@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115435 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.1 (ต่อ) ----



"แกกล้ามากนะที่เข้ามาที่นี่"

เขาตะคอกใส่อินตีและทำท่าจะปรี่เข้าไปชกซ้ำ หากพรานผู้ช่วยของเขาดึงไว้ก่อน

"มิเกล อะไรกัน?!"

"ท่านครับ ผมจำไอ้เวรนี่ได้ มันเป็นนายทหารของฝ่ายรีพับลิกัน

"...ปืนผมเป็นรุ่นเดียวกับที่พวกทหารรีพับลิกันใช้ช่วงสงคราม ไอ้นี่ใช้มันได้คล่องผิดวิสัยชาวบ้านป่า..."

เขาตอบเมื่อดอนอัลฟองโซถามว่าเขารู้ได้อย่างไร

"...อีกอย่าง ผมจำเสียงจังหวะกระชากคานเหวี่ยงปืนมันได้แม่นครับ ผมเคยเผชิญหน้ากับมันและเกือบถูกมันยิง"

มิเกลไม่ได้บอกไปว่าที่ทำให้เขาจำได้จริงๆ คือรอยยิ้มกว้างและฟันขาวๆ ที่เขาเห็นก่อนถูกมันยิงใส่ในวันนั้นต่างหาก อัลฟองโซตาวาวโรจน์ เขาหันไปเผชิญหน้ากับอินตี



"จริงตามที่มิเกลว่าหรือเปล่า?"

อินตีเช็ดเลือดที่ปากและก้มหัวลงน้อยๆ

"จริงตามที่กัปปิตันว่าทุกอย่างครับ"

เขายังคงเรียกมิเกลว่ากัปปิตันหรือผู้กองตามยศเดิม

"ผมเคยสังกัดกองร้อยที่ 3 ของกองกำลังฝ่ายกาตาลันของฝ่ายรีพับลิกันจริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว ผมหนีทัพมาไม่นานหลังจากกัปปิตันหนีมานั่นแหละครับ"

มิเกลกำหมัดแน่น มันรู้แม้กระทั่งยศและรู้กระทั่งว่าเขาหนีทัพมา แสดงว่ามันยังจำได้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ยังกล้าดีเข้ามาสมัครเดินทางไปกับพวกเขา

"ผมเข้าร่วมรบไม่ใช่เพราะความสมัครใจ แต่เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณปาเดรของผม ท่านเป็นชาวกาตาลันผู้ภักดีต่อรัฐบาลรีพับลิกัน ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามคำขอของท่าน"

เขาเล่าว่าระหว่างสงคราม ปาเดรหรือบาทหลวงผู้อุปการะเขาก็เสียชีวิตลง เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องร่วมรบเพื่อตอบแทนบุญคุณใครอีกและได้หนีกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน

"ส่วนเรื่องที่กัปปิตันบอกว่าผมเกือบยิงท่านตาย ท่านก็เห็นจากการที่ผมยิงเมื่อครู่แล้ว ลองถามใจตัวท่านดูเองว่าในระยะนั้นผมยังไม่พลาด แล้วถ้าท่านอยู่ใกล้ผมขนาดที่ได้ยินเสียงผมดึงคานเหวี่ยงจริง หากผมอยากให้ท่านตายท่านไม่มีวันรอดกระสุนผมได้หรอกครับ"



มิเกลแค่นหัวเราะ เขากำลังจะพ่นคำผรุสวาสใส่แต่อัลฟองโซยกมือห้ามไว้

"มันก็จริงอย่างที่อินตีว่านะ มิเกล สงครามมันก็จบไปแล้ว พวกเรามันก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่ใช่คนที่อยากจะรบกันแต่แรกอยู่แล้ว ฉันว่าปล่อยอดีตให้ผ่านเลยไปเถอะ อีกอย่าง เราก็ต้องการคนเพิ่มใช่ไหม? อินตีมันก็หน่วยก้านดี ฉันว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับเราบ้าง"

มิเกลค้อมศีรษะให้นายจ้างและอดีตผู้บังคับบัญชา

"หากเป็นความประสงค์ของท่าน ก็ตามนั้นครับ แต่ถ้าวันไหนที่มันมีทีท่าตุกติกหรือไม่น่าไว้วางใจ ผมยิงมันทิ้งแน่"

เขาหันไปกระชากเสียงใส่ชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาเกลียดใบหน้าที่ยิ้มละไมเหมือนรู้ดีไปหมดเสียทุกอย่างนั้นจริงๆ หากมีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มนั้นที่เขาคุ้นว่าเคยเห็นนอกเหนือจากตอนที่หันไปเจอมันเล็งปืนใส่เขา เขาสะบัดหัวเบาๆ ช่างมันเถอะ อดีตก็คืออดีต

"ถ้าอย่างนั้น ยินดีต้อนรับ อินตี หวังว่าแกจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง"

เขาส่งมือให้ร่างกำยำนั้น อินตียิ้มละไมและยื่นมือมาจับกระชับกับมือเรียวของร่างสันทัดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มิเกลรู้สึกถึงแรงบีบหนักแน่น อัลฟองโซหัวเราะร่า เขายื่นมือมาจับทับมือคนทั้งสอง

"ดีมาก พวกเรามาช่วยกันตามหาไอ้เจ้าเอลโดราโดนี้ให้เจอกันเถอะ"



คณะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นโดยมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน Villa Virgen ริมฝั่งแม่น้ำ Apurimac การเดินทางช่วงนี้มิเกลให้ชาวคณะออกเดินทางทางรถโดยใช้ถนนเส้นเก่าของชาวอินคาแต่โบราณที่ลัดเลาะไปตามเทือกเขาแอนดีส นายจ้างทั้งสองนั่งรถจี๊ปแบบที่ใช้ในสงครามโลกที่พรานของมิเกลเป็นคนขับ ส่วนสัมภาระและลูกหาบนั่งรถบรรทุกใหญ่สองคันที่ขับตามกันเป็นขบวน พวกเขาใช้เวลาราว 1 วันเศษบนถนนดินลูกรังสลับยางมะตอยเป็นช่วงๆ ยาวเกือบ 500 กิโลเมตร สภาพของถนนที่แคบเล็กและขรุขระ อีกทั้งบางช่วงที่ลาดชันทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก ไหนจะต้องคอยระวังไม่ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ของเขาตกถนนอีก หากความงามที่แทบหยุดลมหายใจของทิวเขาอันสลับซับซ้อนและทิวทัศน์ระหว่างทางทำให้เหล่านายจ้างเพลิดเพลินได้ไม่น้อย บางส่วนของถนนเลียบไปกับขอบผาทำให้เห็นโตรกเขาและลำน้ำเชี่ยวเบื้องล่าง บางช่วงถนนนำพวกเขาลงสู่ก้นหุบโดยมีขุนเขาเงื้อมตระหง่านตั้งประหนึ่งกำแพงยักษ์กระหนาบสองข้างถนน ภูมิประเทศของเทือกเขาแอนดีสช่วงนี้นั้นส่วนใหญ่เป็นหินและปกคลุมด้วยหญ้าสั้นๆ และพุ่มไม้เตี้ย มีไม้ยืนต้นประเภทสนอยู่ประปราย



มิเกลหยุดให้นายจ้างได้ลงแวะชมเมืองและโบราณสถานของชาวอินคาที่กระจายตัวอยู่ในช่วงแรกของการเดินทาง และใช้เวลานานเป็นพิเศษที่ Ollantaytambo ซึ่งเป็นป้อมปราการอันเป็นที่ตั้งมั่นสุดท้ายของ Inca Manco Yupanqui​ กษัตริย์อินคาองค์สุดท้ายก่อนที่จะถูกสเปนยึดครองอาณาจักรโดยสมบูรณ์ จากนั้นพาเดินทางต่อโดยค่อยๆ ไปช้าๆ และหยุดพักชมนั่นนี่เมื่อนายจ้างร้องขอ นายจ้างโดยเฉพาะท่านหญิงมาริโซลบ่นเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสขึ้นไปชม Machu Picchu ซึ่งเป็น citadel หรือเนินปราสาทของอาณาจักรอินคาเพียงแห่งเดียวซึ่งยังมีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยพบ มิเกลทึ่งเมื่อได้ทราบว่าท่านหญิงซึ่งดูบอบบางคนนี้เป็นนักโบราณคดีชื่อดังผู้ท่องมาแล้วทั่วโลกและยังเป็นแพทย์ฝีมือดี

หลังจากนอนพักค้างคืนที่เมืองน้อยระหว่างทาง ชาวคณะก็มาถึงหมู่บ้าน Villa Virgen ในบ่ายวันที่ 2 ของการเดินทาง พวกเขาขนของลงเรือจักรกลไอน้ำขนาดกลางที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะหาจ้างได้ ดอนอัลฟองโซลงทุนกับการเดินทางครั้งนี้อย่างแท้จริง ชั้นล่างของเรือเป็นที่เก็บสัมภาระและที่นอนของเหล่าลูกหาบและพรานของมิเกล ตัวมิเกลเองก็ลงมานอนกับคนของเขาแม้ดอนอัลฟองโซจะขอให้เขาขึ้นไปนอนที่ห้องนอนหรูหราบนชั้นสองของเรือซึ่งมีทั้งหมด 4 ห้อง ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าไว้นั่งอาบแดดและห้องกัปตัน



การเดินทางทางเรือของคณะเป็นไปอย่างราบรื่นในช่วงแรก นายจ้างทั้งสองใช้เวลายามเย็นบนดาดฟ้า ทั้งคู่นั่งจิบไวน์ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทิวทัศน์รอบข้างยังคงเป็นแบบหินผา

"มิเกล มาดื่มด้วยกันสิ"

ดอนอัลฟองโซเรียกพรานหนุ่มให้ลงนั่งที่โต๊ะกับเขาและญาติผู้น้อง มิเกลลงนั่งตัวตรง เขามีทีท่าเกรงใจเมื่อเจ้านายรินไวน์ใส่แก้วส่งให้แต่ก็รับไว้ในที่สุด

"เราจะล่องเรือกันนานเท่าไหร่?"

พรานหนุ่มตอบว่าเขาประมาณแล้วว่าอาจจะต้องเดินทางๆ เรือกันอีกประมาณ 5-7 วันแล้วแต่คลื่นและน้ำขึ้นน้ำลง บางช่วงที่น้ำแห้งมีสันดอนมาก อาจต้องหยุดเรือเพื่อรอน้ำขึ้นสักนิด แม้เรือไอน้ำแบบนี้จะออกแบบมาให้กินน้ำตื้นได้ แต่ก็อาจมีปัญหาเกยตื้นได้ เขาจะใช้เส้นทางผ่านแม่น้ำ Apurinac Ene และ tambo จากนั้นจะเข้าสู่แม่น้ำสาขาของอะเมซอนอย่าง Ucayali ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของเปรู

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบนัก เราอาจจะลงแวะกลางทางดูนั่นดูนี่ก็ได้"



การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งวันที่ 7 ของการเดินทาง ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดเทียบท่าเพื่อขึ้นฝั่ง กระแสน้ำของแม่น้ำ Ucayali ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำอะเมซอนนั้นรุนแรงจนพัดพาเรือให้เสียหลักเกยตื้นกับสันดอนใหญ่ที่กลางแม่น้ำ ท้ายเรือถูกกดต่ำลงกว่าระดับน้ำ ทำให้น้ำปริมาณมากทะลักเข้าเรืออย่างรวดเร็ว มิเกลรีบสั่งการคนของเขาให้ขนสัมภาระขึ้นบนสันดอนก่อน เขาสั่งให้อินตีซึ่งคล่องภาษาสเปนที่สุดพาเจ้านายทั้งสองขึ้นฝั่ง ส่วนตัวเองลงไปกำกับการขนสัมภาระและกู้เรือ ระหว่างที่ทั้งคนเรือและลูกหาบพากันขนของขึ้นนั้น พรานหนุ่มที่ยืนแช่อยู่ในน้ำครึ่งตัวพลันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว

"ปลาไหลไฟฟ้า!"

เขารวบรวมสติเฮือกสุดท้ายตะโกนลั่นก่อนที่จะล้มหน้าคว่ำจมลงไปในน้ำ บรรดาลูกหาบและคนเรือที่ได้ยินเสียงเขาพากันแตกฮือวิ่งกรูขึ้นไปบนสันทราย มีเพียงคนเดียวที่วิ่งสวนลงมายังเรือที่ตอนนี้จมลงไป 1/3 ลำแล้ว ร่างใหญ่กำยำของอินตีลุยลงไปในน้ำอย่างไม่เกรงกลัว เขามองหาแต่ไม่เห็นร่างของมิเกลที่ถูกกระแสน้ำพัดออกจากเรือและจมหายลงไปใต้น้ำสีโคลน อินตีกลั้นหายใจและพุ่งกายลงไปในน้ำ ไม่นานเขาก็กลับขึ้นมาพร้อมร่างที่อ่อนปวกเปียกของพรานหนุ่ม

อินตีรีบอุ้มร่างนั้นขึ้นวางบนฝั่ง ท่านหญิงมาริโซลผู้เป็นหมอรีบปรี่เข้ามาดูอาการ ในตอนนั้นมิเกลไม่หายใจแล้ว หญิงสาวรีบทำการนวดหัวใจให้พรานหนุ่ม แต่เหมือนจะยังไม่เพียงพอ ก่อนใครจะทันรู้ตัว ร่างใหญ่กำยำของอินตีก็ทรุดกายลงนั่งข้างตัวมิเกลและก้มหน้าลงประกบปากกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่และเป่าลมหายใจเข้า มาริโซลเลิกคิ้วหันไปมองอินตีที่พยักหน้ากลับมา หญิงสาวลงมือนวดหัวใจต่อโดยนับเสียงดังให้หนุ่มพื้นเมืองได้ยิน และบอกเมื่อถึงจังหวะต้องเป่าปาก พวกเขาทำแบบนี้อยู่ไม่นานมิเกลก็สำรอกน้ำออกมาจำนวนมาก

"กัปปิตันครับ เป็นอย่างไรบ้าง?!"

หนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่ระล่ำระลักถาม มิเกลที่ยังตาลอยยกมือขึ้นสัมผัสแก้มซูบตอบสีทองแดงนั้นและพูดงึมงำก่อนที่จะทิ้งมือและปิดตาลง ทุกคนใจหายวาบ หากลมหายใจที่แรงและสม่ำเสมอขึ้นทำให้ทุกคนเบาใจ ดอนอัลฟองโซสั่งให้ตั้งกระโจมขึ้นบนสันทรายใหญ่นั้นและให้อินตีอุ้มร่างของมิเกลไปนอนบนเตียงสนามและถอดเสื้อที่เปียกโชกออกเหลือเพียงกางเกงเดินป่าเพราะยังเกรงใจท่านหญิง และให้เหล่าพรานผู้ช่วยคอยกำกับดูแลการขนสัมภาระที่ยังเหลือและกู้เรือ



"เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนี้ แล้วคุณก็ฟื้นมาเมื่อกี้หลังนอนพักได้ประมาณ 15 นาที "

"ผมจำทุกอย่างได้แล้ว ขอโทษจริงๆ ครับคุณชายที่ทำให้ต้องวุ่นวาย"

มิเกลซึ่งตอนนี้รู้ตัวเต็มที่กล่าวขึ้นเบาๆ เขาหันไปขอโทษนายจ้างทั้งสองพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปดูลูกน้องแต่ท่านหญิงห้ามไว้เพราะต้องการให้พักดูอาการก่อน มิเกลกลับไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย เจ้านายทั้งสองบอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่จะกลับไปพักผ่อนที่กระโจมของตนเอง อินตีที่ดูจะเป็นงานที่สุดถูกสั่งให้คอยดูแลพรานหนุ่ม เขาทรุดกายลงนั่งข้างเตียงของคนที่หลับตานอนนิ่ง

"ขอบใจแกมากที่สติดีลงไปช่วยฉัน"

เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากปากคนที่ยังอ่อนล้า มิเกลลืมตาขึ้นมองหน้าหนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่

"ไม่ต้องขอบใจผมหรอกครับ กัปปิตัน มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว นอนเถอะครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะคอยออกไปดูพวกข้างนอกให้"

มิเกลพยักหน้าและหลับตาลง ตลอดการเดินทางเกือบสิบวันที่ผ่านมา อินตีพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อคณะเดินทาง ต่อให้ยังไม่ไว้วางใจในตัวหนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่คนนี้ แต่มิเกลก็ให้โอกาสเขาได้ทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเอง อินตีเฝ้าพรานใหญ่อยู่อีกพักหนึ่งกระทั่งลูอิส พรานผู้ช่วยซึ่งอาวุโสที่สุดและเป็นมือขวาของมิเกลเอาเสื้อผ้าแห้งมาให้มิเกลเปลี่ยน อินตีค้อมหัวให้พรานหนุ่มและขอตัวออกไปดูแลการกู้เรือ

หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและลูอิสออกจากกระโจมไป ร่างสันทัดที่เหมือนจะหลับไปแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ เขายกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆ ช่วงที่เขาอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สติของเขากลับยังแจ่มใส เขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากร้อนผ่าวที่ประกบแนบลงมากับริมฝีปากเขา ถึงมันจะเพื่อช่วยชีวิต แต่สัมผัสของมันนั้นช่างประหลาดนัก เหมือนมันเข้าไปปลุกบางสิ่งในตัวเขาให้ตื่นขึ้น

"ควรต้องขอบใจมันเรื่องนี้ด้วยสินะ"

เขานึกได้ว่าเขาขอบใจมันไปแค่เรื่องที่ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ หากยังไม่ได้ขอบใจเรื่องที่ช่วยกู้ชีพให้ เขาเอามือลูบหน้าแรงๆ และรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผะผ่าวไปหมด เขาสะบัดหัวแรงๆ เพื่อไล่ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจออกไป มิเกลปิดตาลงนอนและหลับไปในไม่ช้า



มิเกลถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อกู้เรือได้สำเร็จ โชคดีที่มันเสียหายเพียงเล็กน้อยและไม่กระทบต่อการนำเรือเข้าเทียบฝั่ง พวกเขานอนค้างบนเรืออีกคืนหนึ่ง ก่อนที่จะขนของขึ้นฝั่งและลากัปตันเรือและลูกเรือในเช้าวันถัดมา พวกเขาทิ้งสัมภาระที่ไม่จำเป็นเช่นพวกของอำนวยความสะดวกอย่างหีบเพลงและถ้วยชามหรูหราที่ติดมาสำหรับใช้ช่วงที่ล่องเรือไว้บนเรือ เหลือไว้เพียงของสำคัญเช่นปืนและกระสุน ยา เสื้อผ้า อาหารแห้ง พวกอุปกรณ์ภาคสนามต่างๆ นายจ้างและมิเกลมีเป้หลังติดตัวเพียงคนละใบ ซึ่งใส่ของใช้ส่วนตัวเท่าที่จำเป็น ปืนสั้น กระสุนและเสื้อผ้าสำรอง ส่วนสัมภาระอื่นแบ่งใส่ลังที่มัดติดกับคานหาม มีลูกหาบแบกลังละ 2 คน รวม 5 คู่ พรานทั้ง 2 คนของมิเกลและอินตีแบกตะกร้าสานแบบชนเผ่าที่บรรจุสัมภาระของนายจ้างไว้อีกคนละใบ

คณะออกเดินทางรอนแรมไปในป่า มิเกลพาทุกคนไปยังจุดสุดท้ายที่แผนที่โบราณและแผนที่ปัจจุบันมีตรงกัน คือทะเลสาบ Imiria ที่ห่างจากจุดที่ขึ้นฝั่งประมาณ 10 กิโลเมตร บริเวณนี้ยังเป็นที่ราบและป่ายังไม่รกทึบนัก ทำให้การเดินเท้าของพวกเขาไม่ยากลำบากนัก ท่านหญิงมาริโซลที่ร่างกายเล็กบางกลับสามารถทนทานต่อการเดินทางได้มากกว่าดอนอัลฟองโซเสียด้วยซ้ำ

"ตอนฉันตามอาจารย์ไปขุดสำรวจที่เอเชียใต้เราเจอมาหนักกว่านี้"

ท่านหญิงหยุดปาดเหงื่อบนใบหน้าที่แดงก่ำ พลางยื่นมือไปรั้งญาติผู้พี่ของเธอที่กำลังจะนั่งพักบนตอไม้

"ระวัง!"

ดอนอัลฟองโซหันไปดูแล้วต้องสะดุ้งเฮือก บนตอไม้มีแมงป่องทั้งตัวเล็กและใหญ่อยู่นับสิบตัว มิเกลหัวเราะเบาๆ เห็นทีเขาคงต้องดูแลคุณชายมากกว่าท่านหญิงเสียแล้ว



ท่านหญิงแสดงฝีมืออีกครั้งเมื่อพวกเขาออกจากเมือง Caimito ริมฝั่งทะเลสาบอิมิเรีย มันคือชุมชนชาวพื้นเมืองแห่งสุดท้ายที่มิเกลรู้จัก พวกเขาเดินทางเข้าสู่ดงทึบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าอะเมซอน การเดินทางในช่วงนี้ต้องผ่านเขตพรุหนอง พวกเขาต้องลงลุยน้ำในทะเลสาบบ้างเพื่อตัดเส้นทาง มีช่วงหนึ่งที่ลูกหาบคู่สุดท้ายเดินหลงออกจากร่องน้ำตื้นและตกลงไปในร่องน้ำลึกทั้งตัว มิเกลและเหล่าพรานที่ขึ้นมาบนฝั่งรีบลงไปช่วยลูกหาบกู้สัมภาระ

'ปัง!'

เสียงปืนดังก้องมาจากบนฝั่ง มิเกลสะดุ้งเฮือกและหันไปดูเบื้องหลังของเขาที่มีเสียงน้ำแตกกระจาย จระเข้เคย์แมนตัวเขื่องดิ้นพราดอย่างทรมาน กระสุนจากไรเฟิล .300 ฮอลแลนด์แอนด์ฮอลแลนด์ในมือของท่านหญิงตัดเข้าที่สมองของจระเข้ที่อยู่ห่างไปกว่า 20 เมตรอย่างแม่นยำ

"เร็ว รีบขึิ้นจากน้ำ มันแห่มากันใหญ่แล้ว!"

พรานหนุ่มรีบสั่งลูกน้องให้พาลูกหาบที่เปียกมะล่อกมะแล่กขึ้นจากน้ำโดยมีเขาและอินตีผู้ชักมีดเล่มใหญ่แบบพื้นเมืองออกมารอท่านั้นเดินประกบท้ายขบวน โชคดีที่จระเข้ตัวอื่นไปสนใจกับการกินจระเข้ตัวแรกที่ถูกยิงจึงไม่มากวนชาวคณะอีก

"ขอบพระคุณครับ ท่านหญิง"

"ไม่เป็นไรหรอก มิเกล คุณไปดูแลคนของคุณเถอะ"

ท่านหญิงบรรจุกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิงแล้วส่งคืนให้ดอนอัลฟองโซที่ยังยืนตัวแข็งอยู่ เขาเคยล่าสัตว์ตอนอยู่ที่ยุโรปมาบ้าง แต่ก็เป็นพวกกวางหรือสุนัขจิ้งจอก โดยมีการไล่ราวหรือใช้สุนัขไล่ต้อนสัตว์มาให้ยิง แต่เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในป่าดิบทึบจริงๆ แบบนี้ มันเหมือนกับฝันร้ายเลยทีเดียว



หากฝันร้ายของดอนอัลฟองโซยังคงมีมาไม่หยุดหย่อนเมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าในป่าดิบทึบเรื่อยๆ แม้เขาจะเคยอ่านบันทึกของฆวน กาโก้มาก่อนและรับรู้ถึงความยากลำเค็ญของเส้นทางสายนี้ หากสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอมันเกินจินตนาการของหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ หลังรอนแรมกลางป่าเขามากว่าครึ่งเดือน พวกเขาพบเจอทั้งสัตว์ร้ายอย่างเสือพูม่า จระเข้เคย์แมน หมาป่า และสัตว์มีพิษร้ายอย่างแมงมุมทารันทูร่าและกบลูกศรพิษหากพวกเขาก็หาทางรอดจากพวกมันมาได้ด้วยฝีมือของมิเกล อินตีและเหล่าพรานของเขา

แต่ในตอนนี้ปัญหาใหม่ของพวกเขาคือการขาดแคลนเสบียง การเดินทางของพวกเขาช่วงนี้เป็นการไต่ขึ้นบนเขาชันซึ่งทั้งรกร้างและแห้งแล้ง บนทิวเขานี้ไม่มีแม้สัตว์สักตัวผ่านมาให้เห็น แม้กระทั่งนกสักตัวก็ยังไม่มีบินผ่านมา พวกพืชหัวที่จะพอใช้เป็นเสบียงได้ก็ยังไม่มี พวกเขาเหลือเพียงคีนัวซึ่งเป็นเมล็ดธัญพืชท้องถิ่นของเปรูและแฮมจำนวนไม่มากนักที่พกติดมาด้วยเผื่อเป็นเสบียงยามหาอย่างอื่นไม่ได้

"นี่ครับ ท่าน คีนัวต้มใส่แฮม..."

มิเกลยกถ้วยใบไม่ใหญ่นักที่ใส่คีนัวต้มแฮมเพียงแค่ครึ่งถ้วยมาให้ดอนอัลฟองโซและท่านหญิงมาริโซล

"ผมขอโทษจริงๆ ที่สามารถปันส่วนอาหารให้ได้เพียงแค่นี้ เราต้องสงวนเสบียงไว้เผื่ออีกสองสามวันข้างหน้า"

ดอนอัลฟองโซยิ้มเฝื่อนๆ เขาเบื่อเจ้าธัญพืชชนิดนี้เต็มแก่แล้ว หากมันช่วยให้พลังงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เขาตบไหล่พรานนำทางผู้มีท่าทางรู้สึกผิดเบาๆ เพื่อปลอบใจ

"ไม่เป็นไรหรอก มิเกล เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะลงถึงหุบกันแล้วใช่ไหม? ในตอนนั้นก็คงจะมีอาหารให้เรากินบ้างแล้ว"

มิเกลรับคำ เขาหันไปถามไถ่ท่านหญิงซึ่งทางนั้นก็ตอบเช่นเดียวกัน

"อย่าเพิ่งดื่มน้ำกันมากนักนะครับ น้ำจืดสำรองของเราเหลือไม่เยอะแล้ว"

มิเกลทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปหาพวกพรานของเขา


---------------------------------------------


นั่งหาข้อมูลอยู่หลายวัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาว่าจะให้โลเคชั่นอยู่แถวไหนดี สุดท้ายก็มาเลือกเปรูค่ะ ยิ่งหาอ่านก็ยิ่งอยากไปเที่ยว แต่ค่าตั๋วและค่าทัวร์แพงเหลือใจ อีกทั้งสังขารไม่เอื้ออีก ก็คงได้แต่ฝันต่อไป

เรื่องราวของอาณาจักรอินคา https://en.wikipedia.org/wiki/Inca_Empire

โบราณสถานใน Cusco และใกล้เคียงค่ะ https://goo.gl/KJBxHZ

​​สองจิตสองใจว่าจะให้อินตี mouth-to-mouth พรานมิเกลดีไหม เพราะถ้าจำไม่ผิดมันเป็นเทคนิคใหม่ ไปเปิดดูก็ใหม่จริงๆ น่าจะช่วง 1960 ซึ่งในเรื่องมันอยู่ประมาณปี 1946 แต่ใจมันเรียกร้อง ก็จัดไป แหะๆ แต่หาๆ อ่านดูเขาก็ว่ามีการทดลองกันมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ประกาศและนำมาใช้กันแพร่หลายจริงช่วง 1960 ก็หยวนๆ แล้วกันเนาะ

การเดินทางช่วงต้นนี่ยังอิงสถานที่จริงบ้าง ระยะทาง เมืองอะไรนี่นั่งหาจากกูเกิลแม็ปอยู่นาน แต่หลังจากนี้พอเข้าป่าแล้วบอกได้เลยว่า มั่วอย่างเดียวนะคะ ฮ่าๆๆๆ มาหลงป่าไปด้วยกันนะคะ




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


ใครที่เพิ่งเปิดมาอ่านตอนนี้อย่างพึ่งงงนะคะ ตอนพิเศษสามสี่ตอนนี้เป็นความฝันของเจค่ะ


---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.2​ ----




"แกคิดว่าฉันตัดสินใจผิดหรือเปล่า อินตี ที่ตัดสินใจย่นระยะทางด้วยการไต่ขึ้นสันเขาลูกนี้แทนที่จะเดินอ้อมเขาตามในแผนที่"

มิเกลผู้ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูหนทางในหุบเบื้องล่างถามขึ้นลอยๆ ป่าข้างล่างดูเขียวครึ้มไปหมดในแสงตะวันยามโพล้เพล้ หากจุดหมายของเขาในช่วงหน้าคือเนินเขาหัวโล้นเตี้ยๆ สามลูกที่ตั้งเด่นชัดขึ้นมากลางป่าเขียวครึ้ม เนินเขาทั้งสามดูเหมือนกันจนคล้ายกับมีใครมาปั้นแต่งไว้ ในแผนที่ของฆวน กาโก้ก็มีภาพเนินเขาทั้งสามนี้วาดไว้อย่างเด่นชัด หากชื่อของมันไม่เป็นมงคลนัก

“สามเนินมรณะ…”

“…แกคิดว่ามันหมายถึงอะไร?”

พรานนำทางถามขึ้นอีก หลังๆ มานี้เขามักปรึกษาอะไรกับพรานพื้นเมืองร่างใหญ่คนนี้บ่อยขึ้น การที่มันเคยผ่านโลกศิวิไลซ์มาแล้วทำให้เขาคุยกับมันรู้เรื่องมากกว่าพรานพื้นเมืองคนอื่น

“ผมก็ไม่แน่ใจนักครับ กัปปิตัน แต่ผมคิดว่าท่านไม่ได้คิดผิดที่ไต่ผาขึ้นมาแทนที่จะงมเดินด้านล่าง…”

“…เพราะเราค่อนข้างช้ากว่ากำหนดมากแล้ว ถ้าต้องการจะหาทางเข้าเมืองได้ เราต้องไปให้ทันช่วง Inti Raymi

มิเกลหันขวับมาจ้องใบหน้าคมสันนั้นด้วยแววตาวาวโรจน์

“แกหมายความว่ายังไง?”

“ก็…ในแผนที่ของนายใหญ่ มันไม่ได้มีบอกไว้เหรอครับว่าเราต้องไปถึงเนินตะวันภายในวันเหมายัน?”

อินตีมีสีหน้างวยงง มิเกลขบกรามแน่น เขาจ้ำพรวดไปที่กระโจมของนายจ้างทันที



“ดอนอัลฟองโซครับ ท่านลืมบอกข้อมูลสำคัญแบบนี้กับผมได้ยังไง?”

พรานหนุ่มเข้าไปยืนตรงหน้านายใหญ่ที่กำลังยืนพิจารณาแผนที่ซึ่งวางบนหินก้อนใหญ่ที่เขาใช้แทนโต๊ะและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

“นายพูดอะไรของนาย มิเกล?”

ชายสูงศักดิ์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงุนงง มาริโซลที่ยืนดูแผนที่อยู่เคียงข้างก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงงงวยไม่แพ้กัน

“เรื่องแผนที่ครับ ในแผนที่ไม่ก็ในบันทึกสักแห่งมันมีข้อความที่เขียนว่าเราต้องไปถึงทีี่เนินตะวันภายในช่วง Inti Raymi ใช่ไหมครับ”

มิเกลเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นนายจ้างทั้งสองมีท่าทางงุนงงและสับสน เขาถอนหายใจแล้วเล่าสิ่งที่อินตีพูดกับเขาให้ฟังแล้วตะโกนเรียกไอ้ตัวปัญหาที่ยืนสงบนิ่งรออยู่หน้ากระโจมให้เข้ามา



“จริงอย่างที่มิเกลว่าหรือเปล่า?”

ท่านหญิงมาริโซลกล่าวถามเสียงแข็ง เธอเองยังไม่ไว้ใจไอ้คนคนพื้นเมืองลึกลับคนนี้นัก แม้ญาติผู้พี่ที่เธอบูชาจะเชื่อใจมันเต็มที่เพราะมันเคยช่วยชีวิตเขาไว้โดยการเอาตัวเข้าขวางตอนเสือพูม่าตัวใหญ่โดดเข้าตะปบเขาก็ตาม จากความรู้ของเธอ ชนชาวพื้นเมืองในแถบนี้ล้วนแต่ตัวเล็กแกร็น ไม่เกิน 160 ซม. หากอินตีนั้นสูงกว่า 180 ซม. ในตอนแรกเมื่อดูจากหน้าตาที่คมคายของอินตีแล้ว เธอนึกว่าเขาเป็นเมซติโซ หรือลูกผสมชาวพื้นเมืองกับชาวยุโรป แต่ดูจากผิวพรรณและลักษณะอื่นๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น อินตีดูมาจากอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งต่างจากชนพื้นเมืองที่นี่โดยสิ้นเชิง

“ว่ายังไง อินตี ตอบมาริโซลซิ?”

ดอนอัลฟองโซกระทุ้งถามอีก รอยยิ้มละไมที่มีติดริมฝีปากเป็นนิจของเขาหายไป มันแสดงถึงความไม่พอใจอย่างแท้จริง ชายพื้นเมืองร่างใหญ่ถอนหายใจ เขาขออนุญาตทั้งสามคนดูแผนที่โบราณแผ่นนั้น เขาไล่สายตาดูไปทั่วแผ่น จนมาหยุดตรงจุดหนึ่ง เขาชี้ให้ทุกคนดูลวดลายตัวเล็กละเอียดที่ถูกเขียนทับไว้บนรูปพระอาทิตย์บนแผนที่ เขาบอกว่าลวดลายนั้นเป็นภาษาเก็ตชวาที่ถูกถอดเสียงมาโดยใช้อักษรภาพ

“ตรงนี้ครับ คนแปลของคุณชายคงนึกว่ามันเป็นแค่ลวดลายบนพระอาทิตย์ แต่ที่จริงมันเป็นอักษรภาพแบบแอซเต็ค”

ท่านหญิงมาริโซลตาลุกวาว เธอรีบคว้าแว่นขยายมาส่องดูทันที แอซเต็คคืออารยธรรมที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดในเม็กซิโกในช่วงเดียวกับอาณาจักรอินคาในอเมริกาใต้ คือช่วงระหว่างศตวรรษที่ 12 ถึงศตวรรษที่ 16 จากการหาข้อมูลเกี่ยวกับฆวน กาโก้ เธอพบว่าก่อนหน้าที่จะมาติดสอยห้อยตามปิซาร์โร่ นักสำรวจวัยกลางคนผู้นี้เคยใช้ชีวิตอยู่ในเม็กซิโกระยะหนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในคณะเดินทางของ Hernan Cortes ผู้ยึดครองอาณาจักรแอซเต็คในช่วงปี 1519-1524 ฉะนั้นไม่แปลกใจที่เขาจะเคยเห็นและเคยเรียนภาษาแอซเต็คมา



"ภาษาเก็ตชวาแต่เขียนด้วยอักษรแอซเต็คงั้นเหรอ?"

มาริโซลพึมพำพร้อมหยิบกระดาษและดินสอมาจดถอดเสียงประโยคนั้นออกมาด้วยอักษรละติน เธอเคยศึกษามันตอนที่เป็นนักศึกษาโบราณคดี เธอส่งมันให้มิเกลแปล มิเกลอ่านมันแล้วส่งให้ดอนอัลฟองโซ เขากระซิบความหมายของมันเบาๆ ที่หูของเจ้านายเขา และหันไปถามอินตี

"ไหน แกคิดว่ามันเขียนไว้ว่ายังไง"

สายตามทุกคู่จับจ้องไปที่ใบหน้าที่ยิ้มละไมของชายพื้นเมืองหนุ่มรูปงาม เขายักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะพูดประโยคภาษาเก็ตชวาออกมาและแปลเป็นภาษาสเปน



"เจ้าจงเร่งรุดไปให้ถึงยังเนินตะวันภายในช่วงเทศกาล Inti Raymi แลรอให้ดวงเนตรแห่งองค์อินตีชี้นำทาง หากเจ้าพลาดช่วง 4 วันทองนี้ เจ้าจักหาประตูเข้านครแห่งเทพมิพบอีก แลต้องรอจนองค์อินตีชักรถกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้งในปีถัดไป"



นายจ้างและมิเกลมองหน้ากัน ถึงสำนวนจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่เนื้อความนั้นตรงกับที่ถูกเขียนไว้บนแผนที่อายุเกือบ 500 ปีแผ่นนี้ ดอนอัลฟองโซรีบยกมือห้ามมิเกลที่ทำท่าจะปรี่เข้าไปเค้นคอเจ้าพรานลึกลับ

“อะไรคือ Inti Raymi?”

ชายสูงศักดิ์ถามพรานพื้นเมืองลึกลับของเขา หากมิเกลเป็นคนตอบแทน

"อินตี ไรมีคือเทศกาลฉลองปีใหม่ของชาวอินคาครับ จะจัดขึ้นในช่วงเหมายัน หรือช่วงที่มีกลางคืนยาวนานที่สุด ถ้าเป็นบ้านเรา ที่สเปน เหมายันจะอยู่ในเดือนธันวาคม แต่สำหรับทางอเมริกาใต้ มันคือช่วงเดือนมิถุนายน ปีนี้คือวันที่ 21 ครับ วันสุดท้ายก็คือ 24 มิถุนายน"

"งั้นเราเหลือเวลาอีกกี่วันกันนะ?"

ดอนอัลฟองโซมีสีหน้ากังวลและหยิบเอาสมุดปกหนังที่เขาใช้จดบันทึกการเดินทางออกมา เขาเปิดดูปฏิทินนับตั้งแต่วันที่เริ่มออกเดินทางมาจนถึงจุดนี้ พวกเขาใช้เวลาไปแล้วประมาณหนึ่งเดือน

"เราออกเดินทางกันวันที่ 15 มีนาคม วันนี้วันที่ 13 เมษายน แปลว่าเราเหลือเวลาอีกประมาณ 70-72 วัน ไหวไหม มิเกล?"

มิเกลครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาหยิบเอาแผนที่ปัจจุบันของเขาขึ้นมา เขาได้ทำเครื่องหมายบนแผนที่ตามพิกัดจุดสังเกตุสำคัญๆ ตามทางและลากเส้นการเดินทางลงบนนั้นตามทิศทางที่ได้เดิน เขาเทียบมันกับแผนที่โบราณของดอนอัลฟองโซ

"เท่าที่ดู ถ้านับแค่ในป่า เราเดินทางมาเกือบครึ่งทางแล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราน่าจะไปถึงเนินตะวันก่อนเวลาด้วยซ้ำ"



ดอนอัลฟองโซระบายลมหายใจออกจากปาก เขาทิ้งกายลงนั่งลงบนหินที่ถูกยกมาวางแทนเก้าอี้อย่างหมดแรงและหันไปคุยกับญาติผู้น้องเป็นภาษาเยอรมัน พวกเขามักพูดกันด้วยภาษาอื่นยามไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจ ท่านหญิงมาริโซลทรุดกายลงนั่งบนพื้นข้างญาติผู้พี่และบีบมือดอนอัลฟองโซเบาๆ และพูดตอบไปด้วยภาษาสเปน

"ท่านพี่คะ น้องว่าเราควรบอกความจริงให้พวกเขาฟังได้แล้ว"

มิเกลขมวดคิ้ว ความจริงที่ว่านั่นคืออะไร ชายสูงศักดิ์ถอนหายใจเบาๆ เขาหันไปบอกให้มิเกลนั่งลง อินตีทำท่าจะหันหลังเดินออกนอกกระโจมแต่ก็ถูกเรียกให้ลงนั่งด้วย

"ฉันว่า มันถึงเวลาที่เราต้องนั่งลงคุยกันจริงจังสักที นายด้วย อินตี ในฐานะที่นายอาจจะรู้อะไรๆ มากกว่าที่เราคิด"

"ก่อนอื่น ฉันต้องขอโทษนายก่อนนะ มิเกล ที่ฉันปิดบังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้จากนาย"

ชายสูงศักดิ์หันไปค้อมศีรษะให้อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเชิงขอโทษ

"ที่จริง ที่ฉันมาที่เปรูครั้งนี้ ฉันไม่ได้ต้องการมาหาสมบัติเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาตามหาคนอีกด้วย"

"ฉันมาเพื่อตามหาเพื่อนรักของฉัน พันโท Cristobal Colon y Falco นายคงเคยเจอเขาแล้ว"

มิเกลพยักหน้า เขาจำเพื่อนสนิทร่างเพรียวหน้าสวยเหมือนผู้หญิงของดอนอัลฟองโซได้ พันโทเป็นรองผู้บังคับการฯ และบัญชาการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพันเอกอัลฟองโซช่วงสงครามกลางเมือง



"คริสโตบัลเป็นทายาทสายตรงของท่านคริสโตบัล โกลอน..."

ดอนอัลฟองโซหมายถึงนักสำรวจชาวอิตาเลียนซึ่งทำงานรับใช้ราชสำนักสเปน ท่านเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาและมีชื่อภาษาอังกฤษว่า คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

"คริสโต้เป็นลูกชายคนโตของดยุคแห่งเบรากัวและเป็นคู่หมั้นของน้องหญิงมาริโซลอีกด้วย"

มิเกลอึ้งไป มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่เจอโครงกระดูกคนระหว่างทาง ท่านหญิงต้องรีบปรี่เข้าไปดูทุกครั้งและมีสีหน้าโล่งใจเมื่อทำการตรวจสอบกระดูกแล้ว

"ท่านพี่...แต่"

ท่านหญิงมาริโซลขมวดคิ้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ญาติผู้พี่ยกมือห้ามไว้และเล่าเรื่องต่อ

"น้องหญิงศึกษาด้านการแพทย์และโบราณคดีมาจากอังกฤษก็เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการติดตามคริสโต้ไปทำงานในอนาคต"

มิเกลไม่แน่ใจแต่เขาคิดว่าเขาเห็นรอยยิ้มอย่างขมขื่นปรากฎขึ้นแว่บหนึ่งบนริมฝีปากของท่านเคาท์แห่งเอลด้า เขายังมีจุดสงสัยบางประการ จากที่เดินทางร่วมกันมา เขาสังเกตเห็นว่าท่านหญิงมักมองญาติผู้พี่คนนี้ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรักและบูชา เขาจึงคิดว่าท่านหญิงคงตามมาด้วยในฐานะคนรัก มันไม่แปลกนักสำหรับชนชั้นสูงที่มีเชื้อสายขุนนางของสเปนที่จะแต่งงานกันเองในหมู่เครือญาติ แต่เท่าที่ฟังในตอนนี้ ท่านหญิงมีคู่หมายแล้ว รอยยิ้มนั้นของอดีตผู้บังคับบัญชาของเขาคงมีเพื่อเย้ยหยันในความรักที่ไม่สมหวังของตัวเองกระมัง



"เมื่อกว่าสามปีที่แล้ว คริสโต้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับท่านพ่อของเขาและหนีออกจากบ้านมาที่เปรู ก่อนไป เขามาขอฉันคัดลอกแผนที่แผ่นนี้ไป เขาบอกว่าเขาจะกลับมาอย่างคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง เขาไม่ต้องการพึี่งพาทรัพย์สินของตระกูลโกลอนอีก"

"...แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาได้สังเกตเห็นตัวอักษรแอซเท็คในดวงอาทิตย์ไหม ทำไมนะ ทำไมฉันไม่เอาฉบับจริงให้เขาไป? ป่านนี้คริสโต้จะหลงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้"

ดอนอัลฟองโซซบหน้าลงกับฝ่ามือของเขาและสะอื้นเบาๆ เขาเองก็ให้เพื่อนคัดลอกแผนที่ไปอย่างเสียมิได้เพราะไม่อยากให้เขาไป​ แถมยังได้ทะเลาะกับเพื่อนรักใหญ่โตถึงขั้นที่อีกฝ่ายประกาศว่าจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีก ท่านหญิงมาริโซลลูบหลังญาติผู้พี่เบาๆ เพื่อปลอบโยน ดอนอัลฟองโซคร่ำครวญว่าเขาน่าจะมาตามเพื่อนรักทันที ไม่น่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานถึงป่านนี้



"ศาสตราจารย์โกลอนรู้ถึงข้อความนั้นครับ ไม่ต้องห่วง"

เสียงทุ้มแหบของอินตีดังขึ้น ทุกคนหันขวับไปมองหนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่

"นายรู้ได้ยังไงว่าคริสโต้เป็นอาจารย์?"

ชายสูงศักดิ์ถามขึ้นด้วยความงุนงง มิเกลเองก็อึ้งไป เขาเองยังไม่เคยรู้ว่าพันโทโกลอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก่อนที่จะเข้าร่วมรบในสงครามกลางเมือง

"ที่ผมบอกว่าปาเดรพาผมกลับไปที่สเปนตอนผมเริ่มเข้าวัยรุ่นน่ะครับ ตอนนั้นปาเดรให้ทุนผมเรียนให้สูงที่สุดตามที่ผมอยากเรียน ผมเข้ามหาวิทยาลัยบาร์เซโลน่า โดยเรียนทั้งโบราณคดีและรัฐศาสตร์การปกครอง..."

ท่านหญิงอุทานออกมาแล้วบอกว่ามิน่าเขาถึงอ่านภาษาแอซเต็คออก

"...ผมเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์คริสโต้ ตลอดสี่ปี เราแลกเปลี่ยนความเห็นกันเรื่องอาณาจักรอินคาซึ่งเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของผมกันบ่อยครั้งครับ"

มิเกลใช้ดวงตาที่กระจ่างใสราวกับดาวของเขาจ้องมองชายพื้นเมืองร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทางและคำพูดคำจาของมันในคืนนี้ดูฉาดฉานและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ต่างกับทีท่าซื่อๆ แบบชาวบ้านป่าที่แสดงออกตามปกติ

"พอเรียนจบ ผมสมัครเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท และตั้งใจจะต่อให้ถึงเอกแล้วเป็นอาจารย์ แต่เพราะสงครามกลางเมือง..."

อินตีชะงักมองหน้าพรานหนุ่มแว่บหนึ่ง

"...เอาเป็นว่า ในที่สุดผมหนีทหารและกลับมาที่เปรู ระหว่างนั้นผมก็ยังแอบติดต่อกับท่านอาจารย์เป็นระยะๆ แม้จะอยู่คนละฝั่งกันตอนสู้รบ แต่ผมก็ยังนับถือท่านเหมือนเดิม..."



"เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว จู่ๆ ท่านก็มาปรากฏตัวที่หน้าบ้านผม เพื่อชวนผมให้เดินทางไปตามหา Hanan Pacha ด้วยกัน มันเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของผม"

"ผมตกลงเดินทางไปกับท่านด้วย แต่ระหว่างที่กำลังเตรียมการเดินทางอยู่ ผมประสบอุบัติเหตุจนซี่โครงหัก แต่เวลามันกระชั้นมากแล้ว และผมจะปล่อยให้ท่านอาจารย์เสียเวลามากกว่านั้นไม่ได้..."

"...ผมเลยจดประโยคที่ผมพูดให้พวกท่านฟังเมื่อครู่ให้อาจารย์ไป พร้อมกับให้รายชื่อพรานที่มีชื่อเสียงคนอื่นในแถบนี้ให้ท่านอาจารย์ไปอีกด้วย"

มิเกลกระพริบตาถี่ๆ เขาจำได้แล้ว เมื่อประมาณสามปีก่อน มีคณะเดินทางชาวสเปนคณะหนึ่งมาตามหาเขา แต่ตอนนั้นเขากำลังพาคณะสำรวจแร่ชาวอเมริกันเข้าไปสำรวจในป่าอะเมซอน กว่าเขาจะกลับมาคณะนั้นก็ออกเดินทางไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกจนกระทั่งอินตีพูดขึ้น เขาจ้องหน้าหนุ่มลึกลับร่างใหญ่ นี่แสดงว่ามันรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานกว่าสามปีแล้ว

"คริสโต้มาหานายเมื่อไหร่?"

ดอนอัลฟองโซถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

"ท่านอาจารย์มาหาผมประมาณเดือนกุมภาฯ เมื่อสามปีที่แล้วครับ ฉะนั้นถ้าท่านตีความประโยคที่ผมให้ท่านไปได้ ท่านก็สามารถไปถึงเนินตะวันได้ทันเวลาแน่นอน"

หากคำตอบของอินตีก็ยังไม่ได้ทำให้ดอนอัลฟองโซสบายใจ เขายังคงนั่งซึมอยู่



"แล้วนายไปรู้ประโยคนั้นมาจากไหน?"

เสียงเรียบๆ ดังขึ้นจากปากของมิเกลผู้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมวาวของหนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่ แต่อินตีไม่ตอบ

"...เฮ้ พวกเจ้านายท่านเล่าความลับของท่านมาแล้ว ถึงตานายบ้าง อินตี"

อินตียิ้มบางๆ เขาตัดสินใจเล่าความลับของเขาให้ทั้งสามฟัง

"ที่ผมรู้ เพราะผมมาจากดินแดนนั้นครับ"

ผู้ฟังทั้งสามลุกพรวด มิเกลทำท่าจะปรี่เข้าไปกระชากคอหนุ่มร่างใหญ่จนดอนอัลฟองโซต้องรั้งไว้

"ไอ้เวรนี่ มันรู้ทางอยู่แล้วยังปล่อยให้พวกเราต้องมางมกันอีก ปล่อยผมเถอะครับ ท่าน ขอผมจัดการมันหน่อย ผมจะเค้นเอาเส้นทางจากมันมาให้ได้"

นายจ้างทั้งสองพากันพูดให้ลูกจ้างหนุ่มใจเย็นและรับฟังต่อ

"ผมแค่บอกว่าผมมาจากที่นั่น แต่ไม่ได้บอกว่าผมรู้ทางครับ แม่ของผมพาผมออกมาจากที่นั่นตั้งแต่ผมอายุได้ 2 ขวบ..."



อินตีเล่าว่าแม่ของเขาพาเขาเร่ร่อนไปตามเมืองนั้นเมืองนี้อยู่สามสี่ปีจนกระทั่งมาถึงคุสโก้ ซึ่งพวกเขาใช้ชีวิตกันบนท้องถนน จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ของเขาถูกคนเมาพยายามข่มขืนและถูกแทงเมื่อต่อสู้ขัดขืน ตัวเขาเองที่ยังเด็กมากก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แค่ร้องไห้อย่างเดียว เสียงร้องของเขาทำให้บาทหลวงที่อยู่ในโบสถ์ข้างๆ ตรอกนั้นออกมาช่วย แต่บาดแผลของแม่เขาก็ร้ายแรงเกินกว่าจะยื้อชีวิตไว้ได้

"...ก่อนตาย แม่เอานี่ให้ผม"

อินตีล้วงผ้าดิบสีมอที่เปรอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลออกมาจากอกเสื้อข้างซ้ายตำแหน่งที่แนบกับหัวใจ เขาคลี่มันออก ภายในเป็นภาษาเก็ตชวาที่เขียนด้วยตัวละตินอย่างสวยงาม

"มันคือประโยคที่อยู่ในแผนที่ของคุณชายครับ แม่ผมเคยให้ผมท่องจำและเล่าให้ผมฟังตลอดว่ามันเป็นประโยคที่ชาวเมือง Hanan Pacha ทุกคนต้องท่องจำเผื่อสักวันได้ออกมาสู่โลกภายนอกและจะได้หาทางกลับบ้านถูก แม่ตั้งชื่อผมว่า อินตี ซึ่งเป็นนามของสุริยะเทพเพื่อที่ว่าผมจะได้จำได้ว่าตัวเองมาจากไหนและต้องกลับไปเมื่อไหร่"


'จงท่องจำมันไว้เผื่อสักวันลูกมีโอกาสได้กลับไปยังดินแดนเกิดของลูก แต่ในตอนนี้ จงไปเรียนรู้สรรพวิชาจากโลกภายนอก จงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและสง่างาม และเมื่อพร้อม จงกลับไป กลับไปบ้านของเรา ไปเพื่อทวงสิ่งที่ควรเป็นของลูกคืน'



นี่คือสิ่งที่แม่ของเขาสั่งเสียไว้ หากอินตีเลือกที่จะยังไม่เล่าให้บรรดานายจ้างของเขาฟัง เขาบอกนายจ้างแค่ว่าแม่เขาเคยเล่าเส้นทางคร่าวๆ ให้เขาฟัง แต่มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าแผนที่ของฆวน กาโก้ อีกอย่าง เขาก็เด็กมากจนจำอะไรไม่ค่อยได้ เขาคิดว่าแม่เขาคงรอให้เขาโตกว่านั้นอีกนิดถึงจะเล่าให้เขาฟัง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ฝันกลางฤดูร้อน Pt.2 (ต่อ) ----




"เมื่อมีโอกาสได้เล่าเรียน ผมถึงเลือกเรียนโบราณคดีเพื่อตามหาร่องรอยของเมืองลับแลนั้นครับ แต่ก็ไม่ได้พบอะไรมาก พอปาเดรของผมตาย ผมเลยตัดสินใจกลับมาเปรูเพื่อหาทางกลับเมือง ตอนดอนคริสโตบัลมาชวน ผมดีใจมาก แต่ก็ดันมาเกิดอุบัติเหตุขึ้นเสียก่อน..."

อินตีบอกว่าหลายเดือนหลังจากนั้น เขารักษาตัวจนหายสนิทและพยายามตามรอยคริสโต้เข้าไปในป่า แต่เนื่องจากเวลาที่่ผ่านมานานเกินไปทำให้ร่องรอยต่างๆ หายไปเกือบหมด อีกทั้งหนทางนั้นยากลำบากเกินกว่าคนๆ เดียวจะฟันฝ่าไปได้ ทำให้เขาถอยออกมาก่อน และเมื่อเขาได้ยินว่ามีอีกคณะที่จะเดินทางไปหาเมืองลึกลับนั้น เขาจึงไม่รอช้าที่จะมาสมัครเดินทางไปด้วย

"ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าผมจะหักหลังหรือหนีหายไปไหนครับ เพราะจุดหมายปลายทางของผมเป็นที่เดียวกับพวกท่านแน่นอน"



นายจ้างทั้งสองระบายลมหายใจยาวออกจากปากเมื่ออินตีเล่าเรื่องของเขาจบ ทั้งคู่แสดงความเห็นใจต่อชายพื้นเมืองร่างใหญ่ และให้เขาสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่มีความลับต่อกัน และให้เขามาช่วยให้คำปรึกษาเรื่องเส้นทางเดินทางด้วย มิเกลอยู่หารือเรื่องเส้นทางเดินวันรุ่งขึ้นต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกจากกระโจมไป

คืนนี้พวกเขานอนบนเขาสูงที่ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้นอนกลางป่าทึบ เขาจึงให้เจ้านายทั้งสองได้นอนสบายๆ สองคนในกระโจมโดยไม่ต้องมีเหล่าพรานนอนกระหนาบ แต่หากเป็นคืนที่ต้องนอนกลางป่า เขาจะจัดให้นายทั้งสองนอนเป็นไข่แดงอยู่กลางวงล้อมของพวกเขา ที่มักจัดเป็นปกติคือดอนอัลฟองโซและท่านหญิงนอนตรงกลางกระโจม อินตีนอนประกบข้างคุณชาย ส่วนเขานอนข้างท่านหญิงโดยมีผ้าห่มผืนหนึ่งม้วนกั้นไว้ ที่จริงแล้วมาริโซลบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องกั้นผ้าก็ได้ เพราะตอนไปออกฟีลด์สำรวจแหล่งโบราณคดีในที่ต่างๆ เธอก็เคยต้องนอนกลางดินกลางทรายกับเหล่าเพื่อนนักสำรวจชายเหมือนกัน แต่มิเกลปฏิเสธลั่นและบอกว่ามันไม่เหมาะสม  พรานที่เหลือของเขาอีกสองคนนอนยาวทางหัวนอนและปลายเท้าของนายจ้าง แต่ถ้าเป็นไปได้เขาจะพยายามหาที่ตั้งค่ายซึ่งมีหินใหญ่หรือหน้าผาปิดหนึ่งหรือสองข้างเพื่อให้ง่ายแก่การดูแล

นอกกระโจมมีกองไฟที่จะสุมไฟรุมๆ ไว้ตลอดคืนเพื่อให้กลิ่นควันไฟไล่เหล่าสัตว์ให้ออกห่าง บรรดาลูกหาบผลัดกันกระจายนอนเป็นรูปวงกลมล้อมค่ายพัก มิเกลจัดให้มีเวรยามเฝ้าทั้งคืนกะละ 2 คน คู่ละ 3 ชั่วโมง โดยให้ลูกหาบถือปืนลูกซองสลับกันอยู่ยามคู่กับพรานของมิเกล คืนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยจนถึงเช้า



การเดินทางช่วงต่อไปของเขาเริ่มอย่างขลุกขลักบ้างเมื่อพวกเขาต้องค่อยๆ ไต่ลงจากเขาสูงชัน มีบางช่วงที่ต้องโรยตัวลงโดยใช้เชือก แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้แม้จะมีร่องรอยถูกแง่หินบาดกันบ้าง จากเขาสูงพวกเขาก็เข้าสู่ดงทึบอีกครั้ง แต่แม้มันจะทำให้เดินทางลำบากขึ้นและเคลื่อนที่กันได้ช้าๆ แต่มันก็ตัดปัญหาเรื่องการหาเสบียงและน้ำจืดซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ดอนอัลฟองโซเองก็กินง่ายขึ้น เขาไม่รังเกียจที่จะต้องกินกบเขียดหรือสัตว์เลื้อยคลานเหมือนช่วงที่เข้าป่าแรกๆ

พวกเขาเดินทางต่อไปยังเนินสามมรณะ ที่นั่นพวกเขาได้รู้ว่าทำไมพวกมันถึงได้ชื่อนั้น ท่ามกลางเหล่าเนินนั้นมีมรณะภัย 3 อย่าง สองอย่างแรกนั้นสามารถมองเห็นได้ ซึ่งก็คือ บ่อโคลนดูดและดงเถาวัลย์พิษ ซึ่งพวกเขาก็ผ่านมันมาได้ แต่อย่างที่สามนั้นมาแบบไร้รูปลักษณ์ โชคดีที่คืนก่อนหน้าท่านหญิงได้สังเกตเห็นอักษรแอซเต็คที่แปลว่าควันพิษบนแผนที่เหนือเนินที่สาม พวกเขาจึงได้หาทางอ้อมเลี่ยงเนินนั้นไป

การเดินทางของพวกเขาดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก ยิ่งพวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า พวกเขายิ่งพบสิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยได้พบมาก่อน พวกเขาเจอทั้งพืชและสัตว์ที่ประหลาดพิศดารเหนือจินตนาการ ทั้งลิงยักษ์ที่เดินสองขาเหมือนคน หมูป่าตัวใหญ่เท่าแม่วัว กิ้งก่าที่มีหนามขึ้นทั่วตัวและมีพิษร้ายแรง หรือพืชน้ำที่พ่นเข็มพิษใส่สัตว์น้ำที่ว่ายผ่านเผื่อให้ตายเน่าเป็นอาหารให้รากของมัน

ในคืนที่ 10 หลังลงจากสันเขา พวกเขาก็เสียลูกหาบไปเป็นคนแรก ลูกหาบผู้โชคร้ายคนนั้นอยู่ยามคู่กับอินตี แต่ในคืนนั้นทุกคนในค่ายหลับไปหมดโดยไม่รู้ตัว กระทั่งอินตีซึ่งไม่เคยหลับยามและมิเกลผู้ซึ่งปกตินอนไวขนาดที่เสียงเข็มตกก็สามารถทำให้เขาตื่นได้ แต่ในคืนนั้นทุกคนหลับยาวจนถึงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าลูกหาบที่อยู่ยามคู่กับอินตีหายไปเสียแล้ว



"งูใหญ่ครับ"

มิเกลพูดขึ้นอย่างหนักใจหลังจากสำรวจร่องรอยที่อยู่รอบค่ายพัก เขาเจอเกล็ดขนาดใหญ่ตกอยู่ข้างแง่หินใหญ่ที่มีรอยถูกครูด เขากับพรานอีกคนและนายจ้างทั้งสองที่อยากตามไปดูด้วยตามรอยต้นไม้เล็กๆ ที่ราบเป็นทางไปจนเจอศพของลูกหาบที่หายไป ร่างนั้นอ่อนปวกเปียกเพราะกระดูกถูกรัดจนหัก ทั้งตัวเขาถูกเคลือบไปด้วยเมือกเหนียว มันคงสำรอกเขาออกมาเพราะปืนลูกซองที่เขากำไว้ในมือแน่นมันเข้าไประคายเคืองท้อง พวกเขาฝังลูกหาบคนนั้นไว้กลางป่าและกลับมายังค่ายพัก

พวกเขาเร่งออกเดินทางต่อและคิดว่าคงปลอดภัยจากงูร้ายตัวนั้น หากฝันร้ายจากคืนก่อนก็ย้อนมาหลอกหลอนพวกเขาอีก แต่คราวนี้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมัน พวกเขาตั้งค่ายพักโดยมีหน้าผาล้อม และเปิดสู่ป่ากว้างเพียงด้านเดียว พวกเขาตัดไม้มาเสี้ยมปลายให้แหลมเหมือนหอกและปักหันหน้าออกไปทางแนวป่าเป็นแนวและยังมีบางส่วนที่ตั้งขึ้นชี้ฟ้า พวกเขาสุมไฟให้ลุกโชนกว่าทุกทีและเพิ่มเวรยามเป็น 4 คน แต่ทุกคนก็ยังคงเผลอหลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนคืนก่อน

"นายครับ ตื่นเร็ว มันมาแล้ว!"

มิเกลสะดุ้งสุดตัวและตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกสุดเสียงของอินตีที่อยู่ยามกะดึก เขาได้ยินเสียงขู่ฟ่อของงูที่ดังกว่าปกติหลายเท่า เขาเผ่นพรวดออกไปนอกกระโจมและเห็นอินตีกับเหล่าลูกหาบช่วยกันใช้ปืนยิงไปที่กลุ่มก้อนสีดำมะเมื่อมที่พยายามลากตัวเข้าในดงทึบ เขาโยนไฟฉายดวงใหญ่ที่ติดกับหม้อแบตเตอรี่ซึ่งจะใช้แค่ในยามจำเป็นให้หัวหน้าลูกหาบถือส่องไปที่กลุ่มก้อนนั้น ตัวเขาประทับปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ .375 โมเดล 70 ที่นายจ้างให้เขาไว้ใช้เป็นปืนประจำกายและเล็งยิงไปที่ส่วนศีรษะของงูใหญ่ที่บิดกายเร่าๆ อยู่ตัวนั้น ทุกคนที่มีปืนอยู่ในมือพากันช่วยยิงงูใหญ่ตัวดำมะเมื่อมตัวนั้น แม้กระทั่งดอนอัลฟองโซเองก็ยังลากปืน .275 ริกบี้ที่เขาแลกใช้กับท่านหญิงมาริโซลมาช่วยยิงด้วย แต่เหมือนกระสุนปืนยิงสัตวที่พวกเขาใช้เหมือนจะไม่ค่อยมีผลกับสัตว์เลือดเย็นประเภทงูนัก มันยังค่อยๆ ลากร่างที่บาดเจ็บของมันเข้าป่าไปอย่างช้าๆ อินตีทำท่าจะออกไปตามแต่มิเกลรั้งไว้

"สักพักก็สว่างแล้ว เรารออีกนิดแล้วค่อยตามเถอะ ดูจากสภาพแล้วมันไม่น่าจะไปได้ไกล"

พวกชาวคณะที่ยังขวัญเสียไม่หายพากันนับจำนวนสมาชิกว่ายังอยู่ครบแน่ จากนั้นพวกเขานั่งลงรอบกองไฟที่สุมฟืนเพิ่มให้ลุกโชนขึ้น พวกเขาจัดการกินอาหารเช้าเพื่อเตรียมออกล่างูใหญ่ต่อไป



"เล่ามาซิ อินตี มันเกิดอะไรขึ้น"

"พวกผมหลับกันหมดทุกคนเลยครับ ผมไม่รู้ว่าทำไม ผมชักสงสัยแล้วว่าเจ้างูตัวนี้มันอาจจะมีลมหายใจพิษหรือต่อมกลิ่นอะไรบางอย่างบนตัวที่ทำให้เหยื่อของมันหลับสนิท..."

เขาเล่าว่า เขารู้ตัวตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดิ้นของงูที่ถูกไม้แหลมที่พวกเขาปักไว้ทิ่มติดเข้าไปในตัว มันพยายามเลาะข้างผาเพื่อหลบไม้แหลมนั้นแล้ว แต่ไม่พ้น เขารีบลุกขึ้นเอาปืนมายิงงูใหญ่ตัวนั้นแต่เพราะไฟของค่ายเริ่มมอดลงเพราะไม่มีใครคอยเติมฟืนทำให้เขายิงไม่ถนัดเพราะความมืด เขาตะโกนเรียกมิเกลและคนอื่นๆ จากนั้นพยายามยิงให้เข้าส่วนหัวของงูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สุดท้ายมันก็เป็นอิสระจากหลาวที่ตำอยู่และลากร่างที่บาดเจ็บหนีไปจนได้

"แกเห็นชัดไหมว่าเป็นงูอะไร แล้วใหญ่แค่ไหน?"

อินตีเอามือลูบหน้าตัวเองและพยายามเรียกความทรงจำ

“ลักษณะมันคล้ายอะนาคอนด้าครับ แต่สีมันออกดำและเกล็ดมีสีเหลือบรุ้งเวลาโดนแสง สำหรับตัวนี้ ผมว่าขนาดมันใหญ่กว่าอะนาคอนด้าตัวไหนๆ ที่ผมเคยเห็น"

อะนาคอนด้าเป็นงูพื้นถิ่นของทางอเมริกาใต้ สายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือกรีน อะนาคอนด้า ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพบเจอกันคือประมาณห้าเมตรเศษ แต่มักมีผู้คนเล่าขานเรื่องราวเกี่ยวกับงูอะนาคอนด้ายักษ์ที่มีความยาวกว่าสิบเมตร เท่าที่กะดูจากสายตา เขาคิดว่าเขาเจองูในตำนานเข้าให้แล้ว



แสงสีทองเริ่มเรืองรองขึ้นเหนือขอบฟ้า มิเกลเตรียมจัดทีมออกไล่ล่างู นายจ้างทั้งสองแสดงความจำนงค์อยากไปจัดการงูด้วย มิเกลทิ้งลูอิส พรานมือขวาของเขาไว้ที่ค่ายโดยจัดขวากหนามตั้งรับให้หนาแน่นกว่าคืนก่อน และนำขวากไปติดไว้ตามผนังผาอีกด้วย อีกทั้งให้จุดไฟไว้แม้จะเป็นเวลากลางวัน ส่วนเขา อินตี และโฆเซ่ พรานพื้นเมืองอีกคนหนึ่งจะออกตามรอยงูที่บาดเจ็บ

“เอานี่ไป มิเกล”

ดอนอัลฟองโซยิ้มเย็นพร้อมกับส่งของในมือให้พรานหนุ่ม

“ต้องใช้จริงๆ เหรอครับ?”

มิเกลขมวดคิ้วและรับไดนาไมท์แท่งไม่ใหญ่นักมาจากมือนายจ้างและเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายเล็กข้างตัว

“…เอาไปก่อน เผื่อลูกปืนใช้ไม่ได้ผล”

ในตอนแรกที่จัดเตรียมสัมภาระก่อนออกเดินทางจากคุสโก้ มิเกลงงเล็กน้อยเมื่อเห็นนายจ้างขนพวกวัตถุระเบิด ทั้งไดนาไมท์และทีเอ็นทีมาจำนวนหนึ่ง ในตอนแรกเขาคิดว่าไม่จำเป็น หากดอนอัลฟองโซอ้างว่าอาจต้องใช้ระเบิดหิน แต่หลังจากคุยเปิดใจกันบนสันเขา มิเกลจึงได้เข้าใจว่าดอนอัลฟองโซพกวัตถุระเบิดมาเพื่อใช้ในกรณีที่ต้องทำสงครามชิงตัวเชลยนั่นเอง



พวกเขาตามรอยงูใหญ่ตัวนั้นเข้าไปในพรุกว้าง รอยเลือดที่ชัดเจนในตอนแรกกลายเป็นจางหายเมื่อเข้าสู่เขตทุ่งที่ถูกน้ำท่วม มิเกลยืนเกาหัวอยู่หน้าหนองน้ำแห่งหนึ่ง รอยมันมาหยุดที่ตรงนี้

"ถ้ามันลงน้ำไปแล้วก็คงตามยากแล้วครับ"

เขาถอนหายใจและหันหลังเดินกลับมาหาเจ้านายที่ยืนรออยู่ด้านหลัง

"กัปปิตัน ระวัง!"

เสียงทุ้มแหบตะโกนใส่เขาพร้อมกับเสียงน้ำแตกซ่านด้านหลัง มิเกลรีบทิ้งตัวหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วทำให้ร่างดำมะเมื่อมที่ฉกวูบลงมาพลาดเป้าอย่างจัง เขารีบลุกขึ้นและสะบัดปืนที่สะพายอยู่ขึ้นประทับบ่า หากเสียงปืนจากกลุ่มด้านหลังก็ดังขึ้นก่อนที่เขาจะทันยิง เขารีบหลบออกให้พ้นวิถีกระสุนและเริ่มเปิดฉากยิงเข้าใส่งูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นในชีวิต มันยาวกว่าสิบห้าเมตรเป็นแน่แท้ อาจยาวถึงยี่สิบเมตรด้วยซ้ำ ลำตัวของมันอวบใหญ่ประมาณหนึ่งคนโอบ เกล็ดสีดำเหลือบรุ้งของมันส่องประกายในแสงตะวันยามเที่ยง มันพยายามพุ่งเข้าใส่คณะไล่ล่า แต่ความบาดเจ็บที่มันได้รับจากคืนก่อนทำให้มันช้าลงกว่าที่ควรจะเป็นมาก ทั้ง 5 คนในคณะไล่ล่ากระจายตัวกันยืนเป็นรูปพัดทำให้เจ้างูใหญ่สับสน มันแว้งฉกทางนั้นทางนี้แต่ก็ไม่ประสบผล

"พยายามยิงให้เข้าหัวมัน!"

มิเกลตะโกนสั่งพร้อมสาดกระสุนใส่อีกชุดหนึ่ง งูยักษ์เริ่มอ่อนแรงลง เลือดสีแดงเข้มจนเกือบดำของมันสาดกระจายไปทุกทิศทาง กระสุนของใครสักคนเข้าที่ดวงตาของมันทำให้มันตาบอดไปข้างหนึ่ง เสียงขู่ฟ่อของมันเบาลงเป็นลำดับ หางของมันกวาดวาดช้าๆ จนสุดท้ายส่วนหัวที่ชูร่าของมันก็หมอบราบกับพื้น คณะไล่ล่ารอพักใหญ่จนแน่ใจว่ามันสิ้นฤทธิ์แน่แล้ว ท่านหญิงถึงขั้นยิงปืนใส่หัวขนาดใหญ่เท่ากระบุงใหญ่ๆ ของมันอีกสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ มิเกลปาดเหงื่อ เจ้างูตัวนี้ทำพวกเขาหมดพลังงานไปเยอะทีเดียว

"ฉันไม่ชอบพวกตัวไม่มีตีนพวกนี้จริงๆ ฉันยอมเจอเสือเจอหมียังดีกว่า"

ท่านหญิงทำท่าทีขนลุกเมื่อเดินเข้าไปดูเจ้างูยักษ์ใกล้ๆ เธอวัดขนาดงูและจดลงใส่สมุดที่พกติดตัว จากนั้นสำรวจนั่นนี่จนพอใจ คณะไล่ล่าจึงเดินทางกลับไปยังค่ายพัก



"นั่นเสียงอะไรน่ะ มิเกล?"

ดอนอัลฟองโซถามขึ้น พวกเขาอยู่ห่างค่ายพักไม่ไกลเมื่อได้ยินเสียงเหมือนประทัดดังมาจากทางค่าย มันดังสองสามครั้ง ก่อนที่จะเงียบหายไปจนเขานึกว่าหูฝาก จากนั้นก็ดังขึ้นอีก ทีนี้มันรัวเป็นตับให้ได้ยินชัดเจน มิเกลตาเบิกโพลง

"เสียงปืน ทุกคน เร็ว รีบกลับไปที่ค่าย"

ทั้งห้าคนรีบรุดเดินทางฝ่าดงไม้ไปที่ค่าย เมื่อพ้นดงไม้ไปถึงที่โล่งอันเป็นที่ตั้งค่ายพักเขาต้องตะลึงเมื่อเห็นงูยักษ์อีกตัวหนึ่งพยายามฝ่าแนวกั้นของขวากที่เขาวางดักไว้ ไวกว่าความคิด พวกเขายกปืนขึ้นเล็งและรัวยิงเข้าไปที่งูตัวนั้น มิเกลตะโกนสั่งคนในค่ายลั่นให้หลบออกให้พ้นวิถีกระสุน งูใหญ่แว้งกายเข้าหาทั้ง 5 คนอย่างรวดเร็ว งูตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวที่พวกเขาเพิ่งจัดการไปเกือบครึ่งและเร็วกว่ามาก ทั้งห้าคนกระจายตัวออกวิ่งหลบหลีกการโจมตีของมัน

"นาย ระวัง มันมีพิษ!"

เสียงลูอิสตะโกนเตือนมาจากในค่าย ทั้ง 5 คนรู้สึกมึนงงขึ้นมาในทันใดเมื่อเจ้างูยักษ์พ่นไอบางอย่างออกมาจากปาก พวกเขารีบหาผ้าหรือสิ่งอื่นเท่าที่จะหาได้มาครอบปิดปากจมูกไว้และระดมยิงงูต่อไป



มิเกลวิ่งไป ยิงไป หลบไปหลบมาในดงหินนี้มาครู่ใหญ่แล้ว เขาหยิบกระติกมาเทน้ำใส่ผ้าขนหนูที่พกติดตัวและมัดให้ปิดปากและจมูก เขาตะโกนสั่งอินตีกับโฆเซ่ให้พานายจ้างเข้าที่มั่นไปก่อน ก่อนจะโผล่หัวมายิงใส่เจ้างูที่ทำท่าจะกลับไปโจมตีค่ายใหม่​

ขณะที่เขาหยุดหอบหายใจอยู่หลังก้อนหินใหญ่ มิเกลพลันถูกกระชากลอยขึ้นทั้งตัว หางของเจ้างูร้ายแอบซอกซอนเข้ามาหลังก้อนหินที่เขาซ่อนอยู่และตวัดรัดกายเขาไว้แน่น เขารู้สึกถึงกล้ามเนื้ออันทรงพลังที่กระชับแน่นเข้าทุกที เขาหลับตา ชีวิตเขาคงจบสิ้นลง ณ วันนี้

พรานหนุ่มแก้วหูลั่นเปรี๊ยะเมื่อกระสุนขนาด .300 พุ่งแหวกอากาศไม่ห่างจากตัวเขาเข้าสู่หัวของงูร้ายที่อ้าปากรอส่งเหยื่ออย่างเขาเข้าปาก ท่านหญิงมาริโซลประทับปืนของเธอและส่งกระสุนเข้าหัวเจ้างูร้ายเป็นชุดจากที่หน้าค่าย เขารู้สึกได้ว่างูยักษ์คลายการรัดลงบ้าง แต่ที่ช่วยชีวิตเขาไว้คืออินตี หนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่ปรี่เข้ามาใช้มีดขนาดใหญ่ของตนกระหน่ำฟันลงไปที่ลำตัวของงูที่รัดร่างเขาอยู่



"อินตี ระวัง!"

เขาตะโกนลั่นเมื่องูใหญ่แว้งฉกลงที่ชายหนุ่มลึกลับ หากเจ้าตัวกระโดดหลบทัน แต่เหมือนกับว่าเขาจะโดนไอพิษของมันจนล้มกลิ้งไปบนพื้น มิเกลที่มือเป็นอิสระแล้วข้างหนึ่งดิ้นรนจนหยิบปืนสั้นที่คาดติดเอวมาบรรจงยิงเข้าปากที่อ้ากว้างของเจ้าสัตว์ไม่มีตีนตัวใหญ่จนหมดทั้งหกนัด มันทะลึ่งพรวดและดิ้นอย่างทุรนทุราย กระสุนของมิเกลทะลุเพดานปากและเข้าสู่สมองของมัน อสรพิษร้ายปล่อยเขาตกลงกับพื้น มิเกลไม่รอช้า วิ่งไปหยิบไรเฟิล .375 ของเขาที่ตกอยู่บนพื้นและจ่อยิงเข้าที่หัวของงูที่แทบจะหมอบราบบนพื้นจนหมด เมื่อแน่ใจว่ามันสิ้นฤทธิ์แล้ว เขารีบวิ่งไปดูอาการของอินตีซึ่งนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น เขารีบยกศีรษะชายพื้นเมืองรูปงามขึ้นพาดตักและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าและจมูก

"เฮ้ อินตี ฟื้นสิ"

เขาตบแก้มซูบตอบนั้นเบาๆ แต่ชายร่างใหญ่ก็ยังไม่ฟื้น เขาเริ่มร้อนใจและเอื้อมหยิบชุดปฐมพยาบาลเล็กๆ ที่ติดเป้ไว้ออกมา เขาเทแอมโมเนียลงบนสำลีและจ่อไปที่ใต้จมูกโด่งเป็นสันนั้น ไม่นานหนังตาที่ประดับด้วยขนตาเป็นแพยาวก็กระตุกพริ้ว

"เหม็น!"

คนที่เพิ่งฟื้นคืนสติบ่นเบาๆ เขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเขาก็ทำเป็นลุกไม่ไหวแล้วนอนหนุนกลับไปบนตักนั้นใหม่ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมเข้มนั้น มิเกลซึ่งไม่ได้สังเกตถึงอาการของชายร่างใหญ่ก็ปล่อยให้หนุ่มพื้นเมืองที่เพิ่งช่วยชีวิตตนนอนต่อไป

"ฉันบอกแกให้ไปดูแลเจ้านาย ไม่ใช่ให้มาช่วยฉันแบบนี้"

มิเกลบ่นขึ้น

"ฉันบอกแกหลายหนแล้วว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้านาย ฉันน่ะเอาตัวรอดได้"

เขาจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่อินตีปรี่เข้ามาช่วยเขาอย่างไม่ใส่ใจชีวิตตนเอง

"สำหรับผม กัปปิตันสำคัญที่สุด"

เสียงทุ้มแหบลอดออกมาจากริมฝีปากบางได้รูปเบาๆ หากมิเกลเหมือนจะไม่ได้ยินเพราะเขามัวแต่สนใจกับนายจ้างที่เร่งรีบเดินออกมาหาเขาจากในค่าย อินตีถอนหายใจและค่อยๆ ยันร่างลุกขึ้นจากตักนั้น พวกเขารีบเดินออกไปสมทบกับนายจ้าง ท่านหญิงเข้ามาดูงูอย่างสนใจเช่นเคย มันมีสีดำเหลือบรุ้งเช่นเดียวกับตัวที่พวกเธอจัดการไปที่พรุ แต่บนหัวมันมีลายรูปแปดเหลี่ยมสีแดงชาดอยู่ ท่านหญิงขอให้มิเกลเก็บเกล็ดตัวและเกล็ดหัวที่มีสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือให้เธอ 2-3 ชิ้น หลังจากวัดขนาดและสังเกตนั่นนี่จนพอใจแล้ว ทุกคนก็พากันเดินกลับที่ตั้งค่าย




----------------------------------------------



ยังจบไม่ลงตามเคย แหะๆๆ แต่น่าจะจบได้ในสี่ตอนค่ะ




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt. 3 ----




ท่านหญิงมาริโซลจับพรานหนุ่มทั้งสองคนตรวจเช็คอาการ ทั้งคู่ยังมีอาการมึนงงอยู่บ้างเนื่องจากไอพิษของงู อินตีฟกช้ำดำเขียวจากการล้มกระแทกพื้น ส่วนมิเกลมีอาการปวดตามเนื้อตัวจากการโดนรัด นับว่าโชคดีที่งูเสียสมาธิไปเพราะโดนยิงและโดนฟัน ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนรัดจนกระดูกแหลกเหลวไปทั้งตัวอย่างแน่นอน

มิเกลเรียกลูอิสมาสอบถาม และได้ความว่าระหว่างที่พวกเขาเฝ้ารอการกลับมาของเหล่านายจ้าง พวกเขาก็รู้สึกมึนงงและง่วงนอน ลูกหาบบางคนก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว ลูอิส พรานมือขวาของมิเกลเห็นท่าไม่ดีจึงรีบบอกคนที่ยังมีสติอยู่ให้หาผ้ามาปิดปากจมูกและสุมไฟเพิ่ม ไม่นานเขาก็เห็นงูขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต มันพยายามบุกฝ่าขวากที่พวกเขาติดตั้งไว้ มันยิ่งบ้าคลั่งและอาละวาดหนักเมื่อเข้ามาไม่ได้ พวกเขาใช้ปืนไรเฟิลและปืนลูกซองที่มียิงใส่มัน แต่เหมือนไม่ค่อยเห็นผลนัก มันเริ่มทำลายขวากหนามที่ติดตั้งไว้ได้ ถ้าพวกนายจ้างกลับมาช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย พวกเขาคงตกเป็นเหยื่อของมันแล้วแน่แท้

“แสดงว่าตัวที่มีพิษคือตัวนี้สินะ”

ดอนอัลฟองโซเปรยขึ้น

“ดูท่าจะเป็นแบบนั้นครับ ตัวที่เราตามรอยไปน่าจะเป็นตัวเมีย ไม่ก็ตัวลูก ส่วนตัวที่มีพิษคือตัวผู้ที่มีลายสีแดงบนหัว ผมหวังว่าเราจะไม่ต้องเจอมันอีก”

แม้ปากจะพูดอย่างนั้น ในคืนนั้น มิเกลยังคงจัดค่ายพักและเวรยามแน่นหนาเหมือนคืนก่อนหน้า แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยจนถึงเช้า



นายจ้างทั้งสองตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น พวกเขากินอาหารเช้าที่อินตีจัดเตรียมให้ นอกจากจะมีฝีมือเชิงพรานแล้ว หนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่คนนี้ยังเป็นเลิศทางการครัวอีกด้วย อาหารของนายจ้างเช้านี้คือปลาย่างกับมันป่า เขาปรุงรสปลาด้วยเกลือและพริกที่เก็บมาจากระหว่างทาง ส่วนมันป่านั้น เขานำไปต้มแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นผัดเร็วๆ ใส่แฮมสเปนหั่นฝอยลงไปเพื่อให้รสชาติ และโปะไข่ดาวที่ทำจากไข่ของไก่ป่าที่หาเจอระหว่างทาง

"อร่อยเหมือนเคยนะ อินตี"

ท่านหญิงชมเปาะ เธอไม่นึกว่าจะได้กินอาหารดีๆ แบบนี้ในป่า เจ้านายทั้งสองนั้นไม่เรื่องมากเรื่องอาหาร เขากินอาหารแบบเดียวกับที่เหล่าพรานและลูกหาบกินแม้ดอนอัลฟองโซจะมีปัญหาเรื่องกินพวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยในช่วงแรกไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่วัตถุดิบพร้อมและอยู่ในที่พักที่เหมาะต่อการทำอาหาร อินตีจะปรุงอาหารอย่างดีให้นายจ้างทั้งสองของเขา

"ของเมื่อคืนก็อร่อยนะ น้องหญิง"

ดอนอัลฟองโซพูดยิ้มๆ ค่ำวานพวกเขาได้ลิ้มรสไก่ฟ้าย่างยัดไส้เห็ดป่าและคีนัว ไก่ฟ้าตัวนั้นคือไก่เจ้าของไข่เมื่อเช้านี้ หลังจัดการงูร้ายเสร็จ อินตีและลูกหาบอีกสองคนเข้าไปหาอาหารในป่าและกลับมาพร้อมไก่ฟ้าตัวอ้วนปี๋สามตัวและไข่อีกจำนวนหนึ่ง เขายังได้พืชหัวอย่างมันป่าและรากต้น Wood Sorrel ซึ่งรสชาติคล้ายมันฝรั่งมาอีก เขาเก็บมันและรากต้น wood sorrel บางส่วนไว้เป็นเสบียง ส่วนใบของ Wood sorrel นั้นเขาเก็บไว้เคี้ยวยามกระหายน้ำ ส่วนไก่ป่านั้น ตัวหนึ่งเขาทำเป็นอาหารให้เจ้านาย ส่วนอีกสองตัวเขานำไปต้มและฉีกเนื้อใส่ในซุปมันฝรั่งกับผักป่าให้เหล่าพรานและลูกหาบกินกัน

ดอนอัลฟองโซเคยประหลาดใจเมื่อได้ลิ้มรสมันฝรั่งป่าเป็นครั้งแรก หากท่านหญิงมาริโซลได้เล่าให้ญาติผู้พี่ของเธอฟังว่ามันฝรั่งที่ผู้พี่ของเธอเห็นว่าเป็นอาหารพื้นถิ่นของยุโรปนั้น อันที่จริงมีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ และถูกนำกลับไปที่สเปนพร้อมกับเหล่ากอนกิสตาดอร์ หรือนักสำรวจชาวสเปนผู้ยึดครองทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ในช่วงศตวรรษที่ 16  เธอบอกญาติผู้พี่ของเธอว่าชนพื้นเมืองแห่งเทือกเขาแอนดีสกินมันฝรั่งมาหลายพันปีแล้ว

ในการเดินทางในป่าดิบทึบแบบนี้ หากรู้จักพืชอาหารแล้ว ลูกป่าเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตได้เป็นเดือนๆ อย่างสบายๆ มิเกลซึ่งคลุกคลีอยู่ในป่าแถบนี้ได้ไม่ถึงสิบปีก็อาศัยความชำนาญด้านนี้ของเหล่าลูกหาบและพรานพื้นเมืองทั้งสองของเขาในการหาพืชอาหาร พวกเขาเหล่านั้นล้วนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีประโยชน์ต่อการเดินทางครั้งนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น



"กาแฟครับ"

มิเกลรินกาแฟที่เขาต้มไว้บนกองไฟใส่ถ้วยกาแฟพลาสติกให้นายจ้างทั้งสอง ดอนอัลฟองโซดื่มกาแฟเสร็จแล้วเดินออกไปดูลูกหาบที่กำลังง่วนกับการจัดข้าวของใหม่

"ผมให้เขาจัดของใหม่ครับ ตอนนี้ลูกหาบของเราหายไปคน ผมดูๆ แล้ว ข้าวของเราก็ลดจำนวนไปบ้างแล้ว ก็เลยจะยุบให้เหลือ 4 ลัง"

เขาบอกว่าหัวหน้าลูกหาบของเขานั้นยิงปืนได้ดี ก็เลยจะให้มาถือปืนลูกซองเดินประกบท้ายขบวนกับอินตี ส่วนตัวเขาและลูอิสจะเดินนำหน้านายจ้างทั้งสอง โฆเซ่เดินตาม จากนั้นเป็นขบวนลูกหาบและมีอินตีกับหัวหน้าลูกหาบปิดท้าย เมื่อรายงานเสร็จแล้ว มิเกลขอตัวไปจัดการกับข้าวของต่อ



ดอนอัลฟองโซยิ้มอย่างพอใจ อดีตลูกน้องของเขาคนนี้ยังคงจัดการอะไรเป็นระบบระเบียบเหมือนตอนเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเขาไม่มีผิด มิเกลเคยเป็นลูกน้องที่เขาไว้วางใจ แต่เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของลูกน้องหนุ่มเมื่อพวกเขากลับจากภารกิจด้านการข่าวที่เมืองเกร์นิกาในแคว้นบาสก์หลังการทิ้งระเบิดทางอากาศในปี 1937 จากนายทหารหนุ่มที่มีแววตาสดใสและกระตือรือร้นในการสู้รบ มิเกลกลับมาจากเมืองนั้นด้วยแววตาของคนที่ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมา กองร้อยของเขาเคยผ่านการรบกับทหารฝ่ายรีพับลิกันมาก็จริง ฆ่าฟันทหารอีกฝ่ายไปก็เยอะ แต่ที่เมืองเกร์นิกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการสื่อสารของฝ่ายรีพับลิกันในดินแดนทางเหนือนั้น คนที่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดนั้นมีพลเรือนผู้บริสุทธิ์รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก และในจำนวนนั้นรวมถึงผู้หญิงและเด็กเล็กๆ การระเบิดครั้งนั้นจงใจมุ่งเป้าไปที่พลเรือนเพื่อเป็นการสั่งสอนให้หลาบจำว่าห้ามสนับสนุนฝ่ายรีพับลิกันเช่นนี้อีก แม้จะมีการสรุปว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงร้อยกว่าคนเศษ หากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ตามมาภายหลังนั้นสูงกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว



ที่หมู่บ้านนั้น มิเกลทิ้งหน้าที่ของตัวเองในฐานะทหารฝ่ายชาตินิยม เขาและลูกน้องจำนวนหยิบมือที่แฝงตัวเข้าไปหาข่าวในเมืองก่อนที่กองทหารฝ่ายชาตินิยมจะรุกคืบเข้ายึดเมืองได้เข้าช่วยเหลือเหล่าผู้บาดเจ็บที่ร้องระงมอยู่ใต้ซากปรักหักพังอย่างขะมักเขม้น เขาหลั่งน้ำตาออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อไม่สามารถช่วยเด็กน้อยคนหนึ่งที่ถูกฝังไว้ใต้บ้านที่ถล่มลงทับได้ เขาได้ยินเสียงเล็กๆ ที่ร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่เห็นตัว เขาขุด ขุด และขุด แต่ก็ไม่ถึงตัวเด็กคนนั้น เขาได้แค่คอยพูดปลอบใจและฟังเสียงของเด็กน้อยที่ค่อยๆ เบาลงจนเงียบสนิท มิเกลเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนั้น เขามองสงครามครั้งนี้ว่าสร้างแต่ความสูญเสีย และเข้าสู่การรบอย่างซังกะตาย แต่ก็ทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างไม่บกพร่อง และในปี 1938 ในช่วงที่ว่างเว้นจากการศึก เขาขอลากลับบ้านและไม่หวนกลับไปอีก

แปดปีให้หลัง มิเกลไม่เคยนึกเลยว่าจะได้มาพบปะกับศัตรูเก่าอย่างอินตีและอดีตผู้บังคับบัญชาอย่างดอนอัลฟองโซ แม้จะอึดอัดใจในช่วงแรก แต่ก็เป็นอย่างที่นายเก่าของเขาได้พูดไว้ ในช่วงสงครามกลางเมือง พวกเขาล้วนเป็นตัวเบี้ยและไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเกลียดชังหรือแค้นใจอะไรกัน ในตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของคณะเดินทางที่ร่วมเป็นร่วมตายกันบนเส้นทางอันแสนทรหดนี้



"คุณชาย ระวังครับ!"

โฆเซ่ซึ่งเดินตามหลังดอนอัลฟองโซร้องลั่นเมื่อเห็นเท้าของนายจ้างเหยียบไปบนหินก้อนเล็กๆ ที่หมิ่นเหม่อยู่ที่ริมผา แต่ก็ช้าเกินไป เท้าของชายสูงศักดิ์เหยียบหินนั้นและเสียหลักเซถลาลง ร่างของท่านเคาท์หนุ่มตกวูบลงจากขอบแท่นหินอันแคบเล็ก มิเกลซึ่งเดินนำหน้าอยู่ใจหายวาบเมื่อได้ยินเสียงนั้น เขารีบหยุดและแนบหลังไปกับหน้าผาชันซึ่งคณะเดินทางกำลังเดินเรียงเดี่ยวแนบริมผานั้น เขาใช้มือรั้งเชือกที่เอวซึ่งผูกติดกับสมาชิกในคณะเดินทางเป็นพรวนเพื่อไม่ให้ท่านหญิงมาริโซลที่เดินตามหลังเขาเสียหลักตกไปด้วย เขาตะโกนลั่นบอกให้ทุกคนหันหลังแนบผาไว้ ส่วนโฆเซซึ่งไวทายาดนั้นคว้ามือของดอนอัลฟองโซไว้ได้ เขาและลูอิสที่เดินประกบหน้าหลังท่านเคาท์ค่อยๆ ดึงร่างสูงของชายสูงศักดิ์ขึ้นมา ดอนอัลฟองโซถึงกับเข่าอ่อนเมื่อขึ้นมาได้ วินาทีที่่เขาหล่นวูบลงไป เขานึกว่าเขาจะได้พบกับมัจจุราชเสียแล้ว

มิเกลปาดเหงื่อ การเดินทางบนเส้นทางนี้โหดกว่าที่เขาคิดมาก นับตั้งแต่เจองูยักษ์จนถึงวันนี้พวกเขาผ่านอุปสรรคสุดแสนอันตรายมาอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาข้ามทะเลสาบกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝูงจระเข้ พวกเขาเกือบม้วยมรณาด้วยก๊าซพิษที่พวยพุ่งออกมาเมื่อเฉียดผ่านเข้าไปในพื้นที่ๆ มีแหล่งความร้อนใต้พิภพ พวกเขาบุกผ่านทะเลทรายย่อมๆ ที่มีแต่หินและทราย พวกเขาเจอทะเลสาบน้อยๆ แต่น้ำของมันก็เค็มจัดเพราะเกลือที่ละลายปะปนจนดื่มไม่ได้ แต่ลูกหาบของเขาก็หาน้ำให้ได้จากต้นตะบองเพชรที่ขึ้นอยู่ในแถบนั้น

นับตั้งแต่ออกเดินทางจากคุสโก้มา พวกเขาใช้เวลาไปกว่าสองเดือนแล้ว เหลืออีกไม่ถึง 30 วันจะถึงเทศกาล Inti Raymi พวกเขาต้องเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงเนินตะวันทันเวลา มิเกลพาคณะเดินทางบ่ายหน้าลงจากผาสูงชัน ลงสู่ก้นหุบเขาแคบๆ ที่น่าจะเคยเป็นก้นแม่น้ำที่กัดเซาะให้เกิดโตรกผาสูงที่ขนาดสองข้างอยู่นี้ เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายแล้ว มิเกลหาสถานที่ๆ เหมาะสมสำหรับการตั้งค่ายพักในคืนนี้ เขากางแผนที่ของฆวน กาโก้ลงบนหินใหญ่ที่ราบเรียบเหมือนโต๊ะ

"ตอนนี้เราน่าจะอยู่บริเวณนี้ครับ"

เขาชี้ภาพแนวช่องเขายาวบนแผนที่ และชี้ให้ดูภาพป่าดิบทึบที่อยู่หลังผนังผาด้านซ้าย

"เราต้องหาทางตัดเข้าป่านี้ให้ได้ ในแผนที่บอกว่ามันมีอุโมงค์ลอดใต้หน้าผาตรงนี้ที่จะผ่านเข้าไปในดงทึบนี้ได้ แต่เท่าที่เดินมาผมยังไม่เห็นช่องทางที่ว่าเลย ผมกลัวว่ามันอาจจะถูกหินผาแถวนี้ถล่มปิดทางเข้าไปแล้ว"

ในแผนที่ีมีตัวหนังสือเล็กๆ กำกับถึงขนาดและจุดสังเกตหน้าอุโมงค์นั้น มิเกลบอกว่าพวกเขาเดินเลยจุดที่ควรจะมีอุโมงค์นั้นอยู่ไปแล้ว

"ผมว่าจะเดินกลับไปดูตรงดงหินที่เราเพิ่งเดินผ่านมาหน่อยครับ ดูๆ แล้วหินพวกนั้นน่าจะเพิ่งถล่มลงมาเมื่อไม่นานมากนัก มันอาจจะบังทางเข้าอุโมงค์ของเราไว้ก็ได้"

เขาบอกให้นายจ้างทั้งสองพักผ่อนรอที่ค่าย แต่ทั้งคู่ก็อยากจะไปสำรวจกับเขาด้วย มิเกลจึงให้ลูอิสคอยดูแลที่ค่ายโดยให้คอยระวังภัยเต็มที่เหมือนเคย ส่วนเขา โฆเซ่และอินตีนำนายจ้างทั้งสองบ่ายหน้าไปยังดงหินที่ว่า



"นายครับ ผมว่า..."

โฆเซ่ซึ่งเดินปิดท้ายเร่งฝีเท้าขึ้นมากระซิบข้างหูนายของเขา

"อือ ฉันรู้แล้ว กี่ตัว?"

"สองครับ ไม่น่ามากกว่านั้น"

มิเกลพยักหน้ารับและสั่งการเป็นภาษาเก็ตชวา โฆเซ่รับคำและเดินกลับไปรั้งท้ายด้วยท่าทีระแวดระวังกว่าเดิม มิเกลหันไปบอกนายจ้างของเขาให้เตรียมอาวุธให้พร้อม

"แมวใหญ่ครับ ไม่แน่ใจว่าคูก้าหรือพูม่า สองตัว มันตามหลังเรามาตั้งแต่เริ่มเข้าดงหินแล้ว"

นายจ้างทั้งสองรีบวาดกระบอกปืนจากที่สะพายไหล่อยู่มาอยู่ในท่าเตรียมยิง พวกเขาเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น สายตาของมิเกลจับจ้องไปตามโขดหิน เขาหยุดเป็นระยะๆ และวาดสายตาบนล่าง ซ้ายขวา ก่อนจะสืบเท้าเดินต่อไป

มิเกลหยุดกึกและยกมือเป็นสัญญานให้ทุกคนหยุดและหลบเข้าใต้เงื้อมหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ตัวเขาเองยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า เงาร่างหนึ่งเผ่นวูบจากหินบนเงื้อมผาลงมายืนบนหินใหญ่ซึ่งห่างไปเล็กน้อย เสือพูม่าตัวใหญ่เท่าเสือลายพาดกลอนแยกเขี้ยวคำรามใส่เขาอย่างดุร้าย มิเกลประทับปืนขึ้นบนไหล่อย่างใจเย็น เจ้าเสือร้ายทะยานกายพุ่งใส่เขาพร้อมๆ กับที่กระสุนปืนจากปลายกระบอกปืน .375 วินเชสเตอร์ของเขาพุ่งเข้าตัดสมองของมันอย่างเฉียบขาด มิเกลเบี่ยงกายหลบร่างอันใหญ่โตที่พุ่งลงมาตกฟุบอยู่ข้างกายเขา

หากก่อนที่เขาจะทันเข้าไปพิจารณาร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น เสียงกัมปนาทของไรเฟิล .30-60 ในมือของอินตีก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของมิเกลที่เซถลาไปเพราะแรงปะทะจากแมวใหญ่ตัวที่สอง นายจ้างทั้งสองร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจ แต่พรานหนุ่มก็ลุกขึ้นมาได้ กระสุนของอินตีตัดเข้าที่กระดูกต้นคอของมันและทำให้ร่างนั้นเป็นอัมพาตและตายกลางอากาศในทันที

"มายังไงเนี่ย"

พรานหนุ่มโคลงหัวดูเสือขนาดยักษ์ที่เกือบทำเขาสิ้นชื่อ

"ผมเห็นมันแอบอยู่หลังแง่หินตรงนั้นครับ แต่ติดกัปปิตันเลยยิงไม่ถนัด"

"แกเลยรอจนมันโดดใส่ฉันแล้วถึงค่อยยิง?"

มิเกลถาม อินตีพยักหน้าและยิ้มบางๆ ให้ มิเกลตบไหล่หนานั้น

"ทำดีมาก ถ้าเป็นฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน"



มิเกลพานายจ้างเดินไปยังจุดที่เขาสงสัยว่าน่าจะเป็นปากทางเข้าอุโมงค์ที่ว่า มันเป็นซอกหินขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ตรงปากทางที่แคบเล็กคือเศษหินซึ่งดูท่าว่าเพิ่งตกลงมาได้ไม่นานนัก แต่ก่อนที่เขาจะชี้ชวนให้นายจ้างดูสัญลักษณ์บางอย่างที่เขาสังเกตเห็น เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้น

มิเกลหันขึ้นไปมองบนยอดผาอย่างตกใจ ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งเขาเห็นตั้งหมิ่นเหม่อยู่บนนั้นลั่นดังเปรีี๊ยะและหลุดกลิ้งลงมาตามลาดผาอย่างรวดเร็ว เขารีบผลักร่างของนายจ้างทั้งสองออกจนพ้นแนวหินแต่ตัวเขานั้นพุ่งออกช้าเกินไป หินใหญ่ก้อนนั้นลอยละลิ่วมาหาเขา แต่ก่อนที่เขาจะถูกหินผาก้อนใหญ่นั้นบดขยี้ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ารวบตัวเขาไว้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองลอยขึ้นและตกกระแทกพื้นจนสลบไป

"โอ๊ย"

พรานหนุ่มซึ่งเพิ่งได้สติร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด เขาลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ในโพรงหินที่ค่อนข้างมืด มีแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามาจากซอกหินขนาดประมาณ 2 ฝ่ามือ เขาจับหัวส่วนที่กระแทกพื้นของเขาแล้วก็เบาใจที่ไม่ได้มีเลือดออก เขานิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักกดทับบนกาย  แต่สัมผัสนั้นอุ่นและไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนหินผา เขาคลำๆ ดูก็พบว่ามันเป็นร่างของมนุษย์ ตาของเขาเริ่มชินแสงสลัวและมองเห็นว่าเจ้าของร่างนั้นคืออินตี มิเกลอุทานออกมาเมื่อเห็นใบหน้านั้นโทรมไปด้วยเลือด เขารีบพลิกร่างที่ไม่ไหวติงนั้นให้นอนราบ เขาจับชีพจรและก้มลงฟังลมหายใจแล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก หนุ่มพื้นเมืองร่างใหญ่เพียงแค่สลบไป มิเกลเปิดเป้สนามแล้วล้วงเอาไฟฉายของเขาออกมาส่องดูสภาพของผู้ช่วยชีวิตของเขา

มิเกลถอนหายใจ หน้าผากบริเวณหางคิ้วซ้ายของหนุ่มร่างใหญ่แตกเป็นแผลยาวราวนิ้วเศษ เลือดยังซึมออกมาเป็นระยะ เขาเอาผ้าสะอาดที่มีติดเป้ไว้ชุบน้ำแล้วซับอย่างเบามือ แต่ก่อนที่เขาจะทันทำอย่างอื่น เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเขาและอินตีลอดเข้ามาเบาๆ ผ่านทางซอกหิน เขาเผ่นพรวดไปตะโกนเรียกชื่อนายจ้าง ไม่นานนักใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลของดอนอัลฟองโซก็โผล่มาให้เขาเห็น ท่านเคาท์หนุ่มบอกเขาว่าหินใหญ่นั้นถล่มปิดทางเข้าซอกหินที่เขาหลบอยู่โดยสิ้นเชิง แต่เขากำลังหาทางจัดการกับหินก้อนนี้อยู่



"นายเป็นยังไงบ้าง แล้วอินตีล่ะ อยู่กับนายรึเปล่า?"

มิเกลตอบรับและบอกเล่าอาการของอินตีให้ท่านหญิงที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังของดอนอัลฟองโซ ท่านหญิงมาริโซลให้คำแนะนำแก่มิเกล พรานหนุ่มรายงานสภาพในถ้ำที่เห็นและขอตัวไปดูชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาจัดการทำแผลให้โดยใช้ชุดปฐมพยาบาลในเป้หลังที่ท่านหญิงมาริโซลจัดมาให้อย่างพร้อมพรัก จากนั้นกลับมาหาท่านเคาท์หนุ่มที่รอท่าอยู่ มิเกลยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วบอกว่าอีกไม่นานจะค่ำแล้ว ท่านเคาท์ควรกลับไปพักผ่อนที่ค่ายพักก่อน

"ผมลองกวาดตาดูคร่าวๆ แล้ว โพรงนี้น่าจะเป็นอุโมงค์ที่ว่าครับ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงผม อย่างน้อยในคืนนี้พวกผมมีอากาศหายใจพอเพียงแน่นอน วันพรุ่งนี้เราค่อยมาหาทางจัดการกันครับ"

มิเกลพูดให้ความมั่นใจแก่ชายสูงศักดิ์ หากนายจ้างของเขาปฏิเสธ

"ฉันให้โฆเซ่หาที่ตั้งค่ายใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ อุโมงค์นี้ไว้แล้ว เดี๋ยวเราจะเดินกลับไปพาคนอื่นมาตั้งค่ายที่นี่แทนแล้วกันนะ เผื่อนายต้องการอะไรด่วนฉันจะได้จัดหาให้ทันท่วงที"

มิเกลครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วรับคำ เขาบอกท่านเคาท์ให้รีบรุดกลับไปที่ค่ายก่อนที่จะมืดเพราะเขาไม่แน่ใจว่ามีเสือใหญ่อย่างทั้งสองตัวนั้นอีกหรือไม่ ดอนอัลฟองโซรับคำและรีบรุดออกเดินทางโดยทันที พวกเขาต้องใช้เวลาเดินเท้าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงจะย้อนกลับมาที่หน้าอุโมงค์นี้ได้



"กัปปิตันครับ..."

เสียงแหบๆ ของร่างที่นอนอยู่บนพื้นเรียกเขาเบาๆ มิเกลรีบก้าวพรวดเข้าไปหาร่างใหญ่ที่พยายามจะยันตัวขึ้นนั่งและดันหลังให้กลับลงนอนเหมือนเดิม

"แกยังไม่ต้องรีบลุกเลย นอนลงไปก่อน"

ร่างกำยำนั้นยอมเอนกายนอนแต่โดยดี ใบหน้าคมสันนั้นขมวดคิ้วน้อยๆ และยกมือขึ้นแตะแผลที่ถูกผ้าก๊อซปิดไว้

"หน้าผากแกแตกน่ะ คงตอนกระแทกพื้น ทำไมถึงทำอะไรระห่ำขนาดนั้นวะ"

มิเกลบ่นลั่น เขาเคยบอกมันแล้วว่าให้ดูแลเจ้านายก่อน

"ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าฉันเป็นอะไรไป แกต้องเป็นคนพาเจ้านายเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง"

อดีตผู้กองหนุ่มถอนหายใจยาว เขาอุตส่าห์หวังพึ่งมัน แต่ถ้ามันมาตายพร้อมกับเขาเสีย ใครจะเป็นคนพานายจ้างทั้งสองเดินทางกัน พรานทั้งสองคนของเขาคงทำได้แค่พาทั้งคู่เดินทางกลับ

"ถ้ากัปปิตันเป็นอะไรไป ผมคงเดินทางต่อไปไม่ได้"

ร่างที่หลับตาพริ้มนั้นพึมพำออกมาเบาๆ มิเกลอึ้งไป

"นี่แกเห็นฉันเป็นที่พึ่งขนาดนั้นเลยเหรอ อินตี แกเองก็มีฝีมือพอตัว อาจจะดีกว่าฉันด้วยซ้ำ แกไม่ต้องมีฉันก็เดินทางเองได้นี่"

พรานหนุ่มเกาหัวอย่างงุนงง อินตีลืมตาคมวาวของเขาและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ใสกระจ่างดั่งดาวของมิเกล

"ถ้ากัปปิตันเป็นอะไรไป ผมคงเดินทางต่อไม่ได้เพราะผมคงไม่เหลือแรงใจที่จะทำอะไรต่อได้อีก"

คำพูดนั้นอีกทั้งสายตาอันเปี่ยมความรู้สึกที่จ้องมาทำให้มิเกลหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

"แกพูดบ้าอะไร หัวกระแทกจนประสาทกลับไปแล้วหรือไง?"

มิเกลเสียงสั่น เขาพยายามข่มใจที่เต้นระรัวให้สงบลง เขารู้สึกมาพักใหญ่แล้วว่าอินตีปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อคนอื่น แต่เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกับมัน เขาไม่เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมมันถึงมาพิศวาสอะไรเขานัก

ชายหนุ่มร่างใหญ่หัวเราะเบาๆ เขายันกายขึ้นนั่งพิงผนังหินแล้วก็ต้องนิ่วหน้าน้อยๆ มิเกลสังเกตเห็นอาการนั้น

"เจ็บตรงไหนอีกรึ?"

"ข้อเท้าขวาผมน่าจะแพลงครับ"

ร่างใหญ่โตนั้นพยายามยันกายขึ้นยืน เขาลองเดินโขยกเขยกพักหนึ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งด้วยใบหน้าเหยเก

"ไม่ถึงกับหักใช่ไหม?"

มิเกลถามอย่างเป็นห่วง อินตีส่ายหน้า มิเกลค้นๆ ในเป้หลังแล้วหยิบเอากางเกงเดินป่าขายาวที่เป็นชุดสำรองติดเป้ออกมาแล้วใช้มีดตัดขากางเกงออกเป็นชิ้นยาวๆ จากนั้นใช้มันพันเพื่อพยุงข้อเท้าของอินตีไว้ ชายพื้นเมืองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองใบหน้าคมสันที่ก้มหน้าก้มตาปฐมพยาบาลให้เขา มันทำให้เขาอดนึกถึงอดีตอันแสนนานมาแล้วไม่ได้



‘เฮ้ นาย เป็นอะไรมากไหม? เฮ้!’

‘…อย่าหลับนะ ห้ามหลับ มองหน้าฉันไว้ ฉันจะอยู่ข้างๆ นายเอง’




“เฮ้ เป็นอะไร? จ้องหน้าฉันอยู่ได้”

มิเกลดีดนิ้วตรงหน้าของอินตี ชาวพื้นเมืองร่างใหญ่ตื่นจากภวังค์และหัวเราะเบาๆ เขาไม่ตอบอะไรแต่ค่อยๆ ยันกายขึ้นยืนและลองสลัดเท้าข้างที่เจ็บพร้อมลองยืนแบบทิ้งน้ำหนักลงเต็มที่ เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อความเจ็บนั้นลดลง มิเกลเองก็ลุกขึ้นยืน เขายกนาฬิกาเดินป่าของตัวเองขึ้นดูเวลา

“คงอีกสักพักกว่าพวกคุณชายจะมาถึง เราลองสำรวจในโพรงนี้ดูดีกว่าว่าใช่ทางเข้าที่เราตามหาแน่หรือเปล่า”

อินตีส่งไรเฟิลและเป้หลังของมิเกลให้เจ้าตัวและเขาหยิบปืนและย่ามของตัวเองขึ้นสะพาย เขาเดินเขยกๆ ทำท่าจะนำหน้ามิเกล หากก็ถูกรั้งไว้

“แกยังเจ็บอยู่ไม่ต้องทำเก่ง”

ร่างที่เล็กกว่าแทรกตัวเข้าประคองเขาและปล่อยให้แขนขวาของเขาโอบไหล่เพรียวนั้น อินตีลอบมองใบหน้าที่อยู่ต่ำกว่าใบหน้าของเขา ผิวที่กร้านเกรียมคล้ำแดดและหนวดเคราที่ขึ้นเขียวไม่อาจปิดบังเครื่องหน้างามสมบูรณ์สมชายที่ดึงดูดสายตาเขาจนเผลอยิ้มกว้างให้ทั้งๆ ที่ยังเจ็บปวดในครั้งแรกที่ได้พบกัน คนๆ นั้นจะรู้ตัวบ้างไหมว่าได้เคยทิ้งรอยประทับไว้ในใจเขาคนนี้ อินตีเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างสันทัดที่ประคองเขาอยู่นั้นหยุดกึก

"เป็นอะไร? เจ็บขึ้นมาอีกเหรอ? อินตี แกนั่งพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันเดินไปสำรวจเอง"

ใบหน้านั้นดูร้อนใจ พรานพื้นเมืองหนุ่มรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากรวบร่างสันทัดนั้นเข้ามากอดแนบอกเหลือเกินแต่ก็ไม่อาจเอื้อมที่จะทำเช่นนั้น เขาส่ายหน้าเบาๆ และผละกายออกจากคนที่ประคองอยู่

"ไม่ครับ ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้กัปปิตันแค่นั้นเอง เดี๋ยวผมค่อยๆ เดินเองดีกว่าครับ"

"ไม่ได้เป็นภาระอะไรหรอก แล้วที่แกเจ็บตัวก็เพราะมาช่วยฉัน ฉันจะมองเป็นภาระได้ยังไง? แต่เอาเถอะ ถ้าแกสะดวกใจที่จะเดินเองมากกว่า ก็ตามนั้นแล้วกัน"

มิเกลพูดเบาๆ เขาเดินนำหน้าร่างใหญ่หนานั้นเข้าไปในโพรงหิน ทางเดินนั้นขยายออกเรื่อยๆ จนพวกเขาเข้ามาถึงคูหากว้างที่ประดับประดาไปด้วยหินงอกหินย้อย บนเพดานกลางคูหานั้นมีช่องแตกเป็นโพรงเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดลงมาให้ความสว่างแก่คูหานั้น ทั้งสองคนสังเกตเห็นรากฝอยของต้นไม้ห้อยย้อยลงมาจากปากโพรง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2017 21:24:14 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.3 (ต่อ) ----



"ด้านบนน่าจะเป็นป่านะ แกว่าไหม?"

อินตีพยักหน้าน้อยๆ เขาบอกว่าอุโมงค์นี้น่าจะใช่อุโมงสู่ป่าทึบที่พวกเขาตามหาเป็นแน่แท้ นอกจากรากฝอยของต้นไม้แล้ว ยังมีสายน้ำเล็กๆ ไหลตกลงมาเป็นสายจากโพรงนั้นลงสู่แอ่งน้ำที่มีน้ำสีออกขาวขุ่น น้ำจากแอ่งนั้นไหลออกไปตามทางน้ำที่ทอดยาวไปในความมืดมิดของอุโมงค์ ทั้งสองคนทำท่าจะเดินต่อไปตามอุโมงค์แต่ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อพวกเขาทั้งสองจากทางปากโพรง สมาชิกทั้งหมดของคณะเดินทางได้มาถึงและตั้งค่ายพักอยู่ไม่ห่างจากปากโพรงที่ถูกหินปิดทับเท่าไหร่

มิเกลหารือกับดอนอัลฟองโซเรื่องการจัดการกับหินก้อนใหญ่ที่ปิดปากโพรง ท่านเคาท์หนุ่มซึ่งนอกจากจะเป็นเสนาธิการในการรบแล้วยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการระเบิดอีกด้วยแนะนำว่าเขาจะใช้ระเบิดขนาดเล็กฝังตามรอยแตกของหินและระเบิดมัน แต่จะทำได้คงต้องรอวันรุ่งขึ้น เขาถามถึงสภาพภายในโพรงแห่งนั้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ

"ข้างในโพรงนี้ลึกมากครับ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องแรงอัดอากาศ ส่วนสภาพหินจากที่ผมประเมินจากสายตาแล้วคิดว่ารับการระเบิดได้ ผมห่วงแค่ว่าถ้าระเบิดแล้วจะมีหินผาหล่นลงมาอีกหรือเปล่า"

มิเกลกล่าวอย่างกังวล แต่ดอนอัลฟองโซบอกว่าเขาได้ให้คนขึ้นไปสำรวจมาแล้ว และคิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาอย่างก่อนหน้านี้ ท่านเคาท์หนุ่มสั่งให้ลูกหาบหาทางสกัดช่องแตกที่เขาใช้สนทนากันให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเพื่อที่จะส่งอาหารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างตะเกียงและผ้าห่มไปให้พรานทั้งสอง มิเกลเรียกพรานคู่ใจทั้งสองคนของเขามาสั่งการเรื่องการจัดค่าย เขากำชับทั้งสองคนให้ดูแลความปลอดภัยของนายจ้างให้ดีที่สุด

"งั้น คืนนี้พวกนายพักผ่อนเอาแรงก่อนเถอะ มิเกล พรุ่งนี้เช้าพอฟ้าสางแล้วเราค่อยมาจ้ดการไอ้เจ้าก้อนหินนี้กัน"

ดอนอัลฟองโซพูดและผละกลับไปยังค่ายพักที่อยู่ไม่ห่างออกไป



มิเกลเดินกลับมาที่คูหากว้าง เขาบอกอินตีให้นั่งรอเขาและไม่ต้องขยับตัวมากนัก เขาลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าพรานพื้นเมืองร่างใหญ่และส่งถ้วยบรรจุข้าวป่าหุงและเนื้อหมูป่าตากแห้งให้ อาหารในถ้วยนั้นมีปริมาณพอสำหรับสองคน

"แกกินก่อนเลย ฉันยังไม่หิว"

อินตีทำท่าอิดออดแต่สุดท้ายก็ต้องรับมา เขาใช้ช้อนสังกะสีกินมันช้าๆ และเก็บไว้ให้มิเกลมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด มิเกลรับอาหารที่เหลือมากินจนหมด จากนั้นก็ลุกไปจดๆ จ้องๆ ดูสายน้ำที่ไหลลงมาจากโพรงเบื้องบน น้ำจืดของเขาเกลี้ยงกระติกแล้ว ส่วนน้ำสำรองของคณะเดินทางก็เหลือไม่มากเพราะช่วงที่แล้วพวกเขาเดินผ่านที่รกร้างและมีแต่หินผา ถ้าน้ำนี้ดื่มได้ เขาก็จะได้คลายกังวลเรื่องน้ำสำรองของคณะไป พรานหนุ่มเขย่งกายเอื้อมมือที่ถือกระติกไปรองที่สายน้ำเย็นฉ่ำนั้น

อินตีลุกพรวดเมื่อได้ยินเสียงอุทานและเสียงน้ำแตกดังตูม เขาพุ่งพรวดไปที่ริมแอ่งน้ำนั้นและเตรียมกระโดดลงไปช่วยมิเกล หากร่างสันทัดนั้นโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำ แอ่งนั้นตื้นประมาณอกของเขาเท่านั้น พรานหนุ่มบ่นพึมแล้วปีนขึ้นมายืนตัวเปียกโชกอยู่ริมแอ่งน้ำ ดีที่เขาปลดเข็มขัดปืนสั้นและกระสุนทิ้งไว้บนเป้ก่อนที่จะตกน้ำไป

"กัปปิตัน ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?"

พรานร่างใหญ่ปรี่เข้ามาหาเขาพร้อมผ้าขนหนูบางๆ ในมือ มิเกลยกมือห้าม

"ไม่เป็นไร อินตี ไหนๆ ก็เปียกแล้ว ฉันก็ว่าจะอาบน้ำอาบท่าเลยแล้วกัน"

อินตีทรุดกายลงนั่งริมแอ่งน้ำนั้นแล้ววักน้ำขึ้นดูเพื่อให้แน่ใจว่ามันปลอดภัย

"เป็นน้ำมวกน่ะ สะอาด แถมยังเป็นน้ำร้อนอีกด้วย ฉันเดาว่ามันคงมีตาน้ำที่ไหลผ่านพวกแหล่งความร้อนใต้ดินมา แต่วางใจได้ มันคงไม่มีก๊าซพิษเหมือนที่เราเคยเจอ เพราะเท่าที่ติดในถ้ำนี้ฉันยังไม่ได้กลิ่นมันเลย"

มิเกลพูดยิ้มๆ นานๆ ทีได้อาบน้ำอาบท่าสบายๆ ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้เขามาใช้ชีวิตกับป่าดงมาหลายปี เขาก็ยังติดความสบายของคนในเมืองอยู่ดี เขาบอกอินตีว่าถ้าเปิดปากอุโมงค์ได้ เขาจะให้คนทำฉากกั้นเพื่อให้คุณชายกับท่านหญิงได้อาบน้ำสบายๆ ด้วยเช่นกัน



พรานหนุ่มถอนหายใจก้มดูเสื้อผ้าที่เปียกโชกของตัวเอง เขาถอดเสื้อและกางเกงเดินป่าออกบิดจนหมาด ก่อนจะดึงเชือกที่มีห้อยติดเป้ไว้มาขึงระหว่างแง่หินสองแท่งและผึ่งเสื้อผ้าเปียกไว้ อินตีมองร่างสันทัดที่อยู่ในกางเกงชั้นในแบบจ็อคกี้สีขาวสะอาดนั้นด้วยใจที่เต้นแรง ตลอดเวลาหลายปีที่เขามาอยู่ที่เปรู เขาเฝ้าติดตามมิเกลอยู่ห่างๆ เมื่อมีโอกาส เขาเห็นความเป็นไปของพรานผู้นี้มาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน เงาร่างของมิเกลก็ประทับในใจเขาตลอดมา เป็นเหมือนแรงใจที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้า และในระหว่างการเดินทางนี้ เขายิ่งได้เห็นนิสัยใจคอ ได้เห็นน้ำใจของอดีตนายทหารผู้นี้ เขายิ่งรักในตัวพรานหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ

อินตีรีบหลบตาเมื่อมิเกลหันร่างกลับมา ชั้นในสีขาวบางที่เปียกชุ่มของมิเกลนั้นแนบเนื้อทำให้เห็นอะไรๆ ชัดเจนไปหมด เจ้าตัวเองก็เหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน มิเกลชั่งใจว่าเขาจะลงน้ำทั้งๆ ชั้นในหรือไม่ แต่เขาคิดว่าสุดท้ายเขาก็ต้องถอดเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่อยู่ดี ตอนเป็นทหารเขาก็เคยเปลือยกายอาบน้ำกับเพื่อนร่วมรบมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องอายอะไรอีก เขาตัดสินใจถอดมันออกตากและหย่อนกายลงในแอ่งน้ำที่เป็นเหมือนอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ความอุ่นสบายของน้ำทำให้เขาครางออกมาเบาๆ อย่างสบายอารมณ์

"เฮ้ แกก็ลงมาอาบด้วยกันนั่นแหละ อาบเสร็จจะได้นอนซักที ตะเกียงเหลือน้ำมันไม่มากแล้ว"

อินตีชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าดิบแบบพื้นเมืองและกางเกงขายาวของเขาออก มิเกลแอบยิ้มเมื่อเห็นชั้นในแบบตะวันตกภายใต้เสื้อผ้าแบบพื้นเมืองนั้น เขานึกว่ามันจะใส่ผ้าเตี่ยวแบบพวกพรานพื้นเมืองของเขาเสียอีก แต่เขาก็ต้องหน้าแดงวูบและเบือนหน้าหนีเมื่อร่างใหญ่กำยำนั้นถอดกางเกงสีขาวตัวน้อยนั้นออก แม้เห็นเพียงแว่บเดียวก็ชัดเจนว่าอินตีนั้นใหญ่ไปทั้งตัวจริงๆ จนทำให้เขาอดอายไม่ได้

อินตีหย่อนกายลงในแอ่งน้ำร้อนนั้น มันสบายตัวอย่างที่มิเกลว่าจริงๆ เขาวักน้ำชำระล้างตามตัวก่อนจะนอนแช่อย่างสบายอารมณ์ อุณหภูมิของมันนั้นพอเหมาะไม่ร้อนเกินไป อาจเพราะสายน้ำเย็นที่ไหลรินจากด้านบนทำให้อุณหภูมิของมันพอดี มิเกลชวนอินตีคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องการเดินทาง เรื่องการมาใช้ชีวิตที่เปรู ไม่นานความผ่อนคลายทำให้มิเกลเริ่มง่วง



"มิเกล!"

อินตีเผลอเรียกชื่อคนที่หน้าคว่ำลงไปในน้ำ เขาโผพรวดไปดึงร่างเปลือยนั้นขึ้นมาแนบอก มิเกลหลับสนิทไปแล้ว อินตีถอนหายใจ เจ้าตัวเป็นเสียแบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาคอยดูแลได้อย่างไร เขากอดกระชับร่างนั้นแน่นให้ความรู้สึกนั้นประทับเข้าไปในใจ แล้วจึงค่อยๆ อุ้มร่างนั้นขึ้นวางบนขอบแอ่งและยันกายขึ้นจากน้ำ เขาเช็ดตัวให้มิเกลที่เหมือนจะหลับไม่รู้เรื่องแล้ว ก่อนจะใช้ผ้าผืนเดียวกันนั้นเช็ดร่างตนจนแห้งและนำมาพันปิดช่วงล่างของตนไว้ เขาดูเสื้อผ้าของมิเกลที่ตากไว้ มันยังไม่แห้งพอสวมใส่ได้ เขาจึงถือวิสาสะค้นเป้ของพรานหนุ่ม เขาใส่ชั้นในและเสื้อเดินป่าตัวใหม่ให้ แต่กางเกงของมิเกลนั้นถูกเจ้าตัวตัดเพื่อเอาผ้ามาพันข้อเท้าให้เขาไปเสียแล้ว เขาจึงเอากางเกงตัวเก่าของเขาใส่ทับให้ไปก่อน ส่วนตัวเขาใส่แค่ชั้นในและเสื้อพื้นเมือง

พรานพื้นเมืองร่างใหญ่พับผ้าห่มที่นายจ้างให้มาและประคองศีรษะของมิเกลขึ้นหนุน จากนั้นคลี่ผ้าห่มอีกผืนห่มให้ร่างสันทัดนั้น ตัวเขาหลังจากหรี่ไฟตะเกียงแล้วก็ลงทอดกายนอนเคียงตะแคงข้างอดีตร้อยเอกหนุ่ม มือของเขาเขี่ยไล้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่เริ่มยาวของมิเกลเบาๆ

"รู้ไหมครับ ตอนแรกที่ท่านดึงผมขึ้นมาจากซากปรักหักพังที่เกร์นิกานั้น ผมนึกว่าผมตายไปแล้วและท่านเป็นองค์เทพที่มารับผม"

อินตีเล่าเรื่องการพบกันครั้งแรกของเขาให้คนที่หลับไม่รู้เรื่องฟัง มิเกลอาจจะจำเขาไม่ได้ แต่เขาจำวันนั้นได้ไม่รู้ลืม ที่เกร์นิกาอาคารที่เป็นโรงนอนของอินตีและเพื่อนทหารถูกระเบิดเข้าอย่างจัง เพื่อนของเขาหลายคนตายไป ส่วนเขาถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังและนอนรอความตาย เขาได้แต่เฝ้าภาวนาต่อองค์เทพของเขาว่าถ้าเขาไม่อาจรอดออกไป ก็ขอความตายที่รวดเร็วและไม่ทรมาน หากในที่สุดก็มีแสงสว่างลอดเข้ามาในความมืดมิดที่ฝังเขาอยู่ ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบเขม่าและฝุ่นดินของมิเกลที่ชะโงกมาเรียกเขานั้นช่างงดงามเหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้



‘เฮ้ นาย เป็นอะไรมากไหม? เฮ้!’

ใบหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั้นทำให้อินตียิ้มกว้างกลับไปอย่างไม่รู้ตัว มิเกลเรียกลูกน้องของเขาซึ่งทนเห็นสภาพที่น่าอนาถของเมืองไม่ได้เช่นกันให้มาช่วยดึงร่างสูงเก้งก้างของชายหนุ่มที่เพิ่งพ้นเบญจเพศขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ร่างนั้นเต็มไปด้วยแผลถลอกปอกเปิก หากแผลใหญ่ที่สุดอยู่ที่ชายโครงซึ่งมีไม้เสียบทิ่มเข้าไป


‘…อย่าหลับนะ ห้ามหลับ มองหน้าฉันไว้ ฉันจะอยู่ข้างๆ นายเอง’

มิเกลตบหน้าชายหนุ่มที่ดูอ่อนแรงลงเต็มทีเบาๆ เพื่อเรียกสติ อินตีลืมตาขึ้นมามองหน้ามิเกล สายตาของเขาคอยจับจ้องไปที่ร่างนั้นจนกระทั่งหน่วยพยาบาลมาถึง เขาแทบลุกพรวดขึ้นเมื่อคนหนึ่งในหน่วยพยาบาลเกิดจำคนในหน่วยของมิเกลได้ว่าเป็นทหารฝ่ายชาตินิยม ทั้งสองฝ่ายเกือบชักปืนออกมายิงกันหากมิเกลยอมทิ้งปืนและตะโกนลั่นบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ในวันนี้ในฐานะประชาชนชาวสเปน ไม่ใช่ในฐานะทหารฝ่ายชาตินิยม เขาต้องการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ให้เพื่อนร่วมชาติด้วยกัน ไม่ใช่มารบ สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายชะงัก หลังจากนั้น อินตีที่ถูกฝ่ายพยาบาลหามไปหันไปมองมิเกลที่ทำการตามหาคนที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารต่อจนลับสายตา



"หลังจากผมหายดี ผมก็ออกตามหากัปปิตัน สิ่งเดียวที่ผมจำได้คือใบหน้าของท่านและชื่อกับยศที่ลูกน้องของท่านเผลอเรียกออกมา"

เขาเฝ้าตามหามิเกลอยู่นานนับปี จนในที่สุดพวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากันในการศึกที่เมือง Teruel ในฤดูหนาวที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของสเปน

กองร้อยของมิเกลถูกส่งเข้าไปเสริมทัพเพื่อโจมตีเมือง Teruel ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสเปนหลังวันปีใหม่ของปี 1938 หากกองทหารของฝ่ายชาตินิยมก็เพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายรีพับลิกันซึ่งยึดครองเมืองนี้แต่แรกอย่างรวดเร็ว มิเกลกำลังนำทหารของเขาที่แตกพ่ายจากการศึกหลบหนีออกมาทางนอกเมือง หากที่นอกเมืองนั้น อินตีและกองทหารของเขาก็ได้รับคำสั่งให้ดักซุ่มรอจัดการทหารที่แตกพ่ายออกมาจากในเมือง อินตีจำมิเกลได้แทบทันที เขาลุกพรวดขึ้นจากที่ซุ่มและเผยอยิ้มกว้างให้อย่างลืมตัว แต่ทันใดนั้น เขาก็ตวัดปืนขึ้นประทับบ่าและกระชากคานเหวี่ยงและยิงออกไปในทิศทางที่มิเกลยืนตะลึงอยู่

"ผมไม่ได้คิดจะยิงกัปปิตันเลย กระสุนนัดนั้นของผมเจาะกระโหลกของทหารฝ่ายผมที่กำลังจะยิงกัปปิตันจากด้านหลัง"

ในวันนั้น สุดท้ายแล้วมิเกลก็ต้องกระสุนของทหารฝ่ายรีพับลิกันคนอื่นแต่ก็ตะเกียกตะกายหนีกลับไปยังค่ายได้พร้อมลูกน้องที่เหลืออีกแค่หยิบมือ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าหากอินตีไม่ยิงทหารรีพับลิกันคนนั้นในวันนั้น เขาคงได้กลายเป็นผีเฝ้าการศึกที่มีทหารชาตินิยมสังเวยชีวิตไปนับหมื่นคน

"หลังจากวันนั้น ผมใช้ทุกทางเพื่อหาข่าวเกี่ยวกับกัปปิตัน พอผมรู้ว่าท่านหนีทัพไปผมนั้นดีใจมาก เพราะรู้ว่าอย่างน้อยเราไม่ต้องได้มาเผชิญหน้ากันอีก ผมหวังให้ท่านมีแต่ชีวิตที่ดี แต่ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ระลึกถึงกัปปิตัน"



หลังจากนั้นไม่นาน ปาเดรผู้อุปการะเขาก็เสียชีวิตลง อินตีตัดสินใจหนีการศึกบ้างและกลับไปยังเปรูเพื่อหาทางกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตน เขามาอาศัยอยู่ที่คุสโก้ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอินคาโบราณเพื่อหาร่องรอยและหลักฐานเกี่ยวกับ Hanan Pacha แต่ก็ไม่พบเจออะไร มันทำให้เขาท้อใจและคิดล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับไปยังที่นั่น เขาใช้ชีวิตอย่างซังกะตายและประกอบอาชีพหาของป่ากับรับจัางทั่วไปเพื่อเก็บเงินกลับไปสเปน เขาคิดจะกลับไปเรียนต่อและลืมเรื่องกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนแล้ว

หากวันหนึ่งในกลางฤดูหนาวเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เขาพบกับใบหน้าที่เขาฝันถึงมาตลอดที่ตลาดกลางเมือง เขาดีใจจนแทบบ้า เขาลอบตามมิเกลไปจนถึงที่พัก จากการหาข้อมูลดูภายหลังเขาจึงรู้ว่ามิเกลมาอาศัยอยู่ที่คุสโก้นี้ได้เกือบปีแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาเลิกล้มความคิดที่จะกลับไปสเปนและอยู่ที่คุสโก้ต่อเพื่อให้ได้อยู่ใกล้อดีตนายทหารคนนี้ มิเกลกลายเป็นขวัญและกำลังใจของเขายามเหนื่อยล้า เขาเฝ้ามองมิเกลอยู่ห่างๆ มาตลอด จนในที่สุดโอกาสก็เปิดให้เขาเมื่อคณะเดินทางนี้เปิดรับคน มันทำให้เขาได้ทั้งมีโอกาสได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนและได้คอยอยู่ใกล้ชิดเพื่อดูแลผู้มีพระคุณของเขา

อินตีจรดริมฝีปากลงเบาๆ ที่เรือนผมของร่างที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้า นี่คือสิ่งจาบจ้วงที่สุดที่เขาจะบังอาจทำได้แล้ว เขาลงนอนขดบนพื้นห่างร่างสันทัดนั้นออกมาเล็กน้อย กายเขาสะท้านเบาๆ ลมเย็นเริ่มกรรโชกลงมาจากโพรงบนเพดาน แต่เขาก็ไม่อยากไปแย่งผ้าห่มที่เขาให้พรานหนุ่มนอนหนุนมา อินตีครุ่นคิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งหลับไป



มิเกลยันตัวขึ้นนั่งหลังจากแน่ใจว่าอินตีหลับสนิทไปแล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ เขาได้ยินทุกอย่างที่พรานพื้นเมืองร่างใหญ่เล่าออกมา ถึงเขาจะเผลอหลับไปเพราะความผ่อนคลายจากการแช่น้ำและหลับสนิทไปพักหนึ่งอาจจะเพราะความเหนื่อยอ่อนหรือเพราะอะไรในน้ำเขาก็ไม่ทราบได้ แต่เมื่ออินตีห่มผ้าให้เขาและเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ นานา เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาเต็มตัวแล้ว เขาไม่นึกเลยว่าเขากับมันจะมีความเกี่ยวพันกันมายาวนานเพียงนั้น ในตอนนี้เขาจำฟันขาวๆ ในรอยยิ้มกว้างและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสำนึกบุญคุณของนายทหารรีพับลิกันหนุ่มร่างสูงโย่งที่พวกเขาช่วยดึงออกมาจากใต้ซากอาคารที่พังลงได้แล้ว

"นายถึงได้บอกว่าสำหรับนายฉันสำคัญที่สุดสินะ"

มิเกลยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของพรานหนุ่มคนที่เรียกได้ว่ารู้ใจเขาที่สุด ณ เวลานี้ เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงการสั่นสะท้านของร่างนั้น เขาควานหาไฟฉายมาและส่องดูแล้วต้องใจหายวูบ หน้าของอินตีแดงก่ำเพราะพิษไข้ มันอาจเป็นเพราะแผลแตกที่คิ้วของหนุ่มร่างใหญ่ มิเกลถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาปลุกอินตีที่สะลึมสะลือจัดขึ้นมากินยาลดไข้ที่ท่านหญิงจัดไว้ให้ในกระเป๋า จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นในแอ่งมาเช็ดตัวให้เพื่อลดไข้

เขาเลิกเสื้อขึ้นและเช็ดไปตามแผงอกกว้างและลงไปถึงส่วนกล้ามเนื้อท้องที่สวยงาม เขาสะดุดเข้ากับรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่สีข้างด้านซ้ายของอินตี มันคือแผลที่ชายหนุ่มที่เขาช่วยดึงออกมาในวันนั้นได้รับ มิเกลครุ่นคิดนิดหนึ่งและเลื่อนมือลงไปดึงขอบเอวกางเกงชั้นในของอินตีลง และเขาก็เห็นมันก็อยู่ตรงนั้น

สิ่งที่เขาสังเกตเห็นบนตัวชายหนุ่มที่เขาช่วยในวันนั้นและมันก็ปรากฎบนตัวอินตีในวันนี้คือรอยปานสีน้ำตาลอ่อนรูปทรงเหมือนพระอาทิตย์ที่มีรัศมีโชติช่วงขนาดประมาณหน้าปัดนาฬิกาข้อมือขนาดใหญ่บนท้องน้อยด้านซ้าย เขาดึงขอบกางเกงของอินตีกลับเข้าที่เดิม ตอนนี้เขาก็ยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่าอินตีกับชายหนุ่มในวันนั้นคือคนๆ เดียวกัน

เมื่อเช็ดตัวเสร็จ เขาแต่งตัวให้ชายพื้นเมืองร่างใหญ่ เขาถอดกางเกงที่อินตีใส่ให้เขาและใส่กลับให้เจ้าตัวที่ยังตัวสั่นน้อยๆ มิเกลเม้มปากแน่นก่อนที่จะตัดสินใช้ผ้าห่มทั้งสองผืนห่มให้ร่างใหญ่นั้น ส่วนตัวเองลงนอนกอดซุกเข้าที่อกของร่างที่ยังนอนขดตัวสั่นเป็นลูกนกนั้น เขาดับไฟและไม่นานนักก็ผลอยหลับไปในอ้อมอกที่ค่อยๆ หายสั่นเทา




---------------------------------------

วันนี้แวะมาลงเร็วหน่อย เพราะเขียนตุนไว้ยาวมากกกกก ตอนต่อไปคงอีกซักสองวันนะคะ แต่รู้สึกว่าเขียนตอนเดินป่าไม่รุ่ง มาเขียนบทกุ๊กกิ๊กๆ น่าจะดีกว่าเนาะ ตอนหน้าก็ขอตัดเรื่องเดินป่าออกนะคะ ไม่งั้นจะจบไม่ลงแล้วจะยิ่งเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ ค่ะ

น้ำมวก คือ น้ำจากแหล่งน้ำที่มีหินปูนละลายผสมลงไป ทำให้น้ำมีสีขาวขุ่นค่ะ ถ้าเข้าป่าไปแล้วเจอก็สามารถกินได้โดยการรองใส่ภาชนะแล้วตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอน https://goo.gl/fpirn5





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน​ Pt.4 ----




"กัปปิตันครับ ตื่นเถอะ เช้าแล้ว"

มิเกลสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ และเสียงกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหู เขานอนหลับสนิทอย่างสบายใจเกินไปหน่อย เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกอ้อมแขนอันแข็งแรงของพรานพื้นเมืองร่างใหญ่รัดไว้แน่น

"เฮ้ ปล่อยฉันสิ อินตี!"

มิเกลตวาดเบาๆ อินตีถอนหายใจ เขาอิดออดเล็กน้อยก่อนจะคลายวงแขนที่กระชับแน่นนั้นออก ตอนเขาตื่นมาเพราะแสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามาทางโพรงกลางห้องนั้นก็พบว่าตัวเองห่มผ้าอยู่ เขาแทบหยุดหายใจเมื่อเจอร่างของมิเกลอยู่ในอ้อมกอด ใบหน้าของพรานหนุ่มที่หลับสนิทช่างดูละมุนละไมต่างจากใบหน้าที่เคร่งเครียดตลอดเวลายามที่เดินทางรอนแรมในป่า ร่างนั้นส่งเสียงกรนเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่าเข้าที่อกเขาทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เขาดื่มด่ำกับห้วงเวลานั้นอีกพักใหญ่แล้วจึงปลุกพรานหนุ่ม

มิเกลรีบดันตัวออกจากอ้อมแขนอันอบอุ่นนั้นและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

"กัปปิตันละเมอเหรอครับถึงได้มานอนกอดผม?"

อินตีที่นอนพังพาบเท้าคางดูมิเกลแต่งตัวถามขึ้น มิเกลทำหูทวนลมและหยิบกางเกงและเสื้อตัวเก่าที่แห้งแล้วมาใส่ จากนั้นม้วนเชือกที่ใช้ตากเก็บ เขากลับมานั่งขัดสมาธิจัดของกลับใส่กระเป๋า อินตีถอนหายใจเบาๆ และยันกายลุกขึ้น

"เมื่อคืนนายมีไข้ ฉันห่มผ้าให้สองผืนแล้วนายก็ยังดูหนาวสั่น ฉันก็เลยต้องทำให้นายอุ่น"

มิเกลพูดขึ้นลอยๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ อินตีใจพองโตเมื่อรู้สึกถึงความห่วงใยของมิเกล เขาจำได้ลางๆ ว่าถูกปลุกขึ้นมากินยา พรานพื้นเมืองร่างใหญ่ลอบมองใบหน้าที่ก้มต่ำอยู่แล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นใบหน้านั้นแดงก่ำ อินตีหลบตาเมื่อมิเกลช้อนตามองขึ้นมา เขาเดินเขยกๆ ไปวักน้ำในแอ่งล้างหน้า มิเกลขมวดคิ้ว เขาเรียกให้อินตีมานั่งตรงหน้าและพันผ้าที่ข้อเท้าให้ใหม่

"เอ้า เรียบร้อยแล้ว ไหน ลองเดินซิ"

อินตีลุกขึ้นเดินให้มิเกลดู ข้อเท้าของเขามันปวดน้อยลงมากและยิ่งได้รับการพันผ้าพยุงไว้ก็เดินได้จนแทบเหมือนเป็นปกติ

"ขอบคุณมากครับ กัปปิตัน ที่คอยดูแลผม"

"แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้านายป่วย เราก็เดินทางกันได้ช้าลง"

อินตีหน้าสลดลงเล็กน้อย ความใจดีของมิเกลที่มีให้เขานั้นเป็นเพราะเรื่องงานเท่านั้น

"...อีกอย่าง แค่นี้มันจิ๊บจ๊อยถ้าเทียบกับที่นายคอยตามดูแลฉันมาตลอดหลายๆ ปีนี้นะ"



มิเกลพูดทิ้งท้ายก่อนจะผละเดินไปทางปากอุโมงค์ อินตีตะลึง มิเกลพูดเหมือนได้ยินสิ่งที่เขาพร่ำบอกร่างที่เขาคิดว่านอนหลับสนิทเมื่อคืนนี้ นอกเหนือจากเรื่องที่มิเกลเคยช่วยเขาไว้แล้ว เขายังเล่านั่นนี่สารพัด อย่างเรื่องที่ว่าเขาค่อนข้างกว้างขวางในคุสโก้เพราะปาเดรของเขารู้จักคนเยอะตอนที่อยู่ที่นี่ และเขาก็ใช้สายสัมพันธ์พวกนั้นแนะนำมิเกลให้กับคนที่ต้องการจ้างพรานหลายต่อหลายครั้ง​ หากเรื่องที่เขาไม่ได้เล่าออกไปคือเมื่อเขารู้ว่ามิเกลป่วยเขาก็จะแอบเอานั่นนี่ฝากคนไปให้ที่บ้าน และมิเกลไม่น่ารู้ได้ว่านั่นเป็นฝีมือเขา

มิเกลเดินยิ้มกริ่มมายังปากทางเข้าโพรงที่ถูกปิดอยู่ ที่เปรูนี้ เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แม้อดีตนายทหารผู้นี้จะมีญาติอยู่ในตัวเมืองคุสโก้ เขาก็รบกวนญาติเหล่านั้นแค่ช่วงแรกๆ ที่มาถึงเท่านั้น เมื่อลงหลักปักฐานได้แล้ว เขาก็ย้ายออกมาอยู่คนเดียวที่บ้านนอกเมือง​ ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองอยู่ในสายตาของใครบางคนมาตลอด หากคนที่เฝ้าดูเขานั้นไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไร แต่กลับคอยดูแลเขายามเดือดร้อน บางครั้งที่เขาป่วยนอนอยู่คนเดียวที่บ้าน ก็จะมีคนมาเคาะประตูและนำส่งสิ่งของอย่างอาหารสดหรืออาหารปรุงสุกแล้ว ยาพื้นเมืองและอื่นๆ เขาพยายามเค้นถามว่าใครส่งมาให้แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ หรือบางครั้งที่เขาเข้าป่าไปนานๆ พอกลับมาก็พบว่าที่บ้านเขาสะอาดเอี่ยมเหมือนมีคนมาคอยปัดกวาดให้​ แต่แทนที่เขาจะกลัว เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด

มีครั้งหนึ่งที่เขาป่วยหนักด้วยไข้ป่าจนนึกว่าตัวเองคงต้องตายอยู่ตามลำพังที่บ้านแล้ว หากในภาวะที่สติลางเลือนนั้น เขารู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงที่ช้อนร่างเขาขึ้นจากเตียง เขาตื่นขึ้นในโรงพยาบาล เมื่อสอบถามก็ได้ความเพียงว่าคนที่พาเขามาส่งเป็นชาวพื้นเมือง เขาจึงคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นหนึ่งในบรรดาพรานผู้ช่วยของเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนๆ นั้นซึ่งคงเป็นคนๆ เดียวกับที่คอยดูแลเขามาตลอดนั้นคือใคร



"กัปปิตันครับ!"

อินตีส่งเสียงเรียกมิเกล เขารีบสาวเท้าเดินตามพรานหนุ่มเจ้าของดวงใจของเขา เขาตามมาจนทันและคว้าไหล่เพรียวนั้นและดึงให้หันมาหาเขา

"ท่านรู้?"

แต่ก่อนที่มิเกลจะทันตอบอะไร พวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียกของดอนอัลฟองโซลอดเข้ามาจากช่องแตกที่ปากอุโมงค์ มิเกลรีบหันไปให้ความสนใจให้นายจ้าง

หลังปรึกษาและตระเตรียมการพักใหญ่ มิเกลและอินตีก็ล่าถอยกลับเขาไปยังคูหากว้าง ไม่นานนักก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้องพร้อมกับแรงอัดอากาศที่กระแทกเข้ามาในโพรงหินนั้น ก้อนหินน้อยๆ ร่วงกราวแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อโครงสร้างของอุโมงค์นั้น พรานหนุ่มทั้งสองหูอื้อไปชั่วครู่เพราะแรงอัดอากาศ แต่ก็ไม่มีอาการอื่นใด พวกเขาเดินกลับไปดูที่ปากโพรง หินใหญ่ก้อนนั้นถูกระเบิดกลายเป็นเศษหิน ดอนอัลฟองโซกะแรงระเบิดได้พอดีจนไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อปากโพรงมากนัก พรานทั้งสองกลับไปยังค่ายพักซึ่งอยู่ไม่ห่างและกินอาหารเช้าอย่างหิวโหย  จากนั้นมิเกลรายงานสิ่งที่ได้พบในโพรงนั้นให้นายจ้างทราบ ท่านหญิงมาริโซลเนื้อเต้นเมื่อได้ยินเรื่องแอ่งน้ำร้อน มิเกลสั่งให้ลูกหาบไปจัดเตรียมพื้นที่อาบน้ำให้นายจ้างทั้งสอง



หลังจากนายจ้างทั้งสองผลัดกันเข้าไปอาบน้ำจนเป็นที่พอใจแล้ว มิเกลให้โอกาสพวกลูกน้องไปสัมผัสน้ำสะอาดบ้าง พวกนั้นใช้เวลาไม่นานจัดการตัวเอง จากนั้นเขาให้นำถังสำรองน้ำไปรองน้ำจืดที่ไหลลงมาจากปากปล่องที่เพดานนั้น ไม่นานคณะเดินทางก็พร้อมออกเดินทางต่อไป ก่อนเที่ยง พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนขบวนเข้าไปในอุโมงค์นั้น พวกเขาใช้เวลาเดินในอุโมงค์นั้นไม่นานนัก มิเกลนำทางโดยยึดแนวทางน้ำไหล ในอุโมงค์ไม่ได้มืดมิดเพราะมีรอยแตกเป็นที่ๆ ไปซึ่งก็มีรากต้นไม้หรือต้นไม้เลื้อยห้อยย้อยลงมาให้ได้มั่นใจว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ใต้ผืนป่าทึบ ไม่นานทางน้ำน้อยนั้นก็ขยายใหญ่เป็นลำธารซึ่งนำออกไปสู่น้ำตกขนาดย่อมที่ปากอุโมงค์

มิเกลสั่งลูกหาบให้ระวังอย่าได้ลื่นล้มและทำสิ่งของตกลงไปในน้ำ พวกเขาเดินลัดเลาะบนโขดหินลงไปยังพื้นราบที่อยู่ต่ำลงไปไม่กี่เมตร ท่านหญิงลื่นเกือบล้มไปครั้งหนึ่งแต่ได้ญาติผู้พี่คว้าเอวไว้ได้ มิเกลลอบมองท่านหญิงที่มีสีหน้าแดงก่ำและขอบคุณท่านเคาท์หนุ่มด้วยสีหน้าเขินอาย เห็นได้ชัดว่าท่านหญิงมีใจให้ญาติผู้พี่คนนี้ แต่ดอนอัลฟองโซเองล่ะ คิดอย่างไร

มิเกลนำทุกคนลงมาสู่พื้นป่า ทุกคนตกตะลึงกับขนาดที่ใหญ่โตของต้นไม้ หลายต้นหน้าตาเป็นแบบเดียวกับต้นไม้ที่พวกเขาเคยเห็นในป่าแถบนี้ แต่ขนาดใหญ่กว่ากันหลายเท่า เหมือนมันเติบโตอยู่ที่นี่มานับร้อยพันปีแล้ว อย่างต้น Cinchona ที่เปลือกใช้ทำยาควินิน ปกติมันสูงเพียง 10 เมตร แต่ในป่านี้ต้นใหญ่สุดที่พวกเขาเจอสูงประมาณกว่า 20 เมตร ส่วนเจ้ายักษ์ใหญ่ประจำผืนป่าอเมซอนอย่างต้น Kapok ซึ่งปกติสูงประมาณ 40 เมตรนั้น ต้นใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเห็นนั้น พวกเขาแหงนดูยอดมันจนคอตั้งบ่า มิเกลประมาณว่ามันสูงกว่า 70 เมตรแน่นอน ลำต้นของเจ้ายักษ์ต้นนั้นใหญ่จนพวกเขาทั้ง 14 คนโอบเกือบไม่รอบ



นอกจากเหล่าต้นไม้ที่หน้าตาคุ้นเคยแล้ว ยังมีต้นไม้ที่พวกเขาไม่เคยเห็นอย่างเฟิร์นแปลกๆ และต้นไม้ที่ท่านหญิงผู้รอบรู้บอกว่ามันน่าจะสูญพันธุ์ไปเมื่อหลายพันหมื่นปีมาแล้ว ป่าแห่งนี้ยังได้ประดับประดาเหล่าดอกไม้หลากสีสันนานาพันธุ์ที่เบ่งบานทั่วป่าดึกดำบรรพ์แห่งนี้ มีทั้งเหล่ากล้วยไม้สารพัดสายพันธุ์และพวกเบิร์ดออฟพาราไดซ์และยังมีกลิ่นหอมจรุงใจของดอกไม้ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนลอยมาตามลมเป็นระยะ

บรรดาสัตว์ในป่าโบราณแห่งนี้ก็แปลกไม่แพ้เหล่าพืชพรรณ มันมีทั้งเหล่าสัตว์แบบที่พวกเขาเคยพบตามป่าภายนอกแต่ขนาดใหญ่กว่า เช่นผีเสื้อสีสันสดใสตัวเท่าค้างคาว มีครั้งหนึ่งพวกเขาต้องสะดุ้งเมื่อเจอหมีแอนเดียนสูงสองเมตร ท่านหญิงเกือบยิงมันแต่มิเกลห้ามไว้และตะโกนเสียงดังใส่มันจนตกใจหนีไป

"มันไม่ได้มีท่าจะเข้าโจมตีครับ ปล่อยมันไปดีกว่า"

เขาบอกว่าสัตว์ในป่านี้ไม่เคยเจอคน และถ้ามันไม่ได้มีทีท่าจะทำอันตราย เขาก็ไม่อยากจะใช้ปืนให้เป็นการรบกวนป่าดึกดำบรรพ์อันแสนสงบแห่งนี้ หากสัตว์ตัวแรกที่พวกเขาจำต้องยิงคือเสือพูม่าขนาดใหญ่เท่าๆ กับที่พวกเขายิงได้ในโตรกผา เสือตัวนั้นเป็นเสือโทน มันเข้าโจมตีพวกเขาในการเดินทางวันที่สามในป่าดิบกว้างแห่งนี้ มิเกลยิงมันหลังจากที่มันโผเข้าตะปบพรานของเขาคนหนึ่งแต่ติดสัมภาระที่แบกไว้บนหลัง นายจ้างพิจารณาดูซากเสือแล้วให้ความเห็นว่าเสือสองตัวที่พวกเขายิงไปในโตรกผาน่าจะออกมาจากป่านี้ด้วยเช่นกัน



สัตว์ตัวที่สองที่พวกเขายิงคือกวางหางขาวเปรูตัวงามที่ใหญ่เกือบเท่าม้า อินตียิงมันในวันที่ 5 ของการเดินทางในป่านี้ พวกเขากินปลาและไก่ป่าซึ่งหาได้ง่ายมาหลายมื้อและต้องการเนื้อสัตว์ใหญ่บ้าง พรานและลูกหาบช่วยกันแล่เอาเนื้อสันของกวางออกมาเช่นเดียวกับขาทั้งสี่ มิเกลแบ่งขาทั้งสองให้พวกลูกหาบและพรานของเขากินจนอิ่มหนำ ส่วนนายจ้างนั้นอินตีนำสันในกวางส่วนหนึ่งมาทำสเต๊กรสเลิศพร้อมซอสที่ได้จากน้ำย่างเนื้อปรุงด้วยเกลือ พริกไทยและเครื่องเทศพื้นถิ่นอย่างผง Achiote และมีเครื่องเคียงเป็นผักป่าผัดสามชั้นหมูป่าเค็มที่เขาทำเก็บไว้ ส่วนเนื้อที่เหลือจากการประกอบอาหาร เขานำมาตัดเป็นก้อนใหญ่ๆ แล้วนำเกลือที่ดอนอัลฟองโซให้พกติดมาจำนวนมากเข้าคลุกเคล้า เขาทำเนื้อเหล่านั้นไปย่างรมควันเหนือไฟอ่อนจนด้านนอกแห้งเกรียม เมื่อจะใช้ก็เพียงเฉือนส่วนที่เกรียมนั้นออกจนเหลือเนื้อที่ยังสดอยู่ด้านใน​ วิธีนี้ทำให้พวกเขามีเนื้อสดไว้กินได้อีกหลายวัน



คณะเดินทางรอนแรมในป่ากว้างใหญ่ไพศาลอันแสนงดงามและเงียบสงบนี้เกือบยี่สิบวัน การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะต้องลำบากกับต้นไม้ที่ขึ้นรกชัฏบ้าง ต้องเดินและปีนป่ายขึ้นภูสูงที่ตั้งขวางบ้าง ต้องพบเจอสัตว์สารพัดชนิดทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น ทั้งหมดล้วนมีขนาดใหญ่โตผิดธรรมชาติ ผู้รอบรู้อย่างท่านหญิงมาริโซลบอกอย่างตื่นเต้นว่าบางชนิดนั้นเป็นสัตว์ที่ควรสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว

พวกเขาพยายามเลี่ยงการปะทะกับสัตว์พวกนั้น แต่หลายครั้งก็ต้องเฉียดใกล้กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเผ่นเข้าไปซ่อนในโพรงหินแทบไม่ทันเมื่อได้บังเอิญไปเจอ Smilodon หรือเสือเขี้ยวดาบคู่หนึ่งกำลังโจมตี Doedicurus ซึ่งหน้าตาเหมือนอามาดิลโล่หรือตัวลิ่นในปัจจุบันแต่ใหญ่กว่ามาก สุดท้ายเจ้าตัวลิ่นยักษ์ขนาด 4 เมตรนั้นใช้ปลายหางซึ่งมีหนามเหมือนตะลุมพุกฟาดใส่จนเจ้าเสือเผ่นหนี คณะเดินทางต้องรออยู่ในโพรงนั้นอยู่นานเพราะกลัวเสือทั้งสองจะย้อนกลับมา

คณะเดินทางต้องตื่นตระหนกจนขวัญเสียกันอีกครั้งเมื่อแพของพวกเขาซึ่งกำลังล่องผ่านทะเลสาบที่เคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟเก่าถูกคลื่นน้ำขนาดยักษ์ซัดจนเกือบคว่ำ ทุกคนใจหายวูบเมื่อเห็นเงาร่างของสัตว์น้ำคอยาวขนาดมหึมาแหวกว่ายเลียบด้านข้างแพไป​ หากเจ้ายักษ์ตัวนั้นก็ดูไม่ได้ใส่ใจพวกเขาและดำดิ่งหายไปใต้น้ำสีฟ้าจัดนั้นอย่างรวดเร็ว แต่แม้จะจวนเจียนแค่ไหน คณะของพวกเขาก็ยังไม่เคยปะทะซึ่งหน้ากับสัตว์พิศดารเหล่านั้น



'เหลือเวลาเพียง 5 วันจะถึงวันแรกของเทศกาล Inti Raymi แต่พวกเราก็เหลือระยะทางเดินอีกไม่ไกล จากที่ตั้งค่ายคืนนี้เราเห็นแนวเขาอันเป็นที่ตั้งของเนินตะวันอยู่ตรงหน้า อีกไม่นานแล้ว คริสโตบัล อีกไม่นานฉันจะไปรับนายกลับไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม'


ดอนอัลฟองโซวางปากกาของเขาลงและเหม่อมองไปยังเทือกเขาสูงชันที่ทอดตัวยาวอยู่ลิบๆ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นนั้นมีแววเศร้าสลด เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ท่านพี่คะ"

ท่านหญิงมาริโซลเดินออกมาจากกระโจมพักแล้วเรียกดอนอัลฟองโซเบาๆ เธอทรุดกายลงนั่งเคียงข้างและยกนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาน้อยๆ จากหางตาของชายสูงศักดิ์

"พี่ไม่น่าปล่อยให้คริสโต้ไปเลย พี่น่าจะอธิบายอะไรให้เขาเข้าใจก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดใหญ่โตไปขนาดนั้น"

"อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ท่านพี่ ความผิดน้องเองที่เสนอความคิดบ้าๆ แบบนั้นออกไป"

ท่านหญิงหน้าสลด เธอกุมมือใหญ่ของญาติผู้พี่ที่เธอรักและบูชา เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของเขาแม้จะหมายถึงการต้องแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รักก็ตาม

"พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว เราเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินกันอีกยาว"

ท่านเคาท์หนุ่มลุกขึ้นยืนและฉุดมือญาติผู้น้องให้ลุกขึ้นและพาเดินกลับเข้าไปในกระโจมพัก เขาห่มผ้าให้ร่างบอบบางที่นอนเคียงข้างและดับตะเกียง ตัวเขาเองลงนอนเอามือก่ายหน้าผากและครุ่นคิดถึงวันที่คริสโต้ผลุนผลันมาหาเขาเพื่อขอคัดลอกแผนที่ของฆวน กาโก้



'เอ้า กาแฟ ว่าแต่จะเอาแผนที่ไปทำอะไรน่ะ คริสโต้'

ท่านเคาท์หนุ่มวางกาแฟไว้ตรงหน้าคนที่คร่ำเคร่งกับการคัดลอกแผนที่และทรุดกายลงนั่งอิงแอบร่างเพรียวของคริสโตบัลและจุมพิตหนักๆ ที่แก้ม

'ฉันจะไปตามหาเอลโดราโด้...'

อัลฟองโซหัวเราะลั่น เขามีมองแผนที่ฉบับนี้เป็นแค่ของสะสมและไม่ได้คิดสนใจมันจริงจัง สำหรับเขาเอลโดราโด้เป็นเพียงนิยายปรัมปราไร้สาระ เขาหันมาสะสมของพวกนี้เพียงเพื่อต้องการจะเอาใจคนรักที่เป็นอาจารย์ด้านโบราณคดีเท่านั้น แต่คริสโต้มีท่าทางจริงจังและบอกว่าเขารู้จักคนที่อาจจะพาเขาเดินทางไปถึงเมืองนี้ได้

'ฉันจะกลับมาอย่างร่ำรวยและมีชื่อเสียง ฉันจะได้หลุดพ้นจากไอ้...ไอ้ยศฐาบรรดาศักดิ์จอมปลอมพวกนี้ซักที'

'...ไปกับฉันเถอะ อัลฟองโซ ไปในที่ๆ เราสามารถอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องมาคำนึงถึงคนรอบข้าง ไปในที่ๆ เราไม่ต้องมาทำอะไรเพื่อวงค์ตระกูล'

คริสโต้ดึงมือของคนรักมากุมไว้แน่นและประทับจูบลงบนมือใหญ่นั้น อัลฟองโซตะลึง นี่คือสาเหตุที่คริสโต้ของเขาต้องการจะหนีไปให้ไกลอย่างนั้นหรือ

'แต่...แต่นายไปไม่ได้นะ คริสโต้ นายหมั้นหมายกับน้องหญิงมาริโซลแล้วไม่ใช่เหรอ?'

ถึงคราวของทายาทหนุ่มของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสตะลึงบ้าง ดยุคแห่งเบรากัวผู้เป็นบิดาเพิ่งบอกเขาเรื่องนี้ในวันนี้ เมื่อทราบเรื่อง เขาก็ผลุนผลันออกบ้านมาหาคนรักทันที

'นายรู้เรื่องแล้ว? นายไม่คิดจะบอกฉันสักนิดเลยเหรอ อัลฟองโซ? นายรับได้อย่างนั้นเหรอ?'

อัลฟองโซพยายามพูดให้คริสโต้ที่เดือดดาลเต็มที่สงบลง แต่ร่างเพรียวนั้นก็พรวดออกประตูคฤหาสน์เขาไปพร้อมแผนที่ฉบับคัดลอก ดอนอัลฟองโซได้แต่ถอนใจ เขารู้นิสัยคนรักของเขาที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจะปล่อยให้คริสโต้ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยตามไปอธิบายแผนการของเขาให้คริสโต้ฟัง



อัลฟองโซเองก็กังวลเมื่อได้ยินมาว่าท่านดยุคแห่งเบรากัวต้องการให้บุตรชายเป็นฝั่งเป็นฝาสักที และจะจับคริสโต้แต่งงานกับบุตรีจากตระกูลขุนนางสักตระกูล หากระหว่างที่เขากำลังกังวลอยู่นั้น มาริโซลญาติผู้น้องของเขาที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษก็เสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา เธอจะยอมหมั้นหมายกับคริสโต้ให้เอง

'น้องก็ไม่ได้อยากแต่งงานอยู่แล้ว น้องชอบที่จะเดินทางไปสำรวจรอบโลกมากกว่า แล้วท่านพี่คริสโต้เองก็เป็นนักโบราณคดีชั้นนำ น้องคงเรียนรู้จากท่านพี่ได้เยอะ...'

'...ทำแบบนี้เราก็อยู่ด้วยกันสามคนได้สบายๆ ดีไหมคะ?'

หลังจากดึงดันปฏิเสธอยู่นาน ในที่สุดอัลฟองโซก็ยอมตกลง ฝ่ายดยุคแห่งเบรากัวเองก็ไม่มีปัญหากับการหมั้นหมายครั้งนี้ ใครจะปฏิเสธท่านหญิงผู้มีมารดาเป็นเชื้อพระวงค์ได้ แต่อัลฟองโซไม่คาดคิดว่าคริสโต้จะมีทีท่าต่อต้านอย่างรุนแรงเช่นนี้ เขาตั้งใจจะรอให้คนรักหายโมโหอีกสองสามวันถึงจะตามไปง้อและอธิบายเรื่องราวให้ฟัง หากวันรุ่งขึ้นเขาก็ได้ข่าวจากตระกูลโกลอนว่าคริสโต้ได้ทะเลาะอย่างรุนแรงกับผู้เป็นบิดาจนถึงขั้นตัดพ่อลูกกัน เขาได้ออกจากคฤหาสน์ของเขาไปและไม่มีใครรู้ว่าเขาเดินทางไปที่ใด

ตลอดเวลาหลายเดือน อัลฟองโซและท่านเคาท์แห่งเบรากัวซึ่งหายขุ่นเคืองบุตรชายแล้วได้ใช้เส้นสายทุกวิถีทางเพื่อหาตัวคริสโต้ แม้จะรู้ว่าจุดหมายปลายทางของเขาคือที่ไหน คริสโต้ก็หลบหลีกและซ่อนตัวจนไม่มีใครหาเขาพบ จนในที่สุดก็มีข่าวจากทางเปรูว่ามีคนเจอคริสโต้ที่เมืองคุสโก้ และเขาได้เดินทางเข้าป่าไปแล้ว แต่ก่อนที่อัลฟองโซจะทันได้ออกเดินทางไปตามคนรัก ท่านเคาท์แห่งเอลด้าผู้เป็นบิดาของเขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลง อดีตผู้พันหนุ่มคนนี้จึงต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์นั้นแทนในฐานะเจ้าบ้าน หลังจากใช้เวลาสองปีในการจัดการเรื่องมรดกและสะสางงานทั้งหลายที่ต้องทำ อีกทั้งจัดเตรียมการและให้คนแปลแผนที่ของฆวน กาโก้แผ่นนั้นจนเสร็จสิ้น  ดอนอัลฟองโซก็ได้ออกเดินทางพร้อมญาติผู้น้องอย่างท่านหญิงมาริโซลเพื่อตามหาชายในดวงใจของเขากลับคืน



"ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือจากนายไปอีก คริสโต้ ไม่มีวันอีกแล้ว"

ท่านเคาท์หนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่ความง่วงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจะพาให้เขาหลับไป หากคืนนั้นท่านเคาท์หนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่ผลอยหลับไปโดยฉับพลัน มิเกลที่อยู่กะเฝ้ายามก็พลันรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาอย่างสุดกลั้น เขากระชากปืนสั้นที่คาดเอวออกมาเมื่อเห็นร่างเล็กนับสิบร่างเผ่นแผลวออกมาจากราวป่า แต่ปืนก็หลุดตกจากมือไปพร้อมกับร่างของเขาที่หมดสติล้มลง



"กัปปิตันครับ...มิเกล..."

เสียงเรียกเขาซ้ำๆ ดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้อง มิเกลค่อยๆ ฟื้นคืนสติและพบตัวเองอยู่ในห้องที่กรุด้วยหินก้อนใหญ่และมีลูกกรงทำจากเหล็กกล้า สภาพของมันไม่ต่างอะไรจากห้องขังในยุคกลาง เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ต้องล้มลงเพราะเท้าทั้งสองของเขาถูกเชือกมัดติดกันเช่นเดียวกับมือทั้งสอง เขารีบหันไปดูรอบกายแล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อทุกคนในคณะอยู่กันครบในห้องขังขนาดไม่ใหญ่นี้ เขาและอินตีช่วยกันเรียกปลุกทุกคนขึ้นมา

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น มิเกล?"

ดอนอัลฟองโซถามขึ้นด้วยความตระหนก มิเกลเล่าสิ่งสุดท้ายที่เขาได้เห็นให้ทุกคนฟัง ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียดด้วยความกังวล

"แล้วเราจะรอให้พวกนั้นลงมาจัดการเรางั้นเหรอ? แล้วมันจะลงมาเมื่อไหร่? นี่เราไม่รู้ว่าพวกเราสลบกันไปกี่วันแล้ว"

ท่านเคาท์หนุ่มกล่าวอย่างกังวล กำหนดเวลาที่เหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์ของพวกเขาอาจผ่านไปแล้วก็ได้ มิเกลครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเรียกโฆเซ่ให้ขยับตัวเข้ามาใกล้และถามบางอย่างเป็นภาษาเก็ตชวา พรานพื้นเมืองของมิเกลยิ้มร่าแล้วพยักหน้า มิเกลยิ้มกว้าง เขารู้ว่าพรานของเขาคนนี้ของเล่นเยอะ เขาหาคนที่ยังขยับมือที่ถูกมัดไว้ได้ถนัดที่สุด ซึ่งก็คืออินตี และให้เขาค่อยๆ แกะเข็มขัดหัวโลหะขนาดใหญ่ที่คาดเอวของโฆเซ่ออกมา จากนั้นเขาให้อินตีช่วยโฆเซ่ดึงมีดที่มีใบมีดบางจนงอได้ออกมาจากหัวเข็มขัด อินตีถือมันและให้โฆเซ่ตัดเชือกที่มือจนขาด จากนั้นโฆเซ่ก็ตัดเชือกที่มือให้คนอื่นๆ จากนั้นทุกคนก็แก้เชือกที่เท้าจนสำเร็จ

พวกเขาสำรวจข้าวของของตัวเองและพบว่ามันหายไปหมดเหลือแต่ของที่ติดกับตัว พวกเขาพยายามหาของที่จะช่วยทำให้พวกเขาพ้นห้องขังนี้ไปได้ แต่ก็ไม่เจอ ขณะที่พวกเขากำลังหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงคนพูดเซ็งแซ่มาตามทางเดิน มิเกลให้ทุกคนทำท่าทางเหมือนถูกมัดและนอนนิ่งๆ บนพื้น เขาส่งมีดในมือให้อินตีและกระซิบเบาๆ อินตีพยักหน้า เขานอนลงหน้าซี่กรงเหล็กเช่นเดียวกับมิเกล และเอาเชือกพันหลวมๆ ที่มือไว้ไม่ให้ผิดสังเกต



ร่างเล็กหลายร่างปรากฎตัวขึ้นหน้าห้องขังของพวกเขา คนเหล่านั้นมีรูปร่างเล็กเตี้ยเหมือนพวกปิ๊กมี่ในอาฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มิเกลประมาณว่าพวกเขาน่าจะสูงเฉลี่ยไม่เกิน 145 เซ็นติเมตร ผิวของพวกเขาน้ำตาลเข้มจนเกือบดำและใส่เพียงผ้าเตี่ยวหรือผ้าโสร่งสีมอๆ มีเพียงคนเดียวที่ใส่เครื่องประดับที่คอและมีเครื่องประดับหัวปักขนนกสีสันสดใส มิเกลลอบสบตากับอินตีและพยักหน้าเบาๆ

"พวกเจ้าล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนหวงห้ามขององค์เทพและต้องถูกคุมขังจนกว่าองค์เทพจะมีบัญชา"

ชายอายุประมาณ 50 เศษที่ใส่เครื่องประดับคอที่ดูจะเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้กล่าวขึ้นด้วยภาษาเก็ตชวาแปร่งๆ คณะเดินทางมองหน้ากัน มิเกลตัดสินใจตะโกนกลับไป

"ที่เจ้าบอกว่าดินแดนหวงห้ามนั้น เจ้าหมายถึงที่ใด?"

"Hanan Pacha!"

เสียงนั้นตอบกลับมาอย่างทันควัน ดอนอัลฟองโซกับท่านหญิงมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น แม้พวกเขาจะฟังที่มิเกลกับหัวหน้าคนนั้นพูดไม่เข้าใจ แต่เขาจับชื่อเมืองลึกลับที่เขามาตามหาได้ ในที่สุดพวกเขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าดินแดนนั้นมีอยู่จริง มิเกลสนทนากับคนผู้นั้นต่อ

"เจ้าพูดว่าอะไร ข้าไม่เข้าใจ"

หัวหน้าของคนกลุ่มนั้นก้าวเข้ามาใกล้ซี่กรงมากขึ้นด้วยความย่ามใจว่าเหล่าเชลยนั้นถูกพันธนาการไว้หมดแล้ว แต่ก่อนจะทันรู้ตัวแขนล่ำสันของอินตีก็คว้าคอเขาหมับและลากตัวเข้ามาที่กรงพร้อมเอามีดจ่อคอไว้

"บอกคนของเจ้าให้ปล่อยเราออกไป ไม่อย่างนั้นข้าเชือดคอเจ้าแน่"

อินตีพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ชายผู้นั้นรีบสั่งคนของตนให้เปิดประตูกรงให้ทุกคนออกไป มิเกลออกไปและใช้เชือกที่แกะออกมาก่อนหน้ามัดมือของหัวหน้าคนนั้นไว้และรับมีดจากอินตีมาจ่อคอชายคนนั้นแทน เขาสั่งให้คนของชายในเครื่องประดับคนนั้นล่าถอยไป ส่วนพวกเขาเดินตามจนออกไปพ้นเขตที่คุมขัง


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.4 (ต่อ) ----



พวกเขาตะลึงเมื่อพบว่าตัวเองโผล่ออกมายังลานกว้างรูปทรงกลมและมีชั้นซ้อนขึ้นไปเหมือนอัฒจันทร์สำหรับดูกีฬาหรือเหมือนสนามกีฬาโรมันโบราณ บนชั้นนั้นมีชนพื้นเมืองร่างเล็กยืนอยู่เต็ม บางส่วนเล็งอาวุธหน้าตาเหมือนหน้าไม้มาที่พวกเขาด้วย ชายร่างเล็กอายุประมาณ 60 ปีซึ่งแต่งตัวหรูหรากว่าคนที่พวกเขาจับตัวไว้ก้าวออกมาข้างหน้า

"พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะขู่เราได้ ลองมาวัดกันว่าระหว่างมีดของเจ้ากับลูกดอกของพวกข้าอะไรจะเร็วกว่ากัน"

แต่ก่อนที่มิเกลหรือใครจะทันทำอะไร ร่างงามสมบูรณ์ของอินตีก็ก้าวออกไปข้างหน้า เขาชูสิ่งหนึ่งขึ้นชูและตวาดในภาษาที่ทุกคนในคณะไม่เข้าใจ ชายบนอัฒจันทร์ตาเบิกโพลงและพึมพำออกมาในภาษาเดียวกัน ชายที่ถูกพวกเขาจับตัวไว้ก็มีสีหน้าตะลึงงันและจ้องมองใบหน้าคมสันของอินตีอย่างพินิจพิเคราะห์ ชายบนอัฒจันทร์รีบรุดลงมายืนอยู่เบื้องหน้าอินตี

"เจ้า...เป็นไปได้จริงๆ หรือ?"

ชายร่างเล็กระล่ำระลักถามด้วยภาษาเก็ตชวา อินตีรีบตัดบทด้วยการบอกว่าเขาเพียงต้องการกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนและมาตามหาคน ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดินแดนแห่งเทพ ชายร่างเล็กจ้องลึกเข้าไปในตาของพรานพื้นเมืองร่างใหญ่และพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาสั่งให้คนของเขาลดอาวุธ ส่วนมิเกลก็เก็บมีดและแก้มัดให้เชลยของพวกเขา

"พวกเจ้าเป็นใคร? แล้วเหตุใดจึงจับตัวพวกเราไว้?"

มิเกลถาม

"ข้าชื่อฮวนกาและนี่น้องของข้าชื่อคาเตกิล พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่านาซกา หากตอนนี้พวกเราทำงานรับใช้องค์เทพแห่ง Hanan Pacha"

"...เมืองของเราเป็นด่านหน้าของเมืองแห่งทวยเทพและมีหน้าที่สังเกตการณ์และรายงานหากมีผู้ล่วงล้ำเข้ามา หากทวยเทพอนุญาตเราก็จะปล่อยพวกเขาให้ผ่านเข้าไป หากไม่มีคำสั่งใดออกมา พวกเราก็จะจับคนเหล่านั้นขังไว้จนกว่าจะสิ้นชีพไปเอง"



มิเกลใจหายวูบ เขาแปลสิ่งนั้นให้นายจ้างทั้งสองฟัง ดอนอัลฟองโซและท่านหญิงหน้าซีดเผือดและระล่ำระลักให้มิเกลถามเรื่องคริสโตบัล

"ในช่วงนี้เมื่อใบไม้ผลัดใบสามครั้งที่แล้ว เคยมีคณะเดินทางที่มีลักษณะเหมือนพวกข้าล่วงผ่านเข้ามาหรือไม่?"

ฮวนกาคิดนิดหนึ่งก่อนตอบไป

"ในช่วงสามปีมานี้ มีเพียงคณะเดียวที่ล่วงล้ำเข้ามาถึงเขตนี้ ชายผู้เป็นหัวหน้าขบวนมีลักษณะและการแต่งตัวเหมือนพวกเจ้า..."

เขาชี้ไปที่มิเกลและดอนอัลฟองโซซึ่งอยู่ในชุดเดินป่าแบบตะวันตก

"...แต่เขาดูบอบบางกว่าพวกเจ้ามากและยังมีใบหน้าเหมือนอิสตรี"

"แล้วเจ้าทำอะไรกับพวกเขา?"

"เราได้รับคำสั่งจากทวยเทพให้ปล่อยพวกเขาเข้าไป ฉะนั้นเราจึงแค่สังเกตการณ์พวกเขาเฉยๆ..."

"...แต่มันก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ปกติแล้วองค์เทพจะส่งสาสน์มาถึงพวกข้าโดยผ่านทางข้ารับใช้ของพระองค์จากในเมือง Hanan Pacha หากคราวนี้ข้ากลับได้รับพระบัญชาจากพระองค์โดยตรงก่อนที่จะได้รับสาสน์นั้นเสียอีก คืนนั้นหลังจากที่ข้าพบเห็นคนกลุ่มนั้น ข้ามีนิมิตเห็นองค์เทพร่างสีทองอร่ามมีรัศมีเรืองรองลงมายืนตรงหน้าและบอกข้าว่าให้ปล่อยคณะเดินทางคณะนั้นไป..."


'...พวกเขาจะนำตะวันกลับมา'


"ตอนแรกข้าก็ยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว"

ฮวนกาพึมพำออกมาเบาๆ หากมิเกลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นได้ยินชัดเจน อินตีรีบถามถึงสัมภาระของพวกเขาซึ่งชายร่างเล็กทั้งสองพาพวกเขาไปดูอย่างเต็มใจ มันยังอยู่ครบทุกอย่างกระทั่งเสากระโจมนอนที่เหลาจากไม้ในป่า พวกเขาตรวจเช็คของสำคัญอย่างปืนและแผนที่ในเป้หลังของดอนอัลฟองโซ แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันยังอยู่ครบ พวกเขาถามว่าพวกเขาหมดสติกันไปนานแค่ไหน และขณะนี้พ้นเทศกาล Inti Raymi หรือยัง ฮวนกาตอบว่าวันแรกของเทศกาลนั้นคืออีก 4 วันข้างหน้า

“แต่ไม่ต้องกังวล พวกข้าจะนำเจ้าไปส่งยังเนินตะวันเอง คืนนี้ขอให้พวกเจ้าพักผ่อนอย่างสบายใจเถิด”



คณะเดินทางถูกจัดให้เข้าพักในบ้านหินขนาดใหญ่ หากมิเกลยังสั่งให้มีการระวังภัยเหมือนตอนอยู่กลางป่า เมื่อจัดการนั่นนี่เข้าที่แล้ว นายจ้างทั้งสองก็หันมาถามอินตีว่าเขาทำอย่างไรชาวนาซกาถึงได้เปลี่ยนทีท่า อินตีอ้ำอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะนำเอาป้ายรูปพระอาทิตย์ที่มีหน้าคนตรงกลางทำจากดินสีแดงตากแห้งขึ้นมาให้ทั้งสองดู

“ผมตะโกนบอกเขาด้วยภาษานาซกาที่แม่เคยให้ผมท่องไว้ตั้งแต่ยังเด็กครับครับ มันแปลว่า ข้าเป็นคนของดินแดนแห่งสุริยเทพ โปรดให้ข้าผ่านไป ประมาณนี้ครับ”

อินตีตอบเร็วๆ เขาบอกว่าตรานี้เป็นเหมือนใบเบิกทางที่ชาว Hanan Pacha พลัดถิ่นทุกคนต้องมีรวมทั้งแม่ของเขาด้วย มิเกลหรี่ตามอง เขาซึ่งยืนใกล้อินตีเมื่อครู่จำได้ว่าเขาเห็นประกายสีทองในมืออินตีแว่บหนึ่งก่อนที่ชาวนาซกาทั้งสองคนจะยอมสยบให้ อีกทั้งเขาได้ยินคำว่า Ayar Inti ซึ่งเป็นชื่อของมันในประโยคนั้นไม่ใช่แค่ Inti ที่แปลว่าสุริยะเทพเพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดคั้นกัน ถ้าพร้อมชายหนุ่มผู้มีที่มาอันลึกลับคนนี้คงจะเล่าอะไรให้เขาฟังเอง

พวกนาซกาทำตามที่พูดไว้ เย็นวันนั้นพวกเขาจัดงานเลี้ยงคณะเดินทางอย่างใหญ่โต มีทั้งข้าวปลาอาหารและสุราที่ทำจากน้ำผึ้งอันหอมหวาน หากมิเกลสั่งคนของเขาให้กินดื่มแต่พอดีและอย่าปล่อยให้ตัวเองมึนเมา ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเต็มที่นัก หากค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นฮวนกาและน้องชายพร้อมด้วยชาวเผ่านาซกาอีกจำนวนหนึ่งได้นำคณะของดอนอัลฟองโซออกเดินทางไปยังเนินตะวันซึ่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาหิมะสูงชันที่โอบล้อมอยู่ พวกเขาใช้เวลาเดินทางสามวันก็บรรลุถึงเนินเตี้ยๆ ซึ่งปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจีและดอกไม้นานาพันธุ์ กลางเนินมีลานหินเล็กๆ อยู่ และกลางลานหินมีหมุดโลหะทรงกลมที่มีรูปก้นหอยขดเป็นวง อินตีบอกทุกคนว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของ Pachamama หรือแม่พระธรณีผู้เป็นชายาของสุริยะเทพ



"ถ้างั้น คืนนี้เราก็ตั้งค่ายกันที่นี่แล้วกัน"

ดอนอัลฟองโซตัดสินใจ อินตีหันไปถามฮวนกาเรื่องประโยคปริศนา เขามองหารอบเนินแล้วก็ยังหาสัญลักษณ์ขององค์อินตีหรือองค์สุริยะเทพไม่เจอเลยแม้แต่จุดเดียว หากฮวนกาปฏิเสธที่จะให้คำตอบแก่อินตี

"ข้าพาเจ้ามาได้เพียงบนเนินนี้เท่านั้น ส่วนที่เหลือ เจ้าต้องพิสูจน์ตนเองว่าเหมาะสมที่จะเหยียบย่างเข้าดินแดนแห่งเทพหรือไม่..."

ฮวนกายิ้มให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าร่างใหญ่งามสมบูรณ์นี้เป็นคนเดียวกับเด็กน้อยตัวจิ๋วที่ร้องไห้โยเยเมื่อกว่า 30 ใบไม้ผลัดใบที่แล้ว เขายังจำคืนที่เขาตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจสั่นระรัวเมื่อองค์สุริยะเทพปรากฎร่างขึ้นในฝันของเขาเป็นครั้งแรก พระองค์บัญชาเขาให้ช่วยเหลือหญิงที่หนีออกมาจากนครแห่งเทพพร้อมเด็กน้อย คนของเขาพบทั้งสองในเช้าวันถัดไป เขานำทั้งสองมาซุกซ่อนไว้และโป้ปดต่อทหารเมืองเทพที่นานๆ จะออกมาทีว่าไม่มีใครผ่านมาในทางนี้

หญิงซึ่งมีผมและตาสีดำคนนั้นพร่ำขอบคุณเขาด้วยภาษาเก็ตชวาแปร่งๆ นางบอกว่านางมีนามว่ามิกิ ส่วนเด็กคนนี้มีนามว่า Ayar Inti บุตรของ Ayar Amaru และพวกเขาจำต้องหนีออกจากเมือง แต่สักวันพวกเขาจะกลับมายังดินแดนแห่งนี้อีก

ฮวนกาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นตราแห่งเทพที่อยู่ในมือของชายหนุ่มร่างใหญ่คนนั้น เขาจำได้ว่ามันคืออันเดียวกับที่ห้อยอยู่บนคอของเด็กน้อยคนนั้น อีกทั้งสิ่งที่ชายหนุ่มประกาศก้องออกมาในภาษานาซกาของเขา มันคือสิ่งที่เขาสอนให้นางผู้นั้นจำไว้เผื่อได้กลับมาทางนี้อีกครั้ง

'ข้า Ayar Inti บุตรแห่ง Ayar Amaru ข้ากลับมายังดินแดนของข้าแล้ว'

ในที่สุดเด็กน้อยคนนั้นก็หวนคืนสู่แผ่นดินเกิด แม้รู้ว่าเขาต้องปล่อยให้เจ้าหนุ่มคนนั้นหาทางเข้าเอง แต่ฮวนกาก็อดใจอ่อนไม่ได้



"...แต่ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะลองดูหินก้อนที่อยู่ระหว่างช่องเขาขาดทางตะวันตกนั่นให้ดีอีกครั้ง"

ฮวนกาขยิบตาให้พรานหนุ่มร่างใหญ่ก่อนที่จะพาเหล่านักรบของเขาอำลาคณะเดินทางและจากไป อินตีนำคำของฮวนกาไปบอกเล่าให้นายจ้างและมิเกล พวกเขาหันไปพิจารณาหินรูปทรงกลมขนาดใหญ่ที่ถูกยอดผาตั้งทั้งสองข้างขนาบประหนึ่งปลายคีมที่หนีบมันไว้ มันลอยอยู่กลางฟ้าสูงขึ้นไปนับร้อยเมตร มิเกลยกกล้องส่องทางไกลของเขาส่องดูแล้วก็ต้องอุทานออกมา ที่เห็นเป็นหินกลมนั้น อันที่จริงเป็นแผ่นโลหะกลมหนากว่าเมตร ประเมินจากสายตาแล้วมันน่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าห้าเมตร

"สุริยะเทพ!"

อินตีอุทานออกมาเมื่อมิเกลส่งกล้องส่องทางไกลให้เขาดู นายจ้างทั้งสองก็ใช้กล้องส่องดูเช่นกัน พวกเขาตะลึงเมื่อเห็นภาพสลักรูปพระอาทิตย์แบบอินคาที่มีใบหน้าของคนแสยะยิ้มอยู่กลางวงกลมนั้น มันเกือบเหมือนแผ่นทองแกะรูปสลักสุริยะเทพที่เคยประดับอยู่ที่เมืองคุสโก้ ท่านหญิงตาเบิกโพลงเมื่อเห็นดวงตารูปสี่เหลี่ยมขอบมนข้างซ้ายของใบหน้านั้นถูกเจาะทะลุเป็นรูจนเห็นแสงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าลอดออกมาเป็นลำจางๆ

"นั่นไง ดวงตาขององค์สุริยะเทพ"

เธอร้องลั่นออกมา ในที่สุดพวกเขาก็พบสิ่งที่จะไขประโยคปริศนานั้นได้แล้ว ที่เหลือตอนนี้คือต้องให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเพื่อที่ดวงตานั้นชี้ทางให้พวกเขาเดินต่อไป แต่พวกเขาก็ยังนึกไม่ออกว่ามันจะออกมาในรูปแบบใด



"กัปปิตันครับ"

เสียงทุ้มแหบของอินตีดังขึ้นทำลายความเงียบ มิเกลที่กำลังเหม่อมองยังแผ่นโลหะสลักลายสุริยะเทพที่สะท้อนแสงจันทร์ซีดๆ สะดุ้งและตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มผู้มาจากดินแดนเทพทรุดกายลงเคียงข้างร่างสันทัดนั้น

"ท่านไปนอนดีกว่าครับ ผมว่าวันนี้กัปปิตันดูเหนื่อยๆ"

มิเกลส่ายหน้า เขาปล่อยให้เหล่าลูกหาบและพรานผู้ช่วยได้นอนพัก หากตัวเขาเองนั้นกลับนอนไม่หลับ​ เขาบอกอินตีว่า แม้ฮวนกาบอกพวกเขาว่าคืนนี้พวกเขาสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีสัตว์ร้ายใดล่วงล้ำขึ้นมาบนเนินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แต่เขาเองก็ยังไม่อาจวางใจได้

"ถ้างั้น ผมจะผลัดกันอยู่ยามกับกัปปิตันเองคืนนี้ เดี๋ยวท่านนอนหลับเสียก่อนก็ได้ แล้วอีกซัก 3 ชั่วโมง ผมจะปลุกท่าน"

"อืมม์ แบบนั้นก็ได้"

"กัปปิตันใช้ตักผมแทนหมอนก็ได้นะครับ"

อินตีพูดออกไปเรื่อยเปื่อย เขากะว่ามิเกลคงทำตาเขียวใส่เขาและปฏิเสธลั่นแต่ก็ต้องตะลึงจนตัวแข็งเมื่อพรานหนุ่มพับผ้าขนหนูที่พาดคอไว้วางบนตักเขาแล้วเอนกายลงนอนอย่างว่าง่าย อินตีกลืนน้ำลายลงคอและพูดเสียงแหบๆ ออกมา

"กัปปิตัน..."

"อะไร? จะเปลี่ยนใจแล้วรึ อินตี?"

พรานพื้นเมืองส่ายหน้าระรัว มิเกลนอนพลิกไปพลิกมาบนตักกว้างนั้น แล้วถอนหายใจออกมา

"ฉันนอนไม่หลับ นายเล่านิทานอะไรก็ได้ให้ฉันฟังหน่อยสิ อินตี ได้ฟังเสียงของนายตอนก่อนนอนแล้วมันสบายหูดี ทำให้ฉันหลับสบาย..."

"...เหมือนตอนที่เราติดอยู่ในถ้ำด้วยกันน่ะ"

อินตีอึ้งและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ใสกระจ่างดั่งดาวคู่นั้น แว่บหนึ่งเขาเห็นแววยั่วเย้าในดวงตาที่ปกติมีแต่ความเคร่งขรึม ปากอิ่มที่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่นั้นชวนให้เขาคิดเตลิดไปไกล พรานร่างใหญ่ข่มใจและเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฟัง



"ช่วงต้นศตวรรษมีหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งนามว่ามิกิ เธอและครอบครัวอพยพหนีความยากจนจากอีกฟากหนึ่งของโลกตั้งแต่เธอยังเล็กและมายังดินแดนแถบนี้เพื่อแสวงหางานและความร่ำรวย..."

มิกิโตมาเป็นสาวสะพรั่งวัย 18 ปี เมื่อเธอถูกลักพาตัวจากบ้าน กลุ่มคนที่จับเธอไปนั้นยังได้จับหญิงสาวและชายหนุ่มจากที่ต่างๆ ไปอีกหลายคน พวกเขาพาเธอรอนแรมเข้าไปในป่าลึกจนมาถึงดินแดนลึกลับที่่ตั้งอยู่บนเขาสูงชัน ที่นั่น เธอและคนอื่นๆ ถูกจับไปขัดสีฉวีวรรณและเลี้ยงดูอย่างดี

จนกระทั่งวันหนึ่ง พวกเธอถูกจับแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันงดงามพร้อมด้วยเครื่องประดับหรูหรา และถูกนำตัวไปยังท้องพระโรงที่ประดับประดาไปด้วยทองและอัญมณี บนบัลลังก์มีกษัตริย์ผู้แก่เฒ่านั่งอยู่ เบื้องหน้าพระองค์เป็นชายหนุ่มและหญิงสาววัยกำดัดแต่งกายสวยงามยืนเรียงรายอยู่หลายคน หากมีคนหนึ่งที่แต่งกายหรูหรากว่าคนอื่นโดยมีเครื่องประดับศีรษะเป็นแผ่นทองที่แผ่ออกกว้างเป็นรัศมี ใบหน้าของเขานั้นหล่อเหลาปานรูปสลัก ร่างนั้นเหมือนรู้สึกได้ว่าถูกเธอจ้องมองและส่งยิ้มละไมกลับมาให้เธอ มิกิหน้าแดงซ่านและหลบตาอย่างรวดเร็ว

พวกเธอยืนอยู่ในท้องพระโรงครู่ใหญ่ก่อนจะถูกนำตัวออกไปโดยถูกแยกกันไปคนละที่ละทาง มิกิถูกพาตัวไปยังวังอันโอ่อ่าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้และพฤกษานานาพรรณ เธอถูกนำตัวไปรอในห้องนอนกว้าง สาวน้อยได้แต่ทอดอาลัยในชะตาของตัวเอง เธอคงไม่แคล้วต้องตกเป็นนางบำเรอของใครสักคนอย่างแน่แท้ ไม่นานนัก ประตูห้องนั้นก็เปิดออก



มิกิได้แต่นั่งตะลึงงัน คนที่เข้ามาคือชายหนุ่มแต่งกายหรูหราคนนั้น เขาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอและถามว่าเธอเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ มิกิพยักหน้า เธออยู่เปรูนานพอที่จะเข้าใจภาษาเก็ตชวา หากยังพูดได้ไม่คล่องนักเพราะโดยมากมักใช้ภาษาสเปนมากกว่า

"อย่ากลัวไปเลย นางผู้มีผมดำ ข้าชื่อ Ayar Amaru เจ้าชื่ออะไร?"

มิกิได้บอกชื่อของตนกับชายผู้นั้นไป เธอได้ถามว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วทำไมเธอถึงถูกจับมา

"ที่นี่คือ Hanan Pacha ดินแดนแห่งสุริยะเทพอินตีและเจ้าถูกพามาเพื่อเป็นภรรยาของข้า"

มิกิถอยกรูดเข้าไปจนชิดผนังด้วยความกลัว แม้ชายหนุ่มจะดูอ่อนโยน แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะพลีกายให้คนแปลกหน้า

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขาบอกเธอว่าเขาจะไม่ฝืนใจเธอและจะรอจนกว่าวันที่เธอยอมรับเขา

Ayar Amaru ทำตามคำพูด เขาไม่รุกเร้าหรือจาบจ้วงใดๆ ต่อสาวผมดำคนนี้ แม้ที่นี่จะเป็นตำหนักของเขา แต่เขาก็ยกห้องนอนของตนให้มิกิ ส่วนตนไปนอนในห้องพักที่เล็กกว่า ชายหนุ่มผู้งามสง่าคนนี้ตกหลุมรักสาวนัยน์ตาและผมดำคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น เขามาหาเธอทุกวันเพื่อพูดคุยและทำความรู้จัก เขาเล่าเรื่องต่างๆ นานาของเมืองนี้ให้เธอฟังและเธอเล่าเรื่องที่ๆ เธอจากมารวมทั้งเรื่องประเทศญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอให้เขาฟังกลับคืน อะมารุให้อิสระแก่มิกิเต็มที่ตามที่เธอต้องการ เธอสามารถเดินเล่นในที่ต่างๆ ในเขตพระราชวังได้อย่างอิสระ ระหว่างนั้นเธอได้พบหญิงสาวหลายคนที่ถูกพามาพร้อมเธอ ทุกคนล้วนมีแววตาเศร้าหมอง หลายคนได้เริ่มตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอได้รับรู้ว่าชายหญิงแต่งกายสวยงามที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ในวันนั้นล้วนเป็นเจ้าหญิงและเจ้าชายของอาณาจักรนี้ และผู้เป็นสวามีของเธอนั้นเป็นถึงองค์ยุพราช



"พวกท่านลักตัวคนหนุ่มสาวจากภายนอกมาทำไม อะมารุ?"

หญิงสาวถามชายหนุ่มที่นอนหนุนตักของเธอในสวนที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นดอกไม้ อะมารุถอนหายใจเฮือกใหญ่

"มันเป็นธรรมเนียมสืบทอดมาแต่โบราณของเมืองเรา"

เขาเริ่มเล่าทุกสิ่งให้มิกิฟัง บรรพชนของเขาซึ่งกล่าวกันว่าสืบเชื้อสายมาจากองค์สุริยะเทพเล็งเห็นว่าการแต่งงานแต่ในหมู่เครือญาตินั้นจะทำให้เกิดโรคภัย พวกเขาจึงออกกฎว่าต้องหาคนภายนอกมาสมสู่กับเหล่าเจ้าชายและเจ้าหญิงวัยเจริญพันธุ์ในปีที่องค์รัชทายาทอายุครบ 25 ปี เพื่อให้ได้ทายาทที่แข็งแรง และจะเลือกทารกชายหรือหญิงที่แข็งแรงและงดงามที่สุดขึ้นเป็นรัชทายาท แต่มีข้อยกเว้นเมื่อมีทารกคนใดคนหนึ่งในหมู่นั้นเกิดมาพร้อมสัญลักษณ์ขององค์สุริยะเทพ ทารกคนนั้นจะเป็นผู้สืบบัลลังก์โดยอัตโนมัติ

"ในรุ่นของข้านั้นไม่มีคนที่มีสัญลักษณ์เทพเลย อันที่จริงไม่มีทายาทที่มีสัญลักษณ์นั้นมาหลายรุ่นแล้ว ข้าถูกเลือกเพราะข้าเป็นเด็กที่แข็งแรงที่สุด และถูกประทับตราขององค์เทพลงไปเพื่อแทนสัญลักษณ์ที่ข้าไม่มี"

อะมารุลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดให้ดูรอยสักสีน้ำตาลเข้มบนอกซ้ายของเขา มิกิโน้มกายลงจุมพิตบนสัญลักษณ์นั้นเบาๆ ก่อนจะยิ้มและกล่าวอย่างเอียงอาย

"ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ควรเริ่มทำหน้าที่ของข้าได้แล้ว"

อะมารุหัวเราะร่าและลุกขึ้นอุ้มร่างของเจ้าสาวของเขาเข้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็ว



ไม่นาน มิกิก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายที่แข็งแรงและงดงามออกมาหนึ่งคน หากแทนที่อะมารุจะยินดีเขากลับหน้าซีดเผือดและผลุนผลันออกตำหนักไปอย่างรวดเร็ว เขากลับมายังตำหนักในตอนเย็นด้วยสีหน้าที่ท้อแท้และสิ้นหวัง เขากอดเมียและลูกน้อยที่เพิ่งเกิดและสะอื้นไห้เบาๆ บุตรของเขาเกิดมาพร้อมกับปานสีน้ำตาลอ่อนรูปพระอาทิตย์ที่ท้องน้อย มันคือสัญลักษณ์ขององค์เทพที่หายไปนาน

"ท่านควรจะยินดีสิ ลูกของเราจะได้ครองราชย์ต่อจากท่านยังไงล่ะ"

มิกิยิ้มอย่างอ่อนแรง หากเธอก็ต้องหน้าซีดเผือดเช่นกันเมื่อได้รู้ความจริงจากปากของอะมารุ จริงอยู่ที่ลูกของเธอจะได้ขึ้นเป็นรัชทายาท แต่มันก็ต้องแลกมากับชีวิตของเธอ ในปีที่เด็กที่ถูกเลือกอายุครบ 5 ขวบ เขาจะถูกสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท และมารดาหรือบิดาที่เป็นคนนอกนั้นก็จะถูกสังเวยแด่องค์เทพในพิธีสถาปนานั้นด้วยการฝังทั้งเป็น ในอดีตการกระทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจยากอะไรสำหรับเจ้าชายและเจ้าหญิงผู้เป็นคู่ของชายหญิงเหล่านั้น เพราะคนเหล่านั้นถูกใช้เป็นแค่เครื่องสืบพันธุ์เท่านั้น หากสำหรับยุพราชหนุ่มแล้ว เขาตกหลุมรักชายาผมดำของเขาด้วยใจจริง เขาพยายามต่อรองกับองค์กษัตริย์ผู้เป็นลุงแต่ก็ถูกโทปาผู้เป็นอาและเป็นนักบวชประจำวิหารเทพปฏิเสธ

มิกิปลอบผู้เป็นสวามีและบอกว่าเธอยอมรับชะตากรรมของเธอ หากทุกอย่างก็มาถึงจุดพลิกผันเมื่อกษัตริย์องค์เดิมสิ้นพระชนม์ลงในอีกสองปีให้หลัง อะมารุขึ้นครองราชย์และพยายามเปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลที่ว่าด้วยการสังเวยมนุษย์ เขายังพยายามจับโทปาสังหาร หากข่าวนั้นรั่วไปถึงหูของนักบวชร้ายเสียก่อน อะมารุถูกล้อมจับและสังหารต่อหน้าลูกเมียโดยอ้างบัญชาขององค์สุริยะเทพ โทปายกเจ้าหญิงน้อยซึ่งเกิดจากองค์ชายที่เป็นทายาทสายตรงของเขาขึ้นเป็นว่าที่รัชทายาทและตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ มิกิและลูกน้อยอายุสองขวบถูกขังเพื่อรอเป็นเครื่องสังเวยในพิธีสถาปนาฯ หากผู้ที่ยังภักดีต่อองค์อะมารุลอบพาทั้งสองหนีออกมาจนพ้นเขตเมืองเทพ



"มิกิกับลูกออกจากป่าทึบมาได้ พวกเขาเร่ร่อนจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งเพื่อหลบหนีหูตาของคนในเมืองนั้น แต่มิกิถูกฆ่าตายตอนที่องค์ชายน้อยอายุได้เพียง 7 ปี หากมีบาทหลวงใจดีชุบเลี้ยงองค์ชายมา ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะกลับมาเพื่อแก้แค้นให้บุพการีและกำจัดนักบวชชั่วนั่น"

อินตีจบเรื่องของเขาด้วยน้ำเสียงกร้าว เขาเหม่อมองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้า ก่อนจะก้มลงมองร่างสันทัดที่นอนหนุนตักของเขาอยู่ มิเกลหลับสนิทไปแล้ว อินตีลูบผมของกัปปิตันหนุ่มผู้เป็นแรงใจของเขาเบาๆ ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากดึงคนๆ นี้พร้อมทั้งคนอื่นในคณะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของเขาด้วยเลย แต่ดูท่าทางว่ามันจะเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว


-----------------------------------------------


ตอนนี้ยาวมากกกกกกกก ยิ่งเขียนยิ่งมันค่ะ จบ 5 ตอนจนได้ แต่ตอนหน้าน่า่จะมีเจกับฆาบี้โผล่มาตอนจบด้วย การันตี NC (ถ้าเรื่องฝันมันไม่ยาวเกินนะ)  ฮ่าๆๆๆ

พิธีกรรมอย่าง Inti Raymi หรือชื่อเทพต่างๆ นั้นมีจริงตามตำนานอินคาเดิมนะ แต่อิเรื่องหารัชทายาทหรือการไปหาหญิงสาวชายหนุ่มจากต่างแดนมานั่น มโนล้วนๆ ค่ะ ตามประวัติศาสตร์มีแค่ว่า เผ่าอินคานั้นยอมรับเรื่องการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์เพื่อหาแนวร่วม มันจึงทำให้พวกเขาเป็นชนเผ่าที่แข็งแกร่งและสืบต่ออาณาจักรมาได้ยาวนานพอสมควร อีกทั้งยังยอมให้เผ่าที่ถูกเข้าครอบครองนับถือเทพองค์เดิมได้ด้วย เพียงแต่ว่าต้องยกให้องค์เทพสูงสุดของอินคาอย่างสุริยะเทพเหนือกว่าค่ะ



] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/12/17/Sungoddisc.jpg[/img)


แผ่นทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของสุริยะเทพค่ะ นี่น่าจะเป็นอันจำลองจากที่เมือง Cusco ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ลิม่า อันจริงที่ว่ากันว่าเป็นทองคำทั้งอันนั้น ถ้าจำไม่ผิดจะถูกชาวอินคานำไปถ่วงน้ำเพื่อไม่ให้คนสเปนที่มายึดครองหาเจอค่ะ ถ้าเป็นรอยปานของอินตีก็จะมีรัศมีแหลมๆ ออกมารอบๆ อีก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2017 05:54:03 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
ตอนเยอะเกินละ ตัวหนังสือตรงหน้าสารบัญเก่าเกิน 20,000 คำ ก็ขอเปิดสารบัญใหม่ตรงนี้นะคะ

[SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.1    [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.2    [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.3    [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.4    [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.5    [SP] ฝันกลางฤดูร้อน - Lost&Found

[SP] จานนี้ที่อยากกินกับคุณ

73 - งานใหม่ของเจ    74 - Boys' Night Out    75 - วันวุ่นๆ ของเจนยุทธ    76 - Macau, Here We Come!    77 - กินดื่มที่ท่าเรือ#16    78 - Noodles & Curry    79 - ออกห้องกันได้แล้ว ฆาบี้!    80 - Temple & Tower    81 - ทาร์ตไข่ หมูหันและซังเกรีย    82 - Am I Worth Your Bet?    83 - กิ๊กเก่า ติ่มซำและบ้านโบราณ    84 - Eat-All-Day Jay    85 - Lo Siento...ฉันขอโทษ    86 - Late Night Noodle    87 - เซอไพรส์!    88 - Birthday Bliss    89 - Robuchon au Dôme    90 - หวานล้ำฉ่่ำทรวง    91 - Deeper! Harder!    92 - มื้อเช้า ปลาเค็มและเข้าโบสถ์    93 - Taipa Village Walk    94 - มื้อดึก...อีกแล้ว    95 - Mandarin House    96- เมา    97 - นกน้อยอร่อยล้ำ    98 - Pillow Talk

[SP] เรื่องของนพ

99 - สุขสันต์วันวาเลนไทน์    100 - Itadakimasu    101 - อาหารวันตรุษ    102 - Relatives...Good Ones And The Bad    103 - ความลับ    104 - Javier Can Cook    105 - ยามบ่ายที่บ้านแม่    106 - Cars and 'Pla'    107 - คืนร้อน     108 - Jay's Journey    109 - Destinations and Destiny    110 - Destinations and Destiny Pt.2    111 - Salad Day(s)    112 - "แน่ใจแล้วใช่ไหม?"    113 - Another Night...   
114 - ...Another Day
    115 - ครีม    116 - 'When I Fall In Love'

[SP] P.S. แอบรัก Pt. 1     [SP] P.S. แอบรัก Pt. 2   [SP] P.S. แอบรัก Pt.3    [SP] P.S. แอบรัก Pt.4    [SP] P.S. แอบรัก Pt.5    [SP] P.S. แอบรัก Pt.6   

117 - When We're Apart    118 - ปี๋ใหม่เมือง    119 - I 'Larb' You    120 - วัดเกต    121 - Coffee, Tea & Sweetest Thee    122 - คนขี้แกล้ง    123 - My Sexy School Boy    124 - แมนๆ เตะบอลครับ    125 - "WHY ME?"    126 - รักของฆาเบียร์    127 - Hot! Hot! Hot!    128 - เบอเกอร์แสนอร่อย    129 - Scandal    130 - ฆาเบียร์สู้ๆ    131 - U R F--king Crazy    132 - ฮ่องกงแพงมาก!    133 - Chit-Chat    134 - "อย่าทำทะลึ่งครับ Baby"    135 - Take It Off!    136 - ระบำโป๊    137 - One Fine Day    138 - ไม่อาจหลับตา    139 - Cheese and Ham   140 - ก๊วนคุณลุง   141 - "Don't Judge..."   142 - ค่ำคืนของเขากับเหล่าคุณลุง   143 - "I Want to Forget..."   144 - ความสุขที่คู่ควร   145 - Yum! 'Yum Cha'   146 - "หรือว่าอาปา...?"   147 - Let's...Outdoor   148 - เมามาย   149 - Away Again - ตอนแรก   150 - Away Again - ตอนกลาง   151 - Away Again (ตอนปลาย)   152 - ความแตก (ตอนต้น)   153 - ความแตก (ตอนกลาง)   154 - ความแตก(ตอนปลาย)   155 - First Anniversary   156 - เช้านี้เจกินอะไร   157 - Places to Remember   158 - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 21:15:18 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.5 ----




มิเกลสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่ออินตีเขย่าตัวเขาเบาๆ เขาหลับสนิทอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง นั่นคงเป็นเพราะเขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ข้างพรานหนุ่มร่างใหญ่คนนี้

"กี่โมงแล้ว?"

"ประมาณตี 2 แล้วครับ อีกสัก 4 ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว"

มิเกลโคลงหัวเบาๆ แล้วบ่นอินตีที่ปล่อยเขาหลับยาวไปถึง 5 ชั่วโมง

"แกก็นอนได้แล้ว อย่างน้อยพักสักหน่อยก็ยังดี ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราต้องเดินกันอีกนานแค่ไหน เดี๋ยวฉันจะปลุกแกกับคนอื่นตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วกัน"

พรานร่างใหญ่รับคำ เขาก็เริ่มง่วงจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาทำใจปลุกมิเกลที่นอนหลับอย่างสบายอารมณ์ไม่ได้ เขาย้ายมิเกลลงนอนหนุนเป้หลังของตัวเองเพราะมันน่าจะสบายกว่าตักแข็งๆ แต่มิเกลก็ยังหลับสนิทไม่ตื่นจนกระทั่งเขาเขย่าปลุกเมื่อครู่ อินตีขยับจะลุกขึ้นไปนอนกับพวกลูกหาบ

"เดี๋ยว..."

มิเกลดึงมือใหญ่ของอินตีไว้อย่างลืมตัว เขารีบปล่อยทันทีเมื่อหนุ่มร่างใหญ่หันมาสบตา

"แกนอนที่นี่ดีกว่า อย่างน้อยเผื่อฉันเผลอหลับ"

อินตีลอบมองใบหน้าคมสันของมิเกล ถ้าตาไม่ฝาดเขาคิดว่าเขาเห็นใบหน้านั้นแดงซ่านขึ้นน้อยๆ เขาแอบยิ้ม เหตุผลของกัปปิตันของเขานั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ตั้งแต่เข้าป่าด้วยกันกว่าสามเดือนนี้ เขาไม่เคยเห็นมิเกลเผลอหลับยามเลยสักครั้งเว้นแต่ตอนโดนรมยาสลบเมื่อไม่กี่คืนก่อน แต่ถ้าเจ้าตัวพูดแบบนี้เขาก็ไม่ขัด อินตีทรุดกายลงนั่งเคียงข้างมิเกล แต่ก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว มิเกลก็รั้งไหล่เขาให้ลงนอนบนตักของตัวเอง

"ก็เมื่อกี้แกยอมให้ฉันหนุนตักตั้งนาน..."

มิเกลพูดแก้เขินเมื่อสายตาคมวาวของคนที่นอนอยู่จ้องเป๋งมาที่เขาเป็นเชิงถาม

"คืนนี้ผมคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ"

อินตีพูดพลางยิ้มกว้าง มิเกลเบือนหน้าหนีจากฟันขาวๆ ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเขามาเนิ่นนาน เขาเคยนึกโกรธแค้นเจ้าของรอยยิ้มนั้น แต่เมื่อได้รับรู้เหตุผลที่อินตียิงปืนใส่เขาในวันนั้นแล้ว ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไป ยิ่งรู้ถึงสิ่งที่อินตีทำให้เขามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขายิ่งรู้สึกตื้นตัน มิเกลอดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำของหนุ่มร่างใหญ่เบาๆ



"กัปปิตันครับ..."

อินตีพูดขึ้นทั้งที่หลับตา

"...ลูบหัวผมอีกสิครับ"

มิเกลที่หยุดมือไปแล้วยกมือขึ้นลูบผมหยักศกนั้นอีก อินตีกลั้นสะอื้น สัมผัสของมิเกลทำให้เขานึกถึงแม่ขึ้นมา เมื่อยังเด็ก ทั้งตอนที่อยู่ในวังและตอนที่ออกเร่ร่อน ไม่ว่าจะนอนตามข้างถนนหนทางหรือที่ไหน ก่อนนอนแม่เขาจะลูบผมเขาจนหลับไปทุกครั้ง

'แม่ครับ ผมเกือบจะถึงจุดหมายแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ผมจะเอาสิ่งที่ควรเป็นของพ่อ ควรเป็นของผมคืนมาให้ได้'

หนุ่มร่างใหญ่กระซิบในใจถึงมารดาผู้ล่วงลับ น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น มิเกลใจหายเมื่อรู้สึกถึงหยดน้ำอุ่นๆ ที่ซึมผ่านกางเกง เขาบีบไหล่ที่สั่นสะท้านของคนที่หนุนตักเขาอยู่เบาๆ มิเกลรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้พลัดถิ่นคนนี้อย่างบอกไม่ถูก เขานึกไม่ออกเลยว่าต่อไปไหล่กว้างนี้ต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงถึงเพียงไหน เมื่อตอนหัวค่ำ หลังจากได้รับฟังเรื่องราวที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นนิทานไป พรานหนุ่มผู้นี้ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยอินตีให้ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ทองสมกับที่เขาควรได้รับ

"หลับเถิด เจ้าชาย"

มิเกลกระซิบแผ่วๆ กับร่างที่หลับสนิทบนตักของเขา ก่อนจะหยิบไรเฟิลมาพิงกายในท่าเตรียมพร้อมตามที่เคยทำเป็นกิจวัตร



เช้าวันแรกของเทศกาล Inti Raymi หรือเทศกาลเฉลิมฉลองแด่องค์สุริยะเทพก็มาถึง มิเกลปลุกอินตีและผู้ร่วมคณะคนอื่นขึ้นมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังแผ่นโลหะบนยอดเขาขาดนั้น เมื่อตะวันขึ้นจนพ้นเทือกเขาหิมะทางด้านตะวันออก แสงเรืองรองของพระอาทิตย์ก็ปะทะเข้ากับแผ่นโลหะนั้นและกลายเป็นประกายทองระยิบระยับสาดส่องไปทั่วบริเวณ ทุกคนตะลึงงัน เมื่อต้องแสงตะวันในองศาที่ถูกต้อง มันเผยให้เห็นว่าแผ่นโลหะขนาดใหญ่นั้นทำจากทองคำบริสุทธิ์ แสงสีทองนั้นฉาบไปทั่วเนินตะวัน แต่มันก็ยังไม่ได้ทำให้เห็นทิศทางที่พวกเขาต้องเดินไป

"ผมว่า เราอาจจะต้องรออีกสักพัก นี่ยังไม่พ้นเที่ยงเลย เรามีเวลาอีกจนกว่าพระอาทิตย์ตก"

มิเกลพูดกับนายจ้าง เขาบอกว่าให้นายจ้างพักผ่อนตามอัธยาศัยกันก่อนส่วนเขาและพรานผู้ช่วยจะช่วยกันดูปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้เอง

"อินตี แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่แกเคยบอกไว้ไหม?"

มิเกลหันไปถามพรานร่างใหญ่เมื่อนายจ้างเข้าไปนั่งในกระโจมแล้ว อินตีส่ายหน้า

"แม่ผมเองก็ไม่ทราบครับ เพราะตอนเข้าไปในเมืองนั้นแม่ถูกปิดตาไว้ ตอนออกมาก็ไม่ได้สังเกตเพราะว่าต้องรีบหนี"

"...แต่ถ้าให้ผมเดา ผมว่าเราคงต้องรอจนพระอาทิตย์ไปอยู่ด้านหลังของแผ่นทองนั้นเสียก่อน"



เป็นจริงดั่งที่พรานร่างใหญ่คาดไว้ เมื่อเวลาล่วงไปถึงบ่าย ยามพระอาทิตย์โคจรผ่านลงไปยังทิศตะวันตก ทันทีที่มันลับลงหลังแผ่นทองนั้นก็พลันเกิดเป็นลำแสงสีทองสาดส่องออกมาจากช่องดวงตาข้างซ้ายของรูปสลักสุริยะเทพ พรานโฆเซ่ที่เป็นคนเฝ้าดูนั้นลุกขึ้นเอะอะจนทุกคนในคณะกรูกันมาดู ลำแสงนั้นชัดเจนและไม่ฟุ้งกระจายไปอย่างน่าประหลาด มันส่องเป็นลำไปยังเทือกเขาทางตะวันออกที่ทอดยาาวอยู่ไม่ห่าง มันส่องให้เห็นปากถ้ำแห่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาเด่นชัด ปากถ้ำนั้นระยิบระยับไปด้วยประกายทองคำท่ามกลางหิมะสีขาว นายจ้างรีบควักกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูแล้วก็ต้องตะโกนลั่นเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของสุริยเทพประทับเด่นเหนือปากถ้ำ

"ไม่ผิดแน่ มิเกล ที่นั่นแหละ ทางเข้าที่เราตามหา"

มิเกลรีบล้วงแผนที่ฉบับสำเนาของเขาออกมา เขาล้วงเข็มทิศออกมาวัดองศาและอื่นๆ พร้อมกับขีดเส้นลากลงไปบนนั้น

"เผื่อว่าลำแสงนั้นจะหายไปครับ"

เขาตอบสั้นๆ และเป็นจริงอย่างที่เขาพูด แม้ลำแสงนั้นจะฉายส่องอยู่นานประหนึ่งพระอาทิตย์ถูกตรึงติดไว้ที่เดิม แต่มันก็ส่องอยู่เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก่อนที่ตะวันจะคล้อยตกลับไป คณะเดินทางตกลงใจจะออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะไม่อยากลุยขึ้นภูเขาหิมะในตอนกลางคืน อินตีเองก็บอกนายจ้างว่าเส้นทางนี้ยังไม่น่าจะเปลี่ยนไป เพราะยังเหลือเวลาอีกสามวันจนกว่าจะพ้นเทศกาลฉลองพระอาทิตย์



"กัปปิตันครับ..."

พรานหนุ่มร่างใหญ่เอ่ยขึ้นเบาๆ มิเกลที่นอนเคียงข้างอินตีท่ามกลางหมู่พรานและลูกหาบที่หลับสนิทแล้วตอบรับเบาๆ

"ผมอาจจะต้องปลีกตัวไปเมื่อเข้าถึงดินแดนหลังเทือกเขานั้น..."

อินตีพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงหดหู่

"...ผมอยากจะขอกัปปิตันว่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงผม ขอให้ท่านและคณะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวท่านคริสโตบัลคืนมา และถ้าจำเป็น โปรดเล่าเรื่องที่ผมเล่าให้ท่านฟังเมื่อคืนให้คุณชายกับท่านหญิงฟัง พวกท่านจะได้เข้าใจ"

มิเกลรับคำ

"ฉันก็ขออะไรแกอย่างหนึ่ง อินตี ถ้าทำได้ ถ้าแกต้องผละไปจริงๆ ก็ให้ริบอาวุธพวกเราเสีย เหลือแค่ปืนสั้นติดตัวก็พอ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่าผู้พันอัลฟองโซจะไม่ระเบิดเมืองของแกทิ้ง!"

มิเกลพูดเสียงหนักๆ ก่อนจะพลิกกายนอนหันหลังให้กับพรานหนุ่มร่างใหญ่ที่ได้แต่ทำตาปริบๆ



คณะเดินทางเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากเนินตะวันเมื่อรุ่งสาง พวกเขาไม่กังวลเรื่องความหนาวเย็นบนเทือกเขาหิมะเพราะเคยเจอมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ลูกหาบคนหนึ่งของมิเกลเป็นหมอยาท้องถิ่นและมีผงกันหนาวที่ทำจากผลไม้หายากชนิดหนึ่งนำไปตากแห้งและบด เมื่อนำผสมกับเหล้าซึ่งท่านเคาท์หนุ่มมีติดมาเหลือเฟือก็จะมีฤทธิ์ต้านทานความหนาวได้ พวกเขาเพียงแค่ต้องระวังความลื่นของหิมะและพยายามไม่เดินนอกเส้นทางจนตกหล่มหิมะสูง

ผู้ที่นำทางเดินบนภูเขาหิมะแห่งนี้คือมิเกลซึ่งต้นตระกูลเป็นพรานบนเทือกเขา Sierra Nevada ในแคว้นอันดาลูเซียทางใต้ของสเปน ส่วนอินตีซึ่งอาศัยกับบาทหลวงที่ Ripoll เมืองน้อยริมเทือกเขา Pyrenees ที่ห่างจากบาร์เซโลน่าไปสามชั่วโมงนั้นก็คุ้นเคยกับการเดินทางบนเทือกเขาหิมะและช่วยมิเกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหล่าลูกหาบเองก็ล้วนชินกับการเดินทางบนเทือกเขาแอนดีสซึ่งมีหิมะปกคลุมในฤดูหนาว ที่ลำบากกว่าใครเพื่อนก็คงเป็นนายจ้างทั้งสองซึ่งแม้จะคุ้นชินกับการไปเล่นสกีในสกีรีสอร์ท แต่ก็ไม่เคยเจอหิมะที่ไม่ได้ผ่านการปรับไถเช่นนี้มาก่อน หากก็ไม่มีใครปริปากบ่นออกมา



พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณ 8 ชั่วโมงจนถึงบริเวณที่ควรจะเป็นปากถ้ำตามที่มิเกลขีดเส้นไว้ แต่พวกเขาไม่เห็นปากถ้ำสีทองอร่ามแบบที่พวกเขาเห็นเมื่อวานนี้ เห็นเพียงม่านหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่ขณะที่พวกเขากำลังงงงวยอยู่นั้นก็พลันมีลำแสงสีทองอร่่ามพุ่งแหวกม่านหมอกให้มลายหายไป พวกเขาหันกลับไปดูจึงพบว่าแสงนั้นมาจากแผ่นโลหะบนช่องเขาขาดที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ พระอาทิตย์น่าจะเคลื่อนคล้อยจนอยู่ในตำแหน่งเดิมกับเมื่อวานนี้ มิเกลหันกลับไปยังสุดปลายลำแสงและพบถ้ำทองที่พวกเขาตามหา มันดูใหญ่โตกว่าที่พวกเขาคิดมาก

ปากถ้ำนั้นใหญ่ขนาดที่คนนับสิบคนเดินเรียงหน้ากระดานกันเข้าไปได้และสูงประมาณตึกสามชั้น ที่ปากถ้ำกรุด้วยแผ่นทองคำสลักลวดลายต่างๆ กัน ท่านหญิงสำรวจด้วยความสนใจ ลวดลายเหล่านั้นมาจากหลากหลายอารยธรรม ทั้งแบบอินคา แอซเท็ค มายา หรือกระทั่งจากอารยธรรมจากที่ไกลโพ้นอย่างจีน สุเมเรียน กรีก และอินเดีย ที่บนสุดของถ้ำคือดวงตะวันที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสุริยเทพ

"เรารีบเข้าไปดีกว่าครับ ไม่รู้ว่าเราต้องเดินกันอีกนานแค่ไหนในถ้ำนั้น"

มิเกลบอกท่านหญิงที่ทำท่าสนใจกับลวดลายที่ปากถ้ำนั้น ก่อนจะพาทุกคนเดินเข้าในถ้ำต่อ ในถ้ำนั้นมลังเมลืองไปด้วยลำแสงสีทองจากแสงตะวันยามเย็น ทุกคนตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นหินสีสันต่างๆ ที่ระยิบระยับสะท้อนแสงไฟ เหล่าพรานผู้ช่วยทำท่าจะอยากไปสกัดมาดูว่ามันเป็นหินมีค่าหรือไม่แต่มิเกลห้ามไว้ พวกเขาเดินลึกเข้าไปในถ้ำกว้างนั้น ภายในถ้ำนี้อบอุ่นกว่าภายนอกมาก แสงสว่างจากภายนอกเริ่มหมดไปแล้ว พรานหนุ่มสั่งให้ลูกหาบเอาไต้ที่เตรียมไว้ออกมาจุด

พวกเขาใช้เวลาเดินในถ้ำประมาณชั่วโมงหนึ่ง เส้นทางก็พาพวกเขามาจนถึงบันไดหินขนาดใหญ่สูงนับร้อยขั้น ที่สุดปลายบันไดเป็นช่องเปิดที่มีแสงไฟเรืองรอง

"ถ้าออกไปแล้วมีทหารมาล้อมจับพวกเรา แกจะทำยังไง?"

มิเกลถามอินตีด้วยความหวั่นวิตก พรานร่างใหญ่หัวเราะเบาๆ

"ผมรับประกันได้ว่าไม่มีแน่นอนครับ"

อินตีตอบด้วยความมั่นใจด้วยสาเหตุที่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ มิเกลมองลึกเข้าไปในตาคมวาวคู่นั้นและยิ้มออกมาบางๆ ในเมื่อมันมั่นใจ เขาก็ไม่มีเหตุที่จะต้องห่วง



มิเกลพาชาวคณะก้าวขึ้นบันไดหินซึ่งดูเก่าแก่แต่แข็งแรงนั้น พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงช่องเปิดที่ปลายสุดบันได แต่มันไม่ใช่ปากถ้ำอย่างที่คิด มันเป็นเหมือนกรอบประตูทำจากหินขนาดใหญ่ พวกเขาเดินออกจากประตูนั้นไป ภายนอกนั้นเป็นลานโล่งขนาดใหญ่ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 30 เมตร นักโบราณคดีอย่างมาริโซลนั้นตื่นเต้นเมื่อพบว่าพวกเธอกำลังยืนอยู่บนยอดของปิรามิดขั้นบันไดแบบมายาซึ่งเป็นอีกอารยธรรมหนึ่งในอเมริกากลาง

ดอนอัลฟองโซยกนาฬิกาของเขาขึ้นดู ขณะนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว ลมเย็นโชยมาแผ่วๆ หากมันเทียบไม่ได้สักนิดกับอากาศหนาวสุดขั้วที่พวกเขาเพิ่งเผชิญมา

"แปลกจริง!"

ดอนอัลฟองโซอุทานขึ้น อากาศที่นี่ก็ไม่ควรจะต่างกับที่อีกฟากหนึ่งของภูเขามากนัก ถึงจะเดินมาประมาณชั่วโมงหนึ่ง เขาจำได้ว่าเดินขึ้นสูงกว่าปากถ้ำที่เต็มไปด้วยหิมะเมื่อครู่​ด้วยซ้ำ ที่นี่ก็ควรจะเต็มไปด้วยหิมะ อีกทั้งเขายังไม่รู้สึกอึดอัดหายใจยากเพราะอากาศบางเหมือนเมื่อครู่อีกด้วย

"ยินดีต้อนรับสู่ Hanan Pacha ครับ ทุกท่าน"

อินตีหันมาค้อมหัวและยิ้มละไมให้ชาวคณะทุกคนซึ่งเริ่มถอดเสื้อผ้าอันหนาหนักซึ่งพวกเขาใส่กันหนาวออก

"ที่นี่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียสครับ เราไม่มีฤดูหนาวจัดหรือร้อนจัด"

"แต่ มันเป็นไปได้ยังไงล่ะ?"

ท่านหญิงประท้วงขึ้นมา

"ผมขอให้ทุกท่านลืมความเป็นไปได้ทุกอย่าง เรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ทุกๆ อย่าง ให้คิดเสียว่าท่านอยู่ในดินแดนในเทพนิยาย"

อินตีพูดยิ้มๆ นายจ้างและมิเกลได้แต่ทำตาปริบๆ มองหน้ากัน สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจตั้งค่ายพักบนลานหน้าประตูทางเข้าเพราะมันเป็นจุดสูงสุดที่เขาจะสามารถเห็นภัยที่มาคุกคามได้ชัดเจน มิเกลให้คนลงไปตัดกิ่งไม้มาตั้งขวางหน้ากรอบประตูเพื่อให้ได้ยินชัดเจนเวลามีสิ่งแปลกปลอมผ่านออกประตูมา ส่วนที่บันได เขาจุดไฟไว้หลายกองเพื่อให้เห็นสิ่งที่จะเข้ามาได้ชัดเจน พรานหนุ่มจัดเตรียมทุกอย่างไว้พรักพร้อม หากเขาไม่ได้นึกถึงสิ่งหนึ่ง

 

อินตีถอนหายใจหลังแอบโรยผงบางอย่างลงไปในกองไฟ ไม่นานนักทุกคนในค่ายก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอนและเอนกายหลับไปทีละคนสองคน เขาเดินตรวจตราค่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินมาหยุดและคุกเข่าลงที่ข้างร่างสันทัดที่นั่งเอนกายหลับตาพริ้มกับกำแพงหินเตี้ยๆ ริมบันได

"ผมขอลาไปก่อน กัปปิตันที่รักของผม หวังว่าผมจะได้กลับมาพบกับท่านอีกครั้งในไม่ช้า"

เขาชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะก้มลงจุมพิตเร็วๆ ที่ริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น

"เออ แกต้องรอดกลับมาหาฉันให้ได้นะ อินตี ห้ามแกเป็นอะไรไปก่อนฉันโดยเด็ดขาด ฉันจะรอแก จำไว้"

เสียงเบาๆ ไร้แววง่วงงุนลอดออกมาจากริมฝีปากที่เขาเพิ่งประทับจูบไป หนุ่มร่างใหญ่เบิกตาโพลง เขาอยากจะจับคนเจ้าเล่ห์เขย่าและกอดให้แน่นๆ แต่เสียงจากเจ้าของดวงตาใสกระจ่างดั่งดาวที่จ้องหน้าเขาอยู่ก็ไล่ให้เขารีบไป องค์ยุพราชแห่งดินแดนลึกลับแห่งนี้ทำท่าอิดออดและบอกว่าเขาอยากขอกำลังใจจากมิเกล พรานหนุ่มนิ่งไปพักใหญ่ก่อนยกมือกำไปที่ตำแหน่งของหัวใจและวางมันลงบนฝ่ามือใหญ่ของอินตี

"เอาไป กำลังใจจากฉัน ไปได้แล้ว เดี๋ยวคนของแกจะรอนาน"

อินตียิ้มกว้างออกมาและกำมือข้างนั้นและนำมาแตะที่ตำแหน่งของหัวใจตนเอง กำลังใจของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว มิเกลโบกมือไล่เขาอีกครั้งก่อนลงนอนราบเอาผ้าห่มคลุมโปง หนุ่มร่างใหญ่ยันกายลุกขึ้นและเดินลงบันไดปิรามิดไปหาเงาดำๆ กลุ่มหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้านล่าง



"นาย นายครับ มันหายไปหมดเลยครับนาย!"

มิเกลลุกขึ้นบิดขี้เกียจเมื่อได้ยินเสียงเอะอะของพวกพรานผู้ช่วยและลูกหาบของเขา เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปหาคนของเขาที่ยืนหน้าซีดเผือดกันอยู่ ดอนอัลฟองโซและมาริโซลซึ่งตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะก็เดินหาวหวอดๆ มาหากลุ่มลูกหาบ

"อะไรหายอีกล่ะ?"

"สัมภาระของเราครับ พวกปืน ระเบิด หายไปหมดเลย"

นายจ้างทั้งสองสะดุ้งและรีบไปสำรวจลังสัมภาระและอาวุธประจำกายของตน มันหายไปหมดเหลือแต่ปืนสั้นติดกายและกระสุนซึ่งเหลือไม่เยอะนัก

"อินตีมันก็หายไปด้วยครับ!"

ลูอิสพูดขึ้นอย่างเจ็บแค้น และก่นด่าพรานร่างใหญ่อย่างหนัก หากดอนอัลฟองโซหรี่ตาพิจารณามิเกลซึ่งมีทีท่าสงบนิ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"มิเกล คุณมีอะไรจะบอกผมหรือเปล่า?"

"คุณชายครับ..."

แต่ก่อนที่เขาจะทันเล่าอะไร พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงเป่าเขาดังขึ้นรับกันเป็นทอดๆ พร้อมกับมีทหารม้ากองร้อยหนึ่งห้อตะบึงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทันรู้ตัว พวกเขาก็ถูกทหารกลุ่มนั้นขึ้นมา 'เชิญตัว' เพื่อไปเป็น 'อาคันตุกะ' ของท่านหัวหน้านักบวชประจำวิหารสุริยเทพ มิเกลส่งสัญญาณบอกทุกคนไม่ให้ขัดขืนและยอมให้คุมตัวไปแต่โดยดี เหล่าคนที่มาคุมตัวพวกเขาไปเหมือนรู้ดีว่าในคณะของเขามีใครบ้าง มิเกลและนายจ้างของเขาถูกต้อนขึ้นนั่งเป็นรถม้าที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ส่วนเหล่าพรานผู้ช่วยและลูกหาบถูกพาขึ้นนั่งบนเกวียนที่มีหลังคาบังรวม 2 คัน



"เอาล่ะ มิเกล เล่ามาให้หมด นี่เรากำลังเจอกับอะไรอยู่กันแน่"

ดอนอัลฟองโซคาดคั้นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว มิเกลยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเล่าสิ่งที่เขาได้ฟังมาจากอินตีเมื่อคืนก่อน นายจ้างทั้งสองของเขาตกตะลึงเมื่อรู้ความจริง ท่านหญิงมาริโซลถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสาร พวกเขารู้รสชาติของการต้องพลัดถิ่นดี ในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองสเปนเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางทั้งหลายก็ต้องอพยพออกจากสเปนไปเมื่อรัฐบาลรีพับลิกันขึ้นเถลิงอำนาจ หากพวกเขายังไม่เคยได้ประสบความสูญเสียในแบบที่อินตีได้พบเจอ

"อินตีบอกว่า เราไม่ต้องห่วงเขาครับ ให้เอาตัวรอดและช่วยดอนคริสโตบัลออกมาก่อน"

มิเกลทิ้งท้ายไว้ เขาขอตัวลงจากรถม้าในช่วงที่กองทหารพักม้าและย้ายไปนั่งกับคนของเขาพร้อมเล่าสิ่งที่เพิ่งเล่าให้นายจ้างฟังไป ก่อนค่ำนั้น ทุกคนในคณะของเขาก็รับรู้เรื่องราวทุกอย่าง มิเกลบอกนายจ้างและคนของเขาว่าหากช่วยคริสโตบัลแล้วทุกคนสามารถกลับออกจากที่นี่ไปได้ เขาจะให้ลูอิสและโฆเซ่นำทางกลับไปและเขาเชื่อว่าทั้งคู่สามารถทำได้ สำหรับตัวเขาจะอยู่ต่อเพื่อช่วยอินตีต่อสู้ หากไม่มีใครสักคนแม้กระทั่งลูกหาบที่จะกลัวหรือคิดยอมแพ้กลับก่อน ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวว่าพวกเขาจะอยู่เพื่อช่วยพรานร่างใหญ่คนนั้น ดอนอัลฟองโซบอกว่าเขาคิดว่าวิธีเดียวที่จะช่วยคริสโตบัลได้คือต้องช่วยอินตีล้มล้างอำนาจของนักบวชแห่งวิหารสุริยเทพที่มีอยู่เหนือบัลลังก์ในขณะนี้



กองทหารม้าใช้เวลาเดินทางสองวันจึงมาถึงเขตเมืองหลวงของอาณาจักรในม่านหมอกแห่งนี้ ทุกคนในคณะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็น วันแรกของการเดินทางพวกเขารอนแรมอยู่ในเขตป่า วันที่สองพวกเขาผ่านเหล่าชุมชนเล็กๆ ที่ดูเหมือนชุมชนบ้านป่าทั่วไป หากทั้งกลางป่าและเลียบชุมชนเหล่านั้นมีถนนขนาดใหญ่ที่เป็นประกายไปด้วยทองคำ เมืองนี้ไม่ได้ใช้ทองทำถนนเป็นแผ่นแบบที่พวกเขาคิดกันในตอนแรก หากพวกเขาใช้หินผาที่มีสายแร่ทองคำปะปนทำถนนแทน

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดสำหรับเหล่าคณะเดินทาง สิ่งอัศจรรย์ที่พวกเขาได้เห็นคือเมื่อพวกเขาผ่านเข้ากำแพงเมืองไป เหล่าอาคารหลังกำแพงเมืองขนาดใหญ่นั้นสุกปลั่งไปด้วยประกายสีเงินและสีทองที่นำมาประกบแต่งแทนกระเบื้อง และติดประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันทั้งที่เจียระไนแล้วและอัญมณีดิบ ดอนอัลฟองโซอ้าปากค้าง นี่มันเหนือกว่าเอลโดราโด้ที่เขาเคยจินตนาการไว้อย่างเทียบกันไม่ติด หากสำหรับท่านหญิงแล้ว ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือบรรดาอาคารและรูปสลักที่ประดับประดา อาคารและสิ่งประดับเหล่านั้นต่างมีรูปแบบมาจากหลากอารยธรรมทั่วโลก ท่านหญิงชี้ให้ญาติผู้พี่ดูปราสาทหลังย่อมๆ ที่ดูละม้ายปราสาทขอม หมู่อาคารแบบกรีกที่กระจายตัวอยู่ทั่ว หรือรูปปั้นสิงโตมีปีกที่มีหัวเป็นผู้ชายมีหนวดยาวละม้ายตัวที่อยู่บนประตูแห่งเซอร์ซีสจากอาณาจักรเปอร์เซียและสฟิงส์จากอียิปต์ แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือกลุ่มอาคารแบบอินคาที่ตั้งอยู่เป็นกลุ่มบนเนินสูงที่อยู่สุดขอบเมือง



รถม้าและเกวียนพาคณะเดินทางขึ้นสู่เนินสูงนั้น รถม้าผ่านลานกว้างใหญ่ที่จุคนได้นับพันหรืออาจจะถึงหมื่นคน และในขณะนี้ก็มีผู้คนในเสื้อผ้าสีสันสดใสมากมายมารวมตัวกันเต้นรำและกินดื่มที่กลางลานนั้น มิเกลกระซิบบอกนายจ้างว่ามันคล้ายกับการเฉลิมฉลองเทศกาล Inti Raymi ที่จัดในเมืองคุสโก้เป็นประจำทุกปี ที่สุดลานกว้างเป็นหมู่อาคารบนยกพื้นหินขนาดกว้างยาวนับกิโล มันมีวิหารขนาดใหญ่แบบอินคาเป็นจุดศูนย์กลางและมีอาคารย่อยอีกหลายหลังล้อมรอบเหมือนรัศมีของดวงอาทิตย์ ที่ด้านหลังสุดติดกับภูเขาสูงเสียดฟ้าเป็นวิหารขนาดมหึมาที่สร้างโดยการสกัดภูเขาทั้งลูกเข้าไปคล้ายกับเมืองเพตราแห่งจอร์แดน ที่น่าประหลาดคือวิหารเหล่านั้นไม่ได้ตกแต่งประดับประดาด้วยทองและอัญมณีล้ำค่าเฉกเช่นเหล่าอาคารในเมือง แต่สร้างด้วยหินผาขนาดใหญ่ที่เรียงชิดติดกันจนกระดาษแม้แต่แผ่นเดียวก็แทรกผ่านไม่ได้ สิ่งเดียวที่ดูล้ำค่าคือแผ่นจานทองคำรูปสัญลักษณ์ขององค์สุริยเทพที่ใหญ่เทียบเท่ากับอันที่แขวนอยู่บนช่องเขาขาด มันตั้งอยู่บนแท่นหินยาวกลางลานกว้างบนยอดสุดของมหาวิหาร

หากรถม้าไม่ได้พาพวกเขาขึ้นไปยังวิหารเหล่านั้น มันพาพวกเขาเลี้ยวไปยังด้านซ้ายมือของหมู่วิหารเหล่านั้นซึ่งเป็นส่วนที่อยู่อาศัย มันประกอบด้วยสวนอันงดงามที่สะพรั่งไปด้วยไม้ดอกและไม้ผลและหมู่ปราสาทแบบยุโรปยุคเรอเนสซองส์และโกธิค พวกเขามาถึงอาคารหลังใหญ่ที่สุดซึ่งดูละม้ายคล้ายคลึงกับมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งนครวาติกัน รถม้าของพวกเขาหยุดลงและถูกคุมตัวเข้าไปด้านในอาคารหลังนั้นซึ่งเป็นโถงกว้างใหญ่ เบื้องหน้าพวกเขาเป็นยกพื้นกว้างซึ่งทำจากหินอ่อนดำเนื้อดี บนยกพื้นนั้นมีบัลลังก์ทองขนาดใหญ่และมีที่นั่งขนาดย่อมลงมาอีกสองตัวตั้งขนาบข้าง



"องค์ยุพราชและพระบิดาเสด็จออก! น้อมคารวะท่านหัวหน้านักบวชโทปา!"

เสียงเจ้าพนักงานประจำท้องพระโรงประกาศพร้อมเสียงรัวกรับแบบธรรมเนียมพราหมณ์ คณะผู้มาเยือนที่ตะลึงงันอยู่ถูกบังคับให้คุกเข่าลง ไม่นานนักเด็กน้อยวัยไม่เกินสองสามขวบหน้าตาน่ารักคนหนึ่งก็เดินออกมาและทรุดกายลงนั่งบนบัลลังก์ โดยมีชายอีกสองคนเดินตามหลังและนั่งลงประกบสองข้าง ชายคนแรกอายุประมาณ 70 ปี รูปร่างผอมสูง ใบหน้าเสี้ยม นัยน์ตาคมวาวในกรอบตาลึกนั้นช่างละม้ายคล้ายตางู ร่างนั้นใส่ทูนิคยาวเท่าเข่าทำจากผ้าลินินเนื้อดีปักลวดลายด้วยดิ้นทองและเงิน บนศีรษะใส่เครื่องหัวสีทองอร่ามที่มีตราสุริยเทพติดอยู่

ชายคนที่สองที่เดินตามมาสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าที่ปักด้วยดิ้นทองและอัญมณีเม็ดเล็กๆ สีสันต่างกันไป หากภายใต้เสื้อคลุมเป็นชุดผ้าแพรขาวเนื้อบางเบาทำให้เห็นเรือนร่างเพรียวบางได้ชัดเจน เขาลงนั่งไขว่ห้างและเห็นเรียวขาขาวที่โผล่พ้นรอยแหวกของผ้าออกมาชัดเจน แต่ที่ทำให้ดอนอัลฟองโซลุกพรวดขึ้นอย่างลืมตัวคือใบหน้าที่งดงามราวอิสตรีของร่างนั้น

"คริสโตบัล!"

ท่านเคาท์หนุ่มตะโกนออกไปเมื่อเห็นใบหน้างามที่อยู่ในใจเขาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ถูกด้ามหอกของทหารที่ยืนประกบอยู่ฟาดเข้าที่ข้อพับจนร่างล้มพับลงกับพื้น ดอนอัลฟองโซรู้สึกเหมือนตกลงในหุบเหวเมื่อเห็นคริสโตบัลซึ่งนั่งบนแท่นที่นั่งเคียงข้างเด็กน้อยมองลงมาอย่างเย็นชาประหนึ่งมองมดแมลงตัวหนึ่ง

ชายร่างสูงซึ่งนั่งประกบอยู่อีกข้างขององค์ยุพราชน้อยแค่นเสียงออกจากปากอย่างไม่พอใจ

"เจ้ารู้จักมันอย่างนั้นหรือ?"

ชายร่างสูงหันไปถามทายาทของโคลัมบัส หากริมฝีปากแดงระเรื่อบนใบหน้างามนั้นยิ้มเหยียด ก่อนสะบัดหน้าออกและใช้พัดขนนกในมือไล้เบาๆ ที่ริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์

"แค่พวกเศษธุลีจากชีวิตเดิิมของข้า พวกมันไม่ได้มีค่าอะไรต่อข้าอีกแล้ว"

"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสั่งกุดหัวมันให้หมด โทษฐานที่ทำให้เจ้าขัดใจ"

ท่านหญิงและมิเกลทำหน้าบอกไม่ถูกเมื่อเห็นรอยยิ้มประจบประแจงของชายร่างสูงที่ดูทีท่าตกอยู่ใต้เสน่ห์ของดอนคริสโตบัลอย่างเห็นได้ชัด ดอนอัลฟองโซนั้นกลับก้มหน้านิ่งและไม่เงยหน้าไปมองอดีตคนรักอีก

คริสโตบัลลุกจากที่นั่งและเดินนวยนาดไปนวดเฟ้นไหล่ให้ชายร่างสูงอย่างไม่อายสายตาใคร

"ท่านโทปา ทำแบบนั้นก็รังแต่จะเสียของ สู้เก็บพวกนั้นไว้ใช้แรงงานกับใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ดีกว่า"

คริสโตบัลยิ้มอย่างยั่วยวนให้หัวหน้านักบวชเฒ่าซึ่งพยักหน้ารับคำก่อนจะสั่งให้เหล่าทหารพาตัวคนทั้งหมดไปขังไว้ มิเกลและท่านหญิงทำท่าจะควักปืนสั้นของตนออกมาแต่ถูกดอนอัลฟองโซยกมือห้ามไว้ และปล่อยให้เหล่าทหารพาเขาไปยังเรือนน้อยกลางสวนอันเป็นที่คุมขังนักโทษระดับเชื้อพระวงค์ ในนั้นไม่ต่างอะไรจากบ้านอันหรูหราหากหน้าต่างทุกบานถูกตอกไว้ด้วยซี่กรงหนาแน่นและประตูถูกลั่นดานใส่กุญแจไว้


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt.5 (ต่อ) ----




"ท่านพี่คะ ทำไมไม่ให้เราเด็ดหัวไอ้นักบวชนั่นซะ ต่อให้มีทหารล้อมรอบ แต่ถ้าเราจัดการหัวหน้ามันได้พวกนั้นก็น่าจะยอมสยบให้เรา"

ท่านหญฺิงมาริโซลเอ็ดลั่นอย่างขัดใจ มิเกลสบตากับนายจ้างซึ่งมีรอยยิ้มละไมผุดขึ้นบนใบหน้า เขาเอะใจตั้งแต่เห็นแววตามั่นใจบนใบหน้าที่ก้มนิ่งอยู่ในท้องพระโรงนั้น

"ผมเห็นดอนคริสโตบัลใช้พัดไล้ริมฝีปาก หรือนั่นจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างครับ"

ดอนอัลฟองโซหัวเราะออกมา ไม่มีอะไรจะหลุดรอดสายตาอดีตนายทหารของเขาคนนี้ไปได้จริงๆ

"นายนี่ช่างสังเกตจริงๆ นะ มิเกล ถูกต้องมันเป็นสัญญาณที่ฉันกับคริสโต้รู้กันสองคน"

มิเกลขมวดคิ้วและย้อนนึกไปถึงตอนที่เขายังเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของชายสูงศักดิ์ทั้งสอง เขาจำได้ว่าดอนคริสโตบัลผู้บอบบางมักถือพัดแบบสเปนติดตัวตลอดเวลาเพื่อบรรเทาความร้อน และการเอาพัดไล้ปากนั้นเป็นสิ่งที่คริสโตบัลทำบ่อยครั้งจนมิเกลคิดว่ามันคงเป็นนิสัยติดตัวของนายทหารหน้าสวยคนนั้น

"...มันคือสัญญาณที่บอกว่าเขาจะมาหาฉันในคืนนั้น"

ดอนอัลฟองโซตอบยิ้มๆ มิเกลทำตาปริบๆ เขาเริ่มเข้าใจอะไรลางๆ แล้ว แต่เขาจะรอดูให้แน่ใจก่อน พรานหนุ่มหันไปคุยกับพรานผู้ช่วยและลูกหาบที่มีทีท่าหมดอาลัยตายอยาก เขาบอกให้พวกนั้นรอดูสถานการณ์ไปก่อน



เวลาผ่านล่วงไปจนถึงยามค่ำคืน นักโทษทุกคนได้รับการดูแลอย่างดี ได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ หลายคนได้เอนกายลงนอนบนฟูกนุ่มที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในห้องด้านใน เหลือเพียงนายจ้างทั้งสองและมิเกลที่ยังนอนไม่หลับและนั่งคุยกันอยู่ที่โถงด้านนอก เมื่อเวลาผ่านเลยเที่ยงคืนไปเล็กน้อยก็มีเสียงคนเบาๆ ที่หน้าประตู จากนั้นประตูใหญ่หนานั้นก็เปิดออกพร้อมร่างเล็กบางที่ก้าวพรวดเข้ามาในห้อง ดอนอัลฟองโซผลุนผลันลุกขึ้นยืนและพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นทันที

ดอนอัลฟองโซรวบร่างบอบบางของคริสโตบัลไว้ในอ้อมกอดพร้อมพร่ำเรียกชื่อของอีกฝ่ายก่อนที่จะประทับจูบลงไปลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อนั้น คริสโตบัลจูบตอบอย่างโหยหา ก่อนจะสะดุ้งเฮือกแล้วผลักร่างของอีกฝ่ายออก

"ไม่ อัลฟองโซ ฉันทำไม่ได้"

คริสโตบัลพูดทั้งน้ำตา

"ทำไม คริสโต้ นายยังโกรธเรื่องนั้นอยู่เหรอ? ฟังฉันอธิบายก่อนได้ไหม? ฉันไม่ใช่จะผลักไสนายไป ฉัน..."

"ไม่ อัลฟองโซ ฉันไม่มีหน้าไปรับความรักจากนายอีก ฉันทำไม่ได้จริงๆ"

ร่างแบบบางนั้นทรุดลงไปร้องไห้กับพื้น ก่อนที่เรื่องราวต่างๆ จะพรั่งพรูออกมาจากปากของดอนคริสโตบัล



คริสโตบัลเดินทางรอนแรมมาจนถึงยังเนินตะวันในวันก่อนสุดท้ายของเทศกาล Inti Raymi เขาและคณะเดินทางที่เหลือเพียง 10 ชีวิตเข้าสู่อุโมงค์ทองและเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนลึกลับแห่งนี้ แต่ก่อนจะทันรู้ตัวพวกเขาก็ถูกทหารของวิหารสุริยเทพจับตัวไป คริสโตบัลถูกกรอกยากระตุ้นกำหนัดและถูกบังคับให้มีสัมพันธ์กับหญิงนางหนึ่ง จากนั้นเขาได้ใช้ชีวิตในฐานะของพระสวามีของหญิงที่เขาได้รู้ภายหลังว่าคือองค์หญิงน้อยที่ถูกโทปา หัวหน้านักบวชของวิหารสุริยเทพแต่งตั้งขึิ้นเป็นรัชทายาทแทนอินตี เมื่อเติบใหญ่ นางถูกยกขึ้นเป็นองค์ราชินีเพื่อเป็นหุ่นเชิดของเขา องค์ราชินีตั้งครรภ์ขึ้นจากความสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวนั้น แต่แม้จะไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกันต่อคริสโตบัลก็ดูแลภรรยาจำเป็นของเขาอย่างดี เขาทำใจแล้วว่าอาจจะไม่ได้กลับออกไปสู่โลกภายนอกอีก และตั้งใจใช้ชีวิตในฐานะประชาชนของเมืองเทพแห่งนี้

หากทุกสิ่งเปลี่ยนไปในคืนหนึ่งเมื่อเขาถูกพาตัวจากตำหนักของเขาไปสู่วิหารแห่งสุริยเทพ คำร่ำลือเรื่องหน้าตาอันงดงามของเขาเข้าไปถึงหูของโทปา ในวันแรกที่เขาถูกนำตัวไปให้เหล่าเจ้าชายเจ้าหญิงเลือกตัวนั้น โทปาไม่ได้พิจารณาชายหนุ่มคนนี้ดีนัก แต่ในคืนนั้นเขามองคริสโตบัลอย่างหลงใหล คริสโต้ถูกขืนใจอย่างทารุณในคืนนั้นและคืนต่อๆ ไป จนสุดท้ายเขาได้แต่นอนนิ่งและเลิกดิ้นรนขัดขืน โทปาให้คนไปรับเขามาร่วมเตียงด้วยยามค่ำคืนและ​ส่งตัวเขากลับไปเพื่อดูแลองค์ราชินีในตอนกลางวัน เขาและองค์ราชินีได้แต่กอดกันร่ำไห้อย่างเงียบงัน

จุดผกผันของชีวิตมาถึงเมื่อราชินีของเขาคลอดโอรสที่แข็งแรงสมบูรณ์และงดงามออกมา ทารกนั้นถูกเลือกขึ้นเป็นว่าที่องค์รัชทายาท คริสโตบัลดีใจเรื่องลูกได้ไม่นานก็ต้องเศร้าโศกเพราะองค์ราชินีสิ้นพระชนม์ลงหลังจาก​นั้นเพียงสองเดือนด้วยอาการป่วย อันที่จริงเจ้าหญิงองค์นี้ถูกเลือกให้ขึ้นเป็นราชินีเพราะพระองค์มีร่างกายที่อ่อนแอและหัวอ่อนที่สุด ก่อนสิ้นพระชนม์องค์ราชินีเรียกเขาเข้าไปสั่งเสีย พระนางเล่าให้เขาฟังเรื่องที่เขาจะต้องถูกสังเวยแก่องค์สุริยเทพหลังจากโอรสของเขาถูกสถาปนาเป็นรัชทายาท

"ท่านพี่มีเวลาอีกไม่ถึงห้าปี จงทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอดให้ได้ ท่านต้องดูแลลูกของเราให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือของโทปาด้วยเถิด"



หลังราชินีของเขาสิ้นไป คริสโตบัลเปลี่ยนตัวเอง เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้โทปาลุ่มหลงในเรือนร่างของเขา เขาปรนนิบัติโทปาแบบที่นางและนายบำเรอชาวเมืองแห่งนี้ไม่เคยให้นักบวชเฒ่ามาก่อน โทปาติดบ่วงเสน่ห์คริสโตบัลอย่างโงหัวไม่ขึ้น เขารู้สึกเสียดายเครื่องสังเวยคนนี้มากขึ้นทุกที เขาให้สิทธิพิเศษแก่นายบำเรอจากแดนไกลของเขาคนนี้หลายประการ ความเอื้อเฟื้อนั้นเผื่อแผ่ไปถึงโอรสของอดีตราชินีอีกด้วย เจ้าชายน้อยถูกเลี้ยงดูอย่างดีต่างจากผู้เป็นมารดาซึ่งถูกปฏิบัติด้วยอย่างขอไปทีมาโดยตลอด สองพ่อลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเขตราชฐานแห่งนี้ คริสโตบัลได้รับอนุญาตให้ออกนอกเขตราชฐานไปเพื่อสำรวจเหล่าอาคารโบราณและสิ่งประดับต่างๆ ตามความสนใจเดิมของเขา นอกจากนั้นเขายังได้ยินเรื่องราวต่างๆ ที่ชาวบ้านร้านตลาดแอบเล่าขานกันเรื่องรัชทายาทผู้สาบสูญ องค์ที่เกิดมาพร้อมตราประทับอันเรืองรองของสุริยเทพ และคำทำนายที่ว่าเขาจะกลับมาเพื่อมาทวงบัลลังก์คืนและล้างอำนาจของโทปา

คริสโตบัลอาศัยอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ของเขาลอบทำการติดต่อกับผู้ร่วมคณะเดินทางของเขา คนเหล่านั้นถูกแจกจ่ายให้ไปเป็นคู่ของเหล่าเจ้าหญิง บ้างก็ถูกส่งไปเป็นทหารหรือทำงานฝ่ายต่างๆ เขาใช้ความรู้เก่าจากช่วงสงครามกลางเมืองในการสั่งการคนของเขาในการหาข่าวและกระจายข่าว ในที่สุดเขาก็สามารถรวบรวมคนและตั้งกลุ่มลับๆ ขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจของโทปา ปรากฎว่าในเมืองเทพแห่งนี้มีคนจำนวนมากนักที่ไม่พอใจการกระทำของโทปา แม้กระทั่งคนที่อยู่ใต้การปกครองของโทปาเอง กลุ่มของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวทางการทหาร เพียงแค่ทำการกระจายข่าวเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวนักบวชเฒ่า โทปาพยายามควานหาตัวการ แต่เขาไม่รู้เลยว่าหอกข้างแคร่ของเขาคือคนที่นอนบิดกายครวญครางใต้ร่างเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน



หัวใจของคริสโตบัลเต้นระรัวแทบหลุดออกจากอกเมื่อรู้ข่าวเรื่องคณะเดินทางจากแดนไกล เขารู้แทบจะทันทีว่าเป็นคณะของอัลฟองโซเมื่อฟังคำบรรยายจากสายข่าวของเขา และมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นด้วยตาตนเอง เขาเจ็บแปลบในอกเมื่อเห็นท่านหญิงมาริโซลร่วมคณะมาด้วย เธอคงมาตามหาคนที่จะเป็นคู่หมายของเธอ แต่อย่างไรก็ตาม เขาต้องช่วยอัลฟองโซและคณะให้รอดจากเมืองนี้ไปให้ได้ เขาแทบอยากโผลงไปกอดอัลฟองโซเมื่อเห็นหน้าเขาในท้องพระโรง แต่เขาต้องข่มอาการไว้ หลังจากส่งสัญญาณที่เคยใช้ให้กับอดีตคนรัก ชายหนุ่มก็กลับไปยังตำหนักของเขา ค่ำคืนนั้น เขาร่วมเตียงกับนักบวชเฒ่าอีกครั้ง แม้จะรังเกียจเนื้อตัวเหี่ยวย่นและสัมผัสที่หยาบกระด้างไร้ความนุ่มนวล แต่เขาก็ต้องทน เขาปรนนิบัตินักบวชเฒ่าอย่างสุดฝีมือจนโทปาหมดเรี่ยวแรง​ เขายังแอบใส่ยานอนหลับอย่างแรงลงไปในเครื่องดื่มของนักบวชเฒ่าเพื่อความมั่นใจ



"ฉันจะไม่ขอให้นายรับฉันกลับไปหรอก อัลฟองโซ"

คริสโต้ฝืนยิ้มให้ให้อดีตคนรัก

"...ต่อให้ฉันไม่ได้เต็มใจ แต่ร่างของฉันก็แปดเปื้อนไปด้วยราคี ฉันใช้เรือนร่างแลกกับความสบายและสิ่งที่ต้องการ แล้วแบบนี้ฉันยังจะมีหน้าให้นายรับฉันกลับไปอีกหรือ น้องด้วย มาริโซล พี่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่หมายของน้องอีกต่อไปแล้ว"

"...ฉันขอเพียงอย่างเดียว พาลูกชายของฉันไปกับพวกนายด้วย"

คริสโตบัลช้อนตาที่แดงก่ำชุ่มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองคนทั้งสอง หลังจากที่คณะเดินทางนี้และลูกของเขาหนีออกไปได้ เขาจะกลับมาทำศึกกับโทปาและพร้อมแลกชีวิตกับตาเฒ่าผู้นั้น ดอนอัลฟองโซก้มหน้าลงต่ำและกำมือแน่น คริสโตบัลถอนหายใจและลุกขึ้นยืน

"เดี๋ยวฉันจะให้คนนำทางพวกนายออกไป และนับจากวันนี้ไป ขอให้นายและน้องหญิงลืมซะว่าเคยได้เจอฉันในวันนี้ ขอให้จำฉันในภาพดีๆ แบบที่เคยเป็นมาแล้วกันนะ"

ร่างเพรียวนั้นหันกายเพื่อเดินออกไป หากร่างนั้นก็ถูกฉุดรั้งกลับเข้ามาสู่อ้อมอกของดอนอัลฟองโซ เขารัดร่างของคนรักที่หนีไปไว้แน่น

"อัล..."

"ฉันจะปล่อยนายไปได้ยังไง คริสโต้ จะปล่อยไปได้ยังไง?"

"...ฉันไม่ใส่ใจว่านายจะทำอะไรมาบ้างหรือผ่านใครมาบ้าง ฉันรักนายและนายรักฉัน แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?"

อัลฟองโซพรมจูบไปทั่วใบหน้านั้นโดยไม่สนใจสายตาใคร คริสโตบัลเองก็เรียกชื่อคนรักซ้ำๆ และจูบตอบอย่างดูดดื่ม มิเกลและท่านหญิงน้ำตาซึมให้กับภาพเบื้องหน้า

"ท่านพี่คริสโตบัลคะ อย่าหนีท่านพี่ของหญิงไปอีกเลย..."

ท่านหญิงเดินเข้าไปกุมมือดอนคริสโตบัลหลังจากทั้งสองแสดงความรักกันจนพอเพียงแล้ว เธอขอโทษและบอกว่าเป็นเพราะความคิดโง่ๆ ของเธอเองที่ทำให้คริสโตบัลเข้าใจผิด คริสโตบัลรับฟังจนจบ เขาอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะยิ้มร่าและรวบร่างของคนรักและญาติผู้น้องเข้าไปกอดไว้แน่น เขาจะโกรธทั้งสองได้อย่างไร มันเป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นของเขาเองแท้ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น



"ท่านคริสโตบัลครับ พวกเราพร้อมแล้วครับ เราพาองค์ชายน้อยออกมาเรียบร้อยแล้ว"

ทหารยามร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาค้อมหัวและรายงานแก่คริสโต้ เขาพยักหน้าและหันไปบอกคณะเดินทางให้เตรียมเคลื่อนขบวน มิเกลเดินเข้าไปเรียกเหล่าพรานและลูกหาบซึ่งตื่นกันเรียบร้อยแล้วให้เตรียมตัว พวกเขาออกเดินทางด้วยอุโมงค์ลับที่ถูกลอบขุดออกจากที่ตำหนักคุมขังน้อยแห่งนี้ มิเกลหรี่ตามองทหารยามร่างใหญ่ที่เดินนำหน้าพวกเขาอย่างสงสัย เขามีหลายอย่างที่อยากจะถาม แต่ต้องรอให้พ้นจากอันตรายตรงนี้ไปก่อน

พวกเขาใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงช่องทางออกด้านนอกอุโมงค์ ที่นั่นมีเกวียนและรถม้าซ่อนอยู่ พวกเขาเดินทางอีกครึ่งวันก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในดงไม้หนาทึบ มิเกลลงรถม้าเป็นคนสุดท้าย เขาก้าวพลาดและเซถลาตกจากรถหากมีวงแขนอันอบอุ่นรวบรับกายเขาไว้



"ฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นแก"

มิเกลกระชากหมวกที่บดบังไปครึ่งหน้าใบของทหารยามร่างใหญ่คนนั้นออก ดวงตาคมวาวบนใบหน้าคมสันที่จ้องมองหน้าเขานั้นมีแววฉงน

"กัปปิตัน ท่านนี่ช่าง..."

อินตีโคลงหัว ชายในดวงใจของเขาช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ เขาปล่อยร่างสันทัดนั้นให้เป็นอิสระและหันไปยิ้มละไมให้กับนายจ้างทั้งสองที่เข้ามาบ่นเขาลั่นเรื่องที่ไม่ยอมบอกว่าเขาเป็นใคร และยังบ่นที่เขาเสี่ยงเข้าไปในเขตกำแพงวังนั้นด้วยย

"แล้วไปไงมาไงล่ะเนี่ย อินตี นายเจอกับคริสโต้ได้ยังไง?"

"ผมได้ข่าวของอาจารย์คริสโตบัลจากฮวนกาครับ ผมเลยฝากทางนั้นส่งข่าวการมาถึงของพวกเราให้อาจารย์"

นอกจากนั้นเขายังให้ฮวนกาเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเขาให้คริสโตบัลรู้อีกด้วย คนของคริสโตบัลมารับเขาพร้อมทั้งขนพวกอาวุธทั้งหลายไปยังที่ซ่อน อินตีแสดงรอยปานและสัญลักษณ์ขององค์สุริยะเทพที่ทำจากทองคำสุกปลั่งซึ่งเขาซ่อนไว้ในกลักดินเผารูปเดียวกันให้คนของคริสโต้ดูเพื่อยืนยันฐานะ​ คนของคริสโต้กระจายตัวออกไป ส่วนหนึ่งนำสัมภาระกลับไปที่ซ่อนและออกกระจายข่าวเรื่ององค์พระยุพราชคืนถิ่น อีกส่วนหนึ่งคอยติดตามคณะเดินทางตลอดทางหลังจนกระทั่งเข้าเขตกำแพงเมืองไป ส่วนอินตีและคนนำทางเดินทางทั้งวันทั้งคืนและแฝงกายเข้าไปในเมือง เขาใช้อุโมงค์เก่าที่เขาและแม่ใช้หลบหนีออกจากวังเพื่อกลับเข้าไป จะด้วยบารมีขององค์สุริยเทพหรืออะไรก็ยากจะบอกได้ คนของโทปาไม่เคยหาอุโมงค์นี้เจอแม้จะแทบพลิกแผ่นดินหาก็ตาม เขาพบกับคริสโตบัลในคืนก่อนหน้าที่พวกนายจ้างจะเข้าเมือง สองอาจารย์ศิษย์กอดกันอย่างดีใจ หลังจากสนทนากันพักใหญ่ พวกเขาก็คุยเรื่องแผนการช่วยเชลย

อินตีปลอมเป็นทหารยามแทนที่คนของคริสโตบัล คนสูงศักดิ์อย่างโทปาไม่ใส่ใจทหารยศต่ำต้อยที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง เขาเขม้นมองร่างสูงของโทปาอย่างเจ็บแค้น เขาสามารถจัดการมันได้ในดาบเดียว หากอาจารย์ของเขามีแผนการณ์ใหญ่กว่านั้น



ข่าวจากในเมืองถูกส่งมาในช่วงเย็น โทปาแทบบ้าเมื่อรู้ว่าคริสโตบัลและองค์ชายน้อยซึ่งเขาเตรียมไว้เป็นหุ่นเชิดหายตัวไป ที่พักของคริสโตบัลถูกจัดฉากว่าเขาและลูกถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายลักลอบเข้าไปจับตัวมา เขาทิ้งเลือดจำนวนเล็กน้อยไว้เพื่อทำให้โทปายิ่งร้อนใจ เขาบอกว่าจากนั้นเขาจะให้คนส่งจดหมายขู่เข้าไปว่าได้จับตัวนายบำเรอของโทปาไว้ และให้โทปาเตรียมทองจำนวนสามคันรถม้าและเดินทางมายังสถานที่ๆ จัดเตรียมไว้เพื่อแลกกับตัวทั้งสอง

"นายมั่นใจเหรอ คริสโต้ว่าแผนนี้จะได้ผล?"

คริสโตบัลยิ้มให้คนรัก

"นี่เป็นแค่แผนแรกน่า อัลฟองโซ ถ้ามันไม่ได้ผล ฉันยังมีแผนอื่นๆ อีก รวมทั้งใช้ไอ้ของที่นายพกใส่ลังมาเยอะแยะนั่นด้วย"

เขาบ่นอัลฟองโซยืดยาวเรื่องที่ว่าเอะอะก็จะใช้ระเบิด เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะไม่รู้กี่หนแล้วว่าการศึกที่ดีนั้นสามารถจบได้โดยการใช้แผนการที่สูญเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายให้น้อยที่สุด อัลฟองโซหน้าจ๋อยไป ตลอดเวลาที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในช่วงสงครามกลางเมือง มันสมองที่แท้จริงของกองพันของเขาคือพันโทหนุ่มคริสโตบัล โกลอนนั่นเอง



"อาจารย์ครับ..."

อินตีเรียกคริสโต้เบาๆ

"อะไร อินตี?"

"ผมขออาจารย์อย่าใช้แผนที่ว่าเลยได้ไหมครับ"

คริสโตบัลคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้า มันจะมีความสง่างามอันใดถ้าทายาทผู้ชอบธรรมมาทวงบัลลังก์คืนได้เพราะใช้กลอุบายล่อนักบวชเฒ่าออกมาฆ่าทิ้งเงียบๆ

"งั้น ใช้แผ่นสี่แล้วกัน"

คริสโต้พูดยิ้มๆ ทุกคนทำตาปริบๆ ตกลงท่านเสนาธิการคนนี้มีแผนสำรองกี่แผนกันแน่เชียว

"แต่แผนนี้ก็เป็นกลลวงเช่นกันนะ นายพร้อมที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หรือยัง อินตี?"



เที่ยงวันสุดท้ายของการฉลองเทศกาล Inti Raymi ก็มาถึง ในเมืองแห่งเทพแห่งนี้ การฉลองนั้นกินเวลายาวนานกว่าเทศกาลที่คุสโก้ มันใช้เวลาทั้งสิ้น 14 วัน นักบวชเฒ่าโทปานั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ภายในมหาวิหารสุริยเทพอันโอ่อ่า ตอนแรกเขาแทบคลั่งเมื่อรู้ว่านายบำเรอคนโปรดถูกลักตัวไป แต่ยิ่งนานวันเขายิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนการจัดฉาก เขาพยายามให้คนสืบหาข่าวการกบฏ แต่ก็ไม่มีอะไรมาให้ได้ยิน ทั้งเมืองเหมือนจมอยู่ในความรื่นเริงของการเฉลิมฉลอง เขาสะบัดหน้าเบาๆ เขาต้องทำพิธีในคืนนี้ให้ลุล่วงก่อน นักบวชเฒ่าใส่เครื่องหัวรูปพระอาทิตย์และเดินออกไปยังยอดของมหาวิหารที่สูงเด่นเหนือลานกว้างที่มีผู้เข้าร่วมพิธีนับหมื่น

"ประชาชนแห่งเมือง Hanan Pacha เที่ยงวันนี้เรามารวมตัวกันเพื่อบวงสรวงแก่องค์สุริยเทพอินตีเป็นวันสุดท้าย..."

"องค์ชายน้อยไปไหน? องค์ชายรัชทายาทไปไหน ทำไมพระองค์ไม่มาปรากฎตัวด้วย??"

เสียงคนหลายคนตะโกนขึ้นแทรกคำของโทปา

"ใช่ องค์ชายไปไหน?... ข้าได้ยินว่านักบวชเฒ่าลักตัวองค์ชายไปเพราะปรารถนาในตัวพระบิดา"

"ใช่ ข้าก็ได้ยินมา นักบวชไม่อยากให้มีการสังเวยท่านคริสโตบัล เลยลักองค์ชายไปซ่อนและจะตั้งองค์อื่นขึ้นแทน"

"ใช่ๆ ข้าได้ยินๆๆ"

"ทุเรศที่สุด เป็นนักบวชแท้ๆ แต่ยังมักมากในกาม ญาติของข้าถูกพาตัวเข้าไปเพื่อเป็นนางบำเรอแล้วก็หายไปเลย"

"ญาติของข้าด้วย..."

เสียงตะโกนเรื่องเหล่านั้นเริ่มดังเซ็งแซ่ขึิ้นและขยายออกเป็นวงกว้างเหมือนคลื่นน้ำ ต้นเสียงคือคนของคริสโตบัลนับร้อยที่ปะปนอยู่กับประชาชน ไม่นับเรื่องราวที่เขาเอาไปปล่อยไว้ตามตลาดและชุมชนก่อนหน้านี้



"ข้าได้ยินมานะว่าโทปาเป็นคนสังหารองค์อะมารุกับรัชทายาทน้อยและพระชายา"

"เอ๊ะ แต่ที่ข้าได้ยินมา พระชายาและเจ้าชายน้อยหนีไปได้นะ"

"ใช่ๆ ข้าเคยได้ยินด้วยว่าองค์อินตีมีตราประทับขององค์สุริยเทพติดกายมาตั้งแต่เกิด"



นั่นคือสิ่งที่เล่าขานกันในตลาดตั้งแต่ก่อนที่เหล่าคณะเดินทางจะเหยียบลงบนแผ่นดินแห่งสุริยเทพแห่งนี้ ประชาชนแห่งนคร Hanan Pacha เก็บความคับข้องใจเรื่องการตายขององค์ราชาอะยาร์ อะมารุและเรื่องชะตากรรมขององค์ชายน้อยอะยาร์ อินตีไว้เนิ่นนาน พวกเขายิ่งคับแค้นใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าโทปาเลือกรัชทายาทองค์ใหม่ที่อ่อนแอขี้โรคขึ้นและตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ แทนที่จะยกองค์ชายหรือองค์หญิงซึ่งโตเต็มวัยแล้วและมีอาวุโสรองลงมาจากองค์อะมารุขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขายิ่งเกลียดชังโทปาหนักเมื่อโทปารวบอำนาจทั้งหมดไว้ในมือได้ นักบวชเฒ่าผู้นี้ลุแก่อำนาจ หลายครั้งที่เขาอ้างบัญชาขององค์เทพอินตีในการยึดครองทรัพย์สินของประชาชน หรือบังคับพาตัวหนุ่มสาวหน้าตาดีเข้าไปเป็นนายและนางบำเรอ แต่ประชาชนก็ไม่กล้าทำอะไรนักบวชเฒ่าคนนี้เพราะเกรงในอำนาจขององค์เทพ พวกเขาได้แต่กระซิบเล่าเรื่องราวต่างๆ ​และข่าวล่าสุดที่พวกเขาเล่าขานกันคือ


"ข้าได้ยินมาจากญาติข้าที่เดินทางไปส่งเสบียงให้พวกนาซกาที่นอกเมือง เขาว่าองค์ยุพราชอะยาร์ อินตีเสด็จกลับเข้าเมืองมาแล้ว และพระองค์กำลังจะมาทวงบัลลังก์คืน"


ประโยคเดียวกันนั้นถูกตะโกนเล่าขานกลางงานฉลองที่มีคนนับหมื่น โทปาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาตะโกนด่าลั่นและบอกว่าเขาไม่ได้ลักตัวคริสโตบัลและโอรสไป แต่ไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่นหนีหายจากวังไปเองต่างหาก แต่ก่อนที่เขาจะสั่งให้กองทหารเกราะเหล็กของเขาซึ่งล้อมรอบลานกว้างนั้นไว้เข้าจับตัวคนที่พูด คนที่อยู่กลางลานก็แตกฮือกันออกจนเหลือพื้นที่โล่งเป็นวงกลม ที่กึ่งกลางวงกลมนั้นมีร่างสองร่างปรากฎขึ้นราวผุดขึ้นมาจากอากาศธาตุ ร่างหนึ่งคือดอนคริสโตบัลในสภาพอิดโรยและเสื้อผ้าขาดวิ่น อีกร่างหนึ่งซึ่งประคองกายของคริสโตบัลไว้เป็นร่างใหญ่งามสมบูรณ์ในเกราะทองวาววับ มันอันเป็นเครื่องแต่งกายแบบองค์ยุพราชแห่งราชวงค์ที่เชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากองค์สุริยเทพ ผู้คนพากันส่งเสียงร้องอุทาน พวกเขาจำใบหน้างามพิลาศของพระบิดาของรัชทายาทองค์ปัจจุบันได้

"มันโกหก!"

เสียงแหบแห้งของคริสโตบัลดังขึ้น

"มันพยายามจะสังหารลูกข้า มันยังนำข้าไปกักขังไว้..."

"ที่ผ่านมาข้าพยายามทนทำดีกับมันเพื่อรักษาชีวิตลูก แต่ในวันนี้มันกลับต้องการจะฆ่าลูกข้าและกักให้ข้าเป็นทาสสวาทของมัน ข้าทนไม่ได้!"

“...ถ้าไม่ได้ผู้กล้าท่านนี้ช่วยไว้ ข้าคงต้องถูกมันย่ำยีจนตายแน่!”



อินตีลอบมองอาจารย์เจ้าเล่ห์ของเขาที่ดัดเสียงแหบแห้งและบีบน้ำตาเหมือนมืออาชีพ พวกเขาโผล่ขึ้นมากลางลานเหมือนเสกได้เพราะพวกเขาใส่ชุดคลุมพรางตัวไว้จนเหมือนพวกชาวบ้านและเดินมายังจุดนี้ท่ามกลางวงล้อมของลูกน้องคริสโตบัลนับร้อย เมื่อได้สัญญาน พวกเขาถอดชุดคลุมและส่งให้ลูกน้อง จากนั้นคนของคริสโต้ก็ถอยกรูดออกไปจนเหลือพวกเขาสองคนอยู่ท่ามกลางพื้นที่โล่งอันเป็นเป้าสายตา

ชาวบ้านต่างพากันฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์กัน โทปายืนหน้าดำหน้าแดงด้วยความโกรธอยู่บนลานยอดวิหาร

“ข้าขอทราบนามของท่านผู้กล้าจะได้หรือไม่?”

ชาวเมืองรายหนึ่งถามขึ้น อย่างกล้าๆ กลัวๆ หลายวันมานี้เขาได้ยินข่าวลือเรื่องชายผู้หนึ่งซึ่งมีลักษณะเดียวกับชายผู้นี้ อินตีแอบชำเลืองดูอาจารย์ของตนแว่บหนึ่ง คริสโต้พยักหน้าให้เขาเบาๆ ชายร่างใหญ่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและเปล่งเสียงดังกัมปนาท

“ข้า อะยาร์ อินตี บุตรของอะยาร์ อะมารุ ผู้สืบเชื้อสายจากองค์สุริยเทพอินตี วันนี้ข้าหวนกลับคืนมายังที่แห่งนี้เพื่อกำจัดคนชั่วและทวงสิทธิ์ของข้าคืน!”



-----------------------------------------


แง้ จบไม่ลงภายใน 5 ตอนจนได้ จะตัดช่วงชิงบัลลังก์คืนจบภายในสามย่อหน้าก็เกรงใจคนอ่าน ทนนิดนึงนะคะ จบภายในตอนหน้าแน่นอน นี่เขียนไปเขียนมาทำเป็นเรื่องยาวได้เลยนะเนี่ย เสียดาย ฮ่าๆๆๆ


การเฉลิมฉลอง Inti Raymi ที่ยังมีอยู่จริงที่เมือง Cusco ประเทศเปรู น่าไปมากเลยค่า https://goo.gl/ZR8Lwa




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


แหะๆ ตอนนี้เขียนมันมือไปหน่อย กว่าจะจบคงล่อไปซักสามเบรค รออ่านหน่อยนะคะ



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน - Lost&Found ----



“ข้า อะยาร์ อินตี บุตรของอะยาร์ อะมารุ ผู้สืบเชื้อสายจากองค์สุริยเทพอินตี วันนี้ข้าหวนกลับคืนมายังที่แห่งนี้เพื่อกำจัดคนชั่วและทวงสิทธิ์ของข้าคืน!”


เสียงนั้นกระทบโสตของโทปาอย่างชัดเจน นักบวชเฒ่าตาเบิกโพลง

“มุสา!”

เขาตวาดลั่น

“ไอ้เด็กคนนั้นกับแม่ของมันควรตายตกอยู่กลางป่าแล้ว เจ้ามีหลักฐานอันใดมายืนยันได้ว่าเจ้าคือมัน?”

ประชาชนส่งเสียงอื้ออึง บ้างเชื่อว่าอินตีนั้นเป็นตัวจริง บ้างยังไม่แน่ใจ อินตีถอดสร้อยหนังที่ห้อยแผ่นดินเผารูปพระอาทิตย์ออก จากนั้นบิดจนสลักลับคลายออก ภายในนั้นเป็นแผ่นทองคำรูปพระอาทิตย์ที่เป็นตราสัญลักษณ์ของสุริยเทพ มันเป็นลวดลายเดียวกันกับแผ่นจานทองคำบนช่องเขาขาดและบนยอดวิหารสุริยเทพ เขาชูตรานั้นขึ้นเหนือหัว แสงตะวันสาดส่องแผ่นทองนั้นและร่างกายของอินตีจนดูเหมือนมีรัศมีเรืองรอง

คนบางส่วนเริ่มทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น บ้างก็ยังไม่ยอมเชื่อ

“เจ้าอาจจะไปหามันมาและนำมาสมอ้างก็ได้”

โทปายังไม่ยอมสยบ อินตีมีท่าทางอึดอัดใจและชำเลืองไปทางที่เขารู้ว่ามิเกลซ่อนอยู่แว่บหนึ่ง ก่อนจะปลดเกราะทองคำออก เขาเลิกชายเสื้อทูนิกตัวสั้นของตนขึ้นจนเห็นกล้ามเนื้อท้องสีทองแดงอันงดงาม สาวๆ หลายคนส่งเสียงกรีดร้องออกมาเบาๆ จากนั้นเขารั้งขอบกางเกงด้านซ้ายลงจนพ้นเอวคอดและแนวตัววีที่เห็นชัดเจนเผยให้เห็นปานสีน้ำตาลทองบนท้องน้อยที่ติดตัวเขามาแต่เกิด

“ตราสุริยเทพ!”

เสียงผู้คนรอบข้างดังรับกันเป็นทอดๆ

“ของจริง มันคือของจริง”

“ไม่ผิดแน่ มันเป็นรอยปาน ไม่ใช่รอยสัก”

ผู้คนค่อนลานคุกเข่าลงกับพื้น เหลือเพียงบางส่วนที่ยังภักดีกับโทปา

“ทหาร จัดการไอ้ตัวปลอมนั่นเดี๋ยวนี้!”

โทปาสั่งลั่น ทหารบางส่วนที่ยังภักดีต่อนักบวชร้ายกรูเข้าหาอินตี ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เขารับกระบองเหล็กที่คนของเขาโยนส่งมาให้และใช้มันกระหน่ำฟาดคนที่เข้ามาด้วยท่วงท่าที่งดงามประหนึ่งร่ายรำ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ตัวรัชทายาทองค์นี้ได้



“อินตี พลธนู!”

คริสโตบัลตะโกนเตือน ชายหนุ่มร่างใหญ่หันขวับไปก็เห็นพลธนูกลุ่มหนึ่งเข้าประจำที่เตรียมยิง เขาใจหายวาบ

ปัง!

กระสุนนัดหนึ่งแหวกอากาศเข้าเจาะกะโหลกพลธนูนายหนึ่งอย่างแม่นยำ ตามด้วยนัดที่สอง สาม สี่ อินตีสะดุ้งเฮือกและหันไปหาหน่วยแม่นปืนที่พวกเขาเตรียมไว้ ท่านหญิงกับมิเกลนอนราบบนเชิงเทินเตี้ยๆ และประทับไรเฟิลบนบ่าคอยเด็ดหัวพลธนูที่โผล่หน้าออกมาเพียงเล็กน้อย ทั้งสองยิ้มเย็นกลับมาให้อินตีที่ทำหน้าเว้าวอน พวกเขารู้ว่าอินตีไม่อยากให้เข่นฆ่าผู้คนในเมืองนี้แม้แต่คนเดียว แต่มันจำเป็นต้องทำ พวกเขาหยุดเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาอีก

เหล่าทหารที่เข้ามารุมโจมตีองค์ยุพราชหนุ่มเองก็หยุดกรูกันเข้ามาเพราะความหวาดผวาในเสียงลึกลับที่เด็ดชีพพลธนูเหล่านั้น พวกเขาเหล่านี้เป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวโลกภายนอกและไม่เคยสัมผัสกับอาวุธสมัยใหม่ มีเพียงชนชั้นสูงและชนชั้นผู้นำเท่านั้นที่ทราบถึงเทคโนโลยีภายนอกเหล่านี้ เหล่าประชาชนเองก็เช่นกัน ทุกคนมีท่าทีหวาดหวั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นและส่งเสียงร้องอื้ออึงว่ามันเป็นอภินิหารของเทพเจ้า โทปาตะโกนลั่นลงมาให้ทหารของเขาอย่ากลัว แต่ไม่มีใครกล้าลองดีกับองค์ยุพราชคนนี้อีก



“ได้เวลาแสดงอิทธิฤทธิิ์แล้ว”

คริสโต้กระซิบกับอดีตศิษย์หนุ่ม อินตีพยักหน้าเบาๆ เขาชูตราสุริยเทพในมือขึ้นและประกาศก้อง

“ข้า ในฐานะบุตรแห่งสุริยเทพ ขออัญเชิญอำนาจจากพระองค์เพื่อสำแดงเดชให้ผู้หลงผิดได้ประจักษ์”

เขาพลันชี้มือไปยังรูปปั้นบรอนซ์ของโทปาที่ประดับอยู่กลางลาน คนที่ยืนล้อมรอบรูปปั้นนั้นซึ่งก็เป็นคนของคริสโต้แตกฮือออก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นพร้อมเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ รูปปั้นนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยฤทธิ์ของไดนาไมท์ที่ผูกติดกับตัวรูปปั้น ดอนอัลฟองโซที่ปะปนอยู่กับฝูงชนเป็นผู้จุดระเบิดมันด้วยตนเอง

ไม่มีผู้ใดสงสัยในตัวรัชทายาทหนุ่มคนนี้อีก ทุกร่างบนลานรวมถึงทหารของโทปาหมอบราบลงกับพื้นพร้อมส่งเสียงสรรเสริญองค์สุริยเทพและองค์รัชทายาทอะยาร์ อินตี โทปาที่เดือดดาลจัดมองหาพวกพ้องหากเจอแต่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ด้วยความทะนงตัวและไม่เคยเหลือบมองผู้ที่ต่ำชั้นกว่าทำให้เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้คนรอบตัวถูกคริสโต้สับเปลี่ยนไปเป็นคนของตนเองหมดแล้ว เขากระชากดาบออกจากเอวของพลธนูที่นอนตายอยู่เบื้องหน้าและปลดเกราะของคนๆ นั้นมาสวมใส่ จากนั้นก็เผ่นโผนลงมาจากบันไดของมหาวิหาร แม้เขาจะเข้ารับตำแหน่งนักบวชมาเนิ่นนาน แต่ในอดีต เจ้าชายผู้เป็นอาขององค์อะมารุองค์นี้ก็เคยเป็นแม่ทัพผู้มีฝีมือด้านการต่อสู้เป็นเลิศ

อินตียิ้มละไมหากแววตาเขาเต็มไปด้วยไฟแค้น คริสโตบัลยกมือห้ามทุกคนที่จะขัดขวางโทปา ศึกสุดท้ายนี้ องค์ยุพราชหนุ่มต้องเป็นคนจบมันด้วยตนเอง



ก่อนเผ่นโผนไปเผชิญหน้ากับโทปา องค์ยุพราชหนุ่มรู้สึกถึงมืออุ่นที่กุมกระชับเข้ากับมือเขา ร่างสันทัดของมิเกลลงจากที่ซุ่มยิงลงมายืนเคียงข้างเขา

“ห้ามแพ้นะ!”

กัปปิตันของเขาสั่งและยกมือของเขาขึ้นจรดริมฝีปากก่อนจะผละออกไปรออยู่ด้านข้าง อินตียิ้มกว้าง ต่อหน้าคนๆนี้ เขาไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน อินตีทิ้งกระบองในมือและกระชากดาบประจำองค์ของบิดาเขาออกมา ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่นี้ก็เป็นชุดของพ่อที่ใส่ในวันที่ถูกลอบสังหาร ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์เก็บมันไว้เพื่อรอวันที่เขาจะกลับมา

“ผมจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังครับ”

อินตีพูดเบาๆ และตั้งดาบรับการโจมตีของโทปา นักบวชเฒ่าผู้นี้เก่งกาจสมกับที่เคยนำทัพของเมือง Hanan Pacha แม้อายุจะล่วงเลยเข้าวัย 70 แต่เชิงดาบอันแพรวพรายทำให้อินตีแทบจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้ง หากอินตีที่เรียนรู้เทคนิคดาบแบบสากลมาก็ใช้มันในการช่วยให้เขาหลบหลีกและตีโต้กลับไปได้หลายครั้ง สุดท้าย ด้วยวัยที่หนุ่มแน่นและพละกำลังที่เหนือกว่า อินตีก็ได้ตัดมือที่กำดาบของโทปาจนขาดออก

"สังหารข้าสิ!"

นักบวชเฒ่าตะโกนลั่นด้วยความคั่งแค้น อินตีส่ายหน้าปฏิเสธ เขายิ้มหยันและประกาศก้องท่ามกลางความเงียบของลานกว้างหน้ามหาวิหาร

"โทษของเจ้า มีเพียงประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน หน้าที่ของข้าจบลงแล้ว"

เขาพยักหน้าให้คริสโตบัล คริสโต้สั่งให้คนของเขาจับนักบวชเฒ่ามัดไว้กับเสาที่กลางลานกว้างนั้น อินตีเชื้อเชิญให้นายจ้างของเขาและคณะเดินทางขึ้นไปยังวิหารสุริยเทพด้วยกัน พวกเขาเดินขึ้นบันไดสูงขึ้นไปด้วยกัน โดยทิ้งนักบวชเฒ่าโทปาไว้ด้านหลังกับฝูงชนที่ฮือเข้าไปหา ไม่นานนักบวชเฒ่าก็สิ้นลมอย่างเอนจอนาถ



 อินตีและคณะขึ้นไปยังลานบนยอดของมหาวิหาร เขาเผชิญหน้ากับนักบวชนับพันคนซึ่งทำงานรับใช้ในมหาวิหารเหล่านี้ นักบวชซึ่งมีอาวุโสสูงรองลงมาจากโทปาก้าวออกมาข้างหน้าและพลันหมอบราบลงกับพื้น

"ขอองค์อะยาร์ อินตี ทรงพระเจริญ!"

นักบวชนับพันที่ด้านหลังก็พากันทรุดกายลงทำความเคารพและเปล่งเสียงสรรเสริญ อินตีหันกายออกไปยังลานโล่งด้านล่างของมหาวิหาร ผู้คนนับพันหมื่นก็พร้อมใจกันทรุดกายลงถวายความเคารพแก่องค์พระยุพราชซึ่งกำลังจะก้าวขึิ้นบัลลังก์ทอง

"ไปสิ อินตี เขาเรียกชื่อแกแล้ว"

คนในดวงใจของเขาพูดยิ้มๆ และดันร่างเขาออกไป อินตีก้าวไปยืนตระหง่านที่ปลายสุดบันไดเบื้องหน้าตราทองขององค์สุริยเทพและยกดาบในมือขึ้นชูสูง เสียงโห่เฮยาวดังกระหึ่มพร้อมเสียงสรรเสริญและเรียกนามของเขา อินตีขบกรามแน่น น้ำตาของเขาคลอหน่วย ในที่สุดเขาก็กลับมาสู่ที่ๆ เขาควรอยู่แล้ว



หลังโทปาถูกสังหาร คริสโต้ออกคำสั่งลับครั้งสุดท้ายให้คนของเขาจัดการตามหาและควบคุมตัวคนที่ยังภักดีต่อโทปาซึ่งเหลืออยู่เพียงหยิบมือ คนที่ยอมโอนอ่อน เขาก็ให้อยู่ในเมืองต่อไปโดยที่ให้คนคอยจับตาดูตลอดจนชั่วชีวิต คนที่มีทีท่าแข็งกร้าวและไม่ยินยอมสวามิภักดิ์จริงๆ เขาก็จัดการประหารเสียเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแม้อินตีจะขอไว้ก็ตาม

"พระคุณมันก็ดีนะ อินตี แต่บางครั้งเราก็ต้องใช้พระเดชบ้าง"

อดีตนายทหารผู้เป็นทั้งนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์กล่าวขึ้นลอยๆ เขาเห็นมานักต่อนักแล้วว่าผู้นำที่มีเมตตาอย่างเดียวนั้นมักเสียท่าให้กับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณ ฉะนั้นถ้าตัดไฟแต่ต้นลมได้ก็ควรจะจัดการเสีย หลังจากสั่งการทุกอย่างแล้ว เขาส่งมอบหน่วยปฏิบัติงานของเขาให้กับอินตีเพื่อไว้ใช้งานการข่าวในอนาคต เขากำชับอินตีว่าให้เอาความรู้ที่ได้รับจากประวัติศาสตร์โลกในอดีตมาใช้ในการปกครองแผ่นดิน

"คริสโต้ ฉันชักกลัวนายเสียแล้วสิ"

ดอนอัลฟองโซพูดเสียงอ่อยๆ คริสโตบัลหันไปยิ้มหวานให้กับคนรัก

"นายไม่ต้องห่วงหรอก อัล ตราบใดที่นายยังทำตัวดีกับฉัน แต่ถ้าวันไหนฉันจับได้ว่านายนอกใจหรืออะไร รับรอง..."

หนุ่มหน้าสวยยิ้มเย็นพร้อมทำท่าฟันลง ดอนอัลฟองโซสะดุ้งเฮือกเอามือกุมเป้าอย่างเสียวสยอง คนอื่นในห้องประชุมน้อยซึ่งได้แก่อินตี มิเกล และท่านหญิงต่างหัวเราะไปกับท่าทางของสองคนนั้น คริสโตบัลดึงท่านเคาท์แห่งเอลด้ามาจูบอย่างดื่มด่ำ หลังจากที่พวกเขาโค่นโทปาลงได้แล้ว คู่รักคู่นี้แทบไม่ห่างกันเลยสักนาทีเดียว พวกเขาแสดงความรักกันทุกครั้งที่มีโอกาส พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายคลาดสายตาไปได้อีกแล้ว



"พ่อครับ ฆวนมาหาแล้ว"

เจ้าชายองค์น้อยเดินเตาะแตะเข้ามาในห้องพร้อมกับแม่นมและพระพี่เลี้ยงที่เดินตามหลังเป็นพรวน คริสโตบัลยิ้มกว้างและก้มลงอุ้มลูกชายตัวน้อยของเขาขึ้นนั่งตัก เขาตั้งชื่อลูกของเขาเป็นภาษาสเปนด้วยหวังลึกๆ ว่าสักวันจะพาเจ้าชายน้อยองค์นี้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เขายังสอนภาษาสเปนให้แก่ลูกของเขาอีกด้วย เจ้าชายน้อยจ้องเป๋งไปที่ดอนอัลฟองโซแล้วปีนลงจากตักพ่อ จากนั้นเดินเตาะแตะไปเกาะขาท่านเคาท์หนุ่ม

"อุ้มๆ"

ดอนอัลฟองโซทำหน้าเลิ่กลั่ก เขาเล่นกับเด็กไม่เป็นเลยสักนิด เขามองหน้าคนรักเพื่อขอความช่วยเหลือแต่คริสโตบัลทำเป็นหันไปทางอื่นและกลั้นหัวเราะ ท่านเคาท์หนุ่มจำใจต้องอุ้มร่างน้อยนั้นขึ้นมา เด็กน้อยยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักของพ่อ ก่อนจะยกแขนคู่น้อยกอดคอแล้วหอมแก้มดอนอัลฟองโซดังฟอดใหญ่แล้วหันไปแลบลิ้นให้พ่อ คริสโต้ชักสีหน้า ไอ้ลูกชายของเขาชักจะทะลึ่งใหญ่แล้ว ทุกคนในห้องได้แต่หัวเราะคิกคัก



"คริสโต้ แล้วนายจะทำยังไงกับลูก? เขายังเด็กนักนะ นายจะให้เขาระเหเร่ร่อนในป่ากลับไปกับพวกเราด้วยเหรอ?"

ดอนอัลฟองโซถาม คริสโตบัลถอนหายใจยาว เขาไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน ใจหนึ่งเขาก็อยากพาลูกออกไปอยู่ด้วยกัน แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็อยากให้ลูกอยู่ในดินแดนแห่งนี้และไม่ต้องออกไปเกลือกกลั้วกับปัญหาทั้งหลายในโลกปัจจุบัน อินตีเองก็รับปากกับเขาว่าอะยาร์ คาปัค หรือฆวนผู้เป็นลูกของเขาจะยังคงรั้งตำแหน่งรัชทายาทต่อไป เพราะเมื่อเทียบกับองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดในรุ่นเดียวกันแล้ว ลูกของเขาสมบูรณ์ที่สุดทั้งเรื่องความแข็งแรงและบุคลิกท่าทาง

"ผมจะไม่รับใครเป็นชายาครับ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าผมจะเปลี่ยนใจถ้าเกิดมีลูกขึ้นมา"

อินตีตอบยิ้มๆ และแอบเหลือบมองร่างสันทัดที่ยืนคุยกับท่านหญิงอยู่ ชายสูงศักดิ์ทั้งสองมองตามและหันไปยิ้มให้กัน อินตีเล่าเรื่องอดีตของเขากับมิเกลให้เขาฟังเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้แต่หวังว่าคนทั้งคู่จะได้ลงเอยกันตามที่ว่าที่กษัตริย์องค์นี้หวัง

ทั้งสามคนนั่งลงคุยกันเรื่องความเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดการและการปกครองในนครแห่งเทพแห่งนี้ ไม่นานมิเกลและท่านหญิงก็มาร่วมวงด้วย สิ่งหลักๆ ที่เขาจะทำคือลดทอนอำนาจของนักบวชแห่งวิหารสุริยเทพ ให้มีการสื่อสารกับโลกภายนอกมากขึ้น แต่ยังคงให้ที่ตั้งของเมืองแห่งนี้เป็นความลับ และเรื่องสำคัญที่สุดคือยกเลิกพิธีสังเวยมนุษย์ซึ่งทำขึ้นปีละหลายๆ ครั้ง รวมถึงพิธีใหญ่อย่างการสังหารคนนอกซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาท ทุกอย่างคงไม่สามารถทำได้ในคราเดียว แต่พวกเขามั่นใจว่ามันจะทำให้นครนี้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป



พิธีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขององค์อะยาร์ อินตีมีขึ้นอย่างสมเกียรติใน 7 วันให้หลัง ทั่วทั้งอาณาจักรลึกลับแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง บรรดาผู้มาเยือนจากต่างถิ่นไม่ว่าจะเป็นเหล่าเจ้านาย พรานและลูกหาบต่างได้รับการขัดสีฉวีวรรณและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราประหนึ่งชนชั้นสูง โดยเฉพาะเจ้านายทั้งสามและมิเกลพวกเขาได้รับเกียรติและการปฏิบัติด้วยเฉกเช่นเหล่าเจ้าหญิงและเจ้าชายแห่งราชวงค์สุริยเทพ

พวกเขายังได้เป็นพยานในการขึ้นครองบัลลังก์ซึ่งทำขึ้นบนมหาวิหารแห่งสุริยเทพ องค์อะยาร์ อินตีในชุดพิธีการเต็มยศที่ประดับไปด้วยดิ้นทองและอัญมณีทำการฆ่าแพะเพื่อสังเวยแด่องค์สุริยเทพที่แท่นกว้างหน้าแผ่นทองรูปสัญลักษ์ของพระองค์ เดิมทีต้องเป็นการสังเวยมนุษย์แต่ถูกเปลี่ยนเป็นใช้แพะแทน จากนั้นนักบวชใช้เลือดสดๆ ของแพะแต้มเจิมที่หน้าผากของกษัตริย์หนุ่ม จากนั้นส่งมงกุฏซึ่งเป็นการผสานระหว่างเครื่องประดับศีรษะเดิมของหัวหน้านักบวชซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของเทพแห่งตะวันและขนนกหลากสีซึ่งเคยอยู่บนมงกุฏรูปครึ่งวงกลมขององค์กษัตริย์ อินตีรับมงกุฏนั้นมาสวมหัวและนั่งลงบนบัลลังก์ทองที่นำมาตั้งหน้าแท่นสังเวยนั้น นับแต่นี้เป็นต้นไป องค์กษัตริย์เองจะทำหน้าที่เป็นผู้นำของมหาวิหารแห่งนี้อีกด้วย ฝูงชนจำนวนมหาศาลที่เฝ้ารออยู่ที่ลานด้านล่างพากันทรุดกายลงทำความเคารพ

"ขอองค์กษัตริย์อะยาร์ อินตีทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน!"

เสียงสรรเสริญนี้ดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่าอาคันตุกะจากต่างแดนเองก็ตะโกนประโยคภาษาเก็ตชวาที่พวกเขาได้ท่องจำมานั้น น้ำตาแห่งความปิติไหลอาบแก้มพวกเขา เช่นเดียวกับที่แก้มขององค์อะยาร์ อินตี ในที่สุดเขาก็ทำตามคำสั่งของแม่เขาได้แล้ว



"เฮ้ย อีกแล้ว ห้องบรรทมสบายๆ มีไม่นอน ทำไมพระองค์ต้องมานอนที่ห้องกระหม่อมด้วยวะ?"

มิเกลโวยลั่นเมื่อออกห้องน้ำมาเห็นร่างใหญ่กำยำในชุดพิธีการนอนแผ่เต็มเตียงใหญ่นุ่มของเขา

"กัปปิตันครับ วันนี้ผมเหนื่อยมากเลย ขอนอนหนุนตักให้หายเหนื่อยหน่อยได้ไหมครับ"

กษัตริย์หนุ่มออดอ้อนคนในดวงใจของเขา มิเกลบ่นพึมพำแต่ก็ยอมลงนั่งให้ให้อินตีเอาหัวพาดตักแต่โดยดี

"หอมจัง"

อินตีทำจมูกฟุดฟิดใกล้หน้าท้องแบนราบของพรานหนุ่มซึ่งใส่เพียงแค่กางเกงนอน มิเกลนั่งตัวแข็งปล่อยให้ร่างใหญ่นั้นย่ามใจลวนลามเขาต่อ ตั้งแต่จบเรื่องวุ่นๆ กับโทปา พวกเขาสองคนได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังบ่อยขึ้นเพราะท่านเคาท์หนุ่มและคนรักก็แยกไปใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง ส่วนท่านหญิงก็ง่วนกับการออกไปสำรวจโบราณวัตถุต่างๆ ในช่วงเย็นเธอก็มาขลุกอยู่กับญาติผู้พี่และดอนคริสโตบัลและแยกย้ายกันตอนเข้านอน ทั้งสามคนดูจะไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตแบบเราสามคน บางทีก็พ่วงไปด้วยองค์ชายฆวนน้อยที่ตามติดพ่อทั้งสองของเขาตามที่คริสโตบัลบอกให้เรียกกับอามาริโซล เขายังชอบที่จะให้อาอินตีและอามิเกลอุ้มไปดูนั่นดูนี่อีกด้วย



"อย่า..."

มิเกลจับมือใหญ่ที่ทำท่าจะซุกซนไปไกล ต่อให้เขาคิดว่าเขารู้ใจตัวเองแล้ว แต่เขายังไม่พร้อมที่จะให้อะไรมันเกินเลยไปกว่านี้ อินตีถอนหายใจ เขาจุมพิตเบาๆ บนต้นขาของมิเกล พรานหนุ่มลูบผมสีน้ำตาลจนเกือบดำซึ่งอินตีได้มาจากผู้เป็นแม่ มันเป็นสิ่งเดียวที่แสดงถึงความเป็นเอเชียนในตัวกษัตริย์หนุ่มองค์นี้ อินตีหลับตานิ่งและยิ้มออกมาบางๆ เมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นๆ ที่ประทับลงบนแก้มของเขา มิเกลยังไม่เคยแสดงความรักลึกซึ้งอะไรกับเขานัก ไม่กระทั่งบอกคำรักแก่กัน แต่ก็มีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เขาชุ่มชื่นหัวใจแบบนี้

"เกล้ากระหม่อมว่าพระองค์ไปสรงสนานให้สบายพระองค์ก่อนเถิดพะยะค่ะ"

มิเกลดันร่างใหญ่กำยำนั้นให้ลุกขึ้น อินตีเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย เขาอาบน้ำอาบท่าแล้วเดินกลับออกมาด้วยผ้าพันกายเพียงผืนเดียว เขาโคลงหัวเมื่อเห็นว่าร่างสันทัดนั้นนอนหลับสนิทไปแล้ว เขาใช้ที่ดับเทียนซึ่งเป็นแท่งยาวมีถ้วยเล็กๆ ตรงปลาย ดับเทียนที่จุดในห้องจนหมดและซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นเคียงข้างร่างที่หลับไปแล้วนั้นเฉกเช่นคืนอื่นๆ ที่เขามารุกรานขอนอนเตียงเดียวกับกัปปิตันของเขา เขาไม่กล้าทำอะไรเกินเลย เพียงแค่นอนเคียงข้างร่างสันทัดนั้นเท่านั้น หากคืนนี้จะด้วยอากาศที่เย็นลงหรืออะไรนั้นก็ไม่รู้ได้ มิเกลพลิกตัวมากอดก่ายเขาทั้งตัว อินตียกแขนโอบรอบร่างนั้นและจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของกัปปิตันของเขาก่อนที่จะหลับไปอย่างสุขใจ

เช้าวันถัดมา อินตีพาเหล่าอาคันตุกะของเขานั่งรถม้าเข้าไปยังวิหารใหญ่ยักษ์ที่สลักเข้าไปในหินผาที่อยู่ด้านหลังวิหารสุริยเทพ

"นี่คือวิหารขององค์ Viracocha ครับ"

ตามตำนาน วิราโคชาคือเทพผู้สร้าง หลังจากพระองค์สร้างสุริยเทพ เทพีแห่งดวงจันทร์ พระแม่ธรณี เหล่าสรรพสิ่งและสวรรค์แล้ว พระองค์ก็เดินทางท่องไปทั่วโลกเพื่อสอนสั่งศิลปะและอารยธรรมให้กับเหล่ามวลมนุษย์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคและไม่กลับมาอีกเลย

"นายคิดว่าที่ในเมืองนี้มีงานศิลปะและสถาปัตยกรรมจากทั่วทุกมุมโลกนั้น เป็นเพราะที่นี่เป็นต้นแบบของอารยธรรมทั้งมวลในโลกเหรอ?"

คริสโตบัลถามขึ้น ในฐานะนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์แล้ว เขายังรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ องค์อินตีส่ายหัว

"ผมคิดว่ามันกลับกันครับ ผมคิดว่าคนในเมืองนี้คงเดินทางรอนแรมไปทั่วโลกเพื่อกวาดต้อนคนจากต่างแดนมาด้วยเหตุผลเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ ในขณะเดียวกันก็เพื่อเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมจากทั่วโลกด้วย..."

อินตีบอกว่าแต่ช่วงหลังๆ มาไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม เหมือนกับว่าการกวาดต้อนคนจะถูกจำกัดอยู่แค่ในดินแดนแถบนี้เท่านั้น คริสโตบัลทำท่าสนใจทฤษฎีที่อินตีเสนอมา เขากำลังสนใจที่จะตามหาร่องรอยของคนจากดินแดนเทพแห่งนี้ในจารึกของอารยธรรมต่างๆ มาริโซลเองก็มีทีท่าอยากทำงานนี้ด้วย นักโบราณคดีทั้งสามนั่งสุมหัวกันถกเรื่องนี้ปล่อยให้มิเกลกับอัลฟองโซมองหน้ากันปริบๆ ด้วยความไม่รู้เรื่อง



อินตีและนักบวชหลายรูปพาแขกของเขาเข้าไปยังวิหารขนาดยักษ์นั้น ด้านในของมันสูงกว่า 40 เมตรและเต็มไปด้วยเสาหินขนาดมหึมา กษัตริย์หนุ่มพาพวกเขาเข้ามายังห้องโถงใหญ่กว้างที่มีแท่นหินเตี้ยๆ เรียงรายกันหลายร้อยแท่น บนแต่ละแท่นมีร่างที่ถูกรักษาไว้อย่างดีด้วยกระบวนการลึกลับ ร่างเหล่านี้คือองค์บูรพกษัตริย์แห่งนครแห่งนี้ ทั้งหมดอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิบ้างหรือนอนราบบ้าง หลายร่างดูเก่าแก่จนเหมือนมัมมี่ของอียิปต์ หลายร่างอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก อินตีบอกว่าร่างเหล่านั้นมาจากยุคแรกๆ ที่กระบวนการทำยังไม่ได้พัฒนาถึงขีดสุด แต่ร่างหลังสุดที่นั่งอยู่บนแท่นเกือบสุดท้ายนั้นดูเหมือนคนมีชีวิตที่นั่งหลับตา

"นี่คือกษัตริย์องค์ก่อนพ่อผมครับ องค์อะยาร์ มังกู ท่านเป็นลุงของพ่อผม"

"ส่วนแท่นนี้..."

อินตีไล้มือบนแท่นถัดไปด้วยความเศร้าสลด

"...มันเป็นของพ่อผมครับ หากพ่อผมถูกโทปาฆ่าตายและไม่ได้มีการนำร่างไปอาบยาไว้แบบนี้"

กษัตริย์หนุ่มรับโถที่ทำจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์มาจากนักบวชรูปหนึ่ง เขาวางโถนั้นลงบนแท่นหินแกรนิตสีดำสนิทแท่นนั้น ในโถคือเถ้าอัฐิของพ่อเขา เหล่าผู้ภักดีลอบนำพระศพขององค์อะมารุที่โทปาโยนทิ้งไปเหมือนขยะมาทำการฌาปนกิจและเก็บเถ้าถ่านไว้ อินตีล้วงมือไปในอกเสื้อและหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมาอีกกล่องหนึ่ง นี่คือเถ้ากระดูกส่วนที่เหลือของแม่เขา หลังแม่ตาย บาทหลวงให้คนจัดการเผาร่างของหญิงคนนั้นตามที่เธอร้องขอก่อนตาย เขานำเถ้าส่วนมากไปลอยน้ำและเก็บส่วนหนึ่งไว้ให้อินตีเพื่อรอวันที่เขาจะได้กลับสู่เมืองนี้อีกครั้ง อินตีวางเถ้าของแม่เคียงข้างกับพ่อของเขา เขาพาเดินถัดไปยังอีกแท่นหนึ่งซึ่งยังมีร่องรอยของการทำขึ้นมาใหม่ๆ

"และนี่ เตรียมไว้สำหรับผมครับ แต่ละแท่นจะถูกทำขึ้นใหม่เมื่อมีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์"

"อืมม์ แกก็ไม่ต้องรีบมาใช้มันนักล่ะ!"

มิเกลพูดไปอย่างลืมตัว อินตีหัวเราะกระหึ่ม เขาอยากตอบเหลือเกินว่าถ้ายังไม่ได้มิเกลมาแนบกายเขาก็จะยังไม่ยอมตายแน่นอน



หลังจากการธุระในห้องสุสานหลวงจนแล้วเสร็จ อินตีพาเหล่านายจ้างเดินลึกเข้าไปในวิหาร นายจ้างได้แต่ตื่นตะลึงเมื่อเห็นเหล่าสมบัติกองสูงท่วมโถงขนาดใหญ่ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา สมบัติเหล่านั้นมีตั้งแต่เพชรนิลจินดา เครื่องเพชรทองจากหลายยุคหลายสมัย หลายศิลปวัฒนธรรม ไปจนถึงภาพวาดจากฝีมือศิลปินเลื่องชื่อ ดอนอัลฟองโซปากสั่นเมื่อเห็นภาพวาดที่หายสาบสูญไปหลายร้อยปีของลีโอนาโด ดาวินชี ราฟาเอล เอล เกรโก และศิลปินชั้นครูอีกหลายๆ คน รวมถึงเหล่ารูปปั้นและรูปสลักหินอ่อนอีกจำนวนมาก

“นี่มัน…ม้วนหนังสือแห่งหอสมุดอเล็กซานเดรีย!”

คริสโตบัลและท่านหญิงอุทานออกมาเมื่อเห็นม้วนหนังสือที่วางเรียงรายบนชั้น ต่อให้ช่วงที่แล้วเขามีอิสระแค่ไหน คริสโตบัลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในส่วนนี้ อินตีเองก็มองด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขายังเล็กมากเมื่อเข้ามาในนี้ตอนพิธีศพขององค์อะยาร์ มังกู

พวกเขาใช้เวลาพักหนึ่งในห้องสมบัติก่อนจะเดินตามอินตีและเหล่านักบวชไปยังห้องในสุด

“นี่คือห้องเก็บสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับชาวเมืองเราครับ พวกท่านพร้อมดูกันหรือยัง?”

องค์อะยาร์ อินตีพูดยิ้มๆ เหล่าผู้มาเยือนพยักหน้าด้วยท่าทีตื่นเต้น ยังมีอะไรที่จะล้ำค่าไปกว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นในห้องก่อนหน้านี้อีก อินตีให้นักบวชและเหล่าเจ้าพนักงานชักรอกประตูหินขนาดใหญ่ที่ปิดหน้าห้องไว้ แสงสว่างจากภายในห้องเผยให้เห็นสมบัติล้ำค่านั้น ทุกคนพากันตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น



“ผ้า?!”

ในห้องนั้นเต็มไปด้วยม้วนและพับผ้าหลากรูปแบบและสีสันซึ่งทำจากวัตถุดิบแทบทุกชนิดเท่าที่เคยถูกผลิตมาบนโลก นอกจากผืนผ้าแล้ว มันยังมีเสื้อผ้าเป็นชุดจากมากมายหลายยุคสมัยและหลายวัฒนธรรมแขวนห้อยไว้จนเต็มห้อง มีทั้งชุดมังกรสีเหลืองอร่ามขององค์ฮ่องเต้จีนพร้อมมงกุฏมุก ชุดราตรียาวกรุยกรายและพองฟูแบบเดียวกับที่พระนางมารี อังตัวเน็ตเคยใส่ หรือมีกระทั่งชุดผ้าดิบแบบเรียบง่ายแต่ห่มคลุมไว้ด้วยผ้าขนสัตว์ผืนใหญ่แบบไวกิ้ง

"ที่อาณาจักรนี้ก็ไม่ต่างจากพวกอินคาโบราณครับ พวกเรามีเพชรทองมากก็จริง แต่สิ่งที่ผู้คนที่นี่มองเป็นของมีค่าจริงๆ คือผ้าครับ คนที่นี่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาวิธีผลิตผ้าแบบต่างๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วครับ..."

คริสโตบัลและท่านหญิงพยักหน้า พวกเขาเคยได้เรียนรู้มาจากบันทึกของนักแสวงโชคชาวสเปนในยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าชาวอินคาให้ค่าผ้ามาก พวกเขาวัดฐานะกันจากผ้าที่ใช้ ผ้ายังถูกมอบให้กันเป็นเหมือนรางวัลหรือกระทั่งเพื่อจ่ายภาษี ผ้าทอลวดลายต่างๆ ที่มีสีสันสดใสของชาวอินคาถูกยกให้เป็นหนึ่งในผ้าทอชั้นเยี่ยมของโลกยุคโบราณ แต่ดูทีท่าแล้วความคลั่งไคล้ในผ้าของอาณาจักรในม่านหมอกแห่งนี้จะก้าวไปไกลกว่าชาวอินคาซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรแห่งนี้มากนัก

"ชุดพวกนี้เป็นชุดที่เหล่ารัชทายาทจะเลือกใช้ในพิธีขึ้นครองราชย์ของตัวเองครับ..."

อินตีพาแขกของเขาเดินดูเสื้อผ้าหรูหราที่แขวนเรียงรายไว้ เขาหยุดลงที่ชุดแบบพิธีการที่ใช้ในราชวงค์อิมพีเรียลของญี่ปุ่น

"พ่อของผมใช้ชุดนี้ครับ เพื่อเป็นการแสดงความรักต่อแม่ของผม ส่วนที่ผมใส่เมื่อวาน เป็นชุดโบราณแบบดั้งเดิมของนครแห่งนี้"

เหล่านักเดินทางใช้เวลาในวิหารแห่งนี้อีกพักใหญ่ก่อนจะกลับไปยังที่พัก คืนนั้น อินตีก็ยังมาขลุกนอนที่ห้องของมิเกลเช่นเดียวกับที่ผ่านมา เขาต้องทอดถอนใจอีกครั้งเมื่อมิเกลนอนกอดซุกเขาและใช้เป็นหมอนข้างเช่นเดียวกับคืนที่ผ่านมา เขาต้องข่มใจตัวเองอย่างมากกว่าที่จะหลับได้ลง ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกายเขาและกลิ่นกายของมิเกลทำให้เขาฟุ้งซ่านเหลือทน และมันก็เป็นเช่นนี้ไปอีกสิบคืนที่เหล่านายจ้างอาศัยอยู่ในเมืองนี้


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน - Lost&Found (ต่อ) ----



และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายที่คณะเดินทางจะอาศัยในเขตราชฐานแห่งนี้ ช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาคริสโตบัล ท่านหญิงและอินตีมักจะพากันไปสำรวจเมืองหรือนั่งจ่อมจมอยู่ในห้องสมุดขนาดใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยตำราเก่าแก่ล้ำค่าจากทั่วโลก คริสโต้ถึงขั้นอยากเลื่อนการเดินทางและอยู่ศึกษาต่อที่นี่แต่ก็ถูกคนรักมีทีท่าปั้นปึ่งใส่จนเขาต้องตามงอนง้อจนยุ่งไปหมด เขาบอกอินตีว่าถ้าเป็นไปได้เขาอาจจะกลับมาที่นี่นานๆ ทีเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม แต่เขาและท่านหญิงให้คำสัจกับองค์กษัตริย์หนุ่มว่าพวกเขาจะไม่พูดถึงอาณาจักรแห่งนี้หรือสิ่งที่เขาได้ศึกษาไปจากที่นี่ มันมีไว้เพื่อให้ความรู้ใหม่กับตนเองเท่านั้น

ในช่วงสิบวันนั้น มิเกลก็ได้คิดอะไรใหม่ๆ ให้กับอินตี องค์กษัตริย์หนุ่มมีแนวคิดว่าเขาจะรื้อฟื้นการส่งคนในเมืองไปเรียนรู้วัฒนธรรมจากโลกภายนอกมากขึ้น มิเกลเลยเสนอว่าเขาน่าจะตั้งสถานีพักเล็กๆ ระหว่างทางเพื่อให้ง่ายแก่เหล่านักเดินทางที่จะเข้าออกจากเมืองแห่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งเก็บเสบียง หรือเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนอยู่เพื่อเป็นแหล่งพักระหว่างทาง และในขณะเดียวกันก็เป็นที่สังเกตการณ์เผื่อมีคนแปลกปลอมผ่านเข้ามาใกล้

"คล้ายๆ แบบเมืองของพวกนาซกาน่ะ แต่ฉันก็ยังกังวลอยู่ดีว่าในที่สุดก็จะมีคนภายนอกหาที่นี่เจอ"

อินตีหัวเราะเบาๆ เขายกมือของคนในใจขึ้นจูบเบาๆ

"ไม่ต้องห่วงครับ กัปปิตัน ผมมั่นใจว่าที่นี่จะถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแบบนี้ตลอดไป ในอนาคตแม้จะมีเรือบินเหาะผ่าน ก็ไม่มีทางเห็นอย่างแน่นอน"

มิเกลพยักหน้า เขาก้มลงมองแผนที่ฉบับใหม่ซึ่งเขาได้มาจากอินตี ระหว่างที่คริสโต้และท่านหญิงค้นคว้าข้อมูลในตำรา พวกเขาไปเจอแผนที่โบราณที่แสดงเส้นทางเข้าออกเมือง มิเกลและอินตีดูมันแล้วก็สรุปได้ว่ามันสั้นกว่าเส้นทางที่พวกเขาใช้มาถึงเกือบครึ่ง



"ฉันว่า เราน่าจะตั้งสถานีไว้ตรงนี้ นี้ และตรงนี้ ส่วนจุดนี้มีแค่แหล่งเก็บเสบียงก็พอ ส่วนตรงนี้ ตั้งหมู่บ้านเล็กๆ สักสี่ห้าหลัง ส่วนตรงนี้..."

อินตีมองใบหน้าคมเข้มที่ก้มมองแผนที่ มองปากอิ่มที่ขยับพูดจ้อคู่นั้น

"...น่าจะพอแล้วมั้ง เฮ้ย!"

มิเกลอุทานลั่นแล้วผวากายออกเมื่อใบหน้าขององค์กษัตริย์ก้มต่ำจนริมฝีปากพวกเขาแทบจะสัมผัสกัน อินตีชะงักกึก

"ผม...ผมขอโทษ"

ร่างใหญ่นั้นถอนหายใจและหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยว...อินตี"

ร่างสันทัดวิ่งตามองค์ราชาและดึงมือของเขาไว้

"ฉัน...เอ่อ...ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ"

พรานหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ความรู้สึกของอินตีดีและเขาก็รู้ใจตนเอง แต่เขายังไม่คุ้นชินกับการแสดงความรักกับเพศเดียวกัน เขามองผู้บังคับบัญชาทั้งสองของเขาด้วยความอิจฉาที่พวกเขาสามารถทำแบบนั้นได้ตามใจปรารถนา แต่สำหรับเขาแล้วไม่คุ้นชินกับการสัมผัสหรือกระทั่งบอกรักกันแบบนั้น การจุ๊บแผ่วๆ ที่แก้มหรือหน้าผากนั้นเขายังพอรับได้ มันเป็นเรื่องที่เพศเดียวกันทำเป็นปกติที่สเปน อย่างการจับมือจับไม้ จูบมือนั่นก็ยังพอไหวเช่นกัน แต่ถ้าให้จูบลูบไล้หรืออะไรมากกว่านั้น หรือกระทั่งบอกรักกันดังๆ ต่อหน้า ตัวมิเกลเองก็ยังไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่กับเพศเดียวกัน ในอดีตมิเกลก็มักขัดเขินที่จะแสดงความรักหรือเอ่ยคำรักในที่สาธารณะกับเหล่าหญิงสาวที่เขาเคยคบหาด้วย

"แกรอฉันหน่อยได้ไหม อินตี แล้วเมื่อฉันพร้อม..."

อินตียกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากคนที่เขารักสุดใจ

"อย่าครับ อย่าพูดอะไรที่จะเป็นการฝืนใจตัวเอง ผมรอได้ครับ กับปิตัน ต่อให้ต้องรออีกกี่สิบปี ผมก็จะรอท่านเพียงผู้เดียว"

มิเกลยิ้มออกมาได้ เขาประสานมือเข้ากับมือใหญ่ของอินตี

"ป่ะ เราไปหาพวกนายๆ กัน จวนได้เวลาแล้ว"



คืนนั้น อินตีจัดงานเลี้ยงส่งเหล่านายจ้าง พรานและลูกหาบอย่างสมเกียรติ เหล่าพรานและลูกหาบที่มากับคณะของคริสโตบัลก็มาเข้าร่วมงานด้วย หากพวกเขาส่วนมากเลือกที่จะอยู่ต่อในอาณาจักรแห่งนี้เพราะพวกเขามีครอบครัวและตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงสองคนที่กลับไปกับคณะของมิเกล อินตีตกรางวัลให้กับเหล่าลูกหาบและพรานอย่างงาม เขาให้ทองและอัญมณีในจำนวนที่พอจะถือกลับไปได้แก่ทุกคน แต่แลกกับคำสัญญาที่จะไม่เปิดเผยที่ตั้งของนครแห่งนี้ให้ใครทราบ ดอนอัลฟองโซเองก็สัญญาจะจ่ายค่าจ้างเพิ่มจากที่รับปากไว้ในตอนแรกอีกหลายเท่า รวมถึงให้กับครอบครัวของลูกหาบที่เสียชีวิตด้วย

มิเกลเดินเซน้อยๆ กลับมาที่ห้องนอนของเขา เขาเริ่มรู้สึกเมาเลยขอตัวกลับมานอนก่อนเมื่อดูทีท่าว่างานเลี้ยงจะยังไม่เลิกราง่ายๆ เขาควรทำตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางกลับ เขาอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยและนั่งพิจารณาแผนที่ฉบับใหม่ เขาจะลองใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางกลับ

"ใครกันนะ?"

มิเกลพึมพำขึ้นเมื่อมีเสียงคนเคาะที่หน้าประตู เขาเดินไปเปิดประตูแล้วก็เจอตะกร้าใบหนึ่ง ในนั้นมีหม้อดินเผาขนาดไม่ใหญ่นัก ขนมปังก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งและดอกกุหลาบแดงหนึ่งดอก มิเกลยิ้มกว้างออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ เขาจำตะกร้าแบบนี้ได้ มันมักวางอยู่หน้าบ้านเขาเวลาที่เขาไม่สบายหรือว่ายุ่งจัดจนไม่ได้กินข้าวกินปลา เขาเปิดหม้อดินเผานั้นดู มันว่างเปล่า แต่มีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ด้านใน มันบอกให้เขานำตะกร้านี้มาที่ศาลากลางสวนหลังเรือนพัก เขาหยิบตะกร้านั้นขึ้นและเดินไปตามที่บอก เมื่อถึงศาลา เขาก็เห็นร่างใหญ่กำยำของอินตียืนหันหลังให้เขา มิเกลเดินเข้าไปหา ราชาหนุ่มหันขวับมาเมื่อได้ยินเสียงและต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มกว้างที่เผยให้เห็นฟันขาวๆ



"ทำอะไรอยู่น่ะ หอมเชียว?"

มิเกลเดินเข้าไปใกล้และเห็นว่าที่เบื้องหน้าของกษัตริย์หนุ่มมีหม้อเหล็กหล่อใบใหญ่ตั้งอยู่บนเตาที่ก่อขึ้นชั่วคราวด้วยก้อนหิน

"Berza Andaluza..."

อินตีพูดชื่ออาหารชนิดนั้นออกมาเบาๆ มิเกลพยักหน้า ทำไมเขาจะไม่รู้จัก มันคือสตูว์ที่ใส่ถั่วลูกไก่ ผัก และไส้กรอกเลือด มันเป็นอาหารประจำถิ่นชนิดหนึ่งของแถบอันดาลูเซียซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา และมันเป็นสิ่งที่เขามักเจออยู่ใน 'ชุดเยี่ยมไข้' ของคนลึกลับที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคือใคร อินตีตักสตูว์ที่เขาใช้เวลาเคี่ยวถึง 2 ชั่วโมงใส่หม้อดินเผาใบนั้น

"แล้วแกจะต้องเอาใส่หม้อทำไมในเมื่อเดี๋ยวฉันก็ต้องตักใส่ถ้วยกินอยู่ดี"

"ทุกทีกัปปิตันก็กินในหม้อเลยไม่ใช่เหรอครับ?"

พ่อคนรู้ดีย้อนถาม

"นี่แกตามดูฉันตลอดเวลาขนาดนั้นเลยเหรอ?"

อดีตนายทหารถามเสียงเข้ม อินตีทำหน้าจ๋อย เขาบอกว่าบางทีเขาก็ต้องรอดูเพื่อให้แน่ใจว่ามิเกลมีแรงกินไหว มิเกลโคลงหัวและบ่นว่าในเมื่อห่วงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เข้ามาหามาป้อนเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

"ก็ถ้ากัปปิตันเจอผมในตอนนั้น กัปปิตันก็คงลากไรเฟิลมายิงผมแน่ๆ"



อินตีพูดยิ้มๆ แล้วดึงเก้าอี้ให้มิเกลลงนั่ง เขาวางหม้อใบนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้ามิเกล แต่เจ้าตัวเลื่อนมันไปไว้ที่กลางโต๊ะ

"กินด้วยกันนี่แหละ อินตี ฉันยังอิ่มๆ จากเมื่อกี้อยู่"

กษัตริย์หนุ่มลงนั่งเคียงข้างกัปปิตันของเขา เขาอ้าปากรับสตูว์จากช้อนที่มิเกลส่งให้

"อืมม์ ผมว่าวันนี้มันอร่อยกว่าทุกทีนะ"

มิเกลหัวเราะเบาๆ คนๆ นี้ชมอาหารที่ตัวเองทำได้หน้าตาเฉย เขาตักสตูว์เข้าปากตัวเองหลายคำ

"อืมม์ มันก็อร่อยจริงๆ นะ คงเป็นเพราะวันนี้ได้กินร้อนๆ จากเตาเลยมั้ง..."

"...แล้วก็ วันนี้ฉันไม่ต้องนั่งกินเงียบๆ คนเดียวด้วย"

พรานหนุ่มเหลือบมองไปยังคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างๆ

"ขอบใจนะ อินตี ที่อยู่เคียงข้างฉันมาตลอด"

มิเกลกุมมือใหญ่นั้นและเผยอยิ้มกว้างให้องค์กษัตริย์หนุ่มที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ครั้งหนึ่งและกลายเป็นสิ่งที่ผูกพันพวกเขามาตลอดจนทุกวันนี้ องค์อินตีพลันตัดสินใจทำบางสิ่ง เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้ามิเกลและกุมมือของพรานหนุ่มไว้



"กัปปิตันครับ..."

"...ผมรักท่าน รักจนสุดหัวใจ"

มิเกลหน้าแดงซ่าน เขานึกไม่ถึงว่าอินตีจะทำแบบนี้

"ผม...ผมอยากรู้ว่าจะเป็นไปได้ไหมถ้า...ถ้าท่านจะมาอยู่กับผมที่นี่"

พรานหนุ่มทำหน้าลำบากใจ เขายังมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ

"ไม่ครับ ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้ หมายถึงในอนาคต เมื่อพร้อม กัปปิตันมีแผนที่กลับมาที่นี่แล้ว ผมรอท่านมานานแล้ว รอต่ออีกนิดไม่มีปัญหาหรอกครับ"

องค์กษัตริย์หนุ่มระล่ำระลักตอบ มิเกลดึงร่างใหญ่นั้นให้ยืนขึ้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ฉัน ฉันไม่รู้จะให้คำตอบแกยังไง อินตี ถ้าจะถามความรู้สึกของฉันตอนนี้ ใช่ ฉันรู้สึกบางอย่างกับแก..."

พรานหนุ่มยิ้มอย่างขวยเขินเมื่อพูดแบบนั้นออกไป

"แต่ฉันขอเวลาให้แน่ใจกว่านี้อีกสักหน่อยก่อนที่จะพูดคำนั้นออกไป ฉันขอเวลาปีหนึ่งเพื่อจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง..."

"ในช่วงเทศกาล Inti Raymi ของปีหน้าถ้าฉันกลับมา แสดงว่าฉันพร้อมอยู่กับแกไปจนตลอดชีวิต แต่ถ้าฉันไม่กลับมา แกก็อย่าได้รอฉันอีก ตกลงไหม?"

องค์อะยาร์ อินตีอึ้งไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง แต่ก่อนเขาจะทันรู้ตัว ริมฝีปากอิ่มของมิเกลก็ประทับแผ่วๆ เข้าที่ริมฝีปากบางของเขา



"จูบนี้แทนคำสัญญาของฉันนะ อินตี"

มิเกลพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ อินตีสุดจะห้ามใจต่อไปได้ เขารวบเอวของร่างสันทัดนั้นและดึงเข้ามากอดกระชับในอกก่อนจะประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากอิ่มคู่นั้น มิเกลสะดุ้งเฮือกแต่ก็ปล่อยใจไปกับจูบนั้น อินตีดูดดึงริมฝีปากแดงระเรื่อของคนที่อยู่ในใจเขามาเกือบสิบปี มิเกลจูบตอบอย่างอ่อนหวาน จูบของอินตีทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งกายและใจ เขาเคยผ่านผู้หญิงมาบ้าง หากส่วนใหญ่ไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบยั่งยืนเพราะเขาคิดว่ายังไม่พร้อมมีครอบครัว แต่ที่ผ่านมา เขาไม่เคยถูกใครจูบด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรงเปี่ยมด้วยความรักแบบนี้มาก่อน

มิเกลหอบเบาๆ เขาหน้าแดงก่ำเมื่อพบว่าตัวเองนั่งคร่อมอยู่บนขาอันแข็งแรงขององค์กษัตริย์หนุ่มอย่างไม่รู้ตัว

"จูบนี้ถือว่าผมยอมรับสัญญาของกัปปิตัน ไม่ว่าจะออกมาแบบไหนก็ตาม"

กษัตริย์หนุ่มพูดยิ้มๆ ปากเขาบอกแบบนั้นแต่ในใจเขารู้ว่ามิเกลคงไม่หนีจากเขาไปไหนแน่ๆ เขาจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากนั้นเบาๆ อีกครั้ง มิเกลจูบตอบแผ่วๆ ใจจริงเขาก็อยากจะบอกรักอินตีไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่เขารู้ว่าถ้าเขาพูดออกไปองค์อินตีต้องไม่ยอมให้เขากลับไปส่งคณะนายจ้างแน่นอน

"สตูว์เย็นหมดแล้วนะครับ กัปปิตัน"

"ฉันกินไม่ไหวแล้วน่ะ อินตี ตอนนี้ชักง่วงนอนแล้วมากกว่า"

มิเกลพูดพร้อมหาวหวอดๆ อินตีสั่นกระดิ่งที่อยู่บนโต๊ะ สักพักก็มีเจ้าพนักงานเดินเข้ามาเก็บข้าวของไป องค์อินตีจับมือกัปปิตันของเขาเดินกลับไปยังห้องนอน ทั้งคู่นอนร่วมเตียงกันสองต่อสองเป็นคืนสุดท้าย แม้ทั้งคู่จะแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม แต่อินตีก็ไม่แตะต้องมิเกลมากไปกว่านั้นและหลับใหลไปอย่างสุขใจในอ้อมกอดของกันและกัน



คณะเดินทางเคลื่อนขบวนออกจากกำแพงเมืองโดยมีประชาชนมาตั้งขบวนส่งอย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาส่งเสียงสรรเสริญและขอบคุณคนจากโลกภายนอกผู้ช่วยให้องค์กษัตริย์ที่แท้จริงได้คืนบัลลังก์ โดยเฉพาะดอนคริสโตบัลที่ได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่ ประชาชนจำนวนมากหลั่งน้ำตาให้พระบิดาของรัชทายาทองค์น้อยผู้นี้ คณะของดอนอัลฟองโซใช้เวลาเดินทางโดยใช้รถม้ารวม 2 วันกว่าจะถึงปากทางออกเมือง Hanan Pacha พวกเขาใช้เวลาคืนสุดท้ายในกระโจมที่อินตีให้คนตั้งขึ้นอย่างหรูหรา อินตีทำอาหารค่ำมื้อสุดท้ายให้กับเจ้านายของเขา มันมีทั้งไก่ฟ้าย่างยัดไส้เห็ดแบบที่ดอนอัลฟองโซชอบ หมูย่างทั้งตัว และสเต๊กเนื้อกวาง คืนนั้นเหล่านายจ้างนอนรวมกันในกระโจมที่ปูฟูกหนาและขนตัวลามาอันฟูนุ่ม ส่วนมิเกลนั้นขอตัวมานอนรวมกับหมู่พรานของเขา

"นี่แกจะกวนฉันจนกระทั่งคืนสุดท้ายเลยเหรอ อินตี?"

มิเกลพูดทั้งที่หลับตาเมื่อรู้สึกว่ามีคนดึงผ้าห่มของเขาและพยายามแทรกตัวเข้ามา

"นอนคนเดียวมันหนาว ขอผมนอนด้วยคนนะครับ"

ร่างใหญ่นั้นทำเสียงเว้าวอน มิเกลถอนหายใจ เจ้าพนักงานตั้งกระโจมแสนสบายให้ องค์อินตีท่านก็ไม่นอน จะมานอนบนฟูกบางๆ กับเขาเสียได้ เขาเปิดผ้าห่มและตบที่ข้างตัวเบาๆ ให้ราชาหนุ่มร่างใหญ่ลงนอน อินตีลงนอนนิ่งๆ และก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อร่างที่หลับตาพริ้มนั้นพลิกกายมากอดเขา



"กัปปิตันครับ..."

อินตีกระซิบเบาๆ

"ตอนนอนกลางป่าอย่าไปเผลอนอนละเมอกอดท่านหญิงแบบนี้นะครับ"

กษัตริย์หนุ่มพูดยิ้มๆ

"หึ ฉันไม่ได้มีนิสัยนอนละเมอไล่กอดชาวบ้านหรอกนะ"

มิเกลพูดตอบกลับมาแบบคนที่ตื่นเต็มที่

"คนอุตส่าห์ให้ท่าเต็มที่ ดันหัวช้าเองก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ"

พูดจบเขาก็พลิกกายนอนหันหลังให้กษัตริย์หนุ่ม อินตีทำตาเบิกโพลง เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่านั้นคือการให้ท่า เขาบ่นพึมพำอย่างเสียดายพร้อมกับพยายามสะกิดมิเกลให้ย้ายไปนอนที่กระโจมของเขา

"เสียใจ โอกาสหมดไปแล้ว ไว้มาลุ้นกันอีกทีปีหน้าแล้วกันนะ"

มิเกลหันกลับมาจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางของคนที่เขาตั้งใจจะฝากอนาคตไว้ด้วยก่อนจะซุกกายเข้าอ้อมอกอุ่นที่โอบกอดเขาไว้อย่างอ่อนโยน



"พ่อไปก่อนนะฆวน เป็นเด็กดี อย่าดื้อกับอาอินตีเขานะลูก"

ดอนคริสโตบัลลาลูกชายบนลานกว้างหน้าประตูอุโมงค์ที่จะพาพวกเขาออกจากเมืองในม่านหมอกแห่งนี้ เด็กน้อยพยักหน้าอย่างรู้ความ แม้จะมีอายุเพียง 2 ปี เจ้าชายอะยาร์ คาปัคองค์นี้ก็รู้ความกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก คริสโตบัลกับอินตีตกลงกันไว้ว่าเมื่อฆวนมีอายุถึงช่วงหนึ่ง เขาจะส่งองค์ชายน้อยองค์นี้กลับไปให้ผู้เป็นพ่อและให้ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาจากโลกภายนอกเหมือนกับที่เขาเคยทำเพื่อที่จะได้ผสานองค์ความรู้จากทั้งสองโลกและนำมันมาพัฒนานครแห่งนี้ นายจ้างทุกคนกอดลาอินตี ไม่มีสักคนที่ไม่หลั่งน้ำตา คนที่มีสีหน้าเรียบเฉยไร้น้ำตาคือคนสุดท้ายที่อินตียืนจ้องหน้านิ่งนาน

"กัปปิตันครับ..."

อินตีทำตาแดงๆ ก่อนจะรวบร่างสันทัดนั้นมากอดไว้แนบอกแน่น

"อืมม์ ฉันรู้ แกอย่าร้องไห้ต่อหน้าคนของแกนะ อินตี จำไว้ ปีเดียว ปีเดียวเท่านั้น จงรอฉัน"

องค์กษัตริย์หนุ่มพยักหน้าเบาๆ เขาลอบปาดน้ำตาและดันร่างสันทัดนั้นออก

"ไว้เจอกันครับ กัปปิตันที่รักของผม"

เขากระซิบแผ่วๆ ก่อนที่ทุกคนจะโบกมือลาและหันหลังเดินเข้าไปสู่อุโมงค์อันมืดมิด มิเกลนำทางทุกคนเดินออกมาโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะโผล่ออกมายังปากถ้ำทอง และเมื่อเดินห่างออกไปไม่กี่ก้าว พวกเขาก็ต้องตะลึงเมื่อหันกลับไปแล้วพบแต่เพียงม่านหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณปากถ้ำนั้น ที่แห่งนี้ไม่ปรากฏต่อสายตาคนจากโลกภายนอกเฉกเช่นที่อินตีเคยกล่าวไว้จริงๆ ทุกคนยืนสงบนิ่งเพื่อระลึกถึงคืนวันที่เหมือนอยู่ในความฝันในนครแห่งสุริยเทพแห่งนั้นก่อนจะพากันเดินลงจากเขาเพื่อกลับไปสู่โลกภายนอก



มิเกลหันกลับไปมองยังบ้านอันว่างเปล่าของเขา เวลาผ่านไปเจ็ดเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เขาพาคณะเดินทางของดอนอัลฟองโซกลับมายังคุสโก้ในปลายเดือนกันยายน พวกเขาใช้เวลาเดินทางในเส้นทางใหม่เพียงสองเดือน หนทางนั้นง่ายและมีภัยคุกคามน้อยกว่าเส้นทางแรกที่พวกเขาใช้มาก เหล่านายจ้างอาศัยอยู่กับเขาอีกประมาณสองสัปดาห์เพื่อจัดการเรื่องการจ่ายค่าจ้างเพิ่มเติมให้เหล่าลูกหาบและพรานก่อนจะกลับไปสเปน มิเกลจัดการเรื่องต่างๆ ของเขาจนแล้วเสร็จภายในสิ้นปี เขายกบ้านของเขารวมทั้งปืนและอุปกรณ์ล่าสัตว์ทั้งหลายให้โฆเซ่และลูอิสสองพรานคู่ใจ เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นต่ออีกพักหนึ่งเพื่อจัดการกับข้าวของ จนกระทั่งวันนี้

มิเกลเริ่มออกเดินทางกลับไปยังนครแห่งสุริยเทพในปลายเดือนเมษายน เขาเดินทางลำพังและมีเพียงไรเฟิลและปืนสั้นติดตัวพร้อมกระสุนเพียงเล็กน้อย เขาพกสิ่งของติดตัวไปน้อยเพื่อให้เดินทางได้คล่องตัว ยามกลางคืน เขาขึ้นนอนบนต้นไม้หรือถ้ำสูง ในยามหลับ เขารู้สึกเหมือนมีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่เขาตื่นขึ้นมาโดยยังรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเขาไว้ หรือสัมผัสอุ่นๆ ที่แก้ม บางครั้งเวลาเขาไม่แน่ใจเรื่องเส้นทาง เขาเหมือนได้ยินเสียงอินตีคอยบอกเส้นทางที่ถูกต้องให้เขา แต่มิเกลคิดว่ามันคงเป็นความคะนึงหาในใจของเขา



ระหว่างทาง เขาพบชุมชนเกิดใหม่หลายแห่งที่เขาใช้เป็นที่แวะค้างแรม ทุกคนที่นั่นต่างยิ้มแย้มต้อนรับเขา แม้จะไม่บอกว่าพวกเขาเป็นใครแต่มิเกลก็รู้ว่าองค์ราชาของเขาได้ทำตามคำแนะนำของเขาแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของชุมชนเหล่านั้น มิเกลมาถึงที่ชายป่าดึกดำบรรพ์ก่อนกำหนดหลายวัน ที่นั่น เขาพบว่าฮวนกาและคาตากิลมารอต้อนรับอยู่แล้ว เขาอาศัยอยู่กับพวกนั้นหลายวันก่อนที่ทั้งสองและทหารอีกจำนวนหนึ่งจะพาเขาขึ้นไปส่งถึงปากถ้ำโดยที่ไม่ต้องรอเทศกาล Inti Raymi ที่จะมาถึงอีกห้าวันให้หลัง

มิเกลลงจากยอดปิรามิดแบบแอซเท็คและพบกับกองขบวนเกียรติยศที่มารอรับอยู่ก่อนแล้ว แต่ขบวนนั้นไร้เงาขององค์อินตี มิเกลได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ หลังจากใช้เวลาเดินทางสองวัน เขาก็เข้าสู่เขตกำแพงเมืองและถูกพาไปยังตำหนักกลางสวนหลังที่เขาเคยอยู่เมื่อคราวที่แล้ว เขาพยายามถามหาองค์อินตีแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าพนักงานเหล่านั้น

เย็นวันนั้น เจ้าชายฆวนก็เสด็จมาหาเขา ร่างเล็กๆ นั้นโผเข้ากอดเขาและร้องไห้โยเย เขาบอกว่าเขาเหงาและคิดถึงทุกคน

"ท่านอาอินตีก็ไม่ค่อยอยู่ บางทีฆวนไปหาท่านอาก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ก็เอาแต่ถอนหายใจ ฆวนคิดถึงพ่อๆ ด้วย"

มิเกลปลอบโยนเจ้าชายน้อยด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เจ้าชายน้อยบอกว่าเธอไม่เห็นอาอินตีมานับสัปดาห์แล้ว



พรานหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนดึกสงัดของคืนก่อนหน้าเทศกาล Inti Raymi เขาได้ยินเสียงคนเอาก้อนหินขว้างที่หน้าต่างห้องนอนของเขา เขาเปิดออกไปดูก็เจอนักบวชหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเขาเคยเห็นหน้าค่าตาบ้างเมื่อตอนอยู่ที่เมือง นักบวชคนนั้นมีท่าทางวิตกกังวล

"ท่านมิเกล ข้าเป็นห่วงท่านจริงๆ"

"เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านต้องเป็นห่วงข้า?"

นักบวชหนุ่มถอนหายใจ

"ท่านไม่รู้อะไร ปีหนึ่งที่ท่านไม่อยู่ เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ขึ้นในเมือง องค์อะยาร์ อินตีท่าน ท่าน..."

มิเกลรู้สึกเหมือนตกลงไปสู่หล่มน้ำแข็ง เขาเขย่าร่างนักบวชคนนั้นและถามว่าเกิดอะไรขึ้น นักบวชคนนั้นบอกให้มิเกลตามเขาไป เขาส่งผ้าพันกายแบบนักบวชให้มิเกลสวมใส่พาเขาลัดเลาะออกจากเขตวัง เขาพามิเกลขึ้นนั่งบนหลังม้าและขี่ออกไปยังมหาวิหารขององค์ Viracocha ที่อยู่ลึกเข้าไปในหินผา มิเกลกลั้นสะอื้น มีเพียงเหตุผลเดียวที่อินตีจะมาอยู่ในที่แบบนี้



"องค์อินตีทรงล้มป่วยลงหลังจากพวกท่านจากไปได้ประมาณสามสี่เดือน..."

นักบวชผู้นั้นถือไต้พามิเกลเดินเข้าไปยังเขตสุสานหลวง พรานหนุ่มแทบล้มทั้งยืนเมื่อเห็นร่างที่งามสมบูรณ์ของอินตีนั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่บนแท่นหินแท่นสุดท้าย เขาทรุดฮวบลงกับพื้น นักบวชหนุ่มรีบประคองเขาขึ้น

"เมื่อไหร่?"

"ประมาณสองเดือนแล้วครับ"

นักบวชหนุ่มคนนั้นพูดด้วยเสียงเศร้าสลด มิเกลสะท้านใจ หรือสัมผัสทั้งหลายที่เขารู้สึกได้ระหว่างเดินทางจะเป็นเจตสิกขององค์อินตีที่มาอยู่กับเขาแม้ร่างจะสิ้นลมไปแล้ว พรานหนุ่มซบหน้าลงกับแท่นหินนั้น เขาเสียใจเกินไปจนลืมนึกถึงความขัดแย้งในคำพูดของนักบวชคนนั้นกับคำของเจ้าชายฆวนที่ว่าไม่ได้เจออาของเขามาเพียงสัปดาห์กว่าๆ

"ข้าจะปล่อยท่านไว้กับองค์อินตี สักพักข้าจะกลับมาใหม่"

นักบวชผู้นั้นผละไป มิเกลใช้มืออันสั่นเทาลูบไล้ใบหน้าอันคมสันนั้น คนที่เขารักยังดูเหมือนเพียงแค่หลับไป



"แกทิ้งฉันไปก่อนจนได้นะ อินตี แล้วฉันจะทำยังไง ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไง?"

มิเกลพูดด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาของเขามองเหม่อไปยังดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้น สติของเขาหลุดลอยไปแล้ว พรานหนุ่มนิ่งอยู่พักใหญ่กว่าน้ำตาจะไหลออกมา มันพร่างพรูออกมาจนตาของเขาพร่ามัวไปหมด เขาผวาเข้ากอดร่างนั้นก่อนเขย่งกายขึ้นจุมพิตเบาๆ บนปากที่เย็นชืด

"ฟื้นสิ อินตี ฟื้นมาฟังก่อนว่าฉันรักแก ได้ยินไหม ฉันรักแก ฉันกลับมาหาแกแล้วไง มาเพื่ออยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต"

มิเกลร่ำไห้อยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด ในเมื่ออินตีไม่อาจฟื้นกลับมาหาเขา เขาก็จะไปตามหาอินตีเอง มิเกลปีนขึ้นไปนั่งบนแท่นเคียงข้างกับคนรัก เขามองหาอาวุธประจำกายแต่ก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย เขาหันไปเห็นมีดสั้นประดับอัญมณีที่เหน็บติดเอวของอินตี เขาดึงมันออกมาชูขึ้นสูงและแทงเข้าไปยังตำแหน่งของหัวใจตัวเอง ร่างของมิเกลพลันล้มลงพาดไปบนตักของอินตี



มิเกลสะดุ้งเฮือกและลืมตาโพลงขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดแสน แต่ความเจ็บนั้นมลายหายไปเมื่อเห็นใบหน้าคมสันที่มีน้ำตาเปรอะนองทั่วหน้า เขาค่อยๆ ยกมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นประคองใบหน้านั้น และพึมพำออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

"แก แกยังไม่ตาย ฉันดีใจจัง"

อินตีกุมมือที่อ่อนแรงของคนรักขึ้นมาจูบและยิ้มให้ทั้งน้ำตา เขาฟื้นขึ้นจากการทำสมาธิเพื่อชี้นำทางให้มิเกลเมื่อแสงตะวันแรกของเทศกาลบูชาพระอาทิตย์ฉายแสง เขาต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นร่างของมิเกลซึ่งมีมีดปักที่อกนอนพาดอยู่บนตักของเขา

"ฉันกลับมาแล้วนะ อินตี ฉันกลับมาหาแกแล้ว..."

มิเกลกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้ดีว่ามรณะกาลกำลังจะมาถึงเขาในไม่ช้า

"...ฉันกลับมา เพื่อมาบอกแกว่า ฉันรักแก และฉันพร้อมอยู่กับแกไปตลอดกาลแล้ว"

อินตีพยักหน้าระรัวและบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว และเขาก็พร้อมอยู่กับมิเกลไปชั่วกาลนาน มิเกลฝืนหัวเราะเบาๆ

"แต่ขอโทษนะ มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ ฉันจะทำเสียเรื่องไปซะแล้ว"

อินตีส่ายหน้าและบอกว่าเขาเองต้องเป็นฝ่ายขอโทษมิเกล เขาควรจะตามมิเกลกลับไปที่คุสโก้หลังจากจัดการอะไรเสร็จแล้ว และบอกว่าต่อจากนี้ไปเขาจะตามมิเกลไปทุกหนทุกแห่ง หากพรานหนุ่มส่ายหน้า



"ที่รักของฉัน..."

มิเกลยกมือใหญ่นั้นขึ้นจูบ

"สัญญากับฉันสิ สัญญา..."

"สัญญาว่าแกห้ามตามฉันไปและต้องอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็งหลังฉันจากไปแล้ว"

อินตีปล่อยโฮออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น มิเกลยิ้มเศร้าๆ

"สัญญาว่าแกจะเป็นกษัตริย์ที่ดีที่สุดเท่าที่นครแห่งนี้เคยมีมา แกต้องเลี้ยงดูฆวนให้ดีเพื่อให้เขาเป็นราชาที่ดีเทียบเท่าแก สัญญาสิ"

อินตีสัญญาลั่นและจูบลงบนหน้าผากของคนรัก

"ยิ้มให้ฉันดูหน่อยสิ ฉันชอบรอยยิ้มของแกจริงๆ"

เสียงของมิเกลเบาลงทุกที กษัตริย์หนุ่มกลั้นสะอื้น เขาเอียงหน้าซบฝ่ามือที่ประคองใบหน้าเขาไว้และยิ้มกว้างแบบที่เขาเคยยิ้มให้พรานหนุ่มในวันแรกที่พวกเขาได้พบกัน มิเกลจ้องมองฟันขาวๆ นั้นเพื่อให้มันประทับเข้าไปในดวงจิตที่ใกล้จะดับสูญของเขา

"ทีนี้ จูบฉันสิ อินตี จูบคนรักของแกเป็นครั้งสุดท้าย จนกว่าวันที่เราจะพบกันใหม่"

องค์อินตีโน้มกายลงจุมพิตริมฝีปากเย็นชืดของกัปปิตันที่รักของเขา มิเกลจูบตอบ เขารู้สึกถึงความมืดที่ปกคลุมลงมาช้าๆ จนกระทั่งทุกอย่างมืดมิดไป



ร่างเพรียวที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มผวาเฮือกขึ้น เขาหันไปรอบๆ ตัวแล้วก็ต้องงุนงงเมื่อพบกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เขาได้ยินเสียงหายใจเบาๆ จากร่างอุ่นที่นอนอิงแอบแนบกาย ใบหน้าน่ารักของชายหนุ่มชาวเอเชียหันไปมองร่างกำยำของคนที่นอนอยู่เคียงข้างแล้วก็ต้องน้ำตาร่วงพรู

"อินตี อินตีของฉัน"

ฆาเบียร์ตกใจตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเจนยุทธเขย่าตัวเขาและเรียกชื่อใครสักคน เจโผเข้ากอดเขาและร้องไห้โฮใหญ่

"เจ เจเป็นอะไร ละเมอเหรอ?"

ฆาบี้โอบรัดร่างเพรียวที่สั่นสะท้านของเจไว้กับอก

"เจร้องไห้ทำไม? มีอะไร ฝันร้ายหรือเปล่า?"

ฆาเบียร์ดันร่างของคนรักออกแล้วก็ต้องงงงันวูบ แว่บหนึ่งเขาเห็นใบหน้าของคนอื่นซ้อนทับกับใบหน้าของเจนยุทธแต่แทนที่จะกลัว เขากลับรู้สึกคะนึงหาเหลือเกิน

"คุณเป็นใคร?"

ฆาเบียร์ถามขึ้น เจนยุทธหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะระบายลมหายใจออกมายาว เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว สิ่งต่างๆ มันผุดขึ้นมาในหัวเขาทำให้เขาเข้าใจได้เอง เขาลืมตา ยิ้มน้อยๆ และตอบกลับไป

"แกบอกฉันเองสิ ว่าฉันเป็นใคร"

ฆาเบียร์นิ่งไป เจของเขาพูดสแปนิชอย่างแคล่วคล่องใส่เขา บางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในหัวเขา รวมถึงชื่อบางชื่อ

"ม็อคเต?"

หากคนแปลกหน้าในร่างเจส่ายหัว

"ไม่ใช่ ไม่ใช่องค์นั้น  ลองสำรวจใจของตัวเองดูอีกทีสิ"

ฆาเบียร์นิ่งไปอีกพักใหญ่ก่อนจะเบิกตาโพลง ความทรงจำของใครสักคนไหลเอ่อเข้ามาจนเต็มห้วงความคิดของเขา เขาจำมันได้หมดทุกอย่างแล้ว เขารวบร่างที่อยู่เบื้องหน้าเข้ามากอดไว้แน่นและพรมจูบไปทั่วใบหน้า




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2017 05:59:16 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] ฝันกลางฤดูร้อน - Lost&Found (ต่อ) ----




"กัปปิตัน กัปปิตันของผม ในที่สุดผมก็หาท่านเจอแล้ว"

มิเกลในร่างเจนยุทธน้ำตาไหลพรากและกอดคนรักของเขาไว้แน่น

"แกจำได้แล้วสินะ อินตี จำได้แล้วใช่ไหม?"

"ครับ ผมจำได้แล้ว"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาจำได้ทุกอย่าง แต่เขาก็ยังไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป มิเกลมองไปรอบๆ ห้อง เขาถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แล้วเขาเป็นใคร ฆาเบียร์เล่าให้เขาฟังทุกอย่าง

"แล้วทำไมท่านถึงมาตื่นอยู่ในร่างเจได้ครับ?"

มิเกลครุ่นคิด เขาพูดสิ่งที่ผุดมาในหัวของเขา

"ฉันกับเจของนายถือกำเนิดจากวิญญาณดวงเดียวกัน แต่ชีวิตในภพต่างๆ ของเรานั้น เป็นเหมือนจิตที่แตกแขนงออกจากวิญญาณนั้น เมื่อสิ้นชีพลง จิตนั้นก็กลับมารวมกับวิญญาณ มันอาจจะหลับไปเลยหรือตื่นขึ้นมาแบบฉันในตอนนี้ที่ตื่นขึ้นเมื่อถูกบางอย่างกระตุ้น"

ฆาเบียร์ที่มีสำนึกของอินตีครุ่นคิดตามและเข้าใจได้ไม่ยากเพราะนี่ความเชื่อเรื่องชีวิตของชาวเมือง Hanan Pacha ที่เขาเคยคุ้นเคยมาก่อนและเมื่อพูดถึงสิ่งกระตุ้น เขาก็เหลือบตามองนิยายเล่มหนาที่เจทำตกไว้ข้างเตียง



"ถ้างั้น ตอนนี้แกกับฉันก็เป็นคู่รักกันสินะ แล้วฉันดีกับแกไหม?"

มิเกลในร่างของเจนยุทธนอนซบอยู่บนอกหนั่นแน่นของคนรัก พวกเขาพร่ำพรอดบอกรักกันมาพักใหญ่แล้ว

"ดีครับ ดีที่สุดเลย ผมรู้ได้แน่ชัดว่าเขาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณผมจริงๆ และผมยิ่งแน่ใจเมื่อได้เจอกับกัปปิตัน"

ฆาเบียร์พูดในฐานะตัวของเขาเอง เส้นแบ่งระหว่างเขากับอินตีนั้นยังเบลอๆ อยู่ เขาก้มลงจูบมิเกลอีกอย่างดื่มด่ำ จิตของคนที่ไม่ค่อยได้สัมผัสความรักสั่นสะท้านด้วยรสจูบนั้น เขาผลักคนชอบเอาเปรียบออกแล้วขยับกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

"เจอกันไม่ทันไรก็จะรังแกกันแล้ว คุยกันก่อนสิ"

อินตีในร่างฆาเบียร์ทำหน้ามุ่ย และตัดพ้อว่ามิเกลหนีเขาไปนานตั้งเกือบ 70 ปีแล้วยังจะให้เขารออะไรอีก พรานหนุ่มถอนหายใจ

"เล่าให้ฉันฟังก่อนสิ ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น"



อินตีถอนหายใจ เขาเอนกายลงนอนบนตักของคนรัก มิเกลยกมือลูบผมเขาเบาๆ แบบที่เคยทำเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว อินตีบอกว่าเขาจำทุกอย่างในวันนั้นได้ดี เขาเดินเหม่อลอยอุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของมิเกลออกจากวิหารตอนที่เหล่าแม่ทัพของเขาขี่ม้ามาถึง พวกแม่ทัพที่หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นร่างมิเกลรีบหมอบราบลงกับพื้นและร้องขอโทษตายจากอินตี แต่อินตีหันไปยิ้มเศร้าๆ ให้พวกเขาและบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา พวกแม่ทัพรายงานว่ามีเจ้าพนักงานเห็นนักบวชคนหนึ่งพามิเกลออกจากวังมาเลยรีบไปแจ้งพวกเขา เหล่าทหารก็รีบรุดออกตามหาจนในที่สุดก็รู้ว่าสองคนนั้นมุ่งหน้ามาทางวิหารแห่งนี้ พวกเขาเร่งรุดตามมาแต่ก็ไม่ทันการ

ในภายหลังคนของอินตีเข้าไปค้นหาในวิหารเพื่อตามหานักบวชคนนั้น สุดท้ายก็พบร่างที่เอามีดเชือดคอตัวเองนอนตายอยู่ไม่ห่างจากสุสานหลวง เมื่อส่งคนไปถามที่วิหารสุริยเทพก็ได้ความว่านักบวชคนนี้เคยเป็นนายบำเรอของโทปามาก่อน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับนักบวชเฒ่าปานนี้ ในตอนที่มีการกวาดล้างผู้ที่ยังภักดีต่อโทปา เขาก็เก็บอาการไว้อย่างดีและแสดงทีท่าโกรธแค้นเกลียดชังโทปาจนหลอกคนของคริสโตบัลได้ เนื่องจากความมีศักดิ์ต่ำต้อยของเขาทำให้ไม่เป็นที่สนใจของใครนักและทำให้ลงมือได้อย่างสะดวก



มิเกลไม่ถามถึงเหตุที่อินตีไม่อยู่เจอเขาเพราะทุกอย่างมันกระจ่างในหัวของเขาแล้ว แต่ที่เขาอยากรู้คือหลังจากนั้น ชีวิตของอินตีเป็นอย่างไรต่อ

"หลังจากคุณจากไป องค์อินตีก็มีชีวิตอย่างคนใจสลาย..."

ฆาเบียร์เล่าภาพที่ฉายอยู่ในหัวด้วยสายตาของคนนอก เขาบอกว่าหลังจัดงานศพของมิเกลอย่างยิ่งใหญ่ เขาก็ถูกนำร่างไปไว้บนแท่นของอินตี อินตีปกครองเมืองต่อไปตามที่มิเกลอยากให้เขาทำ เขานำแนวทางตามที่เคยคุยกับนายจ้างเก่าทั้งสามมาใช้และได้พัฒนาระบอบการบริหารและปกครองของเมืองให้เข้มแข็งขึ้น เขาเลี้ยงและทุ่มเทความรักทั้งหมดไปให้เจ้าชายฆวน เจ้าชายเองก็เติบใหญ่มาเป็นเด็กที่มีความคิดและฉลาดปราดเปรื่อง เขาโตมาโดยรับแนวคิดจากทั้งสองวัฒนธรรม เขาได้พบพ่อทั้งสองของเขาบ่อยครั้งโดยดอนทั้งสองเดินทางมาพบอินตีและฆวนที่เมืองคุสโก้ พวกเขาถามหามิเกล แต่ทั้งอินตีและฆวนก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น

เมื่อเจ้าชายน้อยอายุครบ 12 ปี เหล่าเจ้านายของอินตีก็เดินทางมารับเจ้าชายฆวนเพื่อให้ไปใช้ชีวิตในแบบโลกภายนอกและเข้าเรียนที่สเปน พวกเขาต้องตะลึงเมื่อได้ทราบถึงชะตากรรมของมิเกล พวกเขากอดอินตีและร้องไห้ด้วยกันต่อหน้าร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่บนแท่น และยิ่งร่ำไห้หนักเมื่ออินตีบอกเล่าสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำ



องค์อะยาร์ อินตีครองราชย์ต่อมาและนำวัฒนธรรมและแนวความคิดทั้งใหม่และเก่ามาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เขาส่งเด็กที่หน่วยก้านดีออกไปศึกษาวิทยาการแขนงต่างๆ ทั้งทางวิทย์และศิลป์ ฆวนเองก็ศึกษาระดับปริญญาตรีต่อที่อังกฤษ เขาเจอหญิงอันเป็นที่รักซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนของเขาที่สเปน เขาคบหาดูใจกับหญิงคนนั้นจนมั่นใจแล้วถึงเล่าเรื่องชาติกำเนิดและเมืองของเขาให้ฟัง เขากลับมาที่เปรูทุกปีและบางครั้งก็พาว่าที่เจ้าสาวของเขามาด้วย ถ้าเวลาเป็นใจ เขาก็จะเข้าไปในเมืองหลังม่านหมอก แต่ถ้าเวลาน้อย เขาก็จะนัดเจอกับอินตีที่คุสโก้ สายสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่นั้นยังแน่นแฟ้น

ฆวนกลับมายังเมืองแห่งสุริยเทพเมื่อเขาจบการศึกษา ทีแรกเขาตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโทหากอินตีเรียกเขาเข้ามาเพื่อคุยเรื่องสำคัญ ฆวนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่อาของเขาแจ้งให้เขารู้

"ปล่อยอาไปเถอะ ฆวน หัวใจของอามันป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดีมานานแล้ว เวลาของอามาถึงแล้ว"

ฆวนพยักหน้ารับคำ เขารู้ว่าอาของเขาคนนี้ต้องทนทรมานแค่ไหน ฆวนน้อยนอนร่วมตำหนักกับอินตีมาตลอด เขาได้ยินเสียงอาของเขาร้องไห้จนหลับไปบ่อยครั้ง และเมื่อเขาย้ายไปอยู่กับพ่อที่สเปน เขาได้ทราบข่าวจากบรรดาคนของเขาว่าหลังจากทรงงานเสร็จในแต่ละวัน องค์อินตีก็ใช้เวลายามยามค่ำคืนที่สุสานหลวงโดยขึ้นไปนอนกอดร่างที่เหมือนคนนอนหลับของมิเกลจนตัวเขาผลอยหลับไปทุกคืน เขามีชีวิตอยู่เพื่อทำงานและวางรากฐานให้องค์ชายฆวนเท่านั้น



องค์อะยาร์ อินตีประกาศยกราชสมบัติให้องค์อะยาร์ ฆวน คาปัคเมื่อองค์รัชทายาทอายุครบ 25 ปี พิธีเถลิงถวัลย์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บิดาทั้งสองขององค์ฆวนและท่านหญิงก็มาร่วมงานด้วยเพื่อส่งเสด็จเพื่อนของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ในงานนั้น องค์อินตีนอนทอดร่างบนแท่นของวิหารสุริยเทพในฐานะเครื่องสังเวยมนุษย์คนสุดท้าย เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เมื่อเขาพบร่างไร้วิญญาณของมิเกลนอนซบอยู่บนตัก เขาก็แทบเป็นบ้าไป เขาอ้อนวอนต่อเทพทุกองค์ จนในที่สุดร่างทองอร่ามขององค์สุริยเทพก็ปรากฏต่อหน้าเขา

"ลูกเอ๋ย เจ้าต้องการสิ่งใด"

อินตีร่ำไห้อ้อนวอนให้สุริยเทพนำคนที่เขารักกลับคืนมา

"ข้าไม่สามารถฟื้นชีวิตของคนที่ดับชีพไปแล้วได้ดอก แต่ข้าจะให้เวลาเจ้าได้คุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันต้องแลกมากับบางสิ่ง"

สิ่งที่ว่านั้นคือชีวิตของอินตีเองในฐานะเครื่องสังเวยมนุษย์คนสุดท้ายของอาณาจักรแห่งนี้ อินตียอมแลกด้วยความเต็มใจแต่เขาขอเวลาเพื่อเตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อย และตอนนี้เวลานั้นก็มาถึงแล้ว องค์อินตีดื่มยาที่มีฤทธิ์ให้ง่วงซึมเข้าไปก่อนจะขึ้นนอนบนแท่น แต่ฆวนนั้นไม่อาจทำใจปักมีดลงบนอกของผู้เป็นอา อินตีจึงทำด้วยตนเอง เขาหลับตานึกถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมิเกลก่อนที่จะปักมีดเล่มเดียวกับที่มิเกลใช้เข้าสู่หัวใจของตน



"จากนั้นทุกอย่างก็ดำมืด ผมตื่นขึ้นมาก็ตอนที่ฆาเบียร์เขานึกถึงเรื่องต่างๆ นั่นแหละครับ"

อินตีในร่างฆาเบียร์เล่าให้คนรักฟัง ตอนนี้จิตของเขาฟื้นขึ้นมาเกือบเต็มที่แล้ว มิเกลที่ลูบหัวคนรักอยู่โน้มลงมาจุมพิตนลาฎขององค์อินตีเบาๆ

“ในที่สุดฉันก็หาแกเจอแล้วนะ”

มิเกลยิ้มละไมให้คนรัก

“ผมขอฟังคำนั้นอีกครั้งได้ไหมครับ กัปปิตัน?”

อินตีร้องขอ มิเกลยิ้มอายๆ

“ฉันรักแกนะ อินตี”

เขาพูดพร้อมเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงเป็นริ้ว ร่างใหญ่กำยำยันกายลุกขึ้นและดันร่างเพรียวของเจนยุทธลงบนฟูกนุ่ม เขาขึ้นคร่อมร่างนั้นพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในตา

“ถ้าจะบอกรัก ก็ต้องมองตาอีกฝ่ายด้วยสิครับ”

อินตียิ้ม เขามองผ่านดวงตาของเจนยุทธลึกเข้าไปจนถึงตาของจิตที่ซ่อนอยู่ภายในและกระซิบแผ่วๆ

“ผมก็รักกัปปิตัน รักที่สุด และจะรักตลอดไป”

มิเกลตอบรับด้วยจุมพิตอันหนักหน่วงรุนแรง ทั้งสองดูดดึงริมฝีปากของกันและกัน ลิ้นร้อนๆ ของอินตีสอดแทรกเข้าในปากของเจที่ถูกจิตของมิเกลครอบครองอยู่ มิเกลเองก็ส่งลิ้นไปพัวพันกับลิ้นของอินตีในร่างฆาเบียร์ ร่างใหญ่ที่ยังมีสำนึกของฆาบี้หลงเหลืออยู่นั้นยิ้มน้อยๆ ถึงเขากับเจจะร่วมรักกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกอีกครั้ง



“เดี๋ยวก่อน อินตี ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ร่างนี้...เอ่อ เขาจะพร้อมและยินยอมเหรอ?”

อินตีหัวเราะ กัปปิตันเขาคงห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว

“กัปปิตันที่รัก ไม่ต้องห่วงครับ สองคนนี้เค้าทำนั่นนี่นู่นกันเยอะแยะกว่าที่ท่านคิดนะครับ”

อินตีใช้มือจิ้มที่อกของร่างเจนยุทธ มิเกลก้มลงมองตามแล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นรอยสีกุหลาบทั้งเก่าและใหม่ที่กระจายเปรอะไปตามเนื้อตัวของร่างเปลือยนั้น

“แต่ฉัน…ฉันยังไม่เคย…”

พรานหนุ่มพูดเสียงอ่อยๆ อินตีในร่างฆาบี้หัวเราะกระหึ่ม

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะนุ่มนวลกับท่านให้มากที่สุด ขอให้ปล่อยใจไปกับสัมผัสของผมเถอะนะครับ”

อินตีเว้าวอน เขาก้มลงจูบริมฝีปากน้อยๆ คู่นั้น แม้ร่างจะเป็นเจนยุทธ แต่ที่เขาเห็นคือจิตของคนรักที่นอนทอดกายตอบสนองต่อการคลึงเคล้นของมือเขา มิเกลครางเสียงอ่อนหวานเมื่อถูกกระตุ้นเร้าที่เม็ดทับทิมทั้งสองข้าง เขาบิดกายเร่าเมื่อมือใหญ่ที่ร้อนผะผ่าวเกาะกุมอวัยวะส่วนที่แข็งขืนเต็มที่



“อา อินตี อย่า อ๊ะ”

ถึงปากบอกว่าอย่า แต่มิเกลก็กดหัวของอินตีที่ปรนนิบัติเขาด้วยปากลงด้วยความเสียวซ่าน ร่างใหญ่กำยำเร่งเร้าพร้อมกับชะโลมเจลลงไปบนนิ้วมือของเขา มิเกลสะดุ้งเฮือกและเขยิบหนีเมื่อช่องทางเล็กแคบของเขาถูกนิ้วเรียวยาวรุกราน แม้จะมีเจลช่วย แต่จิตของเขาก็ยังรู้สึกเจ็บ หากความเจ็บนั้นเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านเมื่อมันกระแทกเข้าที่จุดเสียว อินตีกระตุ้นย้ำพร้อมกับใช้ปากรูดไล้จนมิเกลกรีดร้องยาวออกมา

“อย่ากลืนนะ คายออกมา!”

ร่างเพรียวที่ยังหอบกระเส่าอุทานลั่นเมื่อเห็นคนรักกลืนน้ำขาวขุ่นที่เขาปล่อยออกมาจนหมด อินตีหัวเราะกระหึ่ม ก่อนจะซุกไซร้ลงที่ซอกคอขาวของร่างนั้นอีกครั้ง เขากระซิบแผ่วๆ ที่หูของกัปปิตันของเขา

"กัปปิตันครับ ผมขอนะครับ"

มิเกลหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกถึงแท่งลำแข็งเกร็งของอินตีที่บดเบียดอยู่กับท้องน้อยของเขา อินตีดึงมือเขาไปสัมผัสมันเบาๆ มิเกลทำหน้าลำบากใจ เขาเคยเห็นมันแว่บๆ ยามที่เขาอาบน้ำด้วยกันในถ้ำน้อยนั้น แต่เขาไม่นึกว่ามันจะถึงขนาดนี้ อินตีในร่างฆาบี้สูดปากเขาๆ เมื่อมือของมิเกลรูดไล้มันตามสัญชาตญาณ มิเกลหน้าร้อนวูบเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของอินตี คืนนี้เขาคงไม่อาจรอดพ้นอดีตพรานร่างใหญ่คนนี้ไปได้



"จูบฉันสิ อินตี ให้ความสุขฉันมากๆ นะ"

มิเกลตัดสินใจโอนอ่อนตามคนรัก เขาโน้มคออินตีลงมาประทับจูบดื่มด่ำ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงนิ้วเรียวที่นวดเฟ้นและชำแรกเข้ามาในช่องทางด้านหลัง ทีนี้มันค่อยๆ เพิ่มเป็นสองและสามนิ้ว อินตีที่ยังมีจิตสำนึกของฆาเบียร์หลงเหลือรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องทำอะไร เขาค่อยๆ นวดเฟ้นช่องทางนั้นจนอ่อนนุ่มและชุ่มไปด้วยเจลหล่อลื่น มิเกลบิดกายครวญครางด้วยความเสียวซ่านเมื่ออินตีขบดุนเม็ดทับทิมบนยอดอกของเขา มือของเขาขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของร่างฆาเบียร์อย่างลืมตัว

มิเกลในร่างเจนยุทธผวาเฮือกขึ้นทั้งตัวเมื่อแก่นกายของอินตีในร่างฆาเบียร์ล่วงล้ำเข้ายังช่องทางของเขา น้ำตาเม็ดเป้งๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อินตีใจหายวูบและหยุดการเคลื่อนไหว

"เจ็บเหรอครับ กัปปิตัน? ผมหยุดดีกว่าไหม?"

มิเกลส่ายหน้าระรัว

"ไม่ อย่าหยุดนะ อินตี ฉันไหว ต่อเลยที่รักของฉัน"

ร่างเพรียวนั้นดึงรั้งร่างกำยำของอินตีลงแนบกายและจุมพิตหนักๆ อินตีจูบตอบและเดินหน้ากดแก่นกายของเขาเข้าไปจนสุด เขารู้สึกถึงกล้ามเนื้อหลังที่เขม็งเกร็งขึ้นของร่างคนรักเช่นเดียวกับเล็บที่จิกลงบนหลังเขาอย่างลืมตัว อินตีพร่ำกระซิบคำรักพร้อมกับเริ่มขยับ มิเกลกัดกรามแน่น เขารู้สึกแน่นตึงไปหมด หากการกระตุ้นเร้าอย่างช่ำชองที่อินตีเรียนรู้จากสำนึกที่ยังหลงเหลือของฆาเบียร์ทำให้มิเกลเคลิบเคลิ้ม



มิเกลอุทานลั่นเมื่อร่างกำยำพลิกตัวให้เขาขึ้นคร่อมอยู่ด้านบน

"กัปปิตันลองขยับเองไหมครับ?"

อินตีพูดยิ้มๆ มิเกลขบริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่จะขยับกายอย่างงุ่มง่าม มือใหญ่ของอินตีช่วยประคองสะโพกเขาและช่วยชี้นำทาง เสียงครางแผ่วๆ ด้วยความเสียวซ่านค่อยๆ หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับของร่างเพรียวนั้น มิเกลในร่างเจนยุทธกดสะโพกย้ำๆ ลงไปบนจุดที่สร้างความหฤหรรษ์ให้เขา อินตีเสยสะโพกขึ้นรับกับจังหวะการกระแทกสะโพกลงของกัปปิตันของเขา มือหนึ่งของเขารูดไล้ไปที่แก่นกายที่ขยายเต็มที่ของร่างเพรียวนั้น ไม่นานมิเกลก็ครางยาวและฟุบกายลงมาซบอกของเขา

อินตีจูบแก้มป่องของร่างที่ร่วมวิญญาณเดียวกับคนรักของเขา ในสายตาของเขา เขากำลังจูบแก้มตอบของมิเกล เขายิ้มละไมและกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนรักที่นอนหอบกระเส่าบนอก

"ดีไหมครับ ที่รักของอินตี"

มิเกลพยักหน้าเบาๆ เขาเหมือนลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นความหฤหรรษ์แบบที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน



"สบายตัวคนเดียวแบบนี้ไม่ไหวเลยนะ กัปปิตันของผม"

อดีตกษัตริย์แห่งดินแดนสุริยเทพหัวเราะเบาๆ เขาดันแก่นกายที่ยังคาอยู่ในช่องทางสีชมพูนั้นเบาๆ มิเกลทำตาเขียวใส่และบ่นลั่น

"จะทำก็ทำให้ดีๆ สิ อินตี ไม่ต้องแกล้งกันแบบนี้"

อินตีหัวเราะคิกคัก กัปปิตันของเขายังคงขี้บ่นเหมือนเดิม เขาพลิกร่างเล็กนั้นลงนอนบนฟูก

"งั้น ผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ สุดที่รักของผม"

องค์อินตีจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากของคนรักที่ทำหน้าง้ำอยู่ก่อนที่จะเริ่มป้อนความสุขให้กับมิเกลอีกครั้ง อดีตนายทหารกอดรัดร่างใหญ่กำยำไว้แน่นจนรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียงครางน้อยๆ ของเขาค่อยๆ ดังขึ้นเมื่ออินตีเร่งจังหวะ เขาเด้งกายสวนรับแก่นกายขององค์อินตีอย่างลืมตัว ถึงร่างใหญ่นั้นจะบอกว่าไม่เกรงใจ แต่อินตีก็นุ่มนวลกับกัปปิตันของเขาผู้ยังไม่เคยผ่านมือชายใดมา อินตีพามิเกลล่องลอยขึ้นสู่สวรรค์อีกสองครั้งสองคราก่อนที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองได้ปลดปล่อย

"มิเกล มิเกลของผม ผมรักท่านเหลือเกิน"

อินตีิกระซิบแผ่วๆ ที่หูของคนรักก่อนที่จะเร่งจังหวะเต็มที่จนร่างเพรียวนั้นสั่นสะท้านไปทั้งกาย เสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่านของมิเกลยิ่งกระตุ้นเร้าให้เขาป้อนความรักให้ร่างเพรียวนั้น เขาจูบพรมไปทั่วร่างก่อนจะกลับมาดูดดึงริมฝีปากที่สั่นระริกคู่นั้น

"โอ กัปปิตันครับ ผมจะไม่ไหวแล้วครับ"

อินตีกอดมิเกลที่นั่งคร่อมอยู่บนตักเขาแน่น ก่อนจะคำรามลั่นและปลดปล่อยออกมาอย่างแรง มิเกลเองก็สุดจะกลั้นแล้ว

"อินตี ฉันรักนาย รักนาย รัก..."

อดีตพรานหนุ่มแผดเสียงออกมาอย่างคุมตัวเองไม่ได้และปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหน้ามืดวูบและซวนซบกายลงบนร่างใหญ่กำยำของคนรัก



"เจ เจนยุทธ..."

เจซึ่งมึนงงอยู่หันหน้ามองหาเสียงที่เรียกเขาอยู่ เขายืนงงงวยอยู่กลางลานกว้าง รอบกายเขาเหมือนเป็นเมืองโบราณที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลายแบบ เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เขาหันไปตามเสียงเรียกและพบร่างสองร่างยืนอยู่เชิงบันไดของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เขาเดินเข้าไปหาสองคนนั้นและก็ต้องตะลึง ร่างใหญ่กำยำในชุดเครื่องทรงของกษัตริย์แบบอินคานั้นมีใบหน้าเดียวกับฆาเบียร์ของเขาหากผิดกันที่สีผมและสีผิว ส่วนชาวตะวันตกร่างสันทัดในชุดเดินป่าที่ยืนเคียงข้างนั้นก็ดูคุ้นตาอย่างประหลาด เขาเหมือนเคยพบคนทั้งสองในความฝันอันเลือนลาง

เจนยุทธเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง ร่างสันทัดนั้นยื่นมือมากุมมือของเขาไว้

"ขอบใจมากนะ เจนยุทธ สำหรับทุกอย่าง"

ร่างนั้นพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะดึงร่างเขาไปกอดแน่น

"จงรักและดูแลฆาเบียร์ให้ดีๆ นะ อย่าได้ปล่อยมือจากเขาไปเด็ดขาด เขาคืออีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณของนายอย่างแท้จริง ขอให้จำไว้"

ร่างนั้นกระซิบกับหูเขาก่อนที่จะปล่อยตัวเขา จากนั้นร่างใหญ่หนาที่ประดับประดาด้วยสีสันแพรวพรายของอัญมณีและทองคำก็ก้าวมายืนตรงหน้าเขาก่อนจะกล่าวคำขอบคุณและกอดเขาไว้แน่นเช่นกัน จากนั้นคนซึ่งมีใบหน้าเหมือนคนรักของเขาก็ยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นแตะที่กลางหน้าผากของเขา

"ขอองค์สุริยเทพได้โปรดประทานพรให้ชีวิตของคนทั้งคู่นี้ประสบแต่ความสุขและความรัก ขออย่าได้ประสบกับความเศร้าโศกและการพลัดพรากใดๆ อีกเลยจนกว่าจะถึงเวลาอันควร"

เจรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านลงมาจากตำแหน่งที่ถูกฝ่ามือนั้นสัมผัส มันไหลเวียนไปทั่วร่างเขาเหมือนจะหลอมรวมเข้าไปกับเลือดเนื้อของเขา เจนยุทธรู้สึกถึงน้ำตาแห่งความปิติที่ไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ ร่างใหญ่นั้นขยับห่างออกไปและยื่นมือให้กับร่างสันทัดที่ยืนอยู่เคียงข้าง

"งั้น พวกเราไปก่อนนะ ฝากลาฆาเบียร์ให้เราด้วย"

ร่างสันทัดนั้นโบกมือลาเขาก่อนจะหันหลังไปจับมือร่างใหญ่กำยำและเดินขึ้นบันไดสูงชันของมหาวิหารนั้นไป เจพยายามวิ่งไล่ตาม แต่ก็คว้าไม่ถึงทั้งสองร่างนั้น เขาตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ เขายังมีเรื่องไม่เข้าใจที่ต้องถามอีกมากนัก



"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป!"

เจร้องตะโกนลั่น

"เจ...เจนยุทธ นายเป็นอะไร นายตะโกนเรียกใคร"

เจสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นเมื่อฆาเบียร์ตบแก้มเขาเบาๆ

"ละเมออะไร เจ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจขมวดคิ้ว เขานอนซบอยู่บนร่างใหญ่ของคนรัก เขายันกายขึ้นแล้วก็ต้องรู้สึกเสียวแปลบที่ช่องทางด้านหลัง

"เฮ้ย นี่คุณลักหลับผมเหรอ ฆาบี้?"

เจโวยลั่น ฆาเบียร์หัวเราะลั่น

"เจ เบลออะไรน่ะ ก็นายเองที่เป็นคนชวนฉันทำ จำไม่ได้เหรอ? นายบอกฉันเองว่าให้จัดเต็มแล้วตัวเองก็มาหน้ามืดไปซะเอง"

เจเกาหัว เขาจำไม่เห็นได้เลยสักนิด เขาจำได้แค่ว่าก่อนนอนเขาอ่านนิยายแล้วเผลอหลับไป

"แล้วเมื่อกี้นายตะโกนซะลั่นเลย ฝันว่าไล่ตามสาวที่ไหนเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์แกล้งทำหน้าบึ้งเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย เขาไม่ได้โกหกคนรัก แค่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด เจนั่งครุ่นคิดก่อนจะเล่าฝันของเขาทั้งหมดให้ฆาเบียร์ฟังตั้งแต่ต้นรวมถึงคำพูดของคนทั้งสองก่อนจะเดินจากกันไปด้วย

"เขาบอกว่าให้ฝากลาคุณให้พวกเขาด้วย คนที่หน้าเหมือนคุณยังให้พรผมด้วยนะ"

เจเกาหัวอย่างงงๆ เขาฝันมั่วซั่วเป็นตุเป็นตะไปหมด ฆาเบียร์เขม้นมองที่กลางหน้าผากของเจนยุทธ ในแสงสลัวๆ ของห้องนอนเขานั้น เขายังสามารถเห็นแต้มจางๆ รูปตะวันสีทองบนหน้าผากของเจได้เด่นชัด เขาใช้นิ้วแตะมันเบาๆ แต้มทองนั้นสลายเป็นคลื่นความร้อน มันแผ่ซึมเข้าสู่ปลายนิ้วของเขาและกลายเป็นพลังที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง เขาหลับตาลงและกล่าวคำสรรเสริญองค์สุริยเทพอยู่ในใจ



"เฮ้ เป็นอะไร?"

"หือ? ไม่มีอะไรจ้ะ"

ฆาเบียร์จูบแก้มคนรักหนักๆ ก่อนจะประคองร่างเจให้ลุกขึ้น

"ป่ะ อาบน้ำอาบท่ากันดีกว่า ฉันเหนียวไปหมดทั้งตัวแล้ว..."

เจหน้าแดงซ่าน ฆาเบียร์พูดแบบนี้แสดงว่าโดนเขาปล่อยนั่นนี่ใส่ตัวไปหลายรอบ  เจบ่นอุบอิบว่าทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ฆาบี้หยิบสุดยอดนิยายเดินป่าและผจญภัยเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยที่ตกอยู่บนเตียงเล่มหนึ่งส่งให้คนรัก เจอ่านมันมาหลายวันแล้วแถมยังเอามากองสุมไว้จนเต็มข้างเตียง

"นายน่ะ เลิกอ่านนิยายพวกนี้ก่อนนอนได้แล้ว มิน่าถึงฝันไปเรื่อยเปื่อยได้ขนาดนั้น"

เจบ่นกะปอดกะแปดบอกว่ามันสนุกจนเขาวางไม่ลงและอ่านติดพัน ฆาเบียร์ไม่ฟังคำบ่นนั้นและลากร่างคนรักเข้าไปในห้องน้ำ



"เจ..."

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นไล้แก้มของคนรักที่นอนซุกกายอยู่ในอ้อมอก

"หือ อะไรอีกล่ะ?"

เจที่หลับตาพริ้มไปแล้วบ่นพึมพำ ฆาเบียร์จูบหน้าผากเนียนของเจนยุทธเบาๆ

"ฉันดีใจจริงๆ ที่ฉันกับนายหากันจนเจอนะ เจนยุทธ..."

เจลืมตาขึ้นน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงที่สั่นเครือของคนรัก เขายกนิ้วขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาน้อยๆ จากหางตาของฆาเบียร์

"ผมก็ดีใจ ที่ผมได้เจอคุณ ฆาเบียร์ คุณเติมเต็มผม..."

"และนายก็เติมเต็มฉัน ฉันนึกชีวิตที่ไม่มีนายไม่ออกแล้ว"

ฆาเบียร์จุมพิตเบาๆ ที่ปากรูปกระจับของคนรัก เจหาวหวอดๆ และหลับตาลง เขาทั้งง่วงทั้งหมดแรงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว​

"ฉันรู้แล้วว่านายเป็นครึ่งหนึ่งของวิญญาณของฉันจริงๆ และฉันขอสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยนายให้หลุดมือไปอีก"

ฆาเบียร์กระซิบที่หูของคนรัก

"อือ ผมก็เหมือนกัน"

เจพูดงึมงำทั้งที่หลับตา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และกอดเจนยุทธผู้ซึ่งเป็นทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตของเขาเข้าแนบอกและนอนหลับใหลไปอย่างอบอุ่นใจ


----------------------------------------

ฮิ้วววววว จบตอนเข้าป่าซะที ออกป่าออกดงไปซะไกลเลยค่า หวังว่าจะถูกใจกับแนวนี้บ้างนะคะ คนเขียนนิสัยไม่ดีอยากลองเขียนแนวอื่นแต่ก็ยังไม่อยากเปิดเรื่องใหม่ แหะๆๆ ตอนนี้ขอลากยาวเฟื้อยนะคะ เพราะว่าไม่อยากเปิดตอนใหม่แล้ว ไว้ขอพักสักเดี๋ยว แล้วจะกลับมาต่อเรื่องสองหนุ่มเจฆาเบียร์นะคะ แต่อาจจะเป็นตอนพิเศษ อีกแล้วไปเริ่มตอนยาวใหม่ช่วงหลังปีใหม่เลย นี่เขียนไปเขียนมาจะ 90 ตอนแล้วนะคะ ที่เป็นเนื้อเรื่องอย่างเดียวไม่นับแถลงการนั่นนี่ ถ้า 100 เมื่อไหร่จะมาจุดพลุฉลอง :-)

มาถึงสาระน่ารู้บ้างไม่น่ารู้บ้าง

**Berza Andaluza สตูว์แบบแคว้นอันดาลูเซียค่ะ https://goo.gl/6jeUZm **

เรื่องเกี่ยวกับผ้าของชาวอินคาค่ะ ผ้าทอของอินคาถือว่าละเอียดมากสำหรับยุคนั้น อ่านผ่านๆ จากซักบทความหนึ่งเห็นบอกว่าละเอียดถึง 300 เส้นต่อ 1 ตารางนิ้วและมีลวดลายที่ซับซ้อน ดูๆ ไปคล้ายลายของชาวไทยภูเขาของไทยเราเหมือนกันเนาะ ความรักในผ้าของชาวอินคาส่งผ่านมาถึงคนเปรูในสมัยนี้ด้วยค่ะ ถ้าลองดูชุดพื้นเมืองของชาวเปรูในสมัยนี้ก็จะเห็นว่านิยมใช้ผ้าเยอะๆ หลายๆ ชั้นที่มีสีสันสดใส  https://goo.gl/H3oLrW

เรื่องผ้าเช่นกันค่ะ https://goo.gl/3YTXN6

เรื่องการบูชายัญของชาวอินคา เรื่องนี้ไม่ค่อยอยากพูดถึงเลยเพราะมันหดหู่น่อ รูปแบบการบูชายัญที่เอาคนนอนบนแท่นแล้วเจื๋อนในเรื่องนี้เอามาจากของทางแอซเท็คแทนค่ะ (ที่จริงต้องแหวะอกเอาหัวใจออกมาชูด้วยนะ) ส่วนของอินคาที่อ่านเจอนั้นโหดกว่านั้นเยอะ เพราะเป็นการบูชายัญเด็กโดยเลือกเด็กวัย 5-10 ปีที่หน้าตาดี มาจากครอบครัวดีหรือไม่ก็เอาลูกไปแลกกับตำแหน่ง เพราะพวกอินคาเชื่อว่าเด็กคือสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด เด็กจะถูกเอาไปขุนระยะหนึ่งจากนั้นก็จับแต่งตัวสวยงามเหมือนเจ้าชายเจ้าหญิงก่อนจะจับกรอกเหล้าหรือใบโคคาที่สมัยนี้ใช้ทำโคเคนจนเมาและไม่มีสติ จากนั้นก็...

แต่!!! เรื่องเกี่ยวกับการบูชายัญทั้งหมดนั้นมาจากบันทึกของนักบวชและนักเดินทางชาวสเปน คนเขาก็ยังว่ากันว่าอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะในฐานะคนที่เข้ามายึดครองดินแดนแล้วอาจจะอยากป้ายสีและทำให้วัฒนธรรมอินคาดูแย่ก็ได้ แม้จะมีการพบมัมมี่เด็กในแถบอเมริกาใต้หลายร่าง แต่ก็ยังสรุปไม่ได้จริงจังว่ามันโหดร้ายขนาดนั้นจริงหรือเปล่าค่ะ

ส่วนเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณนี่...มโนเองค่ะ แหะๆๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2018 03:35:49 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] จานนี้ที่อยากกินกับคุณ ----




เจนยุทธรู้ตัวตื่นขึ้นมาเพราะแสงแดดที่ลอดผ้าม่านเข้ามา เขางัวเงียพลิกกายไปคลำหาฆาเบียร์ที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เจอ เขาพลิกตัวไปอีกข้างแล้วก็ยิ้มออกมาทั้งที่หลับตาเมื่อคลำเจอร่างอุ่นๆ เขาขยับตัวไปนอนซุกร่างกำยำนั้นพร้อมไล้มือลูบไปที่หน้าท้องเป็นลอนของร่างนั้นและล้วงต่ำลงในกางเกงเพื่อหาไออุ่น

"เชี่ยเจ มึงทำไรวะ!"

เจสะดุ้งโหยงเมื่อข้อมือถูกอุ้งมือแข็งคว้าหมับพร้อมมีเสียงห้าวๆ ว๊ากใส่หู เขาลุกพรวดขึ้นนั่งพร้อมกับร่างล่ำสันของปรินซ์

"ห่านนี่ กูไม่ใช่ป๋า!"

ปรินซ์โวยลั่นต่ออีกยาวยืด  แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นเจนั่งหน้าจ๋อยน้ำตาคลอเบ้า เขาถอนหายใจเบาๆ ไอ้เพื่อนที่เคยรักใครไม่เป็นของเขาคนนี้ดูท่าจะอาการหนักเอาการ ตั้งแต่ฆาเบียร์กลับไปเมื่อสามวันที่แล้วเจก็ซึมกระทือ พวกเขาชวนไปไหนก็ไม่ไปและเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขากับซันซันแวะมาลากมันออกไปที่ผับให้ไปเจอแสงสี แทนที่จะร่าเริงขึ้น เจกลับเอาแต่นั่งกินเหล้า สุดท้ายเขากับซันซันก็ต้องหิ้วปีกมันกลับห้องและนอนค้างเป็นเพื่อน

ปรินซ์โอบไหล่เพื่อนที่เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น เจซุกหน้าลงที่ไหล่เพื่อนแล้วปล่อยโฮ เขาคิดถึงฆาเบียร์เหลือเกิน ช่วงเกือบสิบวันที่ผ่านมานั้นทำให้เขายิ่งผูกพันกับฆาเบียร์มากขึ้นไปอีก

"ไอ้เจมันเป็นอะไรน่ะ?"

ซันซันที่เดินออกมาจากห้องน้ำถามขึ้น ปรินซ์สะดุ้งเฮือกแล้วรีบดันตัวเจที่ซบไหล่อยู่ออก หนุ่มลูกร้านเพชรนั่งลงบนเตียงแล้วตบหลังเจเบาๆย

"มีอะไรมึงเล่าให้พวกกูฟังได้นะ เจ อย่าเก็บไว้คนเดียว"

"กู...กูคิดถึงฆาบี้ คิดถึงตลอดเวลาเลย หันไปทางไหนก็นึกถึง กว่าจะเจอกันก็อีกตั้งเกือบเดือน..."

ปรินซ์กับซันซันเหลือบมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ พวกเขาไม่รู้จะช่วยอะไรเรื่องนี้ได้จริงๆ



"คิดถึงแล้วทำไมไม่โทรไปหาวะ?"

"กูไม่อยากกวนเขาอ่ะ ช่วงต้นปีแบบนี้งานน่าจะยุ่ง กูไม่อยากทำตัวเป็นแฟนน่ารำคาญที่โทรไปหาตลอดเวลา"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ ซันซันหยิบโทรศัพท์ของเจมาแล้วให้ปรินซ์บังคับจับมือเจมาใช้นิ้วปลดล็อค ซันซันกดๆ จิ้มๆ แล้วโยนโทรศัพท์คืนให้เจ เจนยุทธตะครุบรับมาแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของฆาเบียร์ดังออกมาจากลำโพง เขารีบกดวางทันที ปรินซ์รีบคว้าโทรศัพท์ไปทันทีที่มีเสียงเรียกเข้าและกดรับ

“สวัสดีครับ ป๋า ปรินซ์ครับ”

เสียงฆาเบียร์ที่ดังออกมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจหรือเปล่าเพราะเขาเห็นได้ว่าเพื่อนทั้งสองของเจมารวมตัวกันที่ห้องนอนของเจ ปรินซ์รีบฟ้องทันที

“…เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ มันถึงขั้นละเมอมาไล่กอดไล่ปล้ำผม…”

เจด่าเพื่อนปากโป้งที่ใส่ไข่ระบายสีลั่นพร้อมพยายามจะแย่งโทรศัพท์คืน ซันซันกันเจไว้แต่ก็แอบหันไปมองหน้าเพื่อนซี้แต่วัยเด็กของเขา

“…มันคิดถึงป๋าจริงๆ นะครับ แต่มันไม่กล้าโทรหา บอกว่าไม่อยากกวนป๋า…”

เสียงฆาเบียร์บ่นพึมพำดังออกมาจากทางลำโพง เขาขอคุยกับเจเป็นการส่วนตัว ปรินซ์ส่งโทรศัพท์คืนให้เพื่อนและรีบลากซันที่ทำท่าจะเอนหลังลงนอนต่อให้ออกห้องไป



ฆาเบียร์ส่ายหัวด้วยความระอาและมองหน้าคนรักซึ่งทำหน้าสลดอยู่

“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ เจ นายบอกฉันเองว่าถ้าอยากคุยหรือคิดถึงก็ให้โทรหาตลอดเวลา แล้วทีตัวเองทำไมไม่โทร?”

“ก็ผมไม่อยากกวนคุณ ผมไม่รู้ว่าคุณยุ่งอะไรอยู่หรือเปล่า ตัวผมน่ะมันว่างตลอดอยู่แล้ว ไม่เหมือนคุณที่ต้องมีประชุมนั่นนี่ เจอลูกค้า หรือทำนั่นนี่ แล้วผมจะกล้าโทรไปกวนได้ยังไง”

“อย่างสองสามวันที่คุณกลับไปนี่ คุณยังมีเวลาโทรหาผมแค่ช่วงเที่ยงๆ กับก่อนนอนเลย แล้วจะให้ผมกล้ากวนคุณได้ยังไง?”

เจก้มหน้าพูดเสียงเครือ ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยวเหงาในเสียงของคนรัก ช่วงนี้เขาก็ยุ่งจริงๆ อย่างที่เจว่า โดยปกติเขาจะติดต่อหาเจนยุทธวันละหลายๆ ครั้ง แต่ช่วงนี้เขามีเวลาคุยนานๆ ได้แค่ช่วงกลางวันกับก่อนนอนเท่านั้น พวกเขาส่งข้อความหากันแทบทั้งวันก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เหมือนได้เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงกัน

"เจ ฉัน..."

"เฆเฟ่คะ ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ อ๊ะ ขอโทษค่ะ"

เจได้ยินเสียงเมลิน่าดังขึ้นและเห็นฆาเบียร์ยกมือบอกว่าเขาติดสายอยู่ เขาถอนหายใจเบาๆ

"งั้น ผมวางก่อนนะ ฆาบี้"

"เดี๋ยว เจ..."

ฆาเบียร์เรียกแต่เจวางสายไปแล้ว ฆาบี้หงุดหงิดใจจนเกือบเขวี้ยงมือถือลงพื้นแต่ยั้งไว้ทัน เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยสักนิด เขาดูเวลา เขายังเหลือเวลาอีก 10 นาทีก่อนจะถึงเวลาประชุม



เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เขากดรับ

"เจ ฟังฉันนะ ห้ามวาง..."

ฆาเบียร์พูดเร็วปรื๋อ เขากลัวเจนยุทธจะตัดสายเขาอีก

"นายโทรมาหาฉันได้ทุกเวลา ทั้งวัน อยากโทรมาเมื่อไหร่ก็โทรมา โทรเฉยๆ หรือวีดีโอคอลก็ตามใจ ฉันอยากได้ยินเสียงนาย อยากเห็นหน้านาย แม้จะแค่นาทีเดียวก็ยังดี เข้าใจไหม?..."

เจน้ำตาซึม เขาพยักหน้ารับคำ

"ครับ แต่คุณจะไม่คิดว่ามันน่ารำคาญเหรอ?"

เจถามอย่างกังวล ฆาเบียร์กับเขาเป็นคนประเภทเดียวกันที่ไม่เคยมีสัมพันธ์แบบจริงจังกับใครและเขาก็เคยไม่ชอบเวลามีสาวๆ โทรจิกทั้งวัน เขาไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นฝ่ายต้องอยากโทรอยากคุยกับใครทั้งวันแบบนี้ ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"ไม่ต้องกังวลแทนฉันหรอกน่า เจ ฉันอยากคุยกับนายทั้งวันด้วยซ้ำ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะพยายามรับสายนายทุกครั้ง เว้นแต่ไม่สะดวกจริงๆ แต่ฉันก็จะโทรกลับทันทีที่ว่าง โอเคไหม?"

เจนยุทธยิ้มกว้าง ฆาเบียร์ยิ้มตอบกลับให้เจ้าของรอยยิ้มที่ทำให้โลกของเขาสดใส เขาอยากเอื้อมมือไปหยิกแก้มป่องๆ ของเจจริงๆ ในอดีตเขามักรำคาญเวลาคู่นอนของเขาเรียกร้องอยากได้เวลาจากเขา แต่กับเจ บางครั้งกลับเป็นตัวเขาเองที่อยากได้เวลาของเจทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เจมาอยู่กับเขาเสียที่นี่ แต่เขารู้ว่าไอ้ตัวดีไม่มีทางยอมแน่นอน



"งั้น ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวมีประชุม น่าจะเลิกประมาณ..."

ฆาเบียร์ยกนาฬิกาขึ้นดู

"ไม่น่าเกินเที่ยงเวลาฮ่องกง แล้วฉันจะโทรหานะ..."

"แล้วก็...อ้ายฮักเจนะ

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ และส่งจูบให้คนรักของเขา เจหน้าแดงซ่าน

"อืมม์ Te quiero mucho, mi alma"

เจตอบกลับเป็นภาษาแม่ของฆาเบียร์ซึ่งเป็นเหมือนธรรมเนียมของเขาสองคนไปแล้ว เจจะบอกรักด้วยภาษาสเปนส่วนฆาเบียร์บอกรักเขาด้วยคำเมือง ฆาเบียร์ทำท่าเหมือนนึกอะไรสักอย่างขึ้นมาได้

"เออ ฉันลืมไปอย่างนึง..."

"...ต่อไปนี้นะ เจ นายห้ามไปกอดผู้ชายคนไหนอีกนะ ต่อให้ละเมอฉันก็ไม่อนุญาตนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแต่แววตาเขานั้นเต็มไปด้วยความขบขัน เขานึกภาพออกว่าปรินซ์จะตกใจขนาดไหนเมื่อโดนเจทำในสิ่งที่เขาติดเป็นนิสัยทุกเช้า เจหน้าร้อนผ่าวๆ เขาบ่นพึมพำก่อนจะรีบไล่ฆาบี้ให้รีบๆ ไปทำงาน เจจรดนิ้วลงบนริมฝีปากและแตะนิ้วไปที่หน้ากล้อง ฆาเบียร์ทำเช่นเดียวกันและกดวางสาย



เจหุบยิ้มและถอนหายใจเบาๆ เขากำลังจะกลับไปงีบแต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลืมเพื่อนทั้งสองของเขาไปซะสนิท เจเดินไปที่ประตูห้องแล้วก็ได้ยินเสียงกุกกัก เขาส่ายหัวแล้วรีบเปิดประตูทันทีพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจของเพื่อนทั้งสองที่เอาหูแนบฟังอยู่ เจนยุทธบ่นพึมพำก่อนจะตบหัวเพื่อนทั้งสองเบาๆ คนละที

"กลับมางีบต่อกันไหม พวกมึง เพิ่งจะเจ็ดโมงกว่าเอง"

สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วก็พยักหน้า พวกเขาเป็นมนุษย์ตื่นสาย แถมเมื่อคืนยังกินเหล้าไปไม่ใช่น้อย ทั้งสามคนคลานขึ้นเตียงด้วยความง่วงงุน เจยึดพื้นที่ฝั่งซึ่งฆาเบียร์นอนประจำ ซันซันทำท่าจะลงนอนคั่นกลางระหว่างเขากับปรินซ์

"มึงจะได้ไม่เผลอปล้ำไอ้ปรินซ์มันอีก อย่างน้อยถ้าเป็นกู มึงโดนตัวปุ๊บก็รู้ปั๊บละว่าผิดคน"

ซันซันทำหน้าจริงจัง แต่ปรินซ์รีบลงนอนเบียดซันซันให้เขยิบไปขอบเตียงอีกข้าง

"มึงไปนอนขอบเตียงนู่น กูนอนตรงกลางดีกว่า มึงชอบนอนดิ้น ขืนนอนตรงกลางมึงได้ละเมอไปกอดไอ้เจมันเองแน่"

ซันซันว๊ากลั่นว่าเขาไม่ได้ช่างละเมอขนาดนั้น เจยิ้มกริ่มดูเพื่อนทั้งสองของเขาเถียงกัน

"อืมม์ แล้วถ้ามันละเมอกอดมึงแทนนี่ มึงโอเคเหรอวะ ปรินซ์?"

เจกระเซ้าเพื่อนตัวล่ำของเขากลับไป ปรินซ์หน้าแดงพูดอะไรไม่ออก

"เห้อ กูนอนดีกว่า"

เจเอาหมอนข้างไปวางขวางระหว่างเขากับเพื่อนและล้มตัวลงนอน

"...พวกมึงก็รีบๆ ตัดสินใจกันซะว่าใครจะนอนตรงไหน และใครจะเป็นฝ่ายกอดใคร"

เจพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงโดยไม่สนใจสองคนที่บ่นเขาลั่นอีก เขาสูดดมที่หมอนซึ่งฆาเบียร์เคยหนุนนอน กลิ่นของคนรักของเขายังอวลอยู่ให้ได้คิดถึง เขาถอนหายใจเบาๆ สักพักเขาก็รู้สึกถึงมือใหญ่ๆ ของเพื่อนที่ลูบหัวเขาเบาๆ

"ขอบใจพวกมึงมากนะ ที่มาอยู่เป็นเพื่อนกู"

เจพูดขึ้นลอยๆ เพื่อนทั้งสองของเขาตอบรับ และบอกให้เขาหลับเสีย เจรับคำก่อนที่จะข่มตานอนลง



เจสะดุ้งตื่นมาเพราะเสียงเรียกเข้าจากมือถือที่เขากำไว้แน่น เขารีบกดรับและยิ้มกว้างออกมาให้กับคนที่จ้องหน้าเขาอยู่บนจอโทรศัพท์ เขาบอกฆาเบียร์ให้รอก่อนที่จะหยิบหูฟังมาใส่

"ยังนอนอยู่เหรอ เจ? สบายจริงเลยนะเรา"

เสียงกลั้วหัวเราะดังมาจากปลายสาย เจยิ้มเขินๆ เขาดูเวลา มันปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เขาคุยกับฆาเบียร์ด้วยเสียงที่เบากว่าทุกทีเพราะเกรงใจเพื่อนที่ยังนอนอยู่

"นี่ไม่ได้ไปนอนกอดใครเขาเข้าอีกใช่ไหม เจนยุทธ"

"บ้า จะไปกอดใครอีกล่ะ นี่ ผมเอาหมอนข้างกันไว้แล้ว"

เจหันกล้องไปทางหมอนข้างที่เขาวางกั้นไว้ แล้วก็ต้องอุทานเบาๆ แล้วหัวเราะคิกออกมาเบาๆ

"นี่ ไม่ต้องกลัวผมจะไปกอดใครหรอก คุณดูนี่เองเหอะ"

เจกระซิบกระซาบก่อนจะหันให้ฆาเบียร์ดูสองหนุ่ม ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นซันซันนอนซุกเข้าไปในอ้อมอกของปรินซ์ที่ใช้แขนล่ำสันของเขาโอบร่างท้วมนั้นไว้อย่างทะนุถนอม เจกลับนอนลงบนหมอนของตัวเองและยิ้มจนตาหยีให้คนรัก

"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์ครางเรียกชื่อคนรักเบาๆ เจที่เพิ่งตื่นนั้นช่างดูเย้ายวนเหลือเกิน ผมยุ่งๆ ใบหน้าที่ยังดูง่วงงุนนั้นทำให้เขาอยากไปนอนซุกหน้าซบลงที่ไหล่ขาวเนียนนั้นจริงๆ เจนยุทธมองหน้าคนรักอย่างรู้ทัน เขาทำท่าบิดขี้เกียจน้อยๆ จากนั้นพยายามทำหน้าเลียนแบบพวกสาวเซ็กซี่ เขากัดปากเล็กๆ พร้อมกับทำตาปรือ แต่กลายเป็นว่าทำให้ฆาเบียร์หัวเราะออกมาแทน เจเองก็หัวเราะคิกคักออกมาด้วย



"คุณน่ะ ทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ อย่าคิดฟุ้งซ่านสิ"

เจกระซิบเบาๆ เมื่อฆาเบียร์บอกมาว่าเขาอยากไปนอนข้างๆ เจใจจะขาดอยู่แล้ว

"รอคืนนี้ก่อนนะ ฆาเบียร์ ผมจะทำตามใจคุณทุกอย่างเลย"

ทั้งสองคนคุยสารทุกข์สุขดิบกันอีกครู่หนึี่งก่อนที่เจจะถามขึ้น

"นี่ ที่นู่นก็เที่ยงกว่าแล้ว คุณยังไม่ไปกินมื้อเที่ยงอีกเหรอ?"

ฆาเบียร์อ้ำๆ อึ้งๆ บอกว่าเขายังไม่หิว เจนยุทธถอนหายใจ ฆาเบียร์เป็นแบบนี้อีกแล้ว

"ไม่ได้นะ คุณ นี่ไม่ยอมกินข้าวกินปลาเป็นเวลาอีกแล้วใช่ไหม?"

เจบ่นคนรักของเขา ฆาเบียร์พูดอ้อมแอ้มบอกว่าเขากินข้าวเช้าไปหน่อยนึงแล้วและยังไม่ค่อยหิว เจเค้นถามจนได้ความว่าช่วงนี้ฆาเบียร์กลับไปเป็นเหมือนเดิมคือกินข้าวน้อยและไม่เป็นเวลา บางทีก็ข้ามมื้อ

"ไม่มีเจกินข้าวด้วย อะไรก็ไม่อร่อย"

เมียตัวโตของเจพูดเสียงอ่อยๆ พอเจไม่อยู่ด้วย เขาก็พาลกินอะไรไม่ลงไปหมด เจถอนหายใจ เขาเองก็บ่นฆาเบียร์ได้ไม่เต็มปาก สองสามวันมานี้เขาก็กินอะไรไม่อร่อยไปซะหมด แต่เขาไม่ถึงขั้นกินไม่ลงเหมือนฆาเบียร์ เขาตั้งใจว่าจะฝากเมลิน่าจัดการเรื่องอาหารการกินของฆาเบียร์ทีหลัง

“ไม่ได้นะ คุณไปหาอะไรกินให้เป็นเรื่องเป็นราวซะ จานเดียวง่ายๆ ไม่ก็พวกสลัด แซนวิชก็ยังดี ถ่ายรูปมาให้ผมดูด้วยล่ะจะได้รู้ว่ากินจริงๆ”

เจกำชับคนรักของเขาก่อนจะร่ำลาและวางสายไป ไม่นานนักฆาเบียร์ก็ส่งรูปปานินี่ไส้เนื้ออบกับกาแฟจากคาเฟ่บนชั้นที่ 100 ของตึก ICC แห่งนี้มาให้ โดยมีฉากหลังเป็นอ่าววิคตอเรียที่เห็นอยู่ลิบๆ เบื้องล่าง เจยิ้มด้วยความพึงใจ เขาคงต้องบังคับให้พ่อคนกินน้อยส่งรายงานอาหารที่กินทุกมื้อให้เขาเสียแล้ว



เจดูนาฬิกาแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ท้องน้อยๆ ของเขาเริ่มร้องโครกคราก เขาหันไปเขย่าปลุกปรินซ์เบาๆ หนุ่มร่างใหญ่สะดุ้งตื่นเฮือกและรีบคลายวงแขนออกจากร่างอุ่นๆ ของซันซัน เจยิ้มน้อยๆ

“กูไม่บอกไอ้ซันมันหรอก ไม่ต้องห่วง”

เจบอกเพื่อนตัวล่ำที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เจตบไหล่เพื่อนเบาๆ และบอกให้ปลุกซันซัน ส่วนตัวเขาลงเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำไป

เจส่งเพื่อนทั้งสองที่รถและเดินกลับเข้ามาที่ห้อง เขาเก็บข้าวของ ทำนั่นทำนี่กินง่ายๆ จากนั้นก็เอาโน้ตบุ๊คเครื่องบางของเขามาวางกางไว้บนเคาเตอร์ครัวและนั่งจ้องมันนิ่งๆ อยู่นาน ช่วงนี้งานแปลยังไม่เข้า เขาเลยตัดสินใจจะนั่งทำรีวิวร้านที่ฆาเบียร์มอบหมายให้มาตุนไว้ก่อน เขาเขียนรีวิวร้านสองสามร้านและส่งให้เมลิน่าไปแล้ว แต่ยังรู้สึกว่ามันยังขาดความน่าสนใจไป เมลิน่าบอกให้เขาลองทำคลิปสั้นๆ หรือ live สดดู แต่เขาก็ยังหาหัวข้อที่น่าสนใจไม่ได้ เขาถอนหายใจยาว

เจสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เขายกขึ้นรับ

"ครับ พี่นพ เย็นนี้เหรอ? ว่าง พี่…อือ ได้ กินลาบก็ได้พี่..."

เจนัดแนะเวลากับนพเสร็จสรรพก่อนจะวางสาย เขาเปิดไฟล์ภาพจากอัลบั้มร้านอาหารต่างๆ ที่เขาเก็บรวบรวมไว้ เขาดึงภาพจากร้านอาหารหลายๆ ร้านมาเพื่อจัดการแปลงไฟล์และอื่นๆ เพื่อเตรียมใช้ประกอบงานเขียนชิ้นต่อไป



“ไส้ย่าง 10 ไม้ เนื้อย่าง 10 ไม้ หมูย่าง 5 ไม้ ไข่ปิ้ง 1 ไม้ พอไหมมึง?”

“เอ่อ พอก่อนก็ได้พี่ สั่งเยอะแล้ววันนี้”

นพเงยหน้าจากใบสั่งอาหารที่เขากำลังเขียน เขาทำหน้าเคร่งเครียด

“ไอ้เจ มึงไม่สบายหรือเปล่า?”

"ไม่นี่ พี่นพ ไม่ได้เป็นอะไร"

"มึงสั่งน้อยกว่าปกตินะ ไม่มีอะไรแน่นะ?"

เจนยุทธอึ้งไป เขาดูรายการที่สั่งไป เขาก็ว่ามันเยอะแล้ว

"ลาบเนื้อสุก ลาบเนื้อดิบ ลาบหมูสุก ส้าเนื้อสะดุ้ง หมูทอด ตำโคราช ตำแคบหมู อย่างละจาน ก็เยอะแล้วนะ พี่นพ"

ถ้าเขามากับฆาเบียร์แล้วสั่งแบบนี้ คงโดนคนตัวโตบ่นและบอกว่าเขาไม่ช่วยกินด้วยแน่ๆ

"ทุกทีต้องมีแบบต้มแซ่บอะไรงี้อีกถ้วย แล้วข้าวอ่ะ เอา 20 บาทมาที่เดียว พอกินเหรอวะ?"

เจอึ้งไป ทุกทีเขากับนพสองคนกินข้าวเหนียวกันคนละ 15 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากแล้ว แต่วันนี้เขาไม่ได้รู้สึกอยากอาหารขนาดนั้น

"พอนะ ผมว่า ถ้าพี่นพคิดว่าไม่พอพี่สั่งเพิ่มทีหลังก็ได้"

เจนยุทธตอบเสียงอ่อยๆ นพจ้องตาเพื่อนรุ่นน้องตัวแสบ เขาว่าวันนี้มันดูจ๋องๆ จ๋อยๆ ไป

"มีอะไรมึงเล่าให้กูฟังได้นะ ไอ้เจ"

"ผม...ผมกินอะไรไม่ค่อยลงอ่ะ พี่"

เจนยุทธถอนหายใจ

"...ช่วงที่ผ่านมาผมอยู่กับฆาบี้ตลอดเวลาตั้งเกือบสิบวัน พอเขาไม่อยู่มัน มันโหวงๆ อ่ะ"



เจมองหน้าเพื่อนรุ่นพี่

"พี่ทำได้ไงอ่ะ พี่นพ พี่วัฒน์แกนานๆ ขึ้นมาที พี่ทนอยู่ห่างแกนานๆ แบบนี้เป็นสิบๆ ปีได้ไง?"

นพบ่นลั่นว่าไม่ได้นานสิบๆ ปีอย่างที่เจว่า

"มันเทียบกันไม่ได้ว่ะ เจ กูกับพี่วัฒน์ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนมึงกับไอ้ฆาบี้ แกไม่ได้เป็นพวกขี้อ้อนหรือว่ามานัวเนียตลอดเวลาแบบนั้น เวลาห่างกันมันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรไปนัก..."

"อีกอย่าง พวกกูคบกันมานานมากแล้ว จะยี่สิบปีแล้วนะ มันชินไปแล้วล่ะ"

เขามองไอ้น้องชายด้วยความรู้สึกเห็นใจ ความรู้สึกแบบของเจเขาก็เคยเป็น แต่แค่ช่วงสั้นๆ แถมเขากับวัฒน์คบกันแบบทางไกลมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายยังเป็นนักศึกษาที่ญี่ปุ่น มันจึงทำให้พวกเขาเคยชินกับการอยู่ห่างกัน แต่สำหรับเจนยุทธกับฆาเบียร์นั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นจากความใกล้ชิดและอยู่ด้วยกันตลอดเวลานับเดือน แล้วเมื่อฆาเบียร์กลับมาไทยแต่ละครั้ง พวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่น่าแปลกที่เจจะอาการหนักขนาดนี้

"มันจะชินไปเองจริงๆ เหรอ พี่นพ? แล้วถ้าผมไม่อยากชินล่ะ ถ้าผมยังอยากรู้สึกคิดถึงแบบนี้ไปตลอดล่ะ"

นพกุมขมับ

"กูไม่รู้ละโว้ย คือ กูว่านะ อย่างมึงกับไอ้ฆาบี้มันคงไม่ได้ชินกันง่ายๆ แบบกูกับพี่วัฒน์หรอก ดูฆาบี้มันดิ ทั้งขี้อ้อนทั้งเอาใจ เดี๋ยวก็ส่งข้อความมา เดี๋ยวก็โทรมา รับรองพวกมึงไม่จืดจางกันง่ายๆ หรอก ของกูเรอะ? ดูพี่วัฒน์มันนะ นี่ไม่ติดต่อมาสักสามสี่วันละ หายหัวไปเลย บางทีกูก็สงสัยนะว่ากูมียังแฟนอยู่จริงหรือเปล่า"

เจหัวเราะก๊าก

"สรุปว่าแบบของผมดีกว่างั้นสิ?"

"เออ!"

เจนยุทธหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงดร.หน้ามึนคนนั้น



"เลิกขำแล้วก็กินๆ ได้แล้ว"

นพยื่นจานลาบเนื้อสุกให้ เจตักใส่ช้อนและปั้นข้าวเหนียวก้อนน้อยใส่ลงไปด้วย เขาเคี้ยวและทำหน้าฟิน ลาบร้านลุงน้อยเป็นร้านที่เขาชอบที่สุดร้านหนึ่ง เครื่องลาบของร้านนี้หอมแปลกกว่าร้านอื่น แต่รสไม่เผ็ดจัดจนเกินไป ส่วนลาบเนื้อดิบนั้นก็โอเค แต่เครื่องในมันหน้าตาฮาร์ดคอร์ไปนิดสำหรับเขา

ร้านลาบร้านนี้เป็นร้านในดวงใจของเด็กม.เชิงดอย ถึงร้านจะเป็นเพิงๆ และโต๊ะเก้าอี้เป็นโต๊ะหินแบบที่พบได้ตามโรงเรียนซึ่งนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แต่คนก็แน่นเต็มทั้งร้านทุกครั้งที่พวกเขามากิน เจตักลาบดิบขึ้นกินแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเล่าให้นพฟังด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข

"ฆาบี้นะ พี่นพ เขาไม่ยอมกินลาบดิบเลย ยังไงก็ไม่ยอม ถึงขนาดบอกว่าจะยอมทำนั่นทำนี่ให้ ก็ยังไม่ยอมกิน"

"เดี๋ยวนะ ไอ้ที่ว่าทำนั่นทำนี่ของมึงนี่อะไรวะ?"

นพส่ายหน้าเมื่อเจอธิบายให้ฟัง ไอ้สองตัวนี่มันช่างโลดโผนเรื่องบนเตียงกันจริงๆ นี่ถ้าเป็นคู่ชายหญิงคงมีลูกหัวปีท้ายปีแน่ๆ

"ผมบอกเขาแล้วนะ ว่ามันก็เหมือนสเต๊กทาทาร์แบบของฝรั่งนั่นแหละ แต่พี่แกก็ยังไม่ยอม บอกว่ามันใส่เลือดสดๆ ลงไปด้วย หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่กิน"

"โอ๊ย ปล่อยมันไปเถอะ ดี มันจะได้ไม่ต้องมาแย่งของอร่อยของพวกเรา"

นพปั้นข้าวเหนียวจิ้มลาบดิบกินอย่างสุขี เจบอกว่าเครื่องในอื่นๆ ฆาเบียร์ก็ไม่ค่อยกินเท่าไหร่ แต่ไส้ย่างนั้นพี่แกชอบมาก

"ถ้าฆาบี้มากินที่นี่น่าจะชอบเนาะ ไส้ย่างที่นี่อร่อย"

เจหยิบไส้ย่างหนึ่งไม้ขึ้นมากิน เขาบ่นว่าเสียดายที่น้ำจิ้มสามรสของร้านนี้ติดหวานและไม่ค่อยเปรี้ยว การปรุงรสของย่างและหมูทอดก็เช่นกัน ออกจะติดหวานทุกอย่าง แต่ของที่คนมักทำหวานอย่างส้มตำ ร้านนี้กลับตำไม่ติดหวานเลยสักนิด เจชอบตำแคบหมูของเขามาก เพราะใส่แคบหมูมาเยอะ แถมยังเป็นแบบชิ้นเล็กๆ ไม่เหมือนบางร้านที่ใส่แคบหมูไร้มันเป็นเส้นๆ มา ทำให้กินยาก แต่สำหรับตำโคราชที่เขาลองสั่งมาเป็นครั้งแรกนั้นเขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/12/28/lungnoi1-L.jpg[/img)


] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/12/28/lungnoi2-L.jpg[/img)



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] จานนี้ที่อยากกินกับคุณ (ต่อ) ----



"มึงจดอะไรน่ะ เจ?"

นพถามเมื่อเห็นเจยกสมุดน้อยที่เขาพกติดตัวขึ้นมาจดความเห็นของอาหารที่เขากิน

"อ๋อ ผมโน้ตเรื่องของที่กินไปน่ะ พี่นพ"

เจนยุทธเล่าถึงงานของเขาที่ฆาเบียร์มอบหมายให้ทำ

"เออ เหมาะกับมึงดีนะ ไอ้เจ กูก็เห็นมึงชอบถ่ายรูปอาหารเก็บไว้ ดี ใช้ประโยชน์จากมันมั่ง ช่วงนี้งานแปลน้อย มึงก็ลุยทำงานใหม่นี่ไปเลย หรือว่ามึงจะให้งดรับงานแปลไปเลยไหม?"

เจปฏิเสธลั่น เขาว่ายังไงเขาก็ยังอยากทำงานแปลของเขาต่อไป แต่อาจจะต้องแบ่งเวลาให้ดีกว่านี้

"ทำไมผมจะไม่รู้อ่ะ พี่นพ ว่าที่ฆาบี้เขาเสนองานให้ผมเพราะเขาไม่อยากให้ผมต้องมาปั่นงานแปลหาตังค์ไปจ่ายให้เขา เชื่อไหม เดี๋ยวพี่แกก็จะมาตั้งเงินเดือนหรือเงินตอบแทนให้ผมสูงๆ ผมไม่เอาหรอกแบบนั้น ผมจะทำงานแปลต่อไปด้วย ส่วนงานนี้ผมจะทำให้เขาฟรี"

“เออ มึงนี่ก็แปลกดีเนาะ คนเขามักจะชอบกันเวลาได้แฟนมีตังค์ มึงกลับไม่ชอบซะงั้น”

เจนยุทธครุ่นคิดหน่อยนึง

“มันก็ไม่ใช่ไม่ชอบหรืออะไรหรอกนะ พี่นพ เค้ามีตังค์เลี้ยงตัวเองได้มันก็ดี หรืออย่างเวลาไปเที่ยวกันแล้วพักโรงแรมดีๆ กินอาหารดีๆ กันได้โดยไม่ต้องมากระเหม็ดกระแหม่กันเนี่ย ผมก็ชอบอยู่ แต่ผมแค่ไม่ชอบที่เอะอะเขาจะจ่ายให้หมด เดี๋ยวก็ซื้อนั่นนี่แพงๆ ให้ หรือไม่ยอมให้ผมได้หาเลี้ยงตัวเอง มันไม่ใช่อ่ะ”

นพพยักหน้าบอกว่าเขาเข้าใจ เขาเองก็ไม่ชอบเวลาที่วัฒน์จะมาจ่ายอะไรให้เช่นกัน แล้วสำหรับคนอย่างเจที่เคยโดนคนมองว่าเป็นเด็กเลี้ยงของพวกเพื่อนอิ่มคงต้องยิ่งทำตัวให้ชัดเจนเพื่อให้หลุดภาพนั้น

“ยิ่งเขามีเงินมาก ผมยิ่งต้องชัดเจนน่ะพี่ ผมยิ่งต้องพยายามให้เขาจ่ายนั่นนี่ให้น้อยที่สุดโดยเฉพาะที่เชียงใหม่ ผมไม่อยากให้ต้องมามีเรื่องเงินระหว่างกัน หรือว่าเป็นบุญเป็นคุณกันให้มามีปัญหากันทีหลัง”

เจบอกว่าเขาเห็นมาเยอะแล้วสำหรับคู่รักที่พอตอนรักกันเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่พอเลิกกันก็มีการลำเลิกกันเรื่องเงินทองจนวุ่นวายไปหมด นพก็บอกว่าสำหรับคู่เขาก็เหมือนกัน พวกเขาพยายามเกี่ยวข้องเรื่องเงินกันให้น้อยที่สุด



“แต่ในอนาคตไม่แน่ว่ะ พวกกูอาจจะเริ่มมีอะไรร่วมกันแล้ว”

เพื่อนรุ่นพี่ของเจยิ้มอายๆ เจทำตาโต

“อะไร ยังไง พี่นพ หมายความว่าไง?”

นพหัวเราะ

“ไม่มีอะไรหรอก กูว่าจะลองชวนพี่วัฒน์แกมาอยู่เชียงใหม่ด้วยกันอีกทีน่ะ กูซื้อไร่ของเพื่อนไว้ที่เชียงดาว ที่กูไปปรึกษาจืดเขาวันนั้นน่ะ…”

เจพยักหน้า เขารู้จักพี่เหยี่ยวเจ้าของไร่ดีและนพก็เคยพาเขาไปเที่ยวที่นั่นด้วย

“…กูจะเริ่มลองพัฒนาไร่นั้นดู พี่วัฒน์แกเคยพูดว่าแกอยากมาทำไร่เล็กๆ ที่เชียงใหม่หลังเกษียณ กูก็จะทำรอแกไว้ก่อน”

“แต่กว่าพี่วัฒน์จะเกษียณก็อีกเป็นสิบกว่าปีนะ พี่นพ”

เจท้วง นพยิ้มละไม

“ไม่เป็นไรหรอกว่ะ กูรอได้ กูจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมเพื่อรอแกมาอยู่ด้วยกัน”

“…แต่มึงอย่าพึ่งพูดไปนะ เจ กูจะรอให้พร้อมกว่านี้อีกนิดแล้วค่อยบอกแก”

“…โอ๊ย ดีใจอ่ะ พี่นพจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซะที”

เจทำท่าตื่นเต้น นพหัวเราะก๊าก

“เฮ้ย บ้า มึงก็ว่าไป กูไม่ได้จะแต่งงานซะหน่อย บ้านเราก็ใช่ว่าจะจดทะเบียนอะไรได้ แล้วกว่าอิพี่วัฒน์มันจะมาอยู่เชียงใหม่จริงๆ ก็คงอีกนาน ถ้ากูคิดจะจัดงานแต่งงานจริงๆ ก็คงรอจนกว่าแกมาอยู่นั่นแหละ…”



“…เผลอๆ พวกมึงจะแต่งงานก่อนกูอีกมั้ง”

นพพูดยิ้มๆ เจโบกมือโบกไม้ปฏิเสธ

“เฮ้ย พี่ก็พูดเกินไป พวกผมเพิ่งคบกันได้ไม่นานเองนะพี่ ยังไม่ครบปีเลย ได้เจอกันจริงๆ ก็แป๊บเดียว อีกอย่าง ผมไม่กล้าหวังไปถึงขนาดนั้นหรอกพี่นพ ผมกับเขาต่างกันมากเหลือเกิน”

เจถอนหายใจ หน้าเขาสลดลงเล็กน้อย นพลอบถอนใจ สุดท้ายเจก็ยังห่วงเรื่องนี้อยู่ดี

“เจ กูขอพูดอะไรหน่อยนะ ถึงกูจะไม่ได้อยู่กับฆาบี้มันตลอดเวลาเหมือนมึง แต่กูว่ากูดูออกว่ามันไม่ใช่คนที่จะมาคิดเรื่องความต่างอะไรพวกนี้ ถ้ามันปักใจรักมึงแล้ว มันไม่มาสนเรื่องนี้หรอก”

เจนั่งก้มหน้าก้มตาแทะเนื้อเสียบไม้ย่างในมือ ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ ถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องอยู่ห่างกัน ชีวิตรักของเขากับฆาบี้มันเหมือนอยู่ในความฝัน ทุกอย่างมันดีเกินไปจนเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าชีวิตนี้เขาจะรักใคร และจะมีใครรักเขาถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อคนๆ นั้นเป็นผู้ชาย

“นึกๆ ดูนะมึง เผลอๆ เวลาที่พวกมึงอยู่ด้วยกันนับชั่วโมงนับวันแล้วอาจจะนานกว่าที่กูกับพี่วัฒน์อยู่ด้วยกันตลอดสิบกว่าปีนี้อีกนะเว้ย”

นพพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงว่าเขาและวัฒน์ได้เจอกันปีละ 4-5 หนเท่านั้น เจหัวเราะลั่น

“พี่ก็ว่าเกินไป๊ มันจะเป็นงั้นได้ไง…”

“…แต่ถ้าเทียบจากจำนวนครั้งที่พี่วัฒน์ทำการบ้านก็ไม่แน่นะพี่ ฮ่าๆๆ”

นพตีหน้ายักษ์ใส่ไอ้น้องตัวแสบและด่าลั่น เจหัวเราะคิกคัก ทั้งคู่คุยกันไปกินกันไปอย่างเพลิดเพลิน นพยิ้มเมื่อเห็นเจดูร่าเริงและกินอาหารได้ ถึงจะน้อยกว่าปกติ แต่ก็ยังดีกว่าที่เขาคิด ฆาเบียร์ส่งข้อความหาเขาเมื่อช่วงบ่ายและเล่าถึงอาการของเจที่เขาได้เห็นในตอนเช้า เขาบอกมาว่าเขาไม่สบายใจนักและอยากให้นพมาช่วยทำให้เจร่าเริงขึ้น นพก็ยินดีที่จะช่วย อะไรจะทำให้เจรู้สึกดีขึ้นได้เท่าบทสนทนาที่ดีบนโต๊ะอาหาร



"เออ แล้วเรื่องที่มึงจะต้องเขียนนั่นนี่ให้เพจของฆาบี้น่ะ ตกลงต้องทำอะไรมั่งวะ?"

เจครุ่นคิดนิดหนึี่งแล้วเปิดดูที่เขาจดๆ ไว้ในสมุดโน้ต

"วันนั้นผมคุยกับเมลิน่านิดหน่อย เขาก็บอกว่าให้เขียนรีวิวพวกร้านอาหารหรือสถานที่เที่ยวในเชียงใหม่ที่ผมได้ไปมา ให้เขียนตามจริง ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ..."

เมลิน่าบอกเขาว่าเขาอาจจะสอดแทรกเกร็ดความรู้ต่างๆ เรื่องอาหารแบบที่เขาเคยอธิบายให้เธอและฆาเบียร์ฟัง หรือถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็อาจจะมีเล่านั่นนี่บ้าง

"เขาบอกว่า ให้ผมเขียนเหมือนผมคุยกับฆาบี้อ่ะ พี่"

"...แล้วก็ ต้องไม่ลืมถ่ายเซลฟี่ในร้านแล้วโพสต์หน้าตัวเองลงไปด้วยอ่ะ"

เจยิ้มเขินๆ เขาเซลฟี่เองบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แล้วยิ่งต้องเอาหน้าตัวเองไปแปะลงในเพจที่มีคนตามเยอะๆ อย่างเพจบาเลนติน เด ลา โรซ่า เขาก็เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว รูปแรกที่เขาแปะลงไป เขารู้สึกเลยว่าเขาทำหน้าตลกมาก นพเองก็หัวเราะคิกคักเมื่อเขาเปิดรีวิวแรกของเขาที่เมลิน่าโพสต์ลงเพจให้เมื่อวาน

"เออ มึงทำหน้าตลกจริงๆ ว่ะ ไอ้เจ แต่ โห คนไลค์เยอะเลยนะเนี่ย"

เจนยุทธเองก็ตกใจเมื่อเห็นมีคนกดไลค์หลักพันปลายๆ ทั้งที่มันเพิ่งถูกโพสต์ไปเมื่อวานนี้



"แล้วมึงต้องทำคลิปหรือว่า live อะไรพวกนั้นป่าววะ?"

"นั่นแหละ ปัญหาเลยพี่ ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมต้องทำยังไง หรือหัวข้ออะไร เมลิน่าบอกว่าให้ผมหาหัวข้อที่เป็น signature ของผม แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำเรื่องอะไรดี"

นพขมวดคิ้ว เขาดูไปรอบๆ ตัวและมองไปที่กองไม้เสียบไส้ย่าง

"นี่ๆ เมื่อกี้มึงกินไส้ย่างแล้วก็บอกว่าฆาบี้ชอบกินใช่ไหมล่ะ ไหนๆ นี่มันก็เพจของฆาบี้มัน มึงก็ทำคลิปถ่ายอาหารที่มึงอยากกินกับมันสิ อาหารที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงมัน อะไรพวกนั้น มีใช่ไหม?"

เจนึกตามแล้วก็ยิ้มออกมา

"เออ ก็น่าจะเวิร์คอยู่นะ พี่นพ ผมว่าผมจะลองดู"

ค่ำวันนั้น เจเริ่มอัดคลิปแรกที่เขาจะส่งให้เมลิน่าเพื่อลงเพจ

"ฆาบี้ครับ เดี๋ยวผมส่งคลิปให้ดูนะ ขอคอมเมนท์ด้วย"

เจพูดกับฆาเบียร์ที่กำลังจะเข้านอนแล้ว ฆาเบียร์เปิดคลิปนั้นดู



"สวัสดีครับ ฆาบี้ คุณเป็นยังไงมั่งวันนี้? กินข้าวแล้วหรือยัง ผมกำลังจะกิน แต่ของที่ผมจะกินตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงคุณขึ้นมา..."

เจในคลิปยิ้มละไมพูดกับกล้องมือถือที่เขาวางไว้บนขาตั้งน้อยๆ เขายกถุงพลาสติกบรรจุผงดำๆ ขึ้นชูหน้ากล้อง

"...วันนี้ผมไปได้งาขี้ม้อนคั่วใหม่ๆ ตำใส่เกลือมาจากในตลาด ผมเลยจะเอามาทำ 'ข้าวหนุกงา'"

เจอธิบายต่อว่าข้าวหนุกงาคือของกินเล่นของคนเหนือ มันเป็นอาหารประจำฤดูกาลที่จะได้กินช่วงฤดูหนาวเมื่องาออกใหม่ๆ คนเหนือจะนำงาที่ตำผสมกับเกลือนั้นมา 'หนุก' ที่แปลว่าคลุกหรือนวดกับข้าวเหนียวซึ่งก็เป็นข้าวใหม่ที่เพิ่งเกี่ยว ความหอมของงาใหม่กับข้าวนิ่มๆ นั้นทำให้มันเป็นอาหารโปรดที่เจรอกินมาตลอดปี

"งาขี้ม้อนยังมีประโยชน์ด้วยนะคุณ มันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทำให้ช่วยคุมระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายตัวด้วย..."

"...อีกอย่าง ผมว่าสำหรับคนเหนือในอดีตที่อากาศยังหนาวกว่าทุกวันนี้ อาหารแบบนี้ให้พลังงานสูงและอาจจะทำให้เขารู้สึกหนาวน้อยลงด้วยมั้ง"

ถึงตอนนี้ เจเริ่มคลุกงากับข้าวเหนียว เขาบอกว่าเขาไม่ได้หุงข้าวใหม่ แต่ซื้อมาจากตลาด แต่ก็ถือว่ากินได้เหมือนกัน เจค่อยๆ ใช้มือที่ใส่ถุงมือพลาสติกนวดๆ งาให้ผสมกับข้าว เขาใส่เกลือเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อให้มันเค็มอีกนิด เขาบอกว่าถ้าอยากกินแบบหวาน ก็เติมน้ำอ้อยเคี่ยวหอมๆ ลงไป ก็ได้เป็นข้าวหนุกงาแบบหวาน ซึ่งก็อร่อยล้ำเหมือนกัน

"...และนี่ครับ ข้าวหนุกงา ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่ปลื้มนักเพราะมันมีทั้งข้าวเหนียวแล้วก็งาที่แคลอรี่สูงทั้งคู่ แต่ผมก็อยากให้คุณได้ลองกินจริงๆ ฉะนั้นอาหารจานที่ผมอยากกินกับคุณในวันนี้คือข้าวหนุกงาครับ"

เจตักข้าวหนุกงานั้นขึ้นกินและบรรยายรสชาติ จากนั้นก็จบคลิปด้วยการบอกว่าเขาคิดถึงฆาเบียร์และส่งจูบให้กล้องพร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ



"เป็นไงมั่ง ฆาบี้ พอใช้ได้มั่งไหมอ่ะ?"

คนตัวเล็กถาม ฆาเบียร์ทำหน้าตูม เขาส่ายหน้าน้อยๆ

"ไม่เวิร์คอ่ะ เจ ไม่ดีเลย"

เจนยุทธหน้าเสีย เขาไม่นึกว่าคนตัวโตของเขาจะไม่ชอบมันถึงขนาดนี้

"มันไม่ดีตรงไหนอ่ะ คุณ บอกมาได้นะ ผมจะได้ปรับปรุง"

เจถามด้วยความร้อนรน เขาอยากให้งานของเขาออกมาดี

"ไม่ดีตรงที่นายทำหน้าแบบนี้อ่ะ เจ หน้ายิ้มๆ อ้อนๆ แล้วดูสนุกกับอาหารแบบนี้ ฉันไม่อยากให้คนอื่นได้เห็นเลย"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เจนยุทธทำตาปริบๆ ไอ้เขาก็นึกว่ามีปัญหาอะไรเรื่องเนื้อหา

"นี่ คุณ ผมให้ดูเนื้อหา ไม่ใช่ให้มานั่งดูหน้าผม"

เจทำหน้าตูมบ้าง ฆาเบียร์บอกว่างั้นขอเขากลับไปดูอีกรอบ เพราะเมื่อกี้เขามัวแต่ดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนตัวเล็กของเขา เจบ่นพึมพำแต่ก็ให้เวลาคนรักดูต่อ ฆาเบียร์ดูแล้วก็ต้องสะท้อนใจ ตอนท้ายของคลิปแม้ใบหน้าเจจะยิ้มแย้ม แต่เขาสังเกตเห็นน้ำตาที่คลอน้อยๆ อยู่ในตากลมโตคู่นั้น เขาอยากดึงร่างในจอนั้นเข้ามากอดและบอกว่าเขาจะไม่จากเจไปไหนอีกแล้วตลอดชีวิตจริงๆ แต่ก็ยังทำไม่ได้


] (ftp://www.picz.in.th/images/2017/12/28/khaonukgna-L.jpg[/img)



"ดีแล้วล่ะ เจ ทำต่อไปได้เลยนะ เดี๋ยวจะให้ฉันส่งคลิปนี้ให้เมลิน่าหรือว่าเจจะส่งเอง?"

เจนยุทธบอกว่าเดี๋ยวเขาจะส่งเอง เพราะเขายังจะทำซับภาษาไทยพิมพ์ใส่ word ให้เมลิน่าไปด้วยเพื่อที่ทางนั้นจะได้นำไปตัดต่อใส่ก่อนโพสต์ได้ ฆาเบียร์ยิ้ม คนรักของเขาช่างละเอียดดีจริงๆ

"ฉันอยากลองชิมจริงๆ นะ ไอ้เจ้าข้าวหนุกงาเนี่ย ถ้าเจบอกว่าอร่อย ฉันก็อยากชิม"

"แต่กินแล้วอ้วนนะ"

เจขู่แบบทีเล่นทีจริง แต่ฆาเบียร์บอกว่าเขาจะชิมนิดๆ หน่อยๆ ให้รู้รสแค่นั้น

"งั้นมาชิมเองปีหน้าแล้วกันนะ เพราะผมจะเจอคุณอีกทีก็ปลายเดือนที่ฮ่องกง ไม่ใช่ที่เชียงใหม่ แต่จะให้หอบหิ้วไปให้โดยคลุกไปก่อนมันก็คงไม่อร่อย จะหอบไปแต่งา ที่ฮ่องกงก็คงหาข้าวเหนียวไม่ได้ ฉะนั้น รอไปนะครับ คุณฆาเบียร์"

เจพูดยิ้มๆ

"เจจ๋า งั้นตอนนี้ฉันชิมอย่างอื่นแทนได้ไหม?"

เจนยุทธหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาฉ่ำเยิ้มของฆาเบียร์ที่ส่งมา

"คุณจะชิมอะไรล่ะ ฆาบี้..."

"เมื่อกลางวันเจบอกเองใช่ไหม ว่าจะตามใจฉันทุกอย่าง"

คนตัวเล็กตอบรับเสียงแผ่วเบา

"ถ้างั้น เจจ๋า ทำใหฉันร้อนไปทั้งตัวทีสิ ตอนนี้ที่นี่หนาวเอาเรื่องเหมือนกัน ช่วยให้ความอุ่นฉันทีสิ เจนยุทธ"

เจขยับตัวนั่งในท่าที่ถนัดแล้วค่อยๆ ลูบไล้ตามกายของตัวเอง เขาตั้งมือถือไว้กับที่ตั้งที่วางไว้บนโต๊ะคอมก่อนที่จะทำตามที่ฆาเบียร์ขอ



"เจจ๋า"

ฆาเบียร์เรียกคนรักด้วยเสียงอ่อนหวาน พวกเขาแสดงความรักกันเรียบร้อยไปคนละครั้งแล้ว แต่ต่อให้เขาได้คุยได้พร่ำพลอดบอกรักกันทุกคืนแบบนี้มันก็ไม่ได้ทำให้ความคนึงหาของพวกเขาลดลงเลย

"ครับ ฆาเบียร์"

เจที่นอนซบลงกับหมอนที่เขาใช้แทนกายฆาเบียร์ถามเบาๆ

"ฉันคิดถึงเจนะ"

"ผมก็คิดถึงคุณ"

"นายจำไว้นะ ว่านายสำคัญสำหรับฉัน ฉะนั้นอย่าได้ลังเล ถ้าอยากคุยก็โทรมา แค่โทรมาบอกคิดถึงหรือคุยแค่คำสองคำ ก็โทรมาเถอะ ฉันไม่ว่าอะไรและจะไม่รำคาญด้วย โอเคไหม?"

เจพยักหน้า

"คุณเองก็เหมือนกันนะ ฆาเบียร์ โทรมาหาผมได้ตลอดเวลา ผมว่างให้คุณเสมอ"

"...แล้วดูแลตัวเองด้วย รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพื่อผมนะ ฆาเบียร์"

คนตัวโตของเจรับปาก เขาบอกว่าเขาจะถ่ายรูปส่งมาให้เจดูว่าวันๆ เขากินอะไรบ้าง เจยิ้มอย่างพอใจ พวกเขาแลกเปลี่ยนคำรักกันอีกพักใหญ่ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอน



เจกดเปิดคลิปที่ฆาเบียร์ส่งมาให้เขาในบ่ายวันหนึ่ง เขาเขียนแนบมาว่านี่คือคลิปที่เขากำลังจะโพสต์ลงเพจ เจเปิดดูก็เห็นภาพฆาเบียร์นั่งยิ้มแป้นอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารสักแห่ง

"สวัสดี เจ นายกินข้าวแล้วหรือยัง? วันนี้ฉันมาลองร้านใหม่ ร้าน Goose Manor ที่เกาลูน เซ็นเตอร์แถวจิมซาจุ่ย ขับรถไปจากออฟฟิศแค่แป๊บเดียวเอง..."

ฆาเบียร์บรรยายต่อว่าร้านนี้เป็นลูกหลานร้าน Yue Kee ร้านดังที่เก่าแก่ไม่แพ้ Yung Kee ที่เจเคยกินและผิดหวังมาแล้ว แต่ร้านนี้ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้อย่างดี

"...ฉันสั่งแบบน่องห่านย่างมา ราคา 180 เหรียญฮ่องกง เดี๋ยวจะลองชิมดูนะ"

คนตัวโตของเจยกตะเกียบขึ้นคีบห่านในจานขึ้นชิม แล้วยิ้มบางๆ เขาบอกว่าถึงจะไม่อร่อยเท่าร้านดั้งเดิมแต่ก็ถือว่าใช้ได้เลย เขาคีบห่านขึ้นมาอีกชิ้นและคีบไปจ่อที่หน้ากล้อง

"...ชิมไหม เจ เดี๋ยวฉันป้อน"

เจนยุทธอดไม่ได้ที่จะอ้าปากตาม รอยยิ้มของฆาเบียร์ในคลิปช่างอบอุ่นจนน้ำตาเขาหยดแหมะลงมาโดยไม่รู้ตัว เขาอยากไปนั่งตรงหน้าคนรักของเขาจริงๆ

"...และนี่แหละ เจ อาหารจานที่ฉันอยากกินกับนายในวันนี้ คิดถึงนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์จบคลิปด้วยการจูบที่นิ้วแล้วแตะลงที่หน้ากล้องเหมือนที่พวกเขาทำเสมอมา เจถอนหายใจและกดโทรศัพท์โทรไปหาคนรัก



"ฆาบี้ครับ...ครับ คิดถึงนะครับ"



--------------------------------------------


มาเจอกันแป๊บๆ ก่อนปีใหม่แล้วกันนะคะ ตอนนี้ก็เวิ่นเว้อกันเล็กน้อยตามประสาคนไกลกันเนาะ ตอนต่อไปอาจจะหลังปีใหม่เลย หรือถ้าขยันก็จะเข็นออกมาให้ทันก่อนสิ้นปีค่ะ

ลาบลุงน้อย by ตี๋หลังมอ ร้านนี้ภูมิใจนำเสนอเพราะพริกลาบเขาหอมจริงๆ แต่ไม่เผ็ดจี๊ดเท่าร้านอื่นๆ แต่หาทางไปยากมาก ลองดูในลิงค์นี้แล้วกันนะคะ หรือไม่ก็ลองเอาชื่อไป search หาดู ร้านจะอยู่แถวๆ วัดร่ำเปิงกับวัดโป่งน้อย ที่แนะนำก็คือลาบกับพวกของย่างค่ะ  https://goo.gl/Rx9Fk4

ว่าด้วยข้าวหนุกงา  https://goo.gl/uMRZ7K

ห่านย่างร้าน Goose Manor รีวิวจากเพจ Eat like 852 ขอแนะนำเพจนี้จริงๆ เพราะมีข้อมูลอัพเดทเรื่องที่กินที่เที่ยวใหม่ๆ ของชาวฮ่องกงให้ได้อ่าน รวมถึงเรื่องของเซลล์หรือสภาพอากาศอีกด้วยค่ะ เจ้าของเพจเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ  https://goo.gl/tMVfv5         



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- งานใหม่ของเจ ----



เจลากกระเป๋าเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออกของสนามบินเช็คแลปก็อก เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นฆาเบียร์ยืนยิ้มเผล่รอเขาอยู่ ฆาเบียร์เดินตรงเข้ามากอดร่างเพรียวของเจพร้อมกับหอมเบาๆ ที่แก้มป่องๆ นั้น ก่อนจะรับกระเป๋าลากใบขนาดกลางของเจนยุทธมาลากเอง

"นี่ๆ ใช้ผมเป็นที่วางแขนอีกแล้วนะ"

คนตัวเตี้ยกว่าบ่นเมื่อคนตัวโตใช้มือพาดบ่าเขาเดินตลอดทาง

"แขนตัวเองไม่ใช่เบาๆ นะ"

เจบ่นฟ่อดๆ แฟ่ดๆ จนพวกเขาออกมายังหน้าประตูทางเข้าสนามบินที่รถโรลสรอยซ์ โกสต์ซีรี่ส์ทูคันงามสีดำมันปลาบของบริษัทจอดรออยู่

"อ้าว คุณไม่ได้ขับน้องดีบีมาเหรอ?"

เจถามด้วยความเสียดาย เขาอยากนั่งรถสุดเท่ของเจมส์ บอนด์มากกว่ารถผู้บริหารแบบนี้ คนขับรถในชุดสูทสุดเนี้ยบลงมากุลีกุจอเปิดประตูให้เจกับฆาเบียร์และเอากระเป๋าไปเก็บที่ท้ายรถให้ ฆาเบียร์ขึ้นนั่งบนรถอย่างคุ้นชิน ส่วนเจค่อยก้าวขึ้นโดยพยายามไม่ให้เท้าเขาไปสัมผัสกับขอบประตูรถจนเป็นรอย และนั่งเก็บมือเก็บเท้าอย่างเรียบร้อยด้วยกลัวทำให้หนังชั้นดีที่หุ้มเบาะเปื้อน เขาแอบไล้มือไปตามเบาะหนังแสนนิ่มนั้น มันนวลเนียนกว่าหนังหน้าของเขาเสียอีก

เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ดึงเขาขึ้นไปนั่งบนตักและจุมพิตอย่างดูดดื่ม เจทุบเบาๆ ที่อกคนรักด้วยความเขินอายคนขับแต่ฆาเบียร์ก็ไม่ยอมปล่อยเขา สุดท้ายเจก็ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามใจพ่อคนเอาแต่ใจคนนี้

"ก็คันนั้นมันทำแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมื่อได้ลิ้มความหวานจากปากคนรักจนหนำใจ เขาปล่อยเจให้ลงนั่งอิงแอบแนบข้างเขา เจนยุทธนั่งเงียบทำหน้ามุ่ย



"ไม่ดีใจที่ได้เจอฉันเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ เจหันมาแลบลิ้นยาวเฟื้อยให้ ก่อนจะทำไม่พูดไม่จาใส่อีก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เจนยุทธแกล้งงอนแบบนี้ แปลว่าอยากให้เขาง้อด้วยวิธีเดิมๆ

"เฮ้อ ในเมื่อเจโกรธฉันแบบนี้ก็คงไม่อยากจะกินข้าวกับฉันด้วยสินะ นี่กะว่าจะพาไปกินโจ๊กเจ้าอร่อยแท้ๆ งั้นก็ยกเลิกแล้วเข้าออฟฟิศเลยแล้วกัน"

เขาแกล้งถอนหายใจและบ่นขึ้นมาดังๆ และหันไปบอกคนขับเป็นภาษากวางตุ้ง เจหันขวับมายิ้มหวานให้เขาอย่างรวดเร็ว

"โกรธเกิดอะไรกัน ฆาบี้ ผมยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะ ว่าผมโกรธคุณ"

ไอ้ตัวดีเกาะแขนเขาแล้วส่งสายตาหวานเชื่อมให้ ฆาเบียร์โคลงหัว เขารู้ว่าจริงๆ เจไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นหรอก แต่คนตัวเล็กของเขาสนุกกับการที่ให้เขาหาของกินมาง้อมากกว่า

"แล้วตกลงจะกินกับฉันไหม เจ?"

"กินสิ คุณรีบบอกพี่คนขับเลยนะ ว่ายังไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ไปกินข้าวก่อน"

เจนยุทธรีบบอก เขากินอาหารบนเครื่องมาแล้วก็จริง แต่มันไม่พอยาไส้เลยสักนิด มาฮ่องกงคราวนี้เขาบินแอร์เอเชียไฟลท์เช้าสุดที่ออกจากเชียงใหม่ตอน 6:05 น. และมาถึงฮ่องกงตอน 9:30 น. กว่าจะผ่านกระบวนการต่างๆ ตอนนี้ก็ 10 โมงกว่าเข้าไปแล้ว จริงๆ เขาก็อยากจะรอจัดข้าวเที่ยงมื้อใหญ่ไปเลย แต่คำว่าโจ๊กฮ่องกงมันช่างเย้ายวนจริงๆ

"ฉันบอกเขาเรียบร้อยแล้วว่าให้ไปที่ร้านโจ๊กที่ว่าเลย"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขารู้ดีว่าเจไม่ปฏิเสธแน่นอน

"ดีๆ ผมน่ะหิวมากเลย เมื่อกี้กินนาซิ เลอมักบนเครื่องไปแค่กล่องเดียว รู้งี้ผมสั่งไว้สักสองกล่องก็ดี"

เจบ่นอุบอิบ ปกติถ้านั่งแอร์เอเชียมาฮ่องกงหรือมาเก๊าเขาต้องสั่งอาหารไว้สักสองกล่อง แต่คราวนี้เขาเห็นว่ามันใกล้มื้อเที่ยงเลยกินแค่พอรองท้อง ฆาเบียร์บ่นเจที่ไม่ยอมให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินให้ โดยปกติแล้วถ้าฆาเบียร์ไปเชียงใหม่เขาจะนั่งชั้นธุรกิจของคาเธ่ย์ดราก้อน ที่เป็นบริษัทลูกของคาเธ่ย์ แปซิฟิค ต่อให้ใช้เครื่องเล็กอย่าง Airbus A321 บิน แต่มันก็ยังสบายกว่าแอร์เอเชียและฮ่องกง เอ็กซเพรส ซึ่งเป็นอีกสองสายการบินโลว์คอสต์ที่บินตรงเชียงใหม่ ฮ่องกง

"โหย ไม่เอาอ่ะคุณ แบบที่คุณนั่ง ขาเดียวก็ปาเข้าไปหมื่นหกแล้ว เสียดายตังค์ นั่งนานพอๆ กัน แถมไม่มีไฟลท์วันอาทิตย์ด้วย"

เจย่นจมูก นั่งแค่ไม่ถึงสามชั่วโมงแต่จ่ายหมื่นหก เขาบอกฆาเบียร์ว่าเอาตังค์มาเลี้ยงข้าวเขาดีกว่า แถมกว่าเครื่องจะออกก็หกโมงเย็น มาถึงเอาตอนสี่ทุ่ม เสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ วันหนึ่ง สู้เขามาไฟลท์เช้าสุดของแอร์เอเชียในวันที่ต้องมางานแต่งงานเลยดีกว่า



"เดี๋ยวเราต้องไปงานกี่โมงน่ะ คุณ? ผมจะมีเวลาได้ไปนั่งคุยกับทีมของเมลิน่าหรือเปล่า?"

"อืมม์ อย่างอาปาเค้าสนิทกับพ่อเจ้าบ่าวก็เห็นไปตั้งแต่เช้าแล้วนะ ไปเป็นแขกผู้ใหญ่งานยกน้ำชา แต่ฉันกับเจรอไปงานเลี้ยงตอนเย็นทีเดียวเลยก็ได้"

เจยิ้มอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าคริสมาถึงแล้ว เขาบอกว่าเขาคิดถึงอาปาและอยากเจอเร็วๆ

"โอ๊ยๆ แล้วมาดึงแก้มผมทำไมล่ะ"

เจทำหน้ามุ่ย ฆาเบียร์ดึงแก้มป่องๆ ของเขาด้วยความหมั่นไส้

"นี่นายทำท่าดีใจที่จะได้เจออาปามากกว่าตอนเจอฉันอีกนะ เจนยุทธ"

คนตัวโตจอมขี้หวงบ่นพึมพำ เจยิ้มหวาน กอดคอคนรักแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่

"แหม เจอคุณผมก็ดีใจ..."

ฆาเบียร์ยิ้มแล้วหันไปหอมแก้มของเจนยุทธตอบ แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันควันเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

"...ก็คุณจะพาผมไปกินโจ๊กเจ้าอร่อยนี่นา"



โรลสรอยซ์คันงามพาพวกเขามายังตลาดสด Fa Yuen ที่ย่านหม่งก๊ก เจทำหน้าตื่นๆ เมื่อฆาเบียร์พาเขาลงเดินเข้าไปในตัวตลาดและขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ชั้น 4/F เจมองดูสภาพแวดล้อมแบบตลาดสดแล้วหันไปมองคนข้างๆ เขาที่แต่งสูทสามชิ้นเต็มยศสุดเนี้ยบ มันช่างดูไม่เข้ากันเลยสักนิด ฆาเบียร์พาเจมาถึงส่วนฟู้ดคอร์ทของตลาดและเดินตรงไปที่ร้านหมายเลข 11 และ 12 มันคือร้านโจ๊กร้านหนึ่งที่มีแผ่นหน้านิตยสารติดอยู่เต็มผนัง พวกมันล้วนแต่เป็นคอลัมน์เกี่ยวกับร้านนี้ซึ่งแสดงถึงความอร่อยและความดังของร้านนี้

"ฆาเบียร์ ร้านนี้จริงๆ เหรอ?"

เจถามอย่างไม่แน่ใจ

"อือ ใช่สิ ทำไมเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ลากเก้าอี้พลาสติกแบบไม่มีพนักมานั่ง

"ผมแค่คิดว่ามันขัดกับลุ้คคุณสุดๆ เลยอ่ะ ฆาบี้"

ฆาเบียร์หัวเราะ

"นี่ เจ ตอนอยู่เชียงใหม่พวกเราก็ไปนั่งร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านนั่นนี่ข้างถนนเหมือนกัน มันไม่ได้สะอาดหรือดูดีไปกว่าร้านนี้หรอกน่า นี่นายเห็นฉันหัวสูงกินของแบบนี้ไม่ได้หรือไง?"

ฆาเบียร์แกล้งทำหน้าตึง เจหัวเราะแหะๆ แล้วก็บอกว่าวันนี้ฆาเบียร์แต่งตัวดีและดูไม่เข้ากับร้านเลย แต่ตัวเขาเองนั้นไม่มีปัญหากับร้านนี้หรอก

"ร้านโทรมๆ แบบนี้มักจะอร่อยนะ คุณ"

เจพูดพร้อมดึงเมนูมาดูและเห็นว่ามีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย เขาตัดสินใจสั่งโจ๊กปลาเพิ่มเนื้อวัวและโจ๊กหมูเด้งใส่ตับ ส่วนฆาเบียร์สั่งโจ๊กปลาอย่างเดียว เจยังสั่งปาท่องโก๋มาอีกด้วย



"หูย อร่อยอ่ะ เนื้้อโจ๊กเนียนใช้ได้เลย ปรุงรสมาพอดี ปลาก็อร่อย ตับนี่ก็ไม่คาวสักนิด หมูเด้งก็นิ่มดี ร้านนี้ชื่ออะไรเหรอ ฆาบี้?"

"Mui Kee น่ะ เจ เป็นร้านดังร้านหนึ่งของฝั่งเกาลูนเลยนะ"

เจบอกว่าเขาเคยได้ยินชื่อร้านนี้จากพวกเพจแนะนำที่กินเที่ยวฮ่องกงชื่อดังอย่างเพจ Eat Like 852 เขาทำท่าดีใจที่ได้กินร้านดังโดยไม่ได้ตั้งตัว ฆาเบียร์ถ่ายรูปก่อนกินเหมือนเคย เจนึกได้ก็ยกมือถือเขาขึ้นมาถ่ายบ้าง เขายังถ่ายรูปตัวเองยกช้อนโจ๊กจ่อที่ปากและทำหน้าทะเล้น ก่อนจะเรียกฆาเบียร์มาถ่ายด้วยกัน

"นี่ๆ ลอง live ดูไหม ฆาเบียร์?"

ฆาบี้ยิ้มกริ่ม คนตัวเล็กของเขาเริ่มเป็นงานแล้ว ช่วงเดือนที่ผ่านมาเจส่งรีวิวและคลิปวีดีโอมาให้เมลิน่าหลายชิ้น ซึ่งเธอก็ทะยอยๆ เอาลง เมลิน่าเพิ่มชื่อเจให้เป็นแอดมินเพจเขาทำให้เขาสามารถโพสต์รูปเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ต้องผ่านการปรับแต่งจากทีมงาน แต่เจยังไม่เคย live บนเฟซบุ๊คสักที เจกดปุ่ม live บนหน้าเฟซบุ๊คของ Valentin de la Rosa และเริ่มบันทึกภาพ



"สวัสดีครับ ผม เจ เจนยุทธ นี่เป็นการ live ครั้งแรกของผม..."

เขาถ่ายภาพร้านและอาหาร และบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ฮ่องกงอยู่ที่ร้านอะไร กำลังกินอะไรอยู่ ฆาเบียร์ยิ้มมองภาพเจที่กำลังสนุกกับการบรรยายนั่นนี่ เจนยุทธหันมาสบตาเขาและยิ้มให้อย่างอายๆ

"...วันนี้ ผมไม่ได้กินข้าวคนเดียวเหมือนทุกครั้งแล้วครับ ผมมาเจอใครบางคนที่ฮ่องกง พวกคุณน่าจะพอเดาได้ว่าใคร..."

"...หลังจากเกือบสี่สัปดาห์ นี่เป็นมื้อแรกที่ผมกับเขาได้กินอาหารด้วยกันครับ"

เจกวักมือเรียกฆาเบียร์ให้มาเข้ากล้องด้วยกัน ฆาเบียร์ยิ้มละไมด้วยรอยยิ้มของบล็อกเกอร์หนุ่มบาเลนติน เด ลา โรซ่า เจให้เขาบรรยายอาหารและเรื่องราวเพิ่มเติมของร้านนี้

"มีคนมาคอมเมนท์ด้วยอ่ะ!"

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูคอมเมนท์อย่างตื่นเต้น เขาแอบหัวเราะเมื่อฆาบี้บ่นว่าตัวหนังสือบนจอของเขามันตัวเล็กและต้องล้วงแว่นขึ้นมาใส่เพื่ออ่าน เขาอ่านคอมเมนท์ โดยมากก็มาแสดงความชื่นชอบในตัวพวกเขาบ้าง ชมเจบ้าง บอกว่าอยากกินบ้าง



'ป้อนโจ๊กให้กันด้วยสิ'

ฆาเบียร์อ่านคอมเมนท์นั้นเบาๆ แล้วก็ยิ้มกริ่ม เขาตักโจ๊กขึ้นเป่าและป้อนให้เจซึ่งอ้าปากรับอย่างลืมตัว พอรู้ตัวว่ายังอยู่หน้ากล้องเขาก็หน้าแดงก่ำ เขาก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อปล่อยให้ฆาบี้คุยกับแฟนๆ ของเขาไป

"งั้นพวกผมขอตัวไปกินต่อนะครับ...เจ บอกลาคนดูหน่อยเร้ว"

เจรีบกลืนโจ๊กคำนั้นลงคอ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน โบกมือให้คนดู

"เฮ้ย!"

เขาอุทานลั่นเมื่อฆาบี้ดึงตัวเขามาหอมแก้มฟอดใหญ่แล้วหัวเราะลั่นที่เห็นคนตัวเล็กของเขามีทีท่ากระฟัดกระเฟียด

"นี่กดหยุดหรือยัง ฆาบี้?"

"หยุดแล้วจ้ะ"

เจบ่นพึมพำเมื่อกดย้อนหลังดูแล้วเห็นว่าตอนโดนขโมยหอมแก้มนั้นกล้องยังกดถ่ายไว้อยู่

"อ้าว ก็แฟนๆ เขาเรียกร้องนี่ เจ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ

"คุณก็ไม่ต้องทำก็ได้ไหมอ่ะ!"

เจบ่นพลางไล่ๆ ดูคอมเมนท์ มีคนบอกให้ฆาเบียร์หอมแก้มเขาโชว์จริงๆ

"โอ๊ย อิป้านี่!"

คนที่บอกให้ฆาบี้หอมเจกลางตลาดนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นพี่อิ่มของเจนั่นเอง

"คุณนะ ทำแบบนี้ ผมจะไม่ยอมไลฟ์กับคุณอีกแล้ว"

เจนยุทธโวยลั่น เขากลัวใจเมียตัวโตของเขาจริงๆ นี่ถ้าวันหลังคนขอมากกว่านี้พี่แกไม่ทำตามหมดเหรอ



"สวัสดีค่ะ คุณเจ เดินทางเหนื่อยไหมคะ?"

เมลิน่ายืนรอต้อนรับเจนยุทธอยู่ที่ออฟฟิศบนชั้น 90 ของอาคาร ICC เลขาสาวรีบเดินเข้ามารับกระเป๋า messenger ที่เขาสะพายอยู่ เจปฏิเสธและบอกว่าให้ทำตัวกับเขาเหมือนตอนที่อยู่เชียงใหม่ เมลิน่ามองหน้าฆาเบียร์เป็นเชิงขอคำแนะนำ

"ทำตามเจบอกไปเถอะ เมลิน่า"

เมลิน่าตอบรับ เจบอกเมลิน่าว่าเขาอยากคุยกับเมลิน่าเรื่องงานของเขาและอยากทำความรู้จักกับทีมทำงานคนอื่นด้วย ฆาบี้ปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกันส่วนเขาปลีกตัวไปทำงานต่อ เมลิน่าแนะนำเจให้รู้จักกับทีมเลขาฯ และประชาสัมพันธ์คนอื่นๆ ที่ดูแลเรื่องการตลาดและสื่อออนไลน์ เขานั่งคุยเรื่องขอบข่ายงานที่เขาต้องทำ จำนวนชิ้นของคอนเทนท์ที่เขาต้องทำส่งมาให้ทางเมลิน่าต่อเดือนและอื่นๆ

"เรื่องค่าตอบแทนของคุณเจค่ะ โดยปกติแล้วเราจะจ่ายให้บล็อกเกอร์ที่เป็นคนนอกเป็นงานๆ ไป แต่สำหรับคุณเจเป็นกรณีพิเศษค่ะ คุณเจมาร่วมเขียนกับเฆเฟ่ที่รับเป็นเงินเดือน ฉะนั้นฉันคิดว่าคุณเจน่าจะได้รับเป็นเดือนเช่นกัน"

นั่นปะไร เหมือนกับที่เขาเคยคุยกับนพไว้ไม่มีผิดว่าสุดท้ายทางนี้จะต้องให้เขาเป็นเงินเดือนในราคาที่สูงพอสมควร เจนยุทธปฏิเสธทันควัน เขาบอกว่าเขาเต็มใจเขียนให้ฟรี เขาเองไม่ได้คิดว่าเขาเขียนดีหรือให้ข้อมูลอะไรได้เท่าฆาเบียร์ แถมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนดูจะชอบและยอมรับเขาไหม

"จากสถิติที่เราเก็บมาตั้งแต่ต้นเดือน ลูกเพจเรารับได้และชอบคุณเจครับ"

หนึ่งในทีมงานของเมลิน่าพูดขึ้น เขาให้เจดูตัวเลขสถิติต่างๆ ต่อให้โพสต์ของเจยังมีคนเข้าดูและรีแอคชั่นจากคนน้อยกว่าที่ฆาเบียร์โพสต์เอง แต่ก็มีคนเข้าดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาตกใจเมื่อเห็นว่า live ที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วมีคนเข้าดูเกือบห้าหลักแล้ว แต่เจก็ยังกระอักกระอ่วนที่จะรับเงินจากทางนี้อยู่ดี



"ยอมเมลิน่าเขาเถอะ"

เจนยุทธหันไปหาเจ้าของเสียงที่ยืนพิงกรอบประตูดูเขาอยู่ ฆาเบียร์มายืนดูเจคุยงานกับคนของเขาพักหนึ่งแล้ว เจดูตั้งใจและเป็นการเป็นงาน มันเป็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของคนรักที่เขาได้เห็น เขาเคยเห็นเจตอนตั้งใจทำงานแปล แต่ยังไม่เคยเห็นเขาตอนทำงานกับคนอื่น และจากเท่าที่เขาเห็น เจทำได้อย่างไม่มีปัญหาแม้จะต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางก็ตาม จะมามีปัญหาก็ตอนคนตัวเล็กของเขาดื้อแพ่งไม่ยอมรับเงินเดือนนั่นแหละ

"ดื้อจริงนะเรา"

ฆาเบียร์เดินเข้ามาในห้องประชุมน้อย เมลิน่าขยับลุกให้เขาลงนั่งข้างเจ

"ที่ฉันอยากให้นายรับเป็นเงินเดือนน่ะ มันมีเหตุอยู่ ว่าแต่นายเตรียมเอกสารที่เมลิน่าขอไปมาหรือยัง?"

เจรับคำ เขาขอกระเป๋าเดินทางของเขามาและเปิดเพื่อเอาซองเอกสารออกมา

"เอ้า นี่ ว่าแต่คุณจะเอาเอกสารพวกนี้ไปทำไมกัน?"

ฆาเบียร์ส่งซองเอกสารให้เมลิน่าเปิดดู เธอขอพวกรูปถ่าย สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบหลักฐานเรื่องการพ้นภาระทางการทหาร และใบรับรองผลการศึกษาจากเจ

"เอกสารพวกนี้ที่ฮ่องกงต้องใช้ด้วยเหรอ?"

เจถามอย่างงงๆ เขารู้ว่าพวกนี้เป็นเอกสารที่มักใช้ในการสมัครงานในไทย เขาถามเมลิน่าแล้วว่าต้องการฉบับแปลไหม แต่เธอบอกว่าไม่ต้อง ฆาเบียร์อธิบายว่าเขาจะส่งเอกสารของเจให้กับเอเจนซี่ที่เป็นตัวแทนของบริษัทและเว็บท่องเที่ยวและจองโรงแรมของเขาในประเทศไทยเพราะเจจะต้องกินเงินเดือนจากบริษัทนั้น

"เขาก็จะรับเงินจากทางเราไปโดยถือเป็นงบโฆษณาน่ะ เจ แล้วนายก็ทำงานในฐานะบล็อกเกอร์ในสังกัดของบริษัท หรืออะไรเทือกนั้น ก็แล้วแต่ทางนั้นเขาจะตั้งตำแหน่งให้นาย"



เจบ่นว่าจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ให้ยุ่งยาก เขายินดีที่จะช่วยฆาเบียร์ทำงานฟรีๆ อยู่แล้ว ฆาบี้ถอนหายใจ

"จริงๆ มันก็มีเหตุที่ฉันต้องให้นายมีเงินเดือนน่ะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ส่งซองสีเงินที่มีตัวอักษรสีน้ำเงินที่เขาถือติดมือมาให้เจ

"นายต้องไปงานนี้กับฉันด้วยในฐานะพาร์ทเนอร์ของฉัน..."

เจนยุทธอึ้งไป เขาเปิดซองสีเงินนั้นดู ด้านในเป็นการ์ดเชิญที่ดูหรูหราสวยงาม

"งานแต่งงานเหรอคุณ?"

เจเปิดดูข้างในแล้วต้องอุทานออกมาเมื่อเห็นชื่อเจ้าบ่าว

"ฌอง ริเชลิเยอ เฮ้ย!"

เจเงยหน้าขึ้นมองฆาบี้

"ผมนึกว่าเขาเป็น..."

ฆาเบียร์บอกว่าไอ้เพื่อนสนิทที่เคยร่วมเตียงกับเขาคนนี้นั้นเป็นไบเซ็กช่วล เจอ่านดูชื่อเจ้าสาวแล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอคือทายาทสาวของกลุ่มสินค้าแฟชั่นดังระดับโลก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเจ

"งานช้างเลยสิฆาบี้ ผมไม่ไปได้ไหมอ่ะ? คุณไปคนเดียวเถอะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ แต่ฆาเบียร์ปฏิเสธเสียงเข้มว่าเขาจะไม่ยอมไปงานนี้คนเดียวอย่างแน่นอน และตัวเจ้าบ่าวเองก็ได้กำชับแกมบังคับให้เขาต้องพาเจไปด้วย

"งานนี้จัดที่ชาโตของพ่อฌองที่โพรวองซ์ ฝรั่งเศส ฉะนั้นสำหรับคนไทยอย่างนายก็ต้องทำวีซ่าเชงเก้นเข้าฝรั่งเศส ฉันถึงอยากให้นายมีเงินเดือนเพื่อที่จะได้ง่ายเวลายื่นเอกสารนะ เจ"

เจคิดตามและพยักหน้ายอมรับในที่สุด เขาเคยทำวีซ่าเชงเก้นมาก่อนและรู้ว่าสำหรับคนที่ทำงานฟรีแลนซ์มันค่อนข้างลำบาก เขาต้องตามขอเอกสารรับรองจากบริษัทที่เขารับงานแปลมาว่าเขาเคยรับงานจากที่นั่นจริง แม้เงินในบัญชีเขาจะมีเยอะพอ แต่สุดท้ายแล้วเอกสารรับรองเรื่องการทำงานคือสิ่งที่ช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ยิ่งมีเงินเข้าบัญชีให้เห็นชัดเจนทุกเดือนก็ยิ่งง่าย

"เอาก็เอา แต่ผมขอเงินเดือนแค่พอให้ดูว่ามีเงินได้แค่นั้นพอ ไอ้...ไอ้ตัวเลขที่คุณให้มาตอนแรกนั่นผมไม่เอานะ เยอะเกิน เวอร์เกิน"

ฆาเบียร์บ่นพึมพำแล้วเสนอตัวเลขใหม่ที่น้อยลงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่เจก็ปฏิเสธลั่นและต่อรองต่ำลงมาอีก เมลิน่าและพนักงานคนอื่นซ่อนยิ้มเมื่อเห็นเจกล้าต่อรองกับเจ้านายของพวกเขาที่ได้ชื่อว่าเขี้ยวลากดินที่สุดคนหนึ่งในวงการธุรกิจ พวกเขาค่อยๆ ปลีกตัวออกจากห้องและปล่อยให้สองคนนั้นตกลงกันเอง สุดท้ายแล้วเจก็เป็นฝ่ายชนะตามเคย มันจบลงที่ห้าหลักต้นๆ ซึ่งพอเพียงกับการนำไปประกอบการทำวีซ่า



เมลิน่าแอบอมยิ้มเมื่อเธอถูกเรียกกลับเข้ามาในห้องประชุมเล็ก นายของเธอนั่งหน้าตูม ส่วนเจนั้นยิ้มหน้าบาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเถียงชนะ ฆาเบียร์ส่งตัวเลขสุดท้ายที่ตกลงกันได้ให้เมลิน่า เธอขมวดคิ้ว มันน้อยกว่าพนักงานระดับล่างของสำนักงานที่ฮ่องกงเสียอีก

"เดี๋ยวฉันจะให้เมลิน่าส่งตัวเลขนี้ไปให้ทางเอเจนซี่ของเราในไทยและจะให้เขาส่งสัญญามาให้นายเซ็น น่าจะได้ภายในวันพรุ่งนี้หรือวันอังคาร โอเคนะ?"

เจพยักหน้ารับคำ เขายิ้มกริ่มและส่งมือให้ฆาเบียร์ ฆาบี้มองและส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นจับมือเจเขย่าเบาๆ

"ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริษัทของเรานะครับ คุณเจนยุทธ"

"ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณเช่นเดียวกันครับ บอส"

ฆาเบียร์รู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งตัวเมื่อได้ยินเจเรียกเขาว่า บอส มันทำให้เขานึกถึงวันที่พวกเขาทั้งคู่เล่นสวมบทบาทเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันขึ้นมา เจหน้าร้อนวูบเมื่อเห็นสายตาที่แสดงความรู้สึกออกมาอย่างปิดไม่มิดของคนรักตัวโตของเขา

"คุณเจครับ..."

นั่นปะไร ฆาบี้ของเขาคงคิดอะไรพิเรนทร์ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว เมียตัวโตของเขาขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะวางมือลงบนต้นขาของเจ เจรีบคว้ามือของคนรักไว้

"อ๊ะๆ คุณฆาเบียร์ครับ นี่มันเข้าข่ายคุกคามทางเพศในที่ทำงานแล้วนะ..."

"อีกอย่าง อายเมลิน่าเขามั่ง"

เจกระซิบเบาๆ ฆาบี้สะดุ้ง เขาลืมนึกไปว่ายัยเมลิน่ายังอยู่ในห้อง เขาหันไปโบกมือไล่เมลิน่าและบอกให้ปิดประตู แต่เจรีบเรียกให้เมลิน่าอยู่ต่อ เลขาสาวทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ฆาเบียร์ถอนหายใจ คนตัวเล็กของเขาใจแข็งแบบนี้ก็คงต้องปล่อยไปก่อน แต่เขาก็ต้องยิ้มกริ่มออกมาเมื่อเจกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา

"ที่ห้องประชุมไม่สะดวก เราไปที่ห้องของบอสดีกว่านะครับ"

ฆาเบียร์รีบลุกขึ้นและดึงมือคนรักเดินลิ่วเข้าไปในห้องทำงานของเขาทันที



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- งานใหม่ของเจ (ต่อ) ----



"หิวอีกแล้วเหรอเจ?"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวคนรักที่นอนซบอกเขาอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ในห้องทำงานของเขา พวกเขาไม่ได้ต้องการทำอะไรไปมากกว่านัวเนียกอดและจูบกันอย่างเต็มอิ่มให้สมกับที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายสัปดาห์ เจที่นอนซบบนอกกว้างของเขาอยู่นั้นหน้าแดงซ่าน ท้องน้อยๆ ของเขาส่งเสียงประท้วงออกมาให้ได้อายอีกแล้ว

"งั้น เดี๋ยวเราลงไปหาอะไรกินกันข้างล่างดีไหม?"

เจหัวเราะแหะๆ บอกว่าโจ๊กสองถ้วยที่เขากินไปมันย่อยหมดแล้ว ฆาเบียร์ส่ายหัวแล้วดึงมือเจให้ลุกขึ้นและออกไปหาอะไรกินกัน พวกเขาลงไปหาอะไรง่ายๆ กินในห้าง Elements ที่อยู่ด้านล่างของตึก ICC แห่งนี้ หลังกินเสร็จฆาเบียร์ก็พาเจเดินเที่ยวเพื่อย่อยอาหาร

"อร่อยไหม เจ ขอชิมหน่อยสิ"

ฆาเบียร์ถามเมื่อเห็นเจกินไอศกรีมช็อคโกแลต Godiva อย่างเอร็ดอร่อย เจนยุทธยื่นไอศกรีมโคนที่ถืออยู่ส่งให้คนตัวโตที่ใช้ไหล่เขาเป็นที่พักแขนอีกตามเคย ฆาเบียร์ค่อยๆ เลียและงับกิน เขาส่งสายตายั่วเย้าให้เจที่หน้าแดงน้อยๆ เมื่อเห็นลิ้นของคนตัวโตขยับวนตามเนื้อไอศกรีมสีน้ำตาลเข้มนั้น

"ลามกจริงนะ เจนยุทธ"

"เห้ย ผมยังไม่ได้คิดอะไรสักนิด!"

คนตัวเล็กที่คิดนั่นนี่ไปเต็มหัวโวยวายเพื่อกลบความเขิน คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เขาใช้นิ้วปาดเช็ดคราบไอศกรีมที่เปื้อนปากเจแล้วส่งเข้าปากตัวเอง

“ปากคุณก็เปื้อนเหมือนกัน ก้มหน้าลงมาสิ เดี๋ยวผมเช็ดให้”

ฆาเบียร์ก้มหน้าลงมาเล็กน้อย เจพลันใช้มือข้างที่ว่างโน้มคอเขาลงและใช้ลิ้นนิ่มๆ ของตัวเองเลียคราบไอศกรีมที่ข้างปากของเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าว คนตัวเล็กของเขาชอบบ่นเรื่องเขาชอบแสดงความรักในที่สาธารณะ แต่บทเจจะกล้าขึ้นมา เจ้าตัวก็ทำอะไรโฉ่งฉ่างไม่แพ้เขาเลย ฆาเบียร์ใช้มือขยี้ผมเจจนยุ่งด้วยความมันเขี้ยวและหัวเราะเมื่อคนตัวเล็กหันมาทำหน้ายุ่งใส่เขา



"เจ นี่มันกลางห้างเลยนะ"

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ แต่คนที่ทำรุ่มร่ามไม่ดูที่ทางยิ้มหวานให้เขา

"ไม่เป็นไร แถวนี้ไม่มีคนรู้จักผมอ่ะ"

"อืมม์ แต่คนรู้จักฉันเพียบเลย เจ"

ฆาบี้พูดยิ้มๆ เจนยุทธหน้าซีดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าห้างนี้อยู่ใต้ที่ทำงานของฆาเบียร์ เขารีบดันคนตัวโตออกห่างและเดินเก็บไม้เก็บมืออย่างสงบเสงี่ยม เขาหันมาขอโทษขอโพยเมียตัวโตของเขา

"ผมขอโทษจริงๆ ฆาบี้ ผมลืมตัวไป ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก ขออภัยจริงๆ ครับ"

เจมีทีท่าเสียใจอย่างมาก เขาลืมไปเสียสนิทว่าที่นี่ฆาเบียร์มีตำแหน่งหน้าที่การงานในระดับสูงและเขาไม่ควรทำอะไรรุ่มร่ามให้คนๆ นี้ได้เสียชื่อเสียงหรือถูกมองไม่ดี ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และดึงตัวเจมาแนบกายเหมือนเดิม

"โอ๊ย ไม่ต้องคิดมากหรอกเจ ฉันก็แซวเล่นไปงั้น ภาพพจน์ฉันมันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว"

ฆาเบียร์ไม่ได้พูดเกินจริง ตอนเขาอยู่สหรัฐฯ ภาพของเขาคือเพลย์บอยหนุ่มที่เปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น ในอดีตถ้ามีภาพเขาลงหน้าข่าวสังคมหรือธุรกิจในนิตยสารต่างๆ ก็ต้องมีภาพของชายหนุ่มไม่ซ้ำหน้าแนบกายเขาเสมอ มีเพียงช่วงหลังนี้ที่เขาเริ่มออกงานคนเดียว มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่เขาเริ่มคบหาเจนยุทธ

"มันไม่เหมือนกัน ฆาบี้ เมื่อก่อนคุณอยู่ในฐานะประชาสัมพันธ์บริษัท แต่ตอนนี้คุณอยู่ในฐานะผู้บริหารแล้วจะมามีภาพหลุดหรืออะไรแบบนี้ไม่ได้อ่ะ"

เจพยายามยกแขนฆาเบียร์ออกจากบ่าของเขา คนตัวโตถอนหายใจ เขายกแขนออกและกุมมือเจไว้หลวมๆ แทน

"แบบนี้โอเคกว่าไหม?"

เจพยักหน้า จริงๆ เขาอยากให้ไม่ต้องจับมือด้วยซ้ำแต่ก็ไม่อยากให้คนรักเสียใจ เขาบอกฆาเบียร์ว่าต่อไปนี้ถ้าอยู่ข้างนอกออฟฟิศในช่วงกลางวันหรือช่วงเวลางาน เขาจะระวังเรื่องการปฏิบัติตนกับฆาเบียร์ให้มากกว่านี้ เจทำท่าจริงจังจนคนตัวโตต้องยอมแพ้และรับปากว่าเขาเองก็จะพยายามระวังตัวมากขึ้น



"แล้วเวลากลางคืนล่ะ เจ ถ้าออกไปไหนมาไหนกลางคืนกันล่ะ?"

"นั่นก็แล้วแต่อ่ะ ว่าไปแบบไหน ถ้าไปเที่ยวไปผับ ก็น่าจะได้มั้ง"

เจนยุทธทำสีหน้าขึงขัง ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยีหัวเจจนยุ่งอีกครั้ง

"คุณนี่ยังไงนะ ชอบยีหัวผมจริงๆ เลย"

เจบ่นกะปอดกะแปดพร้อมพยายามจัดผมให้เป็นทรงเหมือนเดิม

"ก็ผมเจนิ่มนี่ ฉันชอบ"

ฆาเบียร์ใช้มือเสยๆ ผมเจกลับเป็นทรงเหมือนเดิม ทั้งคู่ขึ้นเดินเล่นดูนั่นนี่ในห้างพักหนึ่งก่อนที่เจจะหยุดกึกลงที่หน้าร้านเครื่องประดับชั้นนำอย่าง Cartier เขาเดินส่องๆ ดูของที่จัดแสดงที่หน้าต่างแต่ก็มีทีท่าผิดหวังเมื่อไม่เห็นของที่อยากได้วางโชว์อยู่

"หาอะไรอยู่เหรอ เจ?"

เจอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมตอบคำถามแต่ฆาเบียร์ก็ตื๊อถามจนสุดท้ายเจก็บอกว่าเขาติดใจแหวนทรินิตี้ซึ่งเป็นแหวน 3 วงที่คล้องติดกันของคาเทียร์ แต่ในไทยราคาค่อนข้างสูงเขาเลยอยากรู้ว่าที่นี่จะถูกกว่าไหม

"ก็เข้าไปดูข้างในสิ เจ"

ฆาเบียร์ลากแขนคนรักเข้าไปในร้านทั้งๆ ที่เจบอกว่าไม่ต้อง เขาจัดการบอกแทนเจเสร็จสรรพว่าอยากดูอะไร พนักงานขายยกกล่องแหวนออกมา เขาบอกและหยิบไซส์ที่เขาคิดว่าน่าจะเหมาะกับนิ้วของทั้งสองคนออกมา ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มก่อนจะหยิบแหวนทรินิตี้ซึ่งทำโดยนำแหวนทองขาว ทองคำ และพิงค์โกลด์อย่างละวงคล้องติดกันและนำมาใส่ซ้อนเป็นวงเดียวขึ้นดู เขาหยิบวงที่ใหญ่กว่าใส่เข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง จากนั้นถือวิสาสะดึงมือซ้ายของเจนยุทธมาแล้วหยิบแหวนวงที่เล็กกว่าใส่ฉับเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ มันพอดีราวกับวัดไว้ เจหน้าแดงก่ำและรีบถอดแหวนวงนั้นออก เขาขอบคุณพนักงานและก้มหน้าก้มตาเดินออกร้านไปอย่างเร็ว ฆาเบียร์รีบถอดแหวนออกและเดินตามเจออกไป



"เจ เดี๋ยวสิ นายเป็นอะไร"

ฆาเบียร์หอบหายใจ เจเดินหนีเขาขึ้นมาถึงหน้าลิฟท์ที่จะกลับขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขา เขารู้ได้ว่าเจน่าจะหน้าแดงอยู่เห็นได้จากหูที่โผล่พ้นกลุ่มผมนิ่มๆ นั้นออกมา

"เจโกรธฉันเหรอ?"

ฆาเบียร์จับไหล่ทั้งสองของคนรักและหอมกลุ่มผมนิ่มนั้นเบาๆ เจนยุทธถอนหายใจดังเฮือกแล้วหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวโตของเขา หน้าเขายังคงแดงซ่านอยู่

"ผมไม่ได้โกรธคุณหรอก ฆาเบียร์ ผมแค่...เฮ้อ ไม่รู้สิ แค่สับสนมั้ง..."

"...คุณทำแบบนี้ มันทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปนู่นแล้ว แต่ที่จริงแล้วคุณแค่อยากแกล้งผมเล่นๆ ใช่ไหมล่ะ?"

เจยิ้มเจื่อนๆ ให้ฆาเบียร์ ฆาเบียร์รู้สึกตื้อขึ้นมาในอก ที่ผ่านมาเขายังแสดงความจริงใจให้เจเห็นไม่ชัดพออีกหรือ ไอ้เจ้าต่างหูของแม่เขาที่อยู่บนหูของเจนยุทธนั้นไม่ได้ทำให้เจรู้เลยหรือว่าเขาพร้อมจะอยู่กับเจไปชั่วชีวิตแล้ว เขาขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ

"อือ ก็พนักงานเขาหยิบมาให้ดูสองวง ฉันก็ลองเล่นไปงั้นแหละ เจไม่โกรธฉันใช่ไหม?"

เจเม้มปากก่อนจะพยักหน้าและยิ้มบางๆ ให้คนรัก เขายื่นมือมาเกาะกุมมือใหญ่ของฆาเบียร์และเดินนำเข้าลิฟท์

"ไม่โกรธหรอก แต่โกรธแน่ถ้ารู้ว่าคุณแอบไปซื้อแหวนวงนั้นมาให้ผม"

เจพูดดักคอไว้ก่อน ถ้าเขาจะซื้อมันใส่ เขาก็อยากจะซื้อมันด้วยตัวเอง ฆาเบียร์พยักหน้ารับรู้ และบอกว่าเขาก็ไม่ได้กะจะซื้อมันให้เจนยุทธอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าคนตัวเล็กคงไม่แฮ้ปปี้แน่ๆ

"ดีมากฆาบี้ เออ ว่าแต่เมื่อกี้คนขายเขาว่าวงละเท่าไหร่นะ ผมก็ลืมดูราคาไปเลย"

"น่าจะ 11,800 ดอลล่าร์ฮ่องกงนะ เจ ถูกกว่าไทยหรือเปล่า?"

เจลองคิดๆ เป็นเงินไทยดูแล้วก็พูดเสียงอ่อยๆ ว่าถูกไปเกือบหมื่นบาทไทยเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าราคาที่นี่รวม VAT แล้วหรือยัง

"งั้นจะกลับลงไปซื้อไหม เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เจส่ายหัวและบอกฆาเบียร์ว่าเขายังไม่อยากได้มันตอนนี้ แต่ที่เขาไม่ได้บอกฆาเบียร์คือที่จริงเขาหมายตาวงอื่นไว้แทน แต่คงต้องเก็บตังค์อีกสักนิดกว่าจะซื้อได้



"เจ เดี๋ยวฉันจะไปทำธุระข้างนอกหน่อย แล้วจะกลับมาแต่งตัวตอน 4 โมง เจจะขึ้นไปนอนรอบนห้องฉันก่อนไหม?"

ฆาเบียร์หยิบกุญแจรถแอสตัน มาร์ตินของเขาใส่กระเป๋าและหันมาบอกเจที่เอนหลังบนโซฟาในห้องทำงานของเขา เจส่ายหัวปฏิเสธ เมื่อเช้าเขาตื่นมาตั้งแต่ตีสี่เพื่ออาบน้ำและไปสนามบิน ตอนนี้เขาแค่อยากหาที่งีบ ถ้าขึ้นไปนอนบนเตียงในห้องของฆาเบียร์ ตอนพ่อเจ้าประคุณกลับมาก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ได้แต่งตัวกันง่ายๆ ฉะนั้นเขานอนเอนหลังรอแค่ในห้องทำงานของฆาเบียร์ก็พอแล้ว

"งั้น ฉันไปก่อนนะ"

"เดี๋ยวก่อน ฆาบี้ ไม่ใส่เสื้อนอกไปด้วยเหรอ?"

เจชี้ไปที่เสื้อสูทสีน้ำตาลลายตารางจางๆ ที่แขวนอยู่บนที่แขวนสูท ฆาเบียร์ส่ายหน้าบอกว่าเขาไม่ได้ไปทำอะไรที่เป็นทางการ ไม่ต้องใส่ไปก็ได้ เจขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก ฆาเบียร์หมุนสวิตช์หรี่ไฟในห้องให้เหลือแค่แสงสลัวๆ และจูบหน้าผากคนรักที่นอนอยู่ก่อนจะออกจากห้องไป เจนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพักหนึ่งก่อนจะผลอยหลับไป



"อืมม์...คุณ อย่าสิ"

เจครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงร่างใหญ่กำยำของฆาเบียร์ทาบทับลงบนตัวของเขา เจหลับไปพักใหญ่จนกระทั่งฆาบี้กลับมาจากทำธุระ เขาเข้ามาถึงก็มารุกเร้าคนรักที่นอนหลับพริ้มอยู่บนโซฟา ฆาเบียร์ดูดดึงริมฝีปากรูปกระจับของคนขี้เซาจนกระทั่งเจตื่น เจบ่นและขัดขืนเล็กน้อยในตอนเริ่มแรกแต่สุดท้ายก็โอนอ่อนตามรสจูบอันแสนตรึงใจของเมียตัวโตของเขา

"ฆาบี้ อย่า นี่มันห้องทำงานนะ"

เจปัดป้องมือที่พยายามไล้ไปตามแผงอกของเขา ฆาเบียร์ไม่สนใจ เขาเขี่ยตุ่มไตของเจที่ชูชันดันเสื้อเชิร์ตเนื้อไม่หนานักที่เจใส่มาในวันนี้ เจสะท้านกายเฮือกขึ้นเมื่อฆาเบียร์ใช้ฟันของเขาขบเบาๆ ที่เม็ดสีทับทิมที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้า

"ฆาเบียร์ครับ...เราคุยกันไว้ว่าไง? ลืมแล้วเหรอ"

เจดันร่างใหญ่นั้นออกจนได้ ฆาเบียร์ทำหน้าบอกบุญไม่รับและกระแทกตัวลงนั่งที่ปลายโซฟา เจนยุทธลุกขึ้นนั่งและอิงตัวเข้ากับคนตัวใหญ่ของเขาอย่างออดอ้อน

"น่า นะ อย่าหงุดหงิดเลย ฆาเบียร์"

"นายให้ฉันรอมาสี่ห้าวันแล้วนะ เจ นี่นายก็มาอยู่ตรงหน้าฉันแล้วยังจะต้องให้รออีกเหรอ?"

เจหัวเราะเบาๆ ในความเอาแต่ใจเล็กๆ ของคนรัก เขาบอกฆาเบียร์ว่าไม่ให้ปลดปล่อยในช่วงสี่ห้าวันก่อนที่จะเจอกัน เจ้าตัวเองก็ทำตามอย่างเคร่งครัด

"เอาน่า คุณ ผมรับรองว่าผลลัพธ์มันคุ้มค่าแน่ๆ รอหน่อยนะครับ คนดีของผม"

เจดันตัวขึ้นนั่งคร่อมตักของฆาเบียร์และจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบางของคนรัก เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่ของฆาเบียร์ตะปบและขยำก้นของเขาอย่างหนักหน่วง

"หึๆ นายยั่วฉันแบบนี้ แน่ใจนะว่าพร้อมรับผลของมันน่ะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เจใจหายวาบ เขาลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปซะสนิท เขาคงต้องหาทางรักษาสวัสดิภาพก้นน้อยๆ ของเขาไว้เสียแล้ว



"สี่โมงกว่าแล้ว ฆาบี้ เราแต่งตัวกันเถอะ งานจัดในตึกนี้ก็จริง แต่กว่าคุณจะอาบน้ำอะไรอีกล่ะ"

เจลุกขึ้นและดึงตัวคนรักให้ลุกขึ้นตาม

"เมลิน่าเขาจัดเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ที่ห้องนี้แล้วใช่ไหม งั้นเราก็อาบน้ำแต่งตัวมันที่นี่กันเถอะ"

เจดันหลังฆาเบียร์เข้าไปในประตูน้อยด้านข้างโต๊ะทำงานของเขา ฆาเบียร์จัดห้องทำงานของเขาเหมือนห้องที่สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนพักผ่อนรวมทั้งห้องอาบน้ำแต่งตัวไว้เสร็จสรรพ ตอนอยู่ที่นั่น บางครั้งเขาแทบจะกินอยู่ในที่ทำงานเลยเนื่องจากงานที่ติดพัน สำหรับที่นี่ เขาใช้เป็นที่แต่งตัวยามที่ต้องออกงาน และเป็นที่เก็บเสื้อผ้า ข้าวของที่ใส่ในตู้บนห้องโรงแรมไม่พอ



เจสำรวจข้าวของในห้องแต่งตัวของฆาเบียร์ เขาโคลงหัวเมื่อเห็นรองเท้าหนังตู้ใหญ่ของคนรัก ไหนจะชุดสูทและเสื้อเชิร์ตทั้งแบบเป็นทางการและแบบลำลองที่อัดแน่นในตู้เสื้อผ้าที่กว้างทั้งผนังอีก ที่เชียงใหม่เสื้อผ้าของฆาบี้ก็เริ่มที่จะกินที่ตู้เสื้อผ้าของเขาไปทุกทีแล้วเช่นกัน เขาละสายตาจากเสื้อผ้าเหล่านั้นมาดูเสื้อผ้าที่เมลิน่าจัดวางไว้ให้บนเตียงนอนพักผ่อนของฆาเบียร์ในห้องนั้น เธอติดป้ายบอกไว้เสร็จสรรพว่าชิ้นไหนเป็นของใคร ของฆาเบียร์เป็นสูทสามชิ้นแบบสุภาพสีน้ำเงินกรมท่า  เชิร์ตขาวพร้อมเน็คไทสีเบอร์กันดีและรองเท้าสีดำมันปลาบ ส่วนของเขาเป็นสูทสองชิ้นทรงสลิมฟิตสีน้ำตาลช็อคโกแลตอมแดงนิดหน่อย เชิร์ตขาวและเน็คไทสีเบอร์กันดีเหมือนของฆาเบียร์ ต่างกันที่ของเขามีลายน้อยๆ และเป็นแบบเส้นเล็ก รองเท้าของเขาเป็นรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้ากับชุด เจส่ายหัวเมื่อเห็นยี่ห้อ ฆาเบียร์จัดปราด้าให้เขาอีกแล้ว

เจขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากในห้องน้ำ เขาถอนหายใจเบาๆ และเปิดประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป

จริงดั่งคาด เขาเห็นเงาร่างฆาเบียร์ยืนพิงผนังห้องน้ำผ่านทางกระจกฝ้าหน้าส่วนอาบน้ำ เจส่ายหน้าด้วยความระอาก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองและเปิดประตูส่วนอาบน้ำเข้าไป ฆาเบียร์ที่กำลังจัดการตัวเองอยู่สะดุ้งเฮือก เจนยุทธหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นคนรักที่ตกใจจนหน้าซีด

"แหมๆ ตกใจอะไรกัน คุณ ดูสิ หดหมดแล้ว"

เจเดินเข้าประชิดตัวคนรักและโน้มคอลงมาป้อนจูบอันอ่อนหวานให้ ฆาเบียร์จูบตอบและโอบรัดร่างเจไว้แน่น เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือนิ่มของเจกอบกุมส่วนสงวนของเขาที่อ่อนตัวลง ฆาเบียร์ซี้ดปากเบาๆ เมื่อคนรักค่อยๆ นวดเฟ้นมันจนชูชันขึ้นอีกครั้ง

"เจ ไหนบอกว่า..."

เจนยุทธหยุดคำพูดของฆาเบียร์ไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง ฆาบี้เพริดไปกับปลายลิ้นของคนรักที่ฉกเข้ามาในโพรงปากของเขา ลิ้นนิ่มๆ ของเจบดเบียดกับลิ้นร้อนๆ ของคนตัวโต มันทำให้ประสาทสัมผัสเขาตื่นไปทั้งตัว เจสัมผัสเขี่ยไล้ที่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนของฆาเบียร์ก่อนจะถอนริมฝีปากออก



"เจ..."

ฆาเบียร์ครางเรียกชื่อคนรักด้วยเสียงแหบพร่า มือของเขาขยุ้มกลุ่มผมของร่างที่ทรุดกายนั่งอยู่ตรงหน้า เมื่อสักครู่เขาทั้งคู่ใช้มือให้ความสุขแก่กันไปคนละครั้ง ก่อนที่เจจะใช้ปากให้เขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแก่นกายของเขามันยังไม่ยอมสงบดี ฆาเบียร์สูดปากลั่นเมื่อปากนิ่มๆ ของเจสัมผัสถุงเนื้อของเขาและดูดดึงมันเข้าไปในความลึกล้ำ เจนยุทธใช้มือรูดไล้ส่วนแท่งลำอันแข็งแกร่งของฆาเบียร์ก่อนจะใช้ปากนิ่มๆ ของเขาครอบลงที่ส่วนปลาย เขาหยอกเย้ามันด้วยลิ้นร้อนๆ ของเขาจนฆาเบียร์เกร็งไปทั้งตัว เจเก่งในด้านนี้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาใช้ทั้งมือและปากปรนนิบัติคนรักจนครางลั่นห้องน้ำอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาเร่งจังหวะขึ้น ฆาเบียร์เองก็เผลอโยกสะโพกตาม สุดท้ายเขาต้องคำรามลั่นพร้อมปล่อยน้ำขุ่นข้นออกมาเต็มใบหน้าของเจที่ถอนปากออกได้ทัน

ฆาเบียร์ก้มลงมองหน้าคนตัวเล็กที่มีน้ำรักของเขาเปรอะเต็มหน้า สายตาของเจที่มองช้อนขึ้นมาทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เขาดึงร่างคนรักขึ้นมากดจูบด้วยความพิศวาส เจตอบสนองด้วยความรู้สึกทัดเทียมกัน ร่างทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันแน่นในห้องอาบน้ำน้อยๆ นั้น



"รักนะ ฆาบี้"

เจกระซิบแผ่วๆ ที่หูเมียตัวโตของเขา

"รักเหมือนกันนะ ตัวยุ่งของฉัน"

"ผมคิดถึงคุณด้วยอ่ะ คิดถึงมากๆ เลย"

เจพูดงึมงำกับไหล่ที่เขาซุกหน้าลงไป

"ฉันก็คิดถึงนาย เจนยุทธ คิดถึงมากๆ..."

"...ฉะนั้น คืนนี้ เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ เจ ฉันไม่ยอมให้นายได้นอนแน่ๆ"




----------------------------------------


จบได้อีกหนึ่งตอนก่อนขึ้นปีใหม่ เจอกันอีกทีปีหน้านะคะ คนเขียนขอให้คนอ่านทุกคนมีความสุขมากๆ ในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้นะคะ คิดสิ่งใดขอให้สมดังปรารถนา และคืนนี้ถ้าออกไปเคาท์ดาวน์ก็ขับรถหรือเดินทางด้วยความระมัดระวังกันด้วยนะคะ :-)



โจ๊กร้าน Mui Kee ตลาด Fa Yuen ค่ะ https://goo.gl/brDvrP

เพจ Eat Like 852 ค่ะ ข้อมูลฮ่องกงแบบจัดเต็ม รวมที่กินที่เที่ยวแบบอัพเดทโดยคนไทยที่อยู่ในฮ่องกงจริงๆ https://www.facebook.com/EatLike852/

ห้าง Elements ใต้ตึก ICC ค่ะ https://goo.gl/SfZTTU





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2018 08:21:06 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Boys' Night Out ----



"มานี่ เจ ฉันจัดการให้"

เจนยุทธที่กำลังรบรากับเนคไทอยู่หันกลับไปหาฆาเบียร์ ตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมาเขาก็ไม่ค่อยได้ผูกเนคไทเองเท่าไหร่ ฆาบี้จัดแจงผูกปมเนคไทให้คนรัก เขาสำรวจร่างเพรียวที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มอย่างพึงใจ เจในชุดสูทสีน้ำตาลช็อคโกแลตแบบเข้ารูปช่างดูเป็นการเป็นงานแต่ในขณะเดียวกันก็ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยด้วยทรงของสูท อีกทั้งทรงผมที่เจจัดให้มันดูไม่เนี้ยบจนเกินไปทำให้เขาดูเหมือนหนุ่มทายาทนักธุรกิจใหญ่สักคน

ฆาเบียร์ดึงเจมายืนเคียงข้างเขาที่หน้ากระจกบานใหญ่แล้วถอนหายใจ

"เป็นอะไรเหรอ ฆาเบียร์"

"ดูสิ นายแต่งตัวแบบนี้ พอยืนคู่กัน ฉันดูแก่งั่กไปเลย"

เจนยุทธหัวเราะคิกคัก ฆาบี้ของเขาแต่งตัวตามสไตล์นักธุรกิจใหญ่ตามเคย สูทสามชิ้นสีน้ำเงินกรมท่าลายทางของเขาเนี้ยบก็จริงแต่ด้วยทรงสูทที่เป็นแบบอังกฤษนั้นเน้นความภูมิฐาน แม้ช่วงเอวจะเข้ารูปไม่ปล่อยย้วยเหมือนทรงอเมริกัน แต่ช่วงไหล่ที่เสริมจนหนาและเนื้อผ้าที่ดูหนักทำให้เขาดูมีอายุกว่าที่เป็น ส่วนสูทของเจซึ่งเป็นทรงอิตาเลียนที่เข้ารูปและใช้ผ้าที่เนื้อบางเบากว่านั้นได้ช่วยขับเน้นให้รูปร่างของเขาดูเพรียวบางเหมือนหนุ่มน้อย

"งั้น พ่อครับ วันนี้หลังงานเลิกผมขอไปเที่ยวได้ไหมครับ?"

เจพูดกลั้วหัวเราะ

"เดี๋ยวเถอะ เจ!"

ฆาเบียร์คำรามเสียงดุๆ ใส่คนรักที่มาเรียกเขาว่าพ่อ เขาบ่นพึมพำเล็กน้อยว่าที่จริงเขาอยากแต่งตัวสีโทนเดียวกับเจ

"แหม เนคไทก็สีเดียวกันแล้วไง นี่ก็ใส่เหมือนกัน คุณกลัวใครเขาจะไม่รู้เหรอว่าผมมากับคุณ"

เจชี้ไปที่ต่างหูสีน้ำเงินของคาตาลิน่า ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ และจูบลงเบาๆ ที่ต่างหูของแม่เขาบนหูของคนรัก

"เวลาที่ไม่ได้อยู่กับฉัน นายใส่มันติดหูตลอดใช่ไหม?"

เจยิ้มเจื่อนๆ และสารภาพว่าบางทีเขาก็ไม่ได้ใส่ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขี่รถเวสป้าไปไหนมาไหน

"ผมไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆ มันราคาเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันแพงเลยไม่ค่อยกล้าใส่เท่าไหร่ ผมกลัวเอาไปทำตกหายที่ไหนอ่ะ"

"ใส่ๆ ไปเถอะน่า เจ ไม่ต้องคิดมาก อย่างที่ฉันเคยบอก มันเป็นเพชรเก่า ค่าของมันไม่ได้เยอะมากมายเหมือนอย่างที่ซันซันบอกหรอก"



ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาไม่กล้าบอกเจหรอกว่าเขาเคยเอาต่างหูของแม่ไปตีราคาเพื่อทำประกัน ฆาเบียร์ต้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่าสองข้างรวมกันนั้นมีมูลค่ากว่าครึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ จริงอยู่ที่มันถูกเจียระไนด้วยเหลี่ยมโบราณอย่างเหลี่ยมกุหลาบซึ่งทำให้เพชรเปล่งประกายออกมาได้น้อย ในสมัยนี้มักนิยมใช้เจียระไนเพชรที่น้ำไม่งามนักและใช้ใส่กับตัวเรือนแบบโบราณ แต่สำหรับเพชรสีน้ำเงินคู่นี้ของแม่เขานั้นเป็นเพชรน้ำงามที่มีสีเข้มจนเหมือนแซฟไฟร์ อีกทั้งขนาดและสีของมันยังเท่ากันทั้งสองข้าง ราคาจึงไม่ต่ำไปจากเพชรสีน้ำเงินเข้มสมัยใหม่มากนัก ร้านที่เขานำไปตีราคาถึงกับถามว่าเขามีแบบนี้อีกไหมเพราะทางร้านเชื่อว่าทั้งสองเม็ดต้องถูกตัดออกมาจากเพชรดิบก้อนใหญ่ก้อนเดียวกันอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่เคยได้ถามยายที่ไม่ค่อยได้คุยกันของเขาถึงเรื่องนี้ อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจมันไปมากกว่าคุณค่าในด้านเป็นของต่างหน้าของแม่

"แต่มันก็เป็นของดูต่างหน้าแม่ของคุณนะ ใส่บ่อยๆ ผมก็กลัวมันจะหมอง"

"ของมันมีไว้ให้ใส่ก็ใส่เถอะเจ ดีกว่าเอาทิ้งไว้เฉยๆ ฉันว่าแม่ของฉันก็คงดีใจที่ได้รู้ว่าคนที่ใส่มันคือคนที่ฉันรักจริงๆ"

"...อย่าไปคิดถึงคุณค่ามันในด้านตัวเงินเลยนะ คนดีของฉัน คิดเสียว่ามันคือของแทนใจของฉันที่มีให้กับคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตฉันเถอะนะ"

เจหน้าแดงระเรื่อ คนตัวโตทำให้เขาคิดไปไกลอีกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังคิดว่าความรักของเขากับฆาเบียร์เหมือนอยู่ในความฝัน เขาเผื่อใจไว้ตลอดเวลาเผื่อสักวันฟองสบู่ที่ห่อหุ้มตัวเขาจะแตกและตัวเขาจะตกสู่โลกของความเป็นจริง แต่คำพูดและการแสดงออกของฆาเบียร์ทำให้ตัวเขาลอยฟ่องอยู่เหนือก้อนเมฆสูงขึ้นไปทุกที

เจหลับตาและดึงคนตัวโตของเขาเข้ามากอดและป้อนจูบอันอ่อนหวานให้ ณ เวลานี้ เขาไม่กลัวที่จะเจ็บตัวอีกแล้ว เขาขอเพียงแค่ได้ดื่มด่ำอยู่ในห้วงฝันรักของพ่อกุหลาบงามดอกนี้ให้นานต่อไปอีกหน่อย แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว



"เจจ๋า...สูทยับแล้วนะ"

ฆาเบียร์หอบและกระซิบเบาๆ ข้างหูของคนรักที่ซบหน้ากับอกของเขา เจรีบดันตัวออกและต้องหัวเราะเมื่อเห็นผมของเขาทั้งคู่ยุ่งเหยิงเพราะมือของอีกฝ่ายตอนที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบอันดื่มด่ำ

"มา เดี๋ยวผมหวีแล้วจัดทรงให้ใหม่"

เจให้ฆาเบียร์นั่งลงที่หน้ากระจกจากนั้นเขาจัดการหวีและจัดแต่งทรงผมของคนรักด้วยมูส มารอบนี้ ฆาเบียร์ตัดผมออกเล็กน้อย แต่ก็ยังยาวปรกคอแบบที่เจบอกว่าชอบ แต่แทนที่เขาจะเสยผมเปิดหน้าผากแบบที่ฆาเบียร์ชอบทำตอนที่ต้องออกงาน เขากลับแสกข้างและตลบผมให้มันปกหน้าผากข้างหนึ่งเล็กน้อย ฆาเบียร์ยิ้มปล่อยให้คนตัวเล็กเล่นหัวเขาจนพอใจ

"ไม่รำคาญใช่ไหมอ่ะ? ดูไม่เป็นทางการไปหรือเปล่า?"

ฆาเบียร์บอกว่าไม่เป็นไร เขาก็เบื่อลุคเดิมตัวเองเหมือนกัน อีกอย่างทรงที่เจจัดให้ก็คล้ายๆ กับทรงที่เขาทำประจำอยู่แล้ว

"ถ้าเจทำผมให้ฉันแบบนี้ทุกวันได้ก็ดีสินะ"

ฆาเบียร์เปรยขึ้น เจลอบถอนหายใจและไม่ตอบอะไร เขาก้มลงจูบเรือนผมหอมกรุ่นของฆาบี้เบาๆ ก่อนจะไล่เมียตัวโตของเขาให้ลุกขึ้นและลงนั่งจัดทรงผมของตัวเอง



"ตายล่ะ นี่ได้เวลาแล้วนี่ ฆาเบียร์ ผมมัวแต่เล่นผมคุณ ขอโทษที"

"ไม่เป็นไรหรอก เจ งานอยู่ตึกนี้อยู่แล้ว เราไม่ช้ามากนักหรอก..."

"...แล้วถึงช้าก็คุ้มค่านะ เจ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจหน้าร้อนผะผ่าว เขารู้ว่าฆาบี้หมายถึงตอนที่พวกเขาใช้เวลาให้ความสุขกันและกันในห้องน้ำ ต่อให้ไม่ได้ทำถึงขั้นสุดมันก็ยังเสียเวลาไปบ้างอยู่ดี

"ไปๆ ฆาบี้ เราไปกันได้แล้วน่า"

เจดึงมือฆาเบียร์และเปิดประตูห้องพักผ่อนออกไป เขาต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นคริสนั่งอ่านนิตยสารรอพวกเขาอยู่ที่โซฟาห้องทำงานของฆาเบียร์ คริสที่ได้ยินเสียงประตูเปิดหันมาหาทั้งสองคนและยิ้มกว้างให้ เจรีบเดินเข้าไปยกมือไหว้ตามความเคยชิน คริสดึงคนรักของลูกบุญธรรมเข้าไปกอดทักทาย ฆาบี้มองภาพครอบครัวเล็กๆ ของเขาด้วยความสุขใจ

"อาปามานานแล้วเหรอครับ พวกผมกำลังจะลงไปที่งาน"

ฆาบี้ถามขึ้น คริสยิ้มละไมให้ลูกชาย

"ก็พักใหญ่แล้วล่ะ ตอนนี้ยังไม่มีพิธีอะไร เจ้าสาวก็กำลังไปเปลี่ยนชุด อาปาก็เลยว่าจะลงมานั่งคุยกับพวกเราก่อน แต่เข้ามาแล้วไม่เจอใครเลยนั่งรอ"

ทั้งสองหนุ่มขอโทษขอโพยคริสที่พวกเขาแต่งตัวนานไปหน่อย

"ไม่เป็นไรๆ อาปารู้ว่าพวกเราน่ะอาบน้ำแต่งตัวกันนาน..."

คริสยิ้ม เขารู้ดีว่าพ่อลูกชายของเขานั้นใช้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่องนานเสมอ

"...ว่าแต่ อาปาว่าลูกน่าจะต้องปรับปรุงห้องน้ำข้างล่างนี่ใหม่นะ มันไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่เลย"

คริสกระเซ้าทั้งสองที่ยืนหน้าแดงอยู่ ตอนเขาเข้าห้องมาเขาเดินผ่านผนังส่วนที่ติดกับห้องน้ำ ถึงเสียงน้ำจะดังแต่เสียงฆาเบียร์นั้นดังกว่า ถึงจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็รู้ได้ว่าคนข้างในนั้นกำลังทำกิจกรรมแบบไหนอยู่ ฆาเบียร์ได้แต่พึมพำว่าเขาจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด ส่วนเจนั้นหนีไปยืนก้มหน้าก้มตากดมือถืออยู่มุมห้อง ส่วนคริสนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขายังทันได้ยินบทสนทนางุ๊งงิ๊งของทั้งสองคนตอนแต่งตัวด้วย เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินลูกชายที่เคยไร้รักของเขาเรียกเจเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต



"งั้น เราลงไปกันเลยดีไหม? งานน่าจะใกล้เริ่มแล้ว"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาจะเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเจขึ้นไปเก็บที่ห้องโรงแรมก่อน แล้วจะลงไปพบกับทั้งสองคนที่หน้าห้อง Diamond Ballroom ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันซึ่งอยู่บริเวณชั้น 3 ของตึก ICC เลย พวกเขาแยกกันที่หน้าลิฟท์ เจติดตามคริสลงไปที่ห้องบอลรูมอันเป็นสถานที่จัดงานแต่ง เขามีทีท่าตื่นเต้นเมื่อเห็นความโอ่โถงของมัน เจเดินตามคริสไปยังส่วนรับแขกที่อยู่ด้านนอกห้องบอลรูม มันเห็นวิวอ่าววิคตอเรียอย่างชัดเจน ที่นั่นเหล่าแขกที่แต่งกายอย่างหรูหราสวยงามต่างยืนสังสรรค์สนทนากันอยู่

"มาสิ เดี๋ยวอาปาจะพาไปแนะนำตัวกับพ่อเจ้าบ่าว"

คริสหันมาบอกเจนยุทธและดึงมือเขาให้เดินขึ้นไปหาเพื่อนของเขา หลังจากทักทายเพื่อนแล้วเขาก็หันมาแนะนำเจซึ่งยืนสงบเสงี่ยมรออยู่ด้านหลัง

"วิคเตอร์ นี่ลูกชายคนใหม่ของฉัน เจ เจนยุทธ ภัทรปรีดา..."

คริสพยายามออกเสียงนามสกุลของเจให้ถูกต้องที่สุด เจหน้าแดงระเรื่อเมื่อคริสเรียกเขาเป็นลูกชายคนใหม่

"เจ นี่คือพ่อเจ้าบ่าว คุณวิคเตอร์ ลี เขาเป็นเพื่อนสนิทของอาปาตั้งแต่ประถม ตอนนี้นั่งตำแหน่งบริหารในบริษัทของตระกูลอาปาอยู่"

เจก้าวเข้ามายืนต่อหน้าคุณลีและยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายจับ

"สวัสดีครับ มิสเตอร์ลี เป็นเกียรติที่ได้พบครับ ผมต้องขอแสดงความยินดีกับท่านและครอบครัวด้วยครับ"

เขาส่งยิ้มและมองตาอีกฝ่ายตามที่เคยได้เรียนมา​ คริสยิ้มบางๆ เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเป็นทางการของเจ วิคเตอร์ ลี หัวเราะเบาๆ

"ไม่ต้องเป็นทางการนักหรอก เจนยุทธ เอ่อ ฉันเรียกเธอว่าเจได้ใช่ไหม?..."

เจตอบว่าได้

"...เธอเรียกฉันว่าอังเคิลลีตามฆาบี้เขาก็ได้นะ"

เจยิ้มอย่างเขินๆ การที่คุณลีพูดแบบนี้แสดงว่ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฆาเบียร์ดี วิคเตอร์ ลีหันไปคุยกับคริสเป็นภาษากวางตุ้ง พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เจหน้าร้อนผ่าวๆ เมื่อเห็นสายตาของคุณลีที่กวาดขึ้นลงสำรวจดูเขา คริสเองก็ยิ้มร่าอย่างถูกใจในคำพูดของเพื่อน



"อังเคิลลีอย่าแกล้งเจสิครับ"

เสียงทุ้มแหบดังขึ้นพร้อมแขนแข็งแรงที่โอบหมับเข้าที่เอวของเจนยุทธ เจหันไปยิ้มให้คนตัวโตของเขา ถึงปากจะบ่นแต่ใบหน้าของฆาเบียร์นั้นเปื้อนยิ้ม ฆาเบียร์มาทันเห็นเจแนะนำตัวกับเพื่อนของพ่อบุญธรรมซึ่งก็เป็นนักธุรกิจโปรไฟล์สูงเช่นกัน และเขาก็เห็นเพื่อนของคริสแสดงความเอ็นดูคนของเขาอย่างเห็นได้ชัด​ ส่วนตอนที่ทั้งวิคเตอร์และคริสคุยกันเป็นภาษากวางตุ้งนั้น เป็นวิคเตอร์กระเซ้าคริสว่า "เขย" คนนี้ของคริสดูเข้าที คริสเองก็ยิ้มร่าและไม่ได้ปฏิเสธคำเรียกหานั้นแต่อย่างใด

  ฆาเบียร์แสดงความยินดีกับวิคเตอร์เป็นภาษากวางตุ้งก่อนที่ทุกคนจะเปลี่ยนใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเดิมเพื่อให้เจเข้าใจด้วย พวกเขาสนทนากันอยู่พักหนึ่งจนแขกเหรื่อเริ่มทะยอยกันมา ฆาเบียร์ คริสและเจจึงขอตัวเข้าไปในห้องบอลรูม เท่าที่เจสังเกตดู มันไม่ต่างจากงานแต่งงานของไทยมากนัก มีการเขียนอวยพรบ่าวสาวที่หน้าห้อง มีภาพพรีเว็ดดิ้งของทั้งสองประดับอยู่ มีแบ็คดร็อปที่ประดับดอกไม้อย่างสวยงามอลังการพร้อมชื่อย่อของทั้งสองฝ่ายที่หน้าห้องให้แขกได้ถ่ายรูป แต่ไม่มีบ่าวสาวมายืนรอถ่ายรูปด้วยเหมือนที่ไทย

สิ่งที่ทำให้เจตะลึงอยู่ภายในห้องบอลรูม เมื่อเข้าไปในส่วนจัดเลี้ยง เขาต้องทึ่งกับความงดงามของมวลดอกไม้ที่ถูกขนมาประดับตกแต่ง ตัวห้อง diamond ballroom ของริทซ์ คาร์ลตันเองก็ถือว่างามเลิศที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง โคมไฟระย้ารูปทรงแปลกตาเหมือนเกลียวคลื่นที่ทำจากคริสตัลห้อยย้อยลงมาจากเพดานแข่งกับมวลดอกกล้วยไม้สีขาวและชมพูที่นำมาร้อยเป็นสายห้อยลงมาจากเพดาน ตามโต๊ะ บนเวที และตามทางเดินก็ประดับด้วยดอกไม้สีพาสเทลทั้งกุหลาบ ทิวลิป ลิลลี่ พีโอนี ไฮเดรนเยีย และอีกหลายชนิดที่เจไม่รู้จักชื่อ เฉพาะงานดอกไม้ก็คงมูลค่ามากโขแล้ว ในงานมีสาวสวยในชุดยาวกรุยกรายบรรเลงฮาร์พหรือพิณฝรั่งอย่างไพเราะเพราะพริ้ง



"คุณ ให้ผมนั่งตรงนี้ด้วยจะดีเหรอ? ผมไปนั่งกับเมลิน่าหรือกับคนอื่นที่ออฟฟิศได้ไหมอ่ะ?"

เจกระซิบกับฆาเบียร์ เขาถูกจัดให้นั่งตรงกลางระหว่างฆาเบียร์และคริสที่โต๊ะประธานของงาน ด้านข้างคริสเป็นครอบครัวของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

"ไม่ได้นะ เจ เขาจัดที่ไว้ให้แล้ว นายต้องอยู่กับฉันตรงนี้ ห้ามไปไหน!"

ฆาเบียร์ทำเสียงดุและชี้ให้ดูป้ายชื่อของเจนยุทธที่วางไว้หน้าจานอาหาร เจจนปัญญาต้องนั่งหน้าเจื่อนๆ อยู่ท่ามกลางแขกผู้ใหญ่ เขามองแก้วคริสตัลหลายขนาดที่เรียงรายด้านหน้าเขา เขาไม่เคยรู้สึกดีใจที่เคยเรียนการโรงแรมมาเท่ากับวันนี้ มันทำให้เขาสามารถแบ่งแยกการใช้สอยแก้ว ช้อนส้อม จานชามบนโต๊ะอาหารได้อย่างถูกต้อง แต่ดูจากตะเกียบปลายเงินที่จัดวางมาข้างจานแล้ว อาหารในวันนี้คงเป็นแบบโต๊ะจีน

"นี่ๆ คุณ..."

เจสะกิดฆาเบียร์เบาๆ และโบ้ยปากไปทางมุมหนึ่งของห้องบอลรูมที่มีกลุ่มคนสูงอายุนั่งรวมตัวกันล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมนับสิบโต๊ะ

“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ น่าสนุกจัง”

“อ๋อ เล่นไพ่นกกระจอกน่ะเจ มันเป็นเรื่องปกติของงานแต่งงานที่ต้องจัดโต๊ะไพ่นกกระจอกให้พวกผู้ใหญ่เขาได้สังสรรค์กันแถมยังต้องมีเสิร์ฟน้ำชาด้วย”

ฆาเบียร์บอกว่าเขาเคยเห็นโบรชัวร์งานแต่งของหลายๆ โรงแรม ทุกที่ล้วนรวมโต๊ะไพ่นกกระจอกและน้ำชาเข้าไปในแพ็คเกจด้วยทั้งนั้น

“อยากลองเล่นดูไหม?”

คริสส่งเสียงถามมา เจนยุทธส่ายหัวและตอบปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาเล่นไม่เป็น ไปนั่งก็รังแต่จะเบียดบังที่คนอื่นเสียเปล่าๆ เขาขอตัวเดินไปดูอย่างสนใจครู่หนึ่งก่อนจะทำหน้าเบ้กลับมาแล้วบอกว่าเข้าใจยาก คริสหัวเราะบอกว่าเขาเองซึ่งไปใช้ชีวิตอยู่สหรัฐฯ นานก็ยังเล่นไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน

"ก่อนเข้าห้องผมเห็นมีโต๊ะขนมด้วย มันคืออะไรครับ?"

เจกระซิบถามคริสถึงหมู่โต๊ะที่อยู่ตรงทางเข้าฮอลล์ มันถูกตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม บนนั้นเต็มไปด้วยขนมหวานชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างคุกกี้เคลือบน้ำตาลไอซิ่ง มาการอง คัพเค้ก ลูกกวาด เยลลี่ และอื่นๆ ทั้งหมดตกแต่งด้วยธีมสีของงาน บางชิ้นมีซองพลาสติกห่อหุ้มไว้

"อ๋อ มันเป็นธรรมเนียมของทางนี้เหมือนกันน่ะ เจ..."

คริสตอบ

"...แขกตักมันกลับบ้านได้เหมือนเป็นของชำร่วยอย่างหนึ่งน่ะ"

เจตอบรับ วันนี้เขาได้เรียนรู้ธรรมเนียมใหม่ๆ ของฮ่องกงเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง



เหล่าแขกเหรื่อเริ่มทะยอยมากันจนเต็มฮอลล์ ทุกคนล้วนแต่งกายจัดเต็ม เหล่าเพื่อนของบ่าวสาวก็แต่งตัวตามธีมสีพาสเทลและทองของงาน เจประมาณด้วยสายตาแล้วแขกในงานวันนี้ไม่น่าต่ำกว่า 500 คน งานในช่วงกลางคืนนี้ไม่ต่างจากของไทยมากนัก มีการแนะนำบ่าวสาว เปิดวีดีโองานในช่วงเช้าซึ่งได้แก่ตอนที่เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวและต้องมีการเล่นเกมหลายอย่างกว่าจะได้เจอหน้าเจ้าสาว เจบอกคริสว่าส่วนนี้คล้ายกับการแห่ขันหมากของไทย จากนั้นยังมีภาพจากพิธียกน้ำชา งานแต่งแบบคริสต์และการจดทะเบียนสมรส

"ที่ฮ่องกงนี้ ถ้าแต่งงานแล้วต้องจดทะเบียนทันทีน่ะ เจ"

ฆาเบียร์กระซิบบอกเมื่อเจถามว่าทำไมถึงต้องมีการจดทะเบียนกันตอนแต่งงานด้วย เจดูจากวีดีโอ คริสคงสนิทกับพ่อเจ้าบ่าวจริงๆ เพราะมีรูปเขาเข้าร่วมงานตั้งแต่งานยกน้ำชาไปจนถึงพิธีแบบคริสต์ เขาเห็นริคกี้และคนอื่นๆ ในทีมเลขาฯ ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของเจ้าสาวในงานแบบคริสต์ด้วย ส่วนเมลิน่านั้นอยู่ด้วยช่วงเจ้าบ่าวมารับ จากนั้นแว่บมารับและคุยกับเจเรื่องงาน ก่อนจะกลับไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวในพิธีแบบคริสต์และช่วงจดทะเบียนในตอนบ่าย

"ฆาเบียร์ นี่ผมทำให้คุณไม่ได้ไปร่วมงานตอนเช้าหรือเปล่า?"

เจนยุทธถามเสียงอ่อยๆ เขาไม่รู้ว่าจริงๆ ฆาบี้ต้องไปงานเช้าในฐานะนายของเจ้าสาวหรือไม่ แต่เพราะเจ้าตัวมารับเขาที่สนามบินทำให้พลาดงานช่วงนั้นไป ฆาเบียร์กุมมือคนรักและบีบเบาๆ

"ไม่หรอก เจ ฉันถามเจ้าสาวแล้ว เธอเป็นคนไล่ฉันให้ไปรับนายเอง"

"...อีกอย่าง ฉันแวะไปทันช่วงจดทะเบียนหลังกลับมาจากทำธุระช่วงบ่าย ก็ตอนที่ฉันปล่อยให้เจหลับนั่นแหละ และไม่ต้องห่วง ต่อให้ฉันไม่ได้ไปร่วมพิธีครบ แต่ฉันก็มีของขวัญชิ้นใหญ่ให้แทนแล้ว"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาใส่ซองไปหนักพอดูแถมด้วยแพคเกจโรงแรมสุดหรูที่มัลดีฟส์สำหรับคู่บ่าวสาว



กิจกรรมบนเวทีดำเนินต่อไป อาหารก็เริ่มเสิร์ฟ โต๊ะของเจและโต๊ะของญาติผู้ใหญ่รวมถึงโต๊ะของแขกวีไอพีอีก 10 โต๊ะเป็นอาหารพิเศษจากเชฟสองดาวมิเชแลงอย่าง Paul Lau จากห้องอาหาร Tin Lung Heen ของทางโรงแรมพร้อมทั้งแชมเปญคริสตาลหนึ่งขวดสำหรับทั้ง 10 โต๊ะ ฆาเบียร์แอบกระซิบกับเจว่าถ้าจำไม่ผิดแพ็คเกจคริสตาลนี้มีสนนราคาถึงกว่า 4,000 เหรียญฮ่องกงต่อหัวเลยทีเดียว อาหารในแพ็คเกจนี้มีตั้งแต่หมูหัน หมูอิเบริโกอบน้ำผึ้ง หอยเชลล์ซอสทรัฟเฟิล หอยเป๋าฮื้อทั้งตัวและฟัวกราส์ในน้ำมันหอย กระเพาะปลาตุ๋นใส่ล็อบสเตอร์ รังนกตุ๋นปลาเก๋าใส่คาร์เวียร์ และอื่นๆ ฆาเบียร์คอยคีบอาหารส่งให้เจเพราะเขารู้ว่าเจ้าตัวคงเหนียมไม่กล้ากินเยอะแน่ๆ​

ส่วนอีก 40 กว่าโต๊ะที่เหลือซึ่งเป็นเพื่อนของบ่าวสาวและแขกทั่วไป อาหารที่เสิร์ฟเป็นอาหารจีนชุดจัดเลี้ยงมาตรฐานของทางโรงแรมซึ่งก็มีทั้งหมูหัน หอยเป๋าฮื้อ ปลาเก๋าและอื่นๆ เช่นกัน แต่ไม่มีแชมเปญให้ที่โต๊ะ ฆาบี้บอกเจว่าพวกนั้นราคาจะคิดเป็นต่อโต๊ะซึ่งก็เหยียบ 20,000 เหรียญต่อโต๊ะ ไม่รวมค่าเครื่องดื่ม ซึ่งจัดเป็นแพ็คเกจมาเช่นกัน เจคิดสะระตะดูแล้วแทบเป็นลมเมื่อรู้ว่างานเลี้ยงงานนี้ราคาน่าจะเกิน 1.5 ล้านเหรียญฮ่องกง นี่ยังไม่รวมพิธีเช้า พิธีแบบคริสต์ งานดอกไม้ และค่าจ้างออกาไนเซอร์

คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวขอบคุณแขก มีการตัดเค้ก เล่นเกมต่างๆ เพื่อแจกรางวัล มีตั้งแต่ของขวัญเล็กๆ ไปจนถึงสร้อยทองและเวาเชอร์เข้าพักโรงแรมชั้นนำเพื่อให้สมกับที่เจ้าสาวทำงานกับเว็บท่องเที่ยวชื่อดัง มีการเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นไปมอบของขวัญและกล่าวอวยพรสั้นๆ รวมถึงฆาเบียร์ด้วย เขาดึงเจนยุทธขึ้นไปด้วยเพื่อถ่ายรูปคู่กับบ่าวสาวบนเวที เจประหม่าเมื่อเห็นกล้องจำนวนมาก ถ้าไม่นับตอนงานเปิดตัวบริษัทเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกสื่อคู่กับฆาเบียร์ เขาเคยมางานกับฆาบี้ที่กรุงเทพฯ และฮ่องกงอย่างละครั้ง ทั้งสองครั้งเขามักเลี่ยงกล้องและยืนอยู่ห่างๆ ยามที่ต้องมีการถ่ายรูป

"ฆาบี้ ทำไมงานนี้มีพวกนักข่าวมาทำข่าวด้วยล่ะ?"

เจกระซิบถาม เขาสังเกตเห็นได้จากกล้องและไมโครโฟนที่ติดชื่อสำนักข่าว

"อ๋อ ลุงวิคเตอร์แกเป็นคนดังในวงธุรกิจน่ะ แม่ของลุงเค้าเป็นลูกสาวสายตรงของตระกูลซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของฮ่องกง ส่วนภรรยาของลุงเค้าก็เป็นอดีตดาราดัง..."

เจมองแม่เจ้าบ่าวที่กำลังขึ้นไปกล่าวอวยพรบนเวที เธอยังสวยสมกับที่เคยเป็นดาราแม้วัยน่าจะล่วงเข้า 60 ปีแล้ว ฆาเบียร์เล่าต่อว่าตัวเจ้าบ่าวเองก็เคยเป็นอดีตไอดอลในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะไปเรียนต่อด้านฟิล์มและมีเดียที่ UC Berkeley ทำให้เขาได้พบกับเจ้าสาวซึ่งเรียนด้านธุรกิจที่นั่น ในตอนนี้เจ้าบ่าวยังคงทำงานในวงการแต่เป็นในฐานะโปรดิวเซอร์ ส่วนเจ้าสาวนั้นเข้าทำงานในบริษัทเขาตั้งแต่ที่สหรัฐฯ และย้ายกลับมาทำที่สาขาฮ่องกงเพราะมีแผนจะแต่งงาน



"บอสคะ ขอชนแก้วหน่อยค่ะ"

เสียงใสๆ ของเจ้าสาวดังขึ้น ทั้งเจ คริสและฆาเบียร์ยกแก้วแชมเปญของตนขึ้นชนแก้วกับบ่าวสาว ที่ฮ่องกงเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะไม่ได้ลงมาเดินถ่ายรูปร่วมกับแขกที่โต๊ะเฉยๆ แต่จะเป็นการลงมาเพื่อชนแก้วกับทุกคน บรรยากาศของงานจะสนุกสนานเฮฮากว่า ดนตรีในช่วงนี้เป็นการเปิดแผ่นของดีเจ ก่อนหน้านี้ก็มีการแสดงทำเซอร์ไพรส์ของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เจ้าบ่าวนั้นขุดเพลงของตัวเองสมัยเป็นไอดอลขึ้นมาร้องและเต้นอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อเจ้าสาวที่เคยเป็นแฟนตัวยงของเขาสมัยยังหนุ่ม ส่วนเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวซึ่งเมลิน่าเป็นหนึ่งในนั้นก็เปลี่ยนใส่ชุดสุดเซ็กซี่มาเต้นเพลงดังประจำปีอย่าง Despacito ฆาเบียร์ถึงขั้นกุมขมับเมื่อเห็นเจ้าสาวทำท่าเกือบเหมือนนักเต้น lap dance หรือเต้นระบำบนตักเจ้าบ่าวอยู่แล้ว เขาเดาว่าคนสอนเต้นไม่น่าจะเป็นใครไปได้นอกจากหัวหน้าแผนกเลขาฯ ตัวแสบของเขานั่นเอง เจเองก็อ้าปากค้างทำตาโตดูสาวๆ วาดลีลาสุดเซ็กซี่จนฆาเบียร์ต้องแอบตีขาคนรักเบาๆ

"แหะๆ มันเผลอไปหน่อยครับ ขออภัยๆ"

เจนยุทธหันไปหัวเราะแหะๆ ให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาอดน้อยใจเล็กๆ ไม่ได้ แต่ความน้อยใจนั้นหายไปเมื่อเจใช้จังหวะที่ไฟในฮอลล์ยังมืดอยู่จูบเบาๆ เข้าที่แก้มของเขา

"ผมอาจว่อกแว่กบ้าง แต่ตัวจริงของผมยังไงก็ยังเป็นคุณวันยังค่ำนะ ฆาบี้"

เจกระซิบไม่ค่อยเบานักที่ข้างหูคนตัวโตที่นั่งยิ้มหน้าบาน



"เออ ผมว่าจะถาม เจ้าสาวเต้นสะบัดขนาดนี้พวกผู้ใหญ่เขาไม่ว่าเอาเหรอ คุณ"

เจถามงงๆ เขาไม่เห็นปฏิกิริยาผู้สูงวัยคนอื่น แต่ทางครอบครัวเจ้าบ่าวดูจะไม่ได้ว่าอะไร แถมยังมีทีท่าชอบใจและเชียร์เจ้าสาวอีกต่างหาก ฆาเบียร์บอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

"ฉันรู้แค่ว่า ถ้าเจทำแบบนี้ให้ฉัน ฉันคงจะมีความสุขมากๆ แน่ๆ เลย"

เจนยุทธหน้าร้อนผ่าว กลางโต๊ะอาหารที่มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ เมียตัวโตของเขายังกล้าพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อีก เขากัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะกระซิบกลับไป

"งั้นคืนนี้เรามาแข่งกันหน่อยดีไหม? ฆาบี้ หลังเลิกงานเราแยกกันสักพักและนัดเจอกันอีกทีที่ร้านอะไรก็ได้สักร้าน ผมจะเข้าหาคุณในฐานะคนอื่น แต่คุณก็ต้องปฏิเสธผมให้ได้ ถ้าคุณใจแข็งทนได้ไปจนถึงร้านปิดก็ถือว่าคุณชนะ แต่ถ้าคุณทนไม่ได้และหิ้วผมกลับห้อง ถือว่าผมชนะ"

"แล้วคนชนะจะได้อะไรล่ะ เจ?"

"อะไรก็ได้ตามใจเลย..."

"...ถ้าคุณชนะ ผมแถมแล็ปแดนซ์แบบเจ้าสาวให้ด้วยเลยเอ้า แต่ถ้าผมชนะ นอกเหนือจากขออะไรก็ได้แล้ว ผมขอมื้อเย็นสุดหรูที่มาเก๊าอีกมื้อนึง โอเค๊?"

ฆาเบียร์ตาลุกวาว ของรางวัลล่อใจแบบนี้เขาไม่ยอมแพ้เจโดยเด็ดขาด​

"โอเคเลย เจนยุทธ นายหาเรื่องใส่ตัวเองนะ"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ เจจะยั่วเขาได้แค่ไหนกันเชียวและเขามั่นใจว่าเขาทนได้แน่นอน



งานเลี้ยงดำเนินต่อไป หลังจากบ่าวสาวเต้นรำคู่กัน แขกผู้ใหญ่ก็ทะยอยกันกลับรวมถึงคริสด้วย ฆาเบียร์และเจก็ลุกออกมาด้วย พวกเขาออกมาถ่ายรูปกับบ่าวสาวอีกครั้งที่แบ็คดร็อปหน้างาน ก่อนที่จะมายืนคุยกับคริสระหว่างที่ยืนรอรถของเขามารับ

"พรุ่งนี้ยังอยู่ฮ่องกงอีกวันใช่ไหมเจ?"

คริสถาม เจนยุทธตอบรับ เขาบอกว่าเขายังค้างฮ่องกงต่ออีกคืนและจะข้ามไปฝั่งมาเก๊าในวันอังคาร

"ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เที่ยงกินข้าวด้วยกันแล้วกลางคืนมาค้างบ้านอาปาด้วยดีไหม?"

เจตอบตกลงโดยไม่หันไปถามคนตัวโตที่ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เวลาอันมีค่ากับเจเสียไปอีกคืนหนึ่งแล้ว

"แล้วจะไปที่นั่นยังไงล่ะ ฆาบี้ให้เมลิน่าจองเฮลิคอปเตอร์ไว้แล้วใช่ไหม?"

คริสหันไปถามลูกชายของเขา เฮลิคอปเตอร์จากฮ่องกงไปมาเก๊าใช้เวลาประมาณ 15 นาที และมีค่าใช้จ่ายขาละ 4,300++ ดอลล่าร์ฮ่องกงต่อเที่ยวต่อคน บางครั้งคริสจะใช้บริการนี้เมื่อมีเวลาน้อยและไม่อยากเมาเรือ

"ไม่ครับ พวกผมจะไปมาเก๊าทางเรือกัน"

เจตอบทันควัน เขาบอกคริสว่าพวกเขาคุยกันแล้วว่าจะไปทางเรือ ตอนแรกฆาเบียร์ก็เสนอให้พวกเขาเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ แต่เจปฏิเสธหัวชนฝา และบอกว่าเขาโอเคกับเรือเฟอรี่มากกว่าเฮลิคอปเตอร์ เขาบอกว่าคริสว่าพวกเขามีเวลาเยอะและไม่จำเป็นต้องไปเสียตังค์เดินทางแบบเร่งด่วนขนาดนั้น ฆาเบียร์มองหน้าคนรักที่หันมายิ้มหวานให้เขาและยิ้มตอบกลับให้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน เจดึงดันเป็นคนออกค่าใช้จ่ายส่วนการเดินทางให้เขา เจ้าตัวจ่ายค่าเรือไปกลับโดยเหมาเคบิน วีไอพีแบบนั่งได้ 4 คนในเรือ Premier Jetfoil ของบริษัท TurboJet ซึ่งราคาสูงถึง 2,300 ดอลล่าร์ฮ่องกงต่อเคบินต่อขา ฆาเบียร์บ่นว่าเจไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงขนาดนี้ แต่คนตัวเล็กของเขาอ้างว่าเขาอยากมีพื้นที่ส่วนตัวไว้เอนหลังสบายๆ จะได้ไม่ต้องเมาเรือมาก

"งั้นอาปาไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันนะทั้งสองคน"

ทั้งสองลาคริสที่ขึ้นนั่งบนรถเบนท์ลีย์คันงามของเขาและโบกมือให้จนรถเคลื่อนออกไป ฆาเบียร์หันมายิ้มให้คนรัก

"ขอบใจนะเจ"

"หือ มาขอบคุณผมเรื่องอะไร? เฮ้ย แล้วยีหัวผมอีกทำไมล่ะเนี่ย"

เจนยุทธบ่นกะปอดกะแปดเมื่อโดนคนตัวโตยีหัวจนยุ่งอีกแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขารู้ดีว่าเจเมาเรือง่ายแค่ไหน ตอนไปสมุย ช่วงที่ออกเรือไปเที่ยวเกาะแตน เจต้องกินยาแก้เมาเรือก่อนแถมต้องมียาดมและถุงพลาสติกติดมือไว้ตลอดเวลาอีกด้วย ฆาบี้รู้ทันว่าที่เจยอมนั่งเรือนั้นก็เพราะไม่อยากให้เขาที่มีแผลใจกับอากาศยานขนาดเล็กต้องมาทนนั่งเฮลิคอปเตอร์แม้จะแค่ 15 นาทีก็ตาม


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2018 05:20:17 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Boys' Night Out (ต่อ) ----




"เฆเฟ่คะ เดี๋ยวพวกเราจะไปต่อกัน เฆเฟ่จะไปด้วยหรือเปล่าคะ?"

เมลิน่าที่เริ่มเดินเป๋ๆ บ้างแล้วยิ้มหน้าระรื่นให้นายของเธอ เธอเดินมาตามหาทั้งสองคนที่ขึ้นเอาของมาเก็บบนสำนักงานเพื่อถามเรื่องจะไปเที่ยวต่อ

"แล้วจะไปต่อแถวไหนกัน?"

เขาส่ายหน้าว่าเขาคงไม่ไปด้วยเมื่อเมลิน่าพูดชื่อร้านๆ หนึ่งซึ่งเป็นแหล่งรวมเหล่าขาแดนซ์ทั้งหลาย

"ฉันว่าจะไปร้านนั่งดื่มสบายๆ มากกว่าน่ะ พวกเธอไปต่อกันตามสบายแล้วกัน แต่อย่าเมามากนักล่ะ พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดนะ"

ฆาเบียร์ทำเสียงเข้มใส่เลขาตัวแสบของเขา เมลิน่ายิ้มแหยๆ และบอกว่าเธอเข็ดและไม่กล้าเมามากแล้ว เธอหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อบอกทั้งคู่ว่าริคกี้จะตามไปคอยดูแลและขับรถพาเธอกลับบ้านด้วย

"เดี๋ยวก่อน เมลิน่า ผมขอติดรถไปด้วยได้ไหม?"

เจเรียกเมลิน่าไว้และกระซิบกระซาบที่ข้างหูเลขาของคนรัก แม่สาวละตินรักสนุกหัวเราะคิกออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เจบอก ฆาเบียร์รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเจ เจนยุทธหันมาถามฆาเบียร์ว่าเดี๋ยวเขาจะไปที่ร้านไหน

"โอเค ร้าน Lily&Bloom ใช่ไหม? เมลิน่า รู้ที่นะ?..."

เลขาสาวบอกว่ารู้ที่ มันห่างจากที่ๆ เธอจะไปไม่ไกลนัก

"งั้น เจอกันนะครับ ผมไปก่อนนะ"

เจจุ๊บเบาๆ ที่แก้มคนรักก่อนจะถอดต่างหูของคาตาลิน่าออกส่งให้ฆาเบียร์

"ฝากเก็บไว้ก่อนนะ ฆาบี้ ไว้ผมจะมาเอาคืนหลังจากผมชนะแล้วนะ"

เจยิ้มอย่างมั่นใจ

"นายหมายถึงหลังจากฉันเมินนายจนนายต้องมายอมขอยอมแพ้น่ะเหรอ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจแลบลิ้นใส่เมียตัวโตของเขาก่อนที่จะควงแขนเมลิน่าเดินไปที่ลิฟท์ ฆาบี้โคลงหัวเบาๆ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกคนขับรถของเขา



เจนยุทธเดินเข้ามาในตัวร้าน Lily&Bloom ซึ่งตกแต่งด้วยสไตล์อเมริกันยุค 1920's เขากวาดสายตามองหาฆาเบียร์ที่ชั้นหนึ่งแต่ก็ไม่เจอ เขาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อสำรวจดูความเรียบร้อยของตัวเอง เขาจัดการถามเมลิน่ามาเรียบร้อยถึงสเป็คหนุ่มๆ ที่ฆาเบียร์เคยเดทด้วย

"เอ่อ สเป็คเฆเฟ่ก็แบบคุณเจแหละค่ะ ตัวเพรียวๆ หน้าหวานๆ ไม่ก็ต้องแมนๆ ล่ำๆ ไปเลย"

เจเกาหัว แล้วเขาจะทำยังไงดี เมลิน่าที่เริ่มสนุกกับการละเล่นของคู่รักของนายลืมเรื่องที่จะไปเที่ยวต่อแล้ว เธอกับริคกี้ลากเจมาที่ร้าน Uniqlo สาขา Lan Kwai Fong ซึ่งเปิดถึงสี่ทุ่ม เธอจับเจลองเสื้อผ้าหลายสไตล์ สุดท้ายก็จบลงที่เสื้อคอเต่าสีครีมและใส่ทับด้วยสูทสีน้ำตาลเข้ารูปชุดที่เขาใส่ไปงานแต่งงาน เธอจับเจนยุทธเซ็ตผมใหม่โดยเสยผมที่ปรกหน้าผากไปด้านหลังหมดและเปิดให้เห็นหน้าผากนวลเนียน เธอจัดแต่งผมสีดำขลับของเจจนเนี้ยบเรียบแปล้ จากนั้นยังลงแป้งเบาๆ ให้หน้าที่นวลเนียนอยู่แล้วของเจให้ดูผ่องใสและสำอางกว่าเดิม แถมเธอยังจับเจทาลิปมันบางๆ ให้ปากมันวาวเล็กน้อยก่อนที่จะพาเจมาส่งที่ร้านซึ่งเป็นจุดนัดหมายของทั้งสองคน

เจมองตัวเองที่ดูแปลกตาในกระจก ทรงผมใหม่ทำให้เขาดูเนี้ยบและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

"แหม...ดูไปดูมาเราก็หน้าคล้ายพี่ติ๊กเหมือนกันเนาะ"

เจพึมพำเบาๆ ก่อนจะส่ายหัวและคิดว่าตัวเองชักจะฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว เขาออกห้องน้ำและเดินขึ้นบันไดไปบริเวณชั้นสองของร้านแล้วก็เห็นคนตัวโตของเขานั่งดื่มเงียบๆ อยู่ที่บาร์ เจยิ้มบางๆ เขาเดินไปยังที่บาร์และลงนั่งข้างเมียตัวโตของเขาซึ่งกำลังนั่งละเลียดค้อกเทลในมืออยู่



"Martinez แก้วหนึ่งครับ"

เจสั่งเครื่องดื่มชื่อเหมือนนามสกุลของคนรักตามที่เมลิน่าแนะนำมา เขาพยายามกดเสียงลงต่ำให้ฟังดูเคร่งขรึมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเรียกร้องความสนใจของฆาเบียร์ได้ตามคาด เมียตัวโตของเขาสะดุ้งน้อยๆ และหันมามองเขา เจหันไปสบตากับคนรักที่ทำตัวเป็นคนแปลกหน้า เจยิ้มน้อยๆ และผงกหัวให้ฆาเบียร์ เขาลิงโลดเมื่อเห็นแววตาของฆาบี้ คนรักของเขาแลดูประหลาดใจที่ได้เห็นเขาในลุคนี้ เจรู้สึกได้ว่าแววตาของฆาบี้ในคืนนี้เหมือนกับตอนที่มองเขาที่แกล้งทำเป็นเมาในคืนแรกที่พวกเขาได้เจอกันไม่มีผิด เขารู้ในทันทีว่าคืนนี้เขาชนะได้แน่นอน

ฆาเบียร์สั่งค้อกเทลแบบเดียวกันกับที่เจเพิ่งสั่งไป เจยกแก้วขึ้นน้อยๆ เมื่อฆาเบียร์ยกแก้วชูมาที่เขา เจส่งยิ้มหวานให้คนรักของเขาและแทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อฆาบี้ถามเขาด้วยประโยคเริ่มคุยเฉิ่มๆ อย่าง 'มาบ่อยเหรอครับ'

"มาครั้งแรกครับ ผมไม่ค่อยได้เที่ยวกลางคืนที่ฮ่องกงเท่าไหร่"

เจนยุทธตอบตามจริง เขายกค้อกเทลขึ้นจิบและยิ้มบางๆ ออกมา ค้อกเทลที่ทำจากจิน เหล้ามาราชชิโน่ สวีท เวอร์มุธและออเรนจ์ บิทเทอร์นั้นอร่อยล้ำเหลือเกิน แม้จะขมแต่ก็อมหวานและหอมเชอรี่จางๆ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากน้อยๆ และยกขาขึ้นไขว่ห้าง สายตาของฆาเบียร์ที่ลอบมองสำรวจตามช่วงสะโพกไล่ลงมาตามช่วงขาเรียวของเขาทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว เจยิ่งรู้สึกสนุกขึ้นเมื่อเห็นฆาเบียร์พยายามเบือนหน้าหนีไปจากเขา



"คุณไม่ใช่คนแถวนี้เหรอครับ?"

ฆาเบียร์ถามขึ้นเพื่อดับความประหม่าในใจ

"สำคัญด้วยเหรอ?"

เจยกแก้วค้อกเทลขึ้นจิบช้าๆ เขาเม้มปากไปที่ปากแก้วด้วยเจตนาให้ฆาเบียร์ได้เห็นชัดๆ ก่อนที่จะตัดสินใจหยอดคำพูดที่ฟังกำกวม

"เราคงเจอกันแค่คืนนี้คืนเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรอกว่าผมเป็นใคร"

เจรุกหนักขึ้นด้วยการไล้นิ้วไปตามหลังมือใหญ่ของฆาเบียร์ที่วางบนเคาเตอร์บาร์ เขายิ้มกริ่มในใจเมื่อเห็นคนรักสะดุ้งเฮือกขึ้นน้อยๆ พร้อมหน้าที่ขึ้นสีอย่างชัดเจน หลังๆ มาเขาไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายส่งสัญญาณเชิญชวนฆาเบียร์แบบนี้เท่าไหร่นัก

"ผม...ผมมีคนรักแล้ว"

เจเกือบใจอ่อนหลุดบทบาทเมื่อได้ยินเสียงพูดอย่างตะกุกตะกักของฆาเบียร์ พ่อเจ้าประคุณของเขาคิดจริงๆ เหรอว่าคำพูดแบบนี้จะปฏิเสธคนที่ตั้งใจมารุกเร้าเขาได้ เขารุกหนักขึ้นด้วยการเอนตัวเข้าไปหาและกระซิบแผ่วๆ ที่หูของเมียตัวโตของเขา

"ผมไม่ถือ ผมเองก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน"

ไม่พูดเปล่า เจใช้ลิ้นดุนเบาๆ ที่ติ่งหูของคนรัก ขนคอของฆาเบียร์ลุกซู่ขึ้นมาให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน คนรักของเจขบกรามแน่นและพยายามข่มกลั้นความปรารถนาของตนเอง เขาพยายามนึกว่าคนที่กำลังยั่วยวนเขาอยู่นี้เป็นคนอื่น ไม่ใช่เจ และเขาจะนอกใจคนรักของเขาไม่ได้ แต่ไม่เป็นผล ร่างกายของเขามันตอบสนองต่อทั้งเสียง ทั้งกลิ่นกายและทั้งสัมผัสของเจไปเสียแล้ว

เจยกมือขึ้นไล้ต้นขาแข็งแรงของฆาเบียร์ คนตัวโตของเขาพยายามกระเถิบหนี แต่เหมือนร่างกายของเขาจะตอบสนองต่อสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น เจส่ายหัวอย่างระอาเมื่อเห็นบางส่วนของฆาเบียร์เริ่มพองฟูเล็กๆ ฆาเบียร์รีบหันไปสั่งมาตินี่จากบาร์เทนเดอร์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆ แต่เมื่อเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเขากลับดื่มไม่ลงเพราะเจรุกเขาหนักขึ้น เจรู้ดีว่าเขาต้องสัมผัสตรงไหนเพื่อให้คนรักเครื่องติด เขาไล้มือและนวดเฟ้นเบาๆ ที่ต้นขาด้านในของฆาเบียร์ มือของเขารุกล้ำใกล้ส่วนสงวนของฆาเบียร์เข้าทุกที



เจนยุทธตัดสินใจปิดจ็อบเมื่อเห็นฆาเบียร์กัดริมฝีปากแน่นและเลิกขัดขืน ตัวเจเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว เขาอยากสัมผัสคนรักตัวโตของเขาใจแทบขาดจริงๆ

"ผมพอแล้วดีกว่า เชิญคุณเอาอารมณ์ที่ค้างจากผมไประบายกับคนรักเถอะ"

เจหยุดมือและยิ้มอย่างยั่วเย้าให้ฆาเบียร์ เขารู้ว่าคำพูดสุดท้ายของเขานี้จะทำให้ฆาเบียร์ต้องรีบหิ้วเขากลับห้องอย่างแน่นอน​ เขาพลันลุกขึ้นและวางเงินค่าค้อกเทลไว้ให้ที่บาร์ จากนั้นเดินหันหลังเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง เขายิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งลงบันไดตามหลังมา จากนั้นต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกกระชากแขนเข้าไปในห้องน้ำ เจตัวร้อนผะผ่าวเมื่อเขาถูกดันตัวติดผนัง ริมฝีปากร้อนๆ ของฆาเบียร์บดขยี้ลงมาที่ปากเขาอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บ เจปิดปากแน่นในทีแรกแต่สุดท้ายก็ต้องเปิดปากรับลิ้นร้อนๆ ของฆาบี้ที่ฉกวูบเข้ามา เขาเผลอตัวตอบสนองต่อจูบของคนรักด้วยความรุนแรงพอๆ กัน เจสอดมือเข้าใต้ชายเสื้อของฆาบี้และลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่านั้น เขาครางออกมาเบาๆ อย่างเสียวซ่านเมื่อริมฝีปากของคนรักเลาะเล็มใบหูและซอกคอของเขา

"ไม่ ไม่ใช่ที่นี่"

เจหอบหายใจและดันร่างใหญ่กำยำของฆาเบียร์ออก ถ้าปล่อยให้เจ้าตัวทำตามใจ เขาคงไม่พ้นต้องถูกจับกดและมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนรุนแรงกันในห้องน้ำที่นี่แน่ๆ ฉะนั้นถ้าไม่อยากลำบากภายหลัง เขาต้องหาทางดับอารมณ์ใคร่ที่พลุ่งพล่านของฆาเบียร์ในตอนนี้ให้ได้ก่อน

ฆาเบียร์ขบกรามแน่นเมื่อถูกเจในบทบาทของคนแปลกหน้าปฏิเสธ แต่เขาเองก็รู้ตัวว่าด้วยสภาวะอารมณ์ในตอนนี้เขาคงไม่แคล้วต้องทำอีกฝ่ายเจ็บแน่ๆ ไหนๆ วันนี้เขาก็แพ้แล้ว เขาก็อยากจะลิ้มรสคนรักแบบสบายๆ บนเตียงของตัวเองเช่นกัน

"งั้น ไปห้องผม"

เจถูกฆาบี้ลากข้อมือพาออกจากห้องน้ำ พวกเขาออกไปยืนรอที่หน้าร้านจนโรลสรอยซ์ โกสต์คันงามของฆาเบียร์มาถึง หลังขึ้นรถเจก็ถูกดึงตัวให้ขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักของคนตัวโตที่นั่งอยู่บนเบาะหนังนุ่ม ฆาเบียร์ซุกไซร้หน้าลงกับซอกคอและเลาะเล็มลงมายังยอดอก เจผวาเฮือกเมื่อจมูกโด่งของฆาเบียร์เฉี่ยวไล้ไปกับเม็ดทับทิมของเขาที่เริ่มชูชันดันผ้าของเสื้อคอเต่าเนื้อบาง มือใหญ่ของฆาเบียร์ตะปบเข้าที่บั้นท้ายของเขาและคลึงเคล้นเบาๆ เจขนลุกไปทั้งตัวแต่ยังพยายามรักษาบทบาทตัวเองด้วยการไม่ยอมให้ฆาเบียร์จูบปากอีก พวกเขานัวเนียกันในรถพักใหญ่อย่างลืมอายคนขับจนมาถึงอาคาร ICC อันเป็นที่ตั้งของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตั้น



เมื่อประตูห้องปิด ฆาเบียร์ไม่ยอมเสียเวลาและอุ้มร่างของเจไปยังเตียงนอน เจถูกดันร่างลงบนเตียงนุ่มก่อนจะถูกฟอนเฟ้นไปทั้งตัว เขายังคงเลี่ยงการจูบปากแต่เหมือนคนรักของเขาจะสนใจอย่างอื่นมากกว่า เจผวาเฮือกขึ้นและครางออกมาอย่างสุดจะกลั้นเมื่อฆาเบียร์โจมตีส่วนยอดอกเปลือยเปล่าที่ไวต่อสัมผัสของเขา เขาเองก็ลนลานถอดเสื้อเชิร์ตของฆาเบียร์ออกและอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างคนรักได้ เจเริ่มรุกเร้าและใช้ปากจัดการฆาเบียร์จนต้องปลดปล่อยออกมาครั้งหนึ่ง เขายิ้มมุมปากเมื่อเห็นคนตัวโตที่มีทีท่ามั่นใจมากว่าตัวเองจะได้เป็นฝ่ายกอดตกใจเมื่อรู้ว่าเสียทีให้เขาเสียแล้ว เจช้อนตาขึ้นมองคนรักอย่างเว้าวอนเพื่อขอเป็นฝ่ายรุกเร้า อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกก่อนที่จะยอมปล่อยให้เขาจัดการตามใจชอบ

ร่างใหญ่กำยำนั้นผวาเฮือกทุกครั้งที่เจขยับนิ้วและยิ่งบิดกายเร่าด้วยความเสียวสุดขั้วเมื่อเขากระแทกแก่นกายเพื่อป้อนความหฤหรรษ์ให้ ฆาเบียร์ที่ครางกระเส่าอยู่ใต้ร่างทำให้เจรู้สึกได้ถึงพลังและอำนาจ เขาเปลี่ยนท่าเมื่อคนรักที่สุดแสนจะเร่าร้อนของเขาร้องขอ ฆาเบียร์ที่ขึ้นเป็นคนคุมจังหวะเองบดเบียดสะโพกลงแบบไม่กลัวตัวเองจะเจ็บ เจรู้สึกได้ว่าเมียตัวโตของเขามีอารมณ์กว่าทุกครั้ง เจเปลี่ยนท่าเมื่อรู้สึกถึงความบีบรัดในช่องทางด้านหลังของฆาบี้ คนตัวโตใช้มือยึดหัวเตียงไว้และร่อนสะโพกรับการกระแทกของเขาจนกระทั่งคำรามยาวออกมาด้วยความเสียวสุดยอดโดยที่เจไม่ต้องสัมผัสแท่งเนื้อของฆาเบียร์ให้เลย



เจหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ยังคงรักษาบทบาทของตัวเองด้วยการตวาดห้ามเขาเบาๆ เมื่อเขากำลังจะทิ้งรอยจูบไว้ที่คอตามความเคยชิน เจป้อนความเสียวให้ฆาเบียร์ต่อจนกระทั่งพวกเขาทั้งสองคำรามลั่นออกมาพร้อมกัน ฆาเบียร์พลิกกายกลับมาเพื่อตระคองกอดเขาหลังร่วมรักเหมือนทุกที แต่เจก็ดันร่างใหญ่กำยำนั้นออก เขาลงเตียงและเดินไปริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่เพื่อชมวิวอ่าววิคตอเรียจากชั้นที่ 109 แห่งนี้ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขึ้นมายังห้องโรงแรมที่ฆาเบียร์เช่าอยู่ระยะยาวแห่งนี้ แต่เขาก็ยังคงทึ่งกับวิวอันแสนงดงามของมัน

แขนล่ำสันของเมียตัวโตของเขาโอบหมับเข้าที่เอวของเขา เจยิ้มกริ่มเมื่อคนรักซุกไซร้ใบหน้าไปกับซอกคอของเขาและชวนเขากลับขึ้นเตียง หากเจนยุทธปฏิเสธ เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วและถึงเวลาทวงของรางวัลจากเมียตัวโตของเขา เจจุมพิตเบาๆ ที่แก้มของฆาบี้พร้อมกับบอกว่าได้เวลาที่เขาจะกลับไปหาแฟนของตัวเองแล้ว



"นายน่ะ ขี้โกง"

เจอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อคนตัวโตที่เช็ดผมให้เขาอยู่โอดครวญออกมา

"โกงตรงไหน ผมทำตามกฎทุกอย่าง"

เขาไม่ได้โกงสักนิด ก็แค่ไปถามข้อมูลกับได้ความช่วยเหลือจากเมลิน่าแค่นั้นเอง เมียตัวโตของเขาต่างหากที่ควรจะต้องอดทนอดกลั้นและทำตัว 'ยาก' เข้าไว้ แต่นี่เจอกันแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ลากเขากลับห้องซะแล้ว แบบนี้มันไหวเหรอ

"คราวนี้ผมชนะพนันคุณ จะเอาอะไรดีน้า?"

เจยิ้มกริ่ม เขาก็ไม่ได้คิดจะขออะไรจากฆาเบียร์อยู่แล้ว ความตื่นเต้นที่เขาได้รับจากการแข่งขันต่างหากคือสิ่งที่เขาอยากได้​

"...งั้นผมขอกินคุณอีกรอบแล้วกัน"



เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อร่างเขาถูกโยนลงบนเตียง ร่างใหญ่กำยำโถมทับลงบนร่างเขา เจแทบขาดใจกับจูบร้อนๆ ที่อีกฝ่ายตั้งใจป้อนมาให้เขา เซ็กส์กับฆาเบียร์เมื่อครู่นั้นเยี่ยมถึงใจก็จริง แต่มันขาดความความรู้สึกลึกซึ้งที่พวกเขาส่งให้กันผ่านทางจูบแบบนี้

"นายนี่ชอบจูบจริงๆ นะ เจ"

ฆาเบียร์หัวเราะ ก่อนจุ๊บเบาๆ บนหน้าผากเนียนของคนรัก คนตัวเล็กเพียรเลาะเล็มริมฝีปากของเขาไม่หยุดมาตั้งแต่หลังสัมผัสเตียงแล้ว เจหน้าแดงระเรื่อก่อนพูดพึมพำว่าใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น เขาจูบแผ่วๆ บนริมฝีปากบางที่ยิ้มละไมอยู่ตรงหน้า ตัวเขาในอดีตใช้จูบเพียงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ แต่กับฆาเบียร์แล้วจูบที่แสนร้อนแรงของฆาเบียร์ไม่เพียงแค่กระตุ้นอารมณ์ของเขา หากยังเป็นการส่งผ่านความรัก ความห่วงหาอาทรและความคะนึงหาให้แก่กันและกัน มันทำให้เขาเข้าใจว่าเพราะเหตุใดชาวตะวันตกถึงได้จูบกันทุกที่ทุกเวลา

แต่จูบที่คนตัวโตกำลังป้อนให้เขาในตอนนี้เป็นแบบที่ทำให้อารมณ์ของเขาเตลิดไปไกล ลิ้นของฆาเบียร์ขยับในแบบที่เขาเองยังทำไม่ได้ มันกระตุ้นเร้าประสาทสัมผัสของเจนยุทธให้ตื่นตัวเช่นเดียวกับบางส่วนของเขาโดยที่ไม่ต้องสัมผัสเลยด้วยซ้ำ เจครางออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อฆาเบียร์สัมผัสส่วนสงวนของเขา

"ฆาบี้!"

เจอุทานออกมาเมื่อฆาเบียร์แกะซองถุงยางและใส่ให้เขา

"ผมนึกว่า..."

"คืนนี้ฉันแพ้พนันเจ ฉันก็ต้องเป็นของเจทั้งคืนนะ"

เมียตัวโตของเจที่ตาเยิ้มและหน้าแดงระเรื่อด้วยแรงปรารถนาพูดยิ้มๆ เขาสูดปากน้อยๆ เมื่อนิ้วของตัวเองที่ส่งเจลเข้าช่องทางด้านหลังครูดกับจุดเสียว เจมองภาพนั้นพลางรูดไล้แก่นกายของตัวเอง เขาอยากจะจัดการคนตัวโตจอมยั่วคนนี้เต็มทีแล้ว

"คุณ ยั่วนักนะ"

เจคำรามเบาๆ ฆาเบียร์เขี่ยไล้ตุ่มไตบนอกของตัวเองและส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนรัก เจนยุทธตบเบาๆ ที่หน้าขาของตัวเอง

"มาหาป๋าสิ คนดี"

ฆาเบียร์กัดริมฝีปากน้อยๆ ก่อนที่จะขึ้นนั่งคร่อมแก่นกายของเจและจับมันจ่อกับช่องทางที่อ่อนนุ่มแล้วของตัวเอง เขากัดกรามแน่นเมื่อช่องทางแคบๆ นั้นครอบลงไปบนแท่งลำอันแข็งเกร็งของเจนยุทธ

"เจ!"

ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกและดุเบาๆ เมื่อเจเสยสะโพกขึ้นหนักๆ ในจังหวะที่เขาบดสะโพกลงไปเกือบสุด เจยันตัวขึ้นนั่งและกอดฆาเบียร์ไว้แน่น



"Te amo, Javier"

เขากระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูคนรัก ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ซอกคอ ฆาเบียร์ตัวสั่นสะท้านน้อยๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของเจและแรงดูดเบาๆ ที่คอทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว เขาเริ่มขยับกายอย่างช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น เจนยุทธเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มือของเขาง่วนอยู่กับยอดอกสีน้ำผึ้งไม่ก็ส่วนสงวนที่ขยายตัวจนล้นมือของเขา ฆาเบียร์ครางกระเส่าเมื่อเจเสยสะโพกขึ้นรับการบดเบียดลงของตน

ฆาเบียร์ร้องอย่างขัดใจเมื่อเจฉุดเขาให้หยุด แต่ก็ครางลั่นออกมาอีกครั้งเมื่อเจเปลี่ยนท่า เจให้เมียตัวโตของเขาลงนอนตะแคง ส่วนตัวเองนั่งคุกเข่ายกขาฆาเบียร์ขึ้นข้างหนึ่งและดันแก่นกายเข้าหาช่องทางสีแดงก่ำนั้น

“อ๊ะ เจ ดี มันเข้าลึกมาก อีกๆ หนักๆ อ๊า”

ฆาเบียร์ร้องลั่นในแบบที่เขาเคยคิดว่าเป็นเพียงการแสดงของเหล่าคู่ขา เจนยุทธยิ้มกริ่มและเร่งเร้าอย่างหนักหน่วง เหงื่อกาฬไหลโทรมกายของคนทั้งสอง ฆาบี้อดรนทนไม่ไหวจนในที่สุดก็แผดเสียงออกมาและปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาเต็มมือเจนยุทธ เจดึงทิชชู่มาเช็ดมือก่อนจะพลิกร่างที่ยังเชื่อมต่อกับตัวเขาให้นอนหงาย เขาอยากจะจบคืนนี้ด้วยท่าที่พวกเขาได้สัมผัสร่างกันอย่างแนบชิดที่สุด เจทาบกายลงบนตัวฆาเบียร์ เขารู้สึกถึงท่อนขาที่เกี่ยวกระหวัดรอบสะโพกของตัวเองได้ เจนยุทธค่อยๆ ขยับอย่างช้าๆ เขาอยากลิ้มรสของคนรักตัวโตคนนี้นานอีกสักนิด ฆาเบียร์ครางเสียงกระเส่า มือหนึ่งของเขาจิกกำผ้าปูเตียงแน่น ส่วนอีกมือประสานกับมือเรียวของคนรัก ริมฝีปากของทั้งสองล็อคติดกันแน่น เจเสยสะโพกหนักๆ อีกไม่กี่ทีก่อนที่จะตัวสั่นเทิ้มและซบหน้าลงกับซอกคอของคนรัก ฆาเบียร์เองก็ไหวกายเยือกขึ้น และรัดร่างของเจแน่น



“อ้ายฮักเจนะ”

ฆาเบียร์กระซิบที่ข้างหูของคนที่นอนหอบตัวโยนอยู่บนอกของเขา เขาจูบต่างหูของแม่บนหูของเจนยุทธเบาๆ เมื่อครู่เจ้าตัวบอกว่าจะใส่มันตอนร่วมรักกับเขาเพื่อให้เขาได้รู้ว่าเจเองก็เป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจเช่นกัน

เจพยักหน้ารับคำอย่างเหนื่อยอ่อน คืนนี้เขาหมดพลังแล้วจริงๆ ฆาเบียร์ค่อยๆ ดันกายลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวและความเสียวแปลบที่ช่องทางด้านหลัง เขาประคองคนที่ทำท่าจะหลับบนอกเขาให้ลุกขึ้นด้วย

“ไป เจ ไปอาบน้ำกัน”

“ไม่อาบแล้วได้ไหมอ่า ง่วงจะตายแล้ว”

เจนยุทธงึมงำตอบทั้งหลับตา ฆาเบียร์ไม่ยอม เขาดึงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นและค่อยๆ พากันโซเซไปล้างตัวเร็วๆ ก่อนจะกลับมาทิ้งกายลงบนเตียงนุ่ม เขาค่อยบรรจงถอดต่างหูสีน้ำเงินออกจากหูเจและเก็บใส่กล่องคู่กับข้างของเขา ฆาบี้ปิดไฟห้องและเอนหลังลงนอน เจนยุทธพลิกกายมาซุกอกเขา ฆาเบียร์กอดร่างเพรียวนั้นไว้แน่น เขาคิดถึงร่างอุ่นๆ ในอ้อมอกเขาเหลือเกิน

“อยู่กับฉันตลอดไปนะ เจ”

เขากระซิบสิ่งที่อยู่ในหัวที่ข้างหูของคนที่เหมือนจะหลับไปแล้ว

“ครับ เมีย ได้ครับ…คิดถึงเหมือนกันครับ”

เจงึมงำตอบมาแบบไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ เขางึมงำนี่นั่นมาอีกหลายอย่าง ฆาเบียร์ต้องหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่เจพูด

"...มื้อใหญ่อลังการ...ที่มาเก๊านะ..."

เจเคี้ยวปากแจ๊บๆ ทั้งที่หลับตา

"...ฟัวกราส์ คาเวียร์ ล็อบสเตอร์...หง่ำๆๆ"

ฆาเบียร์ยิ้มและกระซิบที่หูของคนรัก

"ไม่ว่านายอยากได้อะไร ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง เจนยุทธ"

ฆาเบียร์จุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของคนตะกละที่นอนซบบนอกของเขา​ก่อนจะหลับไปพร้อมร่างอุ่นที่ห่างหายจากอ้อมอกเขาไปเกือบเดือน


----------------------------------------------


กลับมาพบกันใหม่กับตอนแรกของปี 2561 ค่ะ หายไปนานหนึ่งสัปดาห์ ติดรับแขกเลยอัพช้าหน่อยนะคะ มาคราวนี้ก็ยาวนิดนึงค่ะ

ส่วนหนึ่งที่ตัวเองชอบในการเขียนเรื่องนี้คือได้เปิดหูเปิดตาตัวเองในหลายๆ ด้าน หลายๆ เรื่องที่เอามาเขียนเป็นการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต อย่างช่วงที่แล้วก็เมามันมากกับการหาข้อมูลของเปรูและอารยธรรมอินคา ส่วนตอนนี้ก็เหมือนกันที่หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของชาวฮ่องกงค่ะ ก็ได้มาจากเว็บพวกนี้

งานแต่งงานแบบฮ่องกง https://goo.gl/KZYLww

หน้าเพจส่วนการจัดงานแต่งของรร. Ritz-Carlton ถ้าอยากเว่อร์วังให้สุด เชิญคลิกต่อตรง Cristal Wedding Menu​ https://goo.gl/GDkbfc

โบรชัวร์งานแต่งของ รร. Ritz-Carlton https://goo.gl/5AKGXB

อยากเห็นความเว่อร์วังอลังการของงานแต่งชาวฮ่องกง เชิญที่เว็บไซต์ของบ.จัดงานแต่งตัวท็อปทั้ง 7 แห่งตามในลิสต์นี้ได้ https://goo.gl/xp4sBj


ครึ่งตอนแรกเป็นเรื่องงานแต่ง ส่วนครึ่งตอนหลังเป็นการจับเอาตอนหนึี่งของ Side Stories  ที่เคยเขียนปนๆ กับตอนยาวมาเขียนใหม่ในมุมมองของเจกับเพิ่มเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

ถ้าอยากอ่านเหตุการณ์เต็มๆ ก็หาอ่านได้จากตอนชื่อ Side Stories#2




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วันวุ่นๆ ของเจนยุทธ ----




"เจ...เดี๋ยวก่อน ฉันต้องไปแล้วจริงๆ นะ"

ฆาเบียร์ที่ใส่ชุดทำงานเรียบร้อยพยายามแข็งใจดันตัวออกจากอ้อมกอดของคนที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มของเขา เขามาจูบและกอดลาเจก่อนออกไปข้างนอกแต่คนตัวเล็กกอดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"ยังเช้าอยู่เลย ฆาบี้ หกโมงครึ่งเอง จะรีบไปไหน ออฟฟิศคุณก็อยู่ข้างล่างนี่เอง"

"ฉันมีธุระที่บ้านอาปาน่ะ อยากจัดการให้เสร็จช่วงก่อนเข้าออฟฟิศ"

เจลุกขึ้นนั่งทำหน้ามุ่ย

"คุณได้นอนกี่ชั่วโมงเองเนี่ย นอนพักดีกว่า ยังไงเย็นพวกเราก็ไปค้างบ้านอาปาอยู่แล้ว คุณไปตอนนั้นแทนไม่ได้เหรอ?"

เจนยุทธท้วง เมื่อคืนกว่าพวกเขาจะนอนก็ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว คนตัวโตของเขาลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า สรุปว่าได้นอนไปแค่ไม่ถึงสามชั่วโมง เขากลัวว่าฆาเบียร์จะป่วยขึ้นมาอีก แต่ฆาเบียร์ยืนยันว่าต้องไปตอนนี้ เจถอนหายใจเฮือก

"งั้น กลับมาจากที่นั่นแล้วแวะมาปลุกผมก่อนจะลงไปออฟฟิศด้วยล่ะ ผมจะลงไปคุยกับพวกเมลิน่าต่อด้วย"

"...คุณขับรถระวังๆ หน่อยแล้วกัน ตอนนี้ยังมืดอยู่เลย ทางขึ้นเขาก็คดเคี้ยวซะ ผมเป็นห่วง"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าเขาจะระวังตัว เขาจุ๊บแผ่วๆ ที่ปากของคนรักก่อนที่จะออกห้องพักไป ส่วนเจก็กลับไปนอนพลิกไปพลิกมาอีกสักพักถึงจะหลับ



"อืมม์ กลับมาแล้วเหรอ?"

เจตื่นเมื่อรู้สึกถึงที่นอนที่ยวบลงเพราะน้ำหนักของคนที่นอนลงข้างกายเขา ร่างนั้นไม่ตอบแต่มือไม้ที่ซุกซนเปะป่ายไปทั่วตัวเขา เจอุทานเบาๆ และตีมือซนๆ ที่พยายามคลึงเคล้นแถวกลางลำตัวเขา

"เอ๊ะ คุณนี่ เดี๋ยวชุดก็ยับหมดหรอก"

เจหันกลับไปหาคนตัวโตที่นอนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลังและก็ต้องหน้าแดงเมื่อพบว่ารายนั้นถอดชุดทำงานออกหมดจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แล้ว

"นี่ ไม่ต้องไปทำงานเหรอ?"

เจกลั้นใจถาม ดูจากท่าทางแล้ว ฆาเบียร์คงยังไม่คิดกลับลงไปทำงานง่ายๆ

"ตอนนี้พักเที่ยง ฉันมีเวลาอยู่น่า"

ฆาเบียร์กอดปล้ำจูบร่างเพรียวที่อยู่ในอ้อมอก 'อาหารเที่ยง' ของเขานี่น่ากินไปทั้งตัวจริงๆ เจทำตาโตและรีบดันร่างคนตัวโตออก

"เที่ยงแล้ว?! ไหนคุณว่าจะปลุกผมตอนกลับเข้าออฟฟิศมาไง!"

เจรีบดันคนตัวโตออกและโดดลงเตียงและเดินเข้าห้องน้ำไป ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และรีบสาวเท้าตามเข้าห้องน้ำเผื่อว่าเจจะใจอ่อนบ้าง



“คุณนี่นะ ผมก็บอกแล้วไงว่าให้ปลุก…”

เจนยุทธที่ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบ่นลั่น ไม่ปลุกไม่พอยังมาทำเขาเสียเวลาตอนอาบน้ำอีก ฆาเบียร์มองคนรักของเขาด้วยความชื่นใจ เจแต่งตัวเรียบร้อยกว่าตอนที่อยู่เชียงใหม่ เขาใส่กางเกงสแล็คสีดำเข้ารูปเล็กน้อยและเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีกรมท่าพอดีตัว เขายัดชายเสื้อใส่กางเกงเรียบร้อยและใส่เข็มขัด hermes ที่ฆาเบียร์ซื้อให้เขาเมื่อคราวที่แล้ว เจทิ้งมันไว้ที่นี่แม้ฆาเบียร์จะขอให้เขาเอากลับไปด้วยก็ตาม

"เน็คไทสีอะไรดีคุณ?"

เจยืนเลือกไทที่ฆาเบียร์แขวนไว้เต็มราว เขาเลือกไม่ถูกเลยจริงๆ เพราะมันมีสารพัดสีซึ่งแขวนเรียงกันตามโทนสี พ่อเจ้าประคุณของเขาเสื้อผ้าเยอะจริงๆ นอกจากจะมีเสื้อผ้าเต็มตู้ที่ออฟฟิศแล้ว ตู้เสื้อผ้าบนห้องนอนของเขาก็ยังแน่นเอี้ยด ฆาเบียร์เดินเข้ามาเลือกๆ และหยิบเน็คไทสีดำลายริ้วน้อยๆ แบบเส้นบางออกมา

"ผูกให้หน่อยสิครับ เมีย"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขารวบข้อมือเจไว้ด้านหลังและใช้เน็คไทเส้นนั้นผูกข้อมือไว้จนแน่น

"เฮ้ย ไม่ใช่ ผมให้เอาผูกที่คอเฟ้ย เล่นอะไรบ้าๆ อีกละ คุณนี่ แกะออกเลย"

เจนยุทธเอ็ดลั่น แต่ฆาเบียร์ไม่สนใจ เขายกร่างของเจขึ้นและพาไปนั่งที่ขอบเตียง ตัวเขาลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าและรูดซิปกางเกงของคนตัวเล็กของเขาลง เขาถอดกางเกงตัวนั้นออกโยนไปอย่างไม่ใส่ใจ เจโวยลั่น เขาพยายามขยับมือให้หลุดจากพันธนาการแต่ก็ไม่เป็นผล



"อ๊ะ ฆาบี้ ไม่นะ!"

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อริมฝีปากของฆาเบียร์เม้มโดนส่วนปลายของส่วนสงวนที่ไวต่อสัมผัสของเขา ฆาเบียร์กำลังโจมตีมันผ่านกางเกงในของเจที่เขายังไม่ยอมถอดออก ใช้เวลาไม่นานกลางกายของเจก็ผงาดและอัดแน่นอยู่ใต้กางเกงผ้ายืดสีขาวนั้น เจทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาตั้งใจจะลงไปทำงานทำการ แต่เมียตัวโตของเขาช่างหื่นไม่รู้เวลาจริงๆ

"เจจ๋า...ขอฉันได้ไหม?"

เจถอนหายใจเฮือก โดนมัดอยู่ แถมร่างกายก็ดันเป็นซะแบบนี้แล้ว เขาจะทำยังไงได้นอกจากต้องปล่อยเลยตามเลย เขามองคนตัวโตที่ทำหน้าเว้าวอนอยู่ข้างหน้าอย่างจนใจ

"เอ้า อยากทำอะไรก็ทำไป แต่แค่ภายนอกนะ โอเคไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำอย่างลิงโลด

"แล้วถอดเสื้อผมออกด้วย เดี๋ยวยับ!"

คนตัวโตลนลานแกะเน็คไทที่ข้อมือของเจออกแล้วก็ต้องรู้ตัวว่าเสียท่าเข้าแล้ว เมื่อมือเป็นอิสระ เจก็จับเขาที่กำลังเผลอกดลงกับเตียงและลงนั่งทับโดยใช้เข่ากดแขนทั้งสองข้างของเขาไว้ เจตบหน้าเขาเบาๆ อย่างยั่วเย้า



"ไม่ไหวเลย ฆาเบียร์ เผลอเป็นไม่ได้เลยนะ"

ใบหน้าน้อยๆ ของเจ้าตัวแสบนั้นบึ้งตึง แต่ดวงตากลมใสของเจนั้นฉายแววสนุกออกมา เจตบเบาๆ อีกครั้งอย่างย่ามใจ ฆาเบียร์คำรามเบาๆ อย่างขัดใจเมื่อเขาไม่สามารถขยับตัวได้ เจดึงเน็คไทเส้นที่ใช้มัดเขาเมื่อสักครู่มาทบครึ่ง เขาใช้มันฟาดอากาศเสียงดังควับ ฆาเบียร์สะดุ้งน้อยๆ และต้องสะท้านกายเฮือกเมื่อเจฟาดมันลงที่อกแน่นของเขา มันไม่แรงนักแต่ก็พอที่จะทิ้งรอยแดงจางๆ ไว้

"เจ..."

ฆาเบียร์ครางเบาๆ ออกมา หัวใจเขาเต้นระรัว เจกัดปากน้อยๆ เมื่อเขารู้สึกถึงบางส่วนของคนรักที่ผงาดขึ้นดันสะโพกของเขา เขาขยับสะโพกให้ก้อนเนื้อแน่นๆ ของเขาถูไถกับส่วนนั้นช้าๆ

"อะไรกัน ฆาเบียร์ คุณตื่นเต้นเหรอ?"

เจหัวเราะน้อยๆ ก่อนที่จะฟาดเนคไทลงกับอกคนรักอีกครั้ง และทำซ้ำเมื่อได้ยินเสียงครางแผ่วๆ อย่างสมใจแทนที่จะเป็นเสียงที่แสดงความไม่พอใจ เขาสังเกตเห็นแววตื่นเต้นในตาของคนรัก

"คุณมีรสนิยมแบบนี้เองเหรอ หือ?"

เจยิ้มยั่วและก้มลงจูบหนักๆ ที่ปากของคนตัวโตและถอนปากออกเมื่อฆาเบียร์พยายามจะจูบตอบ ฆาเบียร์คำรามเบาๆ อย่างขัดใจ แต่ในใจเขานั้นร้อนฉ่า เจทำให้เขาตื่นเต้นอย่างหยุดไม่อยู่อีกแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้มีรสนิยมแบบ SM แต่สิ่งที่เจทำก็กระตุ้นเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนในใจเขาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้



เจบดสะโพกลงกับแก่นกายแข็งเกร็งของฆาเบียร์หนักๆ เข่าของเขาลอยขึ้นจากแขนของฆาเบียร์อย่างไม่รู้ตัว ฆาบี้รีบยกกายขึ้นและกอดคนรักของเขาไว้แน่นและกดจูบอย่างรุนแรงหนักหน่วง เขาซี้ดปากเมื่อถูกเจกัดเข้าที่ริมฝีปาก เจใช้แรงผลักคนรักกลับลงไปบนเตียงและโถมกายทับลงไป เจดูดดึงเนื้อที่ต้นคอหนานั้นอย่างรุนแรงแถมยังกัดเข้าเบาๆ ฆาเบียร์ครางออกมาโดยไม่รู้ตัว เจรุกคืบลงต่ำ เขาดูดดึงตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนของคนรัก และใช้นิ้วบดบี้อีกข้างหนึ่ง สะโพกเขาบดคลึงกับท่อนลำใหญ่แข็งที่พยายามจะแทงทิ่มเข้าบั้นท้ายของเขา

"อ๊ะๆ ไม่ได้นะ ฆาเบียร์ ผมบอกแล้วว่าแค่ข้างนอก"

ฆาบี้พยักหน้า แค่ไหนเขาก็ยอมแล้ว ณ ตอนนี้ ไอ้เจ้าลูกชายของเขามันร้อนจนแทบระเบิดแล้ว เจหัวเราะเบาๆ และพลิกร่างลงจากร่างกำยำของเมียตัวโตของเขา เจนยุทธนอนหงายและสลัดกางเกงในที่เกะกะอยู่ของเขาออก

"มาสิ ฆาบี้ มาจัดการผมเร็วๆ"

เจพูดด้วยเสียงยวนยั่วแบบที่ทำให้ฆาเบียร์ต้องรีบโผกายเข้าหา เจชันเข่าทั้งสองของเขาขึ้นและใช้มือโอบใต้เข่าไว้ ท่อนขาทั้งสองของเขาแนบชิดกัน ฆาเบียร์กัดปาก เขาอยากเข้าไปในช่องทางสีสวยที่ลอยเด่นให้เห็นชัดนั้น แต่ในเมื่อเจ้าตัวออกปากว่าขอแค่ข้างนอก เขาก็จะทำตามนั้น ฆาเบียร์หยิบเจลมาชะโลมแท่งลำของตัวเองและดันมันเข้าระหว่างท่อนขาที่แนบชิดนั้น เจซี๊ดปากเมื่อแท่งลำร้อนๆ ของฆาเบียร์รูดไล้ไปกับถุงเนื้อและส่วนสงวนของเขา เจเพริดไปกับความเสียวซ่านที่เขาได้รับ



"ฆาบี้!"

เจอุทานเมื่อคนตัวโตใช้แรงพลิกตัวเขาให้นอนคว่ำและยกสะโพกเขาขึ้น เขาร้องออกมาเบาๆ เมื่อแท่งร้อนนั้นบดเบียดกับปากทางแคบเล็กของเขา หากฆาเบียร์ยังรักษาคำพูด เขาเพียงแค่ถูไถเฉี่ยวไปมาก่อนที่จะวางส่วนสงวนของเขาลงระหว่างก้อนเนื้อหนั่นแน่นของเจนยุทธ ฆาเบียร์หลับตาและสะบัดหน้าด้วยความเสียวซ่าน มือใหญ่ของเขาบีบเค้นแก้มก้นของเจให้รัดรึงแท่งลำของเขา เจซี้ดปากเบาๆ ฆาเบียร์ตะปบแรงจนเขาเจ็บ แต่ในขณะเดียวกันการเสียดสีที่ปากทางแคบเล็กของเขาก็สร้างความเสียวอย่างประหลาดให้

"แบบนี้ดีไหมเจ"

ฆาเบียร์จูบหนักๆ ที่ต้นคอของเจนยุทธ เขาใช้มือข้างหนึ่งรูดไล้แก่นกายที่สั่นระริกของเจ เขารู้สึกได้ว่าคนตัวเล็กของเขาจวนถึงสวรรค์แล้ว ฆาเบียร์พร่ำคำรักและขบดุนติ่งหูของคนรัก เขาเร่งขยับสะโพกพร้อมๆ กับเร่งมือใหญ่ของเขา ไม่นานนักเจนยุทธก็ระเบิดออกมาพร้อมกับฟุบกายลงบนเตียง ฆาเบียร์เองก็คำรามลั่นพร้อมกับฉีดพ่นน้ำรักออกมาบนลาดสะโพกของคนรัก เขาฟุบกายลงบนแผ่นหลังของคนตัวเล็ก



"หนักอ่า ร้อนด้วย..."

เจนยุทธประท้วงออกมา ฆาเบียร์ตัวไม่เบาเลยสักนิด เหงื่อที่โทรมกายพวกเขาทั้งคู่ทำให้เขายิ่งรู้สึกร้อนเข้าไปใหญ่ เจค่อยๆ ขยับตัวออกจากใต้ตัวคนรัก ฆาเบียร์พลิกตัวลงนอนหงายและหายใจหอบถี่ เจซบหน้าลงไปที่แผงอกกว้าง เขารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้กล้ามเนื้องดงาม

"หัวใจคุณเต้นแรงมากเลย ฆาบี้ ไม่เป็นอะไรแน่นะ​"

เจถามอย่างกังวล เมียตัวโตของเขาอายุอานามใช่น้อยแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และหอมกลุ่มผมดำขลับของเจ เขาวางมือบนตำแหน่งหัวใจของเจนยุทธ

"หัวใจเจก็เต้นแรงไม่แพ้กันนะ มันเต้นเป็นชื่อฉันเหมือนที่หัวใจฉันเต้นดังเรียกชื่อเจคนเดียวหรือเปล่า?"

เจนยุทธหน้าแดงซ่าน คนตัวโตของเขาใช้คำน้ำเน่าเหมือนละครเตเลโนเบล่าของละตินอเมริกาอีกแล้ว

"ผมไม่รู้หรอกว่ามันเต้นยังไง แต่ที่ผมรู้คือตอนนี้ท้องผมมันร้องหาอาหารเที่ยงแล้วอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาหิวไส้จะขาดแล้ว ทันใดนั้นเจนยุทธก็สะดุ้งเฮือกเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

"เฮ้ย เดี๋ยวนะ ฆาบี้ อาปานัดเรากินข้าวเที่ยงไม่ใช่เหรอ? ตายห่านละ ป่านนี้อาปารอแย่แล้ว"

เจทำท่าจะลุกพรวดขึ้นจากเตียงแต่ฆาเบียร์ฉุดแขนเขาไว้

"ไม่เป็นไรหรอก เจ ฉันบอกอาปาไว้แล้วว่าจะเข้าไปกินมื้อเย็นด้วยแทน เดี๋ยวฉันมีวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ตอนบ่ายสอง กลัวกลับมาไม่ทัน"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เขากอดและหอมคนรักในอ้อมแขนและทำท่าจะซุกซนอีก

"เอ่อ ฆาบี้ ตอนนี้มันบ่ายโมงสี่สิบแล้วนะ"

เจท้วงขึ้นหลังจากหยิบนาฬิกาเรือนงามของเขามาดู ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกรีบหยิบนาฬิกาของเขามาดูเวลาบ้าง เขาสบถลั่นและรีบโดดลงเตียงโดยมีเสียงหัวเราะของเจนยุทธไล่หลังมา



"เจ เดี๋ยวประชุมเสร็จแล้วจะมารับไปกินข้าวนะ"

ฆาเบียร์ระล่ำระลักบอกคนรัก เขารีบล้างตัวเร็วๆ และแต่งตัวจนเสร็จด้วยสถิติใหม่คือ 10 นาที เจโบกมือไล่เขาให้รีบออกห้อง

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมหาอะไรกินเอง รีบไปได้แล้ว"

เจจูบเร็วๆ ที่แก้มเมียตัวโตของเขาก่อนดันหลังให้ออกประตูไป เขาปิดประตูตามแล้วหัวเราะคิกออกมา เมลิน่าต้องงงแน่ๆ ที่ฆาเบียร์ลงไปด้วยสภาพไม่ค่อยเนี้ยบแบบนั้น หวังว่าพ่อเจ้าประคุณจะมีเวลาหวีผมและจัดไทที่ผูกแบบลวกๆ นั้น เขาหยิบมือถือขึ้นมากดหาเมลิน่าเพื่อกำชับให้ช่วยดูความเรียบร้อยให้ฆาเบียร์และหาของกินง่ายๆ ให้คนตัวโตระหว่างหรือหลังประชุมด้วย



เจเปิดประตูห้องเข้ามา ตอนฆาเบียร์อาบน้ำในส่วนชาวเวอร์ เขาก็ล้างเนื้อล้างตัวในอ่างอาบน้ำ จากนั้นเปลี่ยนใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อโปโล หลังจากส่งเมียตัวโตออกห้อง เขาก็ขึ้นลิฟท์ไปที่คลับเลาจ์เพื่อกินอาหารเบาๆ แล้วก็กลับลงมาที่ห้อง เขาเดินไปในห้องนอนและเก็บเสื้อผ้าของเขาที่ตกกระจัดกระจายรอบเตียง เขาถอนหายใจด้วยความเซ็งเมื่อเห็นคราบน้ำขาวๆ บนกางเกงสแล็คของเขา ฆาเบียร์ถอดมันให้เขาก็จริงแต่ไม่ได้โยนมันให้พ้นเตียง มันเลอะผลิตผลของพวกเขาทั้งคู่จนได้ เจโยนมันลงตะกร้าผ้าและเลือกเสื้อผ้าใหม่ออกมาก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง

เจนยุทธในกางเกงสีเทา เสื้อเชิร์ตขาว เน็คไทสีเทาเข้มมีลายเล็กน้อยและใส่เสื้อคาร์ดิแกนสีกรมท่าคลุมทับเดินเข้ามาในออฟฟิศของฆาบี้ที่ชั้น 90 เขาถามพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่ส่วนหน้าของสำนักงานถึงฆาเบียร์ เมื่อได้คำตอบว่าเขายังอยู่ในที่ประชุม เจก็ตัดสินใจไปนั่งรอที่ฝ่ายเลขาฯ และประชาสัมพันธ์ เมลิน่าไม่อยู่ที่นั่นเพราะเธอต้องเข้าประชุมกับฆาเบียร์ เจเจอริคกี้ที่เดินไปเดินมาแถวนั้น เลยจับมานั่งคุยด้วยเรื่องงานที่เขาต้องทำ ริคกี้พยายามเชิญเจให้เข้าไปนั่งรอในห้องทำงานของฆาเบียร์ แต่เจก็ไม่ยอมเข้าไป เขาบอกว่าเขาต้องการเห็นการทำงานของคนที่นี่



เจนั่งคุยกับริคกี้และคนอื่นๆ ในแผนกเลขาฯ และเรียนรู้เรื่องงานนั่นนี่ ทั้งเรื่องการดูเทรนด์ความสนใจของคน วิธีเขียนงานให้คนสนใจ หรือการแต่งรูปและคลิปวีดีโอจนถึงเวลาสามโมงกว่าๆ ฆาเบียร์ถึงได้ออกจากห้องประชุม เขาเดินมาตามหาเจในแผนกเลขาเพราะเจไลน์บอกเขาไปก่อนแล้วว่ามารออยู่ที่นั่น ฆาเบียร์ยืนยิ้มดูเจคุยงานกับลูกน้องของเขา เจโบกไม้โบกมือให้เขายามเมื่อหันมาเจอ ฆาเบียร์จับเจลุกขึ้นและหมุนตัวสำรวจเสื้อผ้าที่เจใส่มา เขาถอนหายใจเฮือก

"เจแต่งตัวแบบนี้แล้วดูยังกับเด็กนักเรียนเลย"

กางเกงสีเทาและเสื้อคาร์ดิแกนของเจทำให้เขาดูเหมือนนักเรียนม.ปลายโรงเรียนเอกชนสักที่ ผมที่เพิ่งสระมาของเจตกลงปรกหน้าผาก ยิ่งทำให้เขาดูหน้าเด็กเข้าไปใหญ่ เจหน้าเสียและก้มดูตัวเอง

"ทำไมเหรอ ฆาบี้ มันดูไม่สุภาพเหรอ?"

เจทำท่าจะกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อ แต่ฆาเบียร์รั้งไว้

"แบบนี้ดีอยู่แล้ว เจ น่ารักดี"

ฆาเบียร์ตอบยิ้มๆ เจบ่นพึมพำว่าคำว่าน่ารักมันไม่ใช่คำชมผู้ชายหล่อขั้นเทพอย่างเขาเลยสักนิด ฆาบี้ยกมือหยิกแก้มป่องๆ สีแดงระเรื่อของคนรักด้วยความหมั่นไส้ เจยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ คนออกจะเต็มห้อง พ่อเจ้าประคุณของเขาก็ทำรุ่มร่ามอีกเหมือนเคย



"คุณกินข้าวหรือยัง ฆาบี้?

เจถามขึ้นเมื่อเดินตามคนรักกลับมายังห้องทำงานส่วนตัว

"ฉันกินแซนวิชที่เมลิน่าสั่งมาให้แล้ว ขอบใจนะเจที่โทรลงมาบอกให้ก่อน"

ฆาเบียร์พูด

"…แล้วเจล่ะ กินอะไรบ้างหรือยัง?"

คนตัวโตถามอย่างเป็นห่วง เจหัวเราะและตอบว่าเมื่อกี้เขารีบขึ้นไปที่คลับเลาจ์ของโรงแรมและทันได้กินมื้อเที่ยงเบาๆ ที่เสิร์ฟช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสองอย่างฉิวเฉียด เขารีบตักทุกสิ่งอย่างถมลงบนจานและกินเรียบวุุธจนอยู่ท้องเรียบร้อยแล้วถึงลงมาอาบน้ำแต่งตัวใหม่

เจบ่นอุบอิบว่ามาคราวนี้ นอกจากมื้อกลางวันรีบๆ เมื่อกี้แล้ว เขาไม่ได้ใช้สิทธิ์อะไรของคลับเลาจ์บนชั้น 116 เลยแม้กระทั่งมื้อเช้า สำหรับที่ริทซ์ คาร์ลตันนี้คลับเลาจ์เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงและมีอาหารเบาๆ ให้บริการ 5 มื้อตั้งแต่ 6.30 น. ถึง 22:30 น. ได้แก่มื้อเช้า มื้อเที่ยงแบบเบาๆ มื้อน้ำชายามบ่าย มื้อออร์เดิร์ฟและค้อกเทลในตอนเย็น ตบท้ายด้วยมื้อของหวานและน้ำผลไม้ยามดึก นอกจากนั้นก็มีตอนแรกเจกะใช้ชีวิตกินอยู่ในโรงแรมทั้งวัน แต่ดูๆ แล้วเขาคงไม่ได้ทำแบบนั้นแน่ ที่เขาเสียดายที่สุดคือมื้อออร์เดิฟและค้อกเทล ฆาบี้เคยเล่าให้เขาฟังว่าอาหารในมื้อนั้นมีทั้งเป็ดปักกิ่งและฟัวกราส์ แถมค้อกเทลก็ยังอร่อยมากด้วย เขาหมายมั่นปั้นมือว่าคราวหน้าเขาไม่พลาดแน่ ฆาบี้อดไม่ได้ต้องยกมือยีหัวคนรักจอมตะกละของเขา

"งั้นคืนนี้เราชวนอาปามากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมก็ได้นี่ เจ จากนั้นก็ค่อยพากันขึ้นไปกินขนม"

เจปฏิเสธเสียงอ่อยๆ บอกว่าให้คริสเป็นคนตัดสินใจเลือกร้านดีกว่า อย่าให้ความตะกละเล็กน้อยของเขามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลย ฆาเบียร์ตอบตกลง เขาโทรศัพท์ไปหาคริสเพื่อสอบถามเรื่องมื้อเย็น



"อาปาให้อาเหลียงเตรียมมื้อเย็นไว้ให้ที่บ้านแล้วน่ะ ลูกจะมากี่โมงก็บอกจะได้ให้เขาเตรียมตั้งสำรับไว้"

ฆาเบียร์เลิกคิดที่จะชวนคริสมากินข้าวที่นี่ อาเหลียงคนนี้เป็นลูกชายของพ่อครัวเก่าที่เคยทำงานรับใช้พ่อของอาปาของเขา ตัวอาเหลียงเองได้รับความเมตตาจากพ่อของคริสส่งไปเรียนโรงเรียนการครัวชื่อดังจากต่างประเทศและภายหลังได้เข้าทำงานกับโรงแรมห้าดาวหลายแห่ง พออาปาของเขามาฮ่องกงบ่อยขึ้นอาเหลียงที่ใกล้เกษียณในฐานะหัวหน้าเชฟในห้องอาหารจีนชื่อดังของโรงแรมแห่งหนึ่งก็ตัดสินใจออกจากงานโรงแรมและมาทำหน้าที่เป็นเชฟประจำบ้านตระกูลหว่องบนวิคตอเรียพีค เขายังได้เปิดร้านอาหารเล็กๆ ในเมืองซึ่งเปิดขายตามใจฉันเวลาว่างเว้นจากภารกิจ ร้านของเขาซึ่งเป็นแบบ Chef's Table หรือรับเฉพาะแขกที่จองไว้จำนวนจำกัดและทำอาหารตามใจเชฟเป็นที่นิยมมากและเต็มทุกครั้งที่เปิดให้บริการ แต่เขายังคงให้ความสำคัญกับหน้าที่เชฟประจำบ้านตระกูลหว่องเป็นอันดับแรก ฆาเบียร์เองก็ติดใจฝีมืออาเหลียงมากจนไม่ยอมพลาดทุกครั้งที่พ่อบุญธรรมให้อาเหลียงลงครัวเอง

ฆาเบียร์หันไปบอกเจว่าอาปาจะให้พวกเขาไปกินข้าวที่บ้านบนพีค เจยิ้มร่า เขายังจำรสชาติอาหารที่บ้านของคริสได้

"เออ แล้วเราต้องเตรียมเสื้อผ้าไปมาเก๊าขึ้นไปด้วยไหม หรือว่าพรุ่งนี้เราจะต้องแวะมาที่นี่อีก?"

เจถามขึ้น ไฟลท์กลับเชียงใหม่ของเขาออกจากมาเก๊าเลย เขาเลยต้องเตรียมเก็บสัมภาระไปให้หมด

"นายเตรียมจัดกระเป๋าไว้ให้เรียบร้อยแล้วก็เอามาไว้ที่ออฟฟิศก็ได้นะ พรุ่งนี้สัญญาจ้างงานจากไทยจะมาถึงตอนเช้าและเจต้องเข้ามาเซ็นด้วย หรือว่าจะให้เอาไปให้เซ็นบนเรือ?"

"เซ็นนี่ให้เรียบร้อยดีกว่าคุณ เซ็นบนเรือผมกลัวเมาตัวหนังสือ"

คนขี้เมาเรือพูดเสียงอ่อยๆ แค่ยกมือถือขึ้นมาอ่านตอนนั่งเรือนิดเดียว เขาก็เมาแทบอาเจียนแล้ว

"งั้น เปลี่ยนไปเฮลิคอปเตอร์แทนดีไหม?"

เจปฏิเสธลั่น เขาซื้อตั๋วเรือไปแล้วและไม่ยอมทิ้งให้เสียเปล่าแน่ๆ

"มาออฟฟิศตอนเช้าก็ดี ผมจะได้ขึ้นไปกินมื้อเช้าบนคลับด้วย"

เจกระหยิ่มยิ้มย่อง เขาจำจากตอนที่มางานกับฆาเบียร์เมื่อคราวที่แล้วว่ามื้อเช้าบนนั้นอร่อยใช้ได้ทีเดียว


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วันวุ่นๆ ของเจนยุทธ (ต่อ) ----




ฆาเบียร์ใช้เวลาที่เหลือก่อนมื้อเย็นนั่งเซ็นเอกสารที่จำเป็น เขาจะไม่อยู่อีกหลายวันจึงต้องจัดการเคลียร์สิ่งที่ต้องทำไปก่อน ส่วนเจออกไปนั่งคุยกับทีมของเมลิน่าต่อ ตอนแรกฆาเบียร์อยากให้พวกเขามานั่งคุยกันเสียในห้องทำงานของเขาแต่เจปฏิเสธ เขาไม่อยากให้ทุกคนต้องคุยกับเขาแบบเกรงใจเมียตัวโตของเขาที่นั่งคุมอยู่ เขายังขอให้ทุกคนปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นพนักงานใหม่คนหนึ่ง แม้จะรู้ว่าพอเอาเข้าจริงๆ แล้วมันทำได้ยากก็ตาม แต่เขาก็อยากให้ทุกคนผ่อนคลายเวลาทำงานกับเขา

"งั้น ไอ้ส่วนคลิป 'จานนี้ที่อยากกินกับคุณ' เนี่ย ให้ผมทำต่อไปได้เลยใช่ไหม?"

เจถามถึงคลิปที่เขาถ่ายมาเกี่ยวกับอาหารที่เขาอยากกินกับฆาเบียร์

"ค่ะ คุณเจ ทำต่อไปได้เลย คนดูชอบมาก ฉันอยากให้คุณพูดถึงความรู้สึกเยอะๆ ด้วย ความรู้สึกคิดถึงอะไรประมาณนั้น แต่ขอให้ออกมาจากใจจริงนะคะ ไม่ต้องมองว่าเป็นข้อบังคับที่ต้องทำ"

เจพยักหน้า เขาเห็นความเป็นที่นิยมของมันได้จากจำนวนคนดูและคอมเมนท์ที่มากกว่าส่วนอื่นๆ เมลิน่าคันปากอยากบอกเจว่าจริงๆ แล้วคนหนึ่งที่เปิดดูคลิปพวกนั้นวันละหลายๆ หนและรอฟังความรู้สึกของเจอย่างใจจดใจจ่อก็คือฆาเบียร์ เขาเปิดดูมันทุกครั้งที่มีเวลาว่างโดยดูไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป

"ถ้าคุณเจจะใส่พวกเกร็ดความรู้อะไรลงไปเพิ่มด้วยก็ตามสบายเลยนะครับ"

ริคกี้เสริมขึ้น

"…แล้วทางบอสเองก็จะคอยโพสต์ตอบคุณเจด้วยครับ"

เจพยักหน้า เขาเห็นคลิปจากทางฆาเบียร์สองสามชิ้นแล้ว และเขาก็พอใจเมื่อได้เห็นคนตัวโตของเขากินอาหารให้เขาดู



“เข้ามาได้”

ฆาบี้ที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่ขานรับคนที่เคาะประตูห้องทำงานของเขา เขาต้องสะดุ้งเมื่อมีดอกไม้ช่อโตยื่นพรวดมาตรงหน้า ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้นดูก็เห็นเจยืนยิ้มเผล่อยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน เขายื่นมือไปรับดอกไม้ช่อนั้นมาอย่างงงๆ คนตัวเล็กทำหน้าเขินๆ

“มันไม่ค่อยสวยนักนะ ฆาเบียร์ แต่ผมอยากให้คุณจริงๆ”

เขาพูดต่ออย่างภูมิใจ

"...ผมจัดเองเลยนะ"

เจนยุทธเกิดอารมณ์อยากให้ดอกไม้คนรักขึ้นมา แต่ถ้าจะสั่งเอาตอนนี้ก็คงมาช้าเกินไป จะลงไปซื้อเขาก็ไม่รู้จักร้านดอกไม้แถวนี้ เขาเลยขึ้นไปถามพนักงานฝ่ายกงเสียจบนคลับเลาจ์ของโรงแรมซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี พวกเขาขอเจียดดอกไม้ที่จะนำมาตกแต่งโรงแรมจากแผนกแม่บ้านมาให้เจ เจ้าตัวนำดอกไม้เหล่านั้นซึ่งมีทั้งกุหลาบ ไฮเดรนเยียและพีโอนีสีชมพูหวานอันล้วนเป็นดอกไม้ที่คนรักของเขาชื่นชอบมามัดรวมเป็นช่อทรงโย้เย้ด้วยตัวเอง

ฆาเบียร์ดมกุหลาบหอมกรุ่นในช่อดอกไม้นั้น น้ำตาของเขารื้นขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ดอกไม้เหล่านั้นช้ำไปบ้าง กลีบก็ไม่ได้สมบูรณ์ ช่อดอกก็ไม่ได้จัดมาอย่างงดงามมีเพียงเชือกเส้นน้อยที่มัดก้านดอกเข้าด้วยกัน แต่ในสายตาเขามันสวยล้ำกว่าช่อดอกไม้จากร้านดังร้านไหน ฆาเบียร์วางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะแล้วตบเบาๆ ที่ตักของตัวเอง เจที่หน้าแดงซ่านเดินเข้าไปหาคนรักตัวโตของเขาและนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานเดียวกันกับฆาเบียร์



“อืมม์…ฆาบี้ อย่าสิ…”

เจครางเบาๆ เมื่อคนรักจูบแผ่วๆ ที่ซอกคอขาวเนียนของเขาและลงต่ำสู่ไหปลาร้าและแผงอกแข็งแรงตามลำดับ เจยกมือขึ้นกันริมฝีปากของคนตัวโตไม่ให้รุกรานไปมากกว่านั้น ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นพลาสเตอร์ยาที่พันตามนิ้วของเจสองสามที่

“ไปโดนอะไรมา เจนยุทธ?”

ฆาเบียร์ถามเสียงเข้ม เขาดึงมือของคนรักขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาดู

“เอ่อ หนามกุหลาบอ่ะ แล้วก็นิ้วนี้โดนมีดบาดนิดหน่อยตอนลิดหนามกุหลาบ”

เจตอบเสียงอ่อยๆ ฆาบี้ใจหายวาบและคะยั้นคะยอให้เจไปหาหมอ เจบอกว่ามันไม่ได้เป็นแผลลึกอะไร แค่แผลบาดเล็กน้อย เขาทำแผลเองเรียบร้อยแล้ว

"แผลแค่นี้เรื่องเล็กน่า คุณ ไกลหัวใจ ผมทำแผลเองบ่อยแล้ว ไม่ต้องห่วง"

เจยิ้มกว้างและทำท่าวางโต ฆาเบียร์จูบเบาๆ ตามนิ้วของเจตรงตำแหน่งที่พันพลาสเตอร์ยาไว้

"นายไม่เห็นต้องลำบากทำแบบนี้ให้ฉันเลย เจ"

คนตัวโตบ่นอุบอิบ เจยกมือข้างหนึ่งขึ้นกอดคอคนรัก อีกมือหนึ่งหยิบช่อดอกไม้บนโต๊ะขึ้นมาส่งให้ฆาเบียร์

"แล้วคุณชอบมันไหมล่ะ ฆาเบียร์..."

ฆาบี้รับช่อดอกไม้นั้นไว้อีกครั้งและส่งยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าแทนคำตอบ เจยิ้มตอบให้เขา

"...ได้เห็นคุณยิ้มแบบนี้ก็คุ้มเจ็บตัวแล้วล่ะ"

ฆาเบียร์หลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจของเขามันพองโตและเต็มไปด้วยความรู้สึกของเจที่ส่งผ่านมาให้เขาผ่านการกระทำต่างๆ ของคนตัวเล็ก เขาจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากซึ่งยิ้มพรายอยู่เบื้องหน้า เจนยุทธจูบตอบอย่างอ่อนโยน ฆาเบียร์รัดร่างคนตรงหน้าไว้แน่น เขาไม่เคยรู้สึกรักใครอย่างสุดหัวใจแบบนี้มาก่อน เขาปล่อยใจไปกับจูบของเจและให้ร่างกายของเขาบอกรักกับชายในดวงใจที่อยู่ตรงหน้า



"Mi amor..."

ฆาเบียร์เรียกคนรักของเขาด้วยภาษาของแม่ ร่างเพรียวที่อิงแอบซบกายเขาตอบรับ พวกเขาย้ายมานั่งพร่ำพลอดบอกรักกันบนโซฟา

"เกือบหกโมงแล้วนะ"

เจตอบรับเบาๆ ในคอ เขายันกายขึ้นนั่งตัวตรงและจัดแต่งเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเอง ฆาเบียร์ใช้มือเสยๆ แต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้เจ

"...ไว้เราค่อยไปต่อกันตอนดึกแล้วกันนะ"

เจทำตาโต

"ฮึ่ย ไม่ได้ๆ คืนนี้เรานอนบ้านอาปา ห้าม!"

ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ คนตัวเล็กของเขานี่ช่างเคร่งครัดจริงๆ คราวที่แล้วตอนที่พวกเขาไปนอนบ้านคริสก็เหมือนกัน เจไม่ยอมให้เขาได้ทำอะไรเลยสักนิด แม้กระทั่งภายนอกก็ไม่ยอม หากตอนนั้นสถานะของพวกเขายังคลุมเครือ แต่ในตอนนี้ที่พวกเขาอยู่ในฐานะคนรักกันอย่างเปิดเผยแล้ว เจก็จะยังห้ามเขาอีกหรือ  เจบอกคนรักตัวโตที่โอดครวญอย่างน่าเห็นใจว่าเขาเกรงใจคริสที่ห้องนอนอยู่ถัดจากห้องของพวกเขา

"งั้น...ขอที่นี่เลยก็ได้"

ฆาเบียร์ทำท่าเว้าวอนและพยายามกดเจลงกับโซฟา คนตัวเล็กโวยลั่นและรีบดิ้นหนี เขาเผ่นแผล็วไปยืนอยู่หน้าโซฟา เจฉุดแขนคนตัวโตให้ลุกขึ้น ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และลุกขึ้นตามแรงฉุด เขาไม่ได้กะทำอะไรเจจริงจังอยู่แล้วเพราะเจเองก็เคยห้ามเขาเรื่องการทำอะไรประเจิดประเจ้อในห้องทำงาน



"ครับ อาปา เดี๋ยวอีกไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมงพวกผมจะออกไปครับ..."

ฆาเบียร์คุยโทรศัพท์กับคริสตอนที่เจกำลังง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋า พวกเขากลับขึ้นมาที่ห้องพักเพื่อเตรียมเสื้อผ้าไปที่มาเก๊า

"เตรียมสูทไปสักชุดก็ได้นะ เจ"

เจหันมายิ้มหวานให้คนรัก แบบนี้แปลว่าฆาเบียร์จะพาเขาไปกินอาหารที่ร้านหรูตามสัญญาอย่างแน่นอน เขาค้นๆ ในตู้ส่วนของเขาที่เหลือพื้นที่น้อยนิดและดึงชุดสูทผ้าไหมสีเทาแบบสุภาพที่เขาเคยใส่ตอนงานเปิดตัวบริษัทของฆาเบียร์ออกมา เมียตัวโตของเขาหันมาดูและเดินมาดึงมันออกไปจากมือของเขา

"ไม่เอาชุดนี้ เจ ชุดนี้ดีกว่า"

เขาดึงชุดกึ่งทักซิโดที่ดูแฟชั่นจ๋าที่เจใส่เป็นชุดแรกในงานวันนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชุดสุภาพออกมา

"ชุดนี้แหละถึงจะดูเป็นเจของฉัน"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจรับมาใส่ลงในถุงใส่ชุดสูทก่อนจะบรรจงพับมันและเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าของเขากับฆาเบียร์ ฆาเบียร์ส่งถุงใส่สูทของเขามาให้เจจัดลงกระเป๋าอีกชุดหนึ่ง



"นี่ คุณ ที่จะไม่พอแล้วนะ"

เจยืนเท้าสะเอวมองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างหนักใจ ไปมาเก๊าแค่สัปดาห์เดียว พ่อเจ้าประคุณของเขาหอบรองเท้าไปสามคู่อันได้แก่รองเท้าแบบ loafer หนึ่งคู่ รองเท้าหนังใส่กับสูทหนึ่งคู่ รองเท้าแตะหนังลำลองอีกคู่ นี่ยังไม่รวมคู่ที่จะใส่ไปอีก

"ก็คู่นี้เอาไว้ใส่เดินสลับกับคู่ที่ฉันจะใส่ไป ส่วนคู่นี้ เอาไว้ใส่กับสูทตอนไปกินข้าว ส่วนรองเท้าแตะก็เอาไว้ใส่เวลาเดินไปนั่นมานี่ในโรงแรม"

เจดึงรองเท้าแตะออกมาคืนให้ฆาเบียร์ทันที

"เดินในโรงแรมก็ใส่ loafer แทนซะ"

เจบ่นอุบอิบ รองเท้าเบอร์ 11 ครึ่งของพี่แกนั้นใช่เล็กๆ ยัดลงไปสองคู่ก็จะเต็มแล้ว

"แล้วกล่องน่ะ จะเอาไปด้วยทำไม?"

เจยกกล่องรองเท้าออกมา เขาใช้ถุงเท้าและกางเกงในใส่ถุงพลาสติกยัดลงไปในรองเท้าเพื่อไม่ให้มันเสียทรง จากนั้นเอาใส่ถุงผ้ากำมะหยี่ที่แถมมากับรองเท้ายี่ห้อแพงระยับทั้งสองคู่นั้น

"งั้นฉันไม่เอารองเท้าใส่กับสูทไปก็ได้"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ แล้วหยิบรองเท้าหนังแบบ Oxford ของ Salvatore Ferragamo ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตรองเท้าหนังชั้นนำของโลกออก เหลือไว้เพียง loafer หนังสีดำของปราด้า ซึ่งก็พอกล้อมแกล้มใส่กับชุดสูทของเขาได้ เจขมวดคิ้วดูรองเท้าคู่นั้นของฆาเบียร์ มันดูพื้นแข็งไม่น่าใส่เดินมากๆ ได้

"คุณมีรองเท้าที่ใส่เดินสบายๆ ไหม?"

"ไอ้เจ้าโลฟเฟอร์คู่นี้ก็ใส่เดินสบายนะ เจ deck shoes คู่ที่ฉันจะใส่พรุ่งนี้ก็เดินดีเหมือนกัน"

เขาพูดถึงรองเท้าแบบ deck shoes หรือ boat shoes ซึ่งเดิมทีมักใส่กันเวลาไปล่องเรือ เจหยิบรองเท้าหนังทรงลำลองสีกรมท่าที่มีพื้นยางสีขาวขึ้นมาดู มันมีเส้นหนังสีเดียวกับตัวรองเท้าร้อยรอบข้าง และมีเชือกผูกรองเท้าสั้นๆ ร้อยที่หน้ารองเท้า



"John Lobb? ผมไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้เลย"

เจอ่านชื่อแบรนด์ของรองเท้าคู่นั้น เขายกรองเท้าคู่นั้นส่องดูซ้ายขวาอย่างถูกใจ มันน้ำหนักเบา หนังก็สวยแถมการตัดเย็บก็แสนประณีต เขาบอกฆาเบียร์ว่างานที่ออกมาดูเนี้ยบไม่แพ้หรืออาจจะดีกว่าปราด้าและแฟรากาโม่ซึ่งเป็นแบรนด์รองเท้าหนังระดับท็อปของโลกด้วยซ้ำ

“เป็นแบรนด์อังกฤษน่ะ เจ เปิดมากว่า 150 ปีแล้วมั้ง เป็นแบรนด์โปรดของอาปาเลย คู่นี้ก็เป็นอาปาซื้อให้ฉัน”

ฆาเบียร์บอกว่านานๆ ทีคริสจะสั่งตัดรองเท้าแบรนด์นี้แบบ bespoke คือวัดเท้าและขึ้นแบบรองเท้าใหม่เพื่อคนใส่โดยเฉพาะ คริสจะใส่รองเท้าคู่นั้นเวลาที่ออกงานสำคัญหรืองานที่ต้องยืนหรือเดินมากๆ

“แต่โดยปกติอาปาจะสั่งรองเท้าแบรนด์นี้แบบ by request มากกว่า คือวัดเท้าเพื่อหาไซส์ที่ใกล้เคียงกับเท้าที่สุด คือเขาจะมีแบบรองเท้าที่ละเอียดกว่าไซส์ที่ขายในร้าน จากนั้นก็เลือกหนัง เลือกแบบ เลือกพื้นรองเท้า และอื่นๆ น่ะ”

ฆาเบียร์บอกว่าแบบนั้นจะได้รองเท้าที่กระชับพอดีมากกว่าซื้อจากในร้านแต่ไม่เท่าแบบ bespoke

“แต่ของฉันก็เป็นแบบซื้อในร้านน่ะ เท้าฉันไซส์มาตรฐานและไม่ได้มีปัญหาแบบเท้าอูม หน้าเท้ากว้างหรือเท้าแบนอะไร”

ตอนแรกคริสก็บอกว่าจะตัดแบบ bespoke ให้เขา แต่ฆาเบียร์ปฏิเสธ

“ฉันกลัวติดใจน่ะ”

คนตัวโตของเจพูดยิ้มๆ ต่อให้ชอบรองเท้าแค่ไหน ให้เขามาจ่ายเงินเกิน 5,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อรองเท้าหนังวัวคู่เดียวเขาก็คงไม่เอา เขาบอกเจว่ารองเท้าแบบวัดเท้าตัดของแบรนด์นี้ต้องใช้เวลาตัดเย็บรวม 50 ชั่วโมงโดยมีการลองใส่และปรับแบบอย่างน้อย 3 ครั้ง ราคาของมันอยู่ที่ตั้งแต่ 5,500 - 17,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับแบบและชนิดของหนัง เจที่กำลังเอารองเท้าคู่นั้นของฆาเบียร์มาลองใส่เล่นรีบถอดและส่งคืนทันที



"คู่นี้ไม่แพงขนาดนั้นหรอก เจ นี่เป็นแบบซื้อจากในร้านตามปกติ"

แต่คำว่าไม่แพงของฆาเบียร์ก็คือเกือบ 1,400 เหรียญสหรัฐฯ

"ที่รักครับ...ไปเที่ยวคราวนี้ ผมจะพาคุณเดินเยอะนะ คุณมีรองเท้าที่ถูกกว่านี้ใส่ไหมอ่ะ ผมกลัวว่าเดินเยอะๆ แล้วพื้นมันจะพัง"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ทริปครั้งนี้ของพวกเขา สามคืนแรกเจจะเป็นคนจัดการเรื่องอาหารการกิน ค่ารถและค่าโรงแรมทั้งหมด รวมทั้งเป็นคนจัดตารางเที่ยวด้วย ส่วนสามคืนหลังเป็นของฆาเบียร์

"อืมม์ ฉันมีรองเท้าที่ใส่ในยิม โอเคไหม?"

ฆาเบียร์เดินไปหยิบรองเท้าอาดิดาส Ultra Boost รุ่น Uncaged สีขาวจั๊วที่เขาใช้ประจำเวลาออกกำลังกายมาให้เจดู เจจับมันยัดใส่กระเป๋าเดินทางให้เสร็จสรรพ ฆาเบียร์กัดริมฝีปากเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดก่อนจะรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าบางส่วน



"ทำอะไรของคุณน่ะ ผมจัดไว้เรียบร้อยแล้วนะ"

เจโวยเล็กๆ ฆาเบียร์หยิบเอาเสื้อเชิร์ตกับเสื้อโปโลสองสามตัวและกางเกงผ้าอีกสองตัวออกและเก็บเข้าตู้ และเปลี่ยนเอากางเกงยีนส์ Balmain ทรงไบเกอร์สีเทาซีดตัวโปรดและเสื้อยืดแบรนด์ดังอีกสองสามตัวส่งให้เจแทน เขาหยิบเสื้อหนังตัวสวยของเขาออกมาวางไว้อีกด้วย

"มันจะได้เข้ากับรองเท้าหน่อยไง"

เจนยุทธกุมขมับ

"มาเก๊ามันหนาวขนาดต้องใส่เสื้อหนังเลยเหรอ คุณ?" 

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และเก็บเสื้อหนังเข้าตู้ เขาเอามันออกมาเพื่อกวนประสาทเจเล่นเฉยๆ เขาหยิบเสื้อตัวใหม่ออกมาจากไม้แขวนและทาบกับตัวด้วยท่าทีตื่นเต้น มันคือเสื้อแจ็คเก็ตทรงไบเกอร์ผ้าทวี้ดลายทางสีดำขาวจากคอลเล็คชั่นสปริง/ซัมเมอร์ 2018 ของบัลแมงที่เขาเพิ่งสอยมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาอยากใส่มันใจแทบขาดแล้ว เจขอยืมเสื้อตัวสวยของคนรักมาดูแล้วก็ต้องโคลงหัว ดูจากแบรนด์แล้วมันคงไม่ถูกอย่างแน่นอน เผลอๆ ถ้าคิดเป็นเงินไทยแล้วอาจจะเกินห้าหลักด้วยซ้ำ



"เมียครับ...รสนิยมคุณสูงขนาดนี้ผมคงเลี้ยงไม่ไหวจริงๆ นะ"

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์รีบวางเสื้อของเขาลงเมื่อจับความรู้สึกบางอย่างในน้ำเสียงนั้นได้ เขากุมมือเรียวของคนรักไว้

"เจ อย่าคิดมากไปเลยนะ ไอ้ของพวกนี้ฉันซื้อของฉันเองได้ อย่างที่เราตกลงกันไว้ไง นายดูแลฉันแค่ตอนอยู่เชียงใหม่ ส่วนไอ้เสื้อผ้าของส่วนตัวพวกนี้ ฉันจะใช้เงินฉันซื้อเอง"

"แต่บางทีผมก็อยากให้ของดีๆ คุณบ้าง ไอ้พวกที่ผมซื้อให้คุณใช้ที่เชียงใหม่น่ะมันก็แค่ของพื้นๆ นะ ฆาเบียร์"

เจพูดอย่างน้อยใจตัวเอง ฆาบี้ถอนหายใจและจูบหน้าผากคนรักเบาๆ

"ให้ฉันเลิกซื้อพวกเสื้อผ้ายี่ห้อพวกนี้ให้หมดเลยก็ได้นะเจ ถ้ามันทำให้นายไม่สบายใจ"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจนยุทธส่ายหน้าแล้วบอกว่าเขาไม่อยากเป็นสาเหตุให้ฆาเบียร์ต้องฝืนใจเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เขาแค่รู้สึกน้อยใจตัวเองเล็กๆ ที่ไม่สามารถทำให้ฆาเบียร์สุขใจแบบนี้ได้



"จะบ้าเหรอ เจ ทุกวันนี้นายก็ทำให้ฉันสุขใจจนไม่รู้จะสุขยังไงแล้ว"

ฆาบี้ดุคนคิดมากไม่เข้าเรื่อง

"นายไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อทำให้ฉันมีความสุขหรอกนะ แบบนั้นฉันทำให้ตัวเองก็ได้ แต่ความสุขที่เจให้ฉันน่ะมันเป็นแบบที่ใครก็ให้ฉันไม่ได้ มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นได้ รู้ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์หยิบดอกกุหลาบที่เขาดึงออกมาดมเล่นจากดอกไม้ช่อโตของเจขึ้นมาชู

"อย่างนี้เป็นต้นไงล่ะ เจ..."

เขาดึงร่างคนตัวเล็กของเขาเข้ามาแนบอกและจูบอย่างอ่อนโยนบนริมฝีปากรูปกระจับที่เผยอรับและจูบเขาตอบ

"...แล้วก็แบบนี้ เข้าใจหรือยัง?"

เจหน้าแดงซ่าน เขาหลบสายตาแพรวพรายของเมียตัวโตที่จ้องมองลึกเข้ามาในตาของเขา ฆาเบียร์ขยับจะป้อนจูบให้เขาต่อเมื่อโทรศัพท์ของคนตัวโตดังขึ้น

"ครับ อาปา เอ่อ ยังครับ พวกผมยังจัดกระเป๋าไม่เสร็จ ขอเวลาอีกสักสิบห้านาทีครับแล้วจะออกไป...ครับ ครับ เจอกันครับ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ระฆังช่วยไว้ก่อนนะ ไว้ฉันจะขอความสุขจากนายทีหลังนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้คนรักของเขาก่อนจะผิวปากเบาๆ และคุ้ยตู้เสื้อผ้าต่อ เจพูดไม่ออกได้แต่มองตามตาปริบๆ แล้วปล่อยคนตัวโตจัดกระเป๋าของเขาไปตามใจชอบ



เจนยุทธปาดเหงื่อหลังจากยัดทุกสิ่งอย่างลงกระเป๋าไปหมด เสื้อผ้าที่เขาเอามาจากเชียงใหม่และจะเอากลับไปด้วยเขาใส่ไว้ในกระเป๋าลากขนาดเคบินของเขา ส่วนเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ซื้อไว้ใช้ที่ฮ่องกงเขาก็เอาใส่กระเป๋าใบใหญ่พร้อมกับเสื้อผ้าของฆาเบียร์

"แน่ใจนะ ว่าคุณหอบมันกลับไหว?"

เจถามให้แน่ใจ ขากลับฮ่องกง ฆาบี้ต้องกลับมาลำพังเพราะเขาจะขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่จากที่มาเก๊าเลย

"ไหวน่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวขากลับฉันจะให้ริคกี้กับเมลิน่าตามไปช่วยขนของด้วย ถือว่าให้พวกเขาไปเที่ยวมาเก๊าด้วยเลย"

ฆาเบียร์บอกว่าทั้งสองคนจะตามไปเจอพวกเขาในวันเสาร์และกลับพร้อมฆาเบียร์ตอนบ่ายวันจันทร์ เจยิ้มอย่างดีใจ มันจะได้คุ้มที่เขาเหมาเคบินเรือสำหรับ 4 คนไว้หน่อย เจจัดการเอากระเป๋าใบใหญ่และกระเป๋าเคบินของเขาวางรวมกันไว้ เขาจะกลับมาเอากระเป๋าไปในวันพรุ่งนี้เพราะต้องกลับมาที่ตึก ICC นี้อีกครั้งเพื่อเซ็นสัญญาก่อนที่จะไปท่าเรือ เจหยิบกระเป๋าใบน้อยที่ใส่ของใช้ส่วนตัวสำหรับคืนนี้ไปก่อนจะส่งมือให้คนตัวโต

"ป่ะ เราไปกันได้แล้ว ขืนชักช้าอาหารจะเย็นหมดพอดี"

ฆาบี้โคลงหัว ไอ้ตัวแสบห่วงกินอีกแล้ว เขาหยิบกุญแจรถแอสตัน มาร์ตินคันงามของเขาใส่กระเป๋ากางเกงและยื่นมือไปเกาะกุมมือเรียวของคนรักไว้แน่นก่อนจะพากันเดินออกห้องพักไป



---------------------------------------------


ตอนแรกกะจะแค่ให้เวิ่นเว้อกันเบาๆ ก่อนจะขึ้นเรือไปมาเก๊า เขียนไปเขียนมายาวเฉย ไว้ลงเรือตอนหน้าแล้วกันนะคะ ตอนนี้อยู่บนบกกันไปก่อน ช่วงนี้จะเขียนออกมาช้าหน่อยนะคะ เหมือนไฟมันมอดๆ ไงก็ไม่รู้ ขอเวลาบิลด์ตัวเองแปร๊บนึง

รีวิวคลับเลาจ์ของ Ritz-Carlton Hong Kong ความฝันหนึ่งของคนเขียนค่ะ https://goo.gl/UQKeJ6

รองเท้าผู้ชายแบบต่างๆ ค่ะ https://goo.gl/ACZQ8j

รองเท้า deck shoes ยี่ห้อ John Lobb แบบที่ฆาเบียร์จะใส่ขึ้นเรือค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งสนใจแบรนด์นี้ แต่เห็นราคาแล้วจับไม่ลงอย่างแรง ฮ่าๆๆ https://goo.gl/XWq3X7



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 09:28:49 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Macau, Here We Come! ----




"อิ่มแล้วเหรอ เจ กินอีกสิ ไม่ต้องเกรงใจนะ"

คริสถามคนรักของลูกบุญธรรมพร้อมกับเอื้อมมือไปตักเนื้อกุ้งมังกรผัดซอส XO ที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นในจานส่งให้เจทั้งหมด  เจนยุทธทำหน้าลำบากใจ เขาอิ่มถึงหูแล้วตอนนี้ เขาเป็นฝ่ายกินอาหารจำนวนมากที่อยู่บนโต๊ะเกินกว่าครึ่ง ส่วนอีกสองคนที่กินน้อยเหมือนแมวดมนั้นก็เอาแต่นั่งยิ้มดูเขากินอย่างชอบใจ เจคีบเนื้อกุ้งมังกรเข้าปากและเคี้ยวช้าๆ และดื่มด่ำกับรสของมัน

"อร่อยมากเลยครับ อาปา อร่อยทุกอย่างเลย คุณเฉินเก่งจริงๆ"

เจหันไปค้อมหัวให้เชฟที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆ โต๊ะ คริสให้อาเหลียงหรือเชฟเฉินอี้เหลียง อดีตหัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารจีนติดดาวมิเชแลงของโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของฮ่องกงทำอาหารจีนต้นตำรับชุดใหญ่เพื่อต้อนรับเจ แม้จะมีพื้นฐานการครัวแบบฝรั่งเศส แต่อาเหลียงก็ผสมผสานมันเข้ากับอาหารจีนต้นตำรับที่เขาได้ร่ำเรียนมาจากผู้เป็นพ่อได้อย่างดีเยี่ยม โดยปกติแล้วความถนัดของเขาคืออาหารจีนที่มีการผสมผสานวัตถุดิบหรือเทคนิคการปรุงแบบตะวันตกเข้าไปด้วย แต่วันนี้คริสขอให้เขาเน้นอาหารจีนแบบต้นตำรับซึ่งเขาก็จัดให้อย่างเต็มที่



อาเหลียงเริ่มมื้ออาหารด้วยห่านตัวอ้วนพีย่างด้วยไม้ลิ้นจี่จนหนังกรอบจิ้มกับซอสบ๊วย ตัวเชฟออกมาแล่ห่านตัวนั้นเสิร์ฟด้วยตัวเอง เขาต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจนยุทธที่ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นเต้นเมื่อลิ้มรสห่านย่างชิ้นแรกเข้าไป เจถึงขั้นเดินมาจับไม้จับมือเขาเพื่อขอบคุณที่ทำห่านย่างที่อร่อยที่สุดในชีวิตให้กิน นอกจากห่านย่างแล้ว เขายังเสิร์ฟออเดิฟมาตรฐานอย่างขาหมูเย็นยัดไส้และของโปรดของคริสอย่างเป๋าฮื้อฝานบางหมักซอสกับแมงกะพรุนน้ำมันงา

จานถัดไปที่ทำให้เจแทบร้องไห้ออกมาเพราะความอร่อยล้ำของมันคือซุปใสแบบที่เรียกว่ายอดซุปหรือ Superior soup มันคือซุปที่ได้จากการเคี่ยวสารพัดวัตถุดิบ หัวใจหลักของมันคือกระดูกหมู เนื้อไก่และโครงไก่ ขิง ต้นหอมและที่ขาดไม่ได้เลยคือแฮมหมูจินหัวของจีน สำหรับซุปของอาเหลียง เขายังใส่หอยเชลล์แห้ง ลำใยแห้งรวมทั้งวัตถุดิบลับอย่างเห็ดมอเรลแห้งจากฝรั่งเศสซึ่งเขาใช้แทนเห็ดหอมแห้งลงไปเพิ่ม เจ้าเห็ดมอเรลนี้เองที่ทำให้ซุปของอาเหลียงหอมแปลกไปจากของคนอื่น เขาปรุงรสมันด้วยน้ำตาลกรวด เกลือ พริกไทยเม็ดและเหล้าจีนและเคี่ยวมันด้วยไฟต่ำเป็นเวลาถึง 6 ชั่วโมง จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางจนได้น้ำซุปสีทองเข้มจนเกือบน้ำตาลซึ่งใสไร้ตะกอนใดๆ

ซุปถ้วยนี้ของอาเหลียงเสิร์ฟโดยใส่เพียงเกี๊ยวกุ้งผสมเห็ดมอเรลหนึ่งตัวและผักฮ่องเต้หนึ่งใบเพราะพระเอกของถ้วยนี้คือน้ำซุปนั่นเอง เจซดมันจนไม่เหลือสักหยด เขาทำตาละห้อยจนเชฟต้องตักซุปเปล่าๆ มาให้เขาอีกถ้วยหนึ่ง



อาหารชุดถัดไปคือจานเนื้อและอาหารทะเลซึ่งถือเป็นเมนคอร์ส อาเหลียงจัดเต็มเริ่มจากเป๋าฮื้อตัวใหญ่และกระเพาะปลาสดตุ๋นน้ำแดง จานนี้เจกวาดน้ำซอสมันจนไม่มีเหลือ ตามด้วยกุ้งมังกรเจ็ดสีตัวใหญ่ซึ่งนำเนื้อไปหั่นเป็นชิ้นพอคำ คลุกเคล้าด้วยแป้งบางๆ และนำไปทอดเพื่อกักเก็บความอร่อยและความชุ่มชื้นของเนื้อไว้ จากนั้นนำไปผัดกับซอสพริก XO รสเลิศสูตรประจำตัวของอาเหลียง

ซอส XO ที่ว่านี้คือซอสที่เป็นพื้นฐานของอาหารหลายๆ ชนิด มันมีต้นกำเนิดมาจากฮ่องกงในช่วงปี 1980s และที่เรียกว่า XO นั้นเป็นการเลียนแบบคำแสดงคุณภาพของเหล้าชั้นเลิศของฝรั่งเศสอย่างคอนญัค สำหรับซอสนี้ คำว่า XO แสดงถึงวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่ใส่ลงไปในตัวซอสนั้นซึ่งมีทั้งอาหารทะเลแห้งอย่างกุ้งแห้งและกังป๋วยหรือหอยเชลล์แห้ง อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือเครื่องสร้างรสชาติในอาหารจีนอย่างแฮมจินหัว วัตถุดิบอื่นก็มีหอมแดง กระเทียม พริกสดและพริกแห้ง ปรุงรสด้วยเหล้าจีนและอื่นๆ ตามสูตร คนฮ่องกงใช้มันในอาหารจานผัด อย่างผัดผัก ผัดเนื้อและอาหารทะเล รวมไปถึงข้าวผัดและบะหมี่ผัด มันยังใช้กินเปล่าๆ กับข้าวหรือบะหมี่เหมือนกับน้ำพริกเผาของคนไทยก็ได้เช่นกัน ถือเป็นซอสเอนกประสงค์ที่ควรมีติดบ้านอีกอย่างหนึ่ง



จานถัดไปที่เจชมเปาะอีกเช่นกันคือขากบทอดพริกเกลือ ขากบขนาดใหญ่เนื้อแน่นคลุกเคล้ามากับกระเทียมและพริกทอดกรอบๆ เค็มๆ เจประหลาดใจเมื่อเห็นฆาเบียร์ยกขากบขึ้นแทะอย่างเอร็ดอร่อย เขาไม่นึกว่าคนเลือกกินอย่างฆาเบียร์จะยอมกินกบ เขาหมายมั่นปั้นมือว่าคราวหน้าจะพาฆาเบียร์ไปกินขากบทอดกระเทียมสุดอร่อยของร้านอาหารเมืองครัวดวงสมพงษ์ที่แม่ริมให้ได้

จานปลาที่เชฟเฉินจัดมาให้ไม่ใช่อาหารกวางตุ้ง แต่เป็นอาหารแต้จิ๋วอย่างปลากระบอกนึ่งแบบเย็นเสิร์ฟกับซอสเต้าเจี้ยว เจกับฆาบี้แย่งกันกินปลาตัวนี้อย่างไม่ยอมกัน เจบอกว่าเขาเคยกินปลากระบอกเย็นนี้ที่เมืองไทยครั้งหนึ่ง ญาติของพ่อที่อาศัยอยู่ที่เยาวราชซื้อมันมาฝาก แต่ของเชฟเฉินสดใหม่และอร่อยกว่ามาก

เมนคอร์สจานเนื้ออย่างสุดท้ายคืออาหารคลาสสิคของเซี่ยงไฮ้อย่างหมูพันชั้นหรือที่ชุมชนจีนทางใต้ของไทยเรียกว่าเคาหยกหรือเกาหยุก มันคือการนำเอาสามชั้นหรือเนื้อส่วนท้องของหมูไปทำเป็นหมูกรอบแล้วนำไปตุ๋นกับผักแห้งที่นำมาแช่น้ำให้คืนรูปและซีอิ๊วดำ เจชิมแล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อพบว่าร้านแถวบ้านอย่างร้านแยงซีเจียงก็ทำอาหารจานนี้ได้อร่อยไม่แพ้กับเชฟดังคนนี้ เขาหันไปหาฆาเบียร์แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นฆาบี้เอาหมั่นโถวที่มาพร้อมหมูพันชั้นจานนี้ไปปาดเอาน้ำในจานมาจนเกือบแห้ง



"นี่ๆ สามชั้นนี่มันทั้งนั้นนะ คุณกินได้เหรอ?"

เจแซวพ่อคนกลัวอ้วนที่เหมือนจะลืมตัวไปแล้ว คนตัวโตของเขาทำหูทวนลมและก้มหน้าก้มตากินต่อไป หมูพันชั้นของอาเหลียงไม่เลี่ยนเลยสักนิดเพราะเขาใส่ใจในการไล่น้ำมันออกจากหมู เขาต้มหมูสามชั้นก่อนพร้อมกับโป๊ยกั๊กและขิงฝานเพื่อไล่น้ำมันออก จากนั้นผึ่งให้แห้งแล้วจึงนำไปทอดให้หนังกรอบก่อนที่จะนำมาหั่นเป็นชิ้นบางและนำไปตุ๋นบนผักกาดแห้งที่แช่น้ำมาแล้ว 5-6 ชั่วโมง ปรุงรสด้วยเหล้าจีน ซีอิ๊วดำ ขาว ซุปไก่และน้ำตาลกรวด

จานผักที่ตบท้ายในกลุ่มเมนคอร์สคือบร็อคโคลี่ราดซอสไข่ขาวและเนื้อปู เจกินมันอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน ถึงตอนนี้ท้องน้อยๆ ของเขาก็แทบจะระเบิดแล้ว เขาคนเดียวกินอาหารเหล่านี้ไปเกินครึ่งเพราะทั้งอาปาและฆาเบียร์ต่างก็กินน้อยทั้งคู่ ถึงวันนี้ฆาเบียร์จะถือว่ากินมากกว่าปกติ แต่ก็ยังน้อยอยู่ดี

เจทำตาปริบๆ มองอาหารฮ่องกงจานโปรดของเขาอย่างเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วใส่เนื้อวากิวที่ถูกยกมาวางตรงหน้าเขา ทั้งฆาเบียร์และคริสต่างยกมือบอกผ่าน เจกลืนน้ำลายดังเอื้อก กลิ่นของมันชวนให้น้ำลายสอแต่เขาไม่สามารถจะยัดมันลงไปได้อีกแล้ว เชฟผู้เฒ่าที่ออกมายืนรอตักเสิร์ฟถึงกับหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูเมื่อเจส่งสายตาแสดงความขอโทษมาให้เขา

"เจ กินไม่ไหวก็ไม่ต้องกินแล้วก็ได้นะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขากับคริสเองก็ช่วยเจไม่ไหวแล้วเช่นกัน เจส่ายหัว

"ไม่ได้ ฆาบี้ คุณเฉินอุตส่าห์ทำออกมาทั้งที ผมต้องกิน"

เจนยุทธขอให้เชฟตักก๋วยเตี๋ยวผัดให้เขาช้อนใหญ่ เขาคีบขึ้นมากินแล้วทำหน้าฟิน กลิ่นหอมควันไฟจากกะทะทำให้เขาสามารถกินส่วนที่อยู่ในจานของตัวเองได้จนหมด เส้นนั้นเหนียวนุ่มปรุงรสมาอย่างพอดี เนื้อวากิวที่นุ่มอยู่แล้วก็ถูกหมักจนนิ่มขึ้นไปอีก เชฟใส่ซอส XO ลงไปเล็กน้อยเพื่อปรุงรสอีกด้วย เจชมซอสเอ็กซ์โอของเชฟว่าอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาแล้ว เชฟเฉินอี้เหลียงยิ้มอย่างดีใจ เขาถูกใจคนรักของฆาเบียร์คนนี้มาก ท่าทางที่กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมดของเจมันทำให้คนทำอาหารอย่างเขาปลื้มใจ



"งั้น จะรับของหวานต่อเลยไหมครับ?"

เชฟซึ่งผ่านการศึกษาจากต่างประเทศมาถามเจด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศส ทั้งสามคนโบกไม้โบกมือบอกว่าพวกเขาขอพักท้องสักหน่อยก่อน เชฟรับคำและเดินหายเข้าไปในครัวก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับซอส XO กระปุกใหญ่ เขายื่นมันให้เจนยุทธ

"สำหรับคุณเจครับ หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับคุณบ้าง"

เจรับมันมา เขามีทีท่าดีใจมากและบอกว่าเขาจะใช้มันอย่างแน่นอน

"แหม คุณนี่ลำเอียงไม่เบานะ ทีผมขอตั้งหลายครั้งคุณยังไม่เคยให้ผมเลย"

ฆาเบียร์แซวขึ้น ปกติแล้วอาเหลียงจะหวงซอสเอ็กซ์โอของเขามาก เชฟหัวเราะเบาๆ

"ก็คุณกินน้อย ไม่ทำอาหารเองอีกต่างหาก เอาไปก็คงจะเสียก่อนที่จะทันกินหมดแน่ๆ"

"อ้าว แบบนี้แปลว่าผมกินเยอะอ่ะสิ"

เจโวยขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทั้งห้องอาหารหัวเราะกันครืน

"ถ้าอย่างเจไม่เรียกว่ากินเยอะ โลกนี้ก็ไม่มีใครกินจุแล้วล่ะ"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ คนตัวเล็กของเขาหน้าแดงน้อยๆ และทุบเบาๆ เข้าที่ไหล่ของเขาด้วยความเขินอาย



"งั้นเดี๋ยวพวกเราจะย้ายไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นนะ ค่อยเตรียมของหวานและชาไปเสิร์ฟที่นั่นก็ได้ นายเองก็มานั่งกินกับพวกเราด้วยล่ะ อาเหลียง"

คริสบอกเชฟที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่วัยเด็ก อาเหลียงซึ่งมีอายุมากกว่าเขา 5 ปีก็โตมาในบ้านหลังนี้ เชฟเฉินอี้เหลียงค้อมหัวให้นายของเขาและกลับเข้าไปในครัว คริสชวนฆาเบียร์และเจที่ทำท่าจะฟุบลงไปกับโต๊ะแล้วเพราะความอิ่มให้ย้ายไปที่ห้องนั่งเล่น

หลังจากนั่งพักท้องกันพักใหญ่ก็ถึงเวลาของหวาน ของหวานที่เชฟเตรียมให้ได้แก่ของทอดจานน้อยที่ประกอบไปด้วยพุทราทอดซึ่งก็คือแผ่นแป้งห่อพุทราจีนกวนแล้วนำไปทอดและกล้วยหอมทอดสอดไส้ครีมคัสตาร์ด นอกจากนั้นก็ยังมีบัวลอยงาดำน้ำขิงให้อีกคนละถ้วย เปลือกนอกของบัวลอยนั้นบางมากจนแตกออกเมื่อสัมผัสฟันเพียงเล็กน้อย คริสและฆาเบียร์เจียดบัวลอยให้เจอีกคนละลูกซึ่งคนตัวเล็กก็น้อมรับไว้ด้วยความยินดี

"ให้ตายสิ เจ นายเอากระเพาะส่วนไหนมาบรรจุอาหารพวกนี้กันนะ"

ฆาเบียร์ที่เอนกายน้อยๆ พิงพนักโซฟาโอดครวญขึ้น เขาที่กินน้อยกว่าเจนยุทธมากยังอิ่มจนไม่อยากจะขยับตัวแล้ว แต่เจก็ยังจิ้มพุทราทอดเคี้ยวหยับๆ ได้หน้าตาเฉย ที่น่าเจ็บใจคือเขากินนิดเดียวน้ำหนักก็พาลจะขึ้นแล้ว แต่เจกลับยังผอมเพรียวเหมือนเดิมได้

"แหม ผมก็อิ่มอยู่บ้าง แต่มันอดไม่ได้นี่นา อาหารของเชฟเฉินอร่อยทุกอย่างเลย นานๆ ได้กินทีผมก็ต้องจัดเต็ม"

เจหันไปยิ้มประจบประแจงเชฟชื่อดังของอาปาที่ถอดชุดเชฟแล้วมานั่งร่วมวงสนทนากับพวกเขา

"คุณก็มาฮ่องกงบ่อยๆ สิครับ คุณเจ คราวหน้าผมจะทำอาหารฝรั่ง ไม่ก็จีนฟิวชั่นให้ลองชิม"

อาเหลียงพูดยิ้มๆ เจตอบรับและบอกว่าคราวหน้าเขาจะไปจ่ายตังค์ลองชิมที่ร้านของเชฟให้ได้ เขายืนยันจะขอกินแบบจ่ายตังค์เมื่อเชฟบอกว่าให้เรียกเขามาทำให้กินที่บ้านคริสก็ได้

"ยอมๆ เจเขาเถอะ อาเหลียง ถ้าเขาอยากไปลองกินที่ร้านนายก็ปล่อยให้เขาไปกินซะ"

คริสที่รู้นิสัยลูกชายคนใหม่ของเขาดีพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มละไม เชฟค้อมหัวตอบรับ เจรินชาผู่เอ๋อสองจอกสุดท้ายในกาส่งให้คริสกับฆาเบียร์อย่างเอาใจ คริสยกจานเม็ดแตงโมและรากบัวเชื่อมแห้งซึ่งเป็นของแกล้มชาส่งให้เจ เจหันไปซักถามเชฟเรื่องการทำงานในครัวโรงแรมอย่างสนใจ อาเหลียงเล่าเรื่องมากมายให้คนตัวเล็กซึ่งเคยเรียนการโรงแรมฟัง เจนึกดีใจที่เขาตัดสินใจไม่ทำงานด้านนี้ มันไม่ใช่แนวถนัดของเขาเลยสักนิด ฆาเบียร์นั่งยิ้มมองคนรักที่สนทนากับผู้เฒ่าทั้งสองคน



"ผมขอตัวก่อนนะครับ ดึกแล้ว เดี๋ยวผมต้องเช็คครัวครั้งสุดท้ายก่อนกลับด้วย"

อาเหลียงขอตัวปล่อยให้ทั้งสามคนนั่งสนทนากันต่อ

"งั้นพรุ่งนี้พวกลูกจะออกบ้านแต่เช้าเลยใช่ไหม?"

คริสถามขึ้น

"ครับ เดี๋ยวผมกับเจต้องเข้าไปเซ็นเอกสารที่ออฟฟิศตอนเช้า ก็เลยว่าจะไปกินข้าวเช้าที่นู่นด้วยเลย อาปาไปด้วยกันไหมครับ?"

คริสตอบตกลง คนเข้าพักในชั้นคลับสามารถพาแขกเข้าไปในคลับเลาจ์ได้ แต่ถ้าจะใช้บริการด้านอาหารก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งฆาเบียร์ก็คิดว่าไม่ได้แพงอะไรมากมาย

"อาปาไม่ไปมาเก๊ากับพวกผมเหรอครับ?"

เจถามด้วยน้ำเสียงอ้อน เขาอยากอยู่กับคริสต่ออีกหน่อย คริสหัวเราะเบาๆ และลูบหัวเจนยุทธที่มานั่งเกาะแขนเขาอยู่ด้วยความเอ็นดู

"ฉันต้องกลับแคลิฟอร์เนียวันมะรืนแล้วน่ะ ทิ้งออฟฟิศทางนู้นมาตั้งสัปดาห์หนึ่งแล้ว"

อันที่จริงเขาก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอของหนุ่มไฟแรงทั้งสองคนนี้ด้วย คริสดูนาฬิกาแล้วลุกขึ้นยืน

"งั้น อาปาไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันสักเจ็ดโมงเช้าแล้วกัน พวกลูกก็อย่าหักโหมนอนดึกกันนักล่ะ"

คริสพูดยิ้มๆ ทั้งสองคนหน้าแดงเพราะคำพูดที่ฟังดูกำกวมนั้น



"ไม่เอา ฆาเบียร์ ตอนนี้ผมยังไม่ไหว"

เจพูดเสียงสั่นและพยายามดันร่างคนตัวโตที่กอดปล้ำเขาอยู่บนเตียงไม้แกะสลักแบบจีนโบราณ

"ผมอิ่มจะตายอยู่แล้ว ถ้าคุณกดท้องผมอีกทีนะ ผมอ้วกใส่หน้าคุณแน่"

ฆาเบียร์รีบปล่อยทันทีเมื่อได้ยินคำขู่นั้น เขาเปลี่ยนมานอนกอดคนรักอย่างอ่อนโยนจากทางด้านหลัง เขาจุมพิตแผ่วๆ ที่ต้นคอของเจ เจหันหน้ามาประทับจูบบนริมฝีปากคนรักของเขา

"เตียงหลังนี้ไม่เล็กไปหน่อยเหรอ ฆาบี้?"

เจพลิกตัวหันไปหาคนรักที่นอนคู้ตัวอยู่ ฆาเบียร์ที่สูง 180 เศษดูจะตัวยาวเกินไปสำหรับเตียงจีนโบราณหลังนี้ ถ้านอนหงายหัวและเท้าเขาจะชนแผงไม้ที่กั้นเตียงพอดี เจที่สูง 170 ยังรู้สึกว่าตัวเองเหลือพื้นที่ด้านหัวและปลายเท้าเพียงนิดเดียว

"ไม่เป็นไรหรอก เจ ฉันนอนได้"

ฆาเบียร์หอมผมคนตัวเล็ก กลิ่นหอมๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ทำให้เขารู้สึกสบายใจ เจที่นอนซบบนอกฆาบี้มองไปด้านบนของเตียงอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ เตียงจีนแบบโบราณหลังนี้ดูเก่าแก่ ลวดลายดอกไม้ละเอียดยิบที่แกะสลักลงไปบนแผงไม้ที่กำลังเตียงหลังนี้ไว้ช่างงดงามและประณีต



"เตียงเก่าแบบนี้ ผีดุป่าวไม่รู้..."

"...ผมกลัวจริงๆ นะ ฆาบี้ ถ้าตื่นขึ้นมาดึกๆ สักคืนแล้วเจอยายแก่นั่งจ้องหน้าจากบนนู้น ผมคงช็อคตายแน่ๆ"

คนตัวเล็กที่ไม่ค่อยกลัวอะไร แต่ไม่ถูกโรคกับสิ่งที่มองไม่เห็นพูดเสียงอ่อยๆ เขาชี้ขึ้นไปที่ด้านบนของแผงไม้แกะสลักที่ล้อมเตียงไว้ทั้ง 3 ฟาก คราวที่แล้วที่เขาขึ้นมานอนที่นี่เขาก็นอนหลับตาปี๋ไม่กล้าลืมตาขึ้นดูตอนกลางคืน และเมื่อปวดฉี่กลางดึกเขาก็ต้องปลุกฆาเบียร์ให้ตื่นไปส่งเขาเข้าห้องน้ำด้วย สำหรับเตียงนี้ แม้ฆาเบียร์จะเปลี่ยนฟูกเป็นฟูกหนานุ่มยี่ห้อดังและใช้ผ้าขาวบางคลุมด้านบนบางส่วนจนดูเหมือนเตียงฝรั่งที่เรียกว่า Canopy bed เจก็ยังว่ามันดูน่ากลัวอยู่ดี

"...คุณเองก็ดูจะนอนไม่สบาย เปลี่ยนเป็นเตียงสมัยใหม่ไม่ดีกว่าเหรอ ฆาบี้?"

เจพูดด้วยเสียงหวาดๆ ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นท่าทางของคนรัก

"ไม่ต้องกลัวหรอกเจ มันดูเหมือนเก่าแต่จริงๆ เตียงหลังนี้อายุไม่ถึงร้อยปีนะ มันเป็นเตียงแต่งงานของพ่อแม่อาปาน่ะ"

เจอุทานออกมา เขาบอกว่างั้นไม่ต้องเปลี่ยน ฆาเบียร์เล่าว่าเขาไปเจอเตียงหลังนี้ตอนที่ไปช่วยอาปาจัดการกับข้าวของในโกดังเก็บของหลังบ้าน เขาถูกใจลวดลายอันงดงามของมันเป็นอย่างมากและเอ่ยปากขอมันมาไว้ในห้องของเขาที่บ้านหลังนี้



"อาปาเล่าว่าหลังแม่ของอาปาตาย พ่อของอาปาก็ไม่ยอมใช้เตียงหลังนี้อีกและสั่งให้เอาไปเก็บไว้ที่อื่น ตอนฉันไปเจอ สภาพมันโทรมเอาเรื่องก็เลยเอาไปซ่อมมา เสียตังค์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ออกมาสวยแจ่มเลยใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ไล้มือไปตามลวดลายแกะสลักที่ละเอียดยิบนั้น เจพยักหน้า มันสวยจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็สวยแบบน่ากลัว

"ฉันยังคิดเลยนะว่าถ้าฉันย้ายกลับสหรัฐฯ ถาวรเพื่อไปทำงานแทนอาปา ฉันจะยกเตียงนี้กลับไปด้วย ดีไหม?"

เจเงียบไม่ตอบรับอะไร ฆาเบียร์ลอบมองหน้าคนตัวเล็กในอ้อมอก เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้านั้นมีแววสลด เขากระชับวงแขนเข้าแน่น เจนยุทธคงนึกถึงเวลานั้นที่พวกเขาต้องอยู่ห่างไกลกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาเองก็เคยคิดถึงเรื่องนั้นเช่นกัน หากพวกเขาต้องอยู่ห่างกันกว่าครึ่งโลก พวกเขาจะยังสามารถรักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไว้ได้อยู่หรือไม่ เขาคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง

แต่ในตอนนี้ เขาต้องหาทางทำให้คนตัวเล็กของเขาร่าเริงขึ้นก่อน ฆาเบียร์จุ๊บเบาๆ ที่ปากของเจ เจจูบกลับเบาๆ ฆาเบียร์รุกหนักขึ้น เขาดันกายขึ้นคร่อมร่างเพรียวนั้นและจ้องลึกเข้าไปในตาของคนรัก

"เจจ๋า...เตียงนี้มันเป็นเตียงแต่งงาน เราก็ควรใช้งานมันให้ถูกหน้าที่ใช่ไหม"

คนตัวโตส่งยิ้มให้ แววตากรุ้มกริ่มของเขาบ่งบอกว่าเขาเอาจริง เจหน้าแดง เขาแพ้สายตาวับวาวของเมียตัวโตของเขาจริงๆ เจโน้มคอคนตัวโตของเขาลงมาป้อนจูบให้อีกและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน



"ไง เจ เมื่อคืนหลับสบายไหม?"

คริสถามเจนยุทธซึ่งนั่งรถคันเดียวกับเขาลงจากยอดวิคตอเรีย พีค ฆาเบียร์นั้นขับแอสตัน มาร์ตินของเขาล่วงหน้าลงมาก่อนแล้ว

"หลับสบายดีครับ แต่ผมแน่นท้องเลยใช้เวลานานนิดนึงกว่าจะหลับ"

เจพูดยิ้มๆ เขาตอบตามจริงแค่ครึ่งเดียว ไอ้นอนสบายน่ะ ใช่ แต่ที่ใช้เวลานานกว่าจะหลับก็เพราะพ่อเจ้าประคุณที่นอนข้างๆ สะกิดยิกๆ จะชวนเขาใช้เตียงแต่งงานให้คุ้มค่า สุดท้ายเจที่ท้องยังอืดเพราะอาหารค่ำก็ยอมใช้แค่มือให้ ถึงฆาเบียร์จะบ่นแต่ก็ยอมตามที่เจบอกแต่โดยดีจากนั้นก็พากันหลับสนิทจนถึงเช้า สำหรับเจ เมื่อรู้ว่าเตียงนั้นไม่ใช่เตียงเก่ามากอย่างที่คิด เขาก็นอนหลับได้อย่างสบายใจ

เจนั่งคุยกับคริสถึงเรื่องต่างๆ คริสถามถึงเรื่องงานที่เจต้องทำในเพจของฆาเบียร์ เจก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เขาเองก็หวังว่าตัวเองจะเป็นประโยชน์ให้กับคนรักได้บ้าง พวกเขานั่งคุยกันอยู่พักหนึ่ง รถเบนท์ลี่ย์ มูซานน์คันงามก็พาพวกเขามาเทียบจอดที่ทางเข้าโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน เจแสดงคีย์การ์ดเข้าห้องของเขาให้พนักงานหน้าลิฟท์ซึ่งกดลิฟท์ให้เขาขึ้นไปยังชั้นล็อบบี้ของโรงแรม พวกเขาขึ้นลิฟท์ซึ่งพาพวกเขาขึ้นไปสู่ชั้น 103 ได้ในเวลาเพียง 52 วินาที พวกเขาไปสมทบกับฆาเบียร์ที่นั่งรอพวกเขาอยู่ที่ล็อบบี้ จากนั้นก็พากันขึ้นไปยังคลับเลาจ์บนชั้น 116



"แชมเปญไหม เจ?"

เจอิดออดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า เขาบอกฆาบี้ว่าเขาลืมไปเสียสนิทว่าที่คลับเลาจ์ของรร. ริทซ์ คาร์ลตั้นฮ่องกงนี้เสิร์ฟแชมเปญ ไวน์และเหล้าตลอดทั้งวันและเสียดายว่าเมื่อวานตอนกลางวันเขาน่าจะขึ้นมาดื่มสักสองสามแก้วระหว่างที่รอฆาเบียร์ทำงาน

"เจยังมีโอกาสมานั่งดื่มอีกนานน่า ฉันยังอยู่ฮ่องกงอีกตั้งหลายปี"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ที่โรงแรมนี้สักปีหนึ่งก่อนที่จะหาซื้อคอนโดสักห้อง แต่ถ้าไอ้ตัวเล็กมันชอบที่นี่ เขาอยู่มันตลอดทั้งห้าปีเลยก็ได้

คริสชวนเจลุกไปตักอาหารเช้า เจสั่งออมเล็ตมาที่นึงก่อนจะไปคีบขนมปังและเพสตรี้หน้าตาน่ากินจากไลน์บุฟเฟต์



"เจ ทำไมวันนี้กินน้อยจัง?"

ฆาเบียร์ซึ่งหยิบมาแต่มูสลี่ โยเกิร์ตและผลไม้ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในจานของเจ คริสเองก็ถามมาอย่างเป็นห่วงเช่นกัน เจมองในจานของตัวเอง เขาหยิบครัวซองต์ ครัวซองต์อัลมอนด์ ขนมปังซาวร์โดห์ก้อนเล็ก เพสตรี้ไส้ครีมและผลไม้อย่างละชิ้น แถมยังมีออมเล็ตกับพวกไส้กรอก รวมถึงมูสลี่และโยเกิร์ต ซึ่งก็...น้อยกว่ามาตรฐานของเขาไปหน่อย

"เอ่อ ผมไม่อยากกินเยอะก่อนขึ้นเรือครับ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขายกน้ำส้มขึ้นดื่มและยิ้มออกมาเมื่อพบว่ามันเป็นแบบคั้นสด ฆาเบียร์ถอนหายใจแล้วบ่นว่าเขาก็บอกแล้วว่านั่งฮ. ไปก็ได้ เจหันมายิ้มทำหน้าบ้องแบ๊วให้เขา

"ไม่เป็นไรน่า เมาเรือแค่นี้ จิ๊บๆ เจทนได้!"

ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องดึงแก้มป่องๆ ของคนที่ทำหน้าอวดเก่ง

"ดึงแก้มอีกแล้ว! แก้มคนนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา!"

เจโวยเบาๆ อย่างเกรงใจสถานที่ คริสหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีสบายๆ ของลูกบุญธรรมของเขา ฆาเบียร์ช่างดูผ่อนคลายเหลือเกินเมื่อยามอยู่กับเจ เขาดูมีความสุขและเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ คริสได้แต่หวังว่าความสุขแบบนี้จะคงอยู่กับลูกของเขาไปนานๆ



หลังกินข้าวเสร็จพวกเขาก็พากันลงมาที่ออฟฟิศของฆาเบียร์ เมลิน่ายืนรอรับพวกเขาอยู่พร้อมซองเอกสาร

"สัญญาจ้างงานของคุณเจมาแล้วค่ะ"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับรู้ เขาเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องประชุมเล็ก เมลิน่าหายไปพักหนึ่งก่อนจะกลับมาพร้อมแฟ้มรองเซ็น เธอวางมันลงตรงหน้าเจนยุทธ เจนั่งอ่านสัญญาทุกหน้าอย่างละเอียด เขาสอบถามฆาเบียร์เมื่อมีข้อสงสัย จากนั้นก็เซ็นชื่อกำกับทุกแผ่นและส่งคืนให้เมลิน่า

"เดี๋ยวต้องให้พยานเซ็นด้วย เมลิน่ากับริคกี้เซ็นก็ได้"

"มานี่ ฉันเซ็นเอง"

คริสกวักมือเรียกให้เมลิน่าเอาแฟ้มมาให้เขา เขาอ่านอย่างละเอียด

"ฆาบี้ ทำไมลูกให้เงินเดือนเจน้อยขนาดนี้ล่ะ"

คริสบ่นลั่นเมื่อเห็นตัวเลขนั้น

"อาปาครับ เจเขายอมรับแค่นี้เอง ผมจะให้มากกว่านั้นเขาก็ไม่เอา"

คนตัวโตของเจฟ้องลั่น คริสได้แต่โคลงหัวแล้วหันไปบ่นเจนยุทธที่นั่งยิ้มอยู่ข้างหน้า เจได้แต่หัวเราะและไม่พูดอะไร คริสจรดปากกาเซ็นชื่อในฐานะพยานจากนั้นส่งให้ฆาเบียร์เซ็นต่อ เจได้แต่มองตาปริบๆ เมลิน่าเองก็อมยิ้ม ตอนส่งสัญญากลับไป เอเจนซี่คู่สัญญาซึ่งจะมีชื่อเป็นเจ้านายของเจต้องตกใจแน่ๆ เมื่อได้เห็นชื่อของพยานทั้งสองคน เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นคริสและฆาเบียร์เคยเซ็นชื่อเป็นพยานพร้อมๆ กันให้ใครหรือพนักงานคนไหนมาก่อน ทีนี้ทางนู้นก็จะได้รู้แน่ชัดแล้วว่าเจน่ะ ‘เด็กใคร’



"แล้วผมต้องไปทำงานร่วมกับทางเอเจนซี่ที่กรุงเทพฯ ด้วยหรือเปล่าครับ?

เจถามฆาเบียร์อีกที ฆาบี้ส่ายหน้า

"เจทำงานร่วมกับสำนักงานที่ฮ่องกงก็พอ มีอะไรก็ส่งตรงให้ฉันหรือเมลิน่า มีแค่ว่าถ้าเอเจนซี่ทางนั้นมีงานร่วมกับทางเราและฉันต้องไป เจก็ต้องไปด้วย แค่นั้นเอง"

"งั้น อาปาไม่ไปส่งลูกที่ท่าเรือนะ เจ ลากันตรงนี้ก่อน"

คริสตบไหล่คนรักของลูกชายเบาๆ เขาต้องไปสะสางงานที่บริษัทของพ่อเขาก่อนที่จะบินกลับสหรัฐฯ ในวันรุ่งขึ้น เจทำตาแดงๆ ก่อนจะยกมือไหว้คริสซึ่งดึงตัวเขาไปกอดแน่น

"เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ อาปา ไว้เจอกันครับ"

คริสดึงฆาเบียร์เข้ามากอดด้วยอีกคน

"ไว้เจอกันนะลูก ทั้งสองคนเลย ติดต่อมาหาอาปาบ่อยๆ ล่ะ จะได้ไม่ต้องคิดถึงกันมาก"

คริสพูดยิ้มๆ ก่อนจะโบกมือลาเจ เขาดึงตัวฆาเบียร์ไปคุยที่นอกห้องพร้อมเรียกริคกี้ให้เอาซองเอกสารซองใหญ่จากในกระเป๋าเอกสารมาส่งให้ ฆาเบียร์รับไว้และผงกหัวรับคำ เขากอดคริสอีกครั้งก่อนที่จะโบกมือลาอาปาของเขา


(ต่อคอมเมนท์ถัดไป)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Macau, Here We Come! (ต่อ) ----




รถของบริษัทมาส่งเจนยุทธและฆาเบียร์ที่่อาคาร Shun Tak Center บนฝั่งฮ่องกงเพื่อไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ Hong Kong-Macau Ferry Terminal ตอนแรกริคกี้ที่ติดรถมาด้วยจะลงมาเพื่อช่วยทั้งสองคนเรื่องตั๋วและกระเป๋าแต่เจห้ามไว้

"ต่อนี้ไป ผมจะเป็นคนจัดการเอง..."

"...เป็นการผจญภัยเล็กๆ ของเราสองคนนะ ฆาบี้"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์บอกริคกี้ให้ทำตามที่เจบอก พวกเขาร่ำลากับเลขาหนุ่มของฆาเบียร์และพากันลากกระเป๋าขึ้นไปยังชั้น 3 ของอาคารเพื่อไปรับตั๋วที่จองไว้ทั้งสองขาที่เคาเตอร์รับตั๋วของบริษัทเดินเรือ Turbojet

"เรือเราออกเที่ยง ตอนนี้ยังไม่ 11 โมงเลย คุณจะไปนั่งรอที่เลาจ์ก่อนไหม?"

เจจองตั๋วชั้น Premier VIP Cabin มาจึงมีสิทธิ์เข้าไปใช้ Premier Lounge ของเทอร์โบเจ็ท ที่ท่าเรือฮ่องกงนี้มีเลาจ์สองแห่ง เลาจ์แรกอยู่บริเวณชั้น G ใกล้กับที่ๆ พวกเขาลงรถมาเมื่อกี้นี้ ที่เลาจ์นั้นมีของว่าง เครื่องดื่มและ Wifi ให้บริการ รวมถึงมีพนักงานคอยเดินขึ้นมาส่งเมื่อใกล้ถึงเวลาขึ้นเรือ แต่ฆาเบียร์บอกว่าพวกเขาขึ้นมาถึงชั้น 3 แล้วและตัวเขาก็ไม่ได้หิวอะไร ไปรอที่เลาจ์ด้านในเลยก็ได้ เจพยักหน้า เขาเองก็ไม่ได้อยากกินอะไรเพิ่มอีก ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปเช็คอินเลย ที่จุดเช็คอินเมื่อพนักงานเห็นว่าพวกเขาทั้งสองเป็นผู้โดยสารของ VIP เคบิน พนักงานชายคนหนึ่งก็เข้ามาพาพวกเขาไปเข้าคิวพิเศษและจัดการนำกระเป๋าของพวกเขาไปโหลดให้เสร็จสรรพ



"ตอนผมมากับพี่นพนะ เรานั่งแบบธรรมดา ต้องยกกระเป๋าไปโหลดขึ้นสายพานเองน่ะคุณ"

สำหรับผู้โดยสารชั้น Premier Grand Class และ Premier VIP Cabin ได้เช็คอินกระเป๋าขนาด 20 กิโลกรัมฟรีคนละสองใบ พวกเขาเลือกที่จะเช็คอินกระเป๋าใบใหญ่เพียงแค่ใบเดียว หลังจากเช็คอินพวกเขาก็ถูกพาไปที่ส่วนตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ผ่านไปได้อย่างง่ายๆ เช่นกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่พาเขาทั้งสองเดินไปยังส่วนนั่งรอเรือ พวกเขาถูกแยกเข้าไปนั่งใน Premier Lounge หากเลาจ์ตรงนี้ไม่ได้มีความสะดวกสบายใดๆ ให้มากเท่ากับที่ชั้น G มีแค่ตู้กดน้ำและเก้าอี้นั่งรอที่สบายกว่าชั้นธรรมดา

ทั้งสองคนนั่งหย่อนอารมณ์คุยกัน หยอกล้อกันไปตามประสาจนใกล้ถึงเวลาขึ้นเรือก็มีพนักงานเดินมาตามตัวพวกเขาไปขึ้นเรือ ทั้งสองคนถูกพาขึ้นเรือไปยังส่วนที่นั่งของผู้โดยสารชั้นพรีเมียร์ เรือที่เจเลือกนั้นเรียกว่า Premier Jetfoil ซึ่งออกแบบมาเพื่อผู้โดยสารชั้น Premier เรือแบบนี้ออกทุกๆ 30 นาที ส่วนเรือแบบธรรมดานั้นออกทุก 15 นาที ห้องเคบินแบบ 4 คนที่เจเลือกนั้นอยู่ชั้นล่างใกล้ทางเข้าออก ที่นั่งของผู้โดยสารชั้น Premier Grand Class ซึ่งอยู่ชั้นล่างเหมือนกันจะอยู่ตรงช่วงหัวเรือและเห็นวิวชัดเจน การจัดที่นั่งของชั้น Premier Grand Class จะเป็นแถวแบบเรือเฟอรี่ทั่วไป ส่วนแบบเคบินที่เจกับฆาบี้นั่งจะเป็นห้องเล็กซึ่งจัดที่นั่งคล้ายรถไฟคือหันหน้าชนกันฟากละ 2 คนโดยมีโต๊ะกั้นกลาง นอกจากชั้นพรีเมียร์แล้ว เรือแบบนี้ยังมีชั้นอีโคโนมี่และซุเปอร์คลาสเหมือนเรือแบบอื่นด้วย แต่มีในอัตราส่วนที่น้อยกว่าเรือแบบอื่น



“คุณ ที่นั่งตั้งกว้าง ทำไมต้องมานั่งเบียดกันด้วย?”

เจบ่นอุบ คนตัวโตมานั่งอิงแอบแนบข้างเขาแทนที่จะนั่งฝั่งตรงข้าม

"ก็นั่งอีกฝั่งมันต้องหันหลังให้หัวเรือ ฉันเวียนหัว"

ฆาเบียร์อ้าง เขาเอากระเป๋าของเจไปวางซุกไว้ที่ด้านนั้นแทน

"งั้นเดี๋ยวผมไปนั่งเองก็ได้ ผมกินยาแก้เมาไปแล้ว"

เจทำท่าจะลุกขึ้นย้ายที่แต่คนตัวโตดึงมือไว้

"ไม่เอา ห้ามไป ให้ฉันนั่งข้างๆ ไม่ได้เหรอ เจ?"

คนตัวโตพูดด้วยความน้อยใจเล็กๆ เจหัวเราะเบาๆ และจุ๊บแผ่วๆ ที่คางของคนรัก

"นั่งได้สิ บอกแบบนี้มาแต่แรกก็หมดเรื่อง"

ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักที่ยิ้มตอบให้เขา



เรือ Premier Jetfoil สีแดงแปร๊ดของบริษัท TurboJet ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือ เจปรับเบาะให้เอนนอน นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกที่นั่งคลาสพรีเมียร์ ฆาเบียร์ปรับไฟให้สลัวลงและเร่งแอร์ขึ้นเพื่อที่คนรักขี้เมาเรือของเขาจะได้สบายตัวขึ้น ในส่วนของวีไอพีเคบินนั้นมีระบบไฟและแอร์ที่แยกต่างหาก และยังมีระบบเอนเตอร์เทนอย่างจอทีวีส่วนตัวให้ด้วย แต่เจของเขาคงไม่มีอารมณ์จะดูอะไรแล้ว

ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักที่หลับตาพริ้มซบไหล่เขาอยู่ด้วยความสงสาร ในมือเจกำถุงพลาสติกไว้พร้อมแถมยังเอายาดมยาหอมและลูกอมมาวางไว้บนโต๊ะเสร็จสรรพ

"เจ เดี๋ยวเขาจะเสิร์ฟข้าวเที่ยงแล้วนะ กินไหม?"

ฆาเบียร์ปลุกเจขึ้นมาถาม เมื่อพนักงานต้อนรับบนเรือเข้ามาบอกว่าสักพักจะทำการเสิร์ฟอาหาร

"กินๆ ผมยังไหวอ่ะ"

คนตัวเล็กงัวเงียปาดน้ำลาย ยาแก้เมาทำให้เขาง่วงพอสมควรแต่มันก็ทำให้เขาไม่เมาเรือ การที่นั่งอยู่ชั้นล่างของเรือก็ช่วยเช่นกัน อีกทั้งวันนี้ทะเลก็สงบทำให้เขาไม่รู้สึกแย่เท่าไหร่

พวกเขารอไม่นานอาหารเที่ยงก็มาเสิร์ฟ เรือของ Turbojet นั้นรวมอาหารด้วย แต่อาหารของชั้นพรีเมียร์นั้นจะเป็นอาหารร้อนที่หน้าตาดูดีกว่าอาหารบนเครื่องบินอีกด้วยซ้ำ เจเข้าไปทำการจองอาหาร 24 ชั่วโมงก่อนหน้าเรือออกจึงเลือกอาหารได้ตามใจชอบและวันนี้อาหารของเขาคือเนื้อลูกวัวอบหน้าตาน่ากินกับเส้นพาสต้า ส่วนฆาเบียร์เลือกแซลม่อนและมันอบ ของหวานของพวกเขาที่มากับเซ็ตเป็นพันนาคอตต้าหน้าตาน่ากิน นอกจากน้ำและพวกซอฟท์ดริงค์แล้ว พวกเขายังสามารถเลือกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไวน์และเบียร์ได้ไม่อั้นอีกด้วย



"เจเอาแชมเปญไหม?"

ฆาเบียร์ถามเมื่อพนักงานยกขวดแชมเปญมาเสิร์ฟให้พวกเขา

"ได้แชมเปญด้วยเหรอ?"

เจถามอย่างงงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยนั่งชั้น Premier ฆาเบียร์หันไปสั่งแชมเปญ 2 แก้ว

"อือ ได้สิ แต่เฉพาะผู้โดยสารที่นั่งในวีไอพีเคบินนะ ถ้านั่งพรีเมียร์ แกรนด์ คลาสก็ได้แค่ไวน์กับเบียร์แหละ"

คนตัวโตที่นั่งชั้นวีไอพีนี้ทุกครั้งที่ต้องขึ้นเรือไปมาเก๊าตอบพร้อมยกแชมเปญขึ้นจิบ เขาบอกว่าโดยมากเวลาไปมาเก๊าเขาไปกับคริสและมักมีผู้ติดตามไปด้วย ฉะนั้นการนั่งเคบินวีไอพีจึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า พวกเขาสามารถนั่งคุยงานและพักผ่อนอย่างเป็นส่วนตัวได้



"ชิ ถ้าผมรู้ว่าคุณเคยนั่งแล้วนะ ผมจะเลือกจองแบบอีโค่ให้คุณได้ไปสัมผัสชีวิตสามัญชนบ้าง"

เจบ่นกะปอดกะแปด ฆาเบียร์หัวเราะแล้วบอกว่าชั้นอีโค่เขาก็เคยนั่งแล้วเพราะต้องขึ้นเรือจากมาเก๊ากลับฮ่องกงด่วนและในตอนนั้นเรือที่นั่งไม่มีชั้นพรีเมียร์ให้เลือก แถมชั้น Super Class ที่สูงกว่าชั้นอีโคโนมี่อีกหนึ่งขั้นก็เต็มอีก เจหัวเราะคิกคักเมื่อนึกภาพฆาบี้ที่แต่งตัวเต็มยศต้องนั่งแออัดกับคนอื่นในชั้นประหยัด

"นั่งแบบนี้ก็สบายดีออกนะ เจ แล้วเราก็ทำแบบนี้ได้ด้วย"

ฆาเบียร์หันไปหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่แถมยังมีทีท่าจะไม่หยุดแค่นั้น เจรีบดันคนตัวโตออกไปไกลๆ ถึงจะเป็นห้องส่วนตัว แต่ประตูมันก็เปิดกว้างให้คนข้างนอกเห็นอยู่ดี เจจิบแชมเปญและรีบกินข้าวของเขา

"เอาฮ้อทดอกด้วยไหม เจ?"

ฆาเบียร์ยื่นฮ้อทดอกในมือที่เขาสั่งจากพนักงานมาให้ เขาบอกเจว่านี่เป็นของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของเรือเทอโบเจ็ท เจชิมแล้วก็ติดใจเป็นอย่างมาก ฆาเบียร์บอกว่าเขาสามารถสั่งเพิ่มได้ไม่จำกัด แต่เจนยุทธพูดอ่อยๆ ว่าเขาขอพอก่อนดีกว่า ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาสั่งเบียร์เยอรมันซึ่งก็เสิร์ฟไม่อั้นเหมือนกันมาแบ่งกับเจคนละครึ่งและกินเค้กทีรามิสุไปคนละชิ้นก่อนที่เจจะกลับไปงีบต่อ

ฆาเบียร์เองก็เอนหลังนอนโดยมีคนตัวเล็กของเขาเอนซบอยู่กับอก เขาแอบหอมแก้มป่องๆ ของคนรักด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เจยอมเมาเรือแทนที่จะปล่อยให้เขาต้องไปนั่งเหงื่อแตกอย่างหวาดผวาบนเฮลิคอปเตอร์ เขาเคยขึ้นฮ.ไปมาเก๊ากับคริสสองครั้งและมีอาการแพนิคทั้งสองครั้ง หลังๆ มาคริสเลยยอมเสียเวลานั่งเรือแทน แต่เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เจฟัง การที่เจยอมนั่งเรือแทนนั่งฮ. แสดงว่าเจ้าตัวเล็กของเขารู้จักเขาดีจริงๆ



"เจ ตื่นเถอะ ถึงแล้ว"

ฆาเบียร์ปลุกคนรักที่นอนอิงแอบเขาอยู่เบาๆ หลังจากล่องเรือมา 55 นาทีเรือของพวกเขาก็เข้าเทียบท่ามาเก๊า เจลุกขึื้นบิดขี้เกียจ เขาได้งีบไม่นานนักเพราะมัวแต่เสียเวลากิน แต่ก็ยังดีกว่าตื่นมาเมาเรือตลอดเวลา เขาเกาะกระจกดูชายฝั่งที่เรือกำลังจะเข้าเทียบท่า

"Macau, here we come!"

"มาเก๊าจ๋า เรามาแล้วจ้า!"

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเห็นทีท่าตื่นเต้นของคนรัก นอกจากตอนหลับ เจพูดถึงมาเก๊ามาตลอดทาง ถ้าจะให้ตรงคือพูดถึงของกินในมาเก๊า

"เจ้าหน้าที่มารอแล้ว ไปกันเถอะ เจ"

ฆาเบียร์ดึงมือคนรักให้เดินตามเจ้าหน้าที่ซึ่งมารออยู่แล้ว พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ลงจากเรือ

"ฆาบี้ ทางนี้"

เจดึงแขนคนตัวโตของเขาให้ไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งถือป้ายยืนรออยู่ที่ส่วนผู้โดยสารขาเข้า อีกหนึ่งสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสาร VIP Cabin และ Premier Grand Class ก็คือรถรับส่งฟรีถึงโรงแรมซึ่งเจทำการจองออนไลน์มาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาและผู้โดยสารชั้นพรีเมียร์คนอื่นเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งชี้แจงขั้นตอนให้พวกเขาอย่างละเอียด จากนั้นพวกเขาถูกพาไปผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าซึ่งก็มีคนคอยยกให้เสร็จสรรพ จากนั้นเจ้าหน้าก็พาเขาไปยังรถแวนซึ่งจะพาเขาไปยังโรงแรมที่พัก



"แบบนี้ก็สะดวกดีนะเจ"

ฆาเบียร์ชม เขาบอกว่าเขาไม่เคยใช้บริการนี้สักครั้งเพราะทุกครั้งที่มากับอาปาของเขาก็มักจะมีคนมาต้อนรับถึงที่อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่รถหรูจากโรงแรมที่พวกเขาเข้าพักก็จะเป็นรถที่คู่ค้าซึ่งพวกเขามาติดต่อเรื่องธุรกิจด้วยส่งมารับ เจมองพ่อเศรษฐีคนนี้อย่างหมั่นไส้เล็กๆ

"ผมก็เพิ่งเคยใช้บริการครั้งแรกเหมือนกัน ฆาบี้ ตอนมาเองกับพี่นพ ถ้าต้องนั่งเรือไปฮ่องกงผมจะนั่งชั้น Super Class เพราะคิดว่านั่งแค่ชั่วโมงเดียวจะมาจ่ายแพงกว่าทำไม แต่เห็นแบบนี้แล้ว คราวหน้าผมยอมเพิ่มตังค์อีกหน่อยนั่ง Premier Grand Class ดีกว่า"

เจบอกว่าราคาค่าตั๋วระหว่างสองคลาสนี้ต่างกันประมาณ 115 เหรียญฮ่องกงหรือไม่ถึง 500 บาทต่อขา สำหรับเขาแล้วมันคุ้มค่าความสะดวกที่ได้รับ

"อย่างค่ากระเป๋าอ่ะ ถ้าคุณเช็คอินกระเป๋าก็ 25 เหรียญแล้ว เขาให้หิ้วขึ้นเรือได้ใบนึงไม่เกิน 20 โลก็จริง แต่ที่ไว้กระเป๋ามันจำกัด ต้องมานั่งห่วงอีก สุดท้ายโหลดลงท้องเรือไปเลยก็สะดวกกว่า ไหนจะค่าแท็กซี่ที่ต้องเสียอีก สองคนหารมาก็คนละอย่างต่ำ 20 25 เหรียญ ก็เท่ากับเราประหยัดไป 50 เหรียญ เหลือส่วนต่างระหว่างสองคลาสแค่ 65 เหรียญ ก็ไปตีเป็นค่าอาหารค่าเหล้า คุ้มแล้วแหละ"

ฆาเบียร์อมยิ้มดูคนรักของเขาพูดเจื้อยแจ้วไป เจชี้ชวนให้เขาดูนั่นนี่สองข้างทางไปเรื่อยๆ และเล่านั่นนี่ไป คนตัวโตดูตามอย่างเพลิดเพลิน ทุกครั้งที่เขามาก็มักเป็นเรื่องธุรกิจหรือไม่ก็มาเข้าคาสิโนเป็นเพื่อนอาปาซึ่งนานๆ มาเล่นที เขาไม่เคยได้มาเที่ยวเกาะเพื่อนบ้านนี้อย่างจริงจังสักครั้ง

"นี่ ที่เจเล่าๆ ให้ฉันฟังเนี่ย เจอย่าลืมเอาไปเขียนลงเพจด้วยนะ"

เจนยุทธรับคำ เขาถ่ายรูปทุกกระบวนการไว้เรียบร้อย



"ถึงแล้วๆ!"

เจนยุทธทำท่าตื่นเต้น หลังจากนั่งรถมา 15 นาที พวกเขาก็มาถึงโรงแรมที่เจเลือกเข้าพัก

"Sofitel Macau at Ponte 16 เหรอ?"

ฆาเบียร์จำโรงแรมที่ตั้งอยู่บนท่าเรือเก่าแห่งนี้ได้ มันตั้งอยู่สุดถนน Avenida de Almeida Ribeiro ซึ่งเป็นที่ตั้งของจัตุรัส Senado หรือที่คนมาเก๊าเรียกว่าซันหม่าโหลว

เจพาฆาเบียร์ไปเช็คอิน เขาเดินแสดงบัตรบางอย่างให้พนักงานดูและถูกพาไปเข้าช่องสำหรับสมาชิก

"ผมเป็นสมาชิกบัตรเงิน Accor Plus น่ะ"

เจชูบัตรของเขาให้ดู Accor เป็นกลุ่มโรงแรมสัญชาติฝรั่งเศสซึ่งมีโรงแรมในเครือมากมายหลายระดับ แบรนด์โรงแรมในกลุ่มนี้รวมถึงโรงแรมชื่อคุ้นหูคนไทยอย่าง Ibis Novotel Mercure Pullman และ Sofitel

"บัตรผมเป็นแบบจ่ายตังค์สมัคร ผมก็จำไม่ได้ละว่าเท่าไหร่ 6,500 มั้ง?"

เจเล่าไปด้วยระหว่างรอคนข้างหน้าเช็คอิน ถึงเขาต้องรอคิวแต่ก็ยังสั้นกว่าแถวคนที่ไม่ใช่สมาชิก



"สิทธิ์มันก็ได้ห้องฟรี 1 คืนในแถบเอเชียแปซิฟิค แล้วก็ยังมีสิทธิ์พวกลดค่าอาหารซึ่งผมไม่เคยเอาไปใช้เลยเพราะที่เชียงใหม่มีให้ใช้คุ้มๆ ก็แค่ที่รร.วีรันดาซึ่งต้องขับรถไปไกลหน่อย ผมใช้แค่สิทธิ์ห้องฟรีเท่านั้น"

สิทธิ์อย่างอื่นก็มีพวกอินเตอร์เน็ตฟรี เช็คอินช่องพิเศษ อาจได้อัพเกรดห้องถ้ามีห้องว่างและขอเลทเช็คเอาท์ได้บ้าง เจบอกว่าที่ๆ เขารู้สึกว่าใช้ห้องฟรีคุ้มที่สุดก็คือที่ Sofitel มาเก๊านี่แหละ เพราะว่าราคาห้องค่อนข้างสูง ถึงห้องที่ได้จะเป็นแบบถูกสุดแต่เขาก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่ออัพเกรดได้ในราคาที่ไม่แพงนัก

"แต่คราวนี้ผมไม่ได้ใช้ห้องฟรีนะ มันมีเซลล์พอดีตอนที่ผมจองมา เอ้า นี่ พาสปอร์ตคุณ"

เจส่งพาสปอร์ตปกสีน้ำเงินคืนให้ฆาเบียร์ เขาเดินตามพนักงานยกกระเป๋าซึ่งพาพวกเขาขึ้นไปยังชั้น 17 ของโรงแรมซึ่งเป็นชั้นคลับฟลอร์สำหรับแขกที่จองห้องพักรวมสิทธิพิเศษในการใช้คลับเลาจ์ของโรงแรม



"ว้าว ใจป้ำนี่ เจ จองห้องแบบรวมคลับเลาจ์ไว้ด้วย ฉันนึกว่านายจะพาฉันมานอนโฮสเทลอะไรแบบนั้นซะอีก"

ฆาเบียร์แซวคนตัวเล็กที่ขู่เขาฟ่อๆ ตั้งแต่ก่อนมาว่าจะพาเขามาลำบาก แต่กลับพามานอนโรงแรมห้าดาวแถมนอนชั้นคลับอีกต่างหาก เขามองวิวปากแม่น้ำเพิร์ลที่อยู่ด้านล่าง ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่เห็นอยู่ไม่ไกลคือจีนแผ่นดินใหญ่

"แหม ผมก็ขู่ไปงั้นแหละ อีกอย่างเจอโปรดีๆ แบบนอนห้องดีมีคลับในราคาคืนละสี่พันเนี่ย ใครก็ต้องคว้าไว้"

"คืนละสี่พัน? ได้ไงอ่ะ เจ?"

ปกติห้องพักแบบรวมคลับนี้มักจะราคาไม่ถูก เจบอกว่าปกติถ้าเป็นช่วงวันธรรมดาแบบนี้ราคาห้องจะอยู่ที่ห้าพันกว่าๆ แต่โปรที่เขาจองคือลดจากราคา rack rate ไป 50% ซึ่งมักจะเท่ากับประมาณ 20% จากราคาขายจริง

"Accor จะชอบมีลดราคาแบบนี้ปีละสองสามหน ต้องคอยตามจากหน้าเว็บหรือจากอีเมล์ ลูกค้าปกติลด 40% ถ้าสมาชิกลด 50%"

เจบอกว่าสมาชิกที่ว่านี้คือสมาชิกแบบไม่เสียตังค์ซึ่งสมัครผ่านทางเว็บไซต์ของโรงแรมได้ก็ได้สิทธิ์จองถูกเหมือนกับเขาที่สมัครแบบเสียตังค์

"ผมถึงไม่ใช้ห้องฟรีไง ผมลองนั่งจิ้มๆ ดูละ จองโปรลดแบบนี้คุ้มกว่าใช้ห้องฟรีคืนนึงแล้วอัพเกรด แต่ก็เหมือนว่าห้องมันจะถูกลงด้วยนะ ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนมากับพี่นพ เคยดูราคาห้องคลับไว้มันตั้งเกือบ 9,000 ต่อคืนแน่ะ"

เจคิดว่าที่ราคามันลดลงนั้นก็คงเพื่อดึงคนที่แห่แหนไปนอนโรงแรมใหม่ที่ผุดเป็นดอกเห็ดที่ฝั่งไทปาให้กลับมา

"ถ้านักท่องเที่ยวทุกคนรู้ทริคแบบเจ เว็บของฉันคงไม่มีลูกค้าแน่ๆ"

ฆาเบียร์บ่นอุบ ถ้ารู้จังหวะจริงๆ บางครั้งจองตรงกับทางโรงแรมก็ถูกกว่าจองผ่านเว็บรับจองอย่างเว็บของเขาเสียอีก



ฆาเบียร์เดินสำรวจห้องขนาด 37 ตรม. นั้นอย่างถูกใจ ถึงขนาดห้องจะไม่ใหญ่แต่ก็จัดอย่างลงตัว ที่เขาชอบที่สุดคือห้องน้ำซึ่งผนังข้างที่ติดอ่างอาบน้ำเปิดโล่งและกรุด้วยกระจกใส​ มันทำให้เขาสามารถนอนแช่น้ำพร้อมดูวิวลิบๆ จากนอกหน้าต่างได้ มันยังช่วยให้ห้องนี้ดูโล่งโปร่งขึ้นอีกมาก เขาเปิดดูนั่นนี่ไปทั่ว

"พวกครีมอาบน้ำแชมพูนี่เป็นของ Hermes เลยนี่ ไม่เลวๆ..."

"...อืมม์ หอมด้วย"

คนตัวโตของเจเปิดขวดครีมอาบน้ำดมแล้วหันไปทำตาเยิ้มให้คนตัวเล็กที่กำลังรื้อสัมภาระ

"เจ...อาบน้ำกันไหม?"

เจนยุทธหน้าแดงซ่าน ดูจากสายตาแล้ว ฆาเบียร์คงไม่ได้หมายถึงแค่อาบน้ำจริงๆ แน่ๆ เขาส่งเสียงตอบรับเบาๆ ก่อนจะถูกฆาเบียร์ดึงตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ เสียงเปิดน้ำใส่อ่างดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำของเจและเสียงหัวเราะของเมียตัวโตของเขา


] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/15/SofitelMacau1-L.jpg[/img)

]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/15/SofitelMacau2-L.jpg[/img)



--------------------------------------

เห้อออออ กว่าจะถึงมาเก๊า

เรื่องอาหารจีนนี่ เขียนเพราะความอยากกินล้วนๆ เลยค่ะ

วิธีทำซอส XO https://goo.gl/z6nGEK

วิธีทำยอดซุป https://goo.gl/Vez2xT

เรื่องเรือเฟอรี่ฮ่องกง มาเก๊านี่ยาวค่ะ ถ้าเขียนเล่าที่อยากเล่าเองไงก็คงไม่จบ เอานี่ไปอ่านแล้วกัน เคยขึ้นแบบลงสนามบินมาเก๊าแล้วไม่ต้องผ่านตม. ไปที่เคาเตอร์เรือที่อยู่ในสนามบิน ซื้อตั๋วแล้วมีพนักงานพร้อมตำรวจคุม เอ๊ย พาตัวไปขึ้นรถนั่งไปถึงสะพานขึ้นเรือเลย เรียกว่าแทบไม่ได้เหยียบแผ่นดินมาเก๊า แค่แวะทรานสิทไปฮ่องกงจริงๆ ถือว่าสะดวกมากเลยค่ะ เหมาะสำหรับเวลาที่ได้ตั๋วโปรไปกลับจากมาเก๊าถูกกว่าลงฮ่องกงและอยากเที่ยวทั้งสองที่ ที่สนามบินฮ่องกงก็เหมือนจะมีบริการแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ของฮ่องกงนี่มีท่าเรือข้างสนามบินเลยด้วยซ้ำ ของมาเก๊าตอนนี้ก็มีท่าเรือใหม่ข้างสนามบินแต่เป็นของค่าย Cotai Jet ค่ะ

เรือเฟอรี่ https://goo.gl/qvb375

ตารางเดินเรือและค่าตั๋วของ TurboJet ค่ะ https://goo.gl/AAgcoe

รีวิวเรือชั้น Premier Grand Class ค่ะ พยายามหา VIP Cabin แต่ไม่มีใครรีวิวเลย https://goo.gl/chh1Qy

มีรูปให้ดูรูปนึง https://goo.gl/rdvKPR

โรงแรมโซฟิเทล มาเก๊าค่ะ โรงแรมสวย ห้องดี เดินไปเซนาโดได้ แต่ไกลแหล่งเที่ยวอื่นนิดหน่อยเพราะอยู่ห่างกลางเมืองออกมานิด ราคาห้องนับว่าไม่แพงมากถ้าเจอโปรดีๆ http://www.sofitelmacau.com/


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2018 08:42:50 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13...ขอแสดงความชื่นชมในฝีมือการเขียนและสปิริตของคุณนักเขียนเป็นอย่างยิ่งครับ... o13

 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด