ้า เรา กลับได้แล้ว เดี๋ยวทางนู้นเค้าจะงงว่าทำไมมานาน"

"โอเค พี่เจ ไว้เจอกันวันหลัง แล้วเดี๋ยวรุ่งจะให้เด็กเอารถมาส่งให้นะ ไม่งั้นคุณเค้าจะมาแหกอกรุ่งเอา"

รุ่งพูดยิ้มๆ เจยิ้มเขินๆ ขอโทษขอโพยเรื่องท่าทางของคนขี้หึงของเขา เขาโบกมือลารุ่นน้องและเดินกลับเข้าที่พัก


"คุณอ่ะ ใจร้ายกับรุ่นน้องผมจริง"

เจบ่นพึมพำพร้อมลงนั่งข้างฆาเบียร์ซึ่งนั่งจิบไวน์อยู่คนเดียว คริสขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำ ส่วนริคกี้และเมลิน่าต่างขอตัวกลับเข้าห้องของตัวเอง

"รุ่นน้องอย่างเดียวจริงๆ เหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ทำหน้ามุ่ย เขาเห็นท่าทางใกล้ชิดจับไม้จับมือของคนทั้งสองแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

"มันก็...เอ่อ...นิดหน่อยนะ"

คำว่านิดหน่อยของเจนั้น หมายถึงว่ามีอะไรกันบ้างเมื่อโอกาสอำนวยสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ และนานๆ ครั้งเมื่อเจอกันตามที่เที่ยวหลังจากเรียนจบแล้ว เขาอ้อมแอ้มเล่าให้ฆาเบียร์ฟัง

"แต่พวกเราไม่ได้คบหาจริงจังนะ แค่เรื่องเซ็กส์ พอน้องเขามีแฟนที ก็เลิกเจอกันที"

"นี่ฉันต้องเจอสาวๆ ของเจแบบนี้อีกหลายคนเลยใช่ไหมเนี่ย?"

"ที่คบหากันนานๆ ก็มีไม่เยอะหรอก หลักสิบ แต่ที่เจอกันครั้งเดียวตามที่เที่ยวอ่ะ...ผมเลิกนับนานแล้ว"

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมทำหน้าจะร้องไห้

"แต่ผมป้องกันทุกครั้งนะ ตรวจโรคเป็นประจำด้วย คุณไม่ต้องห่วงนะ ฆาเบียร์"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ คนตัวเล็กของเขานี่ไม่เบาเลยจริงๆ เขาไม่แน่ใจว่าระหว่างเขากับเจนยุทธใคร "ร้าย" กว่ากัน เขากอดกระชับคนตัวเล็กเข้ากับอกและจูบแผ่วๆ ที่เรือนผมดำสนิท

"ขอแค่เจสัญญากับฉันว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกฉันก็พอใจแล้ว"

"ผมสัญญา ฆาเบียร์ ว่าผมจะหยุดที่คุณเป็นคนสุดท้าย"

"เจเองก็จะเป็นคนสุดท้ายของฉันเช่นกัน Yo te prometo"

'ฉันสัญญา'

ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ที่ปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อของเจ เจจูบตอบแผ่วเบา พวกเขาลืมเรื่องข้อห้ามทั้งหลายที่เจตั้งไว้จนหมดสิ้น ในตอนนี้พวกเขาเพียงอยากตอกย้ำคำสัญญาของพวกเขาทั้งคู่


"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์เรียกชื่อคนรักนอนซบบนอกของเขาที่เอนตัวพิงหมอนบนโซฟายาวด้วยเสียงอ่อนหวาน

"ครับ Mi amor?"

"เลิกทำโทษฉันแล้วได้ไหม? ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ คนดี"

ในตอนนี้เขาคงอกแตกตายแน่ๆ ที่ต้องรอจนถึงเช้า

"ไม่!"

"ใจร้าย!"

คนตัวโตโอดครวญ เจหัวเราะเบาๆ

"ไม่ที่ว่าคือ ไม่ใช่ที่นี่"

ฆาเบียร์รีบดันกายเจให้ลุกและลุกขึ้นนั่งและจัดเสื้อผ้า

"งั้น เดี๋ยวเรากลับกันได้แล้ว ฉันรออาปาลงมาก่อนและขอจัดการอะไรนิดหน่อย แล้วเราค่อยกลับบ้านกัน"

"...จากนั้น ฉันไม่ยอมให้เจได้นอนแน่ๆ คืนนี้"

ฆาเบียร์ทิ้งท้ายไว้ก่อนลุกขึ้นและเดินไปเรียกริคกี้และเมลิน่าซึ่งยังไม่นอนมา จากนั้นเดินหายขึ้นไปคุยกับคริสที่ชั้นสองของตึกพักใหญ่และเดินกลับลงมาด้วยกัน ฆาเบียร์ลงนั่งที่โซฟายาวกับคริสที่หัวโต๊ะกาแฟ และให้ริคกี้กับเมลิน่านั่งตรงข้ามกันคนละฟากโต๊ะ


"งั้น ผมขอตัวก่อนนะ"

เจลุกขึ้นจะไปนั่งข้างนอกห้อง เขารู้แล้วว่าฆาเบียร์จะคุยเรื่องอะไรกับทั้งสองคน

"อยู่ด้วยกันนี่แหละ เจ ไม่ต้องไปไหน"

เจถอนหายใจ เขาลงไปยกเก้าอี้จากโต๊ะกินข้าวมานั่งข้างๆ ฆาเบียร์

"เอ้า ริคกี้ เมลิน่า ฉันขอถามหน่อย เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอสองคน?"

ทั้งริคกี้และเมลิน่าก้มหน้านิ่ง ไม่มีใครตอบอะไรออกมา

"ที่ฉันถามนี่ ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจอะไร ถึงได้ไม่ตอบ?"

ฆาเบียร์ถามด้วยน้ำเสียงที่เจไม่เคยได้ยินมาก่อน นี่คงเป็นฆาเบียร์เวอร์ชั่นนายใหญ่ของบริษัทสินะ เจแอบชำเลืองมองคนตัวโตที่สวมหัวโขนเป็นเจ้านายของทั้งสอง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม คริสก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าที่ยิ้มละไมตลอดเวลานั้นเรียบเฉย เขารอดูอยู่ว่าลูกชายจะจัดการกับทั้งสองคนอย่างไร

"ที่ผิดใจกันขนาดที่ทำให้มึนตึงกันแบบนี้ เพราะเรื่องงาน?"

ริคกี้ส่ายหัว เช่นเดียวกับเมลิน่า ฆาเบียร์ถอนหายใจ

"งั้นก็เรื่องส่วนตัวสินะ"

ริคกี้ก้มหน้านิ่ง ส่วนเมลิน่าพยักหน้าเบาๆ ทั้งคู่ไม่มีใครกล้าสบตาฆาเบียร์

"งั้นฉันจะไม่ถามว่าเรื่องอะไร ถ้าพวกเธอพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยมาเล่าให้ฉันฟัง หรือถ้าจะไม่เล่าเลยก็ไม่เป็นไร ฉันเคารพในการตัดสินใจของพวกเธอ"

"แต่ ในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัว ก็อย่าให้มันมากระทบกับงาน..."

"ต่อให้ผิดใจกันแค่ไหน ไม่อยากมองหน้ากันแค่ไหน เมื่อถึงเวลางาน ก็ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เข้าใจไหม?"

"...อย่างตอนนี้ พวกเธอมาในฐานะผู้ติดตามของอาปา ถือว่ามาทำงาน ไม่ใช่มาเที่ยว แต่ก็ยังมาทำตัวกันแบบนี้มันใช้ได้เหรอ?"

น้ำเสียงทรงอำนาจของฆาเบียร์ตวาดขึ้นเบาๆ เมลิน่าน้ำตาร่วงเผาะลงบนมือ ที่ประสานกันนิ่งบนตัก ริคกี้เองก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

"ฉะนั้นไม่ว่าจะเคืองกันแค่ไหน ก็ทำตัวให้เป็นมืออาชีพซะ ไม่ใช่มาทำปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้ คนที่มาด้วยอย่างอาปาเขาไม่สบายใจ เข้าใจไหม?"

"ครับ/ค่ะ"

ทั้งสองคนตอบรับเบาๆ

"พอกลับจากไทย หรือระหว่างอยู่ที่นี่ได้ยิ่งดี รีบหาทางเคลียร์กันซะ อย่าลากยาวให้ถึงขั้นต้องเกลียดกัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พวกเธอยังต้องทำงานด้วยกันอยู่นะ เข้าใจไหม?"

คริสเสริมขึ้น ทั้งสองคนตอบรับ​อย่างหนักแน่น

"ฉันก็อยากให้มันจบๆ เรื่องที่เชียงใหม่นี่แหละ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเคลียร์กันไม่ได้จริงๆ ฉันอาจจะต้องพิจารณาโยกย้ายใครสักคนไปทำงานตำแหน่งอื่น"

ฆาเบียร์ขู่สำทับ ทั้งสองตกใจเงยหน้าขึ้นมองนายของตนที่ทำหน้านิ่งๆ จนเดาไม่ได้ว่าพูดจริงหรือแค่ขู่

"โอเค ฉันมีเรื่องจะพูดแค่นี้ ทีนี้ มองหน้ากันซะ จับมือสงบศึกกันด้วย อย่างน้อยชั่วคราวก็ยังดี"

ทั้งสองสบตากัน เมลิน่ายื่นมือออกมา ริคกี้รีบยื่นมือไปจับไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยจนเมลิน่าต้องบอกให้ปล่อย ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม ดูทีท่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะริคกี้เป็นแน่แท้ เขาต้องหาทางล้วงเอาความจริงจากทั้งสองคนมาให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

"จำไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร พวกเธอมาปรึกษาฉันหรืออาปาได้ทุกเมื่อ โอเคไหม​"

ฆาเบียร์สำทับก่อนที่จะปล่อยให้ทั้งสองไป


"นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว คืนนี้นอนเสียที่นี่เลยสิ ฆาบี้" 

ผู้เฒ่าคริสเอ่ยปากชวนลูกทั้งสองของเขาให้ค้างด้วยกันที่นี่ ยังมีห้องนอนเหลือว่างอีกห้องให้ทั้งคู่ได้นอนในคืนนี้ แต่ฆาเบียร์ปฏิเสธอย่างนิ่มนวลโดยอ้างว่าพวกเขายังไม่ได้เตรียมของมา 

"คืนพรุ่งนี้หลังกินข้าวเย็นด้วยกันก็ได้ครับ ร้านก็อยู่แถวๆ นิมมานเหมินท์อยู่แล้ว" 

พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะไปกินอาหารฝรั่งเศสร้าน L'Elephant ที่ถนนศิริมังคลาจารย์ 

"แล้วพรุ่งนี้กลางวันอาปาจะให้พวกผมมารับไปไหนไหมครับ?" 

เจนยุทธถาม คริสบอกว่าไม่ต้องห่วงเพราะเขามีคนขับรถที่อองรีส่งมาดูแลอยู่แล้ว คนขับจะมาอยู่ด้วยจนถึงกินข้าวเย็นเสร็จ พรุ่งนี้คนรถจะพาพวกเขาเที่ยวในเชียงใหม่และพาไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ

"พวกลูกไม่ต้องมาด้วยหรอก พักผ่อนเถอะ"

"งั้นพรุ่งนี้เจอกันตอนหกโมงครึ่งที่ร้านนะครับ" 

ทั้งสองคนลาคริส เมลิน่าและริคกี้และเดินจูงมือกันไปขึ้นรถของเจที่พนักงานนำมาจอดไว้ให้ก่อนหน้านี้


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- คืนนี้จะได้นอนไหม? (ต่อ) ----




"ฆาเบียร์ครับ..." 

เจนยุทธที่กำลังขับรถกัดฟันพูดขึ้น 

"หยุดเถอะ ไม่งั้นได้รถชนแน่" 

เขาปัดมือคนมือซนที่ทั้งลูบทั้งคลำทั้งขยำส่วนสำคัญของเขาผ่านกางเกงยีนส์จนเจตัวเกร็งไปหมดแล้ว ฆาเบียร์ไม่ตอบ ในใจเขานึกถึงเรื่องตื่นเต้นที่เขาเคยทำมาบ้างสมัยอยู่ซานฟราน เขาค่อยๆ รูดซิปกางเกงเจลงและปลดปล่อยส่วนที่แข็งเกร็งของเจออกมา เจนยุทธขมกรามแน่น เขารู้ว่าฆาเบียร์อยากทำอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีสาวๆ ทำให้เขา แต่ไม่ใช่ขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่แบบนี้ เขาบอกฆาเบียร์ให้รอก่อนและขับรถเข้าไปจอดในมุมมืดริมถนนเลียบคลองชลประทาน

"รอให้ถึงบ้านก่อนไม่ได้เหรอ? อ๊ะ...คุณ อย่าสิ"

เจอุทานลั่นเมื่อลิ้นร้อนๆ ของคนรักตวัดม้วนรอบส่วนปลายอันไวต่อสัมผัส เขาครางออกมาเบาๆ เมื่อริมฝีปากนิ่มๆ ของฆาเบียร์ครอบลงที่แท่งลำที่ขยายเต็มที่ของเขา เขาคิดถึงความอุ่นของโพรงปากนั้นเหลือเกินแม้จะไม่ได้สัมผัสมันมาแค่ไม่กี่วัน เจเผลอตัวดันสะโพกขึ้นทำให้คนตัวโตสำลักเบาๆ แต่ก็ยังไม่หยุด ฆาเบียร์เร่งรุกหนัก เจสูดปากด้วยความเสียวซ่าน เขายกมือไล้ใบหน้าคมเข้มที่ดูดย้ำหนักๆ จนแก้มตอบ

"ฆาเบียร์ครับ...ผม...จะไม่ไหวแล้ว"

เจครางกระเส่า มือเขาขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแน่น คนตัวโตส่งเสียงประท้วงเบาๆ เจรู้ตัวจึงได้คลายมือแต่ก็ยังใช้ประคองและดันหัวของเมียตัวโตให้รับแก่นกายของเขาลึกขึ้น ฆาเบียร์รู้สึกถึงการกระตุกของแท่งลำแข็งเกร็งในปากก่อนที่มันจะฉีดพ่นของเหลวออกมาเต็มปากเขา เจนยุทธรีบคว้าทิชชู่ส่งให้คนรัก แต่ฆาบี้ก็ดูดกลืนทุกหยดลงไปจนหมด


"คุณนี่หื่นไม่เลือกที่จริงๆ"

เจบ่นพึมพำ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ พร้อมรับทิชชู่เปียกมาซับปาก

"แต่เจก็ชอบไม่ใช่เหรอ ร้องลั่นซะขนาดนั้น"

คนตัวเล็กหน้าแดงแปร๊ด เขาดันเผลอตัวไปกับสัมผัสของคนรักจนปล่อยให้พ่อเจ้าประคุณทำอะไรตามใจ ดีที่ฆาเบียร์พอใจแค่นั้น ในตอนนี้ถ้าคนตัวโตขอมากกว่านั้นเขาก็คงยอมอยู่ดี

"ผมเสร็จอยู่คนเดียว คุณโอเคเหรออ่ะ?"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ เขาทำท่าจะแกะกระดุมกางเกงของฆาเบียร์แต่อีกฝ่ายดึงมือไว้

"ฉันทนได้เจ อีกอย่างในตอนนี้ แค่นี้มันไม่ทำให้พอใจได้หรอก..."

เจก้มหน้าหลบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยแววปรารถนาของคนตัวโต คืนนี้เขาคงโดนหนักเป็นแน่แท้

"เอ่อ สัญญาเราสิ้นสุดตอนพรุ่งนี้เช้านะ คุณรอไหวเหรอ"

เจแกล้งพูด คนตัวโตหน้าตูมทันทีและทำท่าจะโวยวาย เจนยุทธหัวเราะคิกคัก เขาจุ๊บเบาๆ ที่แก้มของคนรัก

"ล้อเล่นน่า สัญญามันขาดไปตั้งแต่ผมไม่ปฏิเสธคุณเมื่อกี้แล้ว"

ฆาเบียร์สีหน้าแช่มชื่นขึ้น เขาอยากจับมันกดตั้งแต่บนรถนี้ แต่ก็ต้องห้ามใจไว้ก่อน เจขับรถออกจากที่เปลี่ยวนั้น เขาบ่นฆาเบียร์เบาๆ เรื่องทำรุ่มร่ามในรถ

"นี่ถ้าตำรวจผ่านมาเจอนี่โดนจับกันทั้งคู่แน่ๆ"

เขาบ่นกะปอดกะแปด

"แล้วเจเคยมีอะไรกับใครบนรถไหม?"

ฆาบี้ถามขึ้นอย่างสงสัย สำหรับตัวเขานั้นนานๆ ทีก็มีเซ็กส์เร็วๆ บนรถ หรือทำแบบที่ทำไปเมื่อสักครู่

"เคย..."

เจตอบออกมาตรงๆ

"ครั้งแรกของผมก็บนรถไง กับพี่พลอย คุณจำพี่พลอยได้ใช่ไหม?"

เหอะๆ ทำไมเขาจะจำสาวมั่นหน้าตาสวยเก๋คนนั้นไม่ได้

"แล้วดีไหม?"

ฆาเบียร์กัดฟันถาม เจตอบอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

"อือ ก็ดีอ่ะ ตอนนั้นผมก็ยังทำอะไรไม่เป็น ได้แต่นอนนิ่งเป็นท่อนไม้ให้พี่เขาเป็นฝ่ายคุมเกมอย่างเดียว พี่พลอยแกสอนผมหลายอย่างเลยน่ะ"

เจยังบรรยายนั่นนี่ เล่าเรื่องคนนู้นคนนี้ให้ฆาเบียร์ฟังอีกหลายอย่าง คนตัวโตรู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดออก ถึงเขาจะรู้ว่าเจไม่ได้คิดอะไรแล้ว แต่เขาทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว


"พอเถอะเจ ฉันไม่อยากฟังแล้ว"

เสียงที่ออกมานั้นขุ่นมัวจนเจสัมผัสได้ เขาดึงรถจอดข้างทางและหันมามองหน้าคนรักของเขา ฆาเบียร์นั่งหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ มือของเมียตัวโตของเขากำแน่น เจหัวเราะเบาๆ

"อะไรกัน ฆาบี้ คุณถามผมเองนะ"

"แต่ฉันไม่อยากฟังแล้ว"

คนขี้หึงกระแทกเสียงเล็กๆ เขามองไปรอบๆ รถ

"เบาะรถคันนี้คงผ่านมาหลายคนแล้วสินะ"

"อือ...ก็หลายคนอยู่"

เจตอบด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า เขายิ้มกริ่มดูคนนั่งอยู่ข้างๆ ที่ยิ่งทำหน้าหงิกใหญ่เมื่อได้ยินคำตอบของเขา

"แต่ก็แค่ทำแบบที่คุณทำให้ผมเมื่อกี้นะ..."

"...ยังไม่เคยมีใครได้ทำอะไรมากกว่านั้นในน้องอัซซูรี่ของผม"

เจนยุทธเพิ่งได้รถคันนี้มาช่วงต้นปี เลยยังไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้เบาะหลังกับสาวไหน ฆาเบียร์เผยอยิ้มออกมา

"งั้น ฉันจะเป็นคนประเดิมเอง"

ฆาบี้ทำท่าจะถอดเสื้อ เจรีบห้ามไว้

"จะบ้าเหรอ คุณ! ถนนตรงนี้ไฟสว่างโร่ รถก็ผ่านไปมาเยอะแยะ"

"งั้นไปหาที่มืดๆ กว่านี้ก็ได้"

คนตัวโตดื้อแพ่งจะไม่ยอมยอมท่าเดียว

"ฆาเบียร์ครับ กลับห้องดีกว่า เตียงนุ่มๆ ดีกว่าเบาะรถแข็งๆ นะ"

เจค่อยๆ ตะล่อมคนรักของเขาจนยอมในที่สุด เจถอนหายใจก่อนจะรีบขับรถกลับไปที่ห้อง ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มด้วยความสบายใจ แต่เขายังไม่ล้มความคิดที่จะเจิมเบาะหลังรถคันนี้ของเจ แต่คงต้องรอให้เจ้าตัวยินยอมก่อน


“ฆาบี้ เดี๋ยว รอก่อน อ๊ะ เดี๋ยวสิ บอกว่าเดี๋ยวก่อนโว้ย!”

เจนยุทธว๊ากลั่นใส่คนแก่ใจร้อนที่ปล้ำจะถอดเสื้อผ้าเขาตั้งแต่ยังไม่ทันปิดประตูห้องนอนดี

“ปวดฉี่ ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม?”

คนตัวโตหยุดมือตั้งแต่โดนตวาดใส่ เจรีบเผ่นพรวดเข้าห้องน้ำจัดการธุระของตัวเองก่อนจะล้างมือไม้แล้วเดินออกห้องน้ำมา เจขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนตัวโตนั่งซึมกระทืออยู่ที่เตียง เจถอนหายใจแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนรัก

“เป็นอะไรไป ฆาบี้? โกรธผมเหรอ?”

เขาเอนตัวซบไหล่คนตัวโต

“…ผมขอโทษ เมื่อกี้ผมปวดฉี่มาก เลยขึ้นเสียงใส่คุณไป”

“…งั้นเดี๋ยวเราไปอาบน้ำกันนะ เดี๋ยววันนี้ผมจะบริการคุณเอง เป็นการไถ่โทษ”

เจทำท่าทางเอาใจคนรัก ฆาเบียร์ถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นโอบไหล่คนตัวเล็กของเขาและจูบแก้มใสนั้นหนักๆ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เจ ฉันผิดเองที่ไปฝืนใจเจ”

ฆาเบียร์นึกด่าตัวเองในใจ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำรุ่มร่ามแบบนั้น แต่เขายั้งตัวเองไม่อยู่จริงๆ ใจเขาเตลิดไปตั้งแต่ได้สัมผัสกายเจในรถ เสียงครางที่แสนจะเร้าอารมณ์ กลิ่น รสและความอุ่นของกายเจทำให้เขาอยากกกกอดร่างนั้นทั้งคืน เขาอยากชำแรกกายเข้าในตัวเจซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำให้เจร้องครวญครางจนหมดเสียงไป อยากฟอนเฟ้นเนื้อตัวนั้นให้หนำใจ อยากทำให้เจถึงจุดครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะหมดแรงไปข้างหนึ่ง แต่เมื่อโดนเจตวาดใส่เขาก็ได้สติ ภาพของเจที่นอนไม่ได้สติเพราะอาการไข้หลังจากที่โดนเขาทำรุนแรงไปตอนอยู่สมุยกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง ฆาเบียร์รวบร่างคนตัวเล็กเข้ากับอกและจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนจะดันร่างคนรักออกและลุกขึ้นยืน

“ฉันจะไปอาบน้ำก่อนนะ”

เขาเดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป เจนยุทธนั่งงง ฆาเบียร์บอกว่าเขาไม่โกรธ แต่ก็กลับมีท่าทีห่างเหิน ทุกทีถ้าเขาแสดงทีท่าอนุญาตให้คนตัวโตเป็นฝ่ายรุกเร้าได้ ฆาบี้มักแสดงทีท่าดีใจและใช้โอกาสนั้นเต็มที่ เขาลุกจากเตียงและตามคนรักไปอย่างร้อนใจ


"ฆาเบียร์ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"

เจถามพร้อมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ฆาเบียร์ยืนหันหลังให้เขาอยู่ใต้แผงเรนชาวเวอร์ เขายืนนิ่งๆ เหมือนเปิดน้ำให้ราดรดตัวเอง เจถอนหายใจ เขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองพร้อมถอดต่างหูสีน้ำเงินออกวางไว้ที่แท่นวางเหนือซิงค์น้ำ เขาเดินเข้าไปในส่วนอาบน้ำและกอดร่างกำยำนั้นจากด้านหลัง

"ไม่รอผมอาบน้ำด้วยเหรอ ฆาบี้?"

ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือก หยุดมือและหันมาหาคนรักที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นว่าเขากำลังทำอะไร

"คุณไม่อยากทำกับผมขนาดนั้นเลยเหรอ ฆาเบียร์?"

เจเสียงเครือ เขานึกว่าฆาเบียร์แค่เปิดน้ำราดรดตัว แต่ที่จริงแล้วเขากำลังใช้มือปลดปล่อยให้กับตัวเองอยู่

"ถ้าคุณยังโกรธผมเรื่องเมื่อกี้อยู่ ผมขอโทษ..."

เจถอนหายใจ

"งั้น ผมไม่กวนคุณแล้ว ถ้าคุณเสร็จเรียบร้อย คุณก็มาเรียกผมแล้วกัน ผมจะได้มาอาบน้ำต่อ"

เจนยุทธก้มหน้า และหันหลังเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว ฆาเบียร์สาวเท้าตามมาแล้วคว้าข้อมือของเจไว้

"เดี๋ยวก่อน เจ ไม่ใช่แบบนั้น"

"...ที่ทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะฉันโกรธเจ..."

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาคงต้องทำให้เจเห็นแล้ว ฆาเบียร์ดึงข้อมือเจเข้ามาในส่วนอาบน้ำแล้วดันร่างคนตัวเล็กที่ทำอะไรไม่ถูกติดผนัง เขาปิดน้ำและรวบจับข้อมือทั้งสองของเจขึ้นเหนือหัวและประกบปากเข้ากับปากน้อยๆ นั้นและดูดดึงอย่างกระหาย ร่างกายกำยำของเขาบดเบียดกับร่างเพรียวแต่แข็งแรงนั้น ยิ่งได้สัมผัสเขายิ่งได้ใจและกระทำต่อไปด้วยความรุนแรงตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้น

"อื้อ ฆาเบียร์..."

เจพยายามส่งเสียงห้ามเมื่อฆาเบียร์ถอนริมฝีปากออก แต่ก็ถูกปากบางคู่ร้อนนั้นประกบปิดทับเข้าไปใหม่ ฆาเบียร์จูบเจอย่างหนักหน่วงจนริมฝีปากเขาเจ็บไปหมด ลิ้นร้อนๆ ของฆาเบียร์ควานไปทั่วโพรงปากของเขา เจตัวอ่อนระทวย มือใหญ่ข้างที่เหลือของฆาเบียร์ฟอนเฟ้นเนื้อตัวเขา นิ้วของคนตัวโตขยี้ลงที่ตุ่มไตที่ชูชันด้วยความตื่นเต้นของเจ เจทั้งเจ็บทั้งเสียว ขาของเขาเริ่มจะหมดแรง ฆาเบียร์ปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ เจหอบหายใจหนักๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อฆาเบียร์ใช้เข่าดันเข้ามาตรงหว่างขาของเขา มันถูไถไปกับส่วนไวสัมผัส ขาของเจอ่อนยวบ เขาทิ้งตัวลงบนเข่านั้น ฆาเบียร์ใช้มือของเขาตรึงข้อมือเจไว้ทำให้เขายังไม่ร่วงลงนั่งกับพื้นห้องน้ำ


"ฆาบี้...อ๊ะ..."

เจผวาเฮือกขึ้นอีกครั้งเมื่อฆาเบียร์ซุกไซร้ใบหน้าลงกับที่ซอกคอก่อนที่จะย้ายลงไปดูดดุนเม็ดสีทับทิมที่ยอดอกของเขา ลิ้นของเขาตวัดเลียไล้ไปรอบๆ แต่ที่ทำให้เจทำหน้าเหยเกคือเขายังทั้งดูดทั้งกัดเบาๆ ทั่วแผงอกของเจ โดยปกติแล้วฆาเบียร์กับเขามักใส่อารมณ์กันเต็มที่ตอนทำรัก แต่วันนี้ฆาเบียร์ดูรุนแรงกว่าปกติ เจนึกเสียใจที่ตัวเองเล่นพิเรนทร์เรื่องห้ามฆาเบียร์มีเซ็กส์ด้วย เหมือนกับว่ามันไปจุดระเบิดในตัวของคนรักเข้าเสียแล้ว ด้วยอารมณ์ขนาดนี้ของฆาเบียร์ พรุ่งนี้เขาคงลุกไม่ขึ้นเป็นแน่แท้

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกขึ้นอีกครั้งเมื่อฆาเบียร์ถูไถแก่นกายของตนไปกับหน้าขาของเขาและ​ตะปบมือเข้าที่กล้ามเนื้อหนั่นแน่นที่สะโพกของเขาแล้วคลึงเคล้นอย่างหนักหน่วง

"ฆาบี้ ผมเจ็บ...ฆาบี้..."

เจนิ่วหน้าและพยายามดึงมือจนหลุดเป็นอิสระ เขากอดรัดร่างกำยำที่ฟอนเฟ้นร่างเขาไว้แน่นก่อนที่จะประคองใบหน้าคมสันนั้นไว้และจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากและพวงแก้ม ปากเขาคลึงอยู่ที่ข้างหูของเมียตัวโตพร้อมกระซิบเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมลูบหลังอย่างอ่อนโยน  ฆาเบียร์ที่กำลังเตลิดเพราะไฟอารมณ์เริ่มลดความแรงของการกระทำของตน เจจูบเบาๆ ที่ปากคนรักและฆาเบียร์ก็จูบตอบอย่างแผ่วเบาเช่นกัน มือของเขาเปลี่ยนจากคลึงเคล้นเป็นลูบไล้ ก่อนที่จะหยุดและซบหน้าลงกับบ่าของเจและสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ เจกอดร่างคนรักผู้น่าสงสารของตนไว้ ฆาเบียร์คงเกิดสภาวะไม่มั่นคงทางอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว


"ไม่เป็นไรนะ ฆาบี้ ไม่เป็นไร"

"เจ็บไหม เจ ฉันทำเจเจ็บอีกแล้วใช่ไหม?"

เจส่ายหน้าและส่งยิ้มให้คนรักที่มีน้ำตาคลอเบ้า เขาไล้นิ้วไปตามโหนกแก้มที่สูงเด่นของเมียตัวโตและจูบแผ่วๆ ลงบนแก้มที่มีน้ำตาหยดน้อยๆ กลิ้งลงมา

"ไม่เจ็บหรอก ฆาเบียร์ ไม่เป็นไรนะ ผมไม่เป็นไร"

เจโอบรัดร่างกำยำนั้นไว้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมฆาบี้จึงยังไม่อยากแตะต้องเขาจนถึงขั้นต้องมาแอบปลดปล่อยให้ตัวเอง มันคงเหมือนคนที่เห็นอาหารโอชะอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ เมื่อได้โอกาสกินก็คงอดที่จะกินอย่างมูมมามไม่ได้ ฆาเบียร์คงกลัวว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นและเผลอทำรุนแรงกับเขาเหมือนตอนอยู่สมุย

"เป็นความผิดผมเอง ผมไม่น่าเล่นพิเรนทร์แบบนี้เลย"

เจถอนหายใจ เขาจุมพิตริมฝีปากที่เริ่มเย็นชืดเพราะความหนาว เขาดูดดึงมันเบาๆ และส่งลิ้นของเขาเข้าไปเลียไล้หยอกล้อกับลิ้นใหญ่หนาของฆาเบียร์ มือของเจนยุทธเริ่มเคลื่อนไหวไปตามจุดอ่อนไหวของร่างคนรักและเป็นฝ่ายดันร่างคนตัวโตให้แนบผนัง เขาจูบไล่ลงมาตามซอกคอและหยุดนิ่งที่ตำแหน่งของหัวใจและทำรอยสีกุหลาบไว้เด่นชัด


"อา เจ...นั่นแหละ"

ฆาเบียร์สูดปาก ลิ้นร้อนๆ ของเจทำหน้าที่ของมันได้ดีเยี่ยมเสมอ เขายืนพิงผนังห้องน้ำโดยมีเจนยุทธคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า มือของฆาเบียร์ขยุ้มผมดำของเจและดันสะโพกของตนเข้าหาปากน้อยๆ ที่ดูดกลืนแก่นกายของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจดูดรูดไล้อย่างช่ำชอง เขาชินกับการทำแบบนี้แล้ว เขาตบเบาๆ ที่สะโพกของพ่อคนใจร้อนที่เร่งเร้าจนเกินไป ฆาเบียร์ขยับช้าลงเมื่อรู้ตัว เจขยำขยี้ก้นแน่นๆ ของคนรักและช้อนตาขึ้นมองคนรัก ฆาเบียร์เห็นแววตาแสนซนของเจแล้วก็รู้ตัวว่าเขากำลังจะโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ และก็เป็นไปตามนั้น เจค่อยๆ ใช้นิ้วเขี่ยไล้ที่ปากทางคับแคบของเขา ก่อนที่จะล่วงล้ำเข้าไปด้วยนิ้วที่ชะโลมด้วยเจลที่พวกเขามีติดห้องน้ำไว้ นิ้วเรียวของเจควาน งัดและครูดกับจุดเสียวภายในช่องทางคับแคบนั้น ฆาเบียร์ครางลั่น เขารู้สึกดีไปหมดทั้งสองทางจนแทบจะสิ้นสติแล้ว เจเปลี่ยนจากใช้ปากมาเป็นใช้มือให้และเปลี่ยนไปเลียไล้ถุงเนื้อที่ห้อยย้อยแทน ไม่นานฆาเบียร์ก็หลั่งออกมาจนเต็มหน้าของเจ

"อูย แสบตา มันเข้าตาด้วยอ่ะ"

คนตัวเล็กบ่นกะปอดกะแปด ฆาเบียร์รีบเปิดน้ำจากเรนชาวเวอร์และดึงร่างคนตัวเล็กขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เขาหยิบเจลอาบน้ำมาเทลงบนมือและขยี้มันจนเป็นฟองและฟอกลงบนร่างเพรียวของคนรักอย่างทะนุถนอม เขาสบถเบาๆ เมื่อเห็นร่องรอยที่เขาทำไว้กับร่างนั้น ผิวขาวนวลเนียนของเจเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยนิ้วมือ เจเบือนความสนใจของฆาเบียร์มาที่ตนเองด้วยมือทั้งสองที่เกาะกุมสะโพกหนั่นแน่นไว้


"ฆาเบียร์ครับ...ขอผมเถอะนะ"

เจกระซิบเบาๆ ที่หูของเมียตัวโต ฆาเบียร์ยิ้มละไม เขาจูบเบาๆ ที่ปากน้อยๆ นั้นแทนคำตอบ เจยิ้มกริ่ม เขาจับฆาเบียร์หันหน้าเข้ากำแพงแล้วค่อยๆ แทรกกายเข้าในช่องทางที่ถูกทำให้อ่อนนุ่มไปแล้วก่อนหน้านี้ เจสูดปากเพราะความรัดรึงของมัน เขาดันตัวฆาเบียร์ให้ตั้งตรงขึ้นโดยให้หลังของฆาเบียร์แนบกับอกเขา เขาชอบทำรักไปพร้อมๆ กับกระซิบถ้อยคำต่างๆ ที่ข้างหูของเมียตัวโตไปด้วย

เจนยุทธเริ่มขยับช้าๆ พร้อมกับคนตัวโตที่ดันสะโพกสวนมา ริมฝีปากเขาคลอเคลียอยู่ที่หูและข้างแก้มของคนตัวโต มือข้างหนึ่งของเขาโอบรอบเอวของฆาเบียร์ อีกข้างก็เขี่ยดุนที่ตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อน เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงครางอย่างสุดกลั้นจากปากเมียรักของเขา เจกระแทกหนักๆ เขาเปลี่ยนจังหวะเร็ว ช้าสลับกัน กระแทกสั้นบ้างยาวบ้าง ฆาเบียร์เด้งกายรับแก่นกายที่ดูจะไม่หมดฤทธิ์ง่ายๆ ของเจ

เจหยุดพักชั่วคราวพร้อมเปลี่ยนให้ฆาเบียร์หันหน้ากลับมาหาเขา คนตัวเล็กใช้แขนช้อนใต้สะโพกฆาเบียร์และยกขาข้างหนึ่งขึ้นโดยให้อีกขายืนทรงตัวไว้ ที่จริงเขาอยากทำแบบที่ฆาเบียร์เคยทำกับเขาคืออุ้มร่างของฆาเบียร์ขึ้นและดันให้หลังติดกำแพงเพื่อทรงตัว แต่เขาคงรับน้ำหนักของเมียตัวโตที่ทั้งสูงและตัวหนากว่าเขาพอสมควรไม่ไหว เขาป้อนแท่งลำเข้าช่องทางแคบรัดนั้นต่อ​ ริมฝีปากเขาซุกไซร้แถวซอกคอไม่ก็ดูดเลียยอดอกของคนรัก


"เจ...อา ดี ลึกๆ หนักๆ เลย **** me harder!"

คนตัวโตเริ่มพ่นคำที่บ่งบอกว่าเขาใกล้ถึงสวรรค์เต็มทีออกมาแล้ว

"โอย ฆาบี้ครับ มันตอดผมใหญ่เลย"

เจสูดปาก เขาจวนจะระเบิดอยู่มะรอมมะร่อแล้ว เขาขบกรามและหยุดนิ่งก่อน ฆาเบียร์ยิ้มบางก่อนที่จะกระแทกกายลงหนักๆ เพียงทีเดียวเจก็คำรามลั่นอย่างกลั้นไม่ได้และปลดปล่อยออกมา ฆาเบียร์เองที่รู้สึกถึงความอุ่นที่เต็มตื้นในช่องทางแคบและการกระแทกแรงๆ ที่จุดเสียวเป็นครั้งสุดท้ายก็ปลดปล่อยออกมาจนเต็มหน้าท้องเจเช่นกัน

ทั้งคู่ยืนหอบหายใจกอดกันแน่นอยู่พักใหญ่ก่อนที่เจจะเอื้อมมือไปเปิดน้ำอุ่นๆ รดตัวพวกเขาอีกครั้ง

"แล้วนี่จะอาบน้ำไปก่อนทำไมเนี่ย เปลืองน้ำจริงๆ"

เจบ่นกะปอดกะแปด เขาอาบน้ำจนตัวจะเปื่อยแล้ววันนี้

"นั่นสิ เดี๋ยวก็ต้องอาบอีกหลายรอบ งั้นเราไม่ต้องอาบแล้วไหม?"

คนตัวโตปิดน้ำหน้าตาเฉยและจูงมือเจออกไปเพื่อเช็ดตัวให้แห้ง เจหยิบต่างหูที่แท่นวางเหนือซิงค์และเดินตามฆาเบียร์กลับเข้าไปในห้องนอน เขาเก็บมันลงกล่องและโถมกายลงบนเตียงนุ่มที่มีคนตัวโตนอนรออยู่แล้ว ดูจากแววตาอันร้อนแรงของฆาเบียร์แล้ว คืนนี้เขาจะได้นอนไหมนะ?


-------------------------------------------


เรื่องริคกี้กับเมลิน่านั้นคงเอามาเล่าต่อทีหลังนะคะ

Residence 4 ห้องนอนของรร.โฟร์ซีซันส์ค่ะ https://goo.gl/jFCFPW




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



ขอแจ้งเรื่องพักการอัพนิยายตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2560 จนถึงน่าจะหลังวันที่ 26 ตุลาค่ะ อาจจะ กลับมาอีกที 28 29 เลย เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ เลยคิดว่างดอัพไว้ก่อนดีกว่าเพราะนิยายเรื่องนี้ฉากประมาณนั้นมันเยอะ เลยอาจจะเป็นการไม่เหมาะไม่ควรที่จะอัพช่วงนี้ไปสักหน่อย อีกทั้งคนเขียนจะหนีเที่ยวอีกแล้วช่วง 19 - 23 ต.ค. ก็เลยถือโอกาสหยุดยาวด้วยเลยค่ะ แต่ช่วงพักนี้ก็จะพยายามเขียนตุนไว้สักหน่อยเพื่อที่ตอนกลับมาจะได้มีมาให้อ่านต่อเนื่องกันค่ะ

สุดท้ายนี้ขอเสียงคนอ่านเป็นกำลังใจสักนิดก็คงจะทำให้คนเขียนคนนี้ดีใจมากๆ เลยค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 : :katai2-1: o13 :katai2-1:


ประทับใจในผลงานของคุณนักเขียนมากครับ....
...ขอชื่นชมและขอให้กำลังใจครับ.

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- La Vie en Rose ----



ฆาเบียร์ตื่นมาตอนเกือบสิบโมงด้วยความรู้สึกสดชื่นและฟิตเปรี๊ยะเต็มที่ เขาควานหาคนข้างตัวแต่เจก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว เขาได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำครู่หนึ่งก่อนที่คนรักของเขาจะเดินกลับมาที่เตียง ในมือของเจถือของเล่นเจ้าปัญหาที่พวกเขาลืมในห้องน้ำมาด้วย

“สวัสดียามเช้าครับ ที่รัก”

เจนยุทธจุ๊บเบาๆ ที่ปากของฆาเบียร์ กลิ่นรสสดชื่นของยาสีฟันทำให้ฆาบี้แทบอยากลุกไปแปรงฟันมาบ้าง แต่ลิ้นร้อนๆ ที่เริ่มระรานกลีบปากของเขากับร่างเพรียวที่ขึ้นคร่อมทับร่างเขาทำให้เขากระดิกไปไหนไม่ได้ ฆาเบียร์ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องไหลตามน้ำไป เขายกมือขึ้นโอบรัดร่างอุ่นๆ นั้นไว้แนบอกพร้อมสูดดมกลิ่นกายที่เร้าอารมณ์เขาได้ทุกครั้ง มือของเจเปะป่ายอย่างซุกซนอีกแล้ว ฆาเบียร์ทำใจแล้วว่าเช้านี้เขาคงไม่แคล้วถูกเจ้าตัวดีล่วงล้ำอีกรอบ แม้เมื่อคืนเจจะจัดการเขาจนแทบหมดเสียง แต่ก็ดีแล้ว เพราะถึงจะระบายออกไปหลายครั้ง เขาก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองว่าจะยั้งตัวเองอยู่ไหมถ้าได้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องทางสีชมพูนั้น



ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อเจขยับกายขึ้นนั่งคร่อมสะโพกของเขาและเริ่มบดสะโพกตัวเองลงกับแท่งลำที่แข็งเกร็งจนปวดของเขา เจจับมันแนบกับรอยแยกระหว่างก้อนเนื้อแน่นทั้งสองและถูไถมันไปมา คนตัวเล็กจ้องมองตาเขาด้วยแววตาอันฉ่ำเยิ้ม มือทั้งสองของเจเกาะกุมที่อกของตัวเอง ปลายนิ้วของเขาเขี่ยไล้ตุ่มไตที่ตอนนี้แดงก่ำและชูชันด้วยความกระสัน เจสูดปากเบาๆ ตั้งแต่ถูกฆาเบียร์นวดเฟ้นและดูดดึงบ่อยๆ ยอดอกของเขาทั้งสองข้างนั้นไวต่อสัมผัสขึ้นมาก

คนตัวโตดันตัวขึ้นจากที่นอนและเปลี่ยนเป็นท่านั่งโดยมีเจคร่อมอยู่บนตัก เขาฝังใบหน้าลงกับซอกคอขาวและจูบเบาๆ ก่อนที่จะทิ้งรอยจางๆ ไว้อีกสองสามที่ อารมณ์ของเขาไม่ได้พลุ่งพล่านเท่าเมื่อคืน แต่ก็เริ่มกรุ่นๆ สัมผัสของเขาเริ่มหนักขึ้น มือของเขาตะโบมบีบจับแกนกายของร่างเพรียว เจครางอู้แล้วตีเบาๆ ที่แขนของฆาเบียร์ คนตัวโตผ่อนแรงและซุกหน้าลงกับแผงอกอุ่นของเจ

“อูย คุณ อย่าดูดแรงนักสิ”

เจบ่นพึมพำและเปลี่ยนเป็นซี้ดปากเมื่อลิ้นอันช่ำชองพริ้วเขี่ยดุนเม็ดทับทิมที่ชูชันนั้น ฆาบี้ใช้นิ้วคีบดุนอีกข้างหนึ่งไปพร้อมๆ กัน เจฝังหน้าลงกับไหล่เขาด้วยความเสียวซ่าน เขาปล่อยกายปล่อยใจให้ฆาเบียร์กระตุ้นอารมณ์เขาถึงขีดสุดแล้วจึงดันตัวออกและเอื้อมไปหยิบถุงยางให้ฆาเบียร์พร้อมทั้งเจลหลอดใหญ่ เขาขยับกายออกให้คนตัวโตได้จัดการตัวเองให้พร้อม ฆาเบียร์รูดใส่เครื่องป้องกันให้กับแกนกายอันร้อนผ่าวของตัวเองก่อนที่จะชะโลมมันด้วยเจลจนชุ่ม เจนยุทธขอแบ่งเจลมาใส่มือตัวเองและจัดการชะโลมมันที่ช่องทางของตัวเอง ฆาเบียร์มองร่างเพรียวที่ใช้นิ้วส่งเจลเข้าช่องทางของตนอย่างขมักเขม้น ภาพนั้นช่างเร้าอารมณ์อย่างสุดแสน เขาทนไม่ไหวต้องกระชากร่างของคนตัวเล็กขึ้นมานั่งตัก


“เจ ให้ฉันทำได้จริงๆ เหรอ?”

คนตัวโตที่ยังกังวลในความปรารถนาที่มากล้นเกินเหตุของตัวเองถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจ เมื่อคืนเจปล่อยเขาให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากที่ปลดปล่อยกับเขาถึง 2 ครั้งในขณะที่เขาเองถึงจุดหลายหลายครั้งจนไม่ได้นับ เช้านี้เขาตื่นมาด้วยความสดชื่นกว่าสองสามวันที่ผ่านมาที่ต้องกดความปรารถนาของตัวเองไว้ ต่อให้เจใจดีกับเขาบ้างในช่วงสามวันที่ผ่านมาแต่มันก็เทียบไม่ได้กับการที่ได้มีเซ็กส์จริงๆ แม้จะเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ตาม และเขาก็พอใจแล้วกับแค่นั้นเพราะยังกลัวสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืน

เจตอบรับต้วยการเอนกายลงนอนและดึงร่างฆาเบียร์ลงทาบทับ ฆาบี้ไม่เร่งรีบ เขาค่อยๆ จ่อแก่นกายเข้ากับช่องทางนั้น ใช้มันเขี่ยคลึงยั่วเย้ากับปากทางสีชมพูจนเจทนไม่ได้ต้องเอื้อมมือมาจัดการเอง เขาค่อยๆ ดันสะโพกขึ้นจนช่องทางของเขาโอบรับแท่งลำนั้นเข้าไปจนสุด เจกัดกรามแน่น ส่วนสงวนของฆาบี้พองตัวอัดแน่นเต็มช่องทางเขาจนรู้สึกอึดอัดไปหมด คนตัวโตก้มลงจุมพิตที่ปากคนรักอย่างอ่อนหวาน เขาสังเกตได้ถึงความอึดอัดนั้นและต้องการผ่อนคลายให้เจ มือของเขาลูบไล้เรือนผมสีดำ เขาพร่ำกระซิบคำหวานไปพร้อมๆ กับที่เริ่มขยับเพื่อส่งแก่นกายเข้าช่องทางสีชมพู

เขาร่วมรักกับเจด้วยท่วงท่าพื้นฐานที่สุดแต่มันทำให้ร่างกายทั้งสองสัมผัสกันอย่างเต็มที่ เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวของเจนยุทธ ท่อนขาแข็งแรงที่เกาะเกี่ยวสะโพก ลมหายใจหอบกระเส่าที่ข้างหู ทุกสัมผัสของเจทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว แขนของเจที่โอบรัดหลังเขาเหมือนเป็นพันธนาการที่รัดตรึงเขาไว้กับร่างเพรียวจนหนีไปไหนไม่พ้น เขาจมดิ่งลงในห้วงเสน่หาที่แสนลึกล้ำนี้ทั้งกายและใจ


“เจ…”

เขากระแทกกายเข้ากับร่างที่อยู่เบื้องใต้อย่างหนักหน่วง เสียงหายใจหนักๆ เสียงร้องกระเส่าของเจยิ่งทำให้เขาอารมณ์พลุ่งพล่าน

“รัก…ฉันรักเจ”

เขากระซิบเสียงสั่นเครือข้างหูของคนรัก เขารู้สึกถึงแรงตอดรัดเช่นเดียวกับความรู้สึกเสียววูบในท้องน้อยของเขา

“ผมก็รักคุณ ฆาบี้ รักคุณ…”

เจแผดเสียงออกมาหลังจบคำบอกรัก ฆาบี้โอบร่างที่สั่นระริกไว้กับอก เขาจวนถึงฝั่งแล้วเช่นกันแต่ยื้อไว้ก่อน เขายังอยากกอดกกร่างนี้อีกสักนิด เขาถอนแก่นกายออกมาก่อนเพื่อหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบน้ำของเจ ฆาเบียร์ใจหายวูบเมื่อแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาในห้องเล็กน้อยสาดส่องให้เห็นคราบเลือดจางๆ บนผ้าปูที่นอน ถึงจะไม่มากนัก แต่มันก็ทำให้เขาใจแป้ว

“ไม่ต่อเหรอ ฆาเบียร์…ผมยังไหวนะ”

คนตัวเล็กที่เมื่อกี้นอนระทดระทวยอยู่ใต้ร่างเขายันกายขึ้นมา เสียงของเจแหบไปเล็กน้อย ที่จริงเขาก็เพลียแล้วเหมือนกัน แต่เขาอยากให้เมียตัวโตของเขาได้ระบายพลังออกให้เต็มที่

“ถ้าเจไม่ไหว พอก่อนก็ได้ ฉันโอเคแล้ว”

ฆาเบียร์ลงนอนข้างๆ คนรักและพลิกตัวกอดก่ายใช้เจนยุทธเป็นหมอนข้าง เจขมวดคิ้ว มันจะโอเคได้ยังไง ในเมื่อบางส่วนของฆาบี้ยังแข็งขืนทิ่มต้นขาเขาอยู่แบบนี้

“ฆาเบียร์ครับ ต่อเถอะ ผมอยากให้คุณเสร็จ…นะครับ มันไม่ได้ฝืนอะไรเลย”

“แต่ เจ…”

สภาพเขาตอนนี้ ถ้าทำต่อก็คงไม่แคล้วลากยาวจนอีกฝ่ายต้องเจ็บตัวแน่ๆ หากเจส่งยิ้มและสายตาแบบที่เขาไม่เคยปฏิเสธได้สักครั้งมาอีกแล้ว เขายอมแพ้ให้ท่าทางเหมือนกระรอกน้อยๆ ของมันจนต้องพลิกกายขึ้นคร่อมร่างเพรียวอีกครั้ง



“เดี๋ยวก่อน ฆาเบียร์”

เจส่งของเล่นเจ้าปัญหาของเมลิน่าที่ชะโลมตัวช่วยจนมันปลาบให้เขา ฆาบี้รับมาอย่างงงๆ ก่อนที่จะทำตาโตเมื่อเจอธิบายให้ฟัง มันก็ช่างคิดวิธีแบบนี้ออกมาได้

“งั้นเจจัดการให้ฉันที”

ฆาเบียร์ส่งมันคืนให้เมียตัวแสบของเขา เจรับมาและลุกขึ้นนั่งโดยมีฆาเบียร์นั่งคร่อมตัก เจเอื้อมมือไปยังสะโพกหนั่นแน่นของฆาเบียร์ เขาถูไถของเล่นไปกับปากทางคับแคบของคนรักจนช่องทางนั้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยเจลก่อนจะค่อยๆ ใช้สิ่งนั้นชำแรกเข้าในกายฆาเบียร์ คนตัวโตซี้ดปาก รูปร่างของมันทำให้เขาร้องลั่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส เขาทำตาเขียวใส่คนตัวเล็กที่แกล้งขยับมันไปมา

“อยากให้ฉันล่มปากกอ่าวเหรอเจ?”

เจแลบลิ้นใส่ฆาบี้แต่ก็ต้องถูกคนตัวโตประกบปากอย่างรุนแรง จูบนั้นทำให้เขาระทวยลงไป สุดท้ายแล้วคนที่จูบเก่งกว่าก็ยังคงเป็นคนตัวโตคนนี้ ฆาเบียร์ผลักคนตัวเล็กลงและดันขาทั้งสองของเจออกกว้าง เขาไม่รีรอที่จะดันแก่นกายของตัวเองเข้าสู่ช่องทางนั้น เขาจูบคนรักหนักๆ อีกครั้งก่อนจะลงมาซุกไซร้ที่แผงอก ช่วงล่างของเขาก็ขยับอย่างแข็งขันเพื่อป้อนความหฤหรรษ์ให้เจที่หลับตาและเม้มปากแน่น

“อูย เจ อ๊ะ อย่าสิ”

ฆาเบียร์อุทานออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อเจกดสวิตช์รีโมทของสิ่งที่คาอยู่ที่ช่องทางของเขา ฆาเบียร์เสียวจนตัวเกร็งจนหยุดสิ่งที่ทำอยู่

“อะไร คุณฆาเบียร์ แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?”

เจนยุทธหัวเราะเบาๆ เขาที่อยู่เบื้องล่างขยับหาตำแหน่งที่เหมาะสมและเป็นคนที่ขยับกายเอง ฆาเบียร์สูดปาก เขาถูกโจมตีทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กัน ช่องทางของเจนั้นช่างอุ่นสบายและบีบรัดเขาหนักจนแทบทนไม่ได้ ส่วนการสั่นสะเทือนทางด้านหลังนั้นมันกระแทกเข้าที่จุดเสียวของเขาพอดี

“เจ หยุดเถอะ ฉันจวนแล้ว”

ฆาเบียร์กัดฟันพูด ใบหน้าเขาเหยเกเพราะความเสียวซ่าน เหงื่อกาฬเขาไหลท่วมหน้า เจหัวเราะเบาๆ และกดปิดสวิตช์ ฆาเบียร์ดึงของแปลกปลอมออกจากตัว เขาซี้ดปากเมื่อของเล่นทรงประหลาดนั้นครูดกับช่องทางของเขา จากนั้นฆาเบียร์ดึงร่างเจขึ้นนั่งบนตัก กายของเขายังเชื่อมต่อกันอยู่ ฆาเบียร์ใช้มือทั้งสองเหนี่ยวสะโพกของร่างเพรียวให้กระแทกกระทั้นลงกับแก่นกายของเขา เจนยุทธเองก็บดกายลงหนักๆ เขาโอบแขนลงรอบคอคนตัวโต เขาจูบหนักๆ ที่ปากบางนั้นอีกครั้ง ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงครางเบาๆ เพราะความเสียวซ่าน เสียงดูดลิ้นอย่างกระหายของทั้งสองผสานกับเสียงเนื้อกระทบกัน ไม่นานนักเสียงครางก็กลายเป็นเสียงคำรามกระหึ่มของฆาเบียร์ส่วนเจนั้นหน้ามืดซบลงกับกับไหล่ของคนตัวโตไปแล้ว

คนตัวโตรีบประคองร่างของเจนยุทธที่ตัวอ่อนซบอยู่ในอ้อมอกเขาให้นอนลง เขาถอนแก่นกายที่หมดฤทธิ์แล้วออก ถอดเครื่องป้องกันทิ้ง แล้วรีบหาผ้าขนหนูผืนน้อยชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เจ



“อืมม์…”

เจฟื้นขึ้นมา เขารู้สึกว่ามีคนตบแก้มเขาเบาๆ และมีผ้าเย็นๆ เช็ดตามใบหน้าและซอกคอ เขาลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนใจของฆาเบียร์ เขาดันกายขึ้นจะลุกนั่งแต่คนตัวโตกดร่างเขาให้นอนกลับลงไป

“นอนพักก่อนเถอะเจ อย่าพึ่งลุกเลย”

“อืมม์ ผมเป็นลมไปเหรอ ฆาบี้? ผมรู้สึกเหมือนหน้ามืดแล้วก็วูบไป”

“ใช่ เจเป็นลมไปแป๊บนึง พอฉันเช็ดหน้าเช็ดตาให้ก็หาย เจเคยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า?”

ฆาเบียร์ถาม อาการแบบนี้ปล่อยผ่านไปไม่ได้ เจนยุทธส่ายหัว

“ไม่เคยอ่ะ เคยแต่แบบหมดแรงหลับ แต่วูบไปแบบนี้ยังไม่เคย”

“งั้นไปหาหมอเถอะ”

“เดี๋ยวผมลองโทรปรึกษาหมอที่ผมรู้จักก็ได้ ให้ไปคลินิคผมอายอ่ะ”

เจหน้าแดง จะให้เขาบอกหมอเหรอว่าเขาเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะมีเซ็กส์กับแฟนหนุ่ม ฆาบี้บ่นพึมพำ เขาอยากให้เจไปตรวจร่างกายดูเลยมากกว่า เจซุกหน้ากับอกคนตัวโตแล้วกัดเข้าเบาๆ

“ความผิดคุณนั่นแหละ”

เจโบ้ยความผิดไปให้คนตัวโต



“เจจ๋า วันนี้สุดๆ ไปเลย ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต”

ฆาเบียร์ไม่ได้พูดเกินจริง ความรู้สึกที่ได้จากทั้งสองทางมันเต็มตื้อจนในหัวเขาขาวโพลนไปหมด เจได้ลองทำแบบนี้ให้เขาในห้องน้ำ แต่ความเสียวซ่านที่ได้จากปากและนิ้วนั้นสู้สิ่งที่เขาเพิ่งได้รับไม่ได้เลยสักนิด

“จริงดิ? งั้นคราวหน้าผมลองมั่ง”

คนตัวเล็กในอ้อมอกของเขาพูดยิ้มๆ

“ไม่ได้!”

ฆาบี้เผลอตัวอุทานลั่น เจหัวเราะคิกคัก เขารู้อยู่แล้วว่าคนตัวโตไม่มีทางยอมเด็ดขาด

“แหม ขี้หวงจริง กับของปลอมก็ยังไม่ยอมงั้นสิ? ผมนี่มันน่าหวงนักเหรอ?”

“ก็เจของฉันน่ากินไปทั้งตัวแบบนี้เป็นใครๆ ก็หวงสิ”

คนตัวโตบ่นอุบอิบ เขาลูบไล้เนื้อตัวของคนรัก เจไม่ได้ตัวนุ่มนิ่มเหมือนหนุ่มๆ หน้าหวานร่างบางที่เขาเคยกกกอด แต่ก็ไม่ได้มีกล้ามแน่นแข็งปั๋งไปทั้งตัวเหมือนพวกนักกีฬาหรือนายแบบที่เขาเคยควง เป็นความพอดีที่ทำให้เขากอดได้ไม่รู้เบื่อ

“คุณต่างหากที่น่ากินไปทั้งตัว”

เจลูบๆ คลำๆ กล้ามเนื้ออันงดงามของคนรัก แผงอกกว้าง กล้ามเนื้อที่ชัดเจน หน้าท้องที่เป็นลอนเพราะซิกซ์แพ็คแข็งปั๋ง เรือนร่างของฆาบี้นั้นคงทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมองตามด้วยความปรารถนาหรือความอิจฉา ส่วนตัวเขานั้นรู้สึกทั้งสองอย่าง เขาอยากมีรูปร่างงามแบบนี้ แต่ความสูงไม่ให้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ร้อนรุ่มทุกครั้งเมื่อได้เห็นบั้นท้ายแน่นๆ เห็นซิกซ์แพ็คงามๆ ที่สัมผัสกับหน้าท้องเขายามร่วมรัก เห็นตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนที่ชูชันอยู่บนอกหนั่นแน่น เจอดไม่ได้ต้องเขี่ยไล้มันเบาๆ ฆาเบียร์ตีมือคนมือซนเบาๆ

“อยากปลุกให้อย่างอื่นมันตื่นอีกเหรอ เจ?”

เจยิ้มแหยๆ แล้วหดมือกลับ เช้านี้เขาได้มันไปเกินอิ่มแล้ว ถ้าโดนอีกรอบเขาคงลุกไปกินข้าวกับอาปาไม่ไหวแน่ๆ



“นี่กี่โมงแล้วเนี่ย?”

“เกือบเที่ยงแล้ว เจ”

อ๋อ มิน่าล่ะ…เจอ้าปากกำลังจะบ่น แต่ก็โดนคนตัวโตพูดดักคอ

“หิวแล้วล่ะสิ”

เจหัวเราะแหะๆ ท้องเขาเริ่มร้องโครกคราก ฆาเบียร์ลุกขึ้นยืนและชวนเจนยุทธไปอาบน้ำ เจลุกขึ้นยืนแต่ก็ขาอ่อนยวบจนเกือบทรุดลงกับพื้น ฆาบี้รีบประคองคนรักไว้ เขาลอบถอนหายใจ ถึงเขาจะพยายามยั้งใจไว้แต่ดูเหมือนมันก็ยังส่งผลกับเจอยู่ดี เขาช้อนกายเจขึ้นและพาเดินเข้าห้องน้ำไป เขาเปิดน้ำอุ่นๆ ชำระล้างร่างเพรียวนั้นอย่างทะนุถนอม เจปล่อยให้คนตัวโตจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขา

“เมียครับ…”

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาบี้มองหน้าคนตัวเล็กด้วยความหมั่นไส้

“เรียกแบบนี้ ลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อกี้ใครเป็นเมียใครกันแน่ อยากให้ฉันย้ำชัดๆ อีกรอบไหม?”

ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวมาแนบอก มือของเขาคลึงก้อนเนื้อหนั่นแน่นทั้งสองของเจเบาๆ เจนยุทธรีบดิ้นหนีออกจากอัอมอกอุ่นๆ นั้น ขืนโดนอีกรอบมีหวังลุกไม่ขึ้นแน่

"ไปๆ แต่งตัวๆ ผมหิวแล้ว หาอะไรกินกันดีกว่า"

"ไหวเหรอ เจ ให้ฉันออกไปซื้ออะไรมาให้กินดีกว่าไหม?"

"ดีขึ้นมากแล้ว ฆาบี้ เดี๋ยวเราไม่ต้องเดินหรอก เอาเวสป้าออกไปก็ได้ หากินง่ายๆ แถวนี้ เดี๋ยวบ่ายๆ จะได้เข้ามาเตรียมของ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

"ของอะไรเหรอ เจ?"

"อ้าว ก็คืนนี้เราจะไปค้างกับอาปาไง แล้วพรุ่งนี้น่ะเราจะต้องไปบ้านแม่เพื่อไปเตรียมของสำหรับคืนวันที่ 31..."

เจบอกว่าไหนๆ ที่วิลล่าของอาปาก็มีตู้เย็นแล้ว เขาก็จะหอบพวกผลไม้ ไวน์นั่นนี่ที่จะต้องเอาไปบ้านแม่ไปด้วยเลยตั้งแต่คืนนี้จะได้ไม่ต้องย้อนมาเอาอีก

"เตรียมของ จัดกระเป๋าเสื้อผ้าที่ต้องใช้ไว้ก่อนแล้วตอนค่ำพอกินข้าวเสร็จก็จะได้แค่แวะมาเอา ไม่ต้องเสียเวลามาก"

ฆาบี้ยิ้ม นี่แหละ เจของเขา ต่อให้ภายนอกเจเป็นคนดูสบายๆ ทำนั่นนี่ตามใจตัวเอง แต่จริงๆ เขาเป็นคนที่ต้องมีแพลนในหัวตลอดเวลา เจชอบการควบคุม และตอนนี้ตัวเขาเองก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนตัวเล็กนี้หมดทั้งตัวและหัวใจ แต่ตัวเขาเองก็มั่นใจว่าตัวเองก็มีดีพอที่จะทำให้เจหนีเขาไปไม่พ้นได้เช่นกัน



"โอ๊ย"

"อยู่นิ่งๆ สิ ฆาเบียร์"

คนตัวเล็กดุฆาบี้และก้มหน้าก้มตาตัดเล็บให้คนตัวโตที่นั่งเอาขาพาดตักของเขาอยู่ เจค่อยๆ จัดการตัดแต่งเล็บเท้าให้คนรักอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นสิ่งที่เขาทำให้ฆาเบียร์ทุกครั้งเมื่อเมียตัวโตของเขากลับบ้าน เมื่อสักครู่พวกเขาออกไปกินข้าวราดแกงเจ้าอร่อยแถวคอนโดแล้วก็กลับมาเตรียมของที่จะต้องเอาไปบ้านแม่เจและจัดเสื้อผ้าสำหรับอีก 3 คืนข้างหน้า ตอนนี้พวกเขาว่างแล้วเจก็เลยจับฆาเบียร์มาตัดเล็บ

"เอ้า เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ เล็บมือต่อ"

"คราวนี้มันยังไม่ค่อยยาว เดี๋ยวฉันตัดเองก็ได้ เจ"

"ไม่ค่อยยาวอะไร ดูนี่!"

เจทำหน้ายักษ์ใส่คนตัวโตพร้อมเลิกเสื้อให้ดูหลังของเขาที่มีรอยเล็บแดงเป็นทางอยู่หลายรอย ไหนจะรอยเล็บรูปวงเดือนที่จิกหลังเจลงไปจนได้เลือดบางจุดอีก ฆาเบียร์จนปัญญาได้แต่ส่งมือให้คนตัวเล็กจัดการตัดแต่งเล็บให้ เจใช้ตะไบแต่งขอบเล็บให้แถมยังใช้แฮนด์ครีมทาตามจมูกเล็บและขอบเล็บให้เสร็จสรรพ ฆาเบียร์ยกมือตัวเองขึ้นดู โดยปกติเขาเข้าร้านทำเล็บเป็นประจำ แต่ตั้งแต่เจอเจ เขาแทบไม่ต้องพึ่งร้านเลย

"ทำไมเจถึงทำเล็บเป็นล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย

"ก็ผมมีพี่สาวขี้ใช้นี่..."

เจหัวเราะหึๆ ในฐานะน้องน้อย หลายครั้งที่พี่อิ่มใช้เขาให้ช่วยตัดเล็บเท้าให้ตั้งแต่เด็กโดยเอาขนมมาล่อ

"หลังๆ มา ผมก็ใช้เรื่องนี้มัดใจสาวๆ"

เจยิ้มกริ่ม เขาบอกฆาเบียร์ว่าสาวๆ พวกที่เขาคบด้วยนานหน่อยมักเป็นปลื้มเวลาที่เขาช่วยตัดเล็บให้ หรืออย่างน้อยช่วยทาสีเล็บมือเล็บเท้าให้ เจเล่าว่าแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแค่คู่นอนกัน เจก็มักดูแลและทำตัวเหมือนเป็นคนรักของสาวๆ พวกนั้น นี่เป็นเหตุให้เขายังมีสัมพันธ์อันดีกับทุกคนแม้ว่าจะไม่ได้มีเรื่องทางกายกันแล้วก็ตาม



"แล้วฉันล่ะ เจ ตอนนี้เจเป็นคนรักของฉันจริงๆ หรือฉันเป็นแค่คู่นอนที่เจทำตัวเป็นคนรักด้วย?"

ฆาเบียร์ถามคำถามที่ไม่น่าถามขึ้นมาอีกแล้ว เจนยุทธหน้าตึงขึ้นมาทันที เขากำลังจะอาละวาดแต่ก็เห็นแววตายิ้มพรายของคนตัวโตเสียก่อน เจเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มละไม

"แหม คุณนี่รู้ทันผมจริงๆ ผมว่าผมทำตัวเนียนแล้วนะเนี่ย"

ฆาเบียร์ตะลึงไป เจหัวเราะเบาๆ แล้วโถมตัวเข้าสู่อ้อมอกของคนตัวโต

"ผมล้อเล่นน่า ก็คุณถามแกล้งผมก่อนทำไมล่ะ?"

"เจ..."

ฆาเบียร์เสียงเครือ เขาพร่ำเรียกชื่อเจนยุทธและโอบรัดร่างเพรียวไว้แน่น

"ไม่ได้หลอกฉันจริงๆ ใช่ไหมเจ? เจรักฉันจริงๆ ใช่ใหม่?"

เจใจหายวาบ

"คุณ เมื่อกี้ผมล้อเล่น โอเค๊"

เจลูบหลังคนตัวโตที่ทำท่าจะสติแตกอีกแล้วและกอดไว้แน่น

"ผมแค่พูดเล่น สำหรับผมคุณคือคนที่ผมรัก คนเดียว หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก โอเคไหม?"

เจไล้ริมฝีปากไปกับแก้มของฆาเบียร์และพร่ำคำรักไม่หยุดปาก ฆาเบียร์ซ่อนยิ้มและดันร่างคนตัวเล็กลงนอนบนโซฟาก่อนจะจุมพิตหนักๆ ที่ปากคนรัก เขาดูดดึงริมฝีปากบนล่างของเจอย่างอ้อยอิ่งและพยายามสอดลิ้นเข้าในปากที่ปิดสนิทของคนตัวเล็กที่เริ่มรู้ตัวว่าเสียรู้ให้คนที่แกล้งทำเป็นสติแตกเสียแล้ว หากดวงตาคู่งามที่ฉายแววเว้าวอนทำให้เจต้องยอมตามใจคนตัวโตในที่สุด



"คุณนี่ร้ายนักนะ"

เจทุบเบาๆ ไปที่อกคนรักที่นอนยิ้มกริ่มเป็นหมอนให้เขาซบอยู่ ฆาเบียร์ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าปล้ำจูบเขาจนพอใจ

"ระวังเถอะ ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะแบบนี้ ผมจะไม่สนเวลาคุณสติแตกจริงๆ แล้ว"

เจหน้าง้ำ ของแบบนี้เอามาเล่นกันได้ที่ไหน ฆาเบียร์พลิกตัวกอดกระชับคนตัวเล็กไว้กับอ้อมอก

"ก็มันอดไม่ได้จริงๆ นี่นา ก็เจใจร้ายกับฉันนี่"

"...แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว โอเคนะ?"

"อือ ผมก็จะไม่เล่นแบบนี้แล้วเหมือนกัน"

เจพูดเสียงอ่อยๆ



"เออ เจ เย็นนี้ฉันต้องแต่งตัวดีแค่ไหน?"

เย็นนี้พวกเขาจะต้องไปเจอกับคริสที่ร้านอาหารฝรั่งเศสอย่าง L'Elephant ซึ่งฆาเบียร์ยังไม่เคยไป

"อ๋อ ร้านนี้ ไม่ต้องแต่งหรูอ่ะ smart casual ก็พอ หรือที่จริงแต่งสบายๆ แต่ให้สุภาพหน่อยก็ได้"

ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ ที่เจบอกว่าสมาร์ท แคช่วลนั้น สำหรับผู้ชายคือเสื้อมีแขน มีคอปก เช่นเสื้อเชิร์ต เสื้อคอโปโล กางเกงขายาว ใส่ยีนส์ได้แต่ต้องเป็นทรงสุภาพไม่มีรอยขาด รองเท้าหุ้มส้น สำหรับผู้หญิงนั้นคือชุดสุภาพ ไม่สายเดี่ยว ไม่เกาะอก ไม่ใช่กางเกงขาสั้นและไม่ใส่รองเท้าแตะ เจบอกฆาเบียร์ให้ส่งข้อความบอกทางคริสไว้ด้วยว่าไม่ต้องแต่งตัวจัดเต็มไป

"ร้านนี้ไม่ต้องแต่งหรู แต่อาหารเค้าโอเคเลยนะ ช่วงที่แล้วเค้าปิดร้านไปพักหนึ่งเพราะเจ้าของไปฝึกฝีมือต่อที่ฝรั่งเศสน่ะ"

"น่าสนใจ เชฟเป็นคนไทยเหรอ?"

"คนไทยครับ แต่เรียนที่ Cordon Bleu มา แถมช่วงที่แล้วผมได้ยินว่าตัวเชฟยังได้ไปฝึกปรือฝีมือที่ฝรั่งเศสมาด้วย"

"...แต่คนที่เยี่ยมจริงๆ คือที่ปรึกษาของร้าน"

เขาเปิดเว็บของร้านตรงหน้าเมนูที่มีรูปอาหารให้ฆาเบียร์ดู

"อาหารดูดีนะ"

ฆาบี้เปิดๆ ดูอย่างสนใจ เชียงใหม่นี่ช่างเป็นเมืองที่มีอะไรให้เขาแปลกใจอยู่เรื่อยๆ จริงๆ

"มีแกลเลอรี่ด้วยเหรอ?"

ฆาเบียร์เปิดดูรูปในเว็บในหน้าที่นำไปสู่แกลเลอรี่ภาพที่มีตั้งแสดงในร้าน

"ร้านนี้เดิมทีเป็นแกลเลอรี่และร้านขายของแต่งบ้านชื่อ สุริยันจันทรา เป็นร้านดังเลยนะ เมื่อก่อนอยู่ที่ซอย 1"

เจนยุทธหมายถึงถนนนิมมานเหมินท์ ซอย 1 ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของบรรดาร้านขายของสุดชิคและเป็นที่จัดงาน NAP หรือ Nimmanheamin Art&Design Promenade หากปัจจุบันเหล่าบ้านเช่าฟากที่ติดกับโรงแรมรินคำเดิมที่เป็นที่ตั้งร้านเหล่านั้นปิดตัวลงเพื่อทำเป็นโครงการอื่น บรรดาร้านเหล่านั้นจึงต้องหาที่อยู่ใหม่ ร้านสุริยันจันทราก็ย้ายมาตั้งอยู่ตรงที่ๆ เป็นร้าน L'Elephant นี้

"ตอนนี้ร้านสุริยันจันทราเปลี่ยนเป็นร้านอาหารนี้ไปแล้ว ส่วนตัวเจ้าของแกลเลอรี่เดิมก็มาเป็นที่ปรึกษาร้านอาหารนี้..."

"ของประดับ รูปสารพัดก็ยังอยู่เหมือนเดิม เลยต้องเรียกว่าร้าน L'Elephant นี้เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในแกลเลอรี่มากกว่า เดี๋ยวคุณไปถึงก็จะเห็นเอง"

"ฉันว่าอาปาต้องชอบที่นี่แน่ๆ อาปาชอบสะสมงานศิลปะสวยๆ"

"แล้วคุณล่ะ ฆาเบียร์?"

ฆาบี้ยักไหล่

"ฉันไม่ค่อยสะสมอะไรเท่าไหร่น่ะ ห้องคอนโดฉันที่ซานฟรานมีแค่เฟอร์นิเจอร์ แทบไม่มีของตกแต่งอย่างอื่น"

"สะสมแต่หนุ่มๆ ล่ะสิ ในห้องคุณน่ะ"

คนปากไวเผลอแซวขึ้นอีกแล้ว ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม

"อืมม์ ใช่ สะสมไว้เยอะจนนับไม่ถูกเลยว่าผ่านมากี่หนุ่มแล้วในห้องนั้น"

"หึ!"

คนที่ถามเอง เจ็บใจเองกระแทกเสียงหนักๆ เขาจะไม่เข้าไปเหยียบห้องนั้นเด็ดขาด ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วจูบแก้มป่องๆ ของเจเบาๆ

"เดี๋ยวฉันจะขายห้องนั้นทิ้งแล้วล่ะ แล้วค่อยหาห้องใหม่ที่มีไว้ให้เจคนเดียวนะ ดีไหม?"

"ดี!"

คนตัวเล็กกระแทกเสียงแล้วลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ ฆาเบียร์ลุกขึ้นนั่งตาม ตอนนี้เขามีแพลนไว้ในหัวแล้ว เขาจะขายคอนโดเก่าของเขาในซานฟราน แล้วถ้าไม่ซื้อคอนโดใหม่ เขาก็จะปรับปรุงบ้านเก่าของพ่อแม่เขาที่พาโล อัลโต้ แต่สุดท้ายแล้วก็คงต้องแล้วแต่คนตัวเล็กของเขาจะเป็นคนตัดสินใจ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- La Vie en Rose (ต่อ) ----



ทั้งคู่ทำนั่นทำนี่ นั่งคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันพักใหญ่ก็ใกล้ถึงเวลานัด ทั้งสองแต่งเนื้อแต่งตัว เจใส่เสื้อโปโลสีกรมท่ากับกางเกงชิโน่สีเบจกับรองเท้าผ้าใบ ส่วนฆาเบียร์ใส่เสื้อผ้าสีโทนเดียวกันกับเจคือเสื้อเชิร์ตลำลองสีกรมท่ากับกางเกง Khakis กับรองเท้าโลฟเฟอร์สีน้ำตาล วันนี้เขายังโกนหนวดเคราจนหน้าเกลี้ยงเกลาทำให้ดูเป็นฆาเบียร์ บาเลนตินคนที่เฉิดฉายอยู่ในวงการธุรกิจ

"จะต้องมาใส่ชุดสีเดียวกันทำไมล่ะ?"

เจนยุทธบ่น เขาดูเป็นเด็กน้อยเมื่อเทียบกับเมียตัวโตของเขา

"ก็ฉันก็อยากแต่งตัวเป็นคู่เหมือนคู่รักคู่อื่นๆ เขาบ้าง ไม่ได้เหรอ เจ?"

เจถอนหายใจ พ่อเจ้าประคุณของเขานี่ก็หวานได้ตลอดเวลา อยากทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน ก่อนออกห้องเจยื่นหมวกกันน็อคให้ฆาเบียร์

"เอาเวสป้าไปนะ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเปลี่ยนรถหลังกินข้าว"

คนตัวโตประท้วงว่าเดี๋ยวผมเขาที่อุตส่าห์จัดแต่งไว้อย่างดีเสียทรงหมด แต่เจไม่สนใจ ซอยนั้นหาที่จอดรถยาก เขาขี้เกียจไปวนรถหาที่จอด



เจขี่เวสป้าสีเขียวแปร๋นของเขาพาคนตัวโตที่กอดเอวเขาแน่นเหมือนทุกครั้งไปยังร้าน L'Elephant เขามาถึงพอดีกับที่คริส เมลิน่าและริคกี้กำลังลงจากรถเบนซ์คันงาม ตอนแรกทั้งสามคนจำเจและฆาเบียร์ไม่ได้จนกระทั่งทั้งคู่ถอดหมวกกันน็อค เมลิน่าและริคกี้มีทีท่าตื่นตะลึงที่เห็นเจ้านายสุดเท่ที่ปกติแสนจะรักสบายซ้อนเวสป้าคันน้อยมา ส่วนคริสก็ได้แต่หัวเราะให้กับภาพนั้น เจนยุทธทำให้เขาได้เห็นฆาบี้ในด้านที่ไม่เคยเห็นอีกแล้ว

พนักงานต้อนรับหนุ่มที่ยืนรออยู่บริเวณลานจอดรถน้อยๆ หน้าร้านเข้ามาต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพ พวกเขาแจ้งชื่อตามที่ได้จองไว้ จากนั้นเดินตามพนักงานเข้าไป เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูงานเหล็กดัดที่ทำเป็นรูปโดมสไตล์อาหรับอันแสนงดงามบนซุ้มประตูแล้วบอกว่านี่ก็เป็นงานของร้านนี้เหมือนกัน ฆาเบียร์งงงันเมื่อเข้าไปในตัวร้าน มันไม่เหมือนเป็นร้านอาหารเลย มันเป็นเหมือนบ้านที่มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่มุมนั้นมุมนี้ พวกเขาถูกพาเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวที่มีโต๊ะขนาดใหญ่

“อ้าว คุณเจ สวัสดีครับ”

บริกรหนุ่มทักทายเจนยุทธ เจยิ้มและทักทายกลับ มีช่วงหนึ่งที่เขากับนพมาที่นี่บ่อย แม้หลังๆ นี้ไม่ค่อยได้มา พนักงานของที่นี่ก็ยังจำเขาได้ ในฐานะเด็กที่เคยเรียนด้านการโรงแรมมาเขารู้ได้ว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่านี่คือร้านอาหารชั้นดี

บริกรรับไวน์จากคริสมา คริสเอาไวน์มาสองขวด ขวดหนึ่งคือไวน์ขาวจาก Chablis ส่วนอีกขวดคือ Chateau Palmer ปี 2008 คริสบอกว่าเขาให้คนขับรถพาเขาไปเลือกซื้อไวน์ที่ริมปิงตามที่พนักงานโรงแรมแนะนำ

“อาปาได้ของดีมานี่ครับ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมื่อเห็นไวน์แดงขวดนั้น วันนั้นที่ไปริมปิงกับเจเขาก็เห็นขวดนี้แล้วแต่กลัวคนตัวเล็กบ่นว่าเขาซื้อของแพงอีก สำหรับวินเทจ 2008 นั้น Chateau Palmer ได้คะแนนสูงกว่าไวน์ในกลุ่ม 5 อรหันต์ของบอร์โดซ์บางตัวเสียอีก

บริกรหนุ่มจัดการเอาไวน์ขาวแช่ในถังน้ำแข็งไว้ก่อนและเปิดไวน์แดงไว้ให้หายใจ ฆาเบียร์มองตามอย่างพึงใจ พนักงานที่นี่ถูกฝึกมาให้จัดการไวน์ได้เป็นอย่างดี บริกรนำเมนูมาให้แต่ละคนก่อนที่จะอยู่คอยอธิบายอาหาร

"นอกจากเมนูแบบอา ลา คาร์ทแล้ว เรามีเซ็ต 4 คอร์สสำหรับมื้อเย็นด้วยนะครับ มีสองแบบ"

พนักงานอธิบายว่าเซ็ตอาหาร 4 คอร์สมีแบบ 998 บาทและ 2,180 บาท แต่แบบหลังนั้นลดราคาเหลือ 1,680 ทั้งหมดตกลงใจเลือกแบบอาหารชุด ตอนแรกเจนยุทธเกรงใจคริสจะเลือกสั่งแบบชุด 998 แต่ผู้เฒ่าคริสบังคับเลือกเซ็ตหรูให้เขา

"amuse-bouche ครับ"

บริกรยก amuse-bouche หรืออาหารเรียกน้ำย่อยคำน้อยที่มักเสิร์ฟก่อนอาหารมาให้ซึ่งก็คือตับไก่บดเนียนนุ่มและแตงดองชิ้นเล็กบนขนมปังกรอบ บริกรยังได้ยกตะกร้าขนมปังมาให้อีก 2 ตะกร้าด้วย

"จะรับไวน์เลยไหมครับ?"

ฆาเบียร์บอกว่าให้รินชาบลีส์มาก่อน ซึ่งก็ถูกจัดการได้อย่างเรียบร้อย เขายกไวน์ขึ้นชิม ถึงมันจะไม่ใช่ชาบลีส์ตัวที่ดีมากนัก แต่ก็ถือว่ารสชาติมาตรฐาน

"เจ ไม่ต้องเกรงใจอาปานะ กินได้เลย"

คริสพูดยิ้มๆ กับเจนยุทธที่ดูจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าหยิบอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ฆาเบียร์ดูท่าทางแล้วถ้าเขาไม่เริ่มกินก่อน เจ้าตัวเล็กคงยังไม่ยอมกินแน่ๆ เลยเอื้อมมือไปหยิบตับไก่บดบนขนมปังมาวางใส่จานให้เจ อาปาและให้ตัวเองก่อนที่จะส่งจาน amuse-bouche นั้นไปให้เมลิน่าและริคกี้

"อืมม์ รสชาติดีนี่"

ฆาเบียร์ชม ตับบดของที่นี่เนียนนุ่มและปรุงรสมาอย่างพิถีพิถัน รสของแตงดองไม่ได้กลบแต่ช่วยส่งตับบดให้เด่นขึ้น เจหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งจากตะกร้าขนมปังส่งให้ฆาเบียร์

"ชิมนี่สิคุณ ของโปรดผมเลย"

ฆาเบียร์รับมาอย่างงงๆ นี่มันไม่น่าจะอยู่ในตะกร้าขนมปังได้นี่

"แป้งชูซ์?"

"ใช่ ฆาเบียร์ แป้งแบบที่เป็นเปลือกของชูครีมนั่นแหละ"

เจหมายถึงขนมที่คนไทยมักเรียกว่าเอแคลร์ ฆาเบียร์ยกขึ้นกัดแล้วก็ยิ้มออกมา รสชาติออกเค็มของมันกับผิวที่กรอบนิดๆ ชวนให้เจริญอาหารดีจริงๆ เขารู้สึกเหมือนมีชีสอยู่ในนี้ด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจนัก เจบิขนมปังฟอคคาชาส่งมาให้ชิมอีกหน่อยซึ่งก็รสชาติดีเหมือนกัน ฆาเบียร์บอกเจว่าเขาขอพอขนมปังแค่นี้ก่อนเพราะกลัวจะทำให้กินอย่างอื่นไม่ไหว เจตัดเนยป้ายขนมปังบาแกตต์ที่ยังอุ่นๆ อยู่ แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างพอใจ รสชาติของเนยนำเข้าจากฝรั่งเศสนั้นช่างละมุนนัก

ไม่นานนักอาหารคอร์สแรกซึ่งก็คือ starter ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ

เจนยุทธเลือก Escargots de Bourgogne หรือหอยทากอบเนยกระเทียมและสมุนไพร หอยทากสองตัวโปะด้วยเนยกระเทียมสมุนไพรหอมๆ ถูกจัดวางมาบนแพแครอทหั่นฝอยที่นำไปทอดจนกรอบ เจใช้ส้อมน้อยแงะเนื้อหอยออกมาจากเปลือก เขาเคยกินเอสคาโกต์จากร้านอื่นในเชียงใหม่ แต่มันเป็นเหมือนการเอาเนื้อหอยกระป๋องไปยัดใส่เปลือกหอย แต่ของร้านนี้เขารู้สึกเหมือนมันเป็นหอยที่มาพร้อมเปลือกจริงๆ ฆาเบียร์มองคนตัวเล็กของเขากินอย่างชอบใจ เจกินเกลี้ยงแม้กระทั่งแครอทหั่นฝอยทอดนั้น ถ้ากินเปลือกได้เจก็คงกินไปแล้ว

"อร่อยเหรอ เจ?"

"อร่อย...เห้ย ตายล่ะ ผมลืมให้คุณชิม"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขากินหอยสองตัวนั้นหมดด้วยความเร็วแสง ฆาเบียร์ตัดแบ่งหอยเชลล์ฮอกไกโดตัวโตส่งให้เจ เจนยุทธรับมาชิมแล้วนิ่วหน้า

"อืมม์ ผมว่ามันยังไม่โดนแฮะ"

เจบ่นพึมพำ มันก็ใช้ได้นะ ซอส beurre blanc ที่มาด้วยก็รสชาติดี แต่เขาหวังอะไรมากกว่านั้นถ้าเทียบกับว่าหอยเอสคาโกต์เขาทำได้ดีขนาดนี้แล้ว คริสสั่งเอสคาโกต์เหมือนเจ ส่วนริคกี้สั่งขากบทอดแบบ meuniere ซึ่งคือซอสเนย เลม่อนและไวน์ขาว จากเซ็ตเล็ก เมลิน่าก็สั่งเซ็ตเล็กเหมือนกัน เจทำตาละห้อยดูลูกแพร์และแรดิชสไลซ์โรยด้วยบลูชีส วอลนัทและผิวเลม่อนของเมลิน่า มันดูสวยน่ากินไปหมด พอฆาบี้กลับเขาคงต้องลากนพมากินอีกสักรอบ

บริกรเดินมาเติมไวน์ที่พร่องให้ทุกคน พร้อมกับเข้ามาสอบถามว่าขาดเหลืออะไรไหมเป็นระยะๆ ฆาเบียร์ชมถึงบริการของที่นี่ซึ่งเป็นแบบสบายๆ ไม่เป็นทางการเกินไปแต่ก็ยังรักษาระยะและความเป็นมืออาชีพได้อย่างสมดุล

"เจรู้ไหม? ฉันเคยไปร้านอาหารฝรั่งเศสร้านหนึ่ง ฉันจำไม่ได้ละว่าที่เมืองไหน แต่สักที่ริมฝั่งเมดิเตอเรเนี่ยน น่าจะเป็นพวกร้านมีดาว..."

"บริกรที่นั่นแทบจะเรียกว่ากระซิบคุยกับลูกค้า ตอนอธิบายเมนูก็ใช้นิ้วก้อยชี้ ไม่ใช้นิ้วชี้"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงบรรยากาศวันนั้น เจอึ้งไปกับความมีพิธีรีตรองของร้านฝรั่งเศสแบบต้นตำรับ



พวกเขานั่งคุยไป ดื่มไวน์ไป ไม่นานนักอาหารคอร์สที่สองก็มาเสิร์ฟ คอร์สนี้ให้เลือกระหว่างซุปและสลัด ฆาเบียร์เลือกสลัดใบ endive จากเบลเยี่ยมกับน้ำสลัดบลูชีสอุ่นๆ โรยหน้าด้วยวอลนัท เขาถูกใจรสชาติของน้ำสลัดที่กลิ่นบลูชีสไม่แรงเกินไปแต่ก็ไม่ได้อ่อนบางจนไม่ได้รส ในนั้นใส่แอปเปิลเปรี้ยวน้อยๆ มาด้วยทำให้รสชาติสดชื่นขึ้น คริสสั่งสลัดอกเป็ดที่ใส่ผักสลัดใบน้อย บลูชีส วอลนัทและน้ำสลัดบัลซามิค

"อืมม์ อาปาชอบนะ เขาทำอกเป็ดออกมาได้ดีเลยทีเดียว"

คริสขอจานแบ่งจากพนักงานและตักแบ่งสลัดนั้นให้เจชิม ตัวเขาเองตอนนี้กินไม่เยอะเท่าไหร่และสลัดจานนี้ก็ไม่ได้เล็กนัก เจและฆาเบียร์จิ้มเป็ดและผักชิมดูแล้วก็ต้องเห็นด้วยอย่างที่คริสว่า เมลิน่าสั่งซีซ่าร์สลัดพร้อมกุ้งย่างบรั่นดี ริคกี้สั่งซุปหัวหอมซึ่งมาพร้อมขนมปังโรยชีสกอมเต้แล้วนำเข้าไปอบทั้งถ้วย เขาชมซุปเนื้อรสเข้มข้นและหัวหอมหวานๆ ถ้วยนี้เป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นหนึ่งเมนูโปรดของเจเวลามากินอาหารที่นี่ แต่ในวันนี้เขาสั่งซุปปู

"ร้านนี้เขาใช้ Brown crab จากฝรั่งเศสทำซุปปูนะ"

เจส่งถ้วยซุปของเขาไปรอบๆ โต๊ะ เขาขอช้อนจากบริกรมาเพิ่มซึ่งก็นำมาให้อย่างไม่เกี่ยงงอน ทุกคนชิมแล้วก็ยอมรับว่าซุปถ้วยนี้อร่อยสมกับเป็นเมนู signature ของร้านจริงๆ น้ำซุปสีส้มนั้นเต็มไปด้วยรสชาติของทะเล กลิ่นมันปูหอมๆ อวลอยู่ในปากของเจ เนื้อปูที่ให้มาอย่างพอสมควรนั้นสดแต่ออกจะร่วนซุยอันเป็นเอกลักษณ์ของ Brown Crab ฆาเบียร์เองก็ชอบซุปถ้วยนี้ เขาตักอีกสองสามช้อนจนเจต้องตีมือคนตัวโต

"เฮ้ๆ เหลือให้ผมมั่งสิ"

ฆาเบียร์ยิ้มอายๆ เจโคลงหัว เขาถามฆาเบียร์ว่าจะเอาเพิ่มอีกถ้วยไหมจะได้สั่งแบบ a la carte มาให้ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เอาแล้ว

"ไว้คราวหน้าที่ฉันมาเชียงใหม่ เรามากินด้วยกันอีกนะเจ"

ฆาบี้หมายมั่นปั้นมือว่ามาคราวหน้าเขาคงจะสั่งซุปเป็นแบบอาลาคาร์ทเลย เขาคิดขึ้นแล้วก็ต้องแปลกใจตัวเอง เขาพึ่งรู้ตัวว่าช่วงหลังมานี่เขาเริ่มคำนึงถึงเรื่องอาหารการกินมากขึ้น เขายังเริ่มมีความสุขจากการกินอาหารมากขึ้นจากที่เคยมองมันเป็นเรื่องงานหรือแค่กินเพื่ออยู่ มันคงเป็นอิทธิพลของคนตัวน้อยที่นั่งข้างๆ เขาคนนี้ ฆาเบียร์เอื้อมมือไปเกาะกุมมือของเจนยุทธที่กำลังคุยกับอาปาของเขาอยากออกรสออกชาติ เจหันมายิ้มให้เขา แววตาของคนตัวเล็กฉายแววแห่งความสุขเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บนโต๊ะอาหาร แม้กระทั่งเมลิน่าและริคกี้ซึ่งวันนี้ลดทีท่าที่อึดอัดยามอยู่ด้วยกันลงบ้างแล้ว ในตอนนี้ทั้งคู่หัวเราะต่อกระซิกกันและแลกอาหารกันชิมอย่างถูกใจ ฆาเบียร์อดคิดถึงคำพูดติดปากของแม่เขายามพวกเขานั่งล้อมวงกินมื้อค่ำด้วยกันไม่ได้ มันทำให้เขาส่งยิ้มให้คริสและเจอย่างสุขใจ


] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/10/30/Lelephant1-L.jpg[/img)


เจนยุทธเงี่ยหูฟังเพลงจากลำโพงที่ดังออกมาแผ่วๆ มันเป็นเพลงฮิตภาษาฝรั่งเศสของ Edith Piaf อย่าง La Vie en Rose เขาจำความหมายของมันได้จากห้องเรียนในวิชาภาษาฝรั่งเศสสมัยมัธยม


Quand il me prend dans ses bras

Il me parle tout bas

Je vois la vie en rose

Il me dit des mots d’amour

Des mots de tous les jours

Et ça me fait quelque chose

Il est entré dans mon cœur

Une part de bonheur

Dont je connais la cause

C’est toi pour moi, moi pour toi dans la vie

Il me l’a dit, l’a juré pour la vie


ยามเขาโอบรับฉันเข้าในอ้อมแขน เขากระซิบแผ่วๆ ข้างหู

ฉันมองเห็นชีวิตเป็นสีกุหลาบ เขาพร่ำบอกคำรัก

คำพื้นๆ ที่พูดทุกวัน และนั่นทำให้ฉันรู้สึกบางอย่าง

เขาได้เข้ามาอยู่กลางใจฉัน เป็นชิ้นส่วนแห่งความสุข

และฉันรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร 'นายอยู่เพื่อฉันและฉันอยู่เพื่อนายในชีวิตนี้'

เขาบอกฉัน สาบานรักกับฉันตราบชั่วชีพวาย



https://www.youtube.com/watch?v=0feNVUwQA8U


เจหันไปยิ้มให้คนตัวโตที่กุมมือเขาไว้แน่น ชีวิตของเขาตอนนี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยสีชมพูอันงดงามของพ่อกุหลาบนาม ฆาเบียร์ บาเลนติน มาร์ติเนซ เด ลา โรซ่า คนนี้ เขาไม่ใส่ใจแล้วว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อาจมีสักวันที่เขาจะถูกหนามกุหลาบอันแหลมคมทิ่มตำ แต่ในตอนนี้เขาขอดื่มด่ำกับกลิ่นรสอันหอมหวานของฆาเบียร์ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


------------------------------------

ยิ่งเขียนยิ่งยาว ตอนนี้จริงๆ ตัดสองตอนได้เลยนะเนี่ย -_-"

ร้าน L'Elephant นี่ขอแนะนำจริงๆ ค่ะ เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดร้านหนึ่งของเชียงใหม่แล้ว ที่บอกว่าดีที่สุดร้านหนึ่งเพราะยังไม่ได้ลองร้าน Farang Ses ของโรงแรมดาราเทวีที่ใครๆ ก็บอกว่าดีเลิศ ถ้าสักวันได้ไปลองแล้วจะเอามาเทียบกันให้ดูนะคะ

เว็บของร้านค่ะ https://goo.gl/FqK6ET แนะนำให้โทรจองก่อนนะคะ เพราะที่นั่งน้อย

รีวิวค่ะhttps://goo.gl/ibufG2

เพลง La Vie en Rose มีคนแปลไทยไว้เพราะพริ้งมากค่ะ อ่านเวอร์ชั่นนี้ดีกว่า ของคนเขียนแปลแบบมักง่ายมาจากฉบับแปลภาษาอังกฤษอีกทีค่ะ เพลงนี้ยังมีเวอร์ชั่นที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะเหมือนกันแต่มันไม่คลาสสิคเท่าภาษาฝรั่งเศสเนอะ https://goo.gl/LTnpN1




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
: :katai2-1: o13 :katai2-1:


ประทับใจในผลงานของคุณนักเขียนมากครับ....
...ขอชื่นชมและขอให้กำลังใจครับ.

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:


ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ  :impress2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ของดีเมืองเชียงใหม่ ----



"จะรับไวน์แดงเลยหรือเปล่าครับ?"

บริกรคนเดิมถามคริสเมื่อเห็นว่าไวน์ขาวหมดขวดแล้ว คริสตอบตกลง อาหารจานหลักกำลังจะมา อีกทั้งไวน์ของเขาก็เปิดทิ้งไว้เกือบชั่วโมงแล้ว น่าจะพอดีแล้ว บริกรเปลี่ยนแก้วไวน์ให้ทุกคนและค่อยๆ รินไวน์ให้ฆาเบียร์เช็คดูอย่างระมัดระวังไม่ให้ตะกอนปนลงมากับไวน์มากนัก ฆาเบียร์ยกแก้วไวน์ขึ้นแกว่ง ดู ดม ชิม แล้วพยักหน้าให้บริกรรินไวน์ให้ทุกคนได้

"เสียดายนะครับ อาปาที่เราไม่ได้ตั้งมันทิ้งไว้ให้มันตกตะกอนอีกสักหน่อย"

ฆาบี้บ่นเบาๆ ด้วยความเสียดาย ไวน์ Chateau Palmer วินเทจ 2008 นี้ถือเป็นไวน์ดี ที่ดื่มอยู่นี่ก็จัดว่ารสชาติดีทีเดียว แต่มันจะดีได้กว่านี้ถ้าผ่านการเตรียมอย่างเหมาะสม ไวน์อายุเกือบ 10 ปีควรตั้งขวดทิ้งไว้อย่างน้อยหลายๆ ชั่วโมงหรือเป็นวัน จากนั้นถ้าจะให้ดีก็ควรผ่านการ decanting หรือรินออกมาไว้ในขวดก้นกว้างเพื่อให้มันได้รับอ็อกซิเจนอีกสักครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า แต่นี่คริสเพิ่งซื้อมันมาจากริมปิงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วและไม่ได้ตั้งขวดไว้ เขาก็เลยทำแค่เปิดขวดไว้ให้มันหายใจเมื่อถึงที่ร้าน เพราะมันก็คงไม่ได้ทำให้ต่างไปจากเดิมมากนัก

เจนยุทธปล่อยให้คนที่รู้เรื่องไวน์สองคนคุยกันไปเอง เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สำหรับเขา แค่นี้ก็ถือว่าอร่อยแล้ว



"เมนคอร์สครับ"

อาหารจานหลักเริ่มทะยอยมาเสิร์ฟ พนักงานอธิบายอาหารแต่ละจานก่อนที่จะขอตัวออกไป เจปลื้มปริ่มกับ Bœuf Bourguignon หรือสตูว์เนื้อสไตล์เบอร์กันดีของเขามาก รสชาติอันซับซ้อนและเนื้อที่นิ่มได้ที่ของสตูว์ทำให้เขาแทบลอยได้ ตอนแรกเขาไม่ค่อยชอบใจเส้นพาสต้าที่เสิร์ฟมาด้วยแต่ปรากฎว่ารสชาติมันดีมากจนเขาคิดว่ามันคงเป็นเส้นโฮมเม้ด เจนยุทธส่งสายตาหวานเยิ้มให้ฆาเบียร์และบังคับตักสตูว์ของตัวเองใส่จานคนตัวโต ทำให้ฆาเบียร์ต้องตัดสเต๊กเนื้อเทนเดอร์ลอยน์ซอสไดแอนของเขาให้เจไปนิดนึง

"อร่อยสุดๆ เลย ฆาบี้"

เจชมเปาะ ปกติเขาไม่ชอบเนื้อส่วนเทนเดอร์ลอยน์เท่าไหร่เพราะเขาว่ามันแห้งไป แต่ของที่นี่ทำออกมาได้ชุ่มฉ่ำดีแถมได้ความสุกตามที่ต้องการคือมีเดียม แรร์ การที่หั่นแล้วแทบไม่มีเลือดซึมออกมาจนท่วมแปลว่าได้มีการพักเนื้อไว้อย่างถูกต้องจนน้ำเนื้อซึมกลับไปจนทั่วชิ้น

"เนื้อนิ่มดีด้วยนะ เจ เห็นเขาเขียนว่าใช้เนื้อชาโรเลส์ของฝรั่งเศส"

ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ เมื่อได้กินของอร่อยถูกใจ เขาตัดส่งให้คริสชิมชิ้นหนึ่ง เจกดโทรศัพท์ search หาซอสไดแอน เขาไม่เคยได้ยินซอสนี้มาก่อน

"เอ๊ะ แปลกดี ปรากฏว่าสเต๊กไดแอนนี่เป็นแบบอเมริกันแหละ คุณ"

ฆาเบียร์พยักหน้า ซอสไดแอนคือน้ำเนื้อที่ใส่เนยและหอมแดงลงไป ปรุงด้วยมัสตาร์ด ซอสวูสเตอร์เชียร์และอาจจะใส่เครื่องอื่น ในที่นี้คือเห็ด จากนั้นใส่บรั่นดีหรือพอร์ทไวน์ลงไปแล้วจุดไฟก่อนที่จะตักราดบนตัวสเต๊ก

คริสถามเจว่าอยากชิมซี่โครงแกะอบไวน์แดงซอสแครนเบอรี่ของเขาไหม แต่เจบอกว่าเขาเคยลองชิมแล้วตอนมากับนพ คริสดูถูกอกถูกใจกับเนื้อแกะที่แทบไม่มีกลิ่นสาบนี้เลย ต่อให้เนื้อดูแดงแต่ก็ทำออกมาได้ดี และยิ่งถูกใจเมื่อมันเข้ากับไวน์ที่เขาเอามาได้ดี



"เมลิน่า ริคกี้ สั่งอะไรกันบ้างเนี่ย? อร่อยไหม?"

เจถาม ริคกี้บอกว่าเขาสั่งลิ้นวัวตุ๋นไวน์แดง ส่วนเมลิน่าสั่งกุ้งผัดกระเทียมซอสครีมไวน์ขาว และทั้งคู่ต่างก็ถูกใจกับอาหารของตนเอง

เมื่อกินเมนคอร์สเสร็จ ระหว่างรอของหวาน คริสลุกไปเข้าห้องน้ำโดยมีฆาเบียร์ตามไปส่ง ทั้งสองหายไปนานจนขนมเริ่มมาเสิร์ฟ เจนยุทธลุกไปตามก็เห็นคริสเดินดูภาพวาดที่ติดไว้มุมนั้นมุมนี้อย่างถูกใจ ฆาเบียร์เองก็ไปคุ้ยกะบะซีดีหายากที่ตั้งไว้ที่หน้าร้าน เขากวักมือเรียกเจให้เข้าไปดูแล้วชมเปาะว่าเจ้าของร้านนี้เทสต์ดีไปจนถึงเรื่องดนตรีเลยทีเดียว

"ผมว่าคนที่เทสต์ดีคือคุณโอ สุริยาที่เป็นคอนซัลแตนท์ของร้าน"

เจพูดถึงอดีตเจ้าของร้านสุริยันจันทราซึ่งเคยเป็นคนดังของย่านนิมมานเหมินท์คนนี้ เจเคยได้คุยกับเขาครั้งหนึ่งตอนก่อนร้านเลเลฟองจะปิดชั่วคราวช่วงที่เชฟไปเรียนที่ฝรั่งเศส จากที่ได้คุยกันเพียงสั้นๆ เขาก็รู้ได้ถึงรสนิยมอันดีเยี่ยมและความรู้อันกว้างขวางเรื่องอาหารของคุณโอ ฆาเบียร์บอกว่าเขาก็พอจะดูออกได้จากการตกแต่งร้านนี้ เจต้อนคนรักและอาปาของเขากลับเข้าห้องอาหารก่อนที่จะมีใครสักคนได้เสียตังค์ คริสบอกว่าถ้ามีเวลาเขาก็อยากกลับมาอีก เขาติดใจภาพวาดหลายภาพและอยากกลับมาดูซ้ำ



"ทำไมคุณต้องสั่งของที่อร่อยกว่าของผมอยู่เรื่อยเลย"

เจบ่นพึมพำ เขาติดใจ L'Elephant Bomb ของฆาเบียร์ซึ่งเป็นไอศกรีมรัมเรซิ่นซึ่งมีเมอแรงก์นิ่มๆ อยู่ด้านบน จากนั้นพนักงานนำรัมหนึ่งช็อตมาราดและจุดไฟ มันอร่อยจนเจอยากจะแย่งกินหมดทั้งถ้วย ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม รสชาติร้อนแรงของรัมทำให้มื้อค่ำของเขาจบลงอย่างน่าพอใจ เจนยุทธและคริสสั่งพีชเมลบา ซึ่งเป็นไอศกรีมวนิลาโปะด้วยพีชเชื่อมและราดซอสราสเบอรี่ มันก็อร่อยดีแต่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ส่วนทั้งริคกี้และเมลิน่าสั่งดาร์คช็อคโกแลตมูสซึ่งเสิร์ฟมาพร้อมเหล้ารสเชอรี่ ขนมของเซ็ตเล็กนี้มาในขนาดสองคำหมดจริงๆ แต่ทั้งคู่ก็มีทีท่าพึงใจกับสิ่งที่ได้กิน พวกเขานั่งคุยไปจิบไวน์ที่เหลือไปจนหมด เจนั้นไม่จิบไวน์เพิ่มเพราะเดี๋ยวยังต้องขับรถขึ้นไปที่โฟร์ซีซันส์อีก


"ฆาเบียร์ อาปา ดูนี่ครับ"

เจพาทั้งสองคนเดินข้ามซอยมายืนตรงข้ามร้านและชี้ให้ดูตัวร้านภายใต้แสงไฟสลัวๆ

"นี่แหละครับ ที่มาของชื่อร้าน L'Elephant"

ตัวตึกของร้านทาสีส้มและประดับกระเบื้องสีจนเป็นรูปของช้างสีส้มตัวโตหน้าตาน่ารัก คริสถูกใจมากและบอกเจว่าคราวหน้าเขาจะกลับมาที่ร้านนี้อีกอย่างแน่นอน



] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/10/30/Lelephant2-L.jpg[/img)



"งั้นเดี๋ยวผมกับเจกลับไปห้องก่อนแล้วจะตามขึ้นไปนะครับ"

ฆาเบียร์บอกคริสก่อนจะปิดประตูรถเมอร์เซเดสคันงามและโบกมือลาอาปาของเขา เจส่งหมวกกันน็อคให้เมียตัวโต ฆาบี้รับมาใส่แล้วขึ้นซ้อนรถเวสป้าสีเขียวแปร๋นพร้อมกอดเอวคนตัวเล็กไว้แน่นเหมือนเช่นเคย เจสตาร์ทรถและพาฆาเบียร์กลับไปที่ห้อง

"มื้อเย็นวันนี้อร่อยดีเนาะ คุณว่าไหม?"

"อือ ฉันชอบนะ มีแค่หอยเชลล์ที่ฉันเฉยๆ นอกนั้นถือว่าดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าราคามันแค่นี้เอง"

ดินเนอร์แบบฝรั่งเศส 4 คอร์สในราคาประมาณ 50 ยูเอสดอลลาร์นี้นับว่าถูกเหลือเชื่อ ยิ่งเซ็ตของเมลิน่ากับริคกี้นั้นคิดเป็นดอลล่าร์แล้วแค่คนละ 30 ดอลล่าร์เท่านั้น

"สำหรับคนเชียงใหม่แค่นี้ก็แพงแล้วแหละ คุณ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ คนคงต่อแถวกันกินยาวเหยียดละ"

"...คนต่างถิ่นที่มาทำธุรกิจเชียงใหม่มักมองว่าเราเป็นเมืองใหญ่ ค่าครองชีพสูง คนน่าจะมีกำลังซื้อเยอะ แต่มันไม่จริงเลย"

เจบอกว่าเขาเคยคุยกับคนต่างถิ่นที่มาทำธุรกิจในเชียงใหม่หลายคนที่บ่นว่าตลาดที่นี่ยาก ในตอนแรกที่เปิดคนจะเห่อมาก แต่หลังจากหายเห่อแล้วก็เรียกว่าแทบไม่มาอีกเลย อีกทั้งบางอย่างที่เขามองว่าราคานี้ในกรุงเทพฯ ถือว่าถูกแล้ว แต่กับคนเชียงใหม่มันคือแพง เจบอกฆาเบียร์ว่าต้องไม่ลืมว่าเชียงใหม่ที่ดูเหมือนจังหวัดใหญ่นั้นมีประชากรกว่า 1 ใน 10 ของกทม. นิดหน่อย อยู่ในอำเภอเมืองไม่ถึงสามแสนคน แล้วในสามแสนคนนี้คนที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะบริโภคได้เทียบเท่าคนกรุงเทพฯนั้นมีไม่เยอะ และพวกที่มีกำลังทรัพย์ก็ไม่ใช่ว่าจะออกไปใช้จ่ายตลอดเวลา

"เขาถึงเรียกเชียงใหม่ว่าเมืองปราบเซียนไง"

เจหัวเราะเบาๆ ยิ่งหลังๆ มา มีภาพลวงตาจากการไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนอีกทำให้ทั้งร้านอาหาร โรงแรมและกิจการทั้งหลายผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด เขาล่ะห่วงจริงๆ ว่าเกิดวันไหนเชียงใหม่เสื่อมความนิยมลงแล้วนักท่องเที่ยวจีนหายไปหมด ทีนี้แหละคนที่ลงทุนไปแล้วจะเดือดร้อนกันหมด เขาก็ได้แต่หวังว่าวันนั้นจะมาถึงไม่เร็วนัก



เจหยิบพวกของที่เตรียมไว้ใส่กระเป๋าเก็บอุณหภูมิ เขาไม่ลืมที่จะหยิบสตูว์เนื้อแบบปูเอร์โตริโก้ที่เขาแช่ช่องฟรีซไว้ไปด้วย เขาบอกฆาเบียร์ให้ไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาจากห้อง ฆาเบียร์เดินกลับออกมาพร้อมกระเป๋าน้อยอีกหนึ่งใบ

"อะไรน่ะ ฆาเบียร์?"

เจถามอย่างสงสัย เขาว่าเขาเตรียมของไปครบหมดแล้วนะ เขาเปิดดูในถุงแล้วต้องหน้าร้อนวูบ

"เอาไปเผื่อไว้ก่อน ตั้งสามคืน อาจจะได้ใช้นะเจจ๋า "

ฆาเบียร์ตอบยิ้มๆ

"คุณอ่ะ จะไม่อายอาปาหรือที่บ้านผมมั่งเหรอ"

เจที่ยังหน้าแดงก่ำอยู่พูดขึ้น คนลามกเตรียมอุปกรณ์บนเตียงไปเสียเต็มที่ นี่กะจัดหนักทั้งที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกับพวกผู้ใหญ่กันเลยหรืออย่างไร

"ไม่อาย"

ฆาบี้ลอยหน้าลอยตาพูดแล้วก็ดึงเจเข้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่

"เจจ๋า...ฉันอยากกินของหวาน"

ไม่พูดเปล่า มือไม้ของคนตัวโตเริ่มซุกซนอีกแล้ว ลมหายใจร้อนๆ ของคนที่เริ่มหน้าตึงเพราะไวน์เป่าพ่นอยู่ที่ข้างหูของเจ เจนยุทธใจสั่นระรัวแล้วรีบดันตัวออกจากอ้อมแขนล่ำสันนั้น

"ไม่ได้ๆ เดี๋ยวอาปารอ ผมอยากให้ไปถึงที่นั่นก่อนพวกเขาจะหลับกัน ผมมีของให้สามคนนั้นด้วย เมื่อกี้ผมลืมเอาไปให้"

ฆาเบียร์หน้ามุ่ย คนตัวเล็กของเขาบทจะใจแข็งก็ใจแข็งเหลือเกิน เขาใส่รองเท้า จากนั้นลากกระเป๋าเดินทางใบน้อยและหยิบถุงนั่นนี่ของเจจากบนเคาเตอร์ครัวมา และไปยืนรอเจที่ประตูห้อง เจจัดการเช็ครอบห้องให้แน่ใจว่าไม่ลืมเสียบปลั้กอะไรไว้ เขาหยิบของที่เตรียมไว้ที่เหลือและเดินไปที่ประตูห้อง

"ฆาเบียร์ครับ..."

ฆาบี้ที่กำลังจะเปิดประตูห้องหันมา เจนยุทธเดินเข้าไปประชิดตัวคนตัวโตและโน้มคอลงมาจูบแผ่วๆ เขาไม่ใจร้ายกับที่รักของเขานักหรอก ฆาเบียร์ปล่อยของลงและโอบรัดร่างของคนรักไว้ พวกเขาป้อนจุมพิตอันอ่อนหวานให้กันและกัน มันเป็นเพียงจูบเพื่อแสดงความรู้สึกรักให้กันและกัน ไม่ใช่แบบที่กระตุ้นเร้าเชิญชวนให้ขึ้นเตียง ฆาเบียร์ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากปากอันแสนหวานของเจเมื่อดูทีท่าว่าคนตัวเล็กทำท่าจะหายใจไม่ทันแล้ว เจหอบหายใจเบาๆ และซุกหน้าลงกับอกของคนรัก

"อีกไม่ถึงสัปดาห์คุณก็จะกลับแล้วสินะ "

เจพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า คราวนี้ฆาเบียร์มาอยู่นานจนเขาเผลอลืมนึกไปว่าสุดท้ายแล้วคนตัวโตก็ต้องจากเขาไป ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาลูบเรือนผมสีดำขลับของคนรักอย่างสงสาร ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากอยู่กับเจต่อ แต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้เขาจำต้องจากคนตัวเล็กของเขาไป

"เจ อีกไม่เกินเดือนก็เจอกันแล้ว รอบนี้ชัวร์ว่าได้เจอกันตามเวลาแน่ๆ..."

"นะ...อย่าเศร้าไปเลย"

เจพยักหน้า คราวหน้าที่จะเจอกันเขาจะเป็นฝ่ายเดินทางไปที่ฮ่องกงเองเนื่องจากต้องไปร่วมงานแต่งงานของคนในบริษัทของฆาเบียร์ เจยกมือลูบหน้าเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง

"ป่ะ งั้นเราไปหาอาปากันดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะดึกเกินไป"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเก็บข้าวของบนพื้นแล้วเดินตามเจลงไปยังลานจอดรถ



"อ้าว มากันตั้งแต่เมื่อไหร่?"

คริสเดินลงมาจากห้องนอนชั้น 2 เมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เขาทักทายฆาเบียร์กับเจที่นั่งคุยอยู่กับริคกี้และเมลิน่า

"มาสักพักแล้วครับ ผมนึกว่าอาปาหลับแล้วเลยไม่ได้ขึ้นไปหา"

ฆาบี้ตอบ พวกเขามาถึงที่นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะเอาของไปเก็บในตู้เย็นอีกเลยไม่อยากไปรบกวนการพักผ่อนของคริส

"ยังหรอก เมื่อบ่ายอาปากลับมางีบไปหน่อย ตอนนี้เลยตาแข็งนอนไม่หลับ พวกลูกจะไปนอนหรือยัง หรือว่าจะนั่งคุยกันอีกสักพัก?"

ฆาเบียร์มองหน้าเจ จริงๆ เขาอยากพาเจ้าตัวเล็กเข้าห้องใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ดูท่าทางเจจะยังอยากนั่งคุยกับอาปาของเขา ก็ปล่อยเจทำตามใจไปแล้วกัน

"อาปาครับ คือ...เอ่อ"

เจนยุทธล้วงกล่องของขวัญกล่องหนึ่งออกมาจากถุงผ้าของเขาและส่งให้คริส

"อาจจะช้าไปหน่อย แต่ก็สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ แล้วก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วย"

ตอนแรกเขาอยากจะเอาของให้คริสตอนวันปีใหม่ แต่มันจะดูน่าเกลียดว่าไม่มีให้คนอื่นๆ ในงานด้วย ก็เลยเอามาให้วันนี้ดีกว่า คริสขอบอกขอบใจเจและเปิดออกดู มันเป็นกล่องไม้มะค่าเรียบๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หน้าตาเหมือนกล่องใส่เครื่องประดับของผู้หญิง คริสเปิดดูด้านใน

"กล่องดนตรีเหรอ เจ?"

คริสอุทาน เขาไม่ได้เห็นของแบบนี้มานานแล้ว ในกล่องนั้นแบ่งเป็นสองช่อง ช่องหนึ่งเป็นช่องว่างๆ บุด้วยผ้า ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นกล่องดนตรีในครอบอะครีลิคใส ใต้ฝาของกล่องดนตรีเป็นกระจกวาววับ

"มันอาจจะดูเหมือนเป็นของใช้ผู้หญิงไปหน่อย แต่อาปาเอาไว้ใส่พวกคัฟลิงค์กับเข็มกลัดเน็คไทก็ได้นะครับ"

คริสลองไขลานกล่องดนตรีนั้นดู เสียงเพลงอันเพราะพริ้งดังออกมาจากกล่องนั้น คริสยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงเพลง Clair de Lune ของ Claude Debussy ถึงมันจะดังสั้นๆ เพียงประมาณ 30 วินาทีเขาก็จำมันได้ทันที



Clair de Lune (เวอร์ชั่นกล่องดนตรี) https://goo.gl/Ev5UV7

https://www.youtube.com/watch?v=4fvo_iOuSck



"เจจำได้ด้วยเหรอว่าฉันชอบเพลงนี้?"

"เจรู้ได้ไงว่าอาปาชอบเพลงนี้?"

คริสถามขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับที่ฆาเบียร์ถาม เจนยุทธหัวเราะเบาๆ

"ผมจำได้ว่าอาปาเคยบอกว่าชอบแล้วยังเล่นให้ผมฟังตอนอยู่ที่ฮ่องกงครับ"

ตอนอยู่ที่บ้านของคริสที่ฮ่องกง นอกจากคริสจะลากเจไปเป็นเพื่อนจิบน้ำชาและพูดคุยกับเขาแล้ว เขายังให้เจเป็นผู้ฟังตอนที่เขาเกิดอารมณ์อยากเล่นเปียโนอีกด้วย ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ สองคนนี่ดูจะสนิทกันกว่าที่เขาคิดมาก คริสหัวเราะอย่างชอบใจ

"เจ ขอบใจจริงๆ นะ อาปาจะเก็บมันไว้อย่างดีเลย มันเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว"

ที่วิเศษนั้นไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นกล่องดนตรีที่ไพเราะเพราะพริ้งหรือว่าอะไร แต่เป็นเพราะความใส่ใจของเจนยุทธที่จำได้กระทั่งเพลงที่เขาชอบทั้งๆ ที่เขาเคยเล่นให้ฟังเพียงแค่ครั้งเดียว เจยิ้มแก้มแทบปริเมื่อเห็นว่าคริสนั้นชอบของขวัญของเขา


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ของดีเมืองเชียงใหม่ (ต่อ) ----



"อะไรกัน เจ ทีอาปาชมล่ะยิ้มแก้มแทบแตก แล้วทีฉันชมเจไม่เห็นดีใจแบบนี้บ้างเลย"

คนตัวโตขี้อิจฉาประท้วงขึ้นเบาๆ เจทำหูทวนลม เขาหยิบกล่องของขวัญออกมาอีกสองกล่องและส่งให้เมลิน่าและริคกี้ ทั้งสองพากันขอบคุณเจกันยกใหญ่ พวกเขาไม่เคยนึกว่าจะได้ของขวัญจากคนรักของเจ้านายด้วย

"คุณเจคะ มันสวยมากเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ"

เมลิน่าอุทานเมื่อเปิดกล่องกำมะหยี่สีดำที่ติดชื่อแบรนด์ ROC หรือ Royal Orchid Collection ออกดู ด้านในนั้นเป็นสร้อยและจี้เงินรูปดอกกล้วยไม้ออนซิเดียมขนาดจิ๋ว เจ้าหล่อนลองเอามาลองทาบกับตัวอย่างทะนุถนอม

"เหมือนกล้วยไม้จริงมากเลยค่ะ คุณเจ"

"ก็เพราะมันคือกล้วยไม้จริงๆ ที่เขาเอามาชุบเงินไงล่ะ เมลิน่า"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ขอดู เจตีมือคนตัวโตที่ทำท่าจะจับมันแรงๆ

"เบามือกับมันหน่อยสิ..."

"...เมลิน่า ถ้าใช้ๆ ไปแล้วมีการชำรุด ฝากฆาบี้เอามาให้ผมเลยนะ ผมจะเอาไปซ่อมให้ ที่ร้านเขารับซ่อมฟรี"

"...มันเป็นเงิน 18 K ใช้ๆ ไปก็อาจจะมีดำบ้างนะ แต่ก็จะดูสวยไปอีกแบบ"

เมลิน่าพยักหน้า เจ้าหล่อนส่งสร้อยให้ริคกี้ที่นั่งข้างๆ ใส่ให้ เจและฆาเบียร์แอบหันไปยิ้มให้กันเมื่อเห็นริคกี้มีสีหน้าแดงก่ำเมื่อเมลิน่าปัดผมยาวเป็นลอนของตัวเองออกไว้ด้านข้างจนเห็นคอยาวระหงสีน้ำผึ้ง เขามือไม้สั่นใส่ไม่ได้สักทีจนเจต้องช่วยลุกไปใส่ให้ เมลิน่าหันไปบ่นลูกไล่ของตัวเอง ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนั้นดีขึ้นแล้ว คริสแอบกระซิบให้เขาฟังก่อนหน้านี้ว่าหลังจากโดนเขาอบรมไปเมื่อคืนก่อนสองคนนั้นก็มานั่งหน้าเครียดคุยกันพักใหญ่ คริสซึ่งเคารพความเป็นส่วนตัวของทั้งสองไม่ได้อยู่ฟัง แต่เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงบรรยากาศระหว่างสองคนนั้นดีขึ้นมาก ต่อให้ไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียวแต่ก็ยังดีกว่าสี่ห้าวันที่ผ่านมา



"ส่วนนี่ ของริคกี้"

เจยื่นห่อขนาดใหญ่ให้เลขาฯ หนุ่มของคริส เขาแกะดู มันเป็น Tote ผ้าใบขนาดกลางสีส้มอิฐสดใส ส่วนก้นของกระเป๋าเป็นยางสีดำลายคุ้นตา ด้านหลังของกระเป๋ามีสายซึ่งปรับเป็นสายสะพายไหล่แบบเป้ได้ ด้านหน้ามีแผ่นยางปั๊มตรา

"Rubber Killer..."

ริคกี้อ่านออกมาเบาๆ

"มันเป็นแบรนด์ที่เกิดมาจากความคิดที่จะเอายางรถเก่ามาแปรสภาพน่ะ ชิ้นส่วนที่เป็นยางของกระเป๋าใบนี้ทำมาจากยางในของรถบรรทุกนะ ริคกี้"

ริคกี้จับกระเป๋าพลิกซ้ายพลิกขวาดู เจบอกว่ากระเป๋าแต่ละใบจะไม่ซ้ำใครเพราะลายยางที่ไม่เหมือนกัน

"สินค้าทุกชิ้นของแบรนด์นี้ทำมาจากยางในของพาหนะหลายๆ ชนิด บางรุ่นยังใช้สายเข็มขัดนิรภัยเก่ามาเป็นสายสะพายด้วยนะ"

เจเล่าให้ฟังต่อว่าผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้เป็นลูกชายของศิลปินแห่งชาติและนักเขียนชื่อก้องผู้ล่วงลับไปแล้วอย่าง 'รงค์ วงษ์สวรรค์

"ผมเคยอ่านเจอด้วยว่ารายได้ส่วนหนึ่งของแบรนด์นี้ถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาให้เด็กยากจนอีกด้วยนะ"

ฆาเบียร์ขอยืมกระเป๋าใบนั้นมาดูอย่างสนใจ เขาเห็นเจมีกระเป๋า messenger กับ Tote ของแบรนด์นี้อยู่ใบสองใบเหมือนกัน เขาก็ว่ามันสวยดีแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วเขาก็ชักอยากได้บ้าง เจบอกว่าแบรนด์นี้มาจากเชียงใหม่นี่เอง

"เจ ไว้พาฉันไปดูที่ร้านหน่อยสิ"

"อยากได้เหรอจ๊ะ เมียจ๋า เดี๋ยวป๋าซื้อให้เอง"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ อย่างลืมตัว ก่อนที่จะสะดุ้งแล้วนึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันสองคน เขาหันไปขอโทษเบาๆ กับคนตัวโตที่หน้าแดงระเรื่อเพราะความเขิน ผู้ร่วมวงสนทนาอีก 3 คนต่างพากันอมยิ้มกับความกุ๊กกิ๊กของคู่นี้

"เอ่อ ฆาบี้ ร้านนี้คุณก็เคยผ่านบ่อยๆ เขาอยู่ตรงข้ามกับร้านกาแฟ Impresso ร้านโปรดของเราไง"

ฆาบี้นึกออกทันที เขานั่งมองมานานแล้วว่าไอ้เจ้าร้านที่มีรถและเวสป้าเก่าจอดอยู่เต็มหน้าร้านนั้นคือร้านอะไร ไว้คราวหน้าเขาจะลองเข้าไปดูสักที เจบอกคริสว่าของทั้งสามชิ้นที่เขาเลือกมานั้นล้วนเป็นของที่ผลิตในจังหวัดเชียงใหม่

"เมืองเชียงใหม่ของผมนี้โด่งดังในด้านงานฝีมือมานานแล้วครับ สมัยก่อนสินค้าของเราก็เป็นพวกเครื่องเขิน เซรามิค ศิลาดล ร่ม พัด ผ้าไหม ผ้าฝ้าย..."

"...สมัยนี้ เราพัฒนาพวกสินค้าที่เน้นด้านดีไซน์มากขึ้น อย่างช่วงต้นเดือนธันวาที่ผ่านมาเราก็เพิ่งมีงาน NAP หรือนิมมานเหมินท์ อาร์ตแอนด์ดีไซน์ พรอเมนาด ซึ่งมีผู้ผลิตสินค้าพวกงานดีไซน์และศิลปะมาออกร้านมากมาย เป็นงานดังระดับประเทศเลยนะครับ"

เจนยุทธพูดถึงเมืองอันเป็นที่รักของเขาอย่างภูมิใจ เขาไม่เคยพลาดไปงาน NAP เลยสักปีและมักได้ของติดไม้ติดมือมาตลอด



เจนยุทธดูนาฬิกา เที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาบอกฆาเบียร์ว่าควรจะปล่อยให้ทุกคนไปพักผ่อนได้แล้ว

“อาปาครับ พรุ่งนี้บ่ายๆ ผมจะเข้าไปที่บ้านแม่ อาปาจะให้ผมทิ้งฆาบี้ไว้นี่ไหมครับ?”

“ไม่ต้องก็ได้ เจ พรุ่งนี้ฉันยังไม่มีแพลนทำอะไร อาจจะนั่งๆ นอนๆ พักผ่อน”

คริสบอกว่าเขาเคยมาเชียงใหม่หลายหนแล้ว และที่มาคราวนี้เขาแค่อยากมาเจอลูกๆ ของเขาเพียงแค่นั้น

“พรุ่งนี้เจไปทำธุระตามสบายเถอะ แค่มาหาอาปาตอนเย็น แล้วพาพวกริคกี้กับเมลิน่าไปเปิดหูเปิดตาตอนกลางคืนก็พอ”

คริสพูดยิ้มๆ

“ไป ไปนอนกันได้แล้ว…”

ผู้เฒ่าคริสไล่คนทั้งสองไปนอน ก่อนจะสำทับกับฆาเบียร์ไว้

“…ฆาบี้ ไงก็เพลาๆ มือหน่อยล่ะ แถวนี้มันเงียบ”

ทั้งฆาเบียร์และเจนยุทธหน้าร้อนวาบ คริสออกปากแบบนี้พวกเขาจะไปกล้าทำอะไรกัน ฆาเบียร์บ่นอุบอิบเป็นภาษาแม่ของเขาอยู่ในคอ คริสหัวเราะเบาๆ เขากล่าวราตรีสวัสดิ์กับทุกคนและขอตัวกลับขึ้นไปบนห้อง เมลิน่าพูดยิ้มๆ แซวนายรักของเจ้าหล่อน

“นายคะ ฝันดีนะคะ เอ๊ะ หรือจะไม่ได้นอน”

ฆาเบียร์พ่นคำไม่ค่อยสุภาพเป็นภาษาสเปนใส่แม่เลขาสาวคู่ใจที่โตมากับบ้านเขา เมลิน่าทำท่ากลัวแล้วเดินไปหลบหลังเจ เจทำท่าโอ๋แม่สาวที่เมื่ออยู่นอกเวลางานจะต่างกับเวลาทำงานลิบลับคนนี้

“คุณอย่าใจร้ายกับเมลิน่านักสิ งั้นคืนนี้ผมขอค้างกับสองคนนี่นะ ไม่ได้เจอกันนาน จะคุยกันให้ถึงเช้าเลย”

เลขาทั้งสองชักไม่สนุกแล้วเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของนาย เจยิ้มน้อยๆ และหันไปหัวเราะและคุยเจ๊าะแจ๊ะกับริคกี้ที่ได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้กับเมลิน่าที่ได้แต่ส่งสายตาเห็นใจมาให้ ฆาเบียร์เม้มปากแน่นและตัดสินใจหันหลังเดินกลับห้องเพียงลำพัง เจรีบลาเลขาฯ ทั้งสองและรีบเดินตามคนรักของเขาไปที่ห้อง



“ฆาบี้ครับ…ฆาเบียร์ อย่างอนสิ”

เจเอาคางเกยไหล่คนตัวโตที่นั่งหน้าตูมหันหลังให้เขาอยู่บนเตียงและกอดเอวไว้หลวมๆ แต่ฆาเบียร์ก็ยังคงนิ่งไม่พูดไม่จา เจถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถ้าคุณจะเป็นแบบนี้ ผมก็จะกลับไปนอนบ้านแล้วกัน พรุ่งนี้สายๆ จะมารับ”

เจนยุทธเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง ในเมื่อคนตัวโตอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะไม่อยู่ให้เกะกะลูกตา เจเดินผ่านสวนออกไปยังประตูใหญ่แต่ก่อนที่จะเดินไปที่รถข้อมือเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง

“ฆาบี้ ผมเจ็บ! ปล่อย!”

เจตวาดเบาๆ เขากลัวคนที่หลับไปแล้วจะได้ยิน ฆาเบียร์ไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็ก เขาอาศัยความที่มีแรงมากกว่าลากเจที่ยังมีทีท่าแข็งขืนและพาเดินลิ่วๆ กลับเข้าห้องแล้วปิดประตูตามหลัง เขาหันมามองเจด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“อยู่กับฉันมันน่าเบื่อนักเหรอ เจ นายถึงจะไม่ยอมนอนกับฉัน”

เจนยุทธยืนอึ้งดูคนคิดมากระบายความในใจตัวเองออกมา เขาแค่คิดว่ามันดึกแล้วเลยยังไม่อยากทะเลาะด้วยตอนนี้ เขาถอนหายใจแล้วดึงร่างคนตัวโตขี้กังวลมากอดไว้

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะ ฆาบี้”

เขาพูดความจริงที่อยู่ในใจ

“ผมแค่เห็นว่าคุณอารมณ์ไม่ดีและยังไม่อยากทะเลาะกับคุณ มันดึกแล้ว แถมที่นี่ก็ไม่ใช่ที่บ้าน…”

ฆาเบียร์นั่งนิ่งปล่อยให้คนตัวเล็กกอด เจกระซิบเบาๆ ข้างหูคนตัวโต

“แล้วคุณหงุดหงิดอะไรของคุณ ฆาเบียร์? คุณยังไม่ชินกับที่ผมเล่นหัวกับพวกคนของคุณอีกเหรอ?”

อีกฝ่ายยังคงเงียบและเบือนหน้าหนีตอนเขาพยายามจูบแก้ม เจชะงักไป

“…นี่ผมมันไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าผมรักคุณแค่ไหน”

เจนยุทธพูดเสียงเครือ พร้อมดันคนตัวโตออกจากอ้อมอก เขามองลึกเข้าไปในดวงตาวับวาวแล้วก็อุทานลั่น เจทุบผลั่กเข้าไปที่อกของคนตัวโตเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในตาคู่นั้น เขาสบถยาวยืดเป็นภาษาไทยและพยายามจะทุบต่อ ฆาเบียร์หัวเราะลั่นแล้วรวบตัวคนรักเข้ามาจูบจนหนำใจ



“…ก็หลังๆ นี้เจไม่ค่อยยอมบอกรักฉันก่อนเลยถ้าไม่ใช่ตอนมีเซ็กส์หรือตอบรับที่ฉันบอกไปก่อน ฉันน้อยใจนะ รู้ไหม?”

ร่างใหญ่กำยำที่ทาบทับบนตัวเจนยุทธกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหู คนตัวเล็กถอนหายใจ จะมางอนอะไรกับเรื่องแบบนี้นะ คุณฆาเบียร์

“งั้นอยากฟังกี่ภาษาล่ะ คุณฆาเบียร์?”

เจดันร่างใหญ่ที่นอนคร่อมตัวเขาออกและพลิกกายเป็นฝ่ายขึ้นนอนทับบนร่างคนรักของเขาและกระซิบคำรักในทุกภาษาที่เขาเคยเรียนหรือเคยผ่านหู

“ผมรักคุณ”

เจเริ่มจากภาษาไทยและจูบลงที่หน้าผากของคนตัวโต ตามด้วยภาษาอังกฤษ

“I love you”

อีกจูบถูกประทับที่เปลือกตาด้านขวา

“...Je t’aime...ti amo...ich liebe dich...aishiteru...sarang hae...หว่ออ้ายหนี่…”

ทุกคำรักมาพร้อมจุมพิตแผ่วที่พรมไปทั่วใบหน้าที่ยิ้มกริ่มของคนเจ้าเล่ห์

“Jeg elsker deg...”

ฆาเบียร์จำได้ว่านี่คือภาษานอร์ส นพซึ่งเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นั่นคงเคยสอนเจไว้

“ผมฮักอ้าย…”

เจกระซิบบอกรักด้วยภาษาแม่ของเขาคือคำเมืองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แม่อยากให้เขาเรียกฆาบี้ว่า “อ้าย” หรือ “พี่ชาย” แต่เขาก็ยังเขินเกินไปที่จะเรียก

“หง่อ งอย เหนย์..."

"y te quiero, vida Mia”

เจจบด้วยสองภาษาที่ฆาเบียร์รู้จักดีอย่างจีนกวางตุ้งและภาษาสเปน เขายังไม่ทันประทับจูบสุดท้ายลงบนริมฝีปากบางที่ยิ้มพรายนั้นก็ถูกคนตัวโตรัดร่างไว้แน่นก่อนที่จะกดจูบร้อนๆลงที่ริมฝีปากของเขา ฆาเบียร์ดูดดึงริมฝีปากบนล่างของคนรัก เจเองก็ทำเช่นเดียวกัน สำหรับเจแล้วแม้ไม่ได้พูดออกไป คำว่ารักของเขาแสดงออกมาในทุกการสัมผัส และตัวเขาเองก็รับรู้ความรักของคนตัวโตได้จากทุกการสัมผัสของฆาเบียร์เช่นกัน ทุกการกระทำ ทุกความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ทุกจุมพิต ทุกการโอบกอด ทุกการลูบไล้ ทุกการกระแทกกระทั้น ความรักของพวกเขาล้วนแสดงออกมาทางการสัมผัสเหล่านี้



"แช่น้ำกันไหม เจ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่นอนตาปรืออยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้จะเริ่มต้นอย่างเร่าร้อน ทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากแลกจุมพิตและสัมผัสภายนอกกัน พวกเขาแค่อยากนอนกอดกันเพียงแค่นั้น

"อือ ไปๆ อาบน้ำๆ"

เจที่หัวยุ่งเพราะถูกคนตัวโตขยำขยี้ผมเพราะอารมณ์เตลิดลุกขึ้นทั้งที่ตายังหลับ

"ไม่ใช่อาบน้ำ ลงอ่างจากุซซี่หน้าเรือนใหญ่น่ะ ไปไหม?"

"โหย หนาวแย่ นี่มันตีหนึ่งกว่าแล้วนะ"

เจนยุทธโอดครวญ ถึงจะไม่ได้หน๊าวหนาว แต่อากาศยามดึกของเชียงใหม่ปลายเดือนธันวาคมก็ลงต่ำกว่า 20 องศา

"ถ้าจำไม่ผิด มันเป็นอ่างน้ำอุ่นนะเจ สนไหม?"

คนตัวโตพยายามชักชวน เขาดึงร่างเพรียวให้ลุกขึ้นและรุนหลังให้เข้าไปในห้องน้ำ ทั้งคู่ล้างตัวเร็วๆ และใส่ผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากเรือนเล็กในสวน คนตัวเล็กบ่นหนาวแต่ก็เลิกบ่นเมื่อหย่อนร่างเปลือยเปล่าลงในบ่อจากุซซี่กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่แสนอุ่นสบาย

"ไม่มีใครเห็นเราแน่นะ ฆาเบียร์?"

"ไม่มีหรอก ฝั่งตรงข้ามเราก็ไม่มีตึกอื่น ตึกที่เมลิน่ากับริคกี้พักก็อยู่คนละด้าน ถ้าจะมีใครเห็นก็อาปานั่นแหละ"

เจใจหายวูบ รีบหันขึ้นไปดูบนตึกใหญ่ แต่ก็เห็นห้องคริสปิดไฟแล้ว

"เห็นไหม ฉันบอกแล้ว ไม่มีใครดูหรอก"

ฆาเบียร์หัวเราะ แล้วกระซิบอะไรสักอย่างเบาๆ ข้างหูเจ เจนยุทธหน้าแดงก่ำแล้วพุ้ยน้ำหนีห่างคนตัวโต ฆาเบียร์ว่ายตามไปรอบๆ บ่อจากุซซี่ขนาดใหญ่นั้น เขาจับตัวเจได้ในที่สุดก่อนที่จะตรึงร่างนั้นไว้กับขอบสระ

"จั๊กกะจี้!"

เจหัวเราะก๊าก สายน้ำอุ่นๆ ที่พวยพุ่งมาจากหัวจากุซซี่แนบเข้ากับช่วงเอวของเขา ฆาเบียร์ดันร่างของเจให้สูงขึ้น เจใช้ขาเกี่ยวกระหวัดกับช่วงเอวของคนตัวโตและใช้สองแขนโอบรอบคอหนานั้น



"อ๊ะ ฆาเบียร์..."

เจสูดปาก สายน้ำอุ่นๆ ที่พวยพุ่งออกมากระตุ้นเร้าที่ปากช่องทางด้านหลังของเขา มือไม้ของฆาเบียร์เริ่มซุกซน เขาจับคนตัวเล็กนั่งที่ขอบสระและฝังใบหน้าลงกับกลางกายของคนตัวเล็ก แม้อากาศจะหนาวแต่เจนยุทธก็ร้อนไปทั้งตัว เขาเอามือปิดปากเพื่อกันเสียงไม่ให้ดังไปถึงห้องข้างบน เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อฆาเบียร์ใช้นิ้วรุกล้ำที่ปากทางสีชมพูของเขา เจเผลอครางออกมาเมื่อฆาเบียร์ประทับรอยรักไว้บนเนื้ออ่อนๆ ที่ต้นขาด้านในของเขา ฆาบี้ไม่เร่งรีบแต่ค่อยๆ ใช้เวลาโลมเล้า เขาเย้าหยอกรอบๆ ส่วนสงวนของเจ จนเจต้องร้องขอมันจากเขา

"ทำเถอะ ฆาบี้...Suck it now!"

เจจับแก่นกายของตนที่แข็งจนปวดหนึบๆ ไล้ไปที่ริมฝีปากของคนตัวโต เขานั้นลืมอายไปแล้วตั้งแต่ลงน้ำกลางแจ้งด้วยตัวเปล่าเปลือย ฆาเบียร์ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ เจหลับตาพริ้มและปล่อยให้ลิ้นและริมฝีปากร้อนๆ ของคนตัวโตทำหน้าที่ของมันไป เขาจิกเล็บลงกับบ่ากว้างนั้นอย่างลืมตัวในขณะที่พยายามกลั้นเสียงอันเกิดจากความหฤหรรษ์ ฆาเบียร์รีบเร่งเร้า เขารู้แล้วว่าคนรักของเขากำลังจะถึงจุด เขาดูดกลืนเจเข้าไปทั้งหมด ลิ้นของเขาทำงานไปพร้อมๆ กับที่ดูดมันจนแก้มตอบ เจกดหัวฆาเบียร์ลงไปพร้อมคำรามลั่นอย่างลืมตัว น้ำอุ่นๆ ฉีดเข้าลึกในคอคนตัวโตจนสำลักไปบ้างแต่เขาก็กลั้นใจกลืนกินมันเข้าไปทุกหยด

เจทิ้งตัวลงในน้ำอย่างหมดแรง เขาซบอกฆาเบียร์แล้วเอามือโอบคอเมียตัวโตของเขาไว้เป็นหลักยึด ฆาบี้ประคองร่างเจนยุทธไว้อย่างทะนุถนอม เขาก้มลงหอมเรือนผมดำขลับ

“ชื่นใจ”

เขาโอบรัดร่างเจไว้

“แน่ะ ซนนักนะเรา”

เขาคว้ามือคนตัวเล็กที่เปะป่ายซุกไซร้หาความอุ่นจากกลางตัวเขาที่ชูชันสู้มือคนรัก เจบดเบียดกายเข้าหาเมียตัวโตของเขา

“คุณยังไม่เสร็จเลยนะ ฆาเบียร์ เดี๋ยวผมช่วยจะได้ไม่ต้องคั่งค้าง”

ฆาเบียร์หัวเราะ

“แล้วใครว่าฉันจะปล่อยให้คั่งค้างล่ะ เจ”

ดวงตาพริบพรายคู่นั้นทำให้เจหน้าแดงก่ำ เขาเข้าใจความหมายของฆาบี้ดี

“…แต่ไม่ใช่ที่นี่นะ เจนยุทธ”

เขากระซิบเบาๆ ข้างหูเจ คนรักตัวเล็กของเขาตอบรับเบาๆ ในลำคอและปล่อยให้เขาประคองร่างขึ้นจากน้ำ ทั้งคู่ใส่ชุดคลุมและจูงมือพากันเดินกลับไปยังเตียงอันอ่อนนุ่มที่รออยู่ในห้อง



---------------------------------------------


เจกับฆาเบียร์นี่ชอบน้ำจริงๆ สงสัยชาติก่อนจะเป็นแมวน้ำ...

ร้าน L'elephant นี่ขอแนะนำจริงๆ ค่ะ ชอบแทบทุกจานที่เสิร์ฟเลย คุ้มค่าจริงๆ

ใครมีแอคเคาท์ของ Spotify ก็เข้าไปฟังเพลงจากเพลย์ลิสต์ของร้าน L'Elephant ได้เลยนะคะ ฟังเพลินดีจริงๆ มีสองร้อยกว่าเพลง  https://goo.gl/z9FmYD

เครื่องประดับทำจากดอกไม้ร้าน ROC – Royal Orchid Collection https://goo.gl/HTKHP6

Rubber Killer ของเขาเท่จริงๆ http://www.rubberkiller.com/

บรรยากาศงาน NAP ครั้งที่ผ่านมา https://www.facebook.com/nimmansoi1/





ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
โอ้ เราชอบอาหารค่ะ ทำให้ชอบนิยายเชิงรีวิวอาหารด้วย (สารภาพว่ากดไล่อ่านรีวิวก่อนความสัมพันธ์เสียอีก( เขินง่ะ))
แถมร้านสุดท้ายนี้ลาลาฟอง! เราเคยไปทานตอนไปหลวงพระบางค่ะ คิดว่าที่เชียงใหม่คืออีกสาขาใช่ไหมคะ เมนูคล้ายๆกัน
ที่หลวงพระบางจะมีเมนูวัตถุดิบท้องถิ่นที่ดังๆอย่าง เนื้อควาย ปลาลุ่มแม่น้ำโขง ของหวานก็เข้มข้นสไตล์ลาลาฟอง
นี้ยังคิดอยากไปเมื่อมีเวลาเลยค่ะ ต่อไปจะไปเชียงใหม่แล้ว!

ว่าแต่เชียงใหม่นี้เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆนะคะเนี่ย...
จากที่อ่านๆในนิยาย หากวันไหนไม่มีนักท่องเที่ยว เมืองคงเงียบเหงาน่าดู(อีกนานโขเลยแหละ)

สุดท้าย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
Beau travail, merci!! <3

#Anynomous


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
โอ้ เราชอบอาหารค่ะ ทำให้ชอบนิยายเชิงรีวิวอาหารด้วย (สารภาพว่ากดไล่อ่านรีวิวก่อนความสัมพันธ์เสียอีก( เขินง่ะ))
แถมร้านสุดท้ายนี้ลาลาฟอง! เราเคยไปทานตอนไปหลวงพระบางค่ะ คิดว่าที่เชียงใหม่คืออีกสาขาใช่ไหมคะ เมนูคล้ายๆกัน
ที่หลวงพระบางจะมีเมนูวัตถุดิบท้องถิ่นที่ดังๆอย่าง เนื้อควาย ปลาลุ่มแม่น้ำโขง ของหวานก็เข้มข้นสไตล์ลาลาฟอง
นี้ยังคิดอยากไปเมื่อมีเวลาเลยค่ะ ต่อไปจะไปเชียงใหม่แล้ว!

ว่าแต่เชียงใหม่นี้เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆนะคะเนี่ย...
จากที่อ่านๆในนิยาย หากวันไหนไม่มีนักท่องเที่ยว เมืองคงเงียบเหงาน่าดู(อีกนานโขเลยแหละ)

สุดท้าย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
Beau travail, merci!! <3

#Anynomous


ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเลเลฟองที่เชียงใหม่นี่ไม่ได้เป็นสาขาของร้านที่หลวงพระบางค่ะ แค่ชื่อพ้องกันเฉยๆ ของที่หลวงพระบางจะเน้นใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นแล้วปรุงด้วยเทคนิคแบบฝรั่งเศสและหน้าตาอาหารดู rustic กว่า  ส่วนของเชียงใหม่จะเน้นวัตถุดิบนำเข้าจากฝรั่งเศสเป็นหลักเลย และเป็นอาหารฝรั่งเศสแบบที่คนมักจะนึกถึง คือจานเล็กๆ จุ๋มจิ๋ม แต่งสวยๆ สีสันจัดๆ อะไรแบบนั้น แต่ก็อร่อยทั้งสองร้านนะคะ
และถ้าจำไม่ผิดราคาก็น่าจะพอๆ กัน ร้านเชียงใหม่แพงกว่าหน่อย :-) 

ถ้าชอบอาหารฝรั่งเศส เดี๋ยวช่วงหน้าของเรื่อง (แต่ไม่รู้ว่าจะในอีกกี่ตอน) จะมีรีวิวอาหารฝรั่งเศสร้านดังจากต่างแดนอีกร้านด้วยนะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ค่ะ  :m13: :m13: :m13:  อาจจะบรรยายช่วงกินได้ไม่ค่อยเป็นเรื่องเท่าไหร่เพราะคนเขียนเป็นประเภทลิ้นจระเข้ กินอะไรก็อร่อยไปหมด แต่ก็จะพยายามนำเสนอร้านที่หลากหลายให้เป็นทางเลือกแก่คนอ่านค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2017 06:04:51 โดย La Vida Sin Tu Amor »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลยค่ะ
มากดให้กำลังใจคนเขียนก่อน วันหลังจะมาตามอ่านนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- แฟนผมน่ะ…คนนี้ ----



ร่างเปลือยทั้งสองกอดก่ายซุกไซร้กันอยู่บนเตียงกว้างของเรือนพักกลางสวนน้อย หากคราวนี้ฆาเบียร์เลือกที่จะร่วมรักกับเจอย่างเนิบนาบ เขาสัมผัสและล่วงล้ำเข้าสู่กายของคนรักอย่างอ่อนโยน ความดุเดือดรุนแรงในใจของเขาหมดไปเมื่อคืนก่อนหน้านี้แล้ว เขาจูบเบาๆ ซ้ำไปตามรอยช้ำที่ปรากฏบนร่างเจอันเป็นผลมาจากอารมณ์ซึ่งหยุดไม่อยู่ของเขาเมื่อคืนวาน เขาพร่ำขอโทษจนเจต้องจูบปิดปากไม่ให้เขาพูด ฆาเบียร์ปล่อยให้เจนยุทธเป็นคนคุมเกม เขามองแก่นกายของตนที่ถูกช่องทางแคบเล็กของเจโอบครอบลงทีละน้อย เจค่อยๆ ขยับกายขึ้นลงอย่างช้าๆ แม้เขาจะมอบกายให้ฆาเบียร์มาหลายครั้งแล้ว เขายังคงไม่ชินกับขนาดของพ่อม้าที่เขากำลังควบขี่อยู่นี่สักที

“เจ็บไหม เจ เอาเจลเพิ่มไหม?”

คนรักของเขาถามอย่างเป็นห่วง เจส่ายหน้าและกดสะโพกบดลงบนแกนกายของฆาเบียร์ เขาขยับไปในทิศทางต่างๆ อย่างช้าๆ เขายังปวดหน่วงๆ จากเซ็กส์ที่ค่อนข้างรุนแรงเมื่อคืน แต่ก็อยากตอบสนองความต้องการของคนรักที่อีกไม่นานต้องจากกันแล้ว อีกทั้งในคืนนี้ฆาเบียร์เองก็นุ่มนวลกับเขามาก เขาก็อยากจะตอบรับให้เต็มที่จนสุดทาง



“โอ ฆาบี้ ดีมาก…”

เจครางออกมาลั่น เขานอนคุดคู้ตะแคงข้างอยู่บนเตียงนุ่ม เมียตัวโตของเขานั่งคุกเข่าประกบอยู่ด้านหลังพร้อมยกขาข้างหนึ่งของเขาขึ้นน้อยๆ และประเคนความเสียวซ่านให้เขาอย่างไม่ยั้ง ฆาเบียร์เม้มปากแน่น เหงื่อเม็ดเป้งไหลซึมออกมาข้างขมับ เขากำลังข่มใจไม่ให้ตัวเองหนักมือกับคนตัวเล็กจนเกินไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ชอบและไม่เคยมีเซ็กส์ที่รุนแรงกับคู่นอน แต่เจมักทำให้เขายั้งใจไม่อยู่ เขาอยากเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเจ อยากได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหฤหรรษ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากเห็นเจถึงจุดจนหลับไป เขาอยากได้ทุกอย่างของเจและในขณะเดียวกันก็อยากประเคนทุกอย่างของเขาแก่คนตัวเล็กคนนี้

ฆาเบียร์จับขาเจนยุทธขึ้นพาดบ่าทั้งสองของเขาและดันให้สะโพกเจให้ลอยขึ้น เจหน้าแดงก่ำมองช่องทางของตนดูดกลืนลำกายของเมียตัวโตของเขา เขาบิดกายเร่าเมื่อความรู้สึกพุ่งขึ้นจนท่วมท้น เจจิกนิ้วกำผ้าปูเตียงแน่น ก่อนจะกระตุกกายและหลั่งออกมาอย่างแรง ฆาเบียร์เองก็ถูกแรงบีบรัดจากช่องทางนั้นกระตุ้นจนปลดปล่อยออกมาเช่นกัน เขาซบกายลงบนร่างที่ยังคงสั่นน้อยๆ ของเจและพร่ำคำหวานใส่คนรัก เจนยุทธตอบกลับด้วยจุมพิตอันแสนหวาน ทั้งคู่กอดรัดอิงแอบแนบชิดกันครู่ใหญ่ก่อนฆาบี้จะประคองร่างเจเข้าไปชำระล้างร่างกาย

ฆาเบียร์ฟอกสบู่ขัดถูทั่วร่างของคนรัก เขานั่งคุกเข่าลงเพื่อถูสบู่ตามแข้งขาของเจ เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับตากลมโตของคนตัวเล็ก เจใจเต้นเมื่อเห็นแววตาซุกซนของคนตัวโต ฆาเบียร์แนบหน้าลงกับต้นขาแข็งแรงของเจแล้วขบเม้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เจอุทานลั่นและรีบดันหัวคนลามกออกแล้วรีบเปิดน้ำล้างสบู่ออก ฆาเบียร์คว้าร่างเพรียวไว้ก่อนที่จะหนีออกห้องน้ำไป

“จะหนีไปไหน เจ...”

เจนยุทธใจสั่น ถ้าฆาบี้ขออีกรอบนี่เขาคงต้องตายแน่ๆ

“…เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้งก่อนสิ”

ฆาเบียร์ดึงผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างเจก่อนที่จะช่วยเช็ดเนื้อตัวให้จนแห้ง เขาเช็ดและเป่าผมให้เจก่อนจะพาขึ้นนอนบนเตียงกว้างและห่มผ้าให้ เขาจุมพิตที่หน้าผากนวลเนียนและลงนอนเคียงข้างก่อนจะกดปิดไฟห้อง ในความมืดเขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเจนยุทธที่ขยับกายขึ้นมานอนหนุนไหล่เขา เขาโอบร่างนั้นไว้แล้วก็ต้องสะท้อนใจเมื่อคิดว่าอีกเพียง 5 วันเขาก็ต้องกลับไปนอนเดียวดายอีกครั้ง เขาหันไปจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของเจที่หลับไปแล้วก่อนที่จะหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา เป็นอีกหนึ่งคืนที่เขานอนหลับอย่างสนิทเคียงข้างคนที่เขารัก



ทั้งสองคนตื่นขึ้นมายามเช้าด้วยความสดชื่น หลังจากอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็อาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็เดินอิงแอบกันไปที่เรือนใหญ่ คริสลงมานั่งกินข้าวอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะอาหารเช่นเดียวกับเมลิน่าและริคกี้

“อ้าว ตื่นกันแล้วเหรอ ทั้งสองคน อาปานึกว่าจะตื่นกันสายกว่านี้…”

ประโยคถัดไปทำให้เจและฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ

“…เมื่อคืนอาปาลุกมาเข้าห้องน้ำตอนเกือบตีสอง ได้ยินเสียงจากุซซี่ดังเลยมาชะโงกหน้าดู เห็นพวกเรายังเล่นน้ำกันอยู่เลย”

คริสไม่ได้บอกว่าเขาแทบสะดุ้งเมื่อโผล่หน้ามาเห็นบทรักของลูกชาย ผู้เฒ่าคนนี้ยังมารยาทพอที่จะไม่ยืนมอง เขากลับเข้าห้องไปแทบจะทันทีเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่คนทั้งสอง

เจแอบทุบหลังคนตัวโตที่ล่อลวงเขาจนยอมให้ทำอะไรต่อมิอะไรกลางแจ้งไปเมื่อคืน ฆาบี้หน้าเสียไปเล็กน้อย ถึงเขาจะเป็นเกย์เปิดเผยและเจ้าชู้ปานนั้น เขาก็ไม่เคยให้อาปาหรือพ่อแม่ได้เห็น ‘การปฏิบัติการ’ ของเขาสักครั้ง แต่นี่ไม่รู้เมื่อคืนคริสเห็นถึงขนาดไหน นอกจากอเล็กซ์ซึ่งเป็นแฟนคนแรกสมัยมัธยมแล้ว เขาไม่เคยพาคู่นอนคนไหนเข้ามาที่บ้านพ่อแม่หรือบ้านใหม่ที่พาโล อัลโตของเขากับคริสอีกเลย แต่คราวนี้เขาเผลอตัวไปเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่ที่บ้าน แถมยังคิดว่าคริสน่าจะหลับสนิทไปแล้ว อีกทั้งเจก็ทำตัวน่าหม่ำเสียขนาดนั้น เขาเลยอดใจไม่ไหว

“ผมขอโทษครับอาปา คราวหน้าผมจะไม่ทำแบบนี้อีก”

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาคงต้องหัดห้ามใจตัวเองเวลาอยู่ใกล้เจนยุทธเสียบ้าง คริสหัวเราะเบาๆ

“ตามสบายเถอะ อาปาไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ระวังคนนอกจะมาเห็นเอาแล้วกัน”

เจและฆาเบียร์รับปากว่าจะระวังตัวให้มากกว่านี้



“อาปาครับ เดี๋ยวพวกผมจะไปบ้านแม่ก่อนแล้วเย็นๆ จะมารับทุกคนไปกินข้าวนะครับ”

เจกำลังจะเดินออกไป ทันใดเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ตายล่ะ เกือบลืม ผมเอาสตูว์เนื้อที่ผมทำให้ฆาเบียร์มาให้อาปาชิมด้วยนะครับ”

เจกุลีกุจอเข้าครัวไปหยิบกล่องสตูว์ที่เขาพักไว้ในช่องชิลล์ตั้งแต่เมื่อคืนออกมา เขาบอกคริสที่เดินตามเข้ามาในครัวว่าเขาจะอุ่นไว้ให้เลย จากนั้นก็จัดแจงเปิดเตาอุ่นสตูว์ให้ คริสเข้าไปยืนข้างๆ เจแล้วก้มดูสตูว์ในหม้อน้อย เขายืนคุยถามนั่นนี่กับเจ ฆาเบียร์ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะในครัวมองภาพนั้นด้วยความสุขใจ กลิ่นหอมๆ ของสตูว์ทำให้เขานึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่เขากับพ่อนั่งรอในครัวระหว่างที่แม่ของเขากับคริสช่วยกันทำสตูว์เนื้อแบบปูเอร์โตริโก้ ภาพเจที่หันมายิ้มให้เขานั้นทับซ้อนกับภาพของแม่ ฆาเบียร์กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่รื้นขึ้นมา

“เดี๋ยวผมจะไปเรียกแม่บ้านมาบอกวิธีเสิร์ฟสตูว์นี่นะครับ เผื่ออาปาจะได้กินเป็นมื้อเที่ยง”

เจขยับจะเดินออกไปนอกครัว แต่คริสเรียกไว้และบอกว่าเขาจะกินเลย คริสหยิบช้อนให้เจกับฆาบี้คนละคันและชักชวนให้ลงนั่งล้อมวงกันกินที่โต๊ะน้อยในครัวนั้น

"เหมือนวันเก่าๆ ใช่ไหมลูก?”

คริสพูดพลางหันไปยิ้มให้ฆาเบียร์ที่ยิ้มทั้งน้ำตา ฆาบี้ปาดน้ำตาหยดน้อยออก คนที่เขารักที่สุดทั้งสองคนนั่งอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว ชีวิตนี้เขาก็คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก คริสตักสตูว์ขึ้นชิมแล้มชมเปาะ รสชาติมันคล้ายกับที่เขาและคาตาลิน่าทำ ฆาเบียร์รีบเล่าให้ฟังเรื่องที่เจหุงข้าวมันให้เขากินกับสตูว์นี้แล้วมันทำให้อร่อยขึ้นแค่ไหน

“มันคืออาหารแห่งความรักของผมกับเจครับ”

คนตัวโตรีบอวดกับพ่อบุญธรรมของตน เจบ่นพึมพำกับความน้ำเน่าของคนรัก คริสหัวเราะแต่ก็บ่นเสียดายที่ไม่ได้ลองชิมข้าวมัน เจสัญญาว่าคราวหน้าจะทำให้กินแน่นอน หลังกินจนเสร็จ พวกเขาทั้งสองลาคริสและขับรถมุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่แตง



“สวัสดีครับ แม่”

ฆาบี้ยกมือไหว้ฟองนวลและทักทายเป็นภาษาไทย ถึงเขาจะยังพูดไทยไม่ได้ แต่เขาก็สามารถทักทายมารดาของคนรักด้วยภาษาไทยได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ฟองนวลรับไหว้ ทั้งสองทักทายและคุยกันพักใหญ่ก่อนที่จะถูกรบกวนด้วยเจ้าหมาหมูตัวโปรดของฆาเบียร์ แต่คราวนี้มันหยุดกึกตรงหน้าเจก่อนเพราะเจ้าตัวเอาขนมหมาชิ้นโตล่อมันไว้

“ขี้โกงนี่ เจ!”

คนตัวโตที่กะกอดรัดฟัดเหวี่ยงทักทายกับเจ้าหมาตัวโตอย่างเต็มที่แต่วืดบ่นขึ้นด้วยความเซ็ง เจหัวเราะร่วน เขารู้นิสัยตะกละของเจ้าหมาพันธุ์นี้ดี โดยเฉพาะสาวน้อยแสนสวยที่นั่งน้ำลายยืดอยู่ตรงหน้าเขาตัวนี้

“เอ้า โรซ่า ยกมือซิ 1 2 3…”

เจให้โรซ่ายกเท้าหน้าขึ้นวางบนมือเขาสลับข้างซ้ายและขวา

“...19 20 ดีมาก!”

เจป้อนขนมให้เจ้าหมาอ้วน จากนั้นล้วงออกมาอีกชิ้นหนึ่ง

“ทีนี้ ไฮไฟฟ์ 1 2 3…”

เจให้มันยกเท้าขึ้นสูงจนแตะฝ่ามือเขาที่ตั้งรออยู่ ฆาเบียร์มองอย่างทึ่ง เจให้มันทำครบ 20 ครั้งก่อนให้ขนมมันอีกชิ้น

“เก่งมากเลย เจสอนมันเองเหรอ?”

“ไม่หรอก ครูฝึกเขาสอนมันมา จริงๆ เขายังสอนอีกหลายอย่าง แต่พอนานๆ ไป ไม่ได้มีการย้ำ หรือให้ทำซ้ำมันก็ลืม นี่เหลือทำได้แค่ไม่กี่อย่าง อยากลองไหม?"

เจส่งถุงขนมให้ฆาเบียร์แต่กำชับว่าให้มันแค่ทีละชิ้นพอ และต้องให้ทำหลายๆ อย่างก่อนจะให้กิน ฆาเบียร์ทำตามที่เจทำอย่างสนุกสนาน เจนยุทธมองภาพฆาบี้ที่คร่ำเคร่งกับการฝึกโรซ่าอย่างขบขัน เขาชอบที่ได้เห็นภาพฆาเบียร์มีทีท่าสนุกสนานเหมือนเด็กเจอของเล่นแบบนี้จริงๆ มันขัดกับภาพลักษณ์เคร่งขรึมหรือกระทั่งภาพลักษณ์หนุ่มเจ้าสำราญที่ปรากฎต่อสายตาคนภายนอก



"โอ๊ย โรซ่า เบาๆ สิ อย่างับนิ้ว"

ฆาเบียร์ร้องออกมาแล้วตบปากเจ้าจอมตะกละเบาๆ เขาเริ่มรู้วิธีเล่นกับมันแล้ว สาวน้อยของเจทำหูลู่พร้อมส่งสายตาละห้อยมองฆาบี้ คนตัวโตหัวเราะออกมาเมื่อเห็นแววตาหมาน้อยของเจ้าหมาตัวแสบ มันช่างเหมือนเจ้านายของมันไม่มีผิด เขาแอบส่งขนมให้โรซ่าอีกชิ้นหนึ่ง แววตาแบบนี้ของทั้งเจ้าหมาและของเจ้านายของมันทำให้เขาใจอ่อนได้ทุกครั้ง

"อย่าไปตามใจมันมากสิ เดี๋ยวเสียนิสัย"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์ชอบแอบให้ขนมเจ้าหมาตัวยุ่งนี้บ่อยๆ

"แล้วเจล่ะ โดนฉันตามใจมากๆ เสียนิสัยหรือยัง"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจ้าตัวแสบหันมาทำหน้าแบ๊วใส่เขาจนฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องเอามือยีผมดำขลับของเจจนยุ่งไปหมด เจบ่นงึมงำแล้วชวนฆาเบียร์เอาของที่เตรียมมาเข้าไปเก็บในครัว พวกเขาเดินเข้าครัวไปหาฟองนวลโดยมีเจ้าหมาอ้วนเดินกระดิกหางตามไปไม่ห่าง



"มีอะหยังหื้อหมู่ผมจ้วยก่อครับ?"

‘มีอะไรให้พวกผมช่วยไหมครับ?’


ฟองนวลบอกว่าเธอเตรียมของในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ส่วนของเจเท่านั้น เจดึงเอากระดาษจดสิ่งที่ต้องทำออกมานั่งดูกับฆาเบียร์ ส่วนฟองนวลออกจากครัวไปดูความเรียบร้อยของสถานที่จัดงาน

"งั้น ส่วนของเราก็มีพวกซีฟู้ดที่จะไปเอาของวันพรุ่งนี้..."

"ที่ต้องเตรียมอีกก็มีพวกของกินเล่นอย่าง Guacamole พวกชิพ ผักที่เอาไว้จิ้ม ใช่ไหม?"

"ใช่ครับ พวกนั้นเราค่อยทำพรุ่งนี้แล้วกัน ส่วนพวกผักไว้ขอเด็กๆ ของแม่จัดการให้ แล้วเราก็ยังต้องทำซังเกรียไว้ด้วย ใช้ไวน์ซัก 6 ขวดน่าจะพอนะ เดี๋ยวเย็นๆ ก่อนไปรับพวกเมลิน่าเราก็เตรียมไว้ก่อน ทิ้งไว้นานๆ รสผลไม้ก็ยิ่งซึมซาบ"

เจนยุทธปาดน้ำลาย เขาอยากกินของที่เตรียมไว้แล้ว

"เจบอกว่ามีสัปปะรดอะไรด้วยใช่ไหม?"

"ใช่ๆ สัปปะรดย่างแบบบราซิล ผมก็ไม่รู้ว่ามันบราซิลแท้หรือเปล่านะ ไม่มีอะไรมากหรอกก็เอาน้ำตาลทรายแดงผสมกับผงอบเชย จากนั้นเอาชิ้นสัปปะรดลงคลุกและย่าง น้ำตาลก็จะกลายเป็นคาราเมลเคลือบชิ้นสัปปะรดไว้"

"ว้าว แค่ฟังก็น่ากินแล้วนะ เจ"



ทั้งสองคนคุยเล่นหัวหยอกล้อกันในครัวพลางเก็บของไปพลาง เจเปิดตู้เย็นให้ฆาเบียร์ดูของที่เตรียมไว้ แม่เขาหมักไก่กับซี่โครงเตรียมไว้จำนวนมาก เพราะนอกจากจะย่างไว้เลี้ยงแขกแล้วยังเอาไว้เลี้ยงลูกน้องของจืดอีกด้วย เจดูอย่างหนักใจ เขาไม่แน่ใจว่าจะเอาอ่างพันช์ใส่ในนี้ไหว

"อ้าว เจ มาแล้วเหรอ?"

เสียงสดใสของอิ่มทักน้องชายก่อนจะหันไปทักทายฆาเบียร์ด้วยเสียงอ่อนหวาน เจมองพี่สาวอย่างหมั่นไส้

"พรุ่งนี้แขกของเจมีกี่คนน่ะ แม่สั่งให้มานับหัวแขกไว้"

"แขกของเราก็จะมีคุณคริสที่เป็นพ่อบุญธรรมของฆาบี้กับเลขาอีกสองคน พี่นพ พี่วัฒน์ ซันซันแล้วก็ปรินซ์ เป็น 7 คนนะ รวมผมกับฆาเบียร์ก็เป็น 9 คน แล้วแขกเจ๊มีใครมั่งอ่ะ?"

อิ่มบอกว่าแขกของเธอก็มีพวกเพื่อนๆ สมัยเรียน ทั้งที่โรงเรียนมัธยมและสมัยมหาวิทยาลัย รวมได้สิบกว่าคน

"...ปีนี้พลอยกับฟ้าก็มาด้วยนะ ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ เจ"

อิ่มพูดยิ้มๆ เป็นภาษาไทย เมื่อเห็นน้องชายตัวดีมีสีหน้าอึดอัดใจ อิ่มรู้ดีว่าเพื่อนของเธอบางคนรวมทั้งพลอยและแฟนมี 'อดีต' กับไอ้น้องชายตัวแสบอยู่ แต่เธอก็เคารพการตัดสินใจของทุกคนเพราะมันเป็นความสัมพันธ์ของคนที่โตๆ กันแล้วและเท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ปีนี้สงสัยจะมีอะไรสนุกๆ ให้ได้ดูแน่ๆ ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่อิ่มพูด แต่เขาได้ยินชื่อสาวเปรี้ยวที่เป็นคนแรกของเจแล้วยังสังเกตเห็นสีหน้าของคนรัก

"มีอะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามเมื่ออิ่มออกห้องครัวไปแล้ว เจอ้ำอึ้งแต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากพูด

"...ก็ตามนั้นแหละ ฆาบี้ เพื่อนๆ พี่อิ่มที่จะมาพรุ่งนี้บางคนเคยเป็นคู่เดทของผม ก็รวมถึงพี่พลอยด้วย"

เจถอนหายใจ ทุกปีเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้แถมออกจะภูมิใจในตัวเองด้วยซ้ำที่ยังสามารถเป็นเพื่อนกับสาวๆ ในคอลเล็คชั่นนอกเวลาทำการได้ แต่ปีนี้เขากลับไม่อยากเจอหน้าสาวๆ พวกนั้นเลย ถ้าจะให้ถูกต้องคือ ไม่อยากให้ฆาเบียร์ได้พบเห็นสาวๆ พวกนั้นเลย



เจนยุทธใจแป้วเมื่อเห็นคนรักยืนเม้มปากน้อยๆ ชั่วครู่ เขารู้ดีว่านั่นหมายความว่าฆาเบียร์กำลังคิดมากหรือไม่พอใจบางอย่าง

"ฆาเบียร์ ผม..."

เจเสียงสั่น เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว หากคนตัวโตซึ่งก็เคยเป็นคนมากรักยื่นมือมาเกาะกุมมือเรียวของเจไว้

"ไม่เป็นไร เจ ฉันรับได้"

ฆาเบียร์พูดและยิ้มบางๆ ให้คนรัก

"เจทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกร็งหรือหมางเมินกับเพื่อนพี่อิ่มพวกนั้นหรอก ฉันอนุญาต"

"...แต่ก็อย่าเพลินมากนักนะ"

ฆาเบียร์ยังไม่วายสำทับด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ในตอนท้าย เจหัวหด พูดแบบนี้ใครจะไปกล้าลั้ลลาเต็มที่กัน เจนยุทธบีบมือใหญ่ของเมียตัวโตเบาๆ

"มีเมียมาคุมทั้งคน ใครจะกล้าซนล่ะจ๊ะ"

ฆาเบียร์มองใบหน้าแป้นแล้นของเจ้าตัวแสบอย่างหมั่นไส้

"หึๆ งั้นให้ฉันแสดงให้คนอื่นเห็นได้ใช่ไหมว่าเจน่ะ เป็นของฉัน?"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจพยักหน้า

"เชิญคุณตามสบายเลย อยากจะกอด จะหอม จะล่ามโซ่ผมไว้กับคุณก็ตามใจเลย ฆาเบียร์ ประกาศได้เต็มที่เลยว่าผมเป็นคนของคุณ"

เจยกมือใหญ่นั้นขึ้นจรดจูบเบาๆ เขาพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคนๆ นี้คือคนรักของเขา ฆาเบียร์ดึงมือออกจากการเกาะกุมและโน้มคอคนตัวเล็กเข้ามาจรดจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปาก



(ต่อคอมเมนท์ถัดไป)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- แฟนผมน่ะ...คนนี้ (ต่อ)



'เคร้ง!'

เสียงโลหะตกกระทบพื้นดังมาจากประตูครัว ทั้งสองคนสะดุ้งรีบผละออกจากกัน พวกเขาหันไปดูเจอจืดยืนตะลึงหน้าแดงก่ำอยู่ที่ประตูครัว บนพื้นมีกะละมังคว่ำตกอยู่ ต่อให้รับรู้แล้วว่าน้องชายคนเล็กมีคนรักเป็นผู้ชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นทั้งสองแสดงความรักแบบดูดดื่มต่อกัน เขารีบกล่าวขอโทษขอโพยก่อนที่จะรีบหันหลังเดินออกครัวไป

เจลุกพรวดขึ้นและจะเดินตามพี่ชายออกไปแต่ฆาเบียร์ดันตัวเขาให้นั่งลงและเป็นฝ่ายเดินตามจืดออกไปเอง เขาเดินไปจนทันพี่ชายของคนรักและเรียกให้หยุดคุยกันครู่ใหญ่ เจได้แต่ยืนมองทั้งสองคุยกันจากประตูครัว เขาแทบจะเดินตามออกไปเมื่อเห็นพี่ชายตัวเองจับไหล่ฆาเบียร์ที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขย่า แต่แววตาบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและมั่นใจในตัวเองที่ฉายออกมาจากตาของฆาเบียร์ทำให้เจไม่เดินออกไป จืดเองก็เหมือนถูกแววตาคู่นั้นของหนุ่มละตินอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสะกดไว้ สุดท้ายทั้งคู่จบการสนทนาด้วยการที่ฆาเบียร์ยื่นมือไปให้จืดจับกระชับเหมือนเป็นการให้คำมั่นบางอย่าง

"คุณคุยอะไรกับพี่จืด?"

เจถามคนรักทันทีที่เขาเดินกลับเข้ามาในครัว ฆาเบียร์อึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจบอกเล่าสิ่งที่คุยกับพี่ชายของเจนยุทธ จืดที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสคุยกับคนรักของน้องชายตั้งคำถามกับฆาเบียร์เรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ต่อให้เขาเคยผ่านการศึกษาจากต่างประเทศและมีความคิดเปิดกว้างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน แต่เมื่อมันเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวอย่างเจซึ่งเป็นน้องน้อยของพี่ๆ มันทำให้จืดทำใจรับได้ยากพอสมควร ยิ่งเมื่อคิดว่าเจนั้นเป็นชายแท้ที่ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยมาโดยตลอด

"พี่จืดกลัวว่าฉันจะมาหลอกนาย จะมาคบหาด้วยเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็จะทิ้งไป"

"...ยิ่งเพราะฉันเป็นคนต่างชาติด้วย เขากลัวว่าสักวันฉันอาจจะกลับประเทศไปเฉยๆ แล้วทิ้งให้นายต้องเสียใจ"

"...เขาถามว่าฉันจริงจังกับนายแค่ไหน"

"แล้วคุณตอบว่ายังไง?"

ฆาเบียร์มองลึกเข้าไปในตาเจนยุทธด้วยสายตาแบบเดียวกับที่เขาส่งให้จืดเมื่อเขาตอบคำถามนั้น สายตาที่ทำให้ผู้ที่ได้สบตาได้รับรู้ถึงความมุ่งมั่นของตัวหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้ เจนยุทธหมดคำถามในทันใดและดึงคนรักร่างใหญ่เข้ามากอดไว้แนบอก

"ฉันบอกเขาว่าฉันรักนายด้วยใจจริงและจะไม่มีวันทอดทิ้งนายไปไหน"

ฆาเบียร์กอดตอบและกระซิบเบาๆ ข้างหูคนรัก อันที่จริงเขายังบอกจืดอีกว่าในชีวิตนี้เขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากได้ใช้ชีวิตอยู่กับเจ และเขายังได้ให้คำมั่นกับจืดอีกว่าถ้าทุกอย่างในชีวิตเขาเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาก็พร้อมที่จะอยู่เป็นคู่ชีวิตกับเจไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ฆาเบียร์ไม่ได้เล่าส่วนนั้นที่คุยกับจืดให้เจนยุทธฟัง



ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากครัวเมื่ออิ่มเดินเข้ามาเรียกทั้งคู่ไปกินข้าวเที่ยง วันนี้แม่ของเจให้คนซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้จากร้านแถวบ้าน ทั้งครอบครัวรวมถึงฆาเบียร์นั่งลงกินข้าวด้วยกันโดยมีเจ้าหมาโรซ่านอนรอลูกชิ้นที่ฆาเบียร์แอบส่งให้อยู่ใต้โต๊ะ เจนยุทธโคลงหัวเมื่อเห็นว่าคนรักเอาใจเจ้าหมาอ้วนแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้ขัด นานๆ ทีปล่อยให้มันได้กินของอร่อยเสียบ้างก็ได้

"เดี๋ยวคืนนี้พวกเจไปนอนในเมืองนะครับ..."

เจบอกเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนตัวโตได้เข้าใจด้วย

"...จะได้พาอาปากับพวกเลขาไปกินข้าว แล้วอีกวันจะได้ไปเอาพวกซีฟู้ดที่สั่งไว้เข้ามาด้วยเลย คงกลับเข้ามาช่วงเที่ยงๆ ครับ"

เจบอกว่าจะขอกล่องโฟมกล่องใหญ่จากที่บ้านไปใส่ซีฟู้ดด้วย ฟองนวลรับคำ

"แล้วคุณคริสจะมาพร้อมลูกเลยไหม แม่จะได้ให้คนจัดเตรียมมือเที่ยงไว้ให้”

เจตอบว่าน่าจะเข้ามาพร้อมๆ กัน ฟองนวลตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้พบพ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ ถึงจะรู้มาบ้างแล้วว่าทางนั้นเอ็นดูลูกชายของตนพอสมควร แต่คนเป็นแม่อย่างฟองนวลเองก็ยังอยากได้ยินได้ฟังเองกับหูให้แน่ใจว่าลูกของตนจะเป็นที่ยอมรับจากผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายจริงๆ และเธอเองก็อยากให้ความมั่นใจแก่ผู้ใหญ่ของทางฝ่ายฆาเบียร์ด้วยว่าทางเธอก็ไม่ได้รังเกียจชายต่างชาติตัวโตคนนี้



“กลับมากันแล้วเหรอ?”

คริสร้องทักทั้งสองคนจากในสระว่ายน้ำ เจและฆาเบียร์ที่เดินออกมาหาพ่อบุญธรรมที่สระว่ายน้ำตามคำบอกของเลขาทั้งสอง พวกเขายกมือสวัสดีผู้เฒ่าคริสที่กำลังสำราญกับน้ำอุ่นๆ ในสระ

"ผมมารับอาปาไปกินข้าวครับ"

"อืมม์ วันนี้อาปาว่าจะสั่งรูมเซอร์วิสมากินที่ห้องน่ะ เจพาสองคนนั่นไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาเถอะ อาปาว่าจะพักผ่อนซักหน่อย มารอบนี้อาปาติดหนังสือมาอ่านด้วย กำลังอ่านติดพัน ก็เลยคิดว่าจะอ่านต่อให้จบก่อนกลับไปทำงาน..."

"...พาสองคนนั่นเขาไปสนุกเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ที่วิลล่านี้มีแม่บ้านอยู่ด้วยแล้ว หรือถ้าอยากได้อะไรเพิ่ม อาปาโทรบอก concierge เขาก็ได้"

คริสขึ้นจากน้ำ ฆาเบียร์ส่งผ้าเช็ดตัวให้อาปาของเขาพร้อมเตรียมเสื้อคลุมมาใส่ให้ ทั้งสามคนเดินเข้าในห้องรับแขก คริสเรียกเมลิน่าและริคกี้มา

"บอสคะ ฉันขออยู่ดูแลบอสดีกว่าค่ะ"

เมลิน่าพูด ริคกี้รีบแย้งว่าเขาอาวุโสน้อยสุดควรเป็นฝ่ายอยู่ดูแลคริสดีกว่า

"ไม่ต้องเถียงกันหรอก ฉันอยู่เองได้ พวกเธอไปเที่ยวไปพักผ่อนกันให้เต็มที่เถอะ"

คริสตบไหล่เลขาทั้งสองแล้วเดินขึ้นห้องไปเพื่ออาบน้ำ ฆาเบียร์ชวนคนที่เหลือลงนั่งคุยกัน

"พวกเธออยากไปไหนกัน? มีอะไรในใจเป็นพิเศษหรือเปล่า? จะกินอะไร อยากเห็นอะไร?"

เมลิน่าทำท่าอึกอัก จริงๆ ก่อนมาเชียงใหม่ เธอก็ได้ลองหาข้อมูลดูว่าที่นี่มีอะไรให้ทำบ้าง เลขาสาวหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาเปิดให้เจดู

"ฉันอยากลองกินเจ้านี่ค่ะ"

เมลิน่าพูดยิ้มๆ

"เอาจริงดิ?..."

เจขมวดคิ้วแล้วส่งให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตหัวเราะออกมาเบาๆ

"จะไหวเหรอ เมลิน่า เพิ่งมาได้ไม่กี่วันจะกินนี่เลย ระวังท้องเสียนะ"

เมลิน่ายืนยันว่าเธอน่าจะกินได้ ริคกี้ถามฆาเบียร์ว่ามันคือร้านอะไร ฆาเบียร์ส่งโทรศัพท์ให้ริคกี้ดูอีกที

"Moo Kata?..."

เขาอ่านดูคำอธิบายจากในเว็บ มันก็คล้ายๆ กับบุลโกกิของเกาหลี หรือเจงกีสข่านของเกาะฮอกไกโดนั่นเอง เจยกนาฬิกาของเขาขึ้นดูเวลา

"ห้าโมง..."

"...งั้น ไปร้านที่ผมเคยพาคุณไปกินแล้วกันนะ ฆาเบียร์ คุณจำได้ใช่ไหม?"

ฆาบี้พยักหน้า เขาเคยไปกินหมูกะทะกับเจครั้งสองครั้งตอนมาเชียงใหม่ได้ไม่นาน ร้านที่เจพาไปไม่ใช่ร้านใหญ่ ไม่ได้มีอาหารอย่างอื่นให้เลือกกินเต็มไปหมดเหมือนที่เมลิน่าเอาให้ดู แต่เขารู้สึกได้ว่าของๆ ร้านนี้สะอาดดีและปรุงรสโอเค

"เราไม่ได้ไปกินกันนานแล้วนะ เจ ร้านนี้ก็ดีเหมือนกัน"

เจรีบโทรไปจองโต๊ะ เขาบอกว่าร้านนี้ถ้าไม่จองก็ต้องรอคิวนานเลยทีเดียว

“...โอเคครับพี่ออย เดี๋ยวก่อนหกโมงครึ่งเจอกัน บายครับ”

เจหันมาบอกฆาบี้ว่าจองเรียบร้อยแล้ว แล้วหันไปพูดยิ้มๆ กับเมลิน่าและริคกี้

“สองคนนี่ แต่งตัวสบายๆ ไปนะ แต่ให้เอาชุดไปเปลี่ยนด้วย กินเสร็จแล้วผมจะพาไปเที่ยวคลับต่อ”



เจพาสมาชิกทั้ง 3 มาถึงร้านออย-โอ๊ดหมูกะทะย่านสันป่าข่อย เขาทักทายเจ้าของร้านทั้งสองอย่างสนิทสนม เขารู้จักทั้งคู่มาตั้งแต่ก่อนเปิดร้านหมูกะทะด้วยซ้ำ เจ้าของร้านนี้เป็นอดีตสมาชิกห้องก้นครัวในเว็บพันxิปเหมือนเขาและนพ

“ไง เจ ไม่เจอหน้ากันตั้งนาน สบายดีเหรอ?

“สบายดีครับ พี่ออย ช่วงที่แล้วงานผมเยอะอ่ะ ส่วนเดือนนี้พี่นพก็ยุ่งเลยไม่ค่อยได้มา…”

ปกติเจจะมาที่ร้านนี้กับนพอย่างน้อยเดือนละครั้ง พวกเขาจะตั้งหน้าตั้งตากินและจะเงยหน้ามาเม้ากับเจ้าของร้านเป็นพักๆ

"แล้ววันนี้เจจะสั่งอะไร? ให้พี่จัดมาก่อนชุดนึงไหม?"

เจถามเมลิน่าและริคกี้ว่าอยากกินอะไร เจ้าของร้านสาวอธิบายอาหารของเธอให้กับแขกต่างชาติของเจฟังอย่างแคล่วคล่อง สุดท้ายก็จบลงด้วยการจัดชุดรวมๆ มาก่อนชุดหนึี่ง เจสั่งเนื้อและหมูหมัก สามชั้น เบค่อนสด ไส้ ปลานิล หมึกกรอบ ลูกชิ้นหมู หมูเด้งและอื่นๆ จากนั้นพาชาวต่างชาติทั้งสามไปตักน้ำจิ้มซึ่งมีทั้งน้ำจิ้มสามรส น้ำจิ้มสุกี้ และท้ายที่สุดคือน้ำจิ้มข่ารสเด็ด

"ตัวนี้จะช่วยเรื่องการระบาย ถ้ายังไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย กินน้อยๆ หน่อยนะ"

สองคนที่ยังไม่เคยกินหมูกะทะตักน้ำจิ้มมาอย่างละหน่อย ส่วนฆาบี้นั้นตักมาแต่น้ำจิ้มสามรส ส่วนเจนั้นตักน้ำจิ้มสามรสกับน้ำจิ้มข่ามาผสมกัน

"วิธีกินก็ง่ายๆ รอให้กะทะมันร้อนจนน้ำมันจากมันหมูนี่ไหลมาเคลือบกะทะก่อน จากนั้นก็เอาของลงย่าง ของใครของมันนะไม่ต้องย่างเผื่อคนอื่น"

ของอร่อยของร้านนี้คือเนื้อหมักซึ่งใช้น้ำหมักสูตรพิเศษของร้าน เนื้อของที่นี่นิ่มพอดีไม่ได้นิ่มจนเละเหมือนหลายๆ ร้าน หมูหมักของที่นี่ก็ไม่ใช่แบบตัดถุงสำเร็จมาจากโรงงาน แต่เป็นแบบทำเอง อีกอย่างหนึ่งที่เจชอบมากคือเบค่อนสด เขากินได้ทีละเยอะๆ เลยทีเดียว ส่วนฆาเบียร์นั้นชอบกินเนื้อและปลานิลเป็นพิเศษ เขายังถมผักกาดขาวลงในช่องน้ำซุปที่อยู่รอบๆ กะทะปิ้งอีกด้วย เจโคลงหัว ถ้าเป็นตอนเขามากับนพ พวกเขาจะไม่ตักผักมาเลยเพราะมันเกะกะ ถ้าอยากกินผักเขาก็จะไปร้านหมูจุ่มแทน เจบ่นอุบอิบว่าผักของฆาเบียร์เบียดบังที่ต้มหมูเด้งของเขา แต่ตัวกินผักของเขาไม่สนใจและยังตั้งหน้าตั้งตาต้มผักต่อไป

"ถ้าคุณยังจะกินผักต้มอยู่นะ คราวหน้าผมจะขอหม้อชาบูมาให้คุณต้มผัก ดีไหม?"

เจนยุทธบ่นคนรักของเขาอย่างระอา ร้านนี้มีทั้งกะทะย่างและหม้อชาบู แต่สำหรับเขามาร้านหมูกะทะทั้งที ก็ต้องกินแบบย่างอย่างเดียวเท่านั้น!



"พี่ออย เนื้อร้านพี่นี่อร่อยที่สุดในเชียงใหม่แล้วนะเนี่ย"

เจชมเจ้าของร้านที่ลากเก้าอี้มานั่งคุยด้วย พวกเขาคุยนั่นนี่กันหลายเรื่องแล้วก็เลยไปถึงการเม้านพซึ่งเป็นเพื่อนของทั้งสองคน

"เออ เมื่อวานนพก็มานะ พาแฟนมาด้วย กินเนื้อฉันหมดไปตั้งเยอะ"

สาวเจ้าของร้านซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนพและฆาเบียร์แต่ยังมีใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนยี่สิบปลายๆ หัวเราะเมื่อนึกถึงลูกค้าประจำของเธอ

"วันนี้ผมก็พาแฟนมาเหมือนกันนะพี่"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ เป็นภาษาไทย สาวออยทำตาโตแล้วก็หันไปทักทายเมลิน่าที่นั่งตรงข้ามเจเป็นภาษาอังกฤษ เลขาฯ สาวทำหน้างงๆ ส่วนฆาเบียร์ที่ได้ยินคำคุ้นหูอย่างคำว่าแฟนหันมาทำหน้างงๆ กับเจเช่นกัน เจหันไปยิ้มให้คนรักและกุมมือใหญ่ไว้แน่น และบอกออยเป็นภาษาอังกฤษว่า

"ผิดคนแล้ว พี่ออย 'แฟน' ผมน่ะ คนนี้"

เจพูดคำว่า boyfriend ออกมาเต็มปากเต็มคำ พร้อมกับดึงมือใหญ่ที่ถูกเขาเกาะกุมไว้ขึ้นมาชูให้สาวเจ้าของร้านเห็น เมลิน่าและริคกี้หันไปหัวเราะคิกคักให้กันอย่างชอบใจเมื่อเห็นนายของตัวเองมีสีหน้าเขินอาย ก่อนที่จะมาคบหากับเจ นายของพวกเขาไม่เคยแสดงสีหน้าแบบนี้ให้พวกลูกน้องได้เห็นเลย ออยรีบดึงสามีของตัวเองที่เดินผ่านมาให้เข้ามาทำความรู้จักกับฆาเบียร์

"เห้ย ไหนคราวที่แล้วบอกว่าเพื่อนไงวะ เจ"

โอ๊ด ผู้เป็นสามีของออยถามอย่างงงๆ เขาเคยเห็นว่าชายหนุ่มเพื่อนก๊วนกินของเขาคนนี้เปลี่ยนสาวที่ควงเป็นว่าเล่น เขาไม่เคยนึกว่าเจจะลงเอยมามีแฟนเป็นผู้ชาย แต่เขาเองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจกับนพพาฆาเบียร์มาที่ร้านเมื่อประมาณหกเจ็ดเดือนที่แล้ว หากในตอนนั้นเจบอกชัดเจนว่าหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้เป็นเพื่อนของนพ

"ตอนนั้นอ่ะ เพื่อน แต่ตอนนี้เป็นอย่างอื่นแล้วอ่ะ พี่"

เจยิ้มอายๆ ตอบโอ๊ดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อที่เมียตัวโตของเขาจะได้เข้าใจ เขาหันไปยิ้มให้ฆาบี้อีกครั้ง เขาอยากให้ฆาเบียร์ได้รู้ว่าเขาไม่กลัวและไม่อายที่จะบอกให้ใครๆ รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคน ฆาเบียร์มองตาคนรักด้วยความซาบซึ้งใจ เขาอยากดึงเจเข้ามากอดแน่นๆ แต่คิดว่าคงจะไม่เหมาะนัก



'Thank you'

ฆาเบียร์ขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง เจพยักหน้าให้เบาๆ เป็นการรับรู้ เจ้าของร้านทั้งสองสัมภาษณ์เจเรื่องแฟนอีกเล็กน้อย เจบอกแค่ว่าฆาเบียร์ทำงานอยู่ที่ฮ่องกงและบินมาหาเขาบ้างเมื่อว่าง

"สองคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของฆาเบียร์จากฮ่องกง"

ออยและโอ๊ดหันไปทักทายเลขาทั้งสอง พวกเขาคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะถูกลูกค้าโต๊ะอื่นเรียกไป

"เอ่อ คุณเจคะ..."

เมลิน่าท้วงขึ้นแต่ฆาเบียร์ก็ตัดบททันที

"ไม่เป็นไรหรอก เมลิน่า ที่จริงแล้วตอนอยู่ไทยเธอกับริคกี้ทำตัวตามสบายไปเถอะ ถ้าอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ เจ เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าบอสหรือเฆเฟ่หรอก เรียกฉันว่าฆาเบียร์ นี่แหละ..."

เลขาฯ ทั้งสองอึกอัก

"พวกผมขอเรียกว่า 'มิสเตอร์ฆาเบียร์' หรือ 'มิสเตอร์มาร์ติเนซ' แทนได้ไหมครับ?"

ริคกี้ขอร้อง จะให้เรียกชื่อนายเฉยๆ เขาคงทำไม่ได้ ฆาเบียร์ตอบตกลงว่าให้เรียกมิสเตอร์ฆาเบียร์ มันไม่ได้ฟังดูเป็นทางการเท่าเฆเฟ่หรือบอส เจพยายามสอนสองคนนั้นให้ใช้คำว่า 'คุณ' ในภาษาไทยซึ่งก็แปลว่ามิสเตอร์เหมือนกัน

"มันสั้นกว่าคำว่า mister นะ อ่ะ ไหนลองออกเสียงซิ 'Khun Javier'..."

เจแก้ให้หลายรอบกว่าทั้งคู่จะออกเสียงได้ถูก สองคนแอบประท้วงในใจว่ามันออกเสียงและจำยากกว่ามิสเตอร์ตั้งเยอะ

ทั้งสี่คนนั่งคุยไปกินไปอย่างสนุกสนานในร้านที่แน่นขนัด อากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนของฤดูหนาวทำให้หมูกะทะและหมูจุ่มทั่วเมืองเชียงใหม่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวต่างชาติทั้งสามทำท่าเริ่มอิ่มกันแล้ว แต่เจนยุทธนั้นยังคงสั่งนั่นนี่มาอย่างต่อเนื่อง คืนนี้ของพวกเขาคงจะยังอีกยาวนัก


] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/10/30/OilOad-L.jpg[/img)



---------------------------------------------


เชียงใหม่นี่เป็นดินแดนแห่งหมูจุ่มและหมูกะทะจริงๆ ค่ะ ไปทางไหนก็เจอแล้วก็คนเยอะตลอดเวลา มีทั้งแบบร้านใหญ่บึ้มมีของกินเล่นอื่นให้เลือกกินเยอะแยะ แต่โดยมากร้านพวกนั้นหมูมักจะหมักไม่ค่อยอร่อย คือเน้นปริมาณมากกว่ารสชาติ อีกประเภทหนึ่งก็จะเป็นอย่างร้านออย โอ๊ดในเรื่องนี้แหละค่ะ คือร้านไม่ใหญ่ ของกินอื่นไม่เยอะ เน้นคุณภาพและรสชาติของเนื้อจริงๆ ตอนนี้คนเขียนก็กินร้านนี้ร้านเดียวจริงๆ ค่ะ

เพจร้านค่ะ https://goo.gl/Et9KNK




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ปลานิล ----



"เอ้า กินต่อๆ นี่ชิ้นนี้จะไหม้แล้วนะ เมลิน่า"

เจคีบเบค่อนที่แทบจะแห้งติดกะทะใส่จานให้เลขาสาว จากนั้นคีบเนื้อที่สุกได้ที่แล้วป้อนให้คนตัวโต

"คิดยังไงถึงอยากกินหมูกะทะล่ะ เมลิน่า?"

เจนยุทธถามเลขาของคนรักอย่างสงสัย อาหารในเชียงใหม่มีตั้งมากมายหลายอย่าง ทำไมเลขาสาวคนนี้ถึงได้สนใจหมูกะทะนัก

"ฉันเคยเห็นจากในทีวีค่ะ พวกรายการพาเที่ยวอะไรพวกนั้น เขาบอกว่าเป็นอาหารยอดฮิตของคนเชียงใหม่ บอกว่าถ้ามาแล้วต้องกิน"

"แล้วมันเป็นเหมือนอย่างที่คิดไหม?"

"อืมม์ ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรกับมันมากค่ะ แค่อยากลองของแปลกเฉยๆ แต่นี่ก็นับว่าอร่อยกว่าที่คิดไว้เยอะเลย พวกเนื้อ หมู เบค่อนอะไรพวกนี้ก็ถือว่าคุณภาพใช้ได้ แต่ร้านนี้ไม่ได้มีอาหารอื่นให้ตักเยอะแยะเหมือนกับที่ฉันเห็นในทีวีนะคะ"

เจบอกว่าโดยมากพวกร้านที่มีอาหารอะไรให้ตักเยอะๆ นั้น คุณภาพของเนื้อจะแย่กว่าที่นี่ เพราะคนมักจะไปกินของกินเล่นกันมากกว่า แต่สำหรับเขาที่เน้นพวกเนื้อๆ ยังไงก็ต้องมาที่ร้านนี้

"รู้ไหมว่าหมูกะทะเนี่ยเป็นอาหารยอดฮิตของพวกนักศึกษาเลยนะ โดยเฉพาะช่วงเปิดเทอมใหม่ หรือช่วงใกล้รับปริญญา พวกรุ่นพี่จะพารุ่นน้องไปเลี้ยง หมูกะทะหรือพวกหมูจุ่มมักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ เลยเพราะว่ามันมีหลายอย่างให้เลือกกินและยังราคาถูกอีกด้วย"

"...อย่างร้านนี้ รู้ไหมว่าราคาเท่าไหร่?"

"อืมม์..."

เมลิน่ากับริคกี้ครุ่นคิด แล้วตอบว่าสำหรับพวกเขาแล้วเป็นบุฟเฟต์แบบนี้ มีอะไรให้กินพอสมควร แต่เจบอกว่าไม่แพงมากนัก ก็น่าจะซัก 10-15 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

"159 บาทต่างหาก บวกบุฟเฟต์เครื่องดื่มอีก 20 บาท ก็เป็น 179 บาท ไม่ถึง 6 เหรียญนะ"

ทั้งสองคนอึ้งไป ราคานี้ที่ฮ่องกงคงได้เกี๊ยวซักถ้วยกว่าๆ

"ถูกจริงๆ ครับ คุณเจ"

ริคกี้พูดแทรกขึ้นมา เมลิน่าบอกว่าเธอชอบกินพวกอาหารข้างถนนหรืออาหารท้องถิ่น ตอนอยู่ฮ่องกงเธอมักไปเสาะหาอาหารที่คนท้องถิ่นกินกัน เธอชอบร้านข้าวอบหม้อดินแถวหม่งก๊กที่นั่งกินกันเป็นเพิง หรือไม่ก็พวกร้านชามุกหรือวาฟเฟิลไข่ อีกอย่างที่เมลิน่าชอบมากที่ฮ่องกงคือพวกลูกชิ้นและเนื้อต้มราดซอสกะหรี่

"เออ นั่นผมก็ชอบนะ เคยกินที่มาเก๊า"

เจนึกถึงแล้วก็ต้องปาดน้ำลาย

"ที่เชียงใหม่เนี่ยอาหารแบบที่เรียกว่า street food เรามีเยอะแยะเลย เสียดายพวกเมลิน่าอยู่กันแป๊บเดียว ไม่งั้นผมจะพาตระเวนไปกินให้ทั่วเมืองเลย"

เจสาธยายถึงสารพัดร้านอย่างลูกชิ้นทอดทองสุข ตือคาโคหน้ารร.ปรินส์ฯ ลูกชิ้นทอดและน้ำส้มคั้นสวนสุขภาพฯ ไหนจะโรตีป้าเดแถวท่าแพ ขนมเบื้อง สะเต๊ะเนื้อใต้ต้นข่อย วุ้นกาดพยอม ไส้ย่างข้างตลาดต้นลำใยและอื่นๆ ไหนจะพวกแผงขายก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่หรือพวกอาหารตามสั่งที่กระจายตัวอยู่ทั่วเชียงใหม่อีก

"เฆเฟ่ เอ๊ย คุณฆาเบียร์คะ ฉันขอลามาอยู่เชียงใหม่สักเดือนได้ไหมคะ?"

เมลิน่าทำหน้าจริงจังพูดกับนายรัก ฆาเบียร์หัวเราะแล้วสั่งห้ามเด็ดขาด

"ขืนปล่อยเธอมาอยู่กับเจ รับรองได้กลิ้งกลับฮ่องกงแน่ เมลิน่า"

ฆาเบียร์รู้นิสัยเลขาสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่วัยรุ่นคนนี้ดี ถ้าปล่อยมาอยู่กับเจ ทั้งคู่คงไม่มีใครเบรคกันและไม่แคล้วพากันอ้วนแน่ๆ



“ปลากับเนื้อที่สั่งเพิ่มค่ะ”

เด็กในร้านยกอาหารมาลงเพิ่มให้ เจคีบเนื้อปลาที่มีหนังสีดำขึ้นย่างจนสุกก่อนจะส่งให้คนรัก ฆาเบียร์คีบมากินอย่างเอร็ดอร่อย

"ฆาเบียร์ คุณรู้ไหม ปลานิลที่คุณกินอยู่นี่ ไทยได้รับมาจากญี่ปุ่นนะ"

เจพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าปกติ

"...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้รับพันธุ์ปลา Tilapia 50 ตัวจากจักรพรรดิอากิฮิโตะของญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นยังดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร ในปี 1965..."

เจเล่าต่อว่าจากปลา 50 นั้น ในหลวง ร.9 ได้โปรดเกล้าฯ ให้นำมาเพาะเลี้ยงในบ่อของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ปรากฎว่าปลาเหล่านั้นเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ดีมาก ต่อมาพระองค์ได้พระราชทานนามให้มันว่า "ปลานิล" เนื่องจากมันเป็นสายพันธุ์ Niloticus จากแม่น้ำไนล์ อีกทั้งหนังของมันยังเป็นสีดำ

"ในปีถัดมา พระองค์ได้พระราชทานปลาพันธุ์นี้ซึ่งได้จากการเพาะพันธุ์ของโครงการสวนจิตรฯ ให้กับกรมประมงถึง 10,000 ตัวเพื่อให้เอาไปปล่อยในแหล่งน้ำต่างๆ ตามความเหมาะสม..."

"...และมันก็กลายมาเป็นปลาที่คนไทยกินมากเป็นอันดับ 1 มาตลอดนับแต่นั้นเป็นต้นมาเลยนะ แถมยังเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยอีกด้วยนะ ฆาเบียร์"

เจทำตาแดงๆ เมื่อได้พูดถึงสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจของในหลวง ร. 9 ฆาเบียร์มองคนรักอย่างเข้าใจ เจได้เล่าให้เขาฟังถึงสารพัดโครงการของในหลวงตั้งแต่ตอนที่พวกเขาขึ้นไปที่ม่อนแจ่มเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังได้สอนเขาให้รู้จักพระองค์มาโดยตลอด ทุกครั้งที่พูดถึงเจก็มักจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ค่อยจะได้ ยิ่งในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจถึงกับโทรไปร้องไห้กับเขาหลายครั้งหลายครา

"...มีเรื่องเล่าจากในรั้ววังว่าถ้ามีการตั้งเครื่องเสวยแล้วมีปลานิลในนั้น ในหลวงจะรับสั่งให้ย้ายไปไว้ที่อื่น จนวันหนึ่งมีคนถามว่าทำไมไม่โปรดปลานิล พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า "ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร"..."

เจนยุทธยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงพระราชาที่ยังทรงสถิตย์อยู่ในใจของเขา เขาบอกตัวเองว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีวันลืมเลือนพระองค์และสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำเพื่อคนไทยตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน



‘ปัง!’

เสียงดังขึ้นจากเตาพร้อมกับไส้ร้อนๆ ที่เจย่างไว้กระเด็นหวือไปตกแปะบนแขนของฆาเบียร์

“เxี้ย!”

"Jo--r"


ทั้งเจและฆาบี้ลุกพรวดขึ้นและสบถลั่นออกมาเป็นภาษาแม่ของตัวเองทำให้เลขาทั้งสองตกใจและพาลลุกขึ้นไปด้วย ทั้งร้านจ้องมองมาที่โต๊ะของพวกเขาเป็นตาเดียว ทั้งสี่ค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยนนั่งลงด้วยความอาย เจที่เมื่อสักครู่ยังมีทีท่าเศร้าซึม อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นฆาเบียร์ที่หน้าซีดด้วยความตกใจ

“มันอะไรกันน่ะ เจ!”

ฆาเบียร์ถามด้วยความตระหนก เมื่อครู่เขารู้สึกร้อนวาบที่แขน แว่บหนึ่งที่เขาคิดไปว่าอาจเกิดแก๊สระเบิดหรืออะไรสักอย่าง เจหัวเราะจนตัวงอ

“ไส้น่ะ ฆาเบียร์ ไส้ระเบิด”

เจเช็ดน้ำตาที่เกิดจากการหัวเราะอย่างหนักแล้วชี้ให้ดูไส้เจ้ากรรมที่ถูกฆาเบียร์สลัดตกไปอยู่ใต้โต๊ะ เจเล่าให้ฆาเบียร์ที่ยังงงๆ อยู่ว่าบางทีถ้าย่างไส้ทิ้งไว้นานๆ ผิวของไส้โป่งพองออกจนบางครั้งมันก็ระเบิดเหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปเต็มที่จนแตกและทำให้เกิดเสียงดัง อีกทั้งยังส่งให้ไส้ชิ้นนั้นกระเด็นออกจากกะทะได้

“ผมมัวแต่คุยกับคุณ ลืมดูมันไปซะสนิท”

เจบ่นอุบด้วยความเสียดาย เขาอุตส่าห์ ‘เลี้ยง’ ไส้ชิ้นนั้นอยู่ตั้งนานเพื่อให้ได้ผิวที่กรอบ แต่ตอนนี้มันก็ลงไปกองบนพื้นเรียบร้อยแล้ว

“แล้วเจ็บไหมน่ะ?”

เจยกแขนของคนรักขึ้นดู แต่ก็ไม่มีร่องรอยของการโดนของร้อนลวก ฆาเบียร์บอกว่าไม่เป็นอะไร คงเพราะเขาสลัดแขนทันทีที่รู้สึกว่าถูกของร้อนตกใส่

"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"

เจลูบแขนของเมียตัวโตอย่างเป็นห่วง เมลิน่าส่งทิชชู่เปียกที่พกติดกระเป๋าให้เจเช็ดแขนให้ฆาเบียร์ เจนยุทธหันไปขอโทษขอโพยเลขาทั้งสองที่ก็ดูตกใจเล็กๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



"คุณเจคะ ผงนี่อร่อยจัง พลัมใช่ไหมคะเนี่ย?"

"ใช่ครับ"

เจตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นเมลิน่าเคี้ยวฝรั่งจิ้มผงบ๊วยอย่างติดอกติดใจ ฆาเบียร์เองก็ตักฝรั่งมากองโต

"นี่ๆ อย่าพึ่งกินกันจนอิ่มนะ เดี๋ยวผมจะพาไปกินขนมต่อ"

เจพูดยิ้มๆ อีกสามคนมองหน้ากันทำตาปริบๆ พวกเขาอิ่มแน่นจนแทบจะยัดอะไรไม่ลงอยู่แล้ว

"ฉันกินไม่ไหวแล้วนะ เจ"

คนตัวโตโอดครวญขึ้น เจทำตาละห้อย หันไปมองหน้าเลขาทั้่งสองที่ก็ส่ายหน้ารัวๆ ว่าพวกเขายัดอะไรไม่ลงแล้ว

"ไม่กินก็ไม่กิน ไว้คราวหน้าแล้วกัน"

เจทำท่าทางเสียดาย เขากะพาทั้งสามคนไปกินทับทิมกรอบที่ร้าน "หวานพอดี" ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน มันเป็นร้านขนมหวานเปิดใหม่ เอกลักษณ์ของร้านนี้คือทับทิมกรอบที่เป็นสีฟ้าจากดอกอัญชัญแทนสีแดง เจมากินร้านนี้หลายหนแล้วและติดใจรสชาติของน้ำกะทิที่กลมกล่อมและไม่หวานจัดจนเกินไป อีกสาเหตุที่เขาชอบร้านนี้ก็เพราะว่ามันมีเครื่องเคราหลายอย่างให้เลือกใส่ได้ตามใจชอบ ในหนึ่งถ้วยสามารถใส่เครื่องได้ 5 อย่าง ที่เขาชอบที่สุดนอกเหนือจากตัวทับทิมกรอบแล้วคือข้าวต้มน้ำวุ้น หรือข้าวเหนียวห่อใบตองเป็นทรงสามเหลี่ยมแล้วนำไปต้มสุก ปกติแล้วจะกินใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็ง แต่ของร้านนี้เขานำมาเป็นเครื่องใส่ในน้ำกะทิด้วย ในเชียงใหม่หาขนมชนิดนี้กินได้ยากพอสมควร แต่วันนี้เขาก็คงต้องอดกินอีกครั้ง



"เจจะไปนั่งกินก็ได้นะ เดี๋ยวพวกฉันนั่งรอได้"

ฆาเบียร์บอกเมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของคนตัวเล็ก แต่เจส่ายหน้า ไว้เขาค่อยกลับมากินเองทีหลัง เขาเรียกเก็บเงินเมื่อเห็นว่าทุกคนกินกันเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ฆาเบียร์ยกมือบอกพวกเลขาว่าวันนี้เขาเลี้ยงเองพร้อมควักเงินจากกระเป๋าออกมาจ่ายค่าอาหาร วันนี้เจนยุทธปล่อยให้เขาเป็นคนจ่ายเงินเอง เจกระซิบบอกกับเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้องเจจะปล่อยให้ฆาเบียร์เป็นคนจัดการเรื่องเงินเรื่องทอง ฆาบี้ยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงความช่างเอาใจใส่ของคนรักที่กลัวว่าเขาจะเสียหน้าต่อหน้าลูกน้องที่ต้องให้เจเป็นคนคอยจ่ายเงินค่านั่นนี่ให้ เขาสังเกตหลายครั้งแล้วว่าถึงเจจะดูเป็นคนสบายๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของมารยาทและหน้าตา เจพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้สมกับเป็นคนรักของเขา ทั้งทีบางครั้งเขาเองยังไม่ได้คิดหรือใส่ใจมันมากถึงขนาดนั้นด้วยซ้ำ

"ขอบใจนะ เจ"

เขาแอบกระซิบกับคนตัวเล็กของเขาระหว่างเดินกลับไปที่รถ เจหันมายิ้มหวานให้กับฆาเบียร์และยื่นมือมาเกาะกุมมือใหญ่ของเมียตัวโตของเขา การรู้จักลงให้กันหรือรักษาหน้าของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากพ่อแม่ของเขา ที่บ้านของเขาเป็นอันรู้กันว่าคนที่เป็นใหญ่ในบ้านคือแม่ แม่เป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ หรือเรื่องเงินเรื่องทองของครอบครัว พ่อของเขาปล่อยให้แม่เป็นคนจัดการสูงสุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกน้องที่ร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมืองของพ่อแม่เขาที่ตลาด แม่ของเขาจะปล่อยให้พ่อของเขาทำตัวเป็นช้างเท้าหน้า โดยมีแม่เป็นคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ถึงใครต่อใครจะรู้ว่าที่จริงแล้วแม่ของเขาเป็นคนคุมทุกอย่าง แต่แม่ก็ไม่เคยทำตัวข่มพ่อให้ลูกน้องเห็นเลยสักครั้ง และนั่นคือสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ในตอนนี้



"งั้น เดี๋ยวเรากลับไปที่คอนโดของผมกันก่อนนะ เผื่อพวกคุณจะอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า"

"...เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปนั่งดื่มต่อใกล้ๆ คอนโด แต่ไปชุดนี้คงไม่ไหว กลิ่นหมูกะทะติดเต็มตัวหมดแล้ว"

เจนยุทธพูดพลางขับรถกลับคอนโด ริคกี้กับเมลิน่าดมเสื้อผ้าตัวเอง จริงอย่างที่เจพูด พวกเขาเหม็นไปทั้งตัวจริงๆ

"เอ้า เข้ามาก่อนสิ"

ฆาเบียร์เปิดประตูห้องของเขาและเจให้เลขาทั้งสองของเขาเข้าไปและบอกให้ทั้งคู่ทำตัวตามสบาย ทั้งสองคนไม่กล้าสำรวจอะไรมาก และเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ของเจ

"พวกเธอสองคนผลัดกันใช้ห้องน้ำเล็กตามสบายเลยนะ ถ้าจะอาบน้ำก็มีผ้าเช็ดตัวอยู่ในห้องน้ำอยู่แล้ว ใช้ได้เลย"

ฆาเบียร์พาทั้งคู่ไปดูห้องน้ำและตู้เก็บอุปกรณ์ ทั้งเมลิน่าและริคกี้ปฏิเสธ พวกเขาแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอแล้ว เจกับฆาเบียร์ขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน



"ฆาบี้ไม่เอา อย่าซนสิ"

เจร้องลั่นอย่างลืมตัวเมื่อฆาเบียร์รัดร่างที่เปลือยท่อนบนของเขาไว้จากด้านหลังพร้อมซุกไซร้ดมกลิ่นหมูกะทะจากผมและต้นคอของเจ มือของคนตัวโตทำท่าจะซุกซนไปที่อื่น

"เดี๋ยวพวกข้างนอกห้องเขาได้ยินนะ...อืมม์"

เจพูดเสียงกระเส่าก่อนที่จะถูกริมฝีปากบางๆ หยุดคำพูดไว้ เขาเริ่มเคลิ้มไปกับสัมผัสของคนตัวโต

"ได้ยินก็ได้ยินไปสิ..."

ฆาเบียร์ไม่สนใจและลวนลามคนรักต่อ เจดันตัวฆาเบียร์ออกและหนีไปคว้าเสื้อจากตู้มาใส่ เขาหยิบเสื้อยืดแขนยาวหลวมๆ สีขาวที่มีลายเส้นขวางสีกรมท่าตัวหนึ่งมาใส่

"นั่นเสื้อฉันนะ เจ"

ฆาเบียร์ท้วงขึ้น เสื้อที่ใส่พอดีตัวของเขากลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซส์สำหรับเจ

"ผมใส่ไม่ได้เหรอ?"

เจ้ากระรอกปลอมมันทำหน้าอ้อนอีกแล้ว ฆาเบียร์มองคนรักที่ใส่เสื้อของตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันช่างเซ็กซี่เหลือเกิน เขาตัดสินใจเลือกเสื้อตัวที่คล้ายๆ กันมาใส่ เจยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นแบบนั้น ฆาเบียร์ทันเขาดีจริงๆ เขาเอาเสื้อของฆาเบียร์มาใส่เพื่อต้องการให้คนอื่นดูออกว่าเขาเอาเสื้อแฟนมาใส่



"ฉันว่าคอมันกว้างไปหน่อยนะเจ"

ฆาเบียร์จับคนรักหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจความเรียบร้อย เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อแบบคอปาดหรือ boat neck พอเขาใส่มันก็พอดีอยู่ แต่พอเจที่ตัวเล็กกว่าเขาพอสมควรใส่ คอมันก็ออกจะดูกว้างไปนิดจนเห็นช่วงไหปลาร้าสวยๆ ของเจ

"โธ่ ฆาเบียร์ นิดหน่อยน่า ทีตัวเองล่ะ เสื้อรัดกล้ามจนเห็นหัวนมแล้วผมยังไม่ว่าเลย"

เจนยุทธส่งสายตาขุ่นๆ ไปให้เมียตัวโตที่ชอบใส่เสื้ออวดกล้าม ฆาเบียร์หัวเราะชอบใจที่ได้เห็นท่าทางหึงเล็กๆ ของเจ ฆาเบียร์ถกแขนเสื้อลายขวางสีใกล้เคียงกับที่เจใส่ให้ขึ้นมาอยู่ที่ข้อศอก เขาเปลี่ยนใส่กางเกงเบอร์มิวด้าขาสั้นเท่าเข่าสีกรมท่าทำให้ดูเหมือนกำลังจะไปล่องเรือ ส่วนเจใส่จ็อกเกอร์สีดำกับรองเท้าผ้าใบ ทั้งคู่เปิดประตูออกห้องมาก็เห็นว่าเมลิน่ากับริคกี้แต่งตัวพร้อมแล้ว เมลิน่าเปลี่ยนใส่เดรสสั้นแบบลำลองสีดำ ส่วนริคกี้ใส่ยีนส์ตัวเดิมกับเสื้อโปโลสีเข้ม เจบอกพวกเขาไว้ก่อนแล้วว่าที่เชียงใหม่เวลาเที่ยวไม่ต้องจัดเต็มก็ได้

เจนยุทธดมฟุดฟิดที่ตัวฆาเบียร์และริคกี้

"ไม่ไหวเลย พวกเรานี่ แต่งตัวกันอย่างดีแต่ก็ยังหนีกลิ่นหมูกะทะไปไม่พ้น แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็โดนพวกกลิ่นบุหรี่กลบละ"

เจหัวเราะร่วน เขาเปิดตู้ไวน์แล้วหยิบเอาถุงซิการ์มาเลือกๆ เอาไปสองสามตัวพร้อมกับซิการิโย่หรือซิการ์ตัวน้อยขนาดเท่าบุหรี่อีกกล่องหนึ่ง เลขาทั้งสองมองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยได้เห็นเจในด้านนี้มากนัก พวกเขาไม่นึกว่าคุณเจที่หน้าตาดูน่ารักคนนี้จะสูบซิการ์กับเขาด้วย เจสังเกตทีท่าของทั้งสองออก เขาซ่อนยิ้ม คืนนี้เขาคงต้องแสดงโฉมหน้าของเขาอีกแบบให้ทั้งคู่ได้เห็นเสียแล้ว


(ต่อคอมเมนท์หน้า)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ปลานิล (ต่อ) ----



เจและฆาเบียร์เดินนำแขกของเขาทั้งสองไปยังผับที่พวกเขาไปกันประจำ เจนัดเพื่อนๆ ของเขาไว้ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

"ไง พวกมึง มากันนานหรือยัง?"

เจนยุทธทักทายปรินซ์และซันซันที่นั่งรอพวกเขาอยู่ที่โต๊ะประจำ

"สักพักแล้วน่ะ พี่นพก็มาแล้วแต่ก็กลับไปแล้ว พี่วัฒน์แกดันกินเหล้าเข้าไปสองแก้ว เมาพับไปเรียบร้อย พี่นพเลยต้องลากกลับบ้าน คลาดกันไปแป๊บเดียวเองนะ"

เจโคลงหัวเมื่อนึกถึงความคออ่อนของวัฒน์ เขายกโทรศัพท์ขึ้นดูแล้วก็ต้องหัวเราะเมื่อเห็นข้อความที่นพส่งมาบ่นคนรักของตัวเองเสียยาวยืด แถมนพยังส่งรูปของวัฒน์ที่หลับอยู่บนเบาะหน้ารถมาให้ดูด้วย เขาส่งโทรศัพท์ให้ฆาเบียร์ดูแล้วแปลที่นพบ่นมาให้คนรักฟัง ฆาบี้หัวเราะก๊ากเมื่อนึกถึงท่าทางของนพ



"เออ ปรินซ์ ซันซัน สองคนนี้เป็นคนที่ทำงานของฆาเบียร์ นี่เมลิน่า แล้วก็ริคกี้"

เจแนะนำเลขาทั้งสองของฆาเบียร์ให้เพื่อนๆ เขารู้จัก เพื่อนทั้งสองของเขามีทีท่ากระดี๊กระด๊าทันทีที่ได้เจอสาว ถึงเมลิน่าจะอายุมากกว่าพวกเขา 5-6 ปี แต่ด้วยความที่เจ้าหล่อนดูแลตัวเองดีและมีรูปร่างเล็กแบบสาวละตินทำให้ดูเด็กกว่าวัยพอสมควร เมลิน่ายิ้มให้เพื่อนๆ ของเจที่ทำท่าไม่ยอมปล่อยมือที่จับทักทายกันง่ายๆ สาวละตินร่างกะทัดรัดคนนี้มีนิสัยชอบบริหารเสน่ห์ไม่ต่างกันกับเจ้านายของหล่อน

เจนยุทธสะกิดฆาเบียร์ให้ดูทีท่าของริคกี้ หนุ่มฮ่องกงวัยเดียวกับเจมีทีท่ากระวนกระวายกว่าปกติ เขารับเหล้าที่เจชงส่งให้แล้วดื่มพรวดเดียวครึ่งแก้ว สายตาของเขาจับจ้องดูเมลิน่าที่หัวร่อต่อกระซิกกับเพื่อนๆ ของเจอย่างสนุกสนาน

"เจ...ฉันว่าคืนนี้สนุกแน่"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขารู้จักแม่สาวคนนี้ดี เมลิน่าโตมากับบ้านเขาและทำงานเป็นเลขาฯ ให้เขาไม่นานหลังจากจบการศึกษา หล่อนแทบจะก๊อปปี้นิสัยมากรักของเขามาแบบเป๊ะๆ ด้วยความที่เมลิน่ามีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อนที่จะเข้าโครงการของพ่อของฆาเบียร์ หล่อนจึงใช้ชีวิตเพื่อสองสิ่ง สิ่งแรกคือการทำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อรับใช้คริสและฆาเบียร์ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณที่เปลี่ยนชีวิตของตน สิ่งที่สองคือปรนเปรอและให้ความสุขแก่ตนเองอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยความทุกข์ยากที่ได้รับยามเป็นเด็ก

เมลิน่าไม่เคยมีคนรักและไม่คิดมี หล่อนมองว่ามันเป็นสิ่งไม่จำเป็น ทุกวันนี้หล่อนทำเงินได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบายๆ เมลิน่ามองผู้ชายแบบเดียวกับที่ฆาเบียร์เคยมองคือเป็นแค่เพื่อนเที่ยวและเครื่องบำบัดความใคร่ ตอนอยู่สหรัฐฯ นอกเวลางาน เมลิน่าเป็นสาวปาร์ตี้ตัวยง พอมาอยู่ฮ่องกง ถึงจะลดพฤติกรรมแบบนั้นลงบ้างเนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและยังเกรงใจคนรอบข้างที่เป็นชาวเอเชี่ยน เมลิน่าก็ยังคงมีคู่ควงไม่ซ้ำหน้าและออกเที่ยวบ่อยครั้ง แต่หลังๆ มานี้เมลิน่าก็เริ่มหนีบน้องน้อยของสำนักงานอย่างริคกี้ติดไปเที่ยวด้วย บางครั้งหล่อนก็ใช้ริคกี้เป็นไม้กันหมาเวลาที่โดนหนุ่มๆ มาตื๊อ หลายครั้งที่ริคกี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนสารถีพาเจ้าหล่อนที่เมาได้ที่กลับห้อง



ฆาเบียร์เริ่มสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาที่ริคกี้มองเลขาสาวของเขามาพักใหญ่แล้ว แต่เมลิน่าเองเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้และยังทำตัวเหมือนเดิมด้วย กระทั่งหลังงานเลี้ยงคริสต์มาส ฆาบี้คิดเรื่องของทั้งสองเพลินๆ ตอนปรินซ์เขย่าแขนเขา

"ป๋าครับ..."

ปรินซ์เรียกเขาด้วยคำไทยคำนี้ซึ่งเจเคยอธิบายว่ามันมีความหมายประมาณว่า sugar daddy ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเขาก็ไม่รังเกียจที่จะโดนเรียกแบบนั้น

"...เจบอกว่ามันจะเข้าไปเอาเหล้า ผมว่าป๋ารีบตามไปดีกว่านะ"

ฆาเบียร์รีบลุกเดินตามเข้าไปในห้องเต้นทันที เขาเกือบลืมเรื่องบาร์เทนเดอร์หนุ่มรุ่นน้องของเจไปแล้ว เขาเม้มปากแน่นเมื่อเห็นเจ้าตัวดีนั่งทำหน้าแป้นแล้นคุยกับบาร์เทนเดอร์หน้าหล่ออยู่ที่บาร์ เจเหมือนไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสนใจของหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ เจนยุทธหันมาโบกมือหยอยๆ ให้ฆาเบียร์ที่รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาคนรัก เขานั่งลงข้างๆ แล้วหอมแก้มคนตัวเล็กของเขาเบาๆ แล้วหันไปยิ้มละไมให้กับบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่ยืนทำหน้าตึงอยู่ เจร้องลั่นและผลักไหล่คนตัวโตด้วยความเขิน

"ขอแจ็คโค้กแก้วนึงครับ"

ฆาเบียร์สั่งเครื่องดื่มแมนๆ อย่างแจ็ค แดเนียลส์ผสมโค้ก จากนั้นหันไปตัดพ้อคนรักทันที

"เจ ทิ้งฉันไว้ที่โต๊ะได้ยังไง ห่างกันแค่นี้ฉันก็คิดถึงเจแล้วนะ"

เจมองคนรักด้วยสายตาระอาเล็กๆ พ่อเจ้าประคุณของเขามาไม้ไหนอีกล่ะ นี่ยังไม่เลิกหึงเขากับไอ้เจ้าตั้มอีกเหรอ

"ก็ผมเรียกคุณแล้ว คุณมัวแต่เหม่ออะไรไม่รู้ ผมก็เลยเดินเข้ามาก่อน"



"ตั้ม นี่ฆาเบียร์ แฟนกู...ฆาเบียร์ นี่ตั้ม น้องรหัสของผมที่มหาวิทยาลัย"

เจตัดสินใจทำให้ฆาเบียร์สบายใจด้วยการแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ คราวที่แล้วเขาแค่เล่าให้ตั้มฟังเรื่องฆาเบียร์คร่าวๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรละเอียดมากนัก ฆาเบียร์เลี่ยงไม่ได้ต้องยื่นมือออกไปให้บาร์เทนเดอร์หน้าหล่อจับ เขารู้สึกถึงแรงบีบกระชับที่หนักกว่าการจับมือทักทายปกติ เขายิ้มมุมปากและบีบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณฆาเบียร์"

ตั้มยิ้มเย็นๆ กลับมาให้ ฆาเบียร์ก็ยิ้มตอบอย่างรู้ทันไปเช่นกัน เจยิ้มที่เห็นคนทั้งสองจับมือทักทายกัน เขาก็พูดเจื้อยแจ้วตามเรื่องไป

"ปกติฆาเบียร์เขาทำงานอยู่ที่ฮ่องกง แต่ก็กลับมาหากูทุกเดือนแหละ"

"ก็จะให้ฉันทนอยู่ห่างเจนานๆ ได้ยังไงล่ะ อีกอย่าง แฟนฉันน่ารักขนาดนี้ ต้องกลับมาเช็คตลอดว่าไม่มีเหลือบริ้นที่ไหนมาไต่ตอม"

ฆาเบียร์ตวัดสายตาไปยังคนที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หลังบาร์ เขาโอบเอวเจแล้วดึงรั้งให้เข้ามาแนบร่างและจุ๊บเร็วๆ ที่ปาก เจนยุทธหน้าแดงก่ำแล้วรีบดันตัวออก เขาบ่นพึมพำใส่คนตัวโตที่ชอบลวนลามเขาเป็นประจำ ฆาเบียร์หัวเราะร่าอย่างมีความสุข ตั้มมองภาพข้างหน้าอย่างปวดใจ เขาดูจากต่างหูอัญมณีสีน้ำเงินที่ทั้งคู่ใส่เหมือนกัน อีกทั้งเสื้อที่ดูเหมือนเจหยิบเสื้อในตู้ของคนตัวโตมาใส่ก็ทำให้พอจะรู้ได้ว่าทั้งคู่คบหากันลึกซึ้งเพียงใด

“ฆาเบียร์ คุณไปนั่งก่อนก็ได้ ผมขออยู่เม้ากับไอ้ตั้มมันต่ออีกหน่อย”

เจยิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อยๆ อย่างครุ่นคิด ในส่วนของเจนั้น เขาไม่ห่วงหรอกเพราะรู้ว่าคนรักของเขาไม่ได้คิดเกินเลยอะไรกับรุ่นน้องคนนี้แน่ๆ เขาห่วงแค่คนหลังเคาเตอร์บาร์ที่ยืนจ้องมองเจด้วยสายตาร้อนแรงคนนั้น แต่วันนี้หลังจากเจแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่ามีแฟนแล้ว เด็กคนนั้นก็ควรจะรู้ตัวและถอยห่างเสียที สุดท้ายเขาตัดสินใจทำตามคำของเจ

“ได้สิ เจ เดี๋ยวฉันไปนั่งรอ ว่าแต่รีบๆ มาล่ะ...Ya te extraño!

‘ฉันคิดถึงนายแล้ว’


คนตัวโตไม่พูดเปล่า ฆาบี้ใช้มือใหญ่ๆ ของเขาไล้ตามกรอบหน้าของเจ และจบด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือไล้เบาๆ ที่ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อของเจนยุทธ เจเสียววาบขึ้นทั้งตัว สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ของคนรักก็เพียงพอที่จะทำให้เขาร้อนรุ่มไปทั้งตัว

"ผมก็จะคิดถึงคุณนะ ฆาบี้"

เจจับมือใหญ่นั้นมาหอมเบาๆ ก่อนที่จะโบกมือไล่คนตัวโตให้กลับไปที่โต๊ะ ก่อนที่จะหันกลับมาหาน้องรหัส

"เอ๊า ไอ้เวรนี่ มึงก็จ้องจัง ทำเป็นไม่เคยเห็นกูจีบคนไปได้"

เจยิ้มพลางด่ารุ่นน้องตัวดีเบาๆ ตั้มยิ้มฝืนๆ ตลอดเวลาที่ตั้มทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ผับแห่งนี้ เขาเห็นเจนัวเนียกับสาวๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครที่ทำให้พี่รหัสของเขาแสดงสีหน้ากึ่งเขินอายกึ่งยั่วยวนแบบนี้ออกมาได้เลย ใบหน้าน้อยๆ ของเจแดงระเรื่อ สายตาของเขาฉ่ำเยิ้ม รอยยิ้มที่ดูเขินนิดๆ ทำให้เขาร้อนวูบในอก เจลงนั่งบนเก้าอี้บาร์และสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม บาร์เทนเดอร์หนุ่มรู้สึกปวดแปลบในอก เจนยุทธยังคงพูดคุยกับเขาแบบพี่ชายคุยกับน้องเหมือนทุกครั้ง แต่ความรู้สึกของเขานั้นมันแปลกไป



"แฟนพี่หล่อดีนะ คบกันนานแล้วเหรอ?"

ชายหนุ่มเปรยขึ้น เขาอยากรู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหน

"ก็รู้จักกันได้เจ็ดแปดเดือนแล้วล่ะ แต่เพิ่งจะมาตกลงคบหากันจริงจังได้สองสามเดือน ฆาเบียร์เขาเป็นเพื่อนพี่นพน่ะ..."

"ผมนึกว่าพวกพี่เป็นแฟนกันนานแล้ว"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มหรี่ตาอย่างครุ่นคิด

"อืมม์ ถึงกูเพิ่งรู้จักฆาเบียร์และคบหากันจริงๆ ได้ไม่นาน แต่กูแน่ใจว่ะ ว่าฆาบี้คือคนที่กูรักและอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต..."

"พวกกูนิสัยเหมือนกันหลายๆ อย่าง ฆาเบียร์เองก็เป็นเพลย์บอยตัวพ่อเหมือนๆ กับกู แค่เขาน่ะเป็นเกย์เต็มตัว พอเราเจอกันมันก็คลิกทันทีเลย..."

"...มันเหมือนเราเจอคนที่มาเติมเต็มอีกฝ่าย ไม่รู้สิ มันอธิบายไม่ได้...กูรู้แค่ว่าเขารักกูแล้วกูก็รักเขา"

ตั้มมองหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของพี่รหัสด้วยความปวดใจ เขาไม่เคยเห็นเจแสดงสีหน้าแบบนี้กับสาวคนไหนมาก่อน

"ผมนึกว่าพี่เป็น straight มาตลอดเลยนะ"

"เห้ย กูก็ยังชอบมองสาวๆ อยู่นะเว้ย..."

"...การที่กูรักและทำนั่นนี่กับฆาเบียร์ ไม่ได้แปลว่ากูจะโอเคยอมอะไรๆ กับผู้ชายคนอื่นนะ ขอบอก กูนึกภาพตัวเองกอดผู้ชายคนอื่นไม่ลงว่ะ"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มปวดใจเมื่อเจพูดถึงการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับไอ้หนุ่มละตินคนนั้น

"แหม ไม่ลองไม่รู้นะพี่ พี่อาจจะติดใจจนมาเดินทางนี้เต็มตัวแบบผมก็ได้"

ตั้มพูดยิ้มๆ แต่ในใจเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

"ไม่เอาล่ะ มึง แค่ฆาบี้คนเดียวก็เกินพอละ อีกอย่าง กูว่าคนอื่นไม่มีใครสู้ที่รักกูได้แน่นอน"

เจหัวเราะร่วนเมื่อนึกถึงความหื่นของเมียตัวโตของเขา เขาเล่านั่นนี่นู่นและชวนน้องรหัสคุยเล่นเรื่อยเปื่อยไป

                                 

ตั้มปั้นยิ้มคุยกับพี่รหัสแต่ในใจเขาจดจ่อกับอย่างอื่น รอยสีกุหลาบจางๆ ที่กระจายอยู่บนแผงอกขาวเนียนที่โผล่รำไรออกมาจากคอเสื้อตัวโคร่งนั้นทำให้เขาคิดไปไกล เขาจินตนาการถึงภาพเจถูกฆาเบียร์ประทับรอยรักเหล่านั้น จินตนาการถึงภาพคนทั้งสองร่วมรักกัน จิตเขาประหวัดถึงภาพร่างเกือบเปลือยของพี่ชายคนนี้ที่เขาเคยเห็นตอนอาบน้ำหรือตอนเปลี่ยนเสื้อผ้ายามไปเข้าค่ายอาสาด้วยกัน ในสมัยเรียน ตอนแรกเขาเคยคิดสนใจพี่รหัสหน้าตาน่ารักคนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้เรียนรู้ว่าเจนั้นเป็นชายแท้ๆ แถมยังเจ้าชู้อีกต่างหาก มันทำให้เขาระงับใจของตัวเองไว้และเหลือแต่ความสนิทสนมกันฉันท์พี่น้อง แต่ในตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าเจนยุทธนั้นมีคนรักเป็นผู้ชาย มันทำให้ความปรารถนาในตัวเจถูกกระตุ้นขึ้นมาอีก

"...งั้นกูไปก่อนนะ มานานแล้ว เดี๋ยวจะมีคนงอน"

เจส่งยิ้มที่แฝงแววเขินอายให้น้องรหัสหน้าหล่อของเขาพร้อมยกมือตบเบาๆ ที่ไหล่ของตั้มอย่างที่เคยทำทุกครั้ง

"ตั้งใจทำงานนะ มึง อย่ามัวแต่เหล่หนุ่มๆ ล่ะ ไว้มาคราวหน้ากูมาเม้าด้วยใหม่"

ตั้มตอบรับคำอย่างใจลอยและมองเจเดินจากไป เขาหยิบแก้วที่เจเพิ่งใช้ไปขึ้นมาจรดจูบที่รอยปากของหนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่รู้ตัว ยิ่งเจมาคุยเล่น มาทักทาย บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ่งคิดถึงวันเวลาดีๆ ที่เขาเคยมีกับพี่รหัสคนนี้มากขึ้น ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งหยั่งรากลึกมากขึ้นเช่นเดียวกับความริษยาในตัวหนุ่มละตินผู้มาทีหลัง

                                                                                                                                                                                                                                                                                             
"ไปซะนานเลยนะ เจ"

คนตัวโตที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกับริคกี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กๆ เจลงนั่งเคียงข้างคนรักเขาใช้ไหล่กระทบไหล่ฆาเบียร์เบาๆ

"ขอบคุณครับ ที่ปล่อยให้ผมคุยกับตั้ม"

ตอนแรกเจนยุทธนึกว่าฆาเบียร์ที่มีทีท่าหวงเขาอย่างชัดเจนจะไม่ยอมให้เขาได้อยู่คุยกับน้องรหัส แต่คนตัวโตกลับยอมปล่อยให้เขาทำตามใจ มันแสดงให้เห็นถึงความไว้ใจที่ฆาเบียร์มีให้เขา

"ก็เพราะฉันรู้ว่าเจไม่ได้คิดอะไรกับเด็กมัน..."

"...แต่ เจ ฉันห่วงแค่ว่าการที่เจไปพูดคุยกับเด็กมันแบบนั้นจะเป็นการให้ความหวังหรือทำให้เด็กมันเข้าใจผิดหรือเปล่า"

ฆาเบียร์นั่งตัวตรง เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจหัวเราะลั่น

"โอ๊ย ไม่หรอกคุณ ผมกับมันรู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว ไล่เตะตูดมันมาก็บ่อย ผมว่ามันก็คงมองผมเหมือนผมมองพี่นพนั่นแหละ"

"...ถึงมันแสดงออกชัดเจนว่าชอบผู้ชาย แต่อย่างผมมันคงไม่ชอบหรอก ถ้ามันชอบจริงๆ มันคงแสดงออกไปนานแล้ว"

ในสายตาเจ น้องก็คือน้อง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น และเขาคิดว่าไอ้น้องรหัสก็คงมองเขาเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฆาเบียร์สังเกตแววตาของบาร์เทนเดอร์หนุ่มมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเขาเล่นพิเรนทร์ทำเป็นคนไม่รู้จักกันคราวนั้นแล้ว มันดูออกชัดเจนว่าหนุ่มคนนั้นไม่ได้มองคนรักของเขาเป็นแค่พี่ชายแน่ๆ และในคืนนี้ชายหนุ่มยิ่งแสดงออกชัดเจน แต่เขาก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ อย่างน้อยในคืนนี้ทั้งเขาและเจก็ได้ทำตัวเป็นคู่รักกันให้ชายหนุ่มคนนั้นได้เห็นชัดเจนแล้ว มันคงเพียงพอที่จะทำให้เด็กคนนั้นตัดใจ

"เออ แล้วเมลิน่ากับริคกี้ล่ะ?"

"สองคนนั้นตามปรินซ์กับซันซันเข้าไปข้างในน่ะ เราจะตามเข้าไปไหม?"

เสียงดนตรีที่เร้าใจทำให้ฆาเบียร์ที่มีคนรักเคียงข้างรู้สึกสนุกและเกิดอยากเต้นขึ้นมาบ้าง

"เอาสิ เดี๋ยวรอแป๊บนึงนะ"

เจเรียกเด็กเสิร์ฟที่สนิทกันเข้ามา เขาขอป้ายจองมาวางทิ้งไว้ที่โต๊ะ ก่อนที่จะเดินเคียงคู่คนรักเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงเพลง



-------------------------------------


วันนี้ยาวมาก ไม่จบตอนซะที ตอนแรกกะจะจบตอนนี้ แต่ดันมาเจออิเด็กตั้มซะก่อน ลากยาวเลย -_-"

ตอนนี้เขียนขึ้นในวันที่ 28/10/17 ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะเขียนแบบนี้ดีไหม แต่สุดท้ายก็เขียนออกมาโดยพูดถึง "ปลานิล" เพื่อให้เก็บไว้เป็นความทรงจำในใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขียนตอนนี้ค่ะ

ว่าด้วยปลานิล https://goo.gl/zbha1A

หวานพอดี https://goo.gl/7eojfm

Street food เชียงใหม่ https://goo.gl/YeZcg4

ข้าวต้มน้ำวุ้น https://goo.gl/n7KocW


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2017 07:37:11 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



----​ Girls! Girls! Girls! ----




"นั่นไง อยู่ตรงนู้น"

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูเพื่อนๆ ของเขาที่ยืนเต้นกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่โต๊ะยืนไม่ไกลจากเวที  คืนนี้ในร้านคนแน่นเป็นพิเศษเพราะใกล้วันสิ้นปีแล้ว พวกเขาเดินเบียดคนที่ยืนกันเต็มพื้นที่​ ฆาเบียร์เกาะกุมมือเรียวของเจไว้แน่น แม้จะถูกคนเบียดหรือกระแทกแค่ไหนเขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปเป็นอันขาด

"งาย ไอ้เจ มาได้ซะทีนะ มึง"

ซันซันซึ่งเมาเพียบตามเคยทักทายเจนยุทธ แล้วหันไปทำท่าทางประจบฆาเบียร์

"ป๋าครับ เลขาป๋าน่ารักมากเลย ผมขอเลี้ยงเหล้าได้ไหมครับ"

คนเมาหันไปขออนุญาตเจ้านายของสาวที่เขาต้องตาต้องใจ พวกเขาได้มีโอกาสคุยกันกับเมลิน่าก่อนหน้าที่ฆาเบียร์กับเจจะมาพักใหญ่ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ คืนนี้ท่าทางจะสนุกจริงๆ เขาแอบชำเลืองดูหน้าลูกน้องหนุ่มที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ

"ฉันตัดสินใจแทนเจ้าตัวไม่ได้หรอกนะ ซันซัน ไปถามเจ้าตัวเองดีกว่าไหม?"

"คุณเมลิน่าครับ ขอผมเลี้ยงเบียร์หน่อยนะ"

เจสังเกตเห็นเมลิน่าเหลือบมองริคกี้แว่บหนึ่งก่อนจะตอบอะไร เจหันไปดูอีกหนึ่งตัวแปรที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

"ซันซัน มึงเมามากละนะ ไม่ต้องกินแล้วดีไหม?"

ปรินซ์พูดขึ้นเบาๆ เป็นภาษาไทย ซันซันปัดมือเพื่อนหนุ่มร่างใหญ่ที่จับแขนเขาอยู่และหันไปถามเมลิน่าอีกครั้ง

"ได้สิคะ"

เมลิน่าที่เริ่มกรึ่มๆ ยิ้มหวานให้กับซันซัน หนุ่มตี๋ร่างท้วมรีบเดินไปที่บาร์แล้วกลับมาพร้อมเบียร์นอกสองขวด เขายกขวดเบียร์ขึ้นชนกับเมลิน่าและยกขึ้นดื่ม

"เฮ้ย!"

หนุ่มตี๋อุทานเมื่อเบียร์ในมือถูกเพื่อนรักดึงออกไปและแทนที่ด้วยน้ำเปล่า

"อะไรของมึงวะ ไอ้ปรินซ์"

"แดกแต่น้ำไปมึงน่ะ เมามากแล้ว กูขี้เกียจแบก"

ปรินซ์พูดด้วยเสียงเรียบๆ เป็นภาษาไทย เจที่ทำเป็นเต้นกับฆาเบียร์อยู่ใกล้ๆ ทำหูผึ่งฟัง ส่วนเมลิน่านั้นมีทีท่างงๆ



"อิจฉากูล่ะซี้ ที่เค้าสนใจคุยกับกูมากกว่า"

ซันซันหัวเราะคิกคักเยาะเย้ยเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของเขา

"เออๆๆ กูอิจฉาก็ได้ แต่มึงน่ะ กินน้ำไป โอเคไหม?"

ซันซันยกน้ำขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย

"กูกินน้ำละ โอเคยาง? งั้นกูไปเต้นกับสาวต่อละนะ"

ปรินซ์ดึงแขนเพื่อนหนุ่มไว้

"เดี๋ยว..."

ประโยคต่อไปของปรินซ์ซึ่งพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษดังๆ ทำให้ซันแทบสร่างเมา

"Don't be gone too long...cuz I'm surely gonna miss you"


'อย่าไปนานนักล่ะ เพราะกูจะคิดถึงมึงแน่ๆ'

เมลิน่าทำท่าตกใจเอามือปิดปาก ส่วนฆาเบียร์กับเจแทบสำลักเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่ ส่วนหนุ่มตี๋อ้วนหน้าแดงก่ำ

"ไอ้เชี่ยปรินซ์ มึงเล่นงี้อีกแล้วนะ เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดหมด"

หนุ่มลูกร้านเพชรโวยเพื่อนหนุ่มลูกร้านทองลั่นเป็นภาษาไทย มันพูดแบบนี้มาสองสามรอบแล้ว คนอื่นได้เข้าใจเขาผิดหมด

"กูยิ่งหาสาวยากๆ อยู่ นี่ใจคอมึงจะไม่ให้กูได้มีโอกาสมีแฟนเหรอวะ"

ปรินซ์ไม่ตอบ ได้แต่เอามือขยี้ผมเพื่อนรักและหัวเราะเบาๆ

"เฮ้ย กูว่าพวกมึงสองคนนี่แปลกๆ ว่ะ พวกมึงแน่ใจนะว่าไม่ได้มีอะไรที่ไม่ได้เล่าให้กูฟัง"

เจคาดคั้นเพื่อนทั้งสอง

"ไม่มีอะไรทั้งนั้นโว้ย มึงตอบไอ้เจมันเลย ไอ้ปรินซ์"

ซันซันผู้น่าสงสารปฏิเสธปากคอสั่น เขาจับคอเสื้อเพื่อนตัวดีเขย่า

"อืมม์ จะว่ายังไงดีล่ะ..."

เพื่อนตัวแสบของซันซันทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นซันซันมีทีท่าจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อ

"โอเคๆ ล้อเล่นครับ ล้อเล่น"

ปรินซ์หันไปหาเมลิน่า

"ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ คุณเมลิน่า สบายใจได้ เพื่อนผมคนนี้เป็นคนดี ผมฝากเขาไว้ให้คุณพิจารณาด้วยนะครับ"

ปรินซ์ยิ้มให้เลขาสาวของฆาเบียร์ซึ่งยิ้มหวานกลับมาให้เขาเช่นกัน อันที่จริงแล้วเมลิน่าถูกใจรูปร่างหน้าตาของเพื่อนหนุ่มคนนี้ของเจมากกว่าซันซัน แต่ปรินซ์ดูท่าทางไม่ได้สนใจในตัวเธอเท่าไหร่ เธอจึงไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์ต่อ แต่รอยยิ้มของปรินซ์ตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว

"พวกเรากลับไปนั่งที่โต๊ะกันดีกว่า อยู่ในนี้ชักอึดอัดแล้ว"

ฆาเบียร์ที่เห็นบรรยากาศชักไม่ค่อยดีชวนทุกคนกลับออกไปนั่งด้านนอก



"คุณเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของคุณเจเหรอคะ?"

เมลิน่าถามปรินซ์ เธอพึงใจหนุ่มลูกจีนหน้าตาพิมพ์นิยมที่รูปร่างงามเกือบเท่านายของเธอคนนี้อยู่บ้าง

"ครับ ผมกับซันรู้จักกับเจมาร่วมสิบปีแล้ว"

ปรินซ์ชายตามองซันซันที่ทำตาปรือพิงไหล่เขาอยู่ เมลิน่ามองตามสายตาของชายหนุ่ม เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นแววอ่อนโยนแว่บหนึ่งในสายตานั้น แต่เธอก็ยังคงพยายามชวนชายหนุ่มคุยต่อ

"เจ่เจ้ จะดื่มอะไรไหม เดี๋ยวผมไปเอาให้"

เสียงหนุ่มรุ่นน้องชาวฮ่องกงดังขึ้นแทรกการสนทนาของเธอกับปรินซ์ เมลิน่าหันไปแว๊ดใส่ริคกี้

"ไม่ต้องเรียกฉันแบบนี้ ฉันไม่ใช่คนจีน!"

แต่ก่อนที่เธอจะทันบ่นอะไรต่อ เสียงใสๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"พี่เจ ไม่ได้เจอตั้งนาน!"

หญิงสาวรูปร่างอวบอัดคนหนึ่งทรุดตัวลงนั่งข้างเจนยุทธแล้วกอดแขนพร้อมกับจุ๊บเบาๆ เข้าที่แก้ม

"หนูคิดถึงพี่จังเลย หายไปไหนมาตั้งนานคะ"

เจหน้าซีด เขาพยายามแกะแขนสาวที่มีทีท่าเมาพอสมควรคนนั้นออก

"น้อง เอ่อ...เอ่อ"

ในหัวเจขาวโพลนไปหมด เขาพยายามนึกชื่อหญิงสาวซึ่งเขาเคยสนุกด้วยสองสามครั้ง

"ฝ้ายไงพี่ ฝ้าย อะไร ตั้งหลายครั้งแล้วยังจำไม่ได้อีก หนูโกรธแล้วนะพี่"

สาวน้อยคนนั้นทำท่างอนจนแก้มป่อง เจหันรีหันขวาง เขาหลบตาคนตัวโตที่เม้มปากกอดอกแน่นอยู่ข้างๆ

"ฝ้าย เอ่อ ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกน่ะ พี่พาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยว"

ฝ้ายหันไปมองรอบๆ แล้วพลันปล่อยแขนเจและทำตาเยิ้มหันไปยิ้มหวานให้กับเมียตัวโตของเจ

"ตายแล้ว พี่เจ เพื่อนพี่หล่อจัง แนะนำให้หนูรู้จักหน่อยสิ"

หญิงสาวพูดเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น แล้วหันไปกวักมือเรียกเพื่อนสาวๆ อีกสองสามคนมา สาวๆ พวกนั้นทักทายเจซึ่งเคยเห็นหน้ากันในที่เที่ยวนี้และร่วมวงดื่มกันบ่อยครั้งอย่างสนิทสนม จากนั้นหันไปทักปรินซ์และซันซันซึ่งก็เป็นขาประจำที่นี่เช่นกัน ซันซันผู้ตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงสาวๆ ก็ลืมเรื่องยุ่งๆ เมื่อครู่ของตัวเองไปเสียหมดและหันไปป้อสาวๆ แทนโดยมีปรินซ์คอยสอดแทรกบทสนทนา ส่วนฝ้ายนั้นย้ายที่นั่งไปนั่งข้างฆาเบียร์ หล่อนเข้าไปประจ๋อประแจ๋คุยกับเมียตัวโตของเจที่ยิ้มละไมโปรยเสน่ห์ให้หญิงสาวเต็มที่ เจถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ฝ้ายเลิกมาเกาะแกะตัวเอง แต่ก็ต้องทำหน้าตึงเมื่อเห็นสาวรักสนุกจับมือถือแขนคุยกับคนรักของตัวเองซึ่งเอาแต่นั่งยิ้มทำตาหวานให้สาวๆ นี่อย่ามาคิดเปลี่ยนขั้วอะไรเอาตอนนี้นะ



หญิงสาวคุยเจ๊าะแจ๊ะกับหนุ่มละตินร่างงาม เธอทั้งซักไซร้ถามชื่อเสียงเรียงนาม ที่มาที่ไปและจะอยู่นานแค่ไหน ฆาเบียร์ปรายตามองเจแล้วก็ต้องแอบซ่อนยิ้มเมื่อเห็นเจตีหน้ายักษ์ เขาหันไปตอบคำถามฝ้ายทุกคำถามพร้อมชวนคุยโดยทำทีไม่สนใจคนรักที่มีทีท่าฮึดฮัดไม่พอใจ

"พี่เจๆ..."

เพื่อนสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งของฝ้ายสะกิดแขนเจ

"พี่ช่วยแปลให้หนูหน่อยสิ หนูอยากคุยกับพี่คนนั้น"

เธอยิ้มเขินๆ แล้วแอบชี้ไปทางริคกี้ซึ่งนั่งดื่มอยู่เงียบๆ เจรีบตอบรับด้วยความยินดี ฟันเฟืองในหัวเขาเริ่มทำงานอีกแล้ว

"เฮ้ ริคกี้ น้องคนนี้เขาอยากคุยกับนายน่ะ"

เขาพูดด้วยเสียงที่ดังพอให้เมลิน่าได้ยิน เขาเนื้อเต้นเมื่อเห็นเลขาสาวชะงักกึกไปก่อนจะทำเป็นไม่สนใจและหันไปคุยกับปรินซ์ เจละความสนใจจากฆาเบียร์และหันไปช่วยแม่สาวคนนั้น เขาย้ายไปนั่งข้างริคกี้โดยทิ้งฆาเบียร์ให้อยู่กับฝ้ายและเพื่อนของสาวเจ้าอีกคน

"น้องเค้าถามว่านายชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน"

ริคกี้ตอบคำถามนั้นเบาๆ

"น้องเค้าบอกว่านายน่ารักดี อยากทำความรู้จักด้วย"



กึก!

เสียงก้นขวดเบียร์กระแทกโต๊ะดังจนทุกคนหันไปดู

"ขอโทษค่ะ ฉันเผลอมือหนักไปหน่อย"

เมลิน่ารีบขอโทษขอโพยทุกคน เธอหลบสายตาของริคกี้ที่จ้องมองมาเหมือนจะค้นหาความจริงแล้วชวนเพื่อนๆ ของเจคุยต่อแต่หูของเธอคอยเงี่ยฟังคำสนทนาของริคกี้และสาวน้อยคนสวยอย่างไม่รู้ตัว ริคกี้เริ่มผ่อนคลายและหัวเราะไปกับสาวสวยที่เริ่มคุยกับเขาด้วยภาษาอังกฤษอย่างช้าๆ เจช่วยแปลในบางจุดและแอบแปลงสารบางส่วน

"พี่เจถามให้หน่อยว่าเขาอยากจะไปกินไก่เที่ยงคืนต่อกับพวกหนูไหม?"

"She would like to know if you want to spend more time with her tonight"

เจนยุทธแปลงสารให้ฟังดูกำกวม เขาพูดเร็วปรื๋อให้สาวน้อยนั้นจับความไม่ทัน แต่คนที่เงี่ยหูฟังอยู่นั้นร้อนผ่าวไปทั้งตัว

"เฆเฟ่...เอ๊ย คุณฆาเบียร์คะ ฉันว่านี่ก็ดึกมากแล้ว เรากลับกันดีกว่าไม่งั้นเดี๋ยวคุณคริสจะเป็นห่วง"

เมลิน่าส่งเสียงหานายของเธอ ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ

"อีกเดี๋ยวก็ได้ เมลิน่า ฉันบอกอาปาแล้วว่าจะกลับดึก นี่ก็ยังไม่เที่ยงคืนเลยนะ ฉันกำลังสนุกเลย"

เขาโอบไหล่สาวที่เคยแนบกายกับเจและส่งสายตายั่วเย้าไปให้คนรัก เจนยุทธถลึงตาใส่เมียตัวโตของเขา จะเล่นแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม?

"พวกเธอคุยกันไปเองแล้วกันนะ พี่จะสูบบุหรี่หน่อย"

เขาหันไปบอกริคกี้และแม่สาวใจกล้า เขาย้ายกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเองและไล่ที่เพื่อนของฝ้ายที่นั่งประกบข้างฆาเบียร์ เขาถือวิสาสะดึงซิการิโย่ตัวเท่าบุหรี่ซึ่งฆาเบียร์คาบไว้ในปากมาสูบ คนตัวโตยิ้มเผล่ เขาหยิบซิการ์น้อยยี่ห้อ  Montecristo ตัวใหม่ออกมาแล้วก้มลงต่อไฟจากซิการ์น้อยที่เหลือไม่ถึงครึ่งตัวซึ่งเจคาบไว้ในปาก ฝ้ายมองตามแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบ ท่าทางของทั้งสองคล้ายกับกำลังจูบกันก็ไม่ปาน ซันซันที่เริ่มสร่างเมาแล้วหันไปหัวเราะหึๆ กับปรินซ์ ไอ้เพื่อนของเขามันร้ายนัก



"Nos vamos?"

'ไปกันแล้วไหม?'

เจถามฆาเบียร์ เขาเรียกเด็กเสิร์ฟมาทำการจ่ายเงินอะไรเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตพยักหน้า กลับแล้วก็ได้เพราะพรุ่งนี้พวกเขาต้องไปบ้านเจแต่เช้า เขาบอกเมลิน่ากับริคกี้ว่าพวกเขาจะกลับกันแล้ว ทั้งสองคนบอกลาปรินซ์กับซันซันและลุกขึ้นไปยืนรอนายของพวกเขา เจบอกลาเพื่อน สองหนุ่มบอกว่าจะอยู่ต่อกันอีกสักหน่อย เจกำชับเรื่องงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ซึ่งทั้งสองคนบอกว่าพวกเขาจะไปแน่นอน

"พี่ไปก่อนนะ ฝ้าย"

เจนยุทธหันไปบอกลาแม่สาวที่เขาเคยสนุกด้วย

"กลับแล้วเหรอ พี่เจ?..."

หญิงสาวโบกมือลาเจ แล้วหันไปยิ้มหวานให้ฆาบี้และเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษ

"...จริงๆ พี่ฝากเพื่อนพี่ไว้ที่หนูก็ได้ กำลังคุยกันสนุกๆ เลย เดี๋ยวหนูพาไปส่งบ้านเอง"

"ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเลยดีกว่า เดี๋ยวคนรักผมเขาว่าเอา"

ฝ้ายทำหน้าเซ็งเมื่อได้ยินคำว่า lover จากปากคนตัวโต

"ว้า คุณมีแฟนแล้วเหรอ?"

ฝ้ายถามถึงแฟนของฆาเบียร์โดยใช้คำว่า girlfriend

"ครับ แต่ไม่ใช่ g​irlfriend หรอกนะ"

ฆาเบียร์ลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มกระชากใจให้แม่สาวรักสนุก เขาหันไปหาเจและส่งมือให้

"Let's go, my love"

เจกุมมือใหญ่อันอบอุ่นที่ฉุดให้เขายืนขึ้น เขาหันไปยิ้มและโบกมือให้กลุ่มสาวๆ ที่นั่งทำหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะเดินหันหลังออกจากร้านไปโดยมีเสียงหัวเราะอย่างสุดกลั้นของเพื่อนทั้งสองดังตามหลังมา


"อืมม์ ฆาเบียร์ ตรงนั้น อ๊ะ...โอ๊ย ดีมากครับ"

เจสูดปากครางลั่นเมื่อฝ่ามือใหญ่ของคนรักกดทาบลงไปตามแผ่นหลังของเขา ทั้งสองกลับมาถึงยังวิลล่าที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว ฆาบี้ก็ทำตามสัญญาที่บอกว่าจะนวดให้เจตั้งแต่เมื่อสองคืนก่อน เขานั่งคร่อมสะโพกหนั่นแน่นของเจนยุทธที่เปลือยนอนคว่ำให้เขานวดให้อย่างสบายอารมณ์ เขากดฝ่ามือไปตามแนวกล้ามเนื้อหลังจากสะบักลงมาถึงบั้นเอว เจครางลั่น จากนั้นฆาเบียร์เปลี่ยนไปใช้นิ้วมือขยำที่ไหล่แข็งแรงของเจ ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือกดคลึงไล่มาตามจุดบนหลัง เจครางเบาๆ อย่างมีความสุข เขาแทบจะหลับแล้ว

"แข็งไปทั้งตัวเลยนะ เจ"

ฆาเบียร์กระเซ้าคนรัก

"ขาดแค่ตรงนี้..."

คนตัวโตพลันล้วงมือเข้าไปใต้ร่างที่นอนคว่ำอยู่ เจอุทานลั่นแต่ก็ถูกคนตัวโต 'นวด' ให้จนตัวอ่อนระทวย ฆาเบียร์พลิกร่างคนรักให้นอนตะแคงโดยตัวเองลงนอนประกบด้านหลัง ริมฝีปากเขาซุกซนจูบไล้ไปตามคอและไหล่ ส่วนมือของเขาไต่เดียะไปตามจุดที่ทำให้คนตัวเล็กสั่นสะท้าน นิ้วของมือข้างหนึ่งของเขาเปะป่ายอยู่ที่ยอดอก ส่วนอีกมือหนึ่งลูบไล้ส่วนสงวนของเจ เขากระซิบคำรักที่หูของร่างเพรียว ก่อนจะดันแกนกายของตนเข้าที่หว่างขาคนคนตัวเล็ก เจหุบขาแน่น สัมผัสที่แนบชิดของแท่งเนื้อทั้งสองนำพาความเสียวซ่านสุดแสนมาให้เขา มือของเขากุมไปที่มือของฆาเบียร์และช่วยเร่งเร้าสัมผัสนั้น

ฆาเบียร์หยุดมือก่อนที่พวกเขาจะทันปลดปล่อยออกมา เขาพลิกตัวเจนอนหงายและรวบขาทั้งสองของเจนยุทธเข้าด้วยกันและสอดแก่นกายตนเข้าหว่างขาคนรักที่หุบท่อนขาแข็งแรงจนแนบชิด ฆาเบียร์จ้องมองใบหน้าน้อยๆ ที่แดงก่ำและเหยเกด้วยแรงอารมณ์ เขาเร่งเร้าขยับสะโพกจนพวกเขาทั้งคู่ปลดปล่อยออกมาอย่างแรง ฆาบี้ทิ้งกายลงในอ้อมแขนที่คอยโอบรับเขาอยู่ เจโอบรัดร่างเมียตัวโตของเขาไว้แน่น


"เจจ๋า..."

"อือ ว่าไงครับ เมีย?"

เจนยุทธที่ตาปรือจวนจะหลับแล้วตอบรับคนรักด้วยความง่วงงุน

"เจมีสาวเยอะแยะ แต่ทำไมเจถึงไม่เคยมีแฟนเลยล่ะ?"

เจลืมตาขึ้นมองหน้าคนเจ้าชู้ที่ก็ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนนอกจากแฟนคนแรกที่หักอกเขาอย่างแรง

"อยากรู้จริงๆ เหรอ?"

เจถามคนรักตัวโต ฆาเบียร์ซึ่งนอนเป็นหมอนให้คนตัวเล็กหอมเบาๆ ที่แก้มใสนั้น

"อยากรู้สิ แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ"

เจถอนหายใจ เขาไม่ค่อยอยากคิดถึงมันเท่าไหร่

"คุณเห็นผมแบบนี้ แต่เชื่อไหมว่าผมเคยอ้วนมาก่อน อ้วนมากจนถึงช่วงม.ต้น"



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2017 12:24:04 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



----​ Girls! Girls! Girls! (ต่อ) ----



เจนยุทธนึกถึงช่วงเวลานั้น ช่วงประถม เขาเคยเป็นเด็กน่ารักในสายตาของทุกคน เด็กชายเจน้อยตาแป๋ว ตัวอ้วนๆ ขาวๆ ถูกป้าๆ น้าๆ เพื่อนแม่ในตลาดฟัดเช้าฟัดเย็น เขาอยู่โรงเรียนชายล้วนซึ่งไม่ได้เจอกับเด็กหญิงที่ไหน เขาจึงไม่ค่อยมีประสบการณ์คบหากับเด็กผู้หญิงนัก แต่ด้วยความที่มีพี่สาวอายุมากกว่าทำให้เขาเอารู้จักเอาใจและอ้อนสาวๆ

ช่วงม.ต้นเขาก็ยังคงตัวอ้วนกลม เจเรียนที่เดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือการไปเรียนกวดวิชา เดิมทีพ่อแม่อยากให้เขาสอบเข้าเรียนโรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยเชิงดอยเหมือนพี่อิ่ม แต่ด้วยความขี้เกียจปนความไม่ตั้งใจเรียนของเขาทำให้เขาสอบเข้าที่นั่นไม่ได้ พ่อแม่จึงจับเขาเรียนกวดวิชาแต่เนิ่นๆ

ที่โรงเรียนกวดวิชาเขาได้เรียนร่วมกับเด็กผู้หญิงเป็นครั้งแรก ช่วงแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่เรียนๆ ไปสองสามปี เด็กหนุ่มเด็กสาวก็เริ่มมีการปิ๊งปั๊งกันตามประสาวัยแรกรุ่น หากแต่ไม่มีสาวไหนสนใจเด็กหนุ่มตัวอ้วนกลมคนนี้เลย แม้เจจะหน้าตาน่ารักอีกทั้งดูแลและเสวนากับผู้หญิงเป็น แถมยังรอบรู้เพราะชอบอ่านและหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา แต่เขาก็เป็นได้แค่เพื่อนตัวกลมของสาวน้อยพวกนั้น ในตอนนั้นเจก็ไม่ได้คิดอะไรมากเนื่องด้วยอายุยังน้อยและยังไม่ได้สนใจสาวๆ นัก



"แต่พอขึ้นม.3 ผมก็ปิ๊งสาวที่เรียนกวดวิชาด้วยกันคนนึง เราก็สนิทกันในระดับนึง เธอชอบพูดว่าชอบนิสัยผม แล้วยังบอกว่าผมรอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง คุยด้วย อยู่ด้วยแล้วสนุกดี พูดงี้ผมก็เคลิ้มสิ พอก่อนปิดเทอมสอง ผมก็ตัดสินใจสารภาพรัก แต่ก็โดนปฏิเสธ บอกว่าเธอยังไม่คิดมีแฟน..."

เจบอกว่าเขาจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าไม่ได้มารู้ทีหลังว่าเธอไปพูดกับเพื่อนว่าเธอไม่มีวันเป็นแฟนกับคนอ้วนอย่างเขา แถมยังไปคบหากับหนุ่มที่เรียนด้วยกันอีกคนหนึ่งแทบจะทันทีหลังจากที่หักอกเขา

"ผมงี้โคตรเสียใจเลย สุดท้ายการคบกันมันก็แค่รูปร่างหน้าตาสินะ ผมก็เลยฟิตลดอาหาร ออกกำลังกาย พอดีกับว่าเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มโตด้วยมั้ง..."

ด้วยความพยายามอย่างหนัก เจนยุทธสามารถลดน้ำหนักจนได้

"พอเปิดเทอมขึ้น ม.4 เพื่อนๆ ถึงกับงงว่าไอ้นี่คือใคร ผมผอมลงเป็นสิบโลเลย พอดีกับเป็นตอนที่ต้องแยกห้องเรียนตามสาย เพื่อนๆ ที่สนิทกันก็แยกห้องกันไปบ้าง มีคนอื่นจากห้องอื่นที่ไม่ได้สนิทกันมาเรียนด้วยบ้าง ผมก็เหมือนได้เริ่มต้นเป็นคนใหม่ พอม.4 เทอม 2 รูปร่างผมก็เหลือเท่าๆ กับตอนนี้ แต่อาจจะดูเก้งก้างกว่าหน่อย เสียดายแค่ว่าทำไงมันก็ไม่สูงเพิ่มขึ้น"

เจนยุทธมองคนตัวโตอย่างหมั่นไส้ ถ้าเขาสูงสักขนาดฆาเบียร์ก็คงดี



"ที่โรงเรียนผม พอม.ปลายก็เปิดเป็นแบบสหศึกษา มีนักเรียนหญิงมาเรียนร่วมด้วย หลายๆ คนก็พวกคุ้นๆ หน้ากันจากโรงเรียนกวดวิชานี่แหละ"

เจนึกถึงครั้งอดีต สาวๆ หลายๆ คนที่เคยมองเมินเขาตอนยังเป็นเด็กอ้วน กลับมาแอบมองเขาด้วยท่าทีสนใจแทน ในตอนนั้นเขาไม่บอกสาวๆ พวกนั้นว่าเคยรู้จักกันในตอนเรียนกวดวิชาแล้ว เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ สนใจการแต่งตัวมากขึ้น แถมยังดูแลผิวหน้าผิวกาย

พอขึ้นม. 5 เจก็ขึ้นแท่นหนุ่มเนื้อหอมของโรงเรียน ถึงจะไม่ได้ตัวสูงใหญ่หุ่นดีดูแมนเหมือนเพื่อนหลายๆ คน แต่ด้วยหน้าตาน่ารักและนิสัยที่ร่าเริง แถมยังเป็นเด็กกิจกรรมทำให้เขาเป็นที่หมายปองของสาวๆ และหนุ่มๆ ด้วย เขายังคงทำตัวเป็น mr. nice guy เหมือนสมัยก่อน เว้นแต่กับคนเดียว

"สาวที่เคยประกาศว่าจะไม่เอาผมเป็นแฟนตอนม.ต้นก็เข้ามาเรียนที่โรงเรียนผมด้วย แต่เธอเรียนอีกห้องนึง..."

"...ทีหลังมาเพื่อนผมที่เรียนห้องเดียวกับสาวคนนั้นก็กระซิบมาว่าเธอชอบผม"

เจยิ้มหยัน เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาคือคนๆ เดียวกับคนที่เธอเคยปฏิเสธเพราะรูปร่าง

"ผมก็เลยเข้าไปจีบซะ แต่ก็จีบแบบจีบไปงั้นนะ ไม่ได้ทำตัวดีด้วยมากมายเหมือนตอนเรียนม.ต้น แต่ผลคือจีบติดแบบไม่ยากอะไร"



"ตกลงว่าคบกัน?"

ฆาเบียร์ถาม เขาขยับขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วจับคนตัวเล็กขึ้นนั่งพิงอกและกอดเอาไว้ เจเอนกายซบอกคนรักและเล่าต่อ

"ใช่ แต่คบแบบไม่จริงจังอะไร ตอนนั้นผมก็คุยๆ อยู่หลายคน แต่ก็ไม่ได้สนใจใครจริงจัง เพราะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพวกเธอก็มองผมที่ภายนอกมากกว่าตัวผมจริงๆ"

เจคบสาวคนนั้นแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แต่แม่สาวคนนั้นก็ไม่ปริปากว่าอะไร จนในที่สุดเจทนทำแบบนั้นต่อไม่ได้เลยบอกไปตรงๆ ว่าเขาคือเด็กอ้วนที่เธอเคยปฏิเสธไปตอนม.ต้น

"คือผมก็รู้ว่ามันไม่ดีนะ แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก ผมก็เลยอยากจะแก้แค้นให้เธอได้เจ็บใจเล่น ตอนแรกผมก็คิดไปถึงเรื่องฟันแล้วทิ้งเลยนะ เธอเองก็เสนอตัวให้ผม คือเรียกได้ว่าได้เข้าห้องและเกือบได้ถอดผ้ากันแล้ว แต่ผมทนทำแบบนั้นไม่ได้ก็เลยบอกเธอไปตรงๆ ว่าผมคือใคร และบอกไปว่าในตอนนี้ผมไม่ได้ชอบเธอแล้ว ทำแบบนั้นไม่ลง"

"...ก็โดนตบไปตามระเบียบ"

เจหัวเราะ เขายังไม่อยากทำลายสาวคนนั้นถึงขนาดนั้น หลังจากนั้นเขาไม่ใส่ใจผู้หญิงที่มารุมล้อมเขาอีก

"...ตอนผมเป็นเด็กอ้วน ต่อให้นิสัยดีแค่ไหน คุยสนุกแค่ไหน ก็เป็นได้แค่เพื่อน แต่พอหน้าตาดีเข้าหน่อย ต่อให้ทำตัวแย่ๆ ด้วยก็โอเคงั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้น ผมขอไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยดีกว่า เหนื่อย!..."

"แล้วคุณรู้ไหม ที่น่าขันคือสาวคนที่ปฏิเสธผมน่ะ เธอไม่ได้เป็นคนสวยอะไรเลยด้วยนะ ตอนนั้นที่ผมชอบเธอ ผมชอบเพราะนิสัยเธอล้วนๆ แต่ก็กลับมาโดนแบบนี้"



"แล้วฉันล่ะ เจ นายมั่นใจเหรอว่าฉันไม่ได้มองเจที่หน้าตาอย่างเดียว"

เจหัวเราะแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางคนรัก

"ฆาเบียร์ครับ ผมรู้หรอกว่าตอนแรกคุณก็สนผมเพราะหน้าตาผมถึงยังไม่กล้าเทใจให้ไง แต่พออยู่ๆ ด้วยกันไป ผมก็เห็นอะไรมากขึ้น เห็นในความจริงใจของคุณ ตอนนี้ผมไม่คิดสงสัยในตัวคุณเลย..."

"...แค่คุณยอมให้ผมจิ้มบ่อยๆ  ผมก็เลิกสงสัยแล้ว"

"...ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ผมสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา ก็ยอมให้ผมทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ เมียจ๋า"

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ เจป้อนจูบแผ่วๆ ให้คนรักซึ่งจูบเขาตอบอย่างอ่อนหวาน เจดันร่างคนตัวโตลงนอนและขึ้นคร่อม เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าคมเข้มนั้น ฆาเบียร์รัดร่างคนรักแน่น

"ฆาบี้ อย่าพึ่งซนสิ..."

เจจับข้อมือคนรักที่ตะปบเข้าที่บั้นท้ายของเขา

"...จะฟังต่อไหม?"

แทนคำตอบ คนตัวโตดันคนตัวเล็กให้ลงนอนข้างกายและพลิกตัวนอนตะแคง เจก็นอนตะแคงและจ้องมองตาคู่งามของคนรัก

"แล้วทำไมเจถึงกลายเป็นเพลย์บอยไปได้ล่ะ?"

"อืมม์ ผมเป็นแบบนั้นเอาตอนจบม.ปลายน่ะ"



ช่วงม.ปลายของเจ ต่อให้เจคบคนนั้นคนนี้ แต่ก็เป็นแบบใสๆ ในใจเจก็ยังคงเป็นหนุ่มอ้วนที่ไม่กล้ารุกเร้าใคร เขาทำอย่างมากก็แค่หอมแก้ม จับมือ หรือจุ๊บเบาๆ ที่ปาก ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาหลายคนมีประสบการณ์ครั้งแรกกันไปเรียบร้อยแล้ว เจก็ยังคงรีรอ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาคิดไปว่าอยากมีครั้งแรกกับคนที่รักจริงๆ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังหาคนๆ นั้นไม่เจอเสียที

"ปี 2007 ผมก็เข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกผมเข้าเรียนที่ม.เชิงดอยนะ ตอนนั้นผมชอบเล่นคอมพิวเตอร์และคิดว่าตัวเองชอบด้านนี้ เลยยื่นคะแนนเข้าเรียนที่ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์"

ฆาเบียร์เลิกคิ้ว เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจเคยเรียนสาขาเดียวกับเขา มิน่าล่ะหลายๆ ครั้งที่เขาคุยเรื่องงานให้เจฟังเจก็ทำท่าทางรู้เรื่อง เจหัวเราะเมื่อฆาบี้ถามว่าเขาเรียนสองเมเจอร์หรือว่ายังไง

"ผมไม่ได้เรียนรู้ลึกซึ้งแบบคุณหรอก ฆาบี้ ผมเรียนคอมพ์ได้ปีเดียวก็รู้ตัวว่าไม่ชอบ ในระหว่างนั้นผมก็ได้คุยกับเพื่อนที่เขาเรียนด้านการโรงแรมของม.เอกชนที่ผมจบมาแล้วก็เกิดสนใจขึ้นมา ก็เลยคุยกับแม่ แม่บอกว่าส่งไหว ก็เลยย้ายไปสมัครเรียนที่นั่นแทน..."

เจถอนหายใจ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำงานในสาขาวิชาที่เขาเรียนมาอยู่ดี นี่คือความรู้สึกผิดอย่างหนึ่งที่เขามีต่อแม่

"Anyway, ตอนที่ผมยังเรียนที่ม.เชิงดอย ผมขอแม่มาอยู่หอ ผมอยากได้ความรู้สึกอิสระของการเป็นเด็กม."

แม่ของเขาก็อนุญาตแม้ว่าบ้านเขาจะอยู่ห่างม.ไปสัก 10 นาทีก็ตาม พอมีอิสระ เจก็เริ่มเที่ยว เขาและเพื่อนๆ หอเดียวกันหาทางเข้าร้านเหล้าจนได้แม้อายุจะยังไม่ถึง แต่บางทีก็ซวยเจอคนรู้จัก อย่างเช่นวันนั้น



"ไอ้เจ...!"

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกจนแก้วเหล้าแทบหลุดมือเมื่อได้ยินเสียงพี่สาว เพื่อนๆ ก๊วนเที่ยวของเจรีบชิ่งหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเจอหน้าอาจารย์ อิ่มใจซึ่งเป็นอาจารย์สอนชีววิทยาในม.เชิงดอยมองน้องชายตัวแสบอย่างระอาใจ

"จะ...เจ๊ ลมอะไรหอบมาที่นี่ได้ล่ะ?"

เจยิ้มแห้งๆ พี่สาวของเขานานๆ จะเที่ยวกลางคืนที วันนี้มาเจอกันได้นี่ถือว่าเขาซวยสุดๆ อิ่มทรุดตัวลงนั่งข้างน้องรักพร้อมชวนเพื่อนที่มาด้วยให้นั่งลงแทนที่เพื่อนๆ ของเจ

"พี่พาพลอยมาเที่ยว เจจำพลอยได้ใช่ไหม?"

เจนยุทธหันไปยิ้มหวานให้เพื่อนสาวของอิ่มซึ่งอยู่ในชุดลูกไม้สีดำที่ไม่สั้นนักแต่รัดรึง เนื้อขาวๆ ของสาววัย 30 ที่หุ่นยังเป๊ะโผล่วับๆ แวมๆ ภายใต้ลูกไม้ส่วนที่ไม่ได้ติดซับในทำให้หนุ่มน้อยวัย 18 ปีที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านตาลอย

"นี่น้องเจตัวน้อยที่เคยวิ่งตามพี่จริงๆ เหรอเนี่ย? จำไม่ได้เลย โตขึ้นมาแล้วหล่อเชียว"

พลอยดึงแก้มป่องๆ ของเจอย่างมันเขี้ยว ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันคือตอนพลอยอยู่มหาวิทยาลัยและเจอายุ 12 ขวบ พลอยเรียนประถมที่เดียวกับอิ่มก่อนที่อิ่มจะย้ายมาเรียนรร.สาธิตของม.เชิงดอย ทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งตอนเรียนมหาวิทยาลัย

"ผมจำพี่ได้แล้ว เมื่อก่อนพี่ก็ชอบหยิกแก้มผมแบบนี้เลย"

สองสาวหัวเราะลั่น เมื่อเห็นเจทำหน้ามุ่ยลูบแก้ม

"พลอยเพิ่งกลับมาจากอเมริกาน่ะ"

"ใช่จ้ะ พี่เรียนที่ภาคชีวะกับอิ่มสองปี ก่อนจะตัดสินใจสอบเข้าหมอแทน พอจบก็ไปเรียนต่อเมืองนอก ตอนนี้ปิดเทอมก็เลยกลับบ้าน"

เจนั่งอยู่กับสองสาวไม่นานก็โดนอิ่มไล่ให้กลับหอ

"นี่ พี่รู้ว่าห้ามไปเจก็คงไม่ฟัง แต่อย่าเที่ยวบ่อยนักล่ะ ไม่ก็ระวังตัวหน่อย อย่าได้เมามากนัก โอเคนะ?"

อิ่มทิ้งท้าย



"อ้าว น้องเจ เจอกันอีกแล้ว"

เจซ่อนแก้วเหล้าแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงใสๆ ของพลอย

"ใจเย็น วันนี้อิ่มไม่มาด้วย พี่ขอนั่งด้วยคนนะ"

เจขยับตัวให้พลอยลงนั่งข้างๆ เพื่อนๆ ของเจต่างดี๊ด๊าเมื่อมีสาวสวยมานั่งด้วย พวกเขานั่งดื่มด้วยกันจนร้านปิด พลอยขับรถจากัวร์คันงามไปส่งเจและเพื่อนๆ ที่หอ

"พี่ขอยืมตัวเจแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพามาส่ง"

พลอยส่งจูบและบอกลาเพื่อนๆ ที่เมาเพียบของเจที่หน้าหอก่อนจะขับรถพาเจนยุทธไปจอดที่มุมมืดแห่งหนึ่งริมอ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัย เจใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตอนที่อยู่ที่ผับ ร่างของเขาและพลอยเบียดเสียดกันหลายครั้งทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ พวกเขายังได้คุยเล่นกระเซ้าเย้าแหย่กันแบบหมาหยอกไก่ตลอดเวลา หลายครั้งที่เขาวางมือบนขาขาวๆ นั้นแต่ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าเจ้าตัวจะปัดป้อง แต่เจก็ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้น

"พะ...พี่พลอย ผม เอ่อ ผมยังไม่เคย"

เจพูดตะกุกตะกักเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นๆ ของคนที่อายุมากกว่าสัมผัสซอกคอ เขาเคยแค่จุ๊บปากแฟนๆ ของเขาแค่นั้น แต่ไม่เคยจูบแบบจริงจัง พลอยทำตาโต ท่าทาง การพูดจาของเจที่ผับทำให้เธอเข้าใจว่าเจนั้นช่ำชองมาก เธอปิดปากเจด้วยปากของตัวเอง และบอกให้หนุ่มน้อยทำตามที่สั่ง ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ไฟในกายของทั้งคู่ลุกโชน ไม่นานสัญชาตญานก็เข้าครอบงำ เจที่เคยผ่านตาสารพัดหนังเอวีมาก็เริ่มทำตามที่เคยเห็น พลอยดันเก้าอี้ด้านคนนั่งให้เอนนอนลงและข้ามฝั่งไปนั่งคร่อมกลางลำตัวเจ

"จำไว้นะเจ ไม่ว่ากับใคร ต้องใช้นี่ด้วย"

พลอยชูซองฟอยล์เล็กแบนขึ้นก่อนที่จะฉีกซองและรูดใส่มันให้เด็กหนุ่มที่นอนตัวแข็งอยู่บนเบาะรถ



"ก็อย่างที่เคยเล่า พี่พลอยคือครั้งแรกของผม หลังจากวันนั้นผมกับพี่เขาก็มีอะไรกันบ่อยๆ ตามที่โอกาสจะอำนวยโดยที่พี่อิ่มเองก็ไม่ได้รู้ พี่พลอยสอนผมทุกอย่าง ต้องทำยังไงให้ผู้หญิงพึงใจ ต้องสัมผัสตรงไหน จูบตรงไหน แตะเบาแรงแค่ไหน ตรงไหนคือจุดเร้าอารมณ์ ผมเองยังคิดเลยว่าทำไมพี่เขาช่ำชองแบบนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งผมตัดสินใจขอพี่เขาเป็นแฟน"

เจหัวเราะเมื่อนึกถึงวันนั้น พลอยทำท่าตกใจมาก แล้วบอกว่าเธอขอเป็นแค่เซ็กส์เฟรนด์แบบนี้ดีกว่าเพราะเธอไม่เคยคิดอยากมีแฟนเป็นผู้ชาย

'พี่รักผู้หญิงน่ะ เจ กับผู้ชายพี่แค่ชอบมีอะไรด้วยแค่นั้น'

"ผมถึงบางอ้อเลยว่าทำไมพี่เขาถึงรู้มากนักเรื่องจุดสัมผัสของผู้หญิง ก็เพราะพี่เขาเป็นฝ่ายทำให้สาวๆ ด้วยนั่นเอง"

"แล้วเจเสียใจไหม ที่โดนปฏิเสธ"

ฆาเบียร์ถามด้วยความรู้สึกหวั่นอยู่ลึกๆ ถ้าเกิดเจเคยรักชอบพลอย ก็เป็นไปได้ว่าถ่านไฟเก่าอาจติดขึ้นอีกในอนาคต หากเจนยุทธส่ายหน้า

"ไม่เลยสักนิด ฆาเบียร์ ผมไม่เสียใจ แต่กลับโล่งอกด้วยซ้ำ ตอนนั้นที่ผมขอเป็นแฟนออกไป มันก็เพราะผมเคยคิดว่าจะมีเซ็กส์แต่กับคนที่รัก ผมก็เลยทึกทักเอาว่าพี่พลอยนี่แหละจะมาเป็นคนรักของผม"

"ผมกับพี่พลอยนัวเนียกันอยู่แบบนี้จนพี่เขากลับไปเรียนต่อ และก็ต่อเนื่องมาทุกครั้งที่พี่เขากลับมาไทย หลังจากมีประสบการณ์แล้ว ผมก็เริ่มไม่ขัดผู้หญิงที่มาเข้าหาผมในที่เที่ยว แต่ผมทำตามพี่พลอยสอนทุกครั้ง คือไม่ว่ากับใคร ก็ต้องใช้เครื่องป้องกัน"

"...ผมยอมรับเลยว่าผมชอบเซ็กส์"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ การได้มีร่างอุ่นๆ ในอ้อมกอดและได้ยินเสียงครวญครางเรียกชื่อเขาทำให้เขารู้สึกเป็นที่ต้องการ หากลึกๆ เจก็ยังโหยหาความรัก เขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่จะทำให้ใจเขาเต้นแรงและมาเติมเต็มความรู้สึกในใจได้เลยสักที



"พอผมย้ายมาเรียนที่ม.เอกชน มันก็เป็นช่วงเดียวกับที่แม่ผมถูกหวยพอดี ตอนนั้นผมยิ่งเห็นด้านมืดของผู้หญิงเข้าไปใหญ่"

สาวๆ ที่เข้ามาหาเขาตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาก็เพราะเงินที่เขาโปรยหว่าน ไม่ก็ติดใจเรื่องบนเตียงของเขา ไม่มีใครสนใจหนุ่มน้อยกินจุ รอบรู้ คุยเก่งและขี้อ้อนที่ซ่อนอยู่ภายในเลยแม้เขาจะพยายามแสดงออกให้เห็นก็ตาม เจก็เลยยิ่งใช้ผู้หญิงที่เข้ามาหาเขาเป็นเพียงเครื่องบำบัดความใคร่ และก็ดูเหมือนสาวๆ เหล่านั้นก็พอใจที่จะเป็นแค่นั้น

"คำว่าแฟนนี่ห่างไกลจากตัวผมมากเลย ยิ่งหลังๆ มาผมรู้ตัวด้วยว่าไม่ชอบเด็กและไม่มีความคิดอยากมีลูกด้วยนะ ผมยิ่งไม่มองหาผู้หญิงที่จะเหมาะเป็นแม่ของลูกเลย ผมไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีครอบครัว ก็เลยไม่มีเหตุผลที่ต้องดึงคนที่เขาอยากจะหาคนที่จะมาสร้างครอบครัวด้วยมาเกลือกกลั้วกับตัวผม"

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่หล่อหลอมเจให้กลายเป็นเพลย์บอยแบบทุกวันนี้ เจนยุทธแฟร์พอที่จะเลือกคบแต่หญิงที่รักสนุกเช่นเดียวกัน เขาจำกัดวงผู้หญิงของเขาไว้แค่คนที่พอใจจะมีเซ็กส์แบบฉาบฉวยเท่านั้น เขาไม่คิดจีบหรือแตะต้องคนที่ดูท่าทางจะคิดจริงจังกับเขาเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองไม่พร้อมจริงจังกับใคร เขาชัดเจนกับทุกคนว่าเขาต้องการมีสัมพันธ์เพียงแค่ทางกายเท่านั้น ถ้ารู้สึกว่ามีใครที่ต้องการเขาเป็นคู่รักหรือคู่ชีวิต เขาก็จะถอยห่างออกทันที

"ผมมีคนที่คบหากันแบบยาวๆ อยู่บ้างแต่ก็เพื่ออย่างว่าเท่านั้น ที่คุณเคยเจอก็พี่พลอย น้องรุ่ง พวกนี้เป็นแบบที่ผมดูแลเหมือนแฟน แต่ไม่ได้รักกัน ผมจะปล่อยพวกเขาไปถ้าพวกเขาเจอคนที่รักกันจริงจัง ถ้าเลิกกัน จะกลับมาหาผมใหม่ก็ได้ ส่วนเด็กฝ้ายนั่นก็เป็นแบบเจอกันแค่มีเซ็กส์ชั่วคืนตามที่โอกาสอำนวย"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เจกับเขานั้นแทบไม่ต่างกัน เขาเองก็มีคนที่คบหากันยาวๆ หากไม่ได้รักหลายคน อย่างเช่นฌอง มีพวกที่เรียกหากันเมื่อยามต้องการ และพวกที่เจอกันเพื่อเซ็กส์ชั่วข้ามคืน



"แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าผมจะมาลงเอยกับตาลุงอย่างคุณได้"

เจไล้แผงอกกว้างอันหนั่นแน่นของคนรัก แม้มันจะไม่ได้นุ่มนิ่มยามสัมผัสเหมือนอกสาวๆ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้หนุนนอน ฆาเบียร์แยกเขี้ยวแล้วหยิกแก้มป่องๆ ของเจนยุทธ

"แล้วตาลุงคนนี้มีดีตรงไหนถึงได้รับความรักของเจ? แล้วเจมั่นใจแล้วเหรอที่เลือกฉันมากกว่าผู้หญิงดีๆ สักคน"

ฆาเบียร์ถามขึ้น เท่าที่ฟังๆ ดู เจก็แค่ยังไม่ได้เจอผู้หญิงที่รักเขาจริงจัง แต่ถ้าเจเจอเข้าสักวัน เจจะยังอยากเดินทางนี้กับเขาอยู่อีกหรือ

"ฆาเบียร์ครับ ผมตัดสินใจแล้ว ผมไม่เปลี่ยนใจหรอก ผมรักคุณ เพราะคุณรักผมที่เป็นผม ใช่ไหมล่ะ?"



ฆาเบียร์ครุ่นคิดเสียนานจนเจใจแป้ว แต่เมื่อเห็นแววตาขี้เล่นของคนรักเจถึงรู้ตัวว่าถูกแกล้งเข้าให้แล้ว เขาทุบบึ้กไปที่อกแน่น แม้จะไม่หนักนักแต่ก็แรงพอที่จะทำให้คนตัวโตร้องลั่น

"โอ๊ย ชอบทำร้ายร่างกายกันจริงๆ นะเจ..."

เจทำหูทวนลม เขาจั๊กกะจี้คนตัวโตจนหัวเราะลั่นห้อง

"โอย ฮ่าๆๆ เจ พอแล้ว หยุดๆ โอย ฉันยอมแล้ว"

ฆาบี้ยอมแพ้ให้โดยดุษฎีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอด เขาไม่เคยสู้คนตัวเล็กคนนี้ได้เลย เขากุมมือทั้งสองของเจ

"ฉันรักเจ เพราะเจเป็นแบบนี้..."

"...ฉันรักเจที่กินจุ เจที่จริงใจ เจที่สดใสร่าเริง เจที่ยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นหน้าฉัน เจที่แสนงอน  เจที่ขี้อ้อน เจที่รักครอบครัว และที่รักที่สุดก็คือเจที่รักฉัน"

ฆาเบียร์ยกมือของเจขึ้นมาจูบ

"ตราบใดที่เจยังรักฉัน ฉันก็จะยังรักเจ ไม่ว่าเจจะอ้วนขึ้น จะหัวล้าน ผิวหนังเหี่ยวย่น จะเป็นยังไงก็ช่าง ตราบใดที่ข้างในใจเจยังเหมือนเดิม ฉันก็จะยังรักเจ"

"แม้ผมจะเซ็กส์เสื่อม นกเขาไม่ขัน หรือไม่สามารถมีอะไรกับคุณได้ คุณก็จะยังรักผมงั้นเหรอ?"

"ใช่"

ฆาเบียร์ตอบอย่างไม่ลังเล เซ็กส์กับเจนั้นดีเยี่ยมก็จริง แต่มันก็ยังไม่เยี่ยมเท่ากับตัวของเจเอง

"ถ้าเจไม่รักฉันแล้ว หรือข้างในใจเจเปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้เซ็กส์จะเยี่ยมแค่ไหน มันก็แค่เซ็กส์"



เจกอดเมียตัวโตของเขาแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้ความรู้สึกนี้ล่ะ ต่อให้เขาชอบเซ็กส์แค่ไหน เซ็กส์กับสาวๆ ที่ผ่านมามันก็แค่เซ็กส์ที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกในนั้น เขาไม่เคยรู้ถึงความแตกต่างเลยจนกระทั่งได้ร่วมรักกับฆาเบียร์ ความรู้สึกที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับคนที่รักมันช่างแตกต่างจากการกกกอดร่างกายที่ไร้ความรู้สึกต่อกัน การร่วมรักกับเมียตัวโตของเขาไม่ว่าจะในบทบาทไหน สายตาที่มองมาหรือกระทั่งสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ มันวิเศษจนทำให้เขาลืมสัมพันธ์ทางกายครั้งอื่นๆ ที่มีมาจนหมดสิ้น

"จูบผมสิ ฆาเบียร์ ทำให้ผมรู้ว่าคุณรักผมแค่ไหน"

ฆาเบียร์ไม่ลังเล เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอรออยู่ ความรักของเขาอยู่ในทุกสัมผัสที่เขาประทับลงบนร่างของเจนยุทธ และเขาก็สัมผัสได้ถึงความรักของเจในทุกองคุลีที่เขาแตะต้อง

เจนยุทธครางเบาๆ ในลำคอ จูบนี้ของฆาเบียร์ช่างเต็มตื้นไปด้วยอณูของความรักและอารมณ์เสน่หา ใจเขาอิ่มเอิบไปด้วยความสุข เขาไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อยที่ละทิ้งความสุขทางกายที่ได้จากบรรดาสาวๆ มาหาคนที่เติมเต็มจิตวิญญาณของเขาไปด้วยความรัก ฆาเบียร์คนเดียวเท่านั้นคือคนที่เขาต้องการในชีวิตนี้

ฆาเบียร์เอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง พวกเขามีเวลาทั้งคืนที่จะแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ท่วมท้นในใจให้แก่กันและกัน



------------------------------------------------

หมดสต็อคที่เขียนไว้ล่วงหน้า ตอนต่อไปขออัพช้านิดนึงนะคะ งานเข้า ขอปั่นให้เสร็จก่อน ฮือๆๆๆ





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Meet the Parents ----



"ดีไหม ที่รักของผม"

เจจูบต้นคอของร่างที่นอนคว่ำหอบหายใจแรงอยู่ใต้ร่างเขา ฆาเบียร์พยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน เจนยุทธทำให้เขาถึงสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบหมดสติอีกแล้ว ทั้งคู่ให้ความสุขกันและกันไปครั้งหนึ่งเมื่อคืนและเช้านี้หลังจากนอนเต็มอิ่ม เจก็ทำให้เขาแทบขาดใจอีกครั้ง เจ้าตัวเล็กของเขาเก่งขึ้นทุกวันๆ จนเขาคิดว่าเขาไม่มีอะไรจะสอนเจแล้ว

เจถอนแก่นกายออกจากตัวฆาเบียร์อย่างอ้อยอิ่ง เขาแทบไม่อยากจากช่องทางที่ให้ความสุขสุดขั้วแก่เขานี้ไปเลย เจดึงเครื่องป้องกันออกทิ้งก่อนที่จะกลับมานอนกอดรัดเมียตัวโตอย่างรักใคร่ เขาจุมพิตเบาๆ ที่แก้มตอบของฆาเบียร์ที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นเขียวๆ ฆาเบียร์มักไม่ค่อยใส่ใจโกนมันนักเมื่ออยู่เชียงใหม่ ฆาเบียร์จุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากแดงระเรื่อของเจ เจ้าตัวเล็กเผยอยิ้มแบบไร้เดียงสาให้เขาอีกแล้ว มันยิ้มแบบนี้ทีไร เขาใจละลายทุกที ฆาเบียร์ดึงแก้มป่องๆ ของคนรักอย่างมันเขี้ยว

"เจ็บอ่า"

เจบ่นอุบอิบ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง พร้อมทำหน้าเหยเกเล็กน้อย เจที่สังเกตเห็นอาการของฆาเบียร์เผ่นแผล็วลงเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะช่วยประคองเมียตัวโตของเขาให้นั่งลงที่ข้างเตียง

"ไหวไหมครับ ที่รัก ผมนี่ไม่ไหวเลย ลืมไปว่าคุณก็อายุอานามใช่น้อยแล้ว"

เจบ่นอย่างลืมตัว ฆาเบียร์รีบลุกขึ้นเพื่อให้เจเห็นว่าเขายังไหว แต่ก็ต้องทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิม แข้งขาเขาพาลจะอ่อนไปหมด พวกเขาทั้งคู่จัดหนักกันไปหน่อยทั้งเมื่อคืนและเมื่อเช้าหลังจากที่เจเปิดเปลือยชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเองให้เขาได้รู้

"เจพูดเหมือนฉันแก่เสียเต็มประดา"

คนตัวโตผู้ไม่เคยมองว่าตัวเองนั้นแก่แต่อย่างใดประท้วงขึ้นเบาๆ เจนั่งลงข้างๆ คนรักที่อายุมากกว่าตนถึงเกือบ 1 รอบและเอนกายซบไหล่

"ไม่ได้บอกว่าแก่ซักหน่อย แค่บอกว่าอายุไม่น้อย"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์โอบร่างคนขี้อ้อนไว้แล้วจูบหนักๆ ที่แก้ม

"งั้นคราวหน้าผมจะอ่อนโยนกว่านี้แล้วกัน โอเคไหม Tio?"

ฆาเบียร์อุทานลั่นแล้วผลักคนตัวเล็กออก เจเรียกเขาว่าลุงเป็นภาษาสเปนเต็มปากเต็มคำ เรียกเขาว่า 'uncle' ยังฟังดูไม่เจ็บใจเท่า 'Tio' ฆาบี้รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำ คนตัวเล็กหัวเราะร่วนแล้วเดินตามคนรักเข้าไปเร็วพลัน



ทั้งคู่เดินคลอเคลียกันพร้อมลากกระเป๋าออกจากเรือนพักน้อยในสวนไปยังเรือนใหญ่

"อาปาตื่นเช้าจังครับ"

ฆาเบียร์ทักคริสที่นั่งกินกาแฟอยู่ในศาลาริมสระว่ายน้ำพร้อมกับริคกี้และเมลิน่า

"แปดโมงกว่าแล้ว ไม่เช้าเท่าไหร่หรอก พวกลูกจะไปกันแล้วเหรอ?"

คริสเหลือบมองดูกระเป๋าที่ทั้งสองคนลากออกมาด้วย เขาลอบถอนหายใจ อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องกลับสหรัฐฯ และจากพวกเด็กๆ ของเขาไปอีกแล้ว

"ครับ เดี๋ยวพวกผมต้องไปรับซีฟู้ดที่สั่งไว้ แล้วก็ต้องไปช่วยแม่เตรียมของสำหรับเย็นนี้อีก"

เจลงนั่งข้างๆ พ่อบุญธรรมของคนรัก ฆาเบียร์ยกมือโบกให้ริคกี้ที่ทำท่าจะยกเก้าอี้ให้เขานั่งและเดินไปยืนอยู่ข้างหลังเจ

"อาปาจะให้พวกผมกลับมารับอีกทีกี่โมงครับ?"

"ไม่ต้องเสียเวลากลับมารับหรอก เจ วันนี้ก่อนเที่ยงคนรถของอองรีจะมารับพวกอาปา เรามีพิกัดบ้านของเจแล้วใช่ไหม?..."

คริสหันไปถามเลขาสาว เมลิน่ารับคำ แล้วเปิดให้เจเช็คดูอีกครั้ง เจได้ขอพี่อิ่มให้ส่งพิกัดที่บ้านมาให้และส่งต่อให้กับเมลิน่าเรียบร้อยแล้ว

"ถูกแล้วครับ อีกอย่างแม่ให้คนทำป้ายไปติดตามทางเข้าบ้าน รับรองไม่หลงแน่ครับ"

"แต่ขากลับอาปาอาจจะขอลูกมาส่งหน่อย เพราะอาปาให้คนรถเขาส่งแล้วกลับได้เลย เพราะมันเป็นคืนสิ้นปี เขาคงอยากอยู่ฉลองกับครอบครัว"

เจบอกว่าไม่มีปัญหา

"อาปาค้างที่บ้านผมคืนหนึ่งดีกว่านะครับ บ้านผมมีห้องนอนแขกเหลือเฟือ นะครับ"

เจนยุทธทำท่าทางเว้าวอน คริสตอบตกลง เขาก็อยากใช้เวลากับลูกๆ ของเขาพร้อมๆ กับทำความรู้จักครอบครัวของเจให้มากๆ เช่นเดียวกัน เจยิ้มอย่างดีใจ พวกเขานั่งคุยกับคริสอยู่พักหนึ่งก่อนจะลาเพื่อไปจัดการธุระของตนเองต่อ



"งั้นวันนี้เราต้องทำอะไรมั่งนะ?"

ฆาเบียร์ถามเจที่กำลังขับรถอยู่ พวกเขาไปรับซีฟู้ดตามที่สั่งไว้จากริมปิงซุเปอร์มาร์เก็ตเรียบร้อยและกำลังเดินทางสู่อำเภอแม่แตง

"อืมม์ พวกซีฟู้ดเดี๋ยวให้คนของแม่จัดการ ซังเกรียเราก็ทำไว้แล้ว ที่เราต้องทำคือเตรียมกัวคาโมเล่และพวกผักจิ้มทั้งหลาย กับไอ้เจ้าสัปปะรดนั่น"

"...พวกของคาว เราก็มีไก่ ซี่โครง กุ้ง ปลาหมึก แล้วก็อาหารเมืองที่แม่ทำไว้"

"ส่วนของเราก็เป็นแค่พวกของกินเล่นนั่นแหละ ที่พวกผมทำกันปกติคือแต่ละคนก็ทำของไว้เลี้ยงเพื่อนๆ ของตัวเองแล้วก็เผื่อให้เพื่อนๆ ของพี่ๆ บ้าง อย่างปีนี้เรามีพวกของกินเล่น ส่วนพี่อิ่มน่ะ เหมือนจะทำพวกสุกี้กินกับสาวๆ เอ่อ เพื่อนๆ ของพี่อิ่มน่ะ"

เจหน้าแดงวูบเมื่อพูดถึงกลุ่มเพื่อนของพี่สาว เขาไม่ค่อยอยากเจอบางคนในกลุ่มนั้นนัก นอกเหนือจากพี่พลอยแล้ว เจก็ยังเคยแอบกินพวกสาวเปรี้ยวเพื่อนพี่สาวอีกสองสามคน โดยมากก็เพราะเจอหน้าเจอตากันตามที่เที่ยว บางคนเขาก็มารู้เอาทีหลังว่าเป็นเพื่อนพี่สาว แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยไป ทุกคนต่างมีสัมพันธภาพอันดีกับหนุ่มเจ้าชู้คนนี้ ส่วนพี่สาวของเขาก็ได้แต่กุมขมับกับเจ้าน้องชายตัวดี แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคนที่ต่างก็โตๆ กันแล้ว



"เจ คิดอะไรอยู่"

ฆาเบียร์ถามเมื่อเห็นเจนยุทธเงียบไป เจถอนหายใจ

"ผมไม่อยากให้คุณต้องมารับรู้ชีวิตในอดีตของผมเลย ฆาเบียร์"

เจทำหน้าเคร่งเครียด ฆาเบียร์ใช้ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นลูบแก้มคนรักเบาๆ

"เจ ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ตัวฉันเองก็ไม่ได้มีอดีตที่ใสสะอาดอะไร ในอนาคตเจก็อาจจะต้องเจอแบบนี้จากฝั่งของฉัน แต่เราทั้งคู่ต่างก็รู้กันดีว่านั่นเป็นแค่อดีต ในปัจจุบันเรามีแค่กันและกัน..."

"...โอเค ฉันอาจจะพูดไม่ได้เต็มปากนักว่าไม่รู้สึกอะไรเลยที่เห็นเจทักทายกับคนในอดีต แต่มันก็เป็นธรรมดาของคนที่ต้องหวงของ ฉะนั้นเจไม่ต้องเป็นกังวลอะไรไป มันแค่เป็นปฏิกิริยาเล็กๆ แค่นั้น"

"คุณแสดงตัวได้เต็มที่เลยนะ ฆาเบียร์ ว่าคุณเป็นอะไรกับผม ไม่ต้องมาห่วงสายตาคนอื่น"

เจยื่นมือไปกุมมือใหญ่ของคนรักและบีบเบาๆ อุ้งมือใหญ่นั้นบีบตอบ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กของเขาซึ่งยิ้มตอบกลับมา

"คืนนี้พวกเราสนุกกันให้เต็มที่ เสียงดังเฮฮาได้เต็มที่เลยนะเพราะรอบข้างไม่มีบ้านคน โอเค๊?"

ฆาเบียร์ทำหน้ากรุ้มกริ่มและกำลังจะอ้าปากพูดอะไรแต่ก็โดนเจดักคอไว้

"เว้นอย่างเดียวนะ คืนนี้งดมีเซ็กส์ เพื่อนๆ เต็มบ้านแถมมีแม่กับพี่ๆ อีก ห้ามทำ!"



เจถอยรถสีฟ้าเข้มของตนเข้าโรงจอดรถหน้าเรือนใหญ่ เมื่อจอดเสร็จ เขาหันไปขยี้แก้มคนตัวโตที่นั่งหน้าตูมมาตั้งแต่เขาบอกว่าให้งดอะไรๆ กันในคืนนี้

"น่า อย่างอนสิครับ คนดี คืนเดียวเองนะ"

ฆาเบียร์บ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง เจจุ๊บเร็วๆ ที่ปากบางๆ ของคนขี้บ่นก่อนที่จะดับเครื่องและเปิดประตูลงรถ เขาเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คนรักและประคองคนตัวโตลงรถอย่างทะนุถนอม ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัว เจเอาใจเก่งแบบนี้มิน่าล่ะสาวๆ ถึงได้ติดตรึม

เจนยุทธเรียกคนงานมาช่วยขนลังโฟมที่ใส่ซีฟู้ดลง เขาเดินไปกำกับเองถึงในครัว ส่วนฆาเบียร์ขนกระเป๋าลงแล้วเอาไปเก็บที่ในห้องของเจ

เจที่เดินออกมาจากในบ้านใหญ่รีบวิ่งไปที่เรือนเล็กของตนอย่างเร็วเมื่อได้ยินเสียงฆาบี้ร้องลั่น เขาต้องหัวเราะจนตัวงอเมื่อเห็นฆาเบียร์นอนแผ่อยู่บนเตียงโดยมีเจ้าหมาอ้วนโรซ่ายืนคร่อมเลียหน้าเลียตาอยู่

"ช่วยฉันหน่อยสิ เจ!"

"เห็นไหมล่ะ ไปเอาใจมันมาก เจอฤทธิ์ไอ้หมูนี่เข้าให้ซะ"

เจหัวเราะ เขาบอกฆาเบียร์ให้เกาๆ ให้โรซ่าจนพอใจและสงบลง จากนั้นก็ช่วยดึงสาวน้อยตัวสวยของเขาให้พ้นร่างเมียตัวโตของเขาและลงไปนอนทาบทับแทน ฆาเบียร์ได้แต่ทำตาปริบๆ มองหน้าคนรัก ที่ซุกอยู่กับอกเขาเหมือนเด็กน้อย

"นี่ๆ อย่ามาหลับตรงนี้นะ เจ เรามีอะไรต้องทำเยอะเลยนะ"

ฆาเบียร์ดันร่างเพรียวที่ทำท่าจะหลับบนอกเขาให้ลุกขึ้น เจทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ฆาเบียร์เข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วชวนคนรักและเจ้าหมาอ้วนที่นอนรออยู่ปลายเตียงให้ออกห้องไป



"สวัสดีครับ แม่"

ฆาเบียร์ยกมือไหว้ฟองนวลพร้อมทักทายเป็นภาษาไทยเหมือนทุกครั้ง ฟองนวลทักทายคนรักของลูกชาย

"ผมเอาปลาหมึกกับกุ้งใส่ตู้เย็นหื้อแล้วเน่อครับ"

เจบอกว่าเขาเอาปลาหมึกกับกุ้งใส่ตู้เย็นไว้แล้ว ฟองนวลบอกว่าเธอสั่งเด็กให้เอาปลาหมึกไปหมักไว้แล้ว

"รอบนี้ผมเอามาแต่หมึกหอมเน่อครับ เซาะหมึกไข่ดีๆ บ่ได้เลย"

'รอบนี้ผมเอามาแต่หมึกหอมนะครับ หาหมึกไข่ดีๆ ไม่ได้เลย'


"ดีแล้ว ถ้าเอาย่างนี่หมึกหอมย่างลำกว่าเน่อ จิ๊นมันหนากว่า"

'ดีแล้ว ถ้าเอาย่างนี่หมึกหอมย่างอร่อยกว่า เนื้อมันหนากว่า'




ฟองนวลบอกว่าเธอหมักหมึกในส่วนผสมของซีอิ๊วดำ น้ำเปล่าและผงขมิ้น ซึ่งจะให้หมึกสีเหลืองสวยเหมือนที่ขายตามแผง ส่วนน้ำจิ้มนั้นเธอให้เด็กเตรียมไว้แล้ว เจปาดน้ำลายและถามว่าเขาขอชิมก่อนได้ไหม

"แม่แบ่งหมึกตัวขนาดย่อมมาหน่อยมาตัวนึงนะ เดี๋ยวเที่ยงนี้แม่จะทำหมึกนึ่งมะนาวเลี้ยงแขก"

ฟองนวลพูดยิ้มๆ เป็นภาษาอังกฤษ แขกที่ว่านั้นหมายถึงคริสและผู้ติดตาม

"คุณคริสชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แม่จะได้เตรียมไว้ให้?"

ฆาเบียร์บอกว่าคริสกินไม่ยาก ไม่ต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษก็ได้ ฟองนวลพยักหน้า เดี๋ยวสักพักเธอจะเริ่มเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารแล้ว

"เจมาช่วยแม่เตรียมอาหารหน่อย ที่บ้านของฆาเบียร์มาทั้งที เราก็ต้องลงมือทำเองนะ..."

เจนยุทธหน้าแดง เขาเข้าใจความหมายของแม่เขาดี แม่เขาคงอยากให้อาปาเห็นว่าเขาสามารถทำงานบ้านงานเรือนได้

"อาปาเคยกินสตูว์ที่ผมทำแล้วนะแม่"

เจประท้วงขึ้นเบาๆ แต่ฟองนวลบอกว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะนั่นไม่ใช่ของที่ตั้งใจทำให้เจ้าตัวกินโดยเฉพาะ

"มาจ้วยแม่เฮี๋ย บ่ต้องมาขี้ค้าน"

'มาช่วยแม่ซะ ไม่ต้องมาทำขี้เกียจ
'

เจทำหน้าน่าสงสารมองฆาเบียร์ที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ใกล้ๆ



"งั้นฆาบี้ คุณไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนก็ได้"

ฟองนวลตีแขนลูกชาย

"แม่บอกกี่หนแล้ว ว่าให้เรียกฆาเบียร์ว่า 'อ้าย' เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าอย่าไปจิกหัวเรียกชื่อเลย มันไม่ดี เรียก you แบบฝรั่งมันก็ฟังดูห้วนๆ แม่ไม่ชอบเลย"

เจทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็ทางนั้นเป็นฝรั่งจะต้องมาเรียกเป็นพี่เป็นน้องทำไม

"งั้นเดี๋ยวอ้ายไปนั่งรอผมที่ห้องนั่งเล่นก่อนนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะไปหา"

เจหน้าแดงแป๊ดพูดกับฆาเบียร์เบาๆ ฆาบี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาไม่รู้ความหมายของคำนั้นดีเท่าไหร่หรอก แต่ถ้ามันทำให้เจเขินได้เขาก็พอใจแล้ว

"งั้นเดี๋ยว 'อ้าย' จะไปเก็บผักสลัดมาให้แล้วกันดีไหม?"

ฆาเบียร์ออกเสียงคำนั้นเหมือนคำว่า I แต่ลากเสียงยาวกว่าหน่อยพอให้เจรู้ถึงความแตกต่าง ชายหนุ่มร่างเพรียวยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ เขารีบเดินนำแม่เข้าไปในห้องครัวโดยมีคนรักหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไล่หลังมา



เจเข้าไปในครัวแล้วก็ต้องยิ้มกริ่มเมื่อเห็นอิ่มและพี่สะใภ้ของเขาในครัว ทั้งสองคนก็คงโดนคุณนายฟองนวลใช้ให้มาช่วยเตรียมอาหารเหมือนกัน

"มาซักทีนะ ไอ้ตัวแสบ มาช่วยกันเดี๋ยวนี้เลย"

อิ่มที่หน้ามันอยู่หน้าเตาเรียกน้องชายตัวดี ฟองนวลแจกจ่ายหน้าที่ให้สมาชิกในครอบครัวและเด็กในครัว วันนี้มีหลายอย่างที่ต้องทำ นอกจากอาหารมื้อเย็นที่เธอจะทำเลี้ยงบรรดาแขกของลูกๆ และพวกคนงานของจืดแล้ว เธอยังต้องจัดเตรียมมื้อเที่ยงให้แขกคนสำคัญอีกด้วย

"เจ มาจ้วยแม่ตางนี้น่อยลอ"

'เจ มาช่วยแม่ทางนี้หน่อย'


เจนยุทธผละจากสิ่งที่ทำอยู่และไปหาแม่ที่หน้าเตาไฟ ที่จริงฟองนวลเตรียมอาหารไว้เกือบหมดแล้ว อาหารเที่ยงวันนี้จะเน้นอาหารไทย มีเพียงแค่น้ำพริกอ่องและแกงฮังเลสูตรพิเศษของเธอที่เป็นอาหารพื้นเมือง เจดูสิ่งที่แม่ของเขาเตรียมเอาไว้ แม่ของเขาจัดเต็มจริงๆ เท่าที่เห็นก็มีทั้งแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง และต้มจืดผักกาดขาวสาหร่ายใส่หมูสับ

"เจ เดียวผัดไส้ไข่ยัดไส้หื้อแม่โตยเน่อ"

แม่เขาส่งเครื่องของไข่ยัดไส้ที่เตรียมไว้แล้วให้เขา เจตั้งกะทะบนเตาและใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย พอกะทะร้อนจัดเขาก็ใส่กระเทียมกับหอมหัวใหญ่สับหยาบลงผัดให้สุกหอม เขาระวังไม่ให้กระเทียมไหม้ จากนั้นใส่หมูสับลงผัดจนเริ่มสุก ตามด้วยมันฝรั่งต้ม พริกหวานและมะเขือเทศ ทั้งหมดหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดเล็ก จากนั้นปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำปลา ใส่น้ำตาลเล็กน้อย เจชิมให้รสมันจัดเล็กน้อยเพราะยังต้องนำไข่มาห่ออีก เขาจบท้ายด้วยพริกไทยจากนั้นผัดต่อให้แห้งเล็กน้อยจึงตักใส่หม้อเล็กมีฝา

เจนยุทธตักชิม จากนั้นชิมต่ออีกหลายคำจนอิ่มฟ้องแม่ ทั้งคู่ง๊องแง๊งกันจนฟองนวลต้องห้ามทัพ เจแลบลิ้นยาวเฟื้อยใส่พี่สาวก่อนจะกลับไปทำงานที่ได้รับมอบหมายต่อ อิ่มได้แต่โคลงหัวมองตามน้องชายที่ทำตัวเป็นเด็กเสมอเวลาอยู่กับเธอ

"ฆาเบียร์ไปไหนแล้วล่ะ เจ?"

"ฆา...เอ๊ย อ้ายเขาไปเก็บผักในแปลงนู่นมั้ง"

เจเปลี่ยนคำเรียกคนรักเมื่อเห็นแม่มองมาที่เขา อิ่มใจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นน้องชายหน้าแดง

"นี่ เรียกตัวเองว่า น้อง ด้วยสิ น่ารักดี"

เจหน้าร้อนผ่าวๆ แค่เรียก "อ้าย" เขายังอายจะตายอยู่แล้ว ขืนให้เขาแทนตัวเองว่า "น้อง" ด้วยนี่เขาคงต้องเลิกคุยกับฆาเบียร์แน่ๆ ดีที่แม่เขาไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับพี่สาวไปด้วย



"เจ อาปาโทรมาบอกว่ากำลังออกจากโรงแรม อีกไม่นานคงมาถึงแล้ว"

คนที่เป็นหัวข้อสนทนาโผล่หน้าเข้ามาบอกในครัว เจหัวเราะเมื่อเห็นสภาพของคนรัก ฆาเบียร์หอบผักสลัดมาเต็มมือ เสื้อของพ่อคนที่ปกติเนี้ยบและรักความสะอาดเปรอะดินเต็มไปหมด รวมทั้งที่แก้มที่พ่อเจ้าประคุณคงเผลอเอามือที่เปื้อนไปลูบหน้า เจดึงทิชชู่ครัวสองสามแผ่นมาชุบน้ำและเช็ดที่หน้าของคนรักอย่างอ่อนโยน ภาพนั้นทำให้สาววายตัวแม่อย่างอิ่มได้แต่กรี๊ดเบาๆ อยู่ในใจ ฟองนวลยิ้มละไม ส่วนหวาน พี่สะใภ้ของเจที่ไม่เคยเห็นการแสดงออกของทั้งสองคนนี้กับตัวได้ยืนหน้าแดง

"เปื้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว คุณ เอ๊ย อ้ายครับ ไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากเล่นเป็นชาวสวน"

เจบ่นคนตัวโต เสื้อพ่อเจ้าประคุณน่ะใช่ถูกซะที่ไหน ต่อให้ไม่ใช่ตัวที่เป็นแบรนด์ดัง แต่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าโหลอะไร พี่แกเอามาเปรอะดินเสียหมด แล้วมันใช่มีแต่ดิน ไหนจะปุ๋ยคอกอีก ฆาเบียร์วางผักไว้ในลังกระดาษว่างๆ ที่มุมครัวก่อนจะออกไปเปลี่ยนเสื้อ ฟองนวลบอกว่าเดี๋ยวจะให้เด็กเอาเสื้อที่เปื้อนไปซักให้ คนตัวโตของเจก็ทำท่าจะถอดเสื้อให้ตอนนั้นจนเจนยุทธต้องรีบห้ามไว้แล้วรุนหลังคนตัวโตให้ออกครัวไป ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม เขาไม่ได้คิดจะถอดจริงๆ ซะหน่อย

"เจจ๋า..."

คนตัวโตดึงแขนร่างเพรียวที่เดินตามเขาออกครัวมาให้หลบมุมจากสายตาคนอื่นก่อนจะจูบเบาๆ ที่ปากของคนที่พยายามจะเบือนหน้าหนี

"คิดถึง ห่างกันแค่แป๊บเดียวแต่ฉันก็คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว"

เจนยุทธถอนหายใจและปล่อยให้ฆาเบียร์จุ๊บซ้ายจุ๊บขวา

"ผมก็คิดถึง 'อ้าย' ครับ"

เขาจุ๊บเร็วๆ ที่แก้มของคนรักก่อนจะบอกไล่ฆาเบียร์ไปเปลี่ยนเสื้อ ดีที่พ่อเจ้าประคุณไม่กอดเขาไม่งั้นเขาคงต้องเปลี่ยนเสื้อไปด้วยอีกคน เขาสำรวจความสะอาดของเสื้อผ้าตัวเองก่อนกลับเข้าไปในครัว



เจพยายามกรอกไข่ในกะทะร้อนๆ ให้เป็นแผ่นบาง แต่ก็จนปัญญา เขาทำเสียมาสองสามแผ่นแล้ว จนสุดท้ายฟองนวลต้องยื่นมือเข้ามาจัดการเอง เธอเทไข่ที่ตีให้ขึ้นพอควรแล้วใส่กะทะร้อนๆ ที่ใส่น้ำมันลงไปพอประมาณ จากนั้นขยับข้อมือกรอกไข่ไปทั่วกะทะจนเป็นแผ่นบางด้วยความชำนาญ เจได้แต่มองตาม แม่ของเขาทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด

ฟองนวลตักน้ำมันโรยรอบแผ่นไข่ก่อนจะตักไส้ที่เตรียมไว้ใส่ลงตรงกลางแผ่นไข่ เธอกะปริมาณไม่ให้มันล้นจนเกินไปจากนั้นพับขอบแผ่นไข่ทั้งสี่ด้านให้ปิดไส้จนมิด จากนั้นราดน้ำมันลงอีกเล็กน้อย มันทำให้ไข่เกรียมเหลืองสวย จากนั้นพลิกไข่ยัดไส้และนาบกับกะทะอีกเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นใส่จาน ฟองนวลทำแบบนี้อีกหนึ่งชิ้นก่อนจะปล่อยให้เจลองอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จบ้าง ถึงมันจะไม่สวย ไข่หนา ไส้แตกบ้างเล็กน้อยแต่เจนยุทธก็ภูมิใจว่าเขาทำเองได้จนสำเร็จ

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ทุกคนก็ปล่อยให้เด็กจัดการที่เหลือแล้วไปแต่งตัวเตรียมรับแขกจากแดนไกล เจรีบไปล้างตัวลวกๆ โดยห้ามฆาเบียร์ตามเข้าห้องน้ำมาด้วย เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้อาบแป๊บเดียวแน่ๆ ขนาดตอนเขาออกมาแต่งตัวพ่อเจ้าประคุณยังเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะทำท่าจะมานัวเนียด้วยจนเจต้องไล่ให้ไปนั่งเล่นกับเจ้าหมาโรซ่า เจหยิบกางเกงขาสั้นทรงเบอร์มิวด้าสีเขียวทหารกับเสื้อยืดแขนยาวหลวมๆ สีทรายมาใส่ เสร็จแล้วเรียกคนตัวโตที่ใส่เสื้อยืดลำลองกับกางเกงขาสั้นเหมือนกันให้ออกไปเตรียมรับคริส

พวกเขาออกมาเจอรถคันงามของอองรีที่เลี้ยวเข้ามาในเขตบ้านพอดี ฟองนวลและอิ่มใจลงมายืนรอต้อนรับพ่อบุญธรรมของฆาเบียร์ที่ชานบ้าน เจนยุทธอึ้งไปเมื่อเห็นแม่ของเขา ฟองนวลเปลี่ยนใส่ชุดเสื้อผ้าพื้นเมืองโดยใส่ผ้าซิ่นตีนจกจากแม่แจ่มที่เจจำได้ว่าเป็นผืนที่แม่หวงที่สุดเพราะเป็นของเก่าที่หาได้ยากแล้วกับเสื้อแขนกระบอกผ้าดิบสีครีม ส่วนฆาเบียร์ก็ได้แต่อึ้งเมื่อเห็นอาปาใส่ชุดสูทเต็มยศมา รวมทั้งเมลิน่าและริคกี้ที่มาในชุดทำงาน

"คุณ...ทำไมอาปาแต่งเต็มยศมางี้อ่ะ?"

เจแอบกระซิบฆาเบียร์

"นั่นสิ แม่เจก็แต่งตัวสวยเชียว ทำไมต้องเป็นทางการกันขนาดนี้?"

เจส่ายหัวบอกว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


(ต่อคอมเมนท์ถัดไป)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Meet the Parents (ต่อ)----



ฆาเบียร์และเจเดินเข้าไปทักทายคริส และพาคริสไปพบกับฟองนวล

“อาปาครับ นี่คุณฟองนวล แม่ของเจครับ แม่ครับ นี่พ่อบุญธรรมของผม คริสโตเฟอร์ หว่อง”

ทั้งคู่จับมือทักทายกันตามมารยาทสากล เจแนะนำอิ่มใจผู้จะทำหน้าที่ล่ามให้แม่ของเขาให้คริสรู้จัก อิ่มใจทักทายคริสด้วยสำเนียงอังกฤษแท้ๆ เธอลอบพิจารณาชายสูงอายุชาวฮ่องกงคนนี้ ด้วยรูปร่างเล็ก หน้าตาใจดีและบุคลิกนิ่มนวลของคริสทำให้เธอนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่มีฉายา ‘มีดโกนอาบน้ำผึ้ง’ ขึ้นมา

“พวกลูกนั่งรอกันข้างนอกก่อนนะ อาปาขอคุยกับแม่ของเจหน่อย”

คริสหันมาพูดยิ้มๆ กับลูกบุญธรรมตัวโตและคนรัก ฟองนวลเชิญคริสเข้าไปนั่งคุยกันที่ชุดรับแขกในบ้านและโบกมือให้เจพาฆาเบียร์ไปนั่งรอที่ส่วนนั่งเล่นที่ชานบ้าน ทั้งสองคนได้แต่ทำตามโดยดี

ทั้งเจและฆาเบียร์ต่างนั่งไม่ติด สถานการณ์แบบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหนังประเภท Meet the Parents ภาคที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันไม่มีผิด ต่อให้ทั้งคู่เข้านอกออกในบ้านของอีกฝ่ายมาแล้ว แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาพบเจอหน้ากัน สำหรับฆาเบียร์ต่อให้เขามาจากสังคมตะวันตก แต่คริสก็คือญาติสนิทคนเดียวที่เขามี ถ้าไม่นับยายที่นานๆ เจอกันที ถ้าเกิดคริสกับฟองนวลเกิดไม่ถูกชะตากันขึ้นมาเขากับเจคงต้องลำบากใจแน่ๆ

“ถ้าอาปาเกิดคุยไม่ถูกคอกับแม่กับพี่ๆ ผมขึ้นมา ผมจะทำยังไงดี ฆาเบียร์”

คนตัวเล็กของเขาทำพึมพำขึ้นมาพร้อมทำหน้าจ๋อย เจก็คงเป็นกังวลในเรื่องเดียวกับเขา ฆาเบียร์ยื่นมือไปกุมมือนรักไว้ เขาอยากปลอบเจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาสองคน ไม่ต้องไปห่วงเรื่องคนอื่น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าความจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น พวกเขาทั้งคู่เติบโตมาพร้อมกับความผูกพันลึกซึ้งกับครอบครัว ถ้าเกิดอะไรๆ เป็นอย่างที่พวกเขากลัว พวกเขาคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายลง

“คุณว่าพวกผู้ใหญ่เขาคุยอะไรกัน?”

“ไม่รู้สิ เจ อาจจะแนะนำตัวอะไรกันมั้ง ฉันก็เดาไม่ออก”

คนตัวโตส่ายหัวอย่างจนปัญญา

“ถ้างั้นคุยต่อหน้าพวกเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องกันเราออกมา...”

“…นี่ไม่ใช่ว่าอาปาคุณมาขอผมกับแม่นะ”

เจพูดเรื่อยเปื่อยอย่างฟุ้งซ่าน ฆาเบียร์หัวเราะคนตัวเล็กที่ทำหน้าเป็นกังวล”

“ไม่หรอก เจ ต่อให้อาปาเป็นคนเอเชีย แต่เรื่องแบบนี้อาปาก็คงไม่มายุ่งหรอก ไม่ต้องกังวล...”

“…ว่าแต่ เจกลัวขนาดนั้นเลยเหรอ กลัวที่จะต้องผูกมัดกับฉันขนาดนั้นเชียว?”

น้ำเสียงของฆาเบียร์เจือความเศร้า เจนยุทธซบหน้าลงกับไหล่ของคนรักที่ชอบคิดมาก

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฆาเบียร์ ผมแค่คิดว่ามันยังเร็วไป ผมไม่แน่ใจว่าพวกเราพร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นนั้นหรือยัง”

ฆาเบียร์นิ่งไป ใบหน้าเขาบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะก้มลงหอมเรือนผมสีดำขลับของคนรัก ถ้าเจยังไม่พร้อม เขาก็ยังไม่อยากเร่งรัด เขายกมือโอบไหล่เจแน่นและรอคอยผู้ใหญ่ของพวกเขาทั้งสองต่อไป



หากหัวข้อสนทนาในห้องรับแขกนั้นเป็นไปในทางที่เจกังวลไว้จริงๆ หลังจากแนะนำตัวอะไรกันเรียบร้อย คริสก็ไม่รอช้าที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ของลูกของเขาและเจนยุทธ ก่อนอื่นคริสถามตรงๆ ถึงความรู้สึกของฟองนวลและครอบครัวเรื่องที่ลูกชายคนเล็กของครอบครัวนี้ได้มาคบหากับฆาเบียร์ ถึงเขาจะพอรู้มาบ้างว่าทางนี้ไม่ได้แสดงทีท่าโกรธหรือรังเกียจลูกชายของเขา แต่เขาก็อยากฟังให้รู้กับหู

"แม่บอกว่า ทางบ้านเราไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ..."

อิ่มถ่ายทอดคำพูดของฟองนวลให้คริสฟัง เมื่อคุยเรื่องสำคัญแบบนี้ ฟองนวลอยากให้แน่ใจว่าคำพูดของเธอจะถูกถ่ายทอดไปถึงอีกฝ่ายอย่างถูกต้อง

"...บ้านเราให้อิสระลูกๆ ทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตเองค่ะ ฉะนั้นถ้าเจพอใจที่จะมีแฟนเป็นผู้ชาย ทางบ้านเราก็ยอมรับการตัดสินใจของเจ..."

คริสยิ้มกว้างออกมา เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว

"แต่..."

คริสยิ้มค้าง ในใจนึกเป็นกังวล

"...เรากลัวแค่ว่าคนของเราจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ทางนู้นมากกว่าค่ะ ไอ้เจ้าเจมันยิ่งไม่ค่อยรู้กาละเทศะอยู่"

ในส่วนนี้เป็นคำพูดจากปากของอิ่มเอง ฟองนวลพยักหน้าเห็นด้วย เท่าที่เธอรู้มาและที่เห็นจากวันนี้ ครอบครัวของฆาเบียร์นั้นดูเนี้ยบและเป็นการเป็นงาน แม้เธอจะมั่นใจว่าสอนลูกมาค่อนข้างดี แต่ก็ยังกังวลอยู่ คริสถอนหายใจอย่างโล่งอก

"เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลยครับ เจแสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าครอบครัวคุณสั่งสอนเขามาอย่างดี..."

"...อีกอย่าง ความร่าเริงสดใสของเจนี่แหละครับ ที่ชนะใจฆาเบียร์ ผมต่างหากที่กลัวว่าฆาเบียร์จะสร้างปัญหาให้เจ"

คริสนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเล่าปัญหาสุขภาพของฆาเบียร์ให้ครอบครัวของเจฟัง ก่อนจะขอให้ครอบครัวนี้รับลูกของเขาไว้ ทางนี้ควรได้รู้สิ่งที่เป็นปัญหาก่อน ฟองนวลและอิ่มใจนั่งนิ่งรับฟังเรื่องสภาวะทางจิตของฆาเบียร์

"...ผมยอมรับตามตรงว่าในตอนนี้ฆาเบียร์อยู่โดยขาดเจไม่ได้ เจเองก็รู้และได้คอยอยู่เคียงข้างลูกของผมตลอดมา แต่มันก็ไม่แฟร์นักถ้าจะไม่ให้พวกคุณได้รับรู้ ถ้าพวกคุณรับในข้อนี้ไม่ได้ ผมก็จะลองไปคุยกับทั้งสองคนดู..."

"พวกเรารู้เรื่องนี้ดีค่ะ..."

ฟองนวลพูดแทรกขึ้นมา เธอปาดน้ำตาที่ไหลออกมาน้อยๆ เมื่อได้ฟังเรื่องอาการของฆาเบียร์ที่ฮ่องกงชัดๆ อีกครั้ง เธอหันไปพูดกับอิ่มผู้ถ่ายทอดคำพูดของเธอออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

"...เจเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังตลอดค่ะ พวกเรารู้และไม่ได้รังเกียจอะไร เจบอกเราแล้วว่าฆาเบียร์เองก็ไปหาหมอและกินยาตลอด พวกเราก็ไม่ได้มองว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร และอยากจะช่วยเป็นกำลังใจและคอยสนับสนุนเขาด้วยอีกทาง"

คริสน้ำตาซึม สิ่งที่เขาเป็นห่วงนั้นสลายไปหมดแล้ว ที่เหลือในใจเขาตอนนี้มีแต่ความสุข



ฟองนวลหันไปบอกบางอย่างกับลูกชายคนโตที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่าง จืดพยักหน้าและเดินหายเข้าไปในห้องนอนของแม่ก่อนจะกลับออกมาพร้อมแฟ้มขนาดใหญ่เล่มหนึ่งและสมุดบัญชีหลายเล่ม ฟองนวลให้จืดวางมันลงบนโต๊ะ ฟองนวลหันไปพูดกับอิ่ม

"พวกนี้เป็นสิ่งที่แม่อยากให้คุณดูค่ะ..."

คริสหยิบของเหล่านั้นมาดูอย่างงงๆ แฟ้มใหญ่นั้นทั้งปึกคือโฉนดที่ดินจำนวนมากทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และใกล้เคียง สิ่งหนึ่งที่เจไม่เคยรู้หรืออาจไม่ค่อยสนใจคือ แม้ภายนอกพ่อแม่เขาจะดูเป็นแค่คนขายเสื้อผ้าในตลาด บ้านเก่าของเขาในเมืองก่อนแม่ถูกหวยก็เป็นบ้านไม้ไม่ใหญ่นักและพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะมาตลอด แต่ครอบครัวของเจนั้นก็ไม่ใช่ไม่มีทรัพย์สินอะไร ตาของเจนั้นมีที่ดินในมือมากพอประมาณและส่งต่อมันให้ลูกสาวคนเดียวทั้งหมด ส่วนพ่อของเจที่เคยทำงานธนาคารมาก่อน ก็อาศัยความรู้และคอนเน็คชั่นที่มีสะสมที่ดินราคาถูกที่ดูมีอนาคตไว้พอสมควร คริสเปิดสมุดบัญชีดู ในนั้นมีเงินอยู่แปดหลัก

"...เราอยากให้คุณสบายใจว่าเจและครอบครัวของเราไม่ได้เข้าหาลูกชายคุณด้วยเหตุผลเรื่องเงินหรืออะไร..."

นี่คือสิ่งที่ฟองนวลเป็นกังวล เธอรู้ว่าครอบครัวของฆาเบียร์นั้นฐานะดีมากและไม่อยากให้ต้องมามีปัญหาคิดมากอะไรกันเรื่องนี้ คริสปฏิเสธลั่นว่านั่นไม่เคยอยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย

"จากที่ผมได้สัมผัสนิสัยเจในช่วงสั้นๆ ผมดูออกถึงความจริงใจของเจ ผมไม่เคยห่วงเรื่องนี้เลยสักนิดครับ คุณแม่"

คริสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ฆาเบียร์เองก็ไม่เคยคิดเรื่องนั้นครับ...เจชัดเจนกับเขามากเรื่องนี้"

คริสเล่าใหัฟังว่าเขาได้ยินฆาเบียร์บ่นบ่อยครั้งถึงเรื่องที่เจไม่ยอมให้เขาได้ควักกระเป๋าจ่ายอะไรให้เลย ฟองนวลยิ้มอย่างภูมิใจในตัวลูกชายของตัวเอง ไม่เสียแรงที่เธอพร่ำสอนลูกเรื่องที่ให้มีศักดิ์ศรีและอย่าให้ใครว่าได้ว่าเจไปเอาเปรียบเขาเรื่องเงิน

ทั้งสองครอบครัวคุยกันต่ออีกพักหนึ่งก่อนคริสจะพูดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมาพูด

"แม้เด็กทั้งคู่จะเพิ่งคบหากันได้ไม่นาน แต่ในส่วนของลูกผมนั้น ผมมองออกและมั่นใจว่าฆาเบียร์คงหยุดอยู่ที่เจแล้วแน่นอน..."

"...ถึงในอนาคตผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนนี้จะลงเอยกันแบบไหน แต่ในตอนนี้ ผมขอฝากฆาเบียร์ให้เป็นคนในครอบครัวของคุณอีกคนด้วยนะครับ"

คริสก้มหัวน้อยๆ ให้กับฟองนวลและลูกๆ

"พวกเราขอรับฆาเบียร์เป็นคนในครอบครัวค่ะ และก็ขอฝากฝังเจไว้กับคุณด้วยนะคะ"

ฟองนวลพูดช้าๆ เป็นภาษาอังกฤษ เธอต้องการให้คริสได้ฟังคำมั่นนี้จากปากของเธอเอง คริสตอบรับอย่างแข็งขันและบอกว่าเขารับเจเป็นลูกอีกคนตั้งแต่ที่ฮ่องกงแล้ว ทั้งสองครอบครัวหัวเราะให้กันอย่างสุขใจ



"งั้น หนูว่าเราไปเรียกสองคนนั้นเข้ามาดีกว่าค่ะ สงสัยจะเครียดใหญ่แล้ว"

อิ่มใจเดินไปชะโงกหน้าดูน้องชายและคนรักตัวโตและเห็นว่าทางนั้นมีทีท่ากระวนกระวายนั่งไม่ติด ฟองนวลกวักมือเรียกเด็กให้เตรียมตั้งสำรับและให้อิ่มไปตามน้องเข้ามา เจนยุทธและฆาเบียร์รีบสาวเท้าเดินเข้ามาในห้องรับแขก

"นี่ๆ แม่คุยอะไรกับอาปาอ่ะ เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ"

เจสะกิดถามพี่สาวถึงสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านคุยกัน แต่อิ่มไม่ยอมบอกอะไร ทั้งสองบ้านตัดสินใจเก็บเรื่องที่คุยกันไม่ให้ทั้งสองรู้เพราะไม่อยากไปเพิ่มแรงกดดันให้กับความสัมพันธ์แบบสบายๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นของคนทั้งคู่ อนาคตของทั้งสองจะเป็นอย่างไร จะอยู่ด้วยกันจนลงเอยเป็นคู่ชีวิตกัน หรือจะเลิกรากันไป นั่นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของทั้งสองต้องตัดสินใจกันเอง พวกเธอและคริสได้แต่เป็นผู้คอยสนับสนุนในทุกทางให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้



"แม่ พี่จืดอ่ะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่แว่บๆ?"

เจนั่งแปะลงที่โต๊ะอาหารอย่างรวดเร็วทันทีที่แม่บอกว่าให้คนตั้งสำรับแล้ว เขามองไปรอบๆ หาพี่ชายที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก

"อ๋อ พี่จืดกับหวานพาไอ้ลิงสองตัวไปกินพิซซ่าน่ะ มันเรียกร้องอยากกินตั้งแต่เช้าแล้ว"

อิ่มตอบแทนแม่ เจขมวดคิ้ว อยากกินพิซซ่าเอาตอนวันสิ้นปีเนี่ยนะ คนล้านแปดเต็มห้าง ข้าวบ้านมีดีๆ ไม่กิน คนไม่รักเด็กอย่างเจนยุทธคิดในใจว่าพี่ชายเขานี่ก็เอาใจลูกเหลือเกินอยากได้อะไรก็ต้องให้หมด เขายักไหล่แล้วหันมาสนใจกับอาหารที่กำลังทะยอยมาลงบนโต๊ะ ฟองนวลบอกเจให้อธิบายให้คริสและฆาเบียร์ฟังว่าอาหารมีอะไรบ้าง

"อาปาครับ แกงเขียวหวานนี่ อาปาคงเคยกินและรู้จักแล้ว วันนี้แม่ทำแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ส่วนนี่ต้มจืดผักกาดขาวสาหร่ายใส่หมูสับ เป็นซุปรสชาติเบาๆ นี่ก็ผัดผักโขมใส่หมูสับ สูตรบ้านผมใส่เต้าเจี้ยวลงไปด้วยหน่อยนึง..."

"ส่วนนี่คือ หมึกหอมนึ่งมะนาวครับ รสชาติจะออกเผ็ดเปรี้ยว ถ้าอาปากลัวจะเผ็ดเกินไปก็ตักกินแต่เนื้อมันพอนะครับ"

เจชี้ไปที่อาหารเมืองอีกสองอย่าง

"นี่คือแกงฮังเล แล้วนั่นคือน้ำพริกอ่องครับ สองชนิดนี้เป็นอาหารพื้นเมืองของทางภาคเหนือ แต่แกงฮังเลนั้นเราได้อิทธิพลจากอาหารทางพม่า"

ฆาเบียร์หันไปบอกคริสว่าแกงฮังเลนั้นคือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยกินกันที่ร้านอาหารไทยร้านโปรดร้านหนึ่งของคริสในลาส เวกัส อย่างร้าน Lotus of Siam ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านอาหารไทยที่ดีที่สุดในสหรัฐฯ

"...แต่ที่แม่เจทำอร่อยกว่า"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ แล้วหันไปบอกเด็กที่กำลังตักข้าวให้เขาบอกว่าเขาขอข้าว 2 ทัพพีพูนๆ

"แหม ชักกินเยอะนะ คุณ...เอ๊ย อ้าย"

เจเปลี่ยนสรรพนามของฆาเบียร์แทบไม่ทันเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่

"ก็แม่ทำอาหารอร่อย อ้ายกินทีไรก็ต้องเติมข้าวทุกที ก็ตักเยอะมาไว้ก่อนละกัน"

คนหัวไวก็เปลี่ยนสรรพนามของตัวเองเสียเสร็จสรรพ เขายิ้มกริ่มเมื่อเห็นเจเขินจนหน้าแดง คริสเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำภาษาไทยที่ลูกเขาพูด ฆาเบียร์หันไปอธิบายให้ฟังเบาๆ

"แม่ หมายถึง Mom ครับ ส่วนคำว่า อ้าย ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่แม่บอกให้เจเรียกผมแบบนี้ เพราะว่ามันสุภาพกว่าเรียกชื่อเฉยๆ"

"แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะ เจ?"

คริสหันไปถามลูกชายคนใหม่ของเขาซึ่งนั่งหน้าแดงก่ำอยู่

"อ้าย เป็นภาษาเหนือแปลว่า พี่ชาย ครับ แต่ก็ยังเอาไว้เรียกผู้ชายที่อายุมากกว่าด้วย"

"หรือเอาไว้เรียกคนรักค่ะ"

อิ่มเสริมขึ้นมาอย่างหมั่นไส้น้องชายที่กั๊กไม่ยอมพูดทั้งหมด เจยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ สำหรับเขาคำนี้มันแสดงถึงสถานะของเขากับฆาเบียร์ชัดกว่าเรียกชื่อเฉยๆ และคำว่า you ยิ่งตอนฆาเบียร์เรียกตัวเองว่า อ้าย เขานี่ยิ่งแทบจะละลาย


"แล้วนี่อะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ชี้ไปที่อาหารจานสุดท้ายที่ยกมา

"ไข่ยัดไส้น่ะ มันคือไข่ทอดเป็นแผ่นบางแล้วเอามาห่อไส้ที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว..."

"สองชิ้นสวยๆ น่ะ แม่ทำ ส่วนอีกอันน่ะ ผมทำเองหมดเลย"

เจยิ้มเขินๆ ไข่ยัดไส้ของเขามันไม่สวยเลยสักนิด ไข่ทั้งหนา ทั้งแหว่งเว้าไม่เป็นทรง ห่อแตกอีกต่างหาก หากคนรักของเขารีบหยิบช้อนกลางจะตักทันทีที่ได้ยินว่าเป็นฝีมือเจทำ เจตีเพียะที่มือฆาเบียร์เบาๆ อย่างลืมตัว พอรู้ตัวเขาก็หัวเราะแก้เขิน

"ให้อาปากินก่อนสิ..."

เจหันไปหาคริสที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วตัดไข่ยัดไส้แสนขี้เหร่ชิ้นนั้นและตักใส่จานให้คริส

"ผมตั้งใจทำเองทั้งหมดให้อาปาชิมครับ"

คนตัวโตทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเจตักอีกชิ้นใหญ่ๆ ส่งมาให้เขา คนทั้งโต๊ะอมยิ้มในท่าทางที่เหมือนเด็กๆ ของฆาเบียร์ โดยเฉพาะริคกี้และเมลิน่าที่ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของเจ้านายของตัวเท่าไหร่

"อร่อยจังเจ อ้ายชอบมากเลย ไว้วันหลังทำให้อ้ายกินอีกนะ"

เมื่อรู้ความหมายคนตัวโตยิ่งได้ใจ เขาแทนตัวด้วยคำว่า "อ้าย" กับเจแทบจะตลอดเวลา เจทำหูทวนลม แต่มือขยับตักนั่นนี่ใส่จานของคนรักที่มักกินน้อยอยู่ตลอดเวลา ฆาเบียร์กินไปคุยกับอาปาของเขาและครอบครัวของเจไป ไม่นานข้าวในจานเขาก็หมด ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ และส่งจานให้อิ่มที่ถามว่าเขาจะเอาข้าวเพิ่มไหม คริสและเจยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตัวโตเจริญอาหาร ฟองนวลเองก็ดีใจที่ฆาเบียร์ชอบอาหารของเธอ



"อาหารอร่อยมากครับ"

คริสยกผ้าขึ้นซับมุมปากและชมอาหารของฟองนวล เขาชอบทุกอย่างโดยเฉพาะอาหารเหนือสองอย่างนั่น หมึกนึ่งมะนาวก็อร่อยแต่เขาซึ่งต้องคุมคลอเรสเตอรอลอยู่บ้างไม่ได้กินมันเยอะเท่าไหร่ แต่เลขาทั้งสองของเขานั้นติดใจมันมาก เมลิน่าถึงขั้นขอสูตรจากฟองนวลเลยทีเดียว

"ไม่ยากเลยค่ะ คุณเตรียมปลาหมึก บั้งให้เรียบร้อยแล้วเอาใส่ภาชนะที่นำไปนึ่งได้แล้วเอาลงวางในซึ้งนึ่งพร้อมกับข่าและตะใคร้หั่นแว่น..."

อิ่มใจเป็นฝ่ายบอกสูตรให้เมลิน่า เธอบอกว่าให้นึ่งปลาหมึกด้วยไฟแรงเป็นเวลา 3-5 นาที ให้พอสุก จากนั้นเริ่มทำน้ำราดโดยผสมของกระเทียม พริกสับ รากผักชีเข้าด้วยกัน ตามด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทรายนิดหน่อย

"ปริมาณก็แล้วแต่ขนาดของหมึกค่ะ บางสูตรใส่น้ำกระเทียมดอง แต่บ้านเราไม่ใส่"

อิ่มพูดต่อว่าจากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน อาจเติมน้ำที่ได้จากการนึ่งหมึกลงไปด้วยหรือใส่ผงน้ำซุปลงไปด้วยหน่อยก็ได้ จากนั้นก็เปิดฝาซึ้ง เทส่วนผสมนี้ราดลงไปให้ทั่วและตามด้วยใบสะระแหน่ จากนั้นปิดฝานึ่งต่ออีกประมาณ 30 วินาที ก่อนจะนำตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยพริกและกระเทียมสด

"แต่จริงๆ แล้วทำในไมโครเวฟก็ได้นะ เมลิน่า อาจจะไม่อร่อยเท่าสูตรนี้ แต่ก็ถือว่ากินให้หายอยากได้"

เจบอกว่าที่เขาทำบ่อยๆ คือ เขาไมโครเวฟปลาหมึกที่เตรียมไว้ด้วยไฟอ่อน ใช้เวลา 3 นาที จะใส่ข่าตะใคร้ลงไปด้วยก็ได้ แต่โดยมากเขาไม่ใส่เพราะความขี้เกียจ ระหว่างรอก็ผสมน้ำราดเตรียมไว้โดยใส่พริกขี้หนู กระเทียมสดหั่น น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล ปริมาณก็ตามขนาดปลาหมึก ปรุงรสตามชอบ ขาดอะไรก็ปรุงเพิ่ม

"พอหมึกได้ที่ ก็เอาออกมาจากไมโครเวฟ ต้องอย่าลืมเทที่ออกมาจากตัวหมึกทิ้งก่อนนะ ไม่งั้นจะจืดหมด จากนั้นก็เทน้ำราดลงไป คลุกๆ คนๆ ซักหน่อยก็กินได้แล้ว ที่จริงจะเอาเวฟต่ออีกซักแป๊บก็ได้ แต่ฉันไม่ทำเพราะเตาจะเหม็นน้ำปลา"

เมลิน่าจดๆ สูตรไว้ สำหรับเธอคงทำสูตรของเจมากกว่าเพราะง่ายกว่า เหมาะสำหรับเวลาเกิดอยากกินขึ้นมา



ฟองนวลชวนทุกคนลุกจากโต๊ะอาหารแล้วบอกอิ่มให้พาคริสและคณะไปที่ห้องนอนแขกซึ่งมี 2 ห้องติดกัน

"แม่ จัดหื้อเมลิน่ากับริคกี้นอนห้องเดียวกั๋นกา?"

"แม่ จัดให้เมลิน่ากับริคกี้นอนห้องเดียวกันเหรอ?"

เจท้วงขึ้นเมื่อเห็นแม่พาสองคนเข้าไปยังห้องที่จัดเตียงเดี่ยว 2 เตียงไว้ ส่วนคริสนั้นได้ห้องที่เป็นเตียงใหญ่เตียงเดียว

"อ้าว แม่กึ๊ดว่าสองคนนี้เป๋นแฟนกั๋น"

'อ้าว แม่นึกว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน'


เจซ่อนยิ้มแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษให้สองคนนั้นเข้าใจด้วย

"ไม่ใช่ครับแม่ ถึงจะดูเหมือน แต่สองคนนี้ไม่ได้เป็นแฟนกัน"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อเห็นเลขาทั้งคู่ของเขาหน้าแดงแป๊ด

"ไม่เป็นไร เจ เดี๋ยวให้ริคกี้มานอนห้องอาปาก็ได้ เตียงออกกว้าง"

"แต่ อาปาจะนอนสบายเหรอครับ"

เจทำท่าเป็นห่วง

"เอ่อ ผมนอนโซฟาก็ได้ครับ คุณเจ ไม่มีปัญหา หรือมีฟูกให้ผมปูนอนพื้นหรือเปล่าครับ"

ริคกี้ผู้เจียมตัวพูดเบาๆ เมลิน่าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนพูดออกมาด้วยเสียงเฉียบขาด

"นายนอนห้องเดียวกับฉันนี่แหละ ริคกี้ ไม่ต้องไปรบกวนบอส"

เจแทบอยากจะร้องฮูเรออกมา แต่ก็ต้องเก็บอาการ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ กับความเจ้าเล่ห์ของคนตัวเล็กของเขา

ฆาเบียร์ เจ และฟองนวลปล่อยให้แขกทั้งสามคนพักผ่อนตามอัธยาศัย ส่วนพวกเขายังมีของต้องเตรียมสำหรับงานในคืนนี้อีกหลายอย่าง



---------------------------------------------

ตอนแรกกะโพสต์ตอนนี้สักวันพรุ่งนี้ เขียนไปเขียนมา ก็ต่อจนจบไปซะงั้น แถมยังยาวไปๆ ทุกตอนเลย เหนื่อยคนอ่านหน่อยนะคะ

แจกสูตรค่ะ

ไข่ยัดไส้จากเพจครัวลุงหนูค่ะ https://goo.gl/sm13tw

หมึกนึ่งมะนาวในเรื่องอิงจากสูตรนี้ค่ะ แต่ตัดกุ้งออก https://goo.gl/uCziHL

หมึกนึ่งมะนาวสูตรไมโครเวฟ https://goo.gl/3BiQDk



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2017 15:54:13 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ่านแล้วอยากกินทุกทีเลย ฮา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด