[Updated 280917] ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #4 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Updated 280917] ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #4 [END]  (อ่าน 6421 ครั้ง)

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




______________________________________________________________________________________



ARABIKA
รักนี้กลิ่นกาแฟ












ความรักก็เหมือนกับกาแฟ อาจมีขมบ้าง หวานบ้าง
แต่ก็ผสมกันออกมาหอมละมุนกลมกล่อม

พบกับความรักสี่รสชาติ สี่แบบ ที่เกิดขึ้นภายใต้หลังคาร้านกาแฟเล็กๆ

ความรักของพี่น้องทั้งสี่ กับร้าน Vaniche ร้านกาแฟของพวกเขา
พร้อมเสิร์ฟกาแฟเข้มข้นๆ และกลิ่นหอมๆ ให้คุณในทุกๆ วัน


[INTRO]

=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

[1] MACCHIATO [END]

CH 1 | CH 2.1 | CH 2.2 | CH 3
| CH 4.1 | CH 4.2

=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

[2] CAPPUCCINO

CH 1 | CH 2 | CH 3 | CH 4.1 | CH 4.2

=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

[3] RISTRETTO


=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=

[4] AFFOGATO


=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=


[/size]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2017 23:01:33 โดย KhaMhoo »

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ [INTRO]
«ตอบ #1 เมื่อ29-07-2017 07:29:27 »

INTRO




BGM





    กริ๊ง~

    "โอ๊ะ! ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้า” ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีน และเสื้อกันเปื้อนสีดำ
สกรีนโลโก้ของร้านตรงกลางอกเงยหน้าขึ้นจากหลังเคาน์เตอร์ทางด้านซ้าย และเอ่ยปากทักทายทันที
ที่เสียงกระดิ่งบนประตูดังขึ้นแทรกเสียงดนตรี smooth jazz ภายในร้าน
    คุณยิ้มพลางผงกหัวตอบเป็นมารยาท และเดินตรงไปนั่งลงที่ที่นั่งโซฟาริมในสุดด้วยความเคยชิน
คุณปรายตามองไปรอบๆ บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างอบอุ่น ร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีโมโนโครมเป็นหลัก
โดยเน้นสีดำ และสีเทาแบบหินอ่อนสบายตา ไฟในร้านเป็นสีเหลืองครีม และไม่มืด หรือ สว่างเกินไป ดูโมเดิร์นสบายตา
    “เช้านี้รับเป็นอะไรดีครับ? เหมือนเดิม หรือจะลองรับเป็น cold brew ตัวใหม่ของอาทิตย์นี้ดูมั้ยครับ? ตัวนี้คั่วกับเมล็ดโกโก้ด้วย
คุณลูกค้าดื่มมอคค่าเป็นประจำ อาจจะชอบ” ชายหนุ่มคนเดียวกับเมื่อกี๊เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะของคุณ พร้อมเล่มเมนูปกหนังสีดำในมือ
กับรอยยิ้มหวานๆ ที่คุณไม่เคยเห็นมันหายไปจากใบหน้าหล่อๆ นั้นเลยสักครั้ง

    นี่คือ อัพ บาริสต้าหนุ่มประจำร้าน Vaniché Cafe ที่คุณมานั่งทำงานเป็นประจำแทบจะทุกวันตลอดสองปีที่ผ่านมา
ร้านนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวของอัพที่สืบทอดกันมานับสามรุ่น และตอนนี้เขากับน้องชายอีกสามคนก็เป็นผู้สืบทอดร้านนี้เอง
โดยที่อัพ ผู้เป็นพี่ใหญ่ เป็นคนดูแลร้านหลักๆ
    และคาแรคเตอร์นุ่มนิ่ม อ่อนโยน แถมยังใส่ใจรายละเอียดของลูกค้าประจำทุกๆ คนของอัพนี่ล่ะ ที่ทำให้ร้านนี้ยิ่งน่านั่งมากขึ้นไปสิบเท่า
อย่างที่เขาเรียกกันว่าบรรยากาศแบบ feels like home

    คุณยิ้มตอบ ก่อนจะสั่งมอคค่าร้อน เมนูประจำของตัวเอง ชายหนุ่มพยักหน้ารับ และวางเมนูในมือลงบนโต๊ะ
    “ตั้งแต่อาทิตย์นี้ไป เราจะเริ่มขายอาหารเช้าเมนูใหม่แล้วนะครับ ผมจำได้ว่าคุณเคยถามถึง พอดีน้องชายของผม
เขากลับมาจากอังกฤษแล้ว” อัพยิ้มกว้างก่อนจะอธิบายเมนูอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งบนเมนูให้คุณฟังทีละตัว ทั้ง Egg Benedict,
Avocado Toast, วาฟเฟิลหน้าต่างๆ ฯลฯ
    คุณเริ่มนึกขึ้นได้ว่าคุณเคยถามเรื่องเมนูอาหารเช้า ตอนที่อัพขอความคิดเห็นในการพัฒนาร้านเมื่อต้นปี เพราะที่ร้านยังมีเพียงขนมปังปิ้ง
กับเซ็ทไส้กรอก และแฮม แบบง่ายๆ เท่านั้น โดยที่อัพได้เล่าให้คุณฟังว่าน้องชายคนรองที่กำลังเรียนต่อทางด้านอาหารอยู่ กำลังจะกลับมา
ในอีกสองสามเดือน

    น้องชายคนที่ว่า ชื่อริส ซึ่งคุณเองก็พอจะจำได้เล็กน้อยว่าเคยเห็นหน้าในช่วงแรกๆ ที่มาที่ร้านนี้ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์
เขาก็เดินทางไปอังกฤษเพื่อไปเรียนต่อที่โรงเรียนทำอาหารพอดี แถมตอนที่อยู่ก็ไม่เคยคุยกันเลยสักคำเดียว เพราะเจ้าตัวมักจะเอาแต่
ยืนทำอาหาร ชงกาแฟอยู่หลังเคาน์เตอร์ ไม่สุงสิงอะไรกับใครเท่าไหร่

    สุดท้าย คุณก็ตัดสินใจเลือกจาน Egg Benedict ใส่เบคอนที่คุณชอบไปหนึ่งจาน บาริสต้าหนุ่มยิ้มให้คุณอีกหนึ่งครั้ง
ก่อนจะขอตัวเดินไปทำกาแฟที่คุณชื่นชอบ
    “อ้อ ใช่ คุณลูกค้าครับ” เสียงของอัพ พร้อมกับร่างสูงสันทัดที่เดินกลับมายืนอยู่ข้างโต๊ะ เรียกสายตาของคุณขึ้นจาก
หน้าจอโน๊ตบุ๊คของคุณอีกครั้ง
    “พอดีริส…เอ่อ น้องชายคนรองของผมน่ะครับ จะมาถึงในอีกประมาณสิบนาที รบกวนรอสักครู่ได้มั้ยครับ?
หรือจะรับอย่างอื่นทานรองท้องก่อนดีครับ?” ชายหนุ่มเกาหลังคออย่างเขินๆ ส่วนคุณก็ส่ายหน้าตอบว่าคุณรอได้
เพราะคุณเองก็ยังไม่ได้หิวขนาดนั้น

    กริ๊ง~

    เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง คุณเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ เผื่อจะมีลูกค้าคนอื่นมานั่งในร้านเป็นเพื่อนลูกค้าคนแรก
ขาประจำอย่างคุณ แต่เสียงที่คุ้นเคย กับการที่อัพไม่ได้ทักทายอย่างที่เขาทักทายลูกค้าในทุกๆ ครั้ง ก็พอจะบ่งบอกได้ดีว่า
คนที่เข้าประตูมาไม่ใช่ลูกค้าแต่อย่างใด
    “กู๊ดมอร์นิ่งพี่อัพ โอ๊ะ สวัสดีครับพี่” เสียงเจื้อยแจ้วของมาร์ค น้องชายคนเล็กสุดของบ้าน ดังนำตัวมาก่อนเมื่อเขาเงยหน้า
มาเจอคุณในที่ประจำ มือทั้งสองวางถุงกระดาษสีน้ำตาลในอ้อมแขนลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนร่างสูงในชุดนิสิตจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง
จะพาตัวเองมานั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้ามของคุณอย่างสนิทสนม
    “วันนี้มาเช้ามากเลยนะครับเนี่ย แล้วนี่ทานอะไรมายังเอ่ย?” เด็กหนุ่มที่คุณเห็นมาตั้งแต่ยังหัวเกรียนทรง รด. ใส่กางเกงสีกรมท่า
มานั่งเล่นเกมในร้านตอนเย็นๆ จนตอนนี้ขึ้นปีสองเสียแล้วเอ่ยปากทักทายคุณอย่างคุ้นเคย
    ในพี่น้องสี่คน มาร์คคงเป็นคนที่คุณสนิทด้วยมากที่สุด ด้วยเพราะความเฟรนด์ลี่ ชอบชวนคุย ชอบทักทายตั้งแต่ไหนแต่ไร
กับใบหน้าดูอบอุ่นๆ ที่ดูร่าเริง ขี้เล่นเสมอ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนรู้จักกันมาเป็นปีได้ง่ายๆ นี่ล่ะมั้ง
    “พอเลยๆ มาร์ค นี่ลูกค้านะ ไม่ใช่เพื่อนเล่น” แคป ลูกชายคนที่สามของบ้านเดินมาที่โต๊ะ พลางดึงปกคอน้องชายคนเล็กให้ยืนขึ้น
ส่วนมาร์คก็ทำเป็นร้องโอดโอย และคุณที่นั่งดูเรื่องตรงหน้าก็หัวเราะอย่างเคยชิน เพราะสองพี่น้องนี่ก็ทะเลาะกันแบบนี้มาตั้งแต่
ครั้งแรกที่คุณจำได้
    “ขอโทษนะครับพี่ ผมจะรีบพามันไปเก็บเดี๋ยวนี้ล่ะ” แคปที่ใส่เสื้อนิสิตจากที่เดียวกับมาร์คโค้งและยิ้มให้คุณเล็กน้อย
สาบานได้ว่ายิ้มมุมปากเล็กๆ นั่นแหละ คือยิ้มที่กว้างที่สุดที่คุณเคยเห็นจากแคปในรอบสองปีแล้ว
    “นี่ไม่ต้องรีบไปเรียนกันหรอ?” อัพที่ม่วนอยู่กับการตักฟองนมลงในแก้วกาแฟถามขึ้น ก่อนจะวางเหยือกอลูมิเนียมในมือลง
และเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนข้างฝา ตามหน้าที่ของพี่ชายคนโต
    “ผมเรียนบ่ายนู่นอ่ะพี่ พอดีคลาสเช้ายก” แคปตอบพลางเดินกลับไปจัดแจงเอาของออกจากถุงกระดาษ
“แต่ไอ้มาร์คเนี่ย ผมไม่รู้”
    “มาร์คเรียนเก้าโมงพี่ เดี๋ยวจะไปละแหละ” เด็กหนุ่มเดินไปสมทบพี่ชายอีกแรง ปากก็ฮัมเพลงตามเพลงในร้านไปเรื่อย
    “งั้นรออีกแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ชงกาแฟให้คนละแก้ว” อัพพูด ก่อนจะจัดแจงยกแก้วกาแฟของคุณมาเสิร์ฟ ตามด้วย
‘ทานให้อร่อยนะครับ’ อย่างทุกครั้ง
    “พี่อัพน่ารักฝุดๆ"
    “ป๋าแบบนี้ไม่รักได้ไง” พอถึงเรื่องแกล้งพี่คนโต มาร์คกับแคปก็เข้าขากันดีขึ้นมาทันที อัพเดินกลับไปจับหัว
ของสองหนุ่มเขกกันเบาๆ ก่อนสามหนุ่มจะหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
    “มาร์ค คาปูเย็นหวานน้อย ส่วนแคป อเมริกาโน่ น้ำแข็งน้อยเหมือนเดิมเนอะ” น้องชายทั้งสองพยักหน้า
ก่อนจะแยกย้ายไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวสองตัว ตรงโต๊ะเตี้ยทรงกลมหน้ากระจกร้าน

    กริ๊ง~

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นเป็นครั้งที่สามของเช้าวันนี้ ตามด้วยเสียงของสามหนุ่มในร้านที่ร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า

    “มาสายว่ะ”

    ผู้มาใหม่ขมวดคิ้วทันที และทำเป็นเดินหมุนตัวจะเดินกลับออกไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันมาร์คที่วิ่งไปกอดและลากร่างผอมๆ
กลับเข้ามาในร้านได้ก่อน
    “งอนซะละ ไม่เอาสิ”
    “มึงปล่อยกูเลยยย” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคม คิ้วเข้ม ต่างจากพี่น้องอีกสามคนว่า พลางหยิกสีข้างน้องชายคนเล็กสุด
ให้ปล่อยเขาลง
    “นี่ๆ พี่ริส มีลูกค้ามาแน่ะ ได้เวลาโชว์ของละ” แคปวางมือถือลง และเพยิดหน้ามาทางคุณ ริสยกยิ้มบางๆ
และพยักหน้าทักทายคุณ ส่วนคุณก็ทำแบบเดียวกันกลับ
    ใบหน้าของริสค่อยๆ ดูคุ้นขึ้นเรื่อยๆ จะมีก็แต่ทรงผมที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มที่แปลกตา ทั้งผมที่ยาวขึ้น
และเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเช้มแทนสีดำเหมือนคราวก่อนที่เจอกัน
    “ลูกค้าสั่ง Egg Benedict with Bacon นะ เนี่ย ของพร้อมละ ทำได้เลย” อัพเงยหน้าจากเครื่องทำกาแฟมาพูดอีกครั้ง
    “ต้องขอเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงนะครับ พอดีวันนี้เปิดครัววันแรกเลยจริงๆ ผมด้องเตรียมครัวอีกนิดนึง ถ้าคุณลูกค้ารอไม่ไหว
ผมจะทำเป็นแพนเค้กให้ทานรองท้องก่อนก็ได้นะครับ ถือว่าผมเลี้ยง” ริสพูดอย่างเป็นมืออาชีพ สมกับที่เรียนทางนี้มาโดยตรง
นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในร้านกาแฟ คุณคงคิดว่ากำลังอยู่ในร้านอาหารฝรั่งย่านอโศกไปแล้วแน่ๆ
    คุณยิ้มตอบ ก่อนจะตอบริสว่าคุณยังไม่หิวมาก และรอได้ไม่เป็นไร ชายหนุ่มยิ้มตอบ ก่อนคว้าผ้ากันเปื้อนของร้านที่แขวนอยู่
หน้าประตูห้องครัว และขอตัวเข้าไปในครัวทันที
    ประจวบเหมาะกับที่อัพชงกาแฟทั้งสองแก้วของน้องใส่แก้วเก็บความเย็นสีขาว กับสีดำเสร็จพอดี ชายหนุ่มเรียกให้น้องๆ
มารับแก้วของตัวเอง และบอกให้มาร์ครีบไปเรียนได้แล้ว
    “งั้นมาร์คไปนะพี่”
    “เห้ยๆ เดี๋ยวฉันไปส่ง ต้องเข้าไปทำรายงานกับไอเท็นมัน” ว่าแล้วทั้งสองหนุ่มก็บอกลาพี่ชาย และออกจากร้านไปตามๆ กัน

    ภายในร้านกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เหลือแต่เสียงเครื่องทำกาแฟ และเพลงแจ๊สที่ดังคลอๆ อยู่แบบที่คุณชอบ
คุณกลับมาโฟกัสกับงานในโน๊ตบุ๊คของคุณอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าเช่นทุกเช้า

    พี่น้องบ้านนี้ ไม่ได้แค่หล่อ แต่กลับนิสัยดีกันไปเสียทุกคน จะเจอกี่วันก็ทำให้ยิ้มได้ทุกครั้ง

    แล้วคุณก็ได้แต่สงสัย

    ว่าเรื่องความรักของทั้งสี่คนนี้...จะเป็นยังไงกันบ้างนะ?






TBC.






=TALK=

สวัสดีค่ะ ขาหมูเองค่ะ

ก็ เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของเรา คั่นเวลาลงเรื่องยาวอีกเรื่องในบอร์ด
เราจะเขียนเป็นซีรี่ส์สั้นๆ สี่เรื่อง ของพี่น้องทั้งสี่คนนะคะ
สำหรับอินโทรนี้ แค่อยากให้คนอ่านพอได้เห็นภาพ เห็นคาแรคเตอร์ของแต่ละคนคร่าวๆ ก่อน
ตอนนี้ฝึกงานเสร็จพอดี กำลังว่างๆ ไหนจะเป็นคนชอบกาแฟมากเป็นทุนเดิม เลยอยากแต่งนิยาย
ในบรรยากาศที่ชอบด้วย 5555
ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ แล้วก็เรื่องยาวของเรา

UNWIND 2007

ขอบคูณค่ะ :))
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2017 20:08:40 โดย KhaMhoo »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ [INTRO]
«ตอบ #2 เมื่อ29-07-2017 10:23:06 »

มาเป็นซี่รี่ย์เลย..ชอบ  ว่าแต่คุณไม่สนใจครอบครัวกาแฟเลยหรา? มาเฝ้าตั้ง 2 ปี เลยนะ   :m26: :m26: :m26:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2017 20:56:58 โดย ืniyataan »

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #1
«ตอบ #3 เมื่อ29-07-2017 20:08:22 »

MACCHIATO
Marking you as my own
CHAPTER 1


BGM




    ในภาษาอิตาเลียน คำว่า Macchiato แปลว่า การทำเครื่องหมาย

    กาแฟมัคคิอาโต้ จึงหมายถึงกาแฟที่เกิดขึ้นจากใช้องค์ประกอบหนึ่ง ทำเครื่องหมายบนองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่ง
เพื่อเพิ่มรสชาติ บ่งบอกถึงรสชาติที่ผสมอยู่ในตัวกาแฟ และสร้างความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์

    เหมือนกับการที่เรารักใครสักคน แล้วอยากแสดงออก อยากตีตราจอง

    เพราะแม้จะไม่ได้หัวใจเขามาครอบครอง เราก็ยังได้เป้นเจ้าของของเขา ในโลกของเราเอง





    “ดีเพื่อน”
    “อ้าว ไอ้มาร์ค วันนี้มาเร็วนี่” ภูมิ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัย ม.ต้น ของมาร์คโบกมือเรียกเพื่อนไปที่โต๊ะแถวที่สาม ร่างสูงยิ้มกว้าง
ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลาสติกสีเทาอย่างรวดเร็ว
    มาร์ค เจ้าของใบหน้าขาวสะอาด ปากได้รูปแบบเชื้อสายคนจีน แต่ตาโต และจมูกโด่งที่ได้มาจากแม่ยกมือเสยผมที่ปรกหน้า
ก่อนจะยกกาแฟในแก้วสีขาวของตนขึ้นดื่ม
    “วันนี้พี่แคปมาส่งว่ะ เลยมาเร็ว ว่าแต่มึงเหอะ ทำไมวันนี้มานั่งซะแถวสามเชียว ปกติต้องอยู่หลังสุดนู่นเลยไม่ใช่หรอ?”
    สีหน้าบูดๆ ของภูมิเรียกเสียงหัวเราะก๊ากจากเด็กหนุ่มหน้าตี๋ทันที แต่ร่างสูงก็โดนเพื่อนเอามือจุ๊ปากไว้เสียก่อน
    “ม…มีไรวะ?”
    “มึง เบาๆ”
    “เบา? จะเบาทำไมอ่ะ ในห้องก็มีแค่มึงกะกูอ่ะ” มาร์คกระพริบตาอย่างท้าทาย แถมยังเร่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีก
พอเห็นภูมิทำหน้าซีดแบบนั้นแล้วก็สะใจเสียจริงๆ
    “ไม่ใช่ๆ มึงก็เงียบๆ ดิว้าา เดี๋ยวพี่-“
    “เงียบๆ ดิ๊!!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นจากหลังโต๊ะแถวหลังสุด พร้อมกับกลุ่มผมฟูๆ สีดำที่ผุดขึ้นมาจากมุมมืด
ทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งตัวโยน โดยเฉพาะภูมิ เพื่อนหนุ่มหน้าแว่นของมาร์ค
    “เชี่ย ตึกนี้มีผีด้วยหรอวะภูมิ?”
    “ผีพ่อมึง” เจ้าของเงามืดโวยวายกลับมา พลางยกมือเกาหัวยุกยิก ยิ่งกระตุกต่อมกวนตีนของมาร์คได้เป็นอย่างดี
    “ผีคุยกับกูด้วยว่ะภูมิ”
    “มึงจะหาเรื่องพี่เค้าก็หาไป แต่อย่ามาเอากูไปเกี่ยวได้มั้ยวะะะ” สุดท้ายภูมิก็โวยวายแซงหน้าคนที่เพิ่งตื่นไปเสียก่อน
ใบหน้ากล้าๆ กลัวๆ ของเด็กหนุ่มหัวเกรียนทำลายบรรยากาศครุกรุ่นเมื่อสักครู่ไปได้ทันตาเห็น เพราะตอนนี้เหลือแต่เสียงหัวเราะ
ของมาร์คกับบุคคลลึกลับนั่นแทน
    “อ่ะๆ กูขอโทษน้าภูมิ” มาร์คลูบหัวเกรียนๆ ของเพื่อนรักป้อยๆ “ว่าแต่...มึงรู้จักคนข้างหลังนั่นด้วยหรอ? ใครวะ
ทำไมมานอนในนี้”
    “พี่เทมส์ไงมึง พี่ปีสี่อ่ะ”
    “พี่เทมส์...ไหนวะ?”
    “ที่เป็นพี่สายรหัสไอ้บอสมันไง แล้วก็ที่อยู่ทีมแบตฯ”
    “อ้อ…คนที่ตาตี่ๆ เสียงแหลมๆ หน่อยอ่ะนะ”
    “ใช่ๆ คนนั้นแหละ”
    “อ่อ…เห้ยย!!” มาร์คสะดุ้งอีกครั้ง เพราะเสียงที่ตอบเขามาเมื่อกี๊มันแหลมๆ ผิดไปจากเสียงใหญ่ๆ ของภูมิ
ร่างสูงหันหลังกลับไปตรงทางเดินกลางห้อง ก่อนจะหัวเราะแหะๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่คนที่ทั้งสองพูดถึงกันอยู่ได้ย้ายตัว
มายืนค้ำเก้าอี้ของเขาแทนเรียบร้อย

    พอได้มองใกล้ๆ แล้ว ทั้งดวงตาตี่ๆ ที่บวมเล็กน้อยจากการอดนอน ประดับด้วยขนตาบางๆ ทั้งผิวขาวๆ ที่เนียนอย่างกับตูดเด็ก
ทั้งจมูกรั้น ที่ถึงจะไม่ได้มีดั้งโด่งมาก แต่ก็ทรงสวยตามแบบคนจีน ไหนละริมฝีปากอิ่มที่ระบายยิ้มกวนๆ มันรวมกันเป็นใบหน้าที่น่าแกล้ง
และน่ามองไม่ใช่น้อยๆ

    มาร์คยกยิ้มมุมปาก

    ก็น่ารักไม่เบานี่หว่า

    “ส…สวัสดีครับพี่เทมส์”
    “หวัดดีๆ” เทมส์รับไหว้จากภูมิ ก่อนจะเหล่ตามาทางรุ่นน้องอีกคนที่ยังนั่งหัวโด่ยิ้มแฉ่งอยู่ “รีบมากันจังนะ
นี่พี่อุตส่าห์กะจะรีบมางีบซักหน่อย...เด็กสมัยนี้เค้านิยมเข้าเรียนตรงเวลากันละหรอ?”
    “เปล่าหรอกครับพี่ ผมบ้านไกล เลยต้องรีบออก” ภูมิตอบ เขาเองก็เป็นเด็กเรียนระดับนึงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
สมัยอยู่โรงเรียนก็ต้องมาช่วยป้าแม่บ้านเปิดตึกอยู่บ่อยครั้ง ส่วนมาร์คก็ได้แต่นั่งเงียบๆ เพราะเขาไม่ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้
เป็นการส่วนตัว
    “ว่าแต่...ทำไมพี่มานอนห้องนี้ล่ะครับ?”
    “หืม? ก็ วิชา POL GOVT เรียนห้องนี้ไม่ใช่หรอ?”
    “ก็…ใช่ครับ พี่เรียนตัวนี้ด้วยหรอครับ?”
    เทมส์พยักหน้า ผมสีดำที่ถูกปล่อยให้ยุ่งเล็กน้อยตามธรรมชาติสะบัดขึ้นลงเหมือนลูกหมา
    “ใช่ พอดีตอนปีสองพี่ถอนอ่ะ ละปีสามก็ไปแลกเปลี่ยน เลยต้องมาตามเก็บเทอมนี้”
    “แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นพี่ในห้องเลยนะครับ”
    “ก็เนื้อหาก่อนหน้านี้พี่เรียนไปแล้วอ่ะ เลยไม่เข้า ไหนๆ อาจารย์ก็ไม่เช็คชื่อ แต่ได้ยินว่าวันนี้จะขึ้นเรื่องหนังสือ
อ่านนอกเวลาเล่มใหม่ เลยเข้ามาฟังซักหน่อย”
    พอเห็นว่าไม่มีอะไรจะคุยต่อ เทมส์ก็ขอตัวกลับไปนั่งที่ตัวเอง มาร์คเอี้ยวตัวมองตามอีกฝ่ายจนแทบตกเก้าอี้
ยังดีที่ภูมิจับเอาไว้ได้เสียก่อน
    “มึง…ไปซื้อน้ำกินกันป่าว?”
    “อ้าว มึงมีกาแฟมาแล้วนี่”
    “ก็ พอดี กูอยากกินน้ำเปล่าด้วย”
    “กินของกูได้นะ เนี่ยกูเอามาขวดเบ้อเร...อ้อ เออๆ ไปกันๆ” ภูมิยังคงรับรู้ช้าเหมือนทุกๆ ครั้ง จนมาร์คต้อง
แอบหยิกสีข้างเพื่อนหนุ่มให้ยอมๆ ตามเขาออกไปข้างนอกเสียที
    ร่างสูงรีบดีดตัวขึ้นยืน และเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเรียนไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเพื่อนหัวเกรียนเดินตามไปไม่ห่าง




    “มึงเป็นไรวะ?” ภูมิถามทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง มาร์คหลุบตามองพื้น จู่ๆ ก็มีท่าทางเคอะเขินผิดไปจากปกติ
    “กูมีเรื่องจะถามอ่ะ”
    “เอ๊า แค่นี้ต้องเล่นใหญ่ด้วย”
    “ก็กูจะถามมึงเรื่องพี่คนนั้น ถ้าถามตรงนั้น ให้กูเดินไปถามเค้าเองเลยไม่ดีกว่าเรอะ” ร่างสูงยกมือขึ้นลูบหน้า
ที่เริ่มร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนภูมิก็ยืนอ้าปากค้าง จนลิฟต์จอดที่ชั้น 5 และมีกลุ่มนักศึกษาสาวสามคนเข้ามายืน
ระหว่างทั้งสองแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่พูดอะไรซักคำ
    มาร์คพิงข้างตัวลงกับผนังลิฟต์ บนใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างแปะอยู่อย่างควบคุมไม่ได้ จู่ๆ ก็เกิดใจเต้นแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น

    โดนของซะแล้วมั้งเนี่ย

    “นี่มึง...ชอบพี่เค้าหรอวะ???” จู่ๆ ภูมิก็ตะโกนถามขึ้นมาอย่างกับเพิ่งจะประมวลเรื่องทั้งหมดออก
ทำเอาคนอื่นในลิฟต์สะดุ้งไปตามๆ กัน
    โชคดีที่ลิฟต์จอดลงที่ชั้น 1 ได้ทันเวลา พวกเด็กผู้หญิงจึงรีบกรูกันออกไปก่อน
    “มึงนี่...จะเรียกว่าเบ๊อะหรืออะไรดีวะเนี่ย ฮะ ไอภูมิ?”
    “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย มึงนั่นแหละ ชอบพี่เค้าหรอ?”
    มาร์คหลบตาภูมิมองไปทางอื่น ก่อนจะเถียงเสียงอู้อี้ “ชอบอะไรของมึงล่ะ กูยังไม่รู้จักเค้าเลยซักนิด”
    “นั่น แล้วมึงจะถ่อลากกูมาถึงนี่เพราะจะถามกูเรื่องเค้าเพื่อ?”
    “ก็…ไม่ได้ชอบไง แต่กูว่าเค้าน่าสนใจดี ก็เลยอยากรู้จัก ไรงี้” ร่างสูงเกาแก้มเชินๆ เรียกเสียงหัวเราะจากภูมิไปอีกรอบ
    “เค้าไปทำอีท่าไหนให้คนอย่างมึงสนใจวะ กูล่ะเชื่อเลย” ทั้งสองหยุดยืนที่ร้านน้ำ ก่อนมาร์คจะสั่งน้ำเปล่าหนึ่งขวด
กับขนมถุงหนึ่งถุง “ถ้าจะจีบอ่ะ กูว่ารายนี้น่าจะยากนะ”
    “เรื่องยากไม่ยากอ่ะ เดี๋ยวลองก็รู้ ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าเค้าคือใคร มาจากไหน ทำไมกูแทบจำเค้าไม่ได้เลย”
    ภูมิเบะปากกับความมั่นใจของเพื่อน แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ นั่นล่ะ ว่าไอ้หน้าหล่อนี่น่ะ เรื่องจีบไม่เป็นรองใครจริงๆ
    “ก็พี่เค้าไปแลกเปลี่ยนตอนเราเพิ่งเข้าปีหนึ่งมาพอดีไง จะไม่รู้จักก็ไม่แปลกอ่ะ”
    “แต่เทอมสองเค้าก็น่าจะอยู่ป่ะ กูยังไม่ยักเคยคุยด้วย ขนาดมึง เค้ายังรู้จักเลยอ่ะ” มาร์คขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
จนโดนภูมิดีดหน้าผากเข้าให้ “เจ็บนะมึงงง ดีดกูทำไมวะ?”
    “แหมมึง พูดอย่างกับมึงรู้จักพี่ปีสี่ทุกคน ถ้าจะเคยเห็นหน้าแต่จำไม่ได้ก็ไม่แปลกป่ะ ก็ไม่มีเรียนด้วยกัน ตอนรับน้องรุ่นเรา
ก็มีแต่พี่ปีสองที่ไป พี่ปีสามเค้าก็ไม่ได้มายุ่งไรกับพวกเราอยู่แล้ว ไหนจะทั้งมึง ทั้งพี่เค้าก็ไม่ค่อยทำกิจกรรมคณะอะไรเท่าไหร่
โอกาสจะรู้จักมันก็ต้องริบหรี่อยู่ละ”
    “โห มึงก็ไม่ทำอะไรเหมือนกูอ่ะ แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง?”
    “ก็บอกแล้วไงว่าพี่เค้าเป็นสายรหัสใอ้บอสมัน แล้วไอ้บอสมันก็สาย co กับสายกู เลยเคยเจอเวลาเลี้ยงสาย”
ทั้งสองกลับมายืนอยู่หน้าลิฟต์อีกครั้ง ภูมิหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเวลา พลางตอบคำถามของมาร์คไปด้วย
     “กูเองก็ไม่เคยคุยอะไรกับพี่เค้าหรอกนะ แค่เจอผ่านๆ แล้วก็สวัสดีกันอ่ะ ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้คงต้อง
ไปถามคนอื่น...เออ พี่แคปมึงไง รุ่นเดียวกันไม่ใช่หรอ?”
    สิ้นคำถามของภูมิ ตากลมๆ ของมาร์คก็เบิกขึ้นอย่างเป็นประกายทันที “เออว่ะ เพื่อน โห กูรักมึงมากเลย มาให้หอมที”
    “กรี๊ดดด อย่ามาโดนตัวกู ไอสั๊สส” ภูมิกระโดดหนีและร้องกรี๊ดกร๊าดจนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองตาม
ส่วนมาร์คก็บ้าจี้ ทำเป็นอ้าแขน ยื่นหน้าจะจุ๊บแก้มเพื่อนสนิทไปอีกคน

    ติ๊ง

    เสียงประตูลิฟต์ดังขึ้น พร้อมกับตอนที่มาร์คคว้าแก้มยุ้ยๆ ของภูมิไว้ได้พอดี

    และตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก ก็เป็นตอนเดียวกับที่ปากของมาร์ค กระแทกลงกับแก้มภูมิพอดิบพอดี




    “บัดสี”




    เสียงที่คุ้นยิ่งกว่าเสียงพ่อเสียงแม่ กับสรรพนามสุดสนิทสนมทำให้มาร์คและภูมิยืนตัวแข็งทื่อ

    ร่างสูงหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะอ้าปากค้างอย่างกับใบ้กินเมื่อเห็นคนที่ยืนมองพวกเขาอยู่ในลิฟต์

    “พี่แคป!!”

    ที่ตะโกนนั่นน่ะ เสียงภูมิ เพราะคนที่ดวงตาของมาร์คกำลังจ้องอยู่ไม่ใช่ทั้งแคปที่กำลังยืนหัวเราะหึๆ
ไม่ใช่ทั้งเท็นเพื่อนแคป...แต่เป็นอีกคนที่หน้าเหวอยิ่งกว่าใครเพื่อนต่างหาก






    “พี่เทมส์”






_________________






     "ฮะ? ไอ้เทมส์เนี่ยนะ?"
     "เยป พี่สนิทป่ะ?"
     แคปยักคิ้วพลางหัวเราะหึๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ใบหน้าหล่อๆ ส่ายไปมา "สนิทอ่ะ ก็สนิทแหละ
เรียนเมเจอร์เดียวกัน...แต่มึงเหอะ ไปโดนอะไรมา วันดีคืนดีมาถามถึงเพื่อนกู"
     "ก็...เจอมาวันนี้ แล้วเค้าน่าสนใจดี"
     "เชี่ย!!" คนเป็นพี่กลืนกาแฟลงคอแทบไม่ทัน แต่ถึงจะไม่ได้สำลัก น้ำที่กลืนลงไปก็ร้อนคอจนร่างสูงๆ
ชักดิ้นชักงออยู่บนเก้าอี้ เสียงหัวเราะของอัพ พี่ชายคนโตของทั้งคู่ดังมาจากเคาน์เตอร์หน้าร้าน
     "มึง...กับไอ้เทมส์เนี่ยนะ?"
     "เออดิ แหม่ พี่ก็รู้ว่ามาร์คเป็นไบ"
     "เออ รู้อ่ะรู้ แต่ที่มึงพูดถึงคือไอ้เทมส์เลยนะเว่ย"
     "แล้ว? ทำไมทั้งพี่ ทั้งไอภูมิถึงพูดเหมือนกันเลยอ่ะ? พี่เทมส์เค้าทำไม?"
     "ก็...ถึงมึงจะเห็นเทมส์มันตลกๆ กวนตีนๆ แต่เรื่องหัวใจมันอ่ะ เลื่องลือเลยนะ ว่าใจแข็งสัสๆ"
     "ใจแข็ง?"
     "อืม เอาจริงๆ ตั้งแต่สมัยเรียนอ่ะ แม่งโดนจีบเยอะมากกก แต่ไม่เคยมีใครพิชิตใจแม่งได้ซักครั้ง"
     "ก็คือ พี่เค้ายังไม่เคยมีแฟนเลยหรอ? งั้นก็ไม่มีใครรู้ดิว่าพี่เค้าชอบเพศไหน"
     "ที่ได้ยินมาก็ใช่...นี่มึงจะจีบจริงจังหรอ?"
     พอเห็นเจ้าน้องหน้าหล่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น แคปก็อดถอนหายใจอย่างเป็นห่วงไม่ได้
     "นี่ไอมาร์ค ถือว่ากูเตือนด้วยความหวังดีเลยนะ" มือขาววางลงบนบ่าน้องชายและบีบมันสองครั้ง
"เทมส์อ่ะ มันก็อยู่ด้วยแล้วสนุกดี แต่จะเป็นมากกว่าเพื่อนเนี่ย ลองคิดดีๆ นะเว่ย"
     "อะไรมันจะขนาดน้านน"
     "เห้ย กูซีเรียส" แคปจ้องตามาร์คเพื่อนยืนยันว่าที่พูดอยู่นี่ไม่ได้จงใจจะแกล้งน้องแม้แต่นิด
"มึงก็เห็นว่ามันก็หน้าตาดี บ้านก็รวย นิสัยก็ดีขนาดนั้น แต่ดันไม่มีหน้ามีตาในคณะเลย คิดว่าไม่แปลกรึไง?"
     "ก็...คิดว่าเพราะพี่เค้าไม่ทำงานคณะเฉยๆ แล้วก็เพราะกวนตีนด้วย"
     "เดี๋ยวปั๊ด!! กูฟ้องเพื่อนแน่" แคปยกกำปั้นขึ้นขู่น้องชาย ส่วนมาร์คก็ตอบด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น
     "แล้วมันยังไงอ่ะพี่ พี่เทมส์เค้าทำไม?"
     "ก็มันอ่ะ ไม่ค่อยชอบเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจ มันถึงพยายามเลี่ยงกิจกรรมทุกอย่าง
นอกจากเรื่องเรียน กับเรื่องแบตฯ ที่มันชอบเล่นเนี่ยแหละ" แคปจิบกาแฟอีกหนึ่งอึก
    "ตอนปีหนึ่งพวกรุ่นพี่ก็เข้ามาขอให้มันไปเป็นนู่นเป็นนี่นะ แต่พอมันแสดงจุดยืนว่าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น
ก็เลยกลายเป็นคนมีอิมเมจขี้วีน ขี้เหวี่ยง เป็นโนวันอย่างที่เห็น มีแต่คนในรุ่นนี่แหละ ที่ได้สนิท ได้รู้จักมันจริงๆ”
    “อ่า…ฮะ”
    “แค่เรื่องเพื่อน เรื่องงาน มันยังไม่เปิดใจขนาดนั้น เรื่องความรักอ่ะจะขนาดไหนกันวะ มึงคิดดูดีๆ"
     มาร์คตักโยเกิร์ตน้ำผึ้งใส่กราโนล่าที่ริส พี่ชายคนรองทำมาให้ลองชิมเข้าปากเป็นคำแรก
พลางส่งเสียงฮึมฮัมพิจารณาคำพูดของแคปอีกครั้ง
     "แต่มาร์คก็ยังอยากจีบเค้าอยู่ดีอ่ะ"
     "ขนาดนั้นเลยหรอวะ? มึงเพิ่งเจอเค้าวันแรกเองนะเว้ย"
     "ถูกชะตาอ่ะพี่ ไม่รู้ดิ มาร์คก็เห็นเค้าผ่านๆ ในคณะนะ แต่พอได้เจอระยะประชิดแล้ว แม่ง น่ารักอ่ะ"
     แคปเห็นแววตาเยิ้มๆ กับเสียงเพ้อๆ แล้วก็ทำได้แค่ส่ายหัวกับความใจง่ายของน้องชาย
    "เออๆ มึงจะจีบใครก็เรื่องมึงแหละ แต่อย่าคิดจีบเพื่อนกูแค่เพราะอยากเอาชนะก็พอ ยังไงฝ่ายนั้นก็เพื่อนกู"
     "ไม่หรอกพี่แคป พี่ก็รู้มาร์คเป็นคนยังไง" เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม ในปากก็เคี้ยวกราโนล่าตุ่ยๆ

     แคปพยักหน้าและหันกลับมาสนใจแชทเรื่องงานกลุ่มในมือถือแทน

     ถึงปากจะบอกให้น้องชายเป็นห่วงเทมส์ แต่ในใจจริงๆ เขาเองก็กังวลเรื่องมาร์คอยู่ไม่แพ้กัน

     ก็น้องชายเขาเนี่ยสิ ขี้เล่น หน้าม่อก็จริง แต่พอชอบใครเข้าซักคน ก็ทั้งรุก ทั้งจีบ เทหมดหน้าตัก
แถมด้วยหน้าตา และคารม มาร์คก็เลยไม่เคยแห้วเลยซักครั้ง จะมีครั้งนี้นี่แหละ เพราะคนที่จะจีบคือเทมส์
ดูยังไงโอกาสจะแห้วเลยมากกว่าเห็นๆ

     







     "สวัสดีครับ อ้าว นาย"
     "มาร์คครับ สวัสดีครับพี่เทมส์" มาร์คยกมือไหว้อีกฝ่ายที่ยืนมองเขางงๆ อยู่อีกฝั่งของตู้โชว์กระจก
ซึ่งตอนนี้ เทมส์ไม่ได้ใส่ชุดนิสิต แต่เป็นเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า กับกางเกงขายาวสีดำแทน ผมสีดำที่ปกติจะปล่อย
ให้ฟูๆ ไม่ค่อยเป็นทรงก็ถูกเซ็ตขึ้นเรียบร้อย ทำให้เทมส์ลุคนี้หล่อเอาการอยู่เหมือนกัน
     "อ้อใช่ น้องแคปมันใช่ป่ะ นี่มาดูนาฬิกาหรอ?"
     "ใช่ครับพี่ บังเอิญจัง...นี่พี่ทำงานอยู่ที่นี่หรอครับ?"
     "จะว่างั้นก็ได้อ่ะ นี่ร้านของที่บ้านพี่เอง"
     "อ้อ...ดีจังนะครับ เรียนไม่ทันจบก็มาดูแลงานที่บ้านละ" มาร์คทำเป็นตาแป๋วอย่างสนอกสนใจ
จริงๆ แล้วเขาตั้งใจมาที่ร้านนี้ วันนี้ เวลานี้โดยเฉพาะเลยต่างหาก ตามคำของแคปที่ว่าวันไหนที่ไม่มีซ้อมแบตฯ
เทมส์ก็จะกลับมาทำงานที่ร้านนาฬิกาของที่บ้าน ไหนๆ ตอนเรียนจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ก็มาหาเอานอกเวลาก็ได้
     เทมส์ยิ้มบางๆ ตาตี่หยีเป็นเส้นตรงเหมือนตุ๊กตาแป๊ะยิ้มของคนจีน "ก็นะ ลูกชายคนเดียวอ่ะ นายเองเหอะ
เรียน BBA นี่จบไปก็ต้องดูแลร้านที่บ้านเหมือนกันป่ะ?"
     "ไม่รู้ดิพี่...พี่แคปเองก็เรียน BBA เหมือนกัน ผมคงให้พี่เค้าดูแลธุรกิจไปมั้ง ผมอยากทำงานโฆษณามากกว่า"
     “อ่อ งานโฆษณาก็ดีนะ เป็นสายครีเอทอ่ะดิเรา” มาร์คอมยิ้มและพยักหน้ารับ
    "แล้ววันนี้สนใจดูนาฬิกาตัวไหนดี?" เทมส์หลบตามาร์คทันทีเมื่อร่างสูงส่งยิ้มหวานมาให้ ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ
ก่อนจะก้มตัวเปิดตู้เพื่อดึงถาดใส่นาฬิกาออกมา "ชอบแบบสายหนัง หรือสายเหล็ก?"
     "ผมก็ไม่รู้อ่ะพี่ พี่ช่วยแนะนำหน่อยได้ม้ย?"
     "โห ยากนะ มันแล้วแต่คนชอบ"
     "ก็...เอาแบบที่พี่ชอบใส่ก็ได้ครับ"
     "ได้ไงล่ะมาร์ค นาฬิกาเรือนนึงไม่ใช่ถูกๆ ให้พี่เลือกให้นายไม่ชอบทำไงวะ อย่างน้อยก็บอกมาก็ได้ว่าปกติใส่อะไร
จะได้ช่วยหาอันที่ใกล้เคียงๆ ให้"
     มาร์ควางมือลงบนตู้ระจกและเคาะนิ้วไปมา ทำเป็นมองดูนาฬิกาในตู้ "เอาจริงๆ ปกติผมก็ไม่ใส่นาฬิกาอ่ะพี่
เลยไม่รู้จะเอาแบบไหน"
     "โห ยากเลย...ละทำไมจู่ๆ จะใส่ขึ้นมาวะ?"

     ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตาเทมส์ และตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ กับรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก

     "พี่ไง"

     "ฮะ?" เทมส์ขมวดคิ้วลงทันที มือที่กำลังจะหยิบนาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลขึ้นมาดูค้างอยู่กับที่
     "ก็วันก่อนที่เจอพี่อ่ะ ผมเห็นเรือนที่พี่ใส่แล้วคิดว่ามันเท่ดี อยากใส่ดูมั่ง" มาร์คเปลี่ยนมายิ้มแป้นแล้นอีกครั้ง
พอเห็นว่าท่าเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เทมส์ยังจ้องหน้าเขาอยู่อีกแป๊บนึง ก่อนจะพยักหน้า
     "โถ่ พูดแค่นั้นก็จบ เออๆ งั้นเดี๋ยวพี่หยิบรุ่นที่พี่ใส่ให้ดู" ว่าแล้วเทมส์ก็เดินกลับเข้าไปหลังร้าน และกลับออกมาพร้อม
กล่องกระดาษแข็งสีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีโลโก้แปลกตากับช่องวงกลมเล็กๆ ที่โชว์หน้าปัดนาฬิกาอยู่ด้านบนสามกล่อง
     "จริงๆ ตัวนี้ที่ร้านยังไม่เริ่มวางขายหรอกนะ พอดีเพิ่งขอเค้าเป็นตัวแทนจำหน่าย เริ่มขายจริงๆ ต้นเดือนหน้านู่น"
     "โห แล้วจะขายผมได้หรอพี่?"
     "ได้แหละ เดี๋ยวค่อยไปทำบันทึกการขายเป็นวันที่เริ่มขายแทน สบายมาก"
     เทมส์ยิ้มบางๆ ก่อนจะจัดแจงเปิดนาฬิกาในกล่องออกมาวางทีละตัว "สามตัวนี้อ่ะ พี่ตั้งใจจะเอามาเป็นตัวโชว์ก่อนเฉยๆ
เลยมีอย่างละเรือน"
     มาร์คแอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนาฬิกา ก่อนจะรีบมองนาฬิกาเมื่อเจ้าตัว
เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขา
     "อันนี้เป็น NEUT Watch ยี่ห้อ WYE Matter นะ เป็นแบรนด์ไทย ไม่ใช่แบรนด์นำเข้า"
     "อ้าว ร้านพี่ไม่ได้เป็นร้านขายนาฬิกานอกหรอครับ?"
     "อื้ม ก็ใช่แหละ แต่พี่คิดว่าแบรนด์ไทยเดี๋ยวนี้ก็สวยสู้กับชาติอื่นได้แล้วอ่ะ ราคาก็ไม่โหด เลยขอป๊ากับม๊าเอายี่ห้อนี้
มาลองตลาดดูก่อน...เอาจริงๆ พี่แค่ชอบยี่ห้อนี้มาก เลยอยากอวยด้วยแหละ อย่าไปบอกใครล่ะ ฮะๆๆ" เทมส์เล่าเรื่อง
ของตัวเองอย่างออกรส จนมาร์คที่เพิ่งเคยได้คุยเรื่องส่วนตัวแบบนี้กับรุ่นพี่หน้าตี๋เป็นครั้งแรก ก็ใจเต้นแรงขึ้นมาแปลกๆ
     "รุ่นนี้ ตัวหน้าปัดจะมีให้เลือกสามสีนะ ตามนี้เลย Midnight Black, Sunrise Rose Gold แล้วก็ที่พี่ใส่อยู่เป็น
Sunset Gold ส่วนสายจะมีสีดำ น้ำตาล ชมพู สายเปลี่ยนได้" เทมส์ค่อยๆ อธิบายฟังก์ชั่นต่างๆ ของนาฬิกาไปเรื่อยๆ
โดยไม่ได้รับรู้ถึงอีกฝ่ายที่เอาแต่มองหน้าตัวเองไม่วางเลย เห็นอย่างนั้น มาร์คก็เอาแต่อมยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว
     "ก็ทั้งหมดนั้นแหละ แล้วก็ ถ้านายซื้อวันนี้เดี๋ยวพี่แถมสายเปลี่ยนให้สายนึงด้วย เค้าส่งสายหนังกลับมาให้ลองด้วย
รุ่นใหม่เลยนะ เนี่ย พี่ก็ว่าจะเปลี่ยนดูเหมือนกัน อันสีดำโคตรสวย"
     "แล้วทำไมไม่เปลี่ยนล่ะพี่?"
     "ก็เรือนนี้พี่ไม่ได้ซื้อกับที่บ้านไง ใส่มาตั้งแต่ก่อนสายรุ่นใหม่ออกด้วย ถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องซื้อเพิ่ม"
     “แล้วทำไมไม่จิ๊กจากของแถมไปเลยอ่ะ?"
     "บ้าหรอ ของในสต็อคหายอันนึงราคาเป็นพันนะเว่ย ป๊าม๊าด่าตายพอดี"
     มาร์คหัวเราะร่า มือก็หยิบนาฬิกาหน้าปัดสีดำตัดทอง แบบเดียวกับที่เทมส์ใส่ขึ้นมาดู
     "งั้นถ้าผมซื้อเรือนนี้วันนี้ ผมก็เลือกสายแบบหนังกลับได้ด้วยใช่มั้ยพี่?"
     "อือฮึ"
     "งั้นผมเอาสี Sunset Gold แล้วกันครับ แล้วก็สายแบบหนังกลับสีดำ"
     "ได้ๆ แล้วของแถมเอาเป็นอะไรดี?"
     "หนังกลับสีดำครับ"
     "ฮะ? ไม่ลองเอาอันอื่นไปด้วยหรอ? เผื่อเบื่อๆ แถมสายนึงมันอยู่ได้หลายปีเลยนะ ถ้าเอาตัวนี้ไปเผื่อเปลี่ยน
พี่แนะนำว่าไว้พังค่อยมาซื้อดีกว่า"
     "ผมก็จะยกของแถมนั้นให้พี่ไง" มาร์คสบตาเทมส์และยกยิ้มหวานนั้นอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้เทมส์ไม่ได้มองหนี
แล้วก็ไม่ได้มีท่าทางไม่ค่อยพอใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จะมีก็แต่ตาเล็กๆ ที่กระพริบตอบอย่างสับสนเท่านั้น
     "ห...เห้ย ไม่ต้องหรอก พี่เกรงใจ"
     "ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ ผมอยากให้ แล้วผมก็อยากให้พี่รับด้วย"
     "แต่ว่า"
     "ถ้าจะทำอะไรตอบแทน ผมขอแค่พี่เปลี่ยนสายเป็นอันนี้ แล้วก็อย่าไปขายนาฬิกานี้ให้คนอื่นก่อนจะวางขายอีกก็พอ
ผม...ไม่อยากให้มีคนอื่นใส่เหมือนพี่กับผมอีกอ่ะ"
     "ฮะ? ทำไมอ่ะ?" เทมส์เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไปเตรียมเหวี่ยงอีกรอบ จนมาร์คต้องหาข้อแก้ตัวขึ้นมาอีกจนได้
     "แหม่ ก็พี่บอกว่าเป็นของใหม่นี่ เดี๋ยวคนมาเห็นผมใส่ แล้วแห่มาขอซื้อกับพี่ ผมก็จะไม่นำเทรนด์อ่ะดิ
แถมพี่ก็บอกว่าของมันยังไม่วางขาย ถ้าของหลุดออกไปเยอะๆ ป๊าม๊าพี่ไม่ว่าเอาหรอ?"
     "พูดแบบนั้น แต่เป็นคนจะยกของแถมให้พี่เองเนี่ยนะ?"
     "เอาน่าพี่ ก็พี่จะขายของให้ผมไง ก็ต้องตอบแทนน้ำใจนิดนึง" เทมส์จ้องตาอีกฝ่ายเพื่อหาพิรุธ
แต่สกิลการตีหน้าเนียนของมาร์คยังเหนือกว่าเขาไปหลายขุมนัก
     "เออๆ นายว่างั้นก็ตามนั้นละกัน รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเปลี่ยนสายให้"
     "ครับ...ว่าแต่ พี่รับบัตรเครดิตใช่ป่ะ?"
     "อืม" เทมส์พยักหน้าเบาๆ เพราะตอนนี้สมาธิของเขาย้ายไปอยู่กับการบรรจงเปลี่ยนสายนาฬิกาเสียแล้ว


     "พี่เทมส์ครับ"
     "หืม?"
     "พี่ทำงานนี้มานานยังอ่ะ?"
     "ก็ช่วยๆ ที่บ้านมาตั้งแต่ม.ต้นแหละ มาทำเต็มตัวก็ตอนเข้ามหาลัยแล้ว มีอะไรหรอ?"
     "อ้อ...เปล่าครับ เห็นพี่ดูชำนาญเรื่องนาฬิกามากๆ แถมพี่ไม่ค่อยอยู่ที่คณะ เลยคิดว่าอาจจะเพราะมาทำงานอยู่"
สกิลเรื่องตีเนียนถามเรื่องส่วนตัวเนี่ย ไม่มีใครชนะมาร์คคนนี้อีกแล้วล่ะ
     "อืม...ก็พี่ชอบเรื่องนาฬิกามาตั้งนานแล้วด้วยมั้ง เลยรู้เยอะ ส่วนที่ไม่ค่อยอยู่คณะ...เรื่องงานที่บ้านมันก็ส่วนนึง"
     "ส่วนนึง?"
     "ก็...จะพูดยังไงดีล่ะ...อยู่คณะแล้วมันมีเรื่องเยอะแยะอ่ะ พี่เลยไม่อยู่มันซะเลย ฮะๆ แต่อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิด"
เทมส์ยิ้มแบบไม่เห็นฟันให้มาร์ค ก่อนจะยื่นนาฬิกาที่เปลี่ยนสายเสร็จพอดีให้
     "ทั้งหมด 3,150 บาทครับผม"
     "อ้อ ครับ" มาร์คล้วงกระเป๋าขึ้นมายื่นบัตรเครดิตสีดำให้อีกฝ่าย ก่อนจะชวนคุยต่ออีกสักนิด ก่อนเวลาจะหมด
     "จะว่าไป พี่นี่ไม่เหมือนที่ผมคิดเลยนะครับ"
     "ยังไงอ่ะ? คิดว่าพี่จะกวนตีนๆ ขี้เหวี่ยงขี้วีนงี้?"
     "ก็...ใช่นิดนึง เอ่อ แต่พอได้คุยกันจริงๆ พี่ก็ใจดีนะ"
     "ใจดีอะไรล่ะ ฉันก็คนธรรมดาเนี่ย แล้วคนอะไรมันจะเหวี่ยงได้ตลอดเวลา" เทมส์ส่ายหัวเล็กน้อย เสียงแหลมหัวเราะแห้งๆ
"อยู่กับคนที่ไม่สนิทพี่ก็ขี้เกียจมาเอาอกเอาใจอ่ะ อยู่กับคนที่สนิทๆ พี่ก็เป็นแบบนี้แหละ"
     "โห...เป็นเกียรตินะเนี่ย"
     "ฮะ? ทำไมอ่ะ?"
     
     มาร์ครับการ์ดกลับมาจากเทมส์ แต่แทนที่จะจับที่การ์ด เขากลับจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้แทน

     ร่างสูงสูดหายใจรวบรวมความกล้า

     ไหนๆ เทมส์เริ่มลดกำแพงกับเขาลงแล้ว ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะวะ





     "แปลว่าผมกำลังจะสนิทกับพี่แล้วไง"




     เทมส์หรี่ตาลง ก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากัน




     "พ่อมึงดิ"




     แต่ครั้งนี้มาร์คไม่ได้หน้าซีด หรือคิดจะถอดใจกับน้ำเสียงเย็นชานั่นเลย




   
     เพราะข้อมือที่เขาจับอยู่ ไม่ได้พยายามจะขยับหนีเขาเลยสักนิด
   



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2017 20:14:21 โดย KhaMhoo »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #2.1
«ตอบ #5 เมื่อ01-08-2017 07:33:06 »

MACCHIATO
Marking you as my own
CHAPTER 2


BGM





     "เดี๋ยวแบ่งจับคู่กันทำสรุปบทที่ 4 มาส่งผมก่อนหมดคาบนะ เรียงลำดับตามเลขที่ในรายชื่อ
ไปเช็คในเว็บไซต์ก่อนได้" อาจารย์ชายวัยกลางคนดันแว่นครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้เลื่อนหน้าห้อง
เสียงเก้าอี้กับเสียงคุยดังขึ้นมาทันที
     "นั่งด้วยนะพี่เทมส์" เทมส์เงยหน้าขึ้นจากโทรศํพท์ มาเจอมาร์คยืนยิ้มแฉ่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

     เด็กนี่อีกแล้ว

     ใบหน้าขาวยู่ลง ก่อนจะพยักหน้าอย่างอ่อนใจ และหยิบกระเป๋าออกจากเก้าอี้ตัวข้างๆ

     ตั้งแต่วันที่ไอ้หน้าหล่อที่โผล่มาซื้อนาฬิกาที่ร้านเมื่ออาทิตย์ก่อน ไม่มีวันไหนเลยที่เทมส์จะไม่ได้เห็น
รอยยิ้มแป้นแล้นๆ นี่ทักทายเขาทุกครั้งที่เจอหน้ากัน (ซึ่งก็เหมือนจะเจอกันบ่อยขึ้นมากด้วย) แถมเมื่อวันศุกร์
ที่แล้วที่เขามีแข่งแบตฯ ใน Inter Game มาร์คก็มานั่งดูตลอดเกม แถมยังซื้อน้ำมาแจกคนในทีมอีก

     จะรำคาญ ก็รำคาญไม่ลง ให้ตายสิ

     "ชื่ออณิษฐ์หรอ?”
     "ใช่แล้ว รู้ได้ไงอ่ะพี่?”
     "ก็เนี่ย" ว่าพลางโชว์รายชื่อให้อีกคนดู มาร์คยิ้มหรา เพราะชื่อของเขาดันเป็นเบอร์ 24 ส่วนเทมส์
ก็เป็นเบอร์ 23 ทั้งคู่เลยต้องมาจับคู่กันทำงานพอดิบพอดี "จำนามสกุลไอ้แคปได้พอดี...วณิชกุลสินะ”
     "ใช่ครับพี่ พอดีอีกแล้วเนอะ ได้มาทำงานคู่กันด้วย”
     "โถ่ ก็บ้านนายเล่นชื่อ อ.อ่างกันหมดเลยนี่ ใช่ป่ะ ฉันก็ดันชื่อศรัณยู เนี่ย เรียนกับคนพี่ก็เจอคนพี่จนเบื่อ
มาเรียนกับคนน้องก็เจอคนน้องอีก”
     มาร์คหัวเราะร่า แอบเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของอีกฝ่าย ที่เหมือนกับของตัวเองเด๊ะๆ แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว
"พี่แคปได้ยินเข้า เสียใจแย่เลย”
     "ก็ลองปากโป้งดูสิ" เสียงเหมือนเด็กๆ กับท่าทางกวนตีน แต่ก็น่ารักไม่แพ้กันของเทมส์เรียกรอยยิ้ม
บนใบหน้าหล่อๆ ของมาร์คได้ไม่หยุด
     "เออ พี่มีเรื่องอยากรู้มานานละ
     "อะไรอ่ะพี่?" มาร์คว่า พลางเท้าคางยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แต่เทมส์ก็ไม่ได้มีท่าทางถือสาอะไร
     "ก็ชื่อจริงของบ้านนายสี่คนอ่ะ ขึ้นต้นด้วย อ.อ่าง เหมือนกันหมดถูกป่ะ? อย่างแคปก็ชื่อ อนณ อย่างนายก็ อณิษฐ์”
     "อ่า...ฮะ ใช่พี่ แล้วทำไมหรอ?”
     "ก็...แล้วทำไมชื่อเล่นทั้งสี่คนถึงไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยอ่ะ? ปกติพี่เห็นแต่แบบพี่น้องชื่อเล่นตัวอักษรเดียวกันไรงี้”
    เทมส์สบตารุ่นน้องหน้าหล่อและกระพริบตาปริบๆ มาร์คได้แต่กรี๊ดอยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวนี้เทมส์เปิดใจคุยเรื่องส่วนตัวกับเขา
มากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตามเต๊าะมาตลอดหนึ่งอาทิตย์นี้ก็ไม่ถึงกับไม่เห็นผลเลยเสียทีเดียว
     "อ้อออ โหยพี่ มีแต่คนชอบถามผมเรื่องนี้" มาร์คกดปากกาสองครั้งแก้มือว่าง ก่อนจะเปลี่ยนมือข้างขวาจากเท้าคาง
มาประสานกับมือซ้ายไว้บนโต๊ะแทน
     "จริงๆ แล้ว ชื่อพวกผมสี่คนมันมาจากชื่อกาแฟเหมือนกันหมดเลยพี่เทมส์”
     เทมส์ร้องหูยอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเล็กๆ ฉายแววอยากรู้เหมือนเด็กๆ จนมาร์คอดยิ้มกว้างตามไปไม่ได้
     "อย่างพี่อัพ ก็มาจาก อัฟโฟกาโต้ พี่ริส มาจาก ริสเทรตโต้ พี่แคป มาจากคาปูชิโน่ ส่วนผมก็...
อ่ะ ผมให้พี่ทาย”
     "โหย...พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องกาแฟเลยว่ะ เวลาไปร้านนายพี่ก็กินแต่ลาเต้เย็น"
    "ลองเดาดูน่าพี่ คิดดูดีๆ ชื่อผมไม่ยาก" เห็นหน้าครุ่นคิดของเทมส์แล้วมาร์คก็ยิ่งหวั่นไหวเข้าไปใหญ่     
    "มาร์ค....มาค...มัค...มัคคิอาโต้...อะไรซักอย่างนั่นป่ะ?"     
    "ถูกต้องงงง โถ่ พี่ก็รู้นี่นา"
     "พอดีน้องสาวพี่มันชอบสั่งคาราเมล มัคคิอาโต้อ่ะ เวลาไปร้านกาแฟ" เทมส์หัวเราะแหะๆ ก่อนจะเปิดหนังสือ
นอกเวลาขึ้นมาเปิดบทที่ 4 ไปพลางๆ
     "ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าพี่มีน้องสาวด้วย"
     "แหงดิ น้องยังอยู่ม.ปลายอยู่เลย ไม่ได้เจออยู่ละ"
     "อ่า..." มาร์คพยักหน้า ก่อนจะเปิดหนังสือตัวเองอ่านบ้างเมื่อเทมส์หลุดเข้าไปในโลกของหนังสือเรียบร้อย



     "สรุปแล้วไอ Animal Farm นี่มันคืออะไรกันแน่อะพี่ ผมยังไม่ค่อยเก็ท” เงียบไปได้ไม่นาน มาร์คก็เห็นท่าไม่ดี
เลยคันปากอยากจะคุยขึ้นมาอีกเสียอย่างนั้น
     "อะไรนะ?" เทมส์วางตาจากหนังสือ ก่อนจะหันมาเบิกตาตี่ๆ ใส่อีกฝ่าย เพราะเมื่อกี๊ยังได้ยินไม่ค่อยชัด
     "ฟาร์มเนี่ยพี่ มันจะสื่อถึงอะไรอ่ะ?"
     "อ้อ มันก็ล้อเลียนการเมืองเนี่ยแหละ ฟาร์มนี้ก็เหมือนประเทศๆ นึง ส่วนพวกหมูแต่ละตัว ก็คือนักการเมือง
แล้วก็มีพวก การปฏิวัติ การแย่งอำนาจ การเลือกตั้ง ลองไปหาอ่านสรุปออนไลน์ดูดิ พี่ก็อ่านอันนั้นแหละ"
     "โห พี่ก็รู้นี่นา แล้วพี่จะถอนไปทำไมอ่ะตอนนั้น?"
     "ก็ตอนปีสองต้องเรียน Intermediate Accounting ด้วยนี่หว่า เกรดตกฮวบๆๆ ก็เลยถอนไปซะก่อน"
     "แต่นี่พี่ไปแลกเปลี่ยนมา ก็ต้องกลับมาตามเก็บวิชาอื่นอีกไม่ใช่หรอ? พี่เรียนไหวได้ไงอ่ะ"
     "มันไม่ใช่วิชาพวกบัญชีแล้วไง วิชาเมเจอร์พวก business พวก management มันไม่ยากมาก"
     "งั้นพี่ก็ช่วยสอนผมเรื่อง business ได้ใช่ป่ะ? เนี่ย เริ่มเรียนตัวแรกแล้วงงไปหมดเลย"
     เทมส์วางหนังสือลง ก่อนจะหันหน้ามาสบตามาร์ค และถอนหายใจเนือยๆ "นายนี่ถามเยอะยังกะแม่ฉันเลยนะ"
     "โห ก็ผมอยากรู้จักพี่มากกว่านี้ไง ยังไงพี่ก็เพื่อนพี่แคป"
     เทมส์ยังคงทำหน้าเคร่งเครียด ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย "นี่...ถามจริงๆ เลยนะมาร์ค นายต้องการอะไรจากพี่วะ?"
     "หืม? ทำไมพี่คิดแบบนั้นอ่ะ?" มาร์คเริ่มขมวดคิ้วตามคนตรงหน้า ไม่ใช่เพราะเขาโกรธ แต่เพราะเขา
ไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
     "ก็ก่อนหน้านี้นายกับพี่ก็ไม่ได้เคยรู้จัก แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรกัน แต่จู่ๆ วันนึงนายก็เข้ามาทำตัวสนิทสนม
ถามนู่นถามนี่ จะไม่ให้สงสัยได้ไงวะ" คนแก่กว่าเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน
    "แล้วไอ้ที่บอกว่าเพราะพี่เป็นเพื่อนแคปมันอ่ะ สาเหตุมันฟังไม่ขึ้นตั้งแต่นายโผล่หน้ามาเลี้ยงน้ำทีมแบตฯ วันนั้นละ"
     มาร์ควางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาคมมองตรงไปหน้าห้อง จู่ๆ ทั้งปาก ทั้งหัวใจมันก็หนักขึ้นมา

     ไม่เคยจีบใครแล้วต้องกลัวอะไรขนาดนี้เลย

     "คือผม..."
     
     พอเห็นสีหน้าเจื่อนๆ กับรอยยิ้มยียวนที่หุบลงไปทันตาเห็น เทมส์ก็เกิดใจอ่อนขึ้นมาเสียก่อน
มือนิ่มวางลงบนบ่ากว้าง และเขย่ามันเบาๆ
     "เห้ย ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น พี่แค่ไม่ค่อยชอบเวลาคนเข้ามาตีสนิทอ่ะ" คนตัวเล็กยิ้มอ่อน
และกระแอมในคอเพื่อแก้บรรยากาศอึมครึมระหว่างทั้งสอง "เห็นว่าเป็นน้องไอ้แคปมันหรอกนะ
ถึงเตือนไว้ก่อน ปกติพี่ชกไปแล้ว ฮะๆ"
     เทมส์หัวเราะแห้ง สาเหตุหนึ่งก็เพราะไม่อยากให้น้องรู้สึกแย่นั่นแหละ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะสงสัย
ว่าที่ตัวเองมานั่งทำอยู่ตอนนี้คืออะไรกัน เทมส์คนปกติคงหัวร้อนไปตั้งแต่คำถามที่สองแล้วด้วยซ้ำไป
แล้วนี่อะไร มานั่งรู้สึกผิดกับเด็กมันอีก
     "เอาจริงๆ เลยนะพี่เทมส์" มาร์คถือโอกาสจับมือบนไหล่ของตัวเองมาวางไว้บนโต๊ะ มือข้างขวาของเขา
กับมือข้างซ้ายของเทมส์ ที่สวมนาฬิกาแบบเดียวกันเป๊ะวางหราอยู่ระหว่างทั้งคู่
    "ผมอ่ะ อยากสนิทกับพี่มาก"
     "ฮะ?"
     "พูดไงดีอ่ะพี่...คืออย่างที่ผมบอกไงว่า พอรู้จักพี่แล้ว พี่ใจดี แล้วก็ตลกด้วย ผมชอบอยู่กับพี่อ่ะ มันสนุกดี"
มาร์คว่าพลางกลอกตาไปมาอย่างน่าเอ็นดู เทมส์กระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะมองหนีไปทางอื่น
     "แล้วผมอ่ะ พออยากสนิทกับใคร ก็อยากจะรู้เรื่องเค้าไปซะหมด ยิ่งกับพี่ ผมรู้สึกว่าผมมาช้าไปตั้งสองปี
ทั้งๆ ที่ก็เคยเจอกันมาก่อน แต่ผมกลับไม่ได้รู้จักพี่มาก่อน ก็เลยรู้สึกอยากรีบรู้จักพี่ให้มากๆ ชดเชยเวลาในมหาลัย
ที่เสียไปตั้งนาน แล้วจะได้มาเจอพี่ในห้องเรียนแบบนี้ ก็มีอาทิตย์ละครั้งเอง ผมเลยเล่นใหญ่ไปนิด"
     รอยยิ้มละลายใจสาวถูกส่งไปให้คนเป็นพี่ จนหน้าตี๋ๆ ของเทมส์เริ่มขึ้นสีชมพูขึ้นมา
     "แต่ถ้าที่ผมทำมันเร็วไป มันล้ำเส้นพี่ ผมก็ขอโทษนะครับ แต่ผมยืนยันเลยว่าผมไม่ได้อยากได้อะไรจากพี่
นอกจากได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของพี่เลย"
     ดวงตากลมสบดวงตาเล็กๆ ของอีกคน ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มกว้างเมื่อแววตาดุดัน หาเรื่องของเทมส์
ค่อยๆ หายไป และมีมุมเขินๆ ของเจ้าตัวออกมาให้เห็นแทน
     "อ...อืม ขอบใจนะที่เข้าใจ" เทมส์กระพริบตาถี่ๆ เมื่อทั้งสองเริ่มจ้องตากันนานกว่าปกติ
และหันหน้ากลับไปมองกระดานหน้าห้องที่ไม่มีอะไรฉายอยู่เลย
     "ก็อย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่นแล้วกัน เดี๋ยวเค้าจะเข้าใจผิดกันหมดว่านายกำลัง-"
     "จีบ"
     "ฮะ?" ใบหน้าตี๋ๆ หันขวับ พอปะเข้ากับรอยยิ้มน่าถีบบนมุมปากของรุ่นน้องก็ยู่หน้าลงทันที   
     "ก็เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าผมจีบไง พี่ไม่ได้จะพูดแบบนี้หรอ?"
     เทมส์ขมวดคิ้วและส่ายหน้ารัวๆ จนผมฟูๆ สั่นไปมา มาร์คหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง และคลี่ยิ้มกวน
    "โห เสียดาย ผมจะได้ตอบแบบหล่อๆ ว่าไม่ต้องห่วงครับ เพราะปกติผมก็ไม่ได้ทำแบบนี้กับใคร” หน้าหล่อๆ
เลยโดนฝ่ามือนิ่มดันไปครั้งหนึ่งเต็มๆ
     "เสือก กูกำลังจะพูดคำว่าเสือกต่างหาก โว้ะ" เทมส์ทำเสียงโมโห แต่บนหน้าจิ้มลิ้มก็ยังยิ้มแฉ่ง
     "เรื่องนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธครับผม" เสียงกวนๆ ของมาร์คเรียกกำปั้นบนต้นแขนไปแรงๆ อีกรอบ
จนเสียงร้องโอดโอยของร่างสูงโดนอาจารย์จิ๊ปากไปหนึ่งครั้ง
     "เออๆๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ ทำงานก่อนมะ"
     "ครับผ้มม" ทั้งสองหัวเราะคิกคัก เทมส์มองท่าทางกระดี๊กระด๊าของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายหัวกับความทะเล้นอย่างอดไม่ได้











ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #2.2
«ตอบ #6 เมื่อ01-08-2017 07:33:54 »

[ต่อ]




     "อาม่า สวัสดีครับ"
     "อ้าว อามาร์ค มาหาใครเนี่ย?"
     หญิงขราร่างท้วมในเดรสเสื้อยืดตัวโคร่งสีแดงยิ้มกว้างทันทีที่เห็นชายหนุ่มในชุดนิสิตเดินเข้าประตูกระจกของร้านมา
เสียงแหลมสูง (รู้เลยว่าหลานชายได้เสียงมาจากใคร) ร้องทักมาร์คอย่างคุ้นเคย
     "มาหาอาม่าไงครับ วันหยุดยาวไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึง"
     "แหม ลื้อนี่ก็ปากหวานจริงๆ อ้าว อาเทมส์มาพอดีเลย เนี่ย แฟนลื้อกำลังจีบอาม่า อาม่ากำลังจะหวั่นไหวแล้ว"
     หลานอาม่าในเสื้อยืดสีดำ ทับด้วยสูทลำลองสีกรมท่าที่เดินดื่มน้ำออกมาจากหลังร้านแทบสำลักน้ำในปาก
เพราะคำทักทายของย่า กับใบหน้าหล่อๆ ที่ช่วงนี้เห็นบ่อยยิ่งกว่าบุพการี
     ร่างสูง รีบปิดชวดน้ำ และชี้ฝาไปทางมาร์คด้วยสีหน้าขู่ "มึงมาอีกแล้วหรอ??"
     "ครับพี่ ผมคิดถึง"
     "คิดถึงพ่อมึงดิ”
    “ถ้าคิดถึงพ่อ ผมก็อยู่กับพ่อที่บ้านสิครับ”
    เทมส์กัดริมฝีปากล่างอย่างหงุดหงิด วางขวดน้ำลงบนเคาน์เตอร์หลังตู้โชว์นาฬิกา และหันไปทำปากเบะใส่อาม่า
     "บอกรอบที่ร้อยเลยนะอาม่า ไอ้เนี่ย ไม่ใช่แฟนเทมส์ ถ้าอาม่าหวั่นไหว อาม่าเอาไปเลยครับ มันโสด แต่กวนตีนมากด้วยนะ"
     "ไม่ใช่แฟน แล้วทำไมต้องมาหากันทุกวันเลยล่ะอาเทมส์? อาม่าไม่ใช่อาม่าใจแคบแบบในซีรี่ส์นะ แฟนกันก็บอกอาม่า
ยิ่งถ้าเป็นอามาร์ค อาม่าให้สามผ่านเลย" อาม่าว่าพลางหันไปยักคิ้วอย่างรู้กันกับมาร์ค ร่างสูงก็เอาแต่อมยิ้มกรุ้มกริ่ม
อยู่กับอาม่าแล้วมีคนช่วยดัน ไม่ต้องพูดอะไรเองเลยสักนิด เพราะอาม่าจัดการจับคู่ให้เสียเรียบร้อย หวานหมูไปอีก
     "ก็...เทมส์จะไปรู้เด็กมันเหรออาม่า มันเสนอหน้ามาเองทุกรอบอ่ะ เทมส์ชวนซะที่ไหน" เทมส์รีบขึ้นเสียงเถียงกลบเกลื่อน
หน้าแดงๆ ฟอร์มขี้เหวี่ยงขี้วีนยังคงอยู่บนใบหน้าอย่างเหนียวแน่น "ละมึงอ่ะมาร์ค คราวนี้มาทำไร ฝุ่นเกาะหน้าปัด ดินเข้าร่อง
สายเป็นรอย น็อตหลวม หรืออะไรครับ?"

     คำถามกวนๆ กับน้ำเสียงที่ปกติคงเรียกตีนจริงๆ ไปแล้วด้วยซ้ำเรียกเสียงหัวเราะคิกคักของอีกทั้งสองคนในร้านได้อย่างดี

     ก็เดี๋ยวนี้ มาร์คอัพเกรด เข้าพุ่งชนเสียยิ่งกว่าก่อน ด้วยการโผล่มาที่ร้านนาฬิกาของเทมส์ซะอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ทุกครั้งก็ต้องหาข้ออ้างมาให้เทมส์ช่วยดูนาฬิกา จนถ้าจะพังได้อีกรอบจริงๆ เทมส์คงจะขอยึดนาฬิกาคืนแล้ว ยิ่งเจ้าตัวชอบโผล่
มาหาที่ร้านแบบนี้ ก็เลยหยอดอาม่าผู้น่ารักได้ทุกวันจนสนิทสนมเหมือนหลานคนนึงไปแล้ว เคมีเข้ากันดีจนหลานแท้ๆ ชักจะอิจฉา
     "วันนี้ไม่ได้เอานาฬิกามาซ่อมครับพี่" เด็กหนุ่มยิ้มแป้น ก่อนจะชูถุงกระดาษสีเหลืองสลับแดงในมือขึ้นแกว่งไปมา
"ผมเอาของฝากมาให้"
     "ฮั่นแน่ะ ไหนๆๆ เอามานี่ซิ" ใบหน้ามุ่ยๆ เปลี่ยนมาแป้นแล้นทันทีที่เห็นโลโก้ร้านขนมร้านโปรดจากเมืองโอซาก้าบนถุง
มาร์ควางถุงลงบนเคาน์เตอร์กระจก ก่อนจะยืนมองคนเป็นพี่ที่หยิบขนมออกมาดูเหมือนเด็กๆ ไม่วางตา
     "ไปญี่ปุ่นมาไม่มีบอก จะได้ฝากซื้อของ...เออ แล้วรู้ได้ไงว่ากูชอบร้านนี้?"
     "พี่แคปบอกน่ะครับ ว่าปกติเวลาไปญี่ปุ่นพี่ชอบฝากพี่แคปเค้าซื้อ"
     "อ่ออออ สุดยอดไปเลยน้องรัก"
     "พอมีของโปรดมาให้นี่กลายเป็นน้องรักเลยหรอครับพี่เทมส์"
     "เยป"
     "งั้นกินช้าๆ นะพี่ พี่จะได้รักผมนานๆ"
     "ไอ้สัส" เทมส์เงยหน้าขึ้นมาเหวี่ยงใส่ตามสไตล์ ก่อนจะโดนอาม่าดีดต้นแขนไปครั้งนึง
     "ว่าน้องแบบนี้ได้ยังไงฮะ น้องซื้อของมาให้ต้องว่ายังไง อาเทมส์?"
     "อาม่าอ่ะะะ เออๆ ขอบใจมึง" แค่คำสั้นๆ นี่ก็ทำให้มาร์คยิ้มแก้มปริอีกครั้ง
    ถึงหลังๆ มาเทมส์จะเริ่มหยาบคายกับเขา สรรพนามพี่กับนายก็กลายเป็นกูกับมึง แต่มันทำให้รู้สึกสนิทสนมขึ้น
จนมาร์ครู้สึกว่ามันฟังเพราะกว่าเดิมซะอีก

     เป็นบ้าไปแล้ว นายอณิษฐ์

     "อย่าไปถือสาหลานอาม่าเลยนะอามาร์คนะ อาเทมส์ก็ปากแข็งแบบนี้แหละ จริงๆ น่ะขี้เขินจะตายไป”
หญิงแก่ว่าพลางมองหลานชายที่กำลังแกะห่อขนมเข้าปากอย่างเอ็นดู
     "ถึงอาเทมส์จะทำเป็นเก่งแบบนี้นะ สามสี่วันที่อามาร์คไม่มาน่ะ อาเทมส์ออกมานั่งชะเง้อคอ เฝ้าหน้าร้านทั้งวันเลยนา
ปกติวันหยุดเคยเข้าร้านมาช่วยงานซะที่ไหน"
     "โหย อาม่า ถ้าจะเผาขนาดนี้ เอาฟืนมาตั้ง เอาปลามาเผาด้วยเลยมั้ยครับ" หนุ่มหน้าตี๋โวยวายพลางบิดไหล่ไปมาเป็นเด็ก
ในปากยังเคี้ยวขนมไม่หมดด้วยซ้ำ
     "แล้วมึงอ่ะ ไม่ต้องยิ้มเลย ก...ก็เมื่อก่อนอ่ะกูยังเด็ก แต่ตอนนี้กูปีสี่แล้ว ต้องช่วยงานที่ร้านเป็นปกติมะ อาม่าพูดไปงั้นแหละ"
     "ครับพี่ พี่ว่าไงผมก็ว่างั้น" เสียงอบอุ่นแบบผู้ใหญ่ทำให้เทมส์สตั๊นไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเออออตาม
     "ว่าง่ายแบบนี้ก็ดี"
     "อาเทมส์ งั้นอาม่ากลับเข้าบ้านก่อนนะ" อาม่าว่าด้วยท่าทางร่าเริงผิดกับอายุเลยเลขแปด กับผมสีขาวบนศีรษะ
ก่อนจะลูบหลังหลานชายสองสามครั้ง และเดินกลับออกไปทางประตูทางเข้าหลังร้าน
     นี่แหละ อีกสาเหตุที่ทำให้มาร์คชอบมาหาเทมส์ที่ร้าน เพราะร้านนาฬิกานี้ ถึงจะดูเป็นแค่ตึกแถว คู่กับร้านขายของร้านอื่น
แต่ถ้าเลยเข้าประตูข้างหลังไป ก็จะเป็นบ้านของเทมส์พอดิบพอดี อาม่าเล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อนว่าตระกูลของเทมส์เป็นเจ้าของพื้นที่
แถบนี้ทั้งบล็อค เลยสร้างบ้านและจัดตึกแถวเอาไว้ริมถนนเพื่อความส่วนตัว และเอาไว้เปิดร้านของคนในครอบครัว อย่างตึกข้างๆ
ที่พี่อัพ พี่ชายคนโตของมาร์ค เคยมาเรียนภาษาญี่ปุ่นสมัย ม.ปลาย ก็เป็นของป้าเทมส์ด้วยเหมือนกัน

     ที่เค้าว่าเทมส์รวยติดอันดับท็อปๆ ของคนในรุ่นเลยก็คงจะจริง

     "มองอะไรของมึง?" เสียงแหลมๆ เข้ามาในโสตประสาท เรียกสติของมาร์คกลับเข้าร่างอีกครั้ง ร่างสูงเผลอยกยิ้มเมื่อรู้ตัว
ว่าเมื่อสักครู่นั่งจ้องนาฬิกาบนข้อมือเทมส์มาตลอด นี่ก็ชอบแอบมองมือขาวๆ จนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
     เทมส์ชักมือที่วางไว้บนตู้กระจกกลับไปกอดอก มืออีกข้างก็ยังถือขนมแผ่นเบ้อเริ่มไม่ปล่อย
     "มองนาฬิกาพี่ไง คิดไรเนี่ย?"
     "แล้วจะมองทำไม มึงเองก็มีนิ" ดวงตาตี่ๆ ยู่ลงจนกลายเป็นเส้นบางๆ ก่อนคนตัวเล็กกว่าจะยกมือขึ้นเสยผมที่วันนี้เซ็ตมา
เป็นทรงดูดี
     "ก็ผมไม่อยากเชื่อตัวเองอ่ะดิ ว่าพี่จะยังใส่อยู่"
     "ฮะ? แล้วทำไมต้องถอดด้วยอ่ะ?"
     "ก็ที่ผมยัดเยียดให้พี่เปลี่ยนสายกับผมไง คิดว่าพี่จะเปลี่ยนกลับตั้งแต่วันแรกเลยนะเนี่ย" มาร์คพูดเสียงนุ่มๆ ต่างจากเสียง
ประชดประชันที่ชอบใช้ ดวงตาสีเข้มเหลือบมองนาฬิกาของตัวเองบ้าง
    “อ้าว แล้วทำไมต้องเปลี่ยนด้วยล่ะ พูดแปลกๆ”
    เสียงเทมส์แผ่วลงไป เช่นเดียวกับใบหน้าตี๋ที่หลบตามาร์คไปทำเป็นจัดนาฬิกาในชั้นวางแทน คนตัวสูงกว่าทำได้เพียงยืน
มองอีกฝ่ายจากหน้าตู้กระจกเท่านั้น
    “พี่เทมส์ครับ”
    ดวงตาเล็กๆ เหลือบขึ้นมาจากชั้นนาฬิกา Swiss โดยที่มือยังคงเช็ดหน้าปัดนาฬิกาแก้มือว่างไปเรื่อยๆ
    “นี่ก็สามเดือนกว่าๆ แล้วนะพี่ ตั้งแต่ผมรู้จักพี่มา”
    “ที่นายตามตื๊อฉันมาว่างั้น”
    “ก็…ใช่ครับ” มาร์คหัวเราะแห้ง ตรงข้ามกับเทมส์ที่หยุดการกระทำทุกอย่างลง และวางนาฬิกาลงกับที่
ขายาวที่ย่ออยู่เมื่อสักครู่กลับมายืนตามปกติ ทำให้ทั้งสองที่ตัวสูงใกล้เคียงกัน อยู่ในระดับสายตาของกันและกันพอดี
    “เอาจริงๆ จากการกระทำออกนอกหน้าของผม พี่ก็คงพอจะดูออกอยู่แล้ว...แค่ผมไม่เคยพูดตรงๆ”
    “ว่ามึงจีบกูอยู่?”
    ตาโตๆ ของมาร์คถลึงจนตาเห็นตาขาว ใบหน้าหล่อๆ อ้าปากพะงาบๆ ทั้งที่รู้ว่าน่าจะได้คำตอบแบบนี้
แต่กลับพูดไม่ออกเสียเอง
    “โห่ ตื๊อหนักกว่ามึงกูก็เคยเจอมาแล้ว ทำไมจะดูไม่ออก ทำไม คิดว่ากูจะไม่รู้ งี้?”
    “ก…ก็ใช่ครับ เพราะทุกครั้งที่ผมพยายามแย๊บๆ พี่ก็จะดูหงุดหงิดๆ”
    “ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว ทำไมวันนี้ถึงกล้าพูดล่ะ?” เทมส์ถามเสียงเรียบ บนใบหน้าหล่อๆ ไม่ได้มีอารมณ์อะไรแสดงอยู่
นอกจากคิ้วหนาที่เลิกขึ้นอย่างสงสัยตามปกติ ร่างสูงพับแขนเสื้อที่ตกลงมาตอนจัดนาฬิกาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิด
ประตูบานพับข้างเคาน์เตอร์ และเดินออกมายืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายใกล้ๆ
    “เพราะตอนไปญี่ปุ่น ผมคิดถึงพี่ตลอดเลย”
    “ฮะ? เดี๋ยวๆๆ”
    “จริงๆ พี่” มาร์คหลุดยิ้ม ก่อนจะทำเป็นไอ และยกมือขึ้นมาปิดก่อนอีกฝ่ายจะอารมณ์เสียใส่เขา
    “ก็ก่อนหน้านี้ที่ผมตามๆ ตื๊อพี่อ่ะ ผมทำไปเพราะผมอยากรู้จักพี่ แต่พอได้ไปอยู่ห่างๆ ไม่ได้เจอพี่ แล้วผมคิดถึงพี่มากขนาดนั้น
ผมก็เลยมั่นใจว่า ความรู้สึกผมมีให้พี่แม่ง ไม่ใช่น้อยๆ แล้วว่ะ”
    มาร์คสังเกตเห็นหน้าสีชมพูๆ ของอีกคน แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มเสียจนเมื่อยหน้า
    “ผมว่าผมมั่นใจในความรู้สึกของผมมากๆ ผมก็เลยอยากจะมาแสดงให้พี่เห็นว่าผมจริงจัง” มาร์คตอบพลางสบตาเทมส์
ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน เทมส์ยืนกอดอกนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจ และมองไปทางอื่น
    “แปลว่าพี่ก็รู้มาตลอดเลยหรอ ว่าผมจีบ?”
    “ก็ไม่ตลอดหรอก กูเองก็ไม่แน่ใจ คิดว่ามึงแค่หยอดๆ เล่นมุขไปเรื่อย” ร่างสูงในสูทสีกรมท่าพิงตัวลงกับเคาน์เตอร์ไม้
มองทั้งสองล้วงกระเป๋า ส่วนตาเล็กๆ ก็มองปลายรองเท้าตัวเองอย่างหนักใจ
    “ปกติผมไม่ทำแบบนี้ให้ใครหรอกนะพี่ ถึงหน้าตา ท่าทางผมมันจะเหมือนแบบนั้นก็เถอะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม
ดวงตาคมมองใบหน้าด้านข้างอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปหา เพราะคิดว่า ณ เวลานี้ เทมส์คงต้องการระยะห่าง
    “จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้เฟรนด์ลี่หรอกนะ งานคณะผมก็ไม่ทำ รุ่นพี่ผมก็ไม่ค่อยยุ่ง...แต่เวลาผมจะจีบใครขึ้นมาอ่ะ
ผมเป็นคนที่รุกไม่ยั้ง แถมยังตื๊อหนักมากด้วย”
    “งั้นที่ว่าอยากเป็นเพื่อนกัน ก็คือ...”
    “ครับพี่ ผมจะจีบพี่ตั้งแต่แรกแล้ว”
    เทมส์หันหน้าขวับมาจ้องตามาร์คตอบ ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นสั่นริกด้วยความสับสน ปนโมโห ปนอะไรอีกมากมาย
ที่ตัวเทมส์เองก็ไม่เข้าใจ
    “ที่ผมชอบล้อพี่เรื่องนาฬิกา ก็เพราะมันเหมือนสัญลักษณ์ที่บอกว่า ผมได้ใกล้ชิดพี่เข้าไปอีกขั้นนึง มันเหมือนสิ่งที่มีแต่ผม
ที่รู้ความหมายจริงๆ ของมัน แล้วยิ่งมีแต่ผมกับพี่ที่ใส่มัน ผมก็เลยยิ่งชอบมอง”
    พอถึงคราวจะพูด ความในใจของมาร์คก็เทลงมาหมดกระจาด สิ้นคำสุดท้าย ใบหน้าหล่อก็ได้แต่มองลงต่ำ
เหมือนจากหนักอก ตอนนี้มาร์คเปลี่ยนไปหนักตาแทน เพราะไม่กล้าสบตาเทมส์เลยแม้แต่นิด
    “พี่อาจจะโมโหผม ผมก็ไม่ว่านะ ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่ชอบให้คนมาจีบ ไม่ชอบได้รับความสนใจ
ผมก็เลยไม่กล้าบอกพี่ตรงๆ เลยว่าผมจีบ แต่ผมก็ห้ามไม่ให้ตัวเองคอยวนเวียนมาหาพี่แบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน”
    มาร์คยังคงก้มหน้าก้มตาพูดความในใจออกไปไม่หยุด จนทำให้ร่างสูงไม่ทันสังเกตอีกฝ่ายที่หมุนตัวมาใช้ลำตัวด้านข้าง
พิงเคาน์เตอร์แทน เพื่อให้มองเห็นเขาถนัดๆ
    “แต่ ณ ตอนนี้ ผมคิดว่าความรู้สึกของผมถลำลงมาลึกพอสมควรแล้ว และถ้าทั้งผม ทั้งพี่ ยังไม่ชัดเจนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
กว่าจะถึงจุดที่ควรจะหยุด ผมก็คงจะหยุดไม่ได้แล้วอ่ะพี่ ผมก็กลัวจะเจ็บ...ผมเลยอยากมาคุยกับพี่ ถ้าพี่ไม่โอเค ผมก็จะได้
หยุดซะตอนนี้เลย”
    มาร์คพูดจบ ความเงียบกับเสียงหึ่งๆ ของแอร์ก็เข้ามาแทนที่ คนเป็นน้องก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย
ไม่สิ แม้แต่จะส่งเสียงอะไรก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ คนเป็นพี่ก็จมอยู่ในความคิดที่ตีกันจนยุ่งของตัวเอง

    “มึงนี่มัน...น่าทึ่งเนอะ”
    “ฮ…ฮะ? อะไรนะพี่?”
    คำตอบสั้นๆ จากปากเทมส์ เรียกใบหนาขาวๆ ให้เงยขึ้นมาได้ในที่สุด มาร์คแอบโล่งอกเพราะเทมส์ไม่ได้ขมวดคิ้วเป็นปม
หรือแสดงอาการโกรธอย่างที่คิด แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าตี๋ๆ ก็ไม่ได้ยิ้มอยู่เหมือนกัน มีแต่หน้านิ่งๆ ที่เจ้าตัวชอบทำเวลา
อยากอยู่คนเดียวในคณะเท่านั้น
    “ขนาดมึงรู้มาตลอดว่ากูไม่ชอบให้คนมาสนใจ มาตามตื๊อ...มึงก็ยังหน้าด้านหน้าทนมาตาม มาตื๊อกูได้เป็นเดือนๆ”
    เทมส์หัวเราะหึ ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกหลวมๆ
    “ยิ่งวันนี้...มึงก็กล้ามาหากู มาสารภาพกับกูถึงที่ บอกตรงๆ เลยว่ากูพูดไม่ออกว่ะ”
    มาร์คลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคออันแห้งผาก เทมส์ยกมือขึ้นเสยผมหน้ามาหนึ่งครั้งและหัวเราะแห้ง
ร่างสูงเดินหมุนไปมา พลางใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง
    “เอาจริงๆ กูก็โมโหนะเว่ย ที่มึงมาตามจีบกูทั้งๆ ที่กูไม่ชอบ...แล้วนี่มึงก็เป็นผู้ชาย แถมมึงยัง...ประเจิดประเจ้อ
แล้วก็ขี้ตื๊อเหี้ยๆ กูไม่ชอบที่มึงมาตีเนียน ตีสนิทกับกู อยากเป็นเพื่อนกับกู ทั้งๆ ที่จริงๆมึงต้องการอย่างอื่น
ซึ่งกูก็เคยถามมึงแล้วว่ามึงต้องการอะไร ถูกป่ะ? แล้วมึงตอบกูว่าไง? ว่าอยากรู้จักตัวตนของกู แล้วนี่อะไร?”
    เสียงแหลมร่ายยาวจนลืมหายใจ ก่อนจะหยุดหอบเองท้ายประโยค ผมที่เซ็ตมาเป็นทรงหล่อถูกเสยครั้งแล้วครั้งเล่า
จนหน้าม้าตรงๆ เริ่มแตก ส่วนมาร์คก็ยืนมองอีกฝ่ายเงียบๆ
    “แต่กูก็โมโหที่กูเองไม่เคยโกรธมึงลงได้จริงๆ เลยว่ะ แม่ง”
    ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาหนังสีครีมริมผนังร้าน ก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ และเงยหน้าขึ้น
มองหน้ามาร์คตรงๆ
    “กูโกรธมึงไม่ลง...เพราะกูรู้มาตลอดเลยว่าที่มึงทำ ที่มึงต้องคอยเปลี่ยนเรื่อง แกล้งทำเป็นเล่นๆ
ก็เพราะความเรื่องมาก ขี้วีนของกูทั้งนั้น เพราะมึงให้เกียรติความรู้สึกกู มึงให้ระยะห่าง ให้เวลากู
ถึงกูจะดูไม่ออกว่ามึงจริงใจรึเปล่าก็เถอะ”
    มือขาวยกขึ้นถูหน้าตัวเองไปมาพลางสบถเบาๆ มาร์คยิ้มบางๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหยุดยืนตรงหน้าโซฟา
ที่เทมส์นั่งอยู่ คนแก่กว่าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองตาเขา แววตาดุๆ ที่เคยเห็นแทบจะไม่มีเหลือให้เห็นอีกแล้ว
    “ผมจริงใจจริงๆ พี่”
    “มึงก็แบบเนี้ย แล้วใครจะไปโกรธมึงลงวะ” เทมส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ส่วนมาร์คก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
อีกฝ่าย ที่ไม่ได้ขยับตัวหนี
    “ที่มึงถามว่ากูโอเคมั้ย ก็ว่ากูคงยังตอบมึงไม่ได้ว่ะ ก่อนหน้านี้ที่กูไม่ได้ว่าอะไร เพราะกูกลัวกูจะเป็นฝ่ายคิดมากไปเอง
แต่พอตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยน หน้ากูยังชาอยู่อ่ะ กูไม่รู้กูจะมองหน้ามึงยังไงต่อไปเหมือนกัน”
    “ครับพี่ ผมเข้าใจ”

    ความเงียบก่อตัวอีกครั้งในระยะห่างไม่กี่นิ้วระหว่างทั้งสองคน

    “แต่จากการที่กูไม่เคยผลักไสมึงเลย...แล้วก็ไม่เคยถือเรื่องที่มึงชอบแซวเรื่องนาฬิกา...มึงก็น่าจะพอเดากูออกนะ”

    เทมส์พูดเสียงตะกุกตะกักจนมาร์คแทบฟังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าหูเขายังไม่บอดล่ะก็ สิ่งที่เพิ่งได้ยินมันทำให้มาร์ค
อยากจะลุกขึ้นวิ่งรอบกรุงเทพฯ เลยทีเดียว

    “กูขอเวลาซักหน่อย แล้วกูจะให้คำตอบมึงอีกทีว่ากูโอเคมั้ย...แต่ถ้าถามว่ามึงควรจะหยุดมั้ยอ่ะ”

    เทมส์สูดหายใจเข้าปอด ดวงตาตี่ยังไม่มองมาทางคนที่คุยด้วยเหมือนเดิม



    “ก็อย่าเพิ่งแล้วกัน"




TBC.

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มันก้อออกจะหวาน ๆ พี่เทมส์น่ารัก  :pig4:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เห็นชื่อเรื่องแล้วกดเข้ามาอ่านทันทีอยากบอกว่าเราก็เป็นคนชอบไม่ใช่สิรักกาแฟเลยล่ะภาษาบ้านๆก็เสพติดนั่นแหละยิ่งตอนนี้ติดใจกับรสชาติของmacchiatoดื่มได้ทุกวันมาเป็นอาทิตย์แล้วยิ่งมาอ่านเรื่องนี้ก็บอกได้เลยว่าตกหลุมรักน้องมาร์คหมดใจหวังว่าน้องจะสมหวังนะถึงเราจะรักรสชาติขมๆของกาแฟแต่เราไม่ชอบเรื่องรักขมๆหรอกนะออกรสหวานๆหอมๆยิ่งดีจะรออ่านตอนต่อไปแน่นอน

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #3
«ตอบ #9 เมื่อ03-08-2017 23:12:39 »

MACCHIATO
Marking you as my own
CHAPTER 3


BGM








     "พี่เทมส์ หวัดดีครับ"

     "อืม ว่าไง"

     เทมส์เงยหน้าจากหนังสือวิชา International Marketing มามองหน้าอีกคนตอบนิดนึง
ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสืออย่างเคร่งเครียด

     มาร์คยังคงมีรอยยิ้มแป้นอยู่บนใบหน้า ร่างสูงในเสื้อกันเปื้อนสีดำวางแก้วพลาสติกที่มีโลโก้ร้าน
Vaniché ลงบนโต๊ะไม้ทรงกลม ก่อนจะเอาทิชชู่มาบรรจงห่อรอบแก้วอย่างคล่องแคล่ว

     "วันนี้ผมชงมาให้เข้มพิเศษเลยนะครับ เห็นเมื่อคืนอ่านหนังสือโต้รุ่งเลย"

     "ขอบใจมาก ว่าแต่มึงเหอะ ไม่อ่านหนังสือหรอ อีกเดือนเดียวจะมิดเทอมละนะ"

     มาร์คส่ายหัว "ยังไม่เริ่มเลยพี่"

     "ปีสองมันยังมีโอกาสเก็บเกรดนะเว่ย แถมยังมีวิชาบัญชีอีก เก็บไปอ่านอาทิตย์ก่อนสอบระวังไฟลนตูด"

     "พอดีวันนี้พี่อัพออกไปธุระ ผมเลยต้องมาชงกาแฟแทนอ่ะพี่ ไม่ว่างอ่าน" มาร์คทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
กับโซฟาที่เทมส์นั่งอยู่ ก่อนจะประสานมือลงบนโต๊ะ และเกยคางลงไปอีกที

     เทมส์เองก็เพิ่งรู้หลังจากอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเริ่มมานั่งอ่านหนังสือสอบที่ร้านบ่อยๆ นี่แหละ ว่าเห็นมาร์ค
ร่อนไป ร่อนมา ไม่ค่อยดูเป็นงานเป็นการ แต่ในพี่น้องสี่คน มาร์คถือว่าฝีมือทางบาริสต้าแข็งพอๆ กับอัพเลยทีเดียว
หลังๆ ที่อัพต้องออกไปทำธุระบ่อยๆ มาร์คเลยต้องโดดเรียนมาเฝ้าร้านแทนบ่อยครั้ง

     "แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พรุ่งนี้พี่อัพกลับเข้าร้าน ผมกะจะโดดเรียนมาอ่านอยู่ละ วิชา Business Econ
ไม่ยากเท่าไหร่ อาจารย์ก็ไม่เช็คชื่อ แถมสอนไม่รู้เรื่อง"

     "ระวังเห๊อะ วิชาเนี้ย เห็นคนพูดแบบนี้ทีไรก็แดกเอฟ แดกซีกันหมด อย่าประมาทนะมึง กูว่าเข้าคลาส
ไปฝึกทำโจทย์หน่อยก็ดี"

     "โหย บ่นเป็นพ่อเลย ทีพี่แคปยังสนับสนุนให้ผมโดดเลยนะพี่"

     "ก็พี่ชายแท้ๆ ของมึงอ่ะแหละ ที่แดกซีไปเต็มๆ ไม่บวกด้วย"

     "แล้วพี่อ่ะ?"

     "เอดิ ไม่เห็นต้องถาม"

     เทมส์เงยหน้ามายิ้มแบบอาแป๊ะพลางยักไหล่ใส่คนตัวสูง ก่อนจะก้มกลับไปอ่านหนังสืออีกรอบ
ส่วนมาร์คก็ไม่พูดอะไรต่อ และปล่อยให้เทมส์อ่านหนังสือเตรียมสอบควิซของวันพรุ่งนี้ต่อไป

     ดวงตาคมซุ่มมองสันจมูกกับแพขนตาบางๆ และผิวขาวๆ ของคนตรงหน้าอยู่คนเดียวเงียบๆ
ใบหน้าหล่อเหลาก็อมยิ้มอย่างไม่เชื่อตัวเองว่าทั้งสองมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

     หลังจากวันนั้นที่เขาบุกไปสารภาพความในใจกับเทมส์ถึงร้าน แถมพกตัวประกันเป็นขนมถุงยี่ห้อโปรด
ไปด้วยเผื่อแห้ว ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว หลังจากนั้นดูเหมือนเทมส์จะลดระดับกำแพงที่มีกับเขาลงไปอีกหลายระดับ
ถึงความกวนตีนจะยังมีอยู่มาก และเจ้าตัวยังคงรักษาระยะห่างกับเขาต่อหน้าคนอื่น แต่เวลาอยู่ด้วยกันแค่สองคน
เทมส์ก็เปิดเผยกับเขามากขึ้นเยอะ

     ที่สำคัญคือทั้งเป็นห่วงเป็นใย และน่ารักกับเขามากขึ้นเป็นกอง

     อย่างที่หอบหนังสือมาอ่านเป็นเพื่อนเขาที่ร้านทุกวันนี่เป็นต้น




     กริ๊ง~



     "โอ๊ะ สวัสดีครับพี่"

     เสียงเจื้อยแจ้ว กับเงาที่หายไปจากอีกฝั่งของโต๊ะของร่างสูงทำให้เทมส์แอบเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าหนังสือ

     ภาพที่เทมส์เห็น คือมาร์คที่กำลังรับกองหนังสือจากมือผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาในร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แถมยังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม

     "วันนี้มาสายนะครับเนี่ย"

     "ฮะๆ พอดีเมื่อเช้าเข้าไปประชุมที่บริษัทมาค่ะ"

     "พี่อยู่บริษัทด้วยหรอครับ? ผมคิดว่าพี่ทำฟรีแลนซ์ซะอีก"

     "ค่ะ ก็เป็นบริษัทที่รับงานมา นัดประชุมแบ่งงาน แล้วเราก็แยกย้ายกันทำน่ะค่ะ กับเข้าไปอัพเดทงานกัน
อาทิตย์ละครั้ง"

     "โหหหห รู้จักพี่มาก็ตั้งสองปี ผมไม่ยักเคยรู้เลยนะเนี่ย"

     มาร์คยิ้มหวานก่อนจะวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะไม้ที่มุมของร้าน มุมประจำของลูกค้าสาวในเสื้อยืดสีขาว
กับกางเกงยีนส์ขาสั้น

     "ถ้ามาร์คจะเรียนต่อ หรือทำงานด้านโฆษณา มาร์คไปศึกษาเรื่องพวกนี้ดูก็ดีนะ พี่ว่า มันมีงานหลายแขนง
แล้วก็มีงานหลายแบบด้วย เดี๋ยวนี้หลายๆ บริษัทก็ตั้งเป็นแบบไม่มีออฟฟิศ แล้วก็นัดประชุมตาม co-working space
เอา หรือจะไปทำเอเจนซี่ไปเลยก็จะอีกแบบ แล้วแต่เราชอบ"
     "ครับพี่ ถ้ามีอะไรจะปรึกษาผมจะรีบมาถามพี่เลยนะครับ พี่ห้ามรำคาญผมนะ"

     มาร์คย่อตัวลงเกาะขอบโต๊ะและทำตาแป๋วเหมือน Puss in Boots ใส่ลูกค้าสาวอย่างออดอ้อน

     "แค่ก แค่ก แค่ก"

     เสียงไอของบุคคลที่สามของบทสนทนาดังขึ้นจากโต๊ะกลมกลางร้าน ลูกค้าประจำของร้านสะดุ้งเล็กน้อย
ก่อนจะหันไปมองลูกค้าใหม่อีกคนที่หลังๆ มาเห็นหน้ากันทุกวัน และยิ้มแห้งๆ ให้อีกฝ่าย

     มาร์คยกยิ้มมุมปากอย่างกรุ้มกริ่ม ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนและหันไปก้มตัวลงกระซิบข้างหูลูกค้าสาว

     "ผมต้องไปดูแลเค้าก่อนนะครับ ลูกค้าคนพิเศษ"

     อีกฝ่ายก็หลุดหัวเราะคิกคัก ใช่ว่าเธอจะไม่รู้เรื่องเทมส์ที่มาร์คตามจีบมาตลอดสามเดือนนี้
เรียกว่ารู้ดีเลยจะดีกว่า เพราะมาร์คมักจะมานั่งคุยกับเธอตอนที่ร้านว่างเสมอๆ และประเด็นที่มักมาปรึกษาเธอ
ก็คือเรื่องงานโฆษณา กับเรื่องคนที่กำลังจีบนี่แหละ

     "คนนี้สินะคะ ที่บอกว่าจีบ เลยว่าล่ะเห็นมาทุกวันเลย"

     เธอกระซิบกลับเบาๆ ไม่ให้เทมส์ที่อยู่อีกฝั่งของร้านได้ยิน ส่วนมาร์คก็ยิ้มหวานและพยักหน้ารับ
จริงๆ เธอก็แอบสังเกตมานานแล้วว่ามาร์คสนิทกับลูกค้าคนนี้เป็นพิเศษ แต่ด้วยความขี้อ้อนกับรุ่นพี่ของมาร์ค
มันทำให้เธอเองก็ไม่แน่ใจ

     "งั้นรีบไปเลยค่ะ เดี๋ยวเค้าโมโหไม่รู้ด้วยนะ...นี่ แล้วอย่าให้เค้าไม่ชอบพี่ไปอีกคนนะ"

     พี่สาวกระซิบแหย่ ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะอีกระลอก

     ส่วนพี่ชาย พอมาร์คหันกลับไปยิ้มแฉ่งให้เข้าหน่อย ก็ตีหน้าตึงและหันหน้าหนีไปอีกทางทันที

     "หึงผมหรอพี่?"

     "เพ้อเจ้อละ"

     พอเห็นหน้าเก๊กๆ กับได้ยินเสียงแหลมๆ ที่ขึ้นเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว มาร์คก็มีแต่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายต่อ
ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเทมส์ กอนจะยื่นนิ้วชี้ไปแปะตรงหว่างคิ้วที่ขมวดเล็กน้อง จนหัวคิ้วหนาค่อยๆ
คลายออกจากกัน

     "ผมเป็นไบก็จริง แต่ผมไม่จีบใครพร่ำเพื่อนะ และตอนนี้ผมก็จีบพี่คนเดียวด้วย"

     พอเห็นอีกฝ่ายยังตีหน้านิ่งอ่านหนังสือไม่สนใจ มาร์คก็ลุกขึ้นและเดินอ้อมมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆกับคนตัวสูงแทน
มือใหญ่วางลงบนบ่ากว้างและบีบเบาๆ สองครั้ง

     "พี่คนนั้นอ่ะ เป็นลูกค้าประจำที่ร้านมาสองปีแล้ว ผมเลยสนิทกับเค้าเหมือนพี่สาวคนนึง แต่ว่าแค่นั้นจริงๆ นะครับ
ไม่เคยจีบเลย"

     ใบหน้าขาวๆ เกยลงบนไหล่อีกฝ่ายอย่างน่ารัก เทมส์หันหางตามองตาแป๋วๆ บนไหล่ของตน ก่อนจะสะบัดเบาๆ
และเอนตัวหนี

     "โอ้ย ออกไปๆๆ กูจะอ่านหนังสือ"

     มาร์คพยักหน้าและตอบ คร้าบๆ ก่อนจะลุกไปต้อนรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่พอดีที่หน้าประตู

     เสียงคุยเรื่อยเปื่อยอย่างเป็นมิตรของมาร์ค ที่ดังปนกับเพลงในร้านอยู่เรื่อยๆ ทำให้สมาธิของคนที่ทำเป็นอ่านหนังสือ
ฟุ้งซ่านไปหมด จนเจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวเองอ่านย่อหน้าเดิมไปแล้วสามรอบ





     จะเก๊กไปได้ถึงไหนกันเชียว




______________________



     


     "นะครับพี่เทมส์ ผมขอ"

     "บอกว่าไม่ให้ไง"

     เสียงสั่นๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง กับเสียงหงุดหงิดๆ ของเทมส์ดังแทรกเข้ามาถึงหูมาร์คที่กำลังเดินถือ
จานข้าวกระเพราไข่ดาวออกมาจากประตูโรงอาหาร ร่างสูงหยุดชะงักทันที ส่งผลให้ภูมิที่เดินก้มหน้าตามมา
แทบทำข้าวในจานตัวเองกระฉอกลงเสื้อสีขาวของเพื่อนสนิท

     "เห้ย มึงจะหยุดทำไมวะ"

     "เงียบเดี่ยวดิมึง"

     มาร์คชูมือข้างหนึ่งขึ้นข้างตัวหยุดปากภูมิได้ทันเวลาก่อนเจ้าตัวจะบ่นพอดิบพอดี ร่างสูงหมุนตัวจากที่จะเดินไปนั่งโต๊ะอีกฝั่งของตึก
เปลี่ยนเป็นเดินไปตรงกลุ่มโต๊ะตรงหน้าลิฟต์ ที่ตอนนี้มีคนนับสิบยืนล้อมดูอะไรบางอย่างกันอยู่

     "ให้เค้าไปเหอะเทมส์ จะถืออะไรขนาดนั้น"

     เสียงตะโกนดังมาจากผู้ชายคนหนึ่งจากแถวหลัง ตามด้วยเสียงโห่ของคนอื่น ที่เสียงจิ๊ปากกับเสียงก่อนด่าของเทมส์ก็ไม่พอ
จะทำให้มันหยุดลงได้

     "นะครับพี่ ผมก็โดนเค้าสั่งมาอีกที"

     เด็กนักศึกษาปีหนึ่ง (ดูจากเนคไทสีดำที่คอ) ที่ยืนอยู่กลางทางเดินระหว่างโต๊ะ และในวงล้อมของผู้คนในและนอกคณะกับเทมส์
ก้มหน้าพูดเสียงสั่น คนเป็นรุ่นพี่ข้างหน้าปากสั่น แถมยังกำปั้นแน่น พร้อมจะต่อยหน้าเขาทุกขณะ แต่รุ่นพี่จากชมรมบาสที่ยืนมองเขาอยู่
ในฝูงชนก็ขยับปากมุบมิบว่า ถ้ามึงไม่ได้มึงตาย ถ้ากลับไปชมรมมือเปล่าคงโดนหมาหมู่ เขาจึงยอมมาตื๊อพี่ชื่อเทมส์นี่ดีกว่า แต่พอได้มา
ขอไลน์เทมส์อย่างที่โดนสั่งจริงๆ เขาถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าเองก็น่ากลัวไม่ใช่น้อยๆ ผิดกับหน้าตี๋ ดูจุ๋มจิ๋มนี่ลิบลับ

     "ไอ้กันต์สั่งสินะ"

     เทมส์ถามเสียงเหวี่ยงเต็มทน และตวัดตาดุๆ ไปทางเจ้าของชื่อที่ยืนยิ้มหวาน แต่หากแววตากลับดุดันไม่แพ้กันใส่เขาอยู่
ส่วนรุ่นน้องที่น่าสงสารก็ยืนพยักหน้าหงึกๆ

     กันต์ ที่พูดถึง เท่าที่มาร์คพอจะรู้ คือรุ่นพี่ปีสี่ที่เคยพยายามจีบเทมส์เมื่อตอนทั้งคู่อยู่ปีหนึ่ง ตื๊ออยู่เกือบปี ทั้งๆ ที่เทมส์
แสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าไม่ชอบขี้หน้า จนโดนเทมส์หักหน้าด้วยการด่ากราดกลางโรงอาหารตอนก่อนสอบไฟนอล
เลยยอมหยุด แต่แล้วก็มักจะหาวิธีแกล้งขาให้ได้เวลามีโอกาส หมอนี่จึงเป็นสาเหตุหลักๆ ที่เทมส์หลีกเลี่ยงกิจกรรมทุกอย่าง
เพราะกันต์เป็นถึงหัวกิจกรรมของรุ่นอีกด้วย

     "ถ้าฉันไม่ให้ นายก็จะโดนพวกนั้นเล่น ใช่มั้ย?"

     "ครับ"
     
     "แล้วจะอยู่ไปทำไมวะ ชมรมห่าเหว"

     "แหม ทำไมโมโหแล้วยังน่ารักอยู่เลยวะ"

     กันต์ยกแขนขึ้นกอดอกและยิ้มเยาะเทมส์ที่ทำได้แค่ยืนส่งสายตาขู่มาให้ตนเอง

     นี่แหละ จุดอ่อนของเทมส์ การเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ แค่สร้างสถานการณ์ให้คนเข้ามามุงเยอะๆ
จากคนที่พร้อมจะหาเรื่องทุกๆ คนที่ขวางหน้าก็กลายเป็นแมวเชื่องๆ ตัวนึง ที่ทำได้แค่กำปั้นจนมือซีด แต่แรง
จะยกมันขึ้นต่อย หรือแค่จะยกขาเดินมาหาเขายังไม่มี

     ร่างสูงในชุดนิสิตปล่อยมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงสบายๆ พลางก้าวขาออกเพื่อเดินไปหาเหยื่อ แต่ไม่ทันจะได้ทิ้งน้ำหนักลงเท้าหน้า
ก็โดนมือคนข้างหลังจับไหล่และดันจนเซลงไปทับเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม

     "อุ่ย โทษครับพี่"

     มาร์คยกมือข้างที่ไม่ได้ถือจานข้าวขึ้นทำท่าไหว้และทำเสียงนอบน้อม ตรงกันข้ามกับใบหน้าหล่อๆ ที่ยิ้มยิงฟันขาว
ร่างสูงหันไปทางเทมส์ ก่อนจะเดินไปวางจานลงบนโต๊ะว่างๆ กลางวงไทยมุง และนั่งลงหน้าตาเฉย

     "นี่มารอดูผมกินข้าวกันหรอ? รู้นะว่าหล่อ แต่ผมเขิน"

     ร่างสูงกระพริบตาปริบๆ และส่งสายตาแป๋วให้คนรอบข้างที่ยืนกระพริบตาปริบๆ มองเขาอึ้งๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     "เห้ย น้องแคปใช่ป่ะ? ตรงนี้เค้าคุยกันอยู่ว่ะ ถ้าจะมายุ่งก็ออกไปก่อนจะมีเรื่องดีกว่า"

     กันต์ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหลังจากกลับมายืนปกติ และจัดการเสื้อยับๆ บนตัวเรียบร้อย ร่างสูงเจ้าของใบหน้าดุดัน
ยกมือจัดผมยุ่งให้เข้าที่ พลางเดินเข้ามายืนอีกฝั่งโต๊ะกับมาร์ค

     มาร์คกลืนข้าวลงคอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อใช้ส่วนสูงที่มากกว่าสองเซนต์ข่มนักบาสที่ว่าโคตรสูง และเดินไปหาเทมส์แทน
ไม่พูดอะไรตอบคนตรงหน้าเลยสักคำ ซึ่งก็ยั่วน้ำโหกันต์ได้ไม่น้อย

     "นี่นาย!"
     "เกิดไรขึ้นอ่ะพี่"

     มาร์คแทรกตัวเข้าไปยืนระหว่างเทมส์กับรุ่นน้องปีหนึ่ง ทำให้ทั้งสองยืนตัวแทบชิดกัน มืออุ่นจับใบหน้าขาวๆ
ให้มองมาทางเขา แทนที่สายตานับสิบคู่ที่ทำให้เทมส์ตัวสั่นอย่างที่เป็นอยู่

     "ก็น้องเนี่ย โดนไอกันต์สั่งให้มาขอไลน์กู แต่ไม่มีอะไรมากหรอก"

     เทมส์ตอบเสียงเรียบ พลางปัดมือมาร์คออกเบาๆ ดวงตาเล็กหลีกเลี่ยงที่จะไม่สบตามาร์คเลยด้วยซ้ำไป

     "อ้ออออ มาร์ค อย่าบอกนะว่าคนที่เค้าว่ากันว่าช่วงนี้ตามจีบ ตามตื๊อไอเทมส์แจ คือนายเอง"

     กันต์แกล้งถามเสียงดัง แถมยังย้ำทุกๆ คำอย่างชัดเจน และเสียงซุบซิบของทุกคนรอบข้างก็ดังหึ่งตามมาทันที
อย่างที่คาด

     "เชี่ย แม่ง"

     มาร์คได้ยินเทมส์สบถกับตัวเอง ใบหน้าตี๋หลับตาและก้มลงเพื่อหนีจากสายตาทุกๆ คนรวมถึงคนตรงหน้า
คิ้วหนาขมวดแน่น พลางฟันขาวก็กัดริมฝีปากล่างอย่างอัดอั้น

     "ทำมาเป็นรับบทพระเอก ที่แท้นายก็ไม่ต่างอะไรกับฉันนี่หว่า...โถ สภาพไม่ต่างจากฉันตอนปีหนึ่งเลย"

     กันต์หัวเราะและปรบมือแปะๆ ขายาวพาตัวเองมายืนห่างจากทั้งสองไปไม่กี่ก้าว พลางโบกมือไล่รุ่นน้อง
ให้ออกไปจากวงได้

     "แต่ฉันจะเตือนไว้เลยนะ ไอเทมส์เนี่ย มันก็เก่งแบบนี้ล่ะ ให้ความหวังชาวบ้าน แล้วสุดท้ายก็มาหักหน้าเขา
โอ้โห วันนั้นที่โดนน้ำแดงแมงลักราดหัว ฉันยังจำติดตา จริงมั้ยเทมส์?"

     ร่างสูงเอี้ยวตัวมองผ่านตัวมาร์คไปหาเทมส์ที่ส่งสายตาโกรธกลับมาและขยับปากพูดคำว่า 'ค*ย' ตอบ
เสียงทุ้มหัวเราะร่า

     "แต่เท่าที่ผมรู้เนี่ย พี่เทมส์เค้าปฏิเสธพี่ไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ? พี่นั่นแหละที่ตามรังควานไม่หยุด"
     
     มาร์คแสยะยิ้มร้าย ตรงกันข้ามกับยิ้มสดใสๆ ซึ่งแค่นั้นก็น่ากลัวพอจะทำให้คนรอบๆ ก้าวขาออกห่างไปคนละก้าวสองก้าว

     "แล้วที่พี่ว่าผมกับพี่เหมือนกันเนี่ย ผมว่าพี่น่าจะเข้าใจผิดอะไรไปนิดนึงนะครับ"

     ร่างสูงว่า พลางก้าวขาไปพากันต์ช้าๆ ทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน

     "ใช่ ผมตามจีบพี่เทมส์มานานแล้ว ใครยังไม่รู้ก็รู้ไว้ซะว่าผมเป็นไบ ผมไม่อายด้วย"

     ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนมายิ้มหวาน แต่หากในแววตาสีน้ำตาลเข้มกลับดูเย็นชา ประชดประชัน

     "และผมจะบอกไว้เลยว่าพี่เทมส์ไม่ได้ปฏิเสธผม เพราะผมให้เกียรติเค้า ผมไม่ล้ำเส้นเค้า
และถ้าวันนึงพี่เค้าจะผลักไสผม ผมก็ยินดีจะหยุด ผมไม่เหมือนพี่เลยซักนิดครับ พี่กันต์"

     มาร์คหันกลับไปสบตา และยิ้มให้เทมส์ที่ยืนมองหน้าเขานิ่ง ก่อนจะหันกลับมามองหน้าเหวอๆ ของกันต์

     "พี่เทมส์เค้าก็คนคนนึงเท่านั้นล่ะครับ มีแต่คนแบบพวกพี่นั่นแหละ ที่พยายามยัดเยียดภาพลักษณ์แย่ๆ
ให้เค้า แค่เพราะตัวเองจีบเค้าไม่ติด"

     "ปากดีนักนะมึง"

     กันต์สวนเสียงดังลั่น พลางหอบเสียงดังอย่างไม่พอใจ บรรยากาศครุกรุ่นทำให้คนบางคน
กลัวลูกหลงจนเดินหนีออกไป ส่วนหลายๆ คนที่เหลือก็ยังลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อไป

     "แล้วมึงแน่ใจได้ยังไง ว่าเทมส์มันไม่ได้ปฏิเสธมึง? ไม่ใช่ว่ามึงเองก็ดีแต่ปากนะเว่ย"

     "แน่ใจสิครับ"

     มาร์คยกยิ้มกว้าง ก่อนมือขวาของร่างสูงจะคว้าข้อมือซ้ายของเทมส์ขึ้นมาโชว์ต่อหน้าฝูงชน

     นาฬิกาที่เหมือนกันตั้งแต่สายยันหน้าปัดลอยเด่นหรา เรียกเสียงฮือฮาจากกลุ่มคนจากทุกสารทิศ

     "นี่คือตัวแทนของหัวใจของผมที่ให้พี่เทมส์มาตั้งแต่แรกที่ผมจีบ และพี่เทมส์เองก็ไม่เคยถอดมันเลย
ตลอดสี่เดือน ถึงพี่เทมส์จะต้องการเวลาทบทวนตัวเองอีกซักกี่เดือนถึงจะยอมรับผมจริงๆ แต่ผมรู้แค่พี่เขา
ไม่ได้รังเกียจความรู้สึกของผมก็พอแล้ว”

    มือที่กุมข้อมือไว้เปลี่ยนมาประสานนิ้วกับมือขาวแทน

     "และผมก็จะไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับคนที่ผมชอบทั้งนั้น"

     สิ้นเสียงมาร์คก็คว้ากระเป๋าเป้ของเทมส์บนโต๊ะใกล้ๆ และดึงให้เทมส์เดินตามตนฝ่าออกมาจากไทยมุง
และออกจากอาคารคณะบัญชี






    “มาร์ค”

    “นี่ มาร์ค”

    “อณิษฐ์ วณิชกุล!!”

    เสียงเทมส์ตะโกนลั่นไปทั่วบริเวณสนามฟุตบอลหลังคณะทำให้เรียวขายาวของคนข้างหน้าที่ตั้งแต่เมื่อครู่ก็เดินฉับๆ ไม่ได้หยุด
ให้หยุดลงในที่สุด ทั้งสองต่างหยุดยืนหอบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนมาร์คจะหันหน้ากลับมาสบตาอีกฝ่าย

    “เมื่อกี๊มึงทำอะไรของมึง?”

    “พี่โอเครึเปล่า?”

    “กูถามว่า มึงทำอะไรของมึง??”

    เทมส์ขึ้นเสียงดังกว่าเดิมพลางหอบแรงๆ ตามอารมณ์ต่างๆ ที่อึดอัดอยู่ภายใน มาร์คอ้าปากจะพูดตอบ ก่อนจะเงียบไป
และทำเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นสองรอบ และตัดสินใจว่าพูดอะไรออกไปก็ไม่น่าจะดีทั้งนั้น

    “ผมแค่อยากช่วยพี่”

    “กูไม่ได้ขอให้ช่วยเลย!!”

    เทมส์เถียงทันควัน มือขาวยกขึ้นเสยผมของตัวเองจนยุ่ง ร่างสูงก็เดินย่ำไปมาอย่างอยู่ไม่สุขเพราะความโมโห
ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจเสียงดังเพื่อสงบจิต สงบใจ

    “โอเค ที่มึงจะช่วยกู กูไม่ว่า แต่สิ่งที่มึงทำลงไป มึงคิดอะไรของมึงวะ? มันไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรเลยนะเว่ย
แม่งมีแต่จะแย่ลงอ่ะ”

    “ผมก็ช่วยให้ไอ้พี่กันต์ไม่มายุ่งกับพี่ไง แล้วคนอื่นก็จะได้รู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นคนแบบที่พวกเค้าเข้าใจว่าพี่เป็น”

    “แล้วกูเคยขอให้มึงทำแบบนั้นหรอ? กูเคยบอกหรอว่าที่เป็นอยู่กูไม่มีความสุขดี?”

    “ไม่เคยครับ แต่พี่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้ไปจนเรียนจบเลยรึไง? ผมแค่อยากให้คนได้รู้จักพี่ในตัวตนจริงๆ ของพี่บ้าง”

    “แล้วมึงเป็นใครมาตัดสินใจทำอะไรแทนกูแบบนี้วะ?”

    มาร์คคว้าข้อมือของเทมส์เพื่ออธิบายความรู้สึกของตน แต่ก็ถูกสะบัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใยทันที ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน
ก่อนดวงตาเล็กที่มีน้ำตารื้นอยู่เล็กน้อยจะตวัดหนีไปอย่างไม่สบอารมณ์

    “มึงพูดเองนะ ว่ามึงเข้าใจกู มึงรู้ว่ากูไม่ชอบให้ใครมายุ่ง ไม่อยากเป็นจุดสนใจของใคร แต่ที่มึงทำแม่งตรงกันข้าม
ที่กูปล่อยให้คนมองกูเป็นแบบนั้นมาตลอด ก็เพราะกูอยากมีความเป็นส่วนตัว แล้วเรื่องไอ้กันต์ มันก็เรื่องของกู
กูดูแลตัวเองได้มาตลอดสี่ปี แล้วกูก็ไม่เคยขอให้มึงเข้ามายุ่งเลยซักครั้ง”

    “พี่เทมส์”

    “แล้วยังเรื่องที่ไปประกาศเรื่องของมึงกับกูต่อหน้าคนพวกนั้นอีก...มึงมีสิทธิอะไรมาแสดงความเป้นเจ้าของกับกูแบบนั้น?
กูเคยพูดหรอ ว่าเราเป็นอะไรกัน?”

    “พี่ เรื่องนั้นฟังผมอธิบายก่อน”

    “ไม่!! มาพูดอะไรตอนนี้มันจะได้อะไรขึ้นมาวะ? กับคนอื่น กูก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่คือมึงไง คนดังๆ แบบมึงอ่ะ
ป่านนี้คงรู้กันทั้งคณะแล้วมั้ง เหอะ เนี่ยหรอ ที่ว่าช่วยกู? มึงคงไม่รู้หรอก ว่าแค่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่มึงมาคอย
ตามตื๊อกู ชีวิตของกูก็วุ่นวายจะแย่อยู่แล้ว แล้วนี่ยังจะไปพูดอะไรมั่วๆ ให้ชาวบ้านเค้ามายุ่งเรื่องของกูอีก
นี่มึงจะเข้ามาช่วย หรือเข้ามาทำลายชีวิตของกูกันแน่?”

    เทมส์ยกมือปาดน้ำตาจนขอบตาตัวเองเริ่มแดง หัวใจเย็นชาของร่างสูงตอนนี้กลับสั่นไหว และบีบจนหายใจติดขัดไปหมด
แต่ปากมันกลับหนักจนพูดออกไปแต่คำต่อว่า แม้การกระทำของมาร์คก่อนหน้านี้จะทำให้เศษเสี้ยวหนึ่งในใจของเขาเต้นแรง
สมองและส่วนอื่นของหัวใจก็ยังห่วงกำแพงที่เขามีต่อคนอื่นมายิ่งกว่าอยู่ดี

    “ส่วนไอ้นี่น่ะ...”

    ร่างสูงยิ้มมุมปาก และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะถอดมันออกและยื่นมันไปให้อีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนมอง
ปลายเท้าของตัวเองเงียบ ในใจของเทมส์มีแต่เสียงตะโกนห้าม แต่สมองกลับมาก่อนเช่นทุกๆ ครั้ง

    “ถ้านี่คือตัวแทนของหัวใจมึง มึงก็รับกลับไปเถอะ”

    ดวงตาคมค่อยๆ ยกขึ้นมามองนาฬิกาตรงหน้าอย่างหนักตาไปหมด แววตาที่มักฉายความขี้เล่นบัดนี้สั่นระริกไปด้วยน้ำอุ่นๆ
แต่มือหนาก็ยื่นออกมารับนาฬิกาอย่างยอมแพ้

    “มึงแม่ง...สุดท้ายก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นเลย”

    หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงจนปวดหนึบ เทมส์กัดปากพลางพยายามหลีกเลี่ยงไม่สบตามาร์คเลยสักนิด

    “นี่แหละ คำตอบที่มึงอยากได้จากกูนักหนา"

    สิ้นเสียง เทมส์ก็ก้าวขาถอยหลัง ก่อนจะตัดใจหมุนตัวหันหลังใส่อีกฝ่ายอย่างตัดขาดแล้วซึ่งเยื่อใย แต่หากในใจ
กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย



    “ผมรักพี่นะครับ”

    เสียงทุ้มที่ไม่ได้ตะโกน แต่ก็ไม่ได้กระซิบจนเทมส์ไม่ได้ยินรั้งเรือนขายาวไว้ก่อนร่างสูงจะก้าวขาก้าวที่สี่ จู่ๆ ลำคอของเทมส์
ก็แห้งผากเหมือนกับจะสะอึก เพราะมันอึดอัดจนพูดอะไรไม่ออกเลย

    “ผมเคยบอกพี่แล้วว่าสิ่งที่ผมมีให้พี่มันพิเศษ และมันแน่นอนมากๆ ไม่เหมือนที่ผมเคยมีให้ใคร”

    เสียงที่มักจะอ้อเลาะ ทะเล้น ตอนนี้กลับเรียบนิ่ง และจริงจัง ราวกับเจ้าของอยากจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่ออกมา
ให้คนเป็นพี่ยอมรับฟังเขาบ้างเสียที

    “ผมยอมรับ ว่าไอ้ความรัก ความห่วงที่ผมมีให้พี่มันทำให้ผมเผลอทำอะไรล่วงเกิน ล้ำเส้นพี่ไป..อย่างเรื่องวันนี้ก็ด้วย”

    “แต่ผมแค่คิดว่าการที่พี่ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่ง เข้ามารุ่มร่าม มันอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องผ่านการทำให้คนอื่นกลัว หรือเกลียด
ผมคิดว่าผมอยากเป็นคนที่คอยดูแลพี่ ปกป้องคนที่พี่ไม่ต้องการให้เข้ามาเอง พี่จะได้แสดงตัวตนจริงๆ ของพี่ให้ทุกคนได้รู้จัก
ผมอยากให้ใครๆ ได้เห็นพี่เทมส์ที่ผมเห็น แล้วก็หลงรักเขาเหมือนกันกับผม”

    มือขาวกำปั้นแน่นจนสั่นไปทั้งแขน ปากมันช่างหนักเสียเหลือเกิน เทมส์จึงทำได้เพียงยืนฟังเสียงสั่นๆ ของมาร์คจากด้านหลัง
ส่วนมาร์คก็ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปง้อเทมส์เหมือนทุกครั้ง เพราะเขากลัวฟางเส้นสุดท้ายจะขาดผึง แล้วเทมส์จะเกิดเกลียดเขาขึ้นมาจริงๆ

    “ที่ผมทำแบบนี้ ก็เพราะผมรักพี่ แล้วผมก็พร้อมจะปรับปรุงตัวเสมอนะครับ”

    เสียงสวบสาบของขายาวก้าวขาเข้ามาหาเทมส์สองก้าว แต่มือกลับไม่ได้เอื้อมขึ้นมาสัมผัสเขาเลย

    “พี่เทมส์ครับ”

    เสียงนุ่มเอื้อนเอ่ยชื่อคนที่ยังยืนเงียบไปเอ่ยปาก ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ




    “ได้ครับพี่...ถ้านี่คือสิ่งที่ต้องการจริงๆ ผมก็จะทำตาม”




    ความเงียบเข้ามากัดกินหัวใจทั้งสองดวงอีกครั้ง เสียงมาร์คสูดหายใจยาวๆ ก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง





   
   


    "ผมไปให้พ้นหน้าพี่ก็ได้ครับ ถ้าพี่ต้องการ"






TBC.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #3
« ตอบ #9 เมื่อ: 03-08-2017 23:12:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ดราม่ามาไม่ทันตั้งตัว...หง่ะ    :m30: :m30: :m30:

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #4.1
«ตอบ #11 เมื่อ21-08-2017 00:55:59 »

MACCHIATO
Marking you as my own
CHAPTER 4 [END]


BGM







    “กูนั่งด้วยดิ”

    “หืม?”

    แคปเงยหน้าขึ้นจากโคนซอฟต์ครีมในมือ ก่อนจะเลิกคิ้วใส่ร่างสูงกับผมยุ่งๆ อันเป็นเอกลักษณ์
เทมส์ระบายยิ้มแห้ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเมื่อแคปกระเถิบตัวให้เขานั่งลงระหว่างตัวเองกับเท็น เพื่อนสนิทที่ตัวติดกัน
อย่างกับปาท่องโก๋

    “เป็นไรมึง คุยกับกูทำอย่างกับคุยกับอาจารย์”

    แคปยกแขนขวาโอบไหล่เพื่อนหน้าตี๋ พลางเลียไอศครีมรสชาเขียวอย่างเอร็ดอร่อย แคปหันไปสบตาเท็นที่จ้องหน้าเขาอยู่ทางขวา
และหัวเราะแหะๆ

    “ก็…มึงยังไม่รู้หรอ?”

    “อ้อ เรื่องไอ้มาร์คอ่ะดิ” เทมส์หัวเราะแห้งอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า

    “โถ่ ใครมันจะไม่รู้บ้าง ไอ้เทมส์” แคปส่ายหัวเนือยๆ

    “แต่กูไม่ได้โกรธอะไรมึง เรื่องปกติ เราเองก็โตๆ กันแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำตัวรู้สึกผิดอะไรกับกูหรอก”

    “อ่อ…ขอบใจนะ” เทมส์พยักหน้า และถอนหายใจอย่างโล่งอก

    “กูก็เตือนน้องกูแล้ว ว่าทำอะไรก็ไว้หน้ามึงด้วย มาร์คแม่งก็เป็นคนแบบนี้แหละมึง จีบใครก็หน้ามืดตามัว
แต่มันตัดใจได้เด็ดขาด เดี๋ยวมันก็เป็นปกติ เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องห่วง กูเองกูยังไม่ห่วงเลย”

    แคปยิ้มบางๆ ให้เพื่อนสบายใจ พลางตบไหล่กว้างสองสามครั้ง “ยิ่งกูเห็นมึงรู้สึกผิดแบบนี้ กูจะไปโกรธมึงลงได้ยังไง”

    คำว่าตัดใจเด็ดขาดที่แคปใช้มันทำให้เทมส์จุกยังไงก็ไม่รู้ ร่างสูงกัดริมฝีปากล่างอย่างสับสน ก่อนจะก้มหน้าลงฟุบกับโต๊ะ
และยกมือยีหัวตัวเองจนยิ่งยุ่งเหยิง

    “กูรู้สึกแย่ว่ะ วันนั้นกูใช้อารมณ์ เลยพูดแรงกับน้องมึงไปมาก กูไม่อยากให้มันค้างคา ไม่อยากให้เรามีความรู้สึกไม่ดีต่อกัน”

    “ถ้าเป็นเรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วงหรอก กูคุยกับน้องละ มันไม่ได้ถืออะไรกับคำพูดของมึงเลย” แคปถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือ
ไปรับแก้วน้ำของตัวเองจากเท็นที่ยังนั่งเงียบ

    “ไอ้มาร์คมันโทษแต่ตัวเองด้วยซ้ำ มันเข้าใจมึงทุกอย่างเว่ย ไม่ต้องคิดมาก”

    คำพูดแต่ละคำของแคปไม่ได้ทำให้เทมส์สบายใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามกันเสียอีก เพราะมันเหมือนเหล็กที่ทิ่มแทง
หัวใจของร่างสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเลวยังไงก็ไม่รู้

    “เออ จะว่าไปกูก็นัดไอ้มาร์คมัน...โอ้ว เฮลโลว”

    จู่ๆ เสียงแคปก็เงียบลง แก้วน้ำที่ถูกยกจ่อปากไว้เมื่อครู่ค่อยๆ ถูกลดลงวางกับโต๊ะ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ
ของชายหนุ่ม เทมส์ที่นั่งก้มหน้ากุมหัวอยู่ ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และภาพที่เห็นก็ทำให้ร่างสูงตาค้าง ปากค้างไปชั่วขณะ

    “อ่ะนี่ กุญแจบ้าน กะจะลืมจนเรียนจบเลยรึไงลุง”

    ภาพของมาร์คตัวจริงเสียงจริงที่ยืนยื่นพวงกุญแจรูปโล่กับตันอเมริกาให้พี่ชายแท้ๆ ที่อีกฝั่งของโต๊ะ ทำให้เทมส์
พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ

    “มาร์ค”

    “ผมไปละนะ พี่เท็นหวัดดีครับ”

    มาร์คยิ้มเจื่อนๆ และหันไปยกมือไหว้เท็นที่รับไหว้น้องคนสนิทกลับงงๆ  ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากโรงอาหารไป
อย่างกับเทมส์ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้าเป็นอากาศ

    “มาร์ค เดี๋ยวก่อน” ร่างสูงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อเดินตามเด็กที่วันก่อนยังมาวิ่งตามเขาต้อยๆ ไป แต่กลับถูกมือของพี่ชายแท้ๆ
ของเด็กคนที่ว่ารั้งเอาไว้ได้เสียก่อน

    “มึงอ่ะเดี๋ยวก่อน”

    “แคป ปล่อยกูเหอะ”

    “นั่งลงก่อน"

    “กูขอล่ะ ตั้งแต่วันนั้นกูยังไม่ได้เจอน้องมึงเลย คลาสก็ไม่เข้า พอเจอกูก็เมินกู กูอยากปรับความเข้าใจกับน้อง”

    “มึงคิดถึงความรู้สึกน้องมันหน่อยดิวะ” เสียงเรียบๆ แต่กลับหนักแน่นของแคปเรียกสติของเทมส์กลับเข้าร่าง
ได้ในทันที ร่างสูงค่อยๆ หายใจช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาสบตาอีกฝ่ายที่นั่งจ้องเขาอยู่ก่อน

    “ในฐานะเพื่อนอ่ะ กูก็อยากให้มึงสบายใจ แต่ในฐานะพี่ชายไอ้มาร์คมัน กูว่าให้เวลามันเหอะ”

    มือที่สากจากการเล่นเบสอย่างหนักหน่วงดึงเพื่อนหนุ่มให้นั่งลงที่เดิม

    “ก็อย่างที่กูบอก ว่ามาร์คมันเป็นคนสุดขั้ว มันจะจีบ มันก็จะจีบ แต่ถ้ามันโดนปฏิเสธ มันก็จะตัดใจให้เด็ดขาด
ซึ่งตอนนี้ มันก็กำลังทำอย่างที่สองกับมึงอยู่”

    “อืม” เทมส์พยักหน้าเอื่อย ทำได้แค่เสียดายการตัดสินใจชั่ววูบของตัวเองเมื่อวันก่อน

    “แล้วมึงลองคิดดูสิ วันก่อนมึงเพิ่งขับไสไล่ส่งให้มันออกไปจากชีวิตมึง แล้ววันนี้ มึงจะกลับไปเป็นห่วง
ไปใจดีกับมันเหมือนเดิม มันจะใจร้ายกับความรู้สึกน้องไปหน่อยป่ะวะ”

    ถึงแม้แคปจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ตามปกติ และในน้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่คำพูดที่
เทมส์ได้ยินทุกๆ คำมันล้วนทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นทุกที

    “ครั้งที่ผ่านมาอ่ะ กูไม่โกรธมึง เพราะกูก็ไปบังคับให้มึงรักน้องกูตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าจู่ๆ มึงจะกลับไปดีกับมัน
ทั้งที่มึงเองยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงกับน้องกูกันแน่ กูคงไม่ยอมเหมือนกัน น้องกูเจ็บกูก็เจ็บอ่ะ
มึงเข้าใจใช่ป่ะ?”

    เทมส์หันไปสบตาเพื่อนหน้าหล่อที่คล้ายคลึงกับหน้าของมาร์คที่สุดในหมู่พี่น้อง ก่อนจะยิ้มบางๆ และพยักหน้า

    “กูว่าทางที่ดี ตอนนี้อ่ะมึงไปทบทวนตัวเองให้แน่ใจก่อนดีกว่า แล้วหลังจากนั้น ถ้ามึงจะกลับมาหาน้องกูอีก
กูก็จะไม่ขวางทางเลย”






_________________________________________


   



    "ผมไปให้พ้นหน้าพี่ก็ได้ครับ ถ้าพี่ต้องการ"


    เห้อ

    เทมส์ถอนหายใจออกมายาวๆ และทิ้งตัวนอนฟุบลงกับเคาน์เตอร์ไม้ ผมฟูที่วันนี้ไม่ได้เซ็ตเหมือนทุกวัน
กระเด้งไปมาตามการส่ายหัวของร่างสูง

    "อาเทมส์เอ้ย ลื้อแน่ใจนะว่าลื้อไม่เป็นไร?"

    "ครับอาม่า เทมส์แค่เหนื่อยๆ อ่ะ"

    ชายหนุ่มตอบเสียงงุบงิบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากต้นแขน อาม่ายกมือลูบหัวหลานชายอย่างเป็นห่วง

    "ทะเลาะกับอามาร์คหรอ?"

    "อะไรอาม่า เปล่าซะหน่อย"

    "ลื้อโกหกอาม่าไม่ได้หรอกอาเทมส์ ปกติอามาร์คแกต้องโผล่มาทุกวัน และอาม่าเชื่อว่าอามาร์คไม่ปล่อย
ให้หลานอาม่าหงอยเป็นหมาแบบนี้แน่ๆ"

    เทมส์เงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาตี่ๆ ที่บวมกว่าปกติเพราะการอดนอนติดต่อมานับอาทิตย์สบตาอาม่าเหมือนจะเถียงกลับ
แต่กลับพูดอะไรไม่ออก จึงทำเพียงยอมพยักหน้ารับในที่สุด

    "ก็...ทะเลาะนิดหน่อยอ่ะครับอาม่า แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก"

    "ไม่ใหญ่ได้ยังไง นี่ลื้อได้เห็นสภาพตัวเองบ้างมั้ย? คนรักกันน่ะ ปล่อยให้ทะเลาะกันยาวๆ ไม่ดีหรอกนะอาเทมส์"

    "อาม่าครับ เทมส์กับมาร์คไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ไม่เคยเป็นอะไรด้วยครับ เพราะฉะนั้น
เทมส์ไม่ได้คิดมากอะไร เชื่อเทมส์"

    หญิงชราสบตาหลานชายที่ยังคงรักษาหน้ากากความเข้มแข็ง ความหัวรั้นไว้ได้ไม่เปลี่ยนแม้ในอารมณ์แบบนี้
ก่อนจะเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน

    "อาเทมส์ อาม่ารู้นะว่ากำแพงที่ลื้อมี มันสูง และมันสำคัญกับลื้อขนาดไหน...แต่บางทีลื้อก็ไม่จำเป็นต้อง
มีกำแพงตลอดเวลาไม่ใช่หรอ?"

    เสียงแหลมเอ่ยด้วยน้ำเสียงรักใคร่ มือเหี่ยวๆ ยังลูบหัวหลานรักไม่วาง

    “การที่ลื้อไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่ง ไม่จำเป็นว่าลื้อจะต้องไม่มีใครเลยนี่นา อาเทมส์”

    ใบหน้าหล่อแอบยกยิ้มมุมปากเล็กๆ สมกับเป็นอาม่า เข้าขากับมาร์คไปเสียทุกอย่าง ขนาดตอนนี้ยังพูด
เหมือนกันเด๊ะอย่างกับเตี๊ยมกันมา

    “อีกอย่าง เท่าที่อาม่าเห็น เวลาอยู่กับอามาร์คน่ะ อาเทมส์ดูเป็นตัวเองมากๆ เลยนะ และอามาร์คเองก็พยายามก้าวข้าม
ทุกกำแพง ทุกอุปสรรคที่ลื้อมีไม่ใช่เหรอ? แค่นี้อาม่าก็คิดว่าอามาร์คเป็นคนพิเศษมากๆ แล้วนะ”

    “ครับอาม่า เทมส์ก็รู้สึก...ว่ามาร์คเป็นคนพิเศษ แต่เทมส์ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ สถานการณ์ตอนนี้
มันคืออะไร ผมคิดว่าถ้าผมกลับไปขอให้มาร์คกลับมานั่งรอกับความหวังลมๆ แล้งๆ กับผมที่ยังไม่รู้เลยว่าจะให้เค้า
มาอยู่ในสถานะอะไร ผมก็คงเป็นคนที่ใจร้ายมากๆ เลย ผม...ควรจะรอให้ความรู้สึกของผมมันชัดเจนก่อนดีมั้ยอาม่า?"

    “แล้วตอนนี้ความรู้สึกลื้อไม่ชัดเจน หรือแค่ลื้อยังไม่ยอมรับความรู้สึของตัวเองล่ะ ฮึ?
นี่อาเทมส์ การที่ลื้ออยากหาคำตอบน่ะมันก็ดี แต่ถ้าลื้อปล่อยอามาร์คหลุดมือไปครั้งนี้ ครั้งหน้าที่ลื้อรู้ตัวว่ารักเค้า
มันอาจจะสายไปแล้วก็ได้นะเทมส์"

    "แต่...เทมส์ว่าเทมส์ยังไม่พร้อม แล้วเทมส์ก็เป็นคนผลักไสเค้าออกไปเองด้วย”

    “แล้วใครบอกล่ะ ว่าลื้อจะกลับไปตามเค้ากลับมาไม่ได้? ถ้าผลักไสเค้า แล้วเราคิดถึงเค้าแบบนี้
ก็ดีเสียอีก แปลว่าลื้อได้พิสูจน์ความรู้สึกของลื้อเองแล้วด้วย ไม่ดีเหรออาเทมส์?”
   
    “เทมส์จะไปมองหน้ามาร์คติดได้ยังไงอาม่า...”

    “ฮั่นแน่ แปลว่าคิดถึงจริงๆ ด้วย อาม่าแค่พูดลอยๆ นะเนี่ย”

    เสียงหัวเราะคิกคักของอาม่าทำให้เทมส์รีบผลุบตัวขึ้นมานั่ง และทำให้หัวโขกกับแจกันดอกไม้ใกล้ๆ
เสียงดังโป๊ก เทมส์ลูบผมฟูป้อยๆ และทำได้แค่เบะปากให้อาม่าเหมือนเด็กๆ

    “ต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ? นี่อาเทมส์ อาม่าบอกไว้เลยนะ จากประสบการณ์ของอาม่าเอง”

    มือย่นวางลงบนมือของหลานชาย ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้หลานชายลุกขึ้นวิ่งหายเข้าบ้าน
แทบจะทันที



    “ความรู้สึกน่ะ ถ้ามัวแต่เก็บไว้ ไม่แสดงออก รู้ตัวอีกทีอาจจะไม่มีเค้าอยู่ข้างๆ อีกแล้วนะ”




_________________________________________







    “มาร์ค”

    “น้องมาร์ค”

    “น้องมาร์คคะ”

    “อ้อ ครับ”

    เจ้าของชื่อสะดุ้งรู้สึกตัวหลังจากโดนเรียกเป็นครั้งที่สาม ร่างสูงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง
หลังจากที่นั่งเท้าคางกับเคาน์เตอร์อยู่เมื่อครู่ และหันไปหัวเราะแหะๆ ให้ลูกค้าประจำ ที่นั่งมองเขา
อย่างเป็นห่วงอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม

    "น้องมาร์ค เป็นอะไรรึเปล่าคะ? พี่เห็นน้องซึมๆ เหม่อๆ มาหลายวันแล้ว"

    "อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมแค่เหนื่อยๆ น่ะครับ ช่วงนี้พักผ่อนน้อย"

    มาร์คยิ้มหวาน ก่อนจะหันไปมองด้านหลังเมื่อมีมือวางลงบนบ่าซ้าย

    "อ้าว พี่ริส"

    "นี่ ข้าวเที่ยง"

    พี่ชายคนรองในชุดทำครัวเหมือนทุกวันว่า พลางวางจานข้าวผัดปลากระป๋องลงบนเคาน์เตอร์

    "โหยพี่ ผมยังไม่หิวเลย"

    "มึงไม่หิวมาหลายมื้อแล้วมาร์ค กินอะไรลงไปซะบ้าง กูบังคับ"

    ริสพูดเสียงเรียบเฉยตามสไตล์ แต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิมและเหลือบตามองน้องชายให้มั่นใจว่ามันจะยอมกินอะไรลงไปซักที
เพราะทั้งแคป ทั้งอัพก็บ่นกับเค้าตลอดว่าทำยังไงน้องมันก็ดื้อ ไม่ยอมกินอะไรเป็นมื้อมาหลายวันจนจากที่ผอมอยู่แล้วก็ยิ่งผอมลงไปอีก

    ไม่พ้นพี่ริสที่น้องทั้งสองเกรงกลัวเสียยิ่งกว่าพี่คนโตหรือพ่อแม่ต้องก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน ทั้งที่ก็ไม่ได้อยากมา
บังคับอะไรน้องมันนักหรอก

    "กูก็ไม่ค่อยจะเข้าใจที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้หรอกนะ แล้วก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องส่วนตัว
ของมึงเท่าไหร่หรอก แต่กูก็เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้มาบ้างเมื่อก่อน กูจะรอให้มึงหายดีก็แล้วกัน"

    ริสว่าพลางยกมือแปะไหล่น้องคนเล็กไปสองครั้ง ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ เขาเองก็รู้ว่ามาร์คเป็นคนยังไง
เวลาอกหัก น้องก็วนเข้าลูปนี้ตลอด แต่มาร์คก็มักจะจัดการตัวเอง และกลับมาเป็นปกติได้ในระยะหนึ่ง

    "ขอบคุณนะพี่ริส"

    มาร์คเงยหน้าขึ้นยิ้มให้พี่ชาย แม้รอยยิ้มนั้นจะดูเหน็ดเหนื่อยเสียเหลือเกิน

    “เอาจริงๆ เวลาแค่นี้มันทำให้มึงเป็นแบบนี้เลยเหรอ?”

    ริสถามอย่างสงสัย เขาเองก็ไม่เคยจะมีความสัมพันธ์จริงจังอะไรกับใคร ไม่เคยคบใคร หรือรู้สึก
อะไร จะเป็นจะตายแบบที่น้องชายเป็นอยู่เลย

    “ความรักอ่ะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรอกพี่”

    ริสร้องโอ้โหกับคำตอบโตเกินวัยของอีกฝ่าย มาร์คหัวเราะแห้ง กับมุมเด็กๆ ของพี่ชายที่คนนอกครอบครัว
คงไม่มีโอกาสได้เห็น ริสกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามต่อ

    “แล้วมึงต้องรักเค้าขนาดไหนให้ตัวเองหยังเขียดขนาดนี้วะเนี่ย?”

    “ก็รักมากอ่ะพี่”

    “อ…ชิบหาย”

    มาร์คหันไปเลิกคิ้วใส่คนเป็นพี่เมื่อจู่ๆ คนที่ไม่ค่อยจะพูดคำหยาบ (แม้แต่พูดยังไม่ค่อยจะพูด) ก็สบถ
ขึ้นมา แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม เสียงกระดิ่งจากหน้าประตูร้านก็ทำให้เขาหันไปเสียก่อน

    “…”

    ภาพที่เทมส์เห็น คือภาพของคนที่คุ้นเคย คนที่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังมานั่งเล่นที่ร้านกาแฟนี่ทุกวัน
คนตัวสูงเจ้าของหน้าตี๋ๆ กับผมยุ่งๆ ที่ยื่นหอบแฮ่กๆ อยู่หน้าประตูร้าน ก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งจุมปุ้กลงที่
โต๊ะกลมตัวประจำโดยไม่พูดอะไรซักคำ

    “พ…พี่เทมส์”

    มาร์คพึมพำเสียงแห้ง โดยมีริสยืนกอดอกมองเขาสลับกับแขกคนใหม่ไม่พูดอะไร ร่างสูงหันกลับมา
เจอตาของพี่ชายที่กำลังจ้องเขาอยู่ก่อน และกระพริบตาปริบๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ริสกลับแค่ยักไหล่
หน้าตาเฉย

    “ไม่ใช่เรื่องของกู”

    “พี่ริส ไปรับลูกค้าแทนผมหน่อยสิ”

    “เค้าก็คงไม่อยากคุยกับกูอยู่ดีมั้ง”

    “แต่ผมไม่กล้าอ่ะ นะพี่ นะ แล้วผมจะยอมกินข้าวให้หมดจานเลย นะๆๆ”

    ริสอึกอักอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมใจอ่อนให้ลูกอ้อนของเจ้าน้องหน้าหล่อในที่สุด ร่างสูงถอนหายใจ
และพยักหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะคว้าเมนูเล่มสีดำและเดินตรงไปยังคนที่นั่งหันหลังให้ทั้งสองอยู่

    “สวัสดีครับ น้องเทมส์ นี่เมนูครับ”

    “อ…เอ่อ พี่ริส สวัสดีครับ”

    ริสรับไหว้จากเทมส์ ก่อนทั้งสองจะหลบตากันและพากันเงียบอย่างอึดอัด

    “แล้ว...วันนี้จะรับอะไรดี?”

    “อ้อ..อ…เอ่อ”

    เทมส์ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างขวยเขิน ในใจมันสั่นจนปากมือเท้าชาไปหมด อะไรที่คิดว่า
จะพูดหรือทำ ตอนนี้เขาลืมจนสมองเป็นสีขาวโพลนไปหมดแล้ว

    “ผม…”

    “ผมขอ…”

    “ผมขอสั่งกับมาร์คได้มั้ยครับ?”





ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || MACCHIATO #4.2 [END]
«ตอบ #12 เมื่อ21-08-2017 00:57:06 »

[contd.]





    “ผมขอสั่งกับมาร์คได้มั้ยครับ?”

    เทมส์หลับตาปี๋และตอบอย่างรวดเร็วจนถ้าไม่ได้ตั้งใจฟังคงจะฟังไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
ริสถึงกับอึ้งเมื่อได้รับคำตอบแบบที่ตนเพิ่งประชดมาร์คไปเมื่อกี๊ เพราะคิดว่าคงไม่เป็นจริงแน่ๆ
ร่างสูงหันไปมองน้องชายที่นั่งมองเขาตาปริบๆ ก่อนจะหันกลับมามองเทมส์ที่ทำแบบเดียวกัน

    “เอ่อ…งั้น เดี๋ยวพี่ไปตามมาให้แล้วกัน”

    คลี่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเดินกลับมาถอนหายใจใส่น้องชายทอดหนึ่ง

    “เห้อออ”

    “เป็นไงพี่?”

    “เค้าจะคุยกับมึง”

    “แต่ว่า”

    “คุณริสคะ”

    เสียงของหญิงสาวเพียงคนเดียวในร้านเรียกมาจากมุมร้าน เปรียบดั่งเสียงสวรรค์ที่ช่วยชีวิตริส
เจ้าของชื่อหันไปสบตากับลูกค้าสาวที่เขาเริ่มสนิทสนมเพราะขอคอมเมนต์เรื่องเมนูอาหารอยู่เรื่อยๆ
ก่อนทั้งสองจะแลกอมยิ้มบางๆ ที่มุมปากอย่างรู้กัน

    “เพื่อนพี่ที่ทำผักออร์แกนิคที่น้องจะติดต่อซื้อผักด้วยเค้ามีเรื่องสงสัยนิดนึงอ่ะค่ะ รบกวนมาตอบให้ที”

    ลูกค้าสาวหัวเราะแหะๆ ส่วนมาร์คก็อ้าปากค้างจนเหงือกแห้ง ร่างสูงค่อยๆ หันไปมองแผ่นหลังคุ้นตาในเสื้อเชิ้ตสีขาว
และหันกลับมาหาพี่ชาย แต่พอหันกลับมา ริสก็ไปยืนอยู่ที่โต๊ะที่มุมร้านเสียแล้ว

    ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าไล่ความกังวลออกจากหัว และเดินไปหาเทมส์ที่โต๊ะ
เทมส์ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้ถึงคนที่เดินมาหาตัวเองเลยสักนิด เพราะมัวแต่นั่งกัดปากและเล่นนิ้วตัวเอง
ด้วยความประหม่า มาร์คก็แอบเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผมสีดำนั่นด้วย

    “รับอะไรดีครับ?”

    ไหล่แคบสะดุ้งโหยงกับเสียงคุ้นหู เทมส์ค่อยๆ หันมาสบตามาร์ค ก่อนความเงียบที่แสนอึดอัด
จะเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองอีกครั้ง

    “มาร์ค...คือ...จริงๆ กูไม่ได้จะมาดื่มกาแฟหรอก”

    “ถ้าวันนี้มาหาพี่แคป พี่แคปไปซ้อมดนตรีนะครับ คงจะกลับดึกๆ”

    “เปล่ามาร์ค คือ”

    “แต่ถ้าจะรอเดี๋ยวผมบอกพี่แคปให้”

    “มาร์ค กูมาหามึง”

    เสียงของเทมส์ที่ดังฟังชัดไม่ได้หยุดแค่คำพูดของมาร์ค แต่เป็นเสียงทุกเสียงในร้าน จนเหลือเพียง
เสียงจังหวะบอสซาโนว่า ของเทปเพลงจากลำโพงบนผนังเท่านั้น

    “นั่งลงแล้วคุยกับกูก่อนได้มั้ย? นะมาร์ค”

    เสียงแหลมเอ่ยขออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่ใช้ช่างอ่อนโยน ต่างกับน้ำเสียงกร้านๆ ที่เจ้าตัวชอบใช้
ทำให้มาร์คสะอึกจนพูดไม่ออก ได้แต่ยอมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ อย่างเชื่อฟัง

    “กูอยากจะมาขอโทษ...ในสิ่งที่กูทำกับมึง”

    “พี่ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ที่ผมทำลงไปมันก็ผิดจริงๆ”

    “แต่กูก็ผิดจริงๆ ที่ไล่มึงออกไปจากชีวิตกูแบบนั้น กูไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของมึงเลย”

    เทมส์พยายามมองหน้าอีกฝ่ายให้มาร์คเงยหน้าขึ้นมาสบตาของเขาบ้าง แต่มาร์คก็เอาแต่
ก้มมองหน้าตักไม่มีท่าทางจะขยับเลยสักนิด

    “ที่พี่ทำมันก็ถูกแล้วล่ะครับ ดีกว่าให้ความหวังผมต่อไป ตรงไปตรงมาแบบนี้ผมก็จะได้
ทำตัวถูก ก็ดีเหมือนกัน”

    “แต่ที่กูบอกว่าอยากให้มึงออกจากชีวิตกูไป...กูไม่ได้รู้สึกแบบนั้นนะมาร์ค”

    เทมส์ค่อยๆ ยกมือไปอยู่เหนือมือขาวของอีกคน และเมื่อมาร์คไม่ได้ขยับหนีก็วางทับลงไป
และบีบมันเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นมาร์คก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาหาเขาอยู่ดี

    “ตั้งแต่มึงหายหน้าไปจากชีวิตกู กูรู้เลยว่ากูเคยชินกับการมีมึงอยู่ใกล้ๆ จนตอนที่ไม่มี
มันโหวงเหวงไปหมด กูไม่อยากให้เราอึดอัด มาเมินกันแบบนี้...มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้สนิทกับใครง่ายๆ
แล้วกูก็ไม่เคยเจอใครที่เข้าใจ และดีกับกูได้เท่ามึงเลย”

    “แต่ถ้าพี่อยากให้ผมอยู่ในฐานะนั้น ผมก็คงไม่ไหวเหมือนกันนะ”

    มาร์คที่ปิดปากเงียบมากสักพักตอบสวนขึ้นมาด้วยความเร็วเหมือนลิ้นจะพันกัน เพราะความรู้สึกสับสน
ที่มีมาตั้งแต่วันนั้น และมีแต่จะมากขึ้นๆ มันเทพรวดออกมาพร้อมกันหมด

    “วันนั้นพี่บอกว่าการที่มีผมอยู่มันรบกวน มันไปขัดชีวิตของพี่ ผมก็ยอมที่จะถอยออกมา ตั้งใจจะ
ตัดขาดและออกไปจากชีวิตพี่ แล้วพอวันที่ผมเริ่มจะทำได้ พี่ก็กลับมาบอกว่าชีวิตพี่ต้องมีผม
เอาจริงๆ เถอะครับ พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่ พี่เทมส์?”

    ดวงตาคมจ้องกลับดวงตาเล็กๆ ของคนเป็นพี่ในที่สุด ในนัยน์ตาสีเข้มนั้นเต็มไปด้วยความสับสน
และไม่เข้าใจ แต่ดวงตาอีกคู่เองก็เลิ่กลั่กไม่แพ้กัน

    “กู…กูขอโทษมาร์ค กูไม่ได้อยากให้มึงต้องมาเป็นแบบนี้เพราะกูเลย...แม่ง กูไม่น่าหัวร้อน
ปากหมาไปเลย”

    มือข้างที่ว่างย้ายไปกุมมือข้างเดิมของมาร์คให้แน่นขึ้น มาร์คก้มมองสกินชิพที่ตัวเองพยายาม
ร้องขอมาตลอดแต่ไม่เคยได้อย่างไม่เข้าใจยิ่งกว่าเก่า ตอนนี้หัวของเขาตื้อไปหมด เพราะตามเทมส์
ไม่ทันแล้วจริงๆ

    “กูเข้าใจ ว่าตอนนี้มึงคงไม่เข้าใจว่าตกลงกูต้องการอะไรกันแน่ เป็นกูก็คงโกรธที่โดนทำเหมือน
ความรู้สึกของกูเป็นของเล่นเหมือนกัน มึงจะโทษกู จะเกลียดกูยังไงก็ได้มาร์ค”

    “…”

    “กูไม่ได้จะขอ หรือบังคับให้มึงกลับมาอยู่ในชีวิตกูอีก เพราะจากสิ่งที่กูทำไป กูไม่มีสิทธิขออะไรจากมึงเลย”

    เทมส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพื่อทำจิตใจให้เย็นลง ใบหน้าตี๋มองตักของตัวเองเพื่อดึงสติ ก่อนจะเงยขึ้น
สบตามาร์คอีกครั้ง ครั้งนี้แววตาตี่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

    “กูแค่อยากจะบอกสิ่งที่กูรู้สึกจริงๆ สิ่งที่กูใช้เวลาทบทวนตัวเองมาตลอดเวลาที่เราไม่ได้เจอกัน”

    คิ้วที่ดกเล็กน้อยจากการไม่ค่อยดูแลตัวเองของเทมส์ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ฟันขาวกัดริมฝีปากล่าง
เพราะสิ่งที่จะพูดไปมันพูดยากเสียเหลือเกิน ยิ่งสำหรับคนปากหนักๆ แบบเขาด้วยแล้ว   

    “จริงอยู่ ที่ก่อนหน้าที่มึงจะเข้ามาในชีวิตกู มันเงียบสงบ มันปลอดภัย กูสามารถคอนโทรลคนที่
เข้า และ ออกไปจากชีวิตกูได้ กูได้อยู่กับตัวเอง กูมีพื้นที่ส่วนตัว ชีวิตแบบนั้นแม่งโคตรดี โคตรมีความสุข
แล้วก็จริงที่พอมึงเข้ามา ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป กูแทบจะไม่มีเวลากับตัวเอง เวลาไปไหนมาไหน
การที่มีมึงอยู่ด้วย มันทำเรียกความสนใจจากคนอื่นตลอด กูโดนมอง โดนพูดถึง ซึ่งเป็นอะไรที่กูเกลียดที่สุด”

    ในแววตาของมาร์คยิ่งดูสลดยิ่งกว่าเก่าเพราะคำพูดที่เทมส์พูดก็เหมือนแค่คำตอกย้ำความผิดของเขาเท่านั้น
ร่างสูงเบนหน้าหนีไปทางอื่น แต่เทมส์รู้ทัน และกระตุกมือของอีกฝ่ายในมือของตัวเองเบาๆ พลางขอให้มาร์ค
อดทนฟังตนให้จบก่อน

    “แต่มึงเองก็เห็นนี่ ว่ากูไม่เคยมีท่าทางรังเกียจอะไรเลย ทั้งที่กูไม่ชอบ ไม่เคยชอบ ทั้งเรื่องนาฬิกา
ที่โคตรเด่น เห็นปุ๊บก็รู้กันถึงปากซอย ทั้งเรื่องที่มึงตามกูแจ จนคนสงสัยกันทั้งคณะ”

    เทมส์ระบายยิ้มบางๆ ความอายยังคงบดบังความกล้าของเขาอยู่

    “เพราะกูชอบการมีมึงอยู่ไงมาร์ค”

    ประโยคนี้ทำให้มาร์คเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู ใครมันจะไปคิดว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกจากปากเทมส์
คนที่ปากหนักแถมยังหยิ่งระดับร้อยคนนี้ ยิ่งกับคนที่ตัวเองเพิ่งไล่ออกไปจากชีวิตเมื่ออาทิตย์ก่อนอีก

    “ที่กูใช้อารมณ์กับมึงไปวันนั้น เพราะวันนั้นโลกส่วนตัวของกูมันพังโครมลงมาต่อหน้ากูเลยอ่ะ
ไหนกูยังต้อง...เจอไอ้เหี้ยกันต์ ต้องเจอกับคนเยอะๆ ต้องถูกเอาไปพูดถึง ถูกคนมอง...แม่ง มันคือ”
   
    “ทุกอย่างที่พี่เกลียด”

    มาร์คตอบเสียงแผ่ว เขาเองก็รู้ดีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ครึ่งหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเหมือนกัน
เทมส์ถอนหายใจและพยักหน้ารับ แต่ก็บีบมือของคนเป็นน้องเพื่อบอกว่าไม่เป้นไร

    “ใช่…และตอนนั้นกูโทษแต่มึง กูรู้ว่ากูงี่เง่าและเห็นแก่ตัวมากๆ กูยอมรับ และกูก็จะไม่แก้ตัวอะไรเลย”

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นที่หน้าร้าน พร้อมกับร่างสูงในชุดนักศึกษาสองคนที่แบกกระเป๋ากีต้าร์มาคนละใบ
ที่ก้าวขาเข้ามาปุ๊บ ก็สะดุ้งปั๊บเมื่อเห็นมาร์คกับเทมส์นั่งจับมือกันอยู่ไม่ไกล มาร์คหันหน้าจะมองว่า
คนที่เข้ามาคือใคร แต่เทมส์กลับยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

    “ตอนนี้มึงอยู่กับกูคนเดียวก่อนได้มั้ยมาร์ค?”

    เสียงแหลมเอ่ยถ้อยคำหวานเป็นพิเศษจนหัวใจมาร์คเต้นไม่เป็นจังหวะ มือขาวที่ถูกกำไว้เหงื่อชื้นไปหมด

    “ก่อนหน้านี้...กูหวงโลกส่วนตัวของกูมาก กูอยู่กับมันมาตลอด และพอเสียมันไป มันเหมือนกับเสียของสำคัญ
มากๆ ไป กูเลยรู้สึกไม่ปลอดภัย และเพราะกูอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นสิบๆ ปี พอเจอแบบนั้น กูก็ไม่รู้ว่าต้อง
ทำตัวยังไงต่อไป จะไปมหา’ลัยแต่ละวัน กูก็รู้สึกเหมือนกูอยู่ต่างถิ่น ทุกๆ ที่แม่งไม่เหมือนเดิมเลย”

    “…”

    “ตอนแรกกูก็คิดว่าเพราะสายตาที่มองกู เพราะเสียงที่ซุบซิบถึงกูตลอดเวลา แต่พอทุกๆ อย่างมันเพลาลง
จนทุกอย่างมันกลับสู่สภาพเดิม กูได้อยู่คนเดียว ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายเหมือนเมื่อก่อน กูกลับยังรู้สึกว่างเปล่า
เหมือนเดิม...ไม่ดิ ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

    แคปที่ลากเท็นไปยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ยืนมองแผ่นหลังของคนสนิททั้งสองคน และเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเวลา
ยกยิ้มบางๆ ไม่ใช่เพราะดีใจที่เทมส์มาหามาร์คหรอก เพราะเขาเองก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าภาพตรงหน้าต้องเกิดขึ้น
ไม่เร็วก็ช้า แต่เพราะยินดีกับน้องชายด้วยซ้ำ ที่ได้เจอคนที่มั่นใจ และชัดเจนกับความรู้สึกที่มีให้ได้ขนาดนี้
ยิ่งคนที่ว่าคือเทมส์ การแสดงออกแบบนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

    “แล้วกูก็ค้นพบว่า ทุกอย่างมันเป็นเหมือนที่มึงพูดเลยมาร์ค...โลกส่วนตัวของกูแม่งไม่ได้จำเป็นที่จะต้อง
ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย”

    ในที่สุดทั้งสองก็สบตากันได้อย่างเต็มตา เทมส์คลี่ยิ้มกว้างขึ้น พลางย้ายมือมาวางลงบนหน้าจักของอีกฝ่าย
สัมผัสอุ่นจากมือที่มักจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเขาทำให้น้ำตารื้นเต็มขอบตาโตๆ ของมาร์คไปหมด
ความรักที่มาร์คมีให้เทมส์มันมากจนความพยายามที่จะลืมมาตลอดอาทิตย์นี้ไม่มีผลอะไรสักนิด

    “กูอยากที่จะอยู่แบบไม่มีใคร...ในโลกที่มีมึงอยู่ด้วย”

    “พี่เทมส์”

    “กูพยายามใช้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองมาตลอดเลยนะมาร์ค กูรู้ดีว่ากูทำร้ายจิตใจมึงไปขนาดนั้น
กูให้ความหวังกับมึง แล้วก็พังมันลงด้วยมือกูเอง กูอยากจะชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเอง อยากจะ
ให้คำตอบกับตัวเองได้ก่อนว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง แล้วค่อยกลับมาหามึง เพราะกูไม่อยากใจร้ายกับมึงอีก
แต่ว่าอาม่าอ่ะ บอกว่าถ้ากูมัวแต่รอ กูอาจจะเสียโอกาสสุดท้ายกับมึงไปเลยก็ได้”

    มาร์คปล่อยน้ำตาหยดเผาะ เทมส์ยิ้มกว้างและตบบ่าอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู มืออีกข้างก็หยิบทิชชู่จากบนโต๊ะ
มาเช็ดตาให้เด็กขี้แย ถึงจะทำแมนตามตื๊อตามจีบเขามาเป็นเดือนๆ แต่ก็ยังหนีความจริงที่ว่ามาร์ค
ยังเป็นเด็กอยู่ไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

    “เชื่อมั้ย ว่าคำพูดของอาม่ามันทำให้กูเข้าใจตัวเองทันทีเลยนะ เพราะคำพูดที่ว่า...กูจะเสียมึงไปตลอดชีวิต
มันทำให้กูรู้สึงโหวง กูนึกภาพการที่จะไม่มีมึงตลอดไปไม่ออกจริงๆ มึงเหมือนกลายเป็นส่วนนึงในชีวิตกู
ไปแล้ว...แล้วก็เป็นส่วนที่สำคัญมากๆ ด้วย”

    เทมส์ยิ้มหวานพลางลูบหัวคนที่ร้องไห้สะอื้นจนไหล่สั่นไปหมด หน้าขาวๆ ของมาร์คแดงไปหมด
แต่เจ้าตัวก็พยายามที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ตัวเองดูเป็นเด็กขี้แยไปมากกว่านี้ ส่วนคนที่ยืนมองอยู่ข้างหลัง
ก็ได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู ริสที่คุยกับลูกค้าเสร็จแล้ว และกลับมายืนดูร่วมอยู่กับแคปและเท็น ก็เช่นกัน

    “กู…เชี่ย กูเขิน”

    เทมส์หันหน้าหนีภาพน่ารักๆ ตรงหน้าไปหายใจลึกๆ เข้าปอดอีกสองสามครั้ง ก่อนจะหันกลับมา
สบตาอีกฝ่ายเมื่อรวบรวมความกล้ามากพอ





    “กูรักมึงนะมาร์ค"






    ตาโตๆ ที่แดงจากน้ำตากระพริบปริบๆ อย่างไม่เชื่อหู สลับกับเสียงของมาร์ค ที่สะอื้นฮึกๆ เป็นระยะ
เทมส์มองคนตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู ยิ่งได้มาอยู่ตรงนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีตอนนี้
มันคือความรักจริงๆ แน่ไม่ใช่อย่างอื่น กลับบ้านไปจะกอดอาม่าแน่นๆ ซักหนึ่งชั่วโมง




    “พี่เทมส์ครับ”

    “หือ?”

    ตาตี่หรี่ลงกว่าเดิมจากรอยยิ้มบนใบหน้า เสียงทุ้มที่แหบเล็กน้อยเพราะการร้องไห้เมื่อครู่
เอ่ยเรียกชื่อคนแก่กว่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ สภาพมาร์คตอนนี้ไม่ใช่เสือ แต่เป็นลูกแมวเปียกน้ำดีๆ นี่เอง

    “ผมขอจูบพี่ได้มั้ย?”

    คำถามตรงๆ จากปากมาร์คทำเทมส์หน้าชาไปครู่หนึ่ง คิ้วหนาเลิกจนหน้าผากขาวย่นเล็กน้อย
พร้อมกับเสียงแหลมที่ส่งเสียง ฮึ อย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร มาร์คเห็นปฏิกิรายาแบบนั้นก็หงอยลงไปอีกครั้ง

    “ขอโทษที่พี่...ผมคงจะใจร้อนไปหน่อย”

    มาร์คหัวเราะแหะๆ แค่เทมส์บอกรักเขาอย่างที่เขาใฝ่ฝันจะได้ยินก็ดีมากแค่ไหนแล้ว เขาก็เรียกร้องเยอะ
ไปอีกแล้ว แถมยังมีคนอยู่ในร้านอีกตั้งหลายคน เทมส์กล้าทำถึงขนาดนี้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว

    ทางด้านเทมส์เห็นหน้าเศร้าๆ ของมาร์คก็ปวดใจไม่แพ้กัน สุดท้ายก็พยักหน้ายอมและดึงแขนมาร์คให้
หันมาทางตัวเองอีกที

    “อ่ะๆ มาสิ”

    ร่างสูงหลุดหัวเราะเพราะภาพใบหน้าหล่อๆ ของมาร์คที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากหน้ายู่ๆ เป็นยิ้มกว้าง
มันเหมือนกับตัวสล็อตในการ์ตูนเรื่อง Zootopia เด๊ะๆ ก่อนจะเงียบลงเมื่อริมฝีปากถูกปิดด้วยปากของอีกฝ่าย
ที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง และโน้มตัวลงบนเก้าอี้ที่เทมส์นั่งอยู่แทน

    “ขอบคุณนะครับพี่เทมส์”

    เสียงต่ำกระซิบเมื่อตัวเองผละใบหน้าออกมาหายใจ ดวงตาทั้งสองคู่แอบสบกันระหว่างระยะห่าง
เพียงคืบ พร้อมกับเทมส์ที่ยิ้มตอบบางๆ

    “กูสิต้องขอบคุณมึง ที่ไม่ได้ลืมกูไปแล้ว”

    “ลืมไม่ได้หรอกครับ...ผมถึงต้องหนีหน้าพี่ตลอดเลยไง เจอทีไรมันจะเข้าไปคุยให้ได้”

    ทั้งสองหัวเราะเบาๆ ก่อนมาร์คจะกดริมฝีปากลงจูบอีกครั้ง พลางกลีบปากบางงับริมฝีปากล่าง
ของเทมส์อย่างหยอกล้อ



    ในที่สุดก็กลับมาเป็นเสือมาร์คขี้เอาเปรียบอีกแล้ว










    “แฮปปี้เอนดิ้งซะทีวะ โอ๊ย”

    เสียงแคปถูกขัดจังหวะทันทีด้วยแรงหยิกที่เอวจากมือพี่ชายแท้ๆ อย่างริส

    “เบาๆ หน่อยมึงอ่ะ ภาพหายาก”

    ริสกระซิบโดยขยับปากให้น้อยที่สุด พลางส่งแววตาดุๆ ใส่น้องชาย จนโดนยักคิ้วกวนตีนใส่ไปตามระเบียบ

    “แหม่ รอดูผมบ้างเห๊อะ เด็ดกว่านี้ชัวร์”

    ริสหัวเราะหึอย่างท้าทาย ก่อนขะเท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเคาน์เตอร์และหันมาเผชิญหน้ากับแคปเต็มตัว

    “พูดแบบนี้...แสดงว่ามีแล้วงั้นสิ?”

    “ไม่อ่ะพี่ มันโสดสนิท”

    เสียงของบุคคลที่สามที่แทรกขึ้นมาทำให้ริสเกือบหลุดขำ ส่วนแคปที่เล่นหูเล่นตากับพี่ชายจนลืมเพื่อน
ก็หันมาทำตาขู่ใส่เพื่อนตัวสูงที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างหลัง

    “ตอนนี้อ่ะโสด”

    ชายหนุ่มกระซิบพลางกัดฟันกรอด และหันกลับมายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ใส่พี่คนรอง





    "แต่อีกไม่นานแน่ พี่รอดูเลย”






    MACCHIATO : END.





TALK

ฮอลลลลล จบแย้ววววว (จบแค่เรื่องแรก)

ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆ ที่มาต่อตอนนี้ช้ามากกกกก
ตอนแรกว่าจะมาทุกๆ สองสามวัน แต่ช่วงนี้ขาหมูยุ่งมากๆๆ
จริงๆ ค่ะ ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย คืนนี้ได้มีเวลาพัก เลยมาลงตอนจบซะเลย
ตอนจบยาวมากกก เลยเนอะ 55555 แต่อยากให้มันจบภายในสี่ตอนพอดี
และถ้าแยกตอนมันจะสั้นไปอีก

ยังไงก็ จบไปแล้วสำหรับเรื่องแรกในซีรี่ส์ อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ?
อยากรู้ feedback จากคนอ่าน เพราะนี่ถือเป็นนิยายภาษาไทย
ที่ไม่ใช่ฟิคของเราเลยจริงๆ จะได้เอาไปปรับแก้ในเรื่อสามเรื่องต่อจากนี้
ทุกคอมเม้นมีความหมายกับเราเนาะ อิอิ เยิ้บ

ส่วนใครที่อยากคุยกัน ไปคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์นะคะ @kha_mhoo

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารัก...รอตอนต่อไป   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
CAPPUCCINO
Capturing our moments
CHAPTER 1


BGM







    กาแฟคาปูชิโน่ เป็นส่วนผสมที่เท่าๆ กันของเอสเปรสโซ นมร้อน และฟองนม อย่างละหนึ่งส่วน
ให้รสชาติและสัมผัสที่ละมุนกลมกล่อม ทั้งกลิ่นหอมของกาแฟ และความมันของนม เปรียบดั่ง
ความสัมพันธ์ที่อาจไม่มีคุณสมบัติใดโดดเด่น แต่ก็มีทุกๆ อย่างที่ละมุนละไมพอดีและลงตัว









    “มึงว่าใครรุกใครรับ”

    เท็นเหลือบตามองเพื่อนหนุ่มที่นั่งคนโอรีโอ้ปั่นในแก้วและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
ก่อนจะกลืนน้ำในปากตัวเองลงคอ

    “อะไรนะ?”

    “เทมส์กับมาร์ค”

    แคปตอบโดยที่ตามองไปทางทั้งสองคนที่ตัวเองกำลังพูดถึง ที่ยืนต่อคิวรอซื้อข้าวอยู่
ห่างไปจากโต๊ะของทั้งสองไม่ไกลนัก มือใหญ่ก็ชี้ปลายหลอดสีชมพูไปทางคู่ที่ว่าไปด้วย

    “ฮะ?”

    “ก็สองคนนั้นอ่ะ ใครรุก ใครรับวะ กูดูไม่ออก”

    เท็นรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่กลืนน้ำลงไปเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นต้องได้เผลอพ่นน้ำชาเขียว
ใส่หน้าเพื่อนเป็นแน่ ร่างสูงเจ้าของดวงตาคมกริบ และรอยยิ้มอบอุ่นแบบที่เป็นสเป็คของสาวๆ
หลายคน นิ่งไปเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ ก่อนจะเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทอีกครั้งให้แน่ใจ

    “กูได้ยินไม่ผิดใช่ป่ะ?”

    “อือ กูสงสัย”

    “แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ?”

    “อ่าววว ก็น้องกูอ่ะ กูก็อยากรู้ว่าน้องกูเป็นฝ่ายไหนตอนแบบ...นั้นอ่ะ เข้าใจป่ะ”

    เท็นกระพริบตาถี่ขึ้น ดวงตาโตๆ ดูคล้ายนกฮูกยังไงก็ไม่รู้ ในใจก็ต้องพยายามซ่อน
ความเขินไว้ไม่ให้อีกคนดูออก

    “กูคิดว่ามาร์คมันน่าจะรุกนะ เพราะมันก็ดูแมนๆ แถมยังเป็นฝ่ายตามจีบเทมส์มาตลอด
แต่เทมส์มันก็แมนเหมือนกันอ่ะ ไม่น่าจะเป็นฝ่ายรับได้”

    “แล้วมึงคิดว่าต้องเป็นยังไงอ่ะ ถึงจะเหมาะกับเป็นรับ?”

    “ก็…ไม่ได้ต้องตัวเล็กๆ ขาวๆ สาวๆ ไรงี้อ่อ?”

    “โหย อ่านการ์ตูนเยอะไปมั้ง”

    น้ำเสียงที่หล่อไม่ต่างจากใบหน้าของเจ้าของเท่าไหร่เอ่ยตอบขำๆ แต่ก็ยังคงความเรียบ
ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แคปหันกลับมามองเพื่อนชาย ดวงตากลมเหมือนน้องชายคนเล็ก
เบิกกว้างอย่างอยากรู้

    “แล้วมันต้องดูยังไงอ่ะ?”

    “มันก็น่าจะแล้วแต่คนป่ะ ว่าจะรุกหรือรับ บางคนดูสาวๆ ก็รุก บางคนแมนจะตาย ก็รับ
รูปภายนอกมันบอกอะไรไม่ได้หรอก เนี่ย ได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้บางคนก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นฝ่ายไหนด้วย
แบบ สลับได้เรื่อยๆ”

    เท็นตอบก่อนจะก้มลงดูดน้ำต่อ แต่พอรู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบจนมันทะแม่งๆก็เงยหน้ากลับ
ขึ้นมาอีกครั้ง และหลุดยิ้มกับใบหน้าเหวอๆ ของเพื่อน

    “มองหน้ากูมีไร?”

    “มึงนี่...รู้เยอะเนอะ เป็นป่ะเนี่ย?”

    “เหอะ ใครๆ เค้าก็รู้ มีมึงแหละ โง่”

    “อ้าว ไอ้-“

    “โอ๊ะ มีสายเข้าว่ะ”

    เท็นนึกดีใจที่มีคนโทรเข้ามาขัดจังหวะก่อนเข้าจะเผลอหลุดพูดติดขัดให้มีพิรุธออกไป
เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่โดนแคปถามว่าชอบใครอยู่ ร่างสูงยกมือขึ้นปรามอีกฝ่าย ก่อนจะ
หันหน้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงอีกข้าง

    “ฮัลโหลพีช หือ? อ้อ อยู่”

    เท็นพยักหน้างึกงัก ก่อนจะหันมามองหน้าแคป ส่วนแคปก็เลิกคิ้วและขยับปากถามว่ามีอะไร

    “ตอนนี้เลยใช่ป่ะ? โอเคได้ กำลังไปละ”

    เจ้าของผิวสองสีกับทรงผมที่เซ็ตมาดีตามแบบผู้ชายสำอางค์เก็บโทรศัพท์ของตัวเอง
ก่อนจะหันมาสบตากับแคปอีกที ส่วนพ่อหนุ่มหน้าขาว เจ้าของดวงดาตาโตๆ ก็ยิ้มแป้น

    “ลุกเลยมึงอ่ะ พีชนัดมึงไปดูน้องออดิชั่นตอนบ่ายโมงนี่”

    “เออว่ะ ลืมไปเลย”

    “ไม่ต้องมาลงมาลืม พีชบ่นอีกแล้วเนี่ยว่ามึงดองไลน์ แถมยังไม่รับสายเลย มีโทรศัพท์
ก็หัดใช้มั่งดิมึงอ่ะ เดี๋ยวนี้ใครจะติดต่อมึงก็ต้องโทรหากูตลอด”

    “ก็มึงเป็นผู้จัดการส่วนตัวกูไง”

    “ไม่ต้องเลยๆ ไปกันได้ละ”

    เท็นรีบคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเอง และหมุนตัวลุกออกจากโต๊ะอาหาร ส่วนแคปก็ทำเหมือนกัน
แค่ไม่ได้รีบร้อนอะไรเหมือนอีกคน

    “แหม่ อย่างน้อยกูก็ไม่เคยดองไลน์มึงนะ”

    คนตัวสูงกว่า พูดลอยๆ พลางก้าวขายาวขึ้นเพื่อเดินตามคนที่เดินออกไปก่อนให้ทัน
เท็นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่มุมปากข้างที่แคปไม่เห็นกลับยกยิ้มน้อยๆ

    “เวลามึงโทรมา กูก็รับด้วย น่อว เพราะฉะนั้น กูก็ให้คนอื่นโทรไปหามึงแล้วมึงค่อยโทรมาหากู
เป็นไง สบาย”

    “สบายมึงคนเดียวไง ไอ้สัส”

    เท็นหันมาหัวเราะหน้ากวนๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะดันประตูโรงอาหารเปิด รอให้แคปเดิน
ออกไปก่อน แล้วจึงตามออกไปทีหลัง




เมื่อก่อนอ่อนโยนยังไง ตอนนี้เท็นก็ยังอ่อนโยนอย่างนั้นมาเสมอ






_________________________




    4 ปีก่อน



    เสียงจอแจของคนในคณะนับร้อยชีวิตดังตีกันไปทั่วห้องประชุมแบบปิดในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง
ในจังหวัดสมุทรปราการ แคป หรือนาย อนณ วณิชกิจ ว่าที่นิสิตชั้นปีที่หนึ่งของคณะ BBA
เจ้าของตาโต และผิวขาวสะอาดสะอ้านแบบลูกครึ่งจีนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรมสีเทาเข้ม
ถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยและเท้าคางลงกับหัวเข่า

    อยากกลับบ้านจะตายอยู่แล้ว

    เขาหลับตาลง พยายามตัดเสียงรบกวนรอบตัวออกไปให้มากที่สุด คนอื่นอาจจะคิด
ว่าเขาจู้จี้จุกจิก แต่อาจเพราะเขามี perfect pitch และสมองมักจะสั่งให้เขาหงุดหงิดเวลาได้ยิน
เสียงอะไรที่โหวกเหวกไม่เป็นตัวโน๊ต และต้องปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงมักจะปลีกวิเวกอยู่เสมอๆ

    “ไม่ไปคุยกับคนอื่นหรอ?”

    เสียงแตกหนุ่มที่ทักขึ้นด้านหลังเรียกแคปขึ้นจากภวังค์ พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ค่อยๆ
ทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆ แคปค่อยๆ หันไปมองคนที่เข้ามาทักเขาเป็นคนแรกตั้งแต่รถบัส
มาถึงที่นี่ตอนเช้า ก่อนจะร้องโอ๊ะ ด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด

    “หือ? มีอะไร?”

    “นาย...ที่ชนะ overdrive”

    “โห รู้ด้วยหรอ? เขินแล้วแฮะ”

    งาน  overdrive ที่แคปพูดถึง คือการแข่งขันกีต้าร์ระดับประเทศ ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักดนตรี
ซึ่งได้รับการขนานนามว่ายาก และโหดที่สุด ใครที่ชนะมาได้ถือว่าฝีมือระดับเทพกันทุกคนและคน
ที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ คือ ธันวา เต็มพิริยะกุล คนที่ได้รางวัลชนะเลิศไปในปีล่าสุด
ในขณะที่ยังเรียนอยู่เพียงชั้น ม.6 เท่านั้นเอง น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้แคปไม่เคยสังเกตเห็นเลย

    คนที่เข้ามาทักเขาก่อนเปลี่ยนมาเขินจนหน้าแดงแทนเสียอย่างนั้น ร่างสูงเจ้าของผิวสองสี
และดวงตาคมแบบไทยแท้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาท้ายทอยเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามาสบตาแคป
เป็นครั้งแรก

    “ชื่อธันวาใช่ป่ะ?”

    “ใช่ แต่อันนั้นชื่อจริงนะ ชื่อเล่นชื่อเท็น และนายอ่ะ?”

    “เราชื่ออนณ ชื่อจริงชื่อแคป”

    ทั้งสองพยักหน้าแทนคำว่ายินดีที่ได้รู้จัก แคปมองไปรอบๆ ห้องอย่างกระอักกระอ่วน
เท็นเองก็เอาแต่นั่งยิ้มให้เขาอยู่นั่นแหละ

    “แล้วทำไมมานั่งหลบอยู่คนเดียวล่ะแคป? นี่ orietation trip นะ โอกาสจะได้อยู่กับ
เพื่อนร่วมรุ่นครบแบบนี้หายากนะเว่ย ไหนจะใกล้เปิดเทอมซัมเมอร์แล้วด้วย”

    “เราเข้าหาคนไม่ค่อยเป็นอ่ะ ทำตัวไม่ค่อยถูก แล้วทุกคนก็มาจากโรงเรียนเดียวกัน
รู้จักกันหมดแล้ว ไม่รู้จะไปอยู่กับใครดี”

    “โห หน้าตาอย่างนาย เราคิดว่าจะดังในหมู่สาวๆ ซะอีกนะ”

    “สาวก็มีเข้ามาแหละ แต่ไม่ได้จะอยู่ด้วยแบบเพื่อนกันไรงี้ป่ะ แล้วก็ไม่ได้คิดจะหาแฟนด้วย”

    เท็นร้องอ่อ ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งกอดเข่าแทน

    “งั้นเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ยล่ะ? เราก็ยังไม่มีเพื่อนเหมือนกัน”

    “เห้ยจริงดิ? อย่างนายต้องเป็นระดับเซเลปเลยดิ ดังขนาดนี้”

    “โถ่ ไม่หรอก ก็ดังเฉพาะในหมู่นักดนตรี พอมาอยู่กับพวกลูกเศรษฐี ลูกนักธุรกิจ
เรานี่โนเนมเลย แถมเรายังมาจากโรงเรียนรัฐบาล โปรแกรมไทยอีกต่างหาก เนี่ย
ไม่รู้จะไปคุยกับใครเหมือนกัน”

    ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก แคปเริ่มจะสบายใจขึ้นอีกมาก ไหล่ที่ตอนแรกยังเกร็งๆ
ก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นต่อหน้าเพื่อนคนแรกในคณะ

    “ไม่คิดเลยนะว่าจะมาเจอคนดังๆ แบบนายในรุ่นเดียวกัน”

    “ไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักเหมือนกันแหละ ว่าแต่ แคปก็เล่นดนตรีป่ะ? จำได้ว่าเห็นผ่านๆ
วันสอบสัมภาษณ์แล้วมีกระเป๋ากีต้าร์มาด้วย”

    เท็นดีดนิ้วนึกขึ้นได้ ว่าที่รู้สึกคุ้นๆ หน้าแคป ก็เพราะวันที่สอบสัมภาษณ์ เขานั่งกิน
ข้าวเที่ยงอยู่โต๊ะใกล้ๆ กับแคป และแอบเห็นคนตัวสูงสะพายกระเป๋าใส่กีต้าร์อยู่ไหวๆ

    “อ้อ ใช่ เราเล่นเบสอ่ะ”

    “เห่ยยย เท่สัส”

    “เท่อะไรล่ะ นายดิเท่จะตาย ถ้าคนที่โรงเรียนเรารู้ว่าเราเรียนที่เดียวกับนายนะ
อิจฉากันชัวร์”
   
    “โหย ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”

    “แล้วนี่จะเข้าวงดนตรีของคณะป่ะ?”

    แคปเริ่มพูดมาก หลังจากคุยกับเท็นได้สบายใจขึ้น ส่วนเท็นก็เอาแต่ยิ้มตอบ
พยักหน้า หรือตอบน้อยคำ ทั้งขี้อาย ทั้งขี้ถ่อมตัว ต่างกับคนเท่ๆ ที่แคปเห็นในทีวี
อย่างกับคนละคน

    “ยังไม่แน่ใจอ่ะ...แคปจะเข้าหรอ?”

    “อื้ม ดูสนุกดีอ่ะ อีกอย่างจะทำกิจกรรมอื่นในมหา'ลัยก็ไม่รู้จะทำอะไร”

    เท็นพยักหน้าอีกสองครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างจนแคปที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
ยังรู้สึกว่าอบอุ่นเหลือเกิน

    “งั้นเราเข้าด้วย”





___________________________









    “สวัสดีครับ ชื่อเอฟ ธนัตถ์ พร้อมบรรจง ปี 1 ภาคบริหารครับ”

    “เชิญนั่งครับน้องเอฟ”

    พีช เพื่อนหนุ่มหน้าหวานที่คงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นมือกลองที่เล่นกระเดื่องคู่โหดที่สุดในวง
ยิ้มหวานให้รุ่นน้องชายที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกีต้าร์สีเทาด้าน ที่เรียกเสียงหูยจากเท็นที่
นั่งอยู่ที่มุมห้องทันที

    “เห้ยยย นั่นมัน Matthew Bellamy Signature ไม่ใช่หรอ?”

    “ฮะๆ ใช่ครับพี่”

    “ของแท้เลย?”

    เอฟยิ้มบางๆ และพยักหน้ารับ ส่วนเท็นก็นั่งจ้องกีต้าร์ตัวงามปากค้าง นี่มันกีต้าร์ในฝัน
ของเขาเลยนี่นา เคยแอบไปเล่นของพี่ที่เล่นร้านด้วยกันอยู่บ้าง แต่ราคาหลักแสนแบบนี้
พ่อแม่ฆ่าเขาตายก่อนชัวร์

    “ล่อซะรุ่นใหญ่เบอร์นี้ คงเล่นเก่งไม่เบาล่ะสิน้อง พี่จะรอดู”

    เท็นยิ้มให้กำลังใจรุ่นน้อง และทิ้งตัวพิงโซฟาสีน้ำเงินริมผนังที่ตนนั่งอยู่ ไหนๆ วันนี้เขาก็แค่
มานั่งดูเฉยๆเพราะไม่ได้มีสิทธิตัดสินอะไรน้องมากนัก เนื่องจากตัวเองไม่ได้เป็นคณะกรรมการวง
เขาก็ขอนั่งฟังเพลงเพลินๆ แล้วให้เรื่องหนักๆ กับพวกพีชกับแคปจัดการแล้วกัน

    “พร้อมเมื่อไหร่เริ่มเลยนะครับ มีเวลาสองนาที เล่นเพลงที่เตรียมมาได้เลย”

    แคปว่าพลางอ้าปากหาวเพราะตั้งแต่เริ่มออดิชั่นไปตอนบ่ายโมง นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว
ไม่รู้ว่าพีชคิดยังไงจัดออดิชั่นทุกพาร์ทพร้อมกันวันนี้หมด เขาเลยต้องนั่งยาว แถมปีนี้คนยังมา
ออดิชั่นกันบานเชียว เท่าที่แอบดูแถวข้างนอกก็มีรอกันอยู่อีกเจ็ดแปดคนเห็นจะได้

    น้องเอฟจัดการตั้งเสียงตั้งเอฟเฟคต์กีต้าร์อีกสักครู่ ก่อนจะเริ่มตีคอร์ดแรกเพื่อเช็คเสียง
แคปแอบหันไปมองเท็นเพื่อถามว่าท่าทางน้องใช้ได้รึเปล่า แต่เท็นกลับกำลังมองเอฟตาเป็นประกาย
จนไม่ทันสังเกตเขาเลย เขาจึงหันกลับมาเงียบๆ

    “เริ่มนะครับ”

    เอฟเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พี่ๆ ทั้งหกคนในห้อง ก่อนจะก้มลงหลับตาและหลุดเข้าสู่ห้วงความคิด
ของตัวเอง ปลายนิ้วยาวค่อยๆ เกาโน๊ตขึ้นมาทีละตัวสองตัว ก่อนจะเร็วขึ้น และเพิ่มเป็นคอร์ด
เสียงทั้งสูงและลอย ที่ถูกออกแบบทางคอร์ดมาอย่างดีสะกดทุกสายตาตรงหน้าได้อยู่หมัด
ไหนจะทั้งวิธีการเล่นที่วางนิ้วและดีดสายบนเฟรตเหมือนเล่นเปียโน แทนที่จะจับแบบเล่นกีต้าร์ปกติ
ที่น้อยคนนักจะทำได้ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเด็กตัวแค่นี้ แถมยังท่าทางหงิมๆ จะเก่งจนพี่ๆ บางคน
อายไปเลย

    เสียงกีต้าร์ตัดจบไปเมื่อท่อนโซโล่แบบฟิงเกอร์จบลงเนื่องจากเวลาที่มีจำกัด โต้ง มือกีต้าร์
ที่เป็นกรรมการเหมือนกันบ่นอุบอิบว่าเสียดาย เพราะอยากฟังน้องเล่นแบบตีคอร์ดบ้าง ส่วนน้องเอฟ
พอเล่นเสร็จ ก็ค่อยๆ เรียกสติกลับมายิ้มให้พี่ๆ เป็นเด็กขี้อายเหมือนเดิม

    จะมีก็แต่รอยยิ้มแหยๆ ที่เจ้าตัวหันไปส่งให้เท็นที่นั่งปรบมือเบาๆ อยู่ที่มุมห้องเนี่ยแหละ
ที่ทำรุ่นพี่คนอื่นงงไปตามๆ กัน

    “เดี๋ยวพี่ๆ จะขอสัมภาษณ์น้องเอฟอีกนิดนึงนะครับ”

    เสียงพีชดึงความสนใจของแคปกลับไปอีกครั้ง เอฟพยักหน้า ก่อนจะวางกีต้าร์นอนลงบนตัก

    “ทำไมน้องถึงอยากมาสมัครวงของคณะครับน้องเอฟ?”

    “ก็ จริงๆ ผมมาสมัครตามไอดอลของผมน่ะครับ”

    “อ้อ ที่เขียนไว้นี่ใช่มั้ย?”

    แคปเลิกคิ้วให้คำถามของพีชเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงอ่านใบสมัครของเอฟบนโต๊ะบ้าง เอาจริงๆ
เขาไม่ใช่สายอ่านอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เพราะเขาจะรับบทเป็นพี่ใจแข็ง ที่คัดน้องตามสกิลอย่างเดียวมาตลอด
และคำตอบในแต่ละช่องของเอฟก็ทำให้แคปร้องอ๋อในใจ

    “ครับ คือผมปลื้มพี่เท็นมากเลยอ่ะครับ เลยอยากมาเล่นดนตรีในวงเดียวกันซักครั้งนึง”

    “ในนี้เขียนว่าเริ่มเล่นกีต้าร์เพราะไอ้เท็นมันเลยเหรอ?”

    “ใช่ครับพี่ คือตอนที่พี่เท็นชนะ Overdrive พี่เค้าดังมากในหมู่เพื่อนๆ ผม แล้วผมก็ได้ดูพี่เค้า
ในรอบชิงชนะเลิศพอดี ผมเห็นว่าพี่เท่มาก ก็เลยตัดสินใจเริ่มเรียนบ้าง”

    “เห้ย งั้นก็เล่นมาแค่สามปีกว่าๆ เองอ่ะดิ?”

    เอฟยิ้มเขินๆ และพยักหน้า เรียกเสียงฮือฮาจากคนในห้องไปอีกรอบยาวๆ เท็นเองก็ดูชื่นชม
น้องไม่น้อย ทั้งสองคนแลกยิ้มกันเล็กน้อย ก่อนเอฟจะหันไปตอบคำถามจากหัวหน้าพาร์ทกีต้าร์
อีกสองสามคำถาม

    แคปก้มลงอ่านใบสมัครตรงหน้าอีกครั้ง เลยว่าล่ะว่าทำไมวิธีเล่นกับเพลงที่น้องเล่นเมื่อกี๊มันคุ้นๆ
เพราะมันเป็นเพลงที่เท็นใช้แข่งงาน Overdrive จนได้รางวัลชนะเลิศมาตอนม.6 แถมยังใช้วิธีเล่นเดียวกันเด๊ะ
ท่าทางจะเป็นแฟนคลับจริงอย่างที่ว่า

    “ครับ งั้นรอประกาศผลอาทิตย์หน้านะครับ โชคดีน้อง”

    พีชพูด ก่อนพี่ๆ ทุกคนจะโบกมือลาน้องพร้อมๆ กัน เอฟจัดการข้าวของของตัวเอง ก่อนจะขอตัว
ออกไปจากห้องออดิชั่น และเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากทุกสารทิศทันที

    “เชี่ยยยยย น้องแม่งโคตรเมพ ตอนเล่นได้สามปีนี่ กูยังสแลปไม่แข็งเลย”

    โต้งพูดขึ้นมาพลางบ่นซ้ำไปซ้ำมาว่าต้องรับน้องเข้าวงให้ได้ ส่วนพีชก็หันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เท็น
ที่ยังทำหน้าอึ้งอยู่เหมือนเดิม

    “บัลลังค์มึงสั่นคลอนละว่ะ คุณธันวา แชมป์ overdrive”

    “หึ ยังไงกูก็เป็นไอดอลเค้าล่ะเว้ย”

    คำตอบของเท็นเรียกเสียงโห่จากทุกคนในห้อง รวมทั้งแคปด้วย ทั้งสองคนสบตากันผ่านๆ ครั้งหนึ่ง
เท็นยิ้มให้แคปเช่นเคย แต่แคปกลับแค่มองมาเฉยๆ และรีบหันกลับไปเมื่อประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง
พร้อมรุ่นน้องที่จะมาออดิชั่นคนต่อไป



 
_____________________________________


   
    “แคป ไหวมั้ย?”

    เสียงของคนสนิทที่ข้างหูใช้เวลานานกว่าปกตินิดหน่อยกว่าจะไปถึงโสตประสาทของคนที่
นอนฟุบอยู่กับโต๊ะอลูมิเนียมตัวสูง เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกพยักหน้าเนือยๆ สองครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ

    “เมาอีกแล้วสิ บอกแล้วไงว่าพี่ๆ เค้าชวนก็ไม่ต้องยอมกินทุกรอบ ดูแลตัวเองมั่งมึงอ่ะ”

    “อืม”

    คำตอบสั้นๆ ที่ต่อเนื่องยาวมาตั้งแต่ที่ทั้งสองออกจากมหา'ลัยมาเมื่อตอนเย็น จนกินข้าว
และมาเล่นดนตรีที่ร้านนี้จบทำให้เท็นขมวดคิ้วแน่นกว่าที่เป็น ร่างสูงที่คอยนั่งดูเพื่อนคออ่อนมา
ตั้งแต่เริ่มดื่มถอนหายใจ และยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลของเพื่อนรักไปมา

    “มึงงอนกูใช่มั้ย?”

    “เปล่า”

    “แต่มึงหลบหน้ากูมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้วนะ”

    “เปล่า ไม่ได้หลบ"

    “นั่นไง ถามคำตอบคำแบบนี้ ใช่เลย อ่ะ ตอบมาดิ๊งอนเรื่องอะไร?”

    แคปค่อยๆ ยกคอหนักๆ ขึ้นจากโต๊ะและหันมาสบตาเพื่อนหนุ่มที่ยิ้มมองเขาอย่างเป็นห่วง
มือสากยกขึ้นแปะข้างแก้มเท็นเบาๆ พลางใบหน้าขาวระบายยิ้มหวานจนเท็นใจเต้นวูบวาบ
และเปลี่ยนกลับมาขมวดคิ้ว ก่อนจะดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง

    “ไม่งอนโว้ย กูง่วง”

    ว่าแล้วก็คอพับลงไปฟุบโต๊ะอีกครั้ง โชคดีที่เท็นไหวตัวทันและดึงหัวกลมไปพิงไหล่ของตัวเอง
ทันพอดิบพอดีอย่างอัตโนมัติ คงเป็นเพราะเท็นเป็นคนคอยดูแลแคปทุกครั้งที่เมามาตลอดสี่ปีก็ได้

    “โอเค ง่วงก็ได้”

    หนุ่มผิวเข้มก้มมองคนที่เอาหน้าซุกไหล่เขานิ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ มืออุ่นยกขึ้นลูบกลุ่มผม
สีน้ำตาลไปมาอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวใจสั่นมานับไม่ถ้วนถูกส่งไปให้คนที่ไม่รู้
เรื่องรู้ราวเพียงผู้เดียว

    “กูก็คิดว่ามึงจะหึงกูซะอีก”

    ว่าแล้วก็หัวเราะกับความคิดเข้าข้างตัวเอง ก็อย่างที่ว่านั่นล่ะ เห็นแคปท่าทางแปลกๆ
ตั้งแต่หลังน้องเอฟเข้ามาออดิชั่นและเขาชื่นชมน้องออกนอกหน้า เท็นก็แอบคิดไปว่าแคป
อาจจะกำลังหึงเขาอยู่ ไม่รู้ไปเอาไอเดียอะไรพวกนี้มาจากไหน

    “เท็นนน”

    “หือ?”

    “อยากกลับบ้านแล้ว”

    เสียงของคนที่เท็นคิดว่าหลับไปแล้วร้องอ้อนขึ้นมาอีกครั้ง เสียงที่ปกติทั้งแหบทั้งหาว
กลายเป็นเสียงอู้อี้ๆ แถมยังพูดเปลี้ยๆ เหมือนเด็กยังไงอย่างงั้น เท็นได้ยินเจ้านายน้อยก็อมยิ้ม
และพยักหน้ารับ

    “ครับๆ กลับบ้านกัน”

    ก็เพราะน่ารักแบบนี้นี่แหละ คุณธันวาถึงหลงรักคุณอนณหัวปักหัวปำแบบนี้ บทจะแมน
ก็แมนสุดๆ บทจะน่ารักก็น่ารักจนเท็นหวั่นไหวทุกครั้ง ตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสี่ เขาก็ไม่เคยชิน
กับอาการใจสั่นนี่เสียที

    เท็นหันไปเรียกพนักงานในร้านให้เรียกแท๊กซี่ และช่วยแบกกระเป๋ากีต้าร์ กับกล่องเอฟเฟ็กต์
ออกไปรอหน้าร้าน ร่างสูงค่อยๆ ช้อนแขนรอบเอวบางๆ ของเพื่อนสนิท ก่อนจะค่อยๆ ดึงตัวอีกคน
ให้ลุกขึ้นยืน แขนข้างที่ว่างก็เอื้อมหยิบกระเป๋าของตัวเองกับของแคปมาสะพายจนรุ่มร่ามไปหมด

    “พี่ช่วยมั้ยน้อง?”

    “ไม่เป็นไรครับ สบายมาก”

    เท็นรีบหันไปยิ้มตอบเสียงของลูกค้าหนุ่มโต๊ะข้างๆ ที่นั่งอยู่ตั้งแต่ตอนพวกเขาเล่นดนตรีอย่างสุภาพ
แต่ก็เน้นคำว่าไม่อย่างชัดเจน





    ที่แคปโสดและปลอดภัยมาได้สี่ปี ทั้งที่เมาปลิ้นแทบทุกอาทิตย์แบบนี้ คิดว่าใครกันล่ะที่คอยกันหมา?




   

    “เท็นนน”

    “ครับๆๆ?”

    “เมื่อไหร่จะถึงบ้านน?”

    “รถยังไม่มาเลย รอก่อนนะแคป”

    เท็นจัดปอยผมหน้าม้าเปียกเหงื่อของอีกฝ่ายไปทัดหูอย่างเบามือ ก่อนจะจัดตำแหน่งหัว
ของแคปบนไหล่ขวาให้นอนสบาย และไม่เมื่อยคอ มือซ้ายก็ยกพัดหน้าหล่อๆ ของคนเมาอยู่เรื่อยๆ
ไม่รู้ทำไมคืนนี้ถึงไม่มีแท็กซ๊่ผ่านมาซักคัน เขาเลยต้องมานั่งรอหน้าป้ายร้านแบบนี้มาเกือบห้านาทีแล้ว
ตัวเองน่ะไม่ห่วงหรอก แต่คุณชายแคปเนี่ยสิ บ่นทุกๆ สองนาทีเลย

    “เท็นนน”

    “ครับผมม”

    เสียงเจื้อยแจ้วของเท็นเหือดลงไปทันทีที่อ้อมแขนยาวโยนมาโอบกอดรอบเอวของเขาไว้
ใบหน้าของอีกคนที่ซุกอยู่บนไหล่ย้ายลงมาซบที่อกขวาของเขาแทน เท็นนั่งตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้น
ได้แต่พยายามหายใจช้าๆ ให้หัวใจที่เต้นรัวช้าลง ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีแดงด้วยความเขิน เสียงพูด
ก็ตะกุกตะกักไม่เป็นคำไปหมด

    “ค…แคป”

    “เท็น มึงเป็นเพื่อนกูนะ”

    คำพูดที่คล้ายๆ จะตอกย้ำเท็นยังไงก็ไม่รู้เรียกสติคนที่ถูกกอดกลับมาได้ในปริมาณนึง
เท็นส่งเสียงอืม ก่อนจะพยักหน้า และย้ายมือไปแปะไหล่แคบสองสามครั้ง แคปยิ้มบางๆ
ก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงบนอีกคนมากขึ้น

    “ต่อให้มึงจะมีแฟน มีเพื่อนไหม่ มีแฟนคลับที่เข้ามาหามึง ไม่ว่ายังไง มึงก็ห้ามทิ้งกูนะเท็น
...กูมีมึงเป็นเพื่อนคนเดียวนะ”

    เสียงต่ำอู้อี้เพราะหน้าแคปแนบชิดอยู่กับเสื้อนิสิตของเท็น เท็นค่อยๆ ระบายยิ้มบางๆ

    นั่นไง เรื่องเมื่อตอนเย็นจริงๆ ด้วย ถึงจะไม่ไก้หึง แต่ที่แคปงอนก็เพราะหวงเพื่อนนี่เอง

    “กูก็มีมึงแค่คนเดียวเหมือนกันแคป”

    เท็นค่อยๆ วาดแขนกอดอีกคนตอบ และวางคางลงกลางหัวแคปเพื่อระชับกอดให้แน่นขึ้น

    “หายใจไม่ออก”

    “ขอแป๊บนึงนะแคป ไหนๆ เดี๋ยวมึงก็จะลืมอยู่ดี”

    ใบหน้าคมระบายยิ้มเศร้า ดวงตาคมมองเหม่อออกไปที่ป้ายไฟนีออนหลากสีหน้าร้าน
ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นรถแท็กซี่วิ่งผ่านไปสองสามคัน แต่ยังไม่มีอารมณ์จะออกไปโบก

    ที่ว่าเดี๋ยวแคปจะลืม ก็เพราะเท็นรู้ดีเลยยังไงล่ะ ว่าทุกครั้งที่แคปเมาเละแบบนี้ เขาก็มักจะตื่นมา
แบบจำอะไรไม่ได้ทุกที เป็นแบบนี้มาตลอดสี่ปี...และเขาเองก็มักใช้ช่วงเวลาแบบนี้แสดงออกถึง
ความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองมาเสมอ

    ร่างสูงเคลื่อนใบหน้าเพื่อเปลี่ยนมาจูบกระหม่อมของอีกฝ่ายเบาๆ และดึงอีกคนมากอดอย่างแนบชิด
พลางจรดปลายจมูกกับหลังใบหูขาว เสียงทุ้มค่อยๆ เอื้อนเอ่ยประโยคที่เขามักจะลอบบอกเพื่อนขี้เมา
มาตลอดสี่ปี

    “กูรักมึงนะแคป”

    เท็นยกยิ้มเมื่อรู้สึกถึงผมนุ่มที่ขยับไปมาจากการพยักหน้าของคนในอ้อมกอด ก่อนจะพยักหน้า
รับคำตอบที่ได้ยินมาตลอด

    “อือ”


   


    มือใหญ๋ค่อยๆ ลูบผมสีอ่อนเล่นอย่างรักใคร่ พยายามซึมซับช่วงเวลานี้ไว้เยอะๆ
ก่อนโอกาสหน้าจะมาถึง



    “ครั้งที่ 99”



    ใบหน้าคมอมยิ้ม หัวใจดวงโตเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น




    “อีกครั้งเดียว”








TBC.



TALK

กลับมาแล้ววววววว

หลังจากหายไปนานมาก เพราะเรามีงานสำคัญที่ต้องลาหายจากอินเตอร์เน็ตไปนาน
แง กว่าจะได้กลับมาอัพ คิดว่าหลังจากนี้ได้รีบแต่งต่อจริงๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะเราว่าง 555
เรื่องแรกกับร้องมาร์คจบแล้ว ตอนนี้เป็นเรื่องของน้องคนรองสุดท้องบ้างแล้วนะคะ
มาลุ้นกันดีกว่า ว่าเพื่อนเท็นคนนี้จะทำยังไงต่อไป

ป.ล. ใครที่อาจจะรู้สึกคุ้นๆ กับชื่อธันวา แถมยังเรื่อง overdrive คิดไม่ผิดหรอกค่ะ
เราเอา ref มาจาก the TOYs 555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2017 10:57:13 โดย KhaMhoo »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารัก.. o13

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
สงสารเท็น T^T

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #2
«ตอบ #17 เมื่อ17-09-2017 22:20:03 »

CAPPUCCINO
Capturing our moments
CHAPTER 2


BGM







    “แคป”


    “แคป มึงฟังกูอยู่รึเปล่า?”

   
    เสียงงัวเงียที่เหมือนจะพูดว่าฟังแต่ก็ติดอยู่ที่ลำคอจนออกมาเป็นเสียงอู้ๆ เท่านั้นดังออกมา
จากร่างที่ไม่ค่อยมีสติของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาว ที่เพิ่งถูกคนถามวางลง
บนเตียงเมื่อกี๊

    แคปค่อยๆ พลิกตัวมานอนหงาย ก่อนจะเหลือบตามองคนที่กำลังยืนมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

    “ฟังอยู่”

    “นี่…กูมีเรื่องอยากจะบอกมึงว่ะ”

    คนที่เมาจนอ้วกไปครั้งหนึ่งแล้วตอนเพื่อนร่วมห้องคนนี้ไปลากออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่ที่จับ
อัดเหล้าเพียวไม่ยั้งเลิกคิ้วเป็นเชิงให้เพื่อนหน้าหล่อพูดต่อ

    “กูชอบมึงนะแคป”

    ทั้งสองสบตากันโดยไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรขึ้นมาอีก ในอกของคนที่เพิ่งสารภาพรักแน่นไปหมด
เพราะหัวใจมันเต้นแรงจนเลือดสูบฉีดไปทั้งหน้า ส่วนคนที่นอนหยังศพอยู่บนเตียงก็หรี่ตาจนเหมือน
จะหลับอยู่แล้วเพราะปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมันทำให้ตาพร่ามัวไปหมด

    “อือ”

    เสียงสุดท้ายพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของแคปถูกส่งมาให้อีกฝ่ายใจเต้นก่อนร่างสูงจะ
น็อคเอาท์ไปจนได้

    แต่ใครมันจะคิด ว่าเช้าวันต่อมาแคปจะลืมทุกอย่างไปเสียหมดจด

    และนี่ก็คือครั้งแรก ที่เท็นสารภาพรักกับแคป ก่อนจะยังคงมีครั่งต่อมาเรื่อยๆ โดยที่เท็น
ปฏิญาณไว้กับตัวเอง ว่าถ้าครบ 100 ครั้งแล้วแคปยังไม่ปฏิเสธเขา เขาจะลองเสี่ยงสารภาพตรงๆ
ตอนแคปสติดีดูสักครั้ง

    จะหาว่าเล่นใหญ่ก็ได้ แต่เพราะแคปเป็นคนที่สำคัญมากรองจากพ่อแม่สำหรับเท็นเลยนี่นา
ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าบอกรักออกไปแล้วต้องเสียเพื่อน เท็นก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเหมือนกัน




 ______________________________





    "เมื่อคืนขอบคุณนะครับพี่เท็น”

    เสียงของเอฟดังขึ้นหลังจากเสียงเปิดประตูห้องแบนด์ เท็นกับแคปที่นั่งอยู่ที่เปียโนไฟฟ้า
จึงหันหลังให้ประตูอยู่หันไปมอง ก่อนเท็นจะยกมือขึ้นโบกทักทายรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มกว้าง

    “เอ้ยหวัดดี เรื่องเล็กมากมึง น่าจะบอกตั้งนานแล้วนะว่าบ้านอยู่ตรงนั้น ทางผ่านพอดี
วันหลังเดี๋ยวกลับกับกูก็ได้”

    “โหย ถ้าป๋าใจดีแบบนี้ ผมขอติดรถกลับบ้านทุกวันเลยได้ป่ะ?”

    “คงต้องถามคนที่ขับบ้านพากูไปส่งละแหละ”

    เท็นหัวเราะร่วนเมื่อพูดแซะเพื่อนตัวสูงที่นั่งมองเขาด้วยหางตาอยู่ข้างๆ

    “ก็ไปด้วยกันดิ”

    “จริงหรอครับพี่แคป?”

    “หมายถึงเอฟก็มากับพี่ ให้เท็นมันขี่จักรยานกลับบ้านเอง คนบ้าอะไรขี่มาเรียนได้ แต่ขากลับ
ต้องกระแดะนั่งรถกูกลับ นี่กูเสียค่าน้ำมันขนกลับให้มากี่ปีละเนี่ย”

    “อ้าวววว ไม่เอาดิมึงงง”

    เท็นเปลี่ยนจากยิ้มกว้างมาทำเป็นอ้อนเหมือนเด็กๆ ใบหน้าคมเบะปากและร้องงุ้งงิ้งเหมือน
แฟนสาวขอแฟนซื้อเครื่องสำอางค์ ซึ่งยิ่งมองก็ยิ่งขนลุก แคปเลยยกมือปรามไว้ก่อนจะได้หลุดขำ
ออกมาจริงๆ แต่พอจะหันกลับมาคุยกับเอฟ ก็พบว่าเอฟแอบเดินผ่านพวกเขาไปหากลุ่มพาร์ทกีต้าร์
ที่มุมห้องเสียแล้ว

    “มึงกลับบ้านกับน้องเค้ามาหรอเมื่อคืน?”

    “ใช่ พอดีจากร้านมามันผ่านบ้านน้องก่อน กูเลยให้ติดไปด้วยกันเลย”

    “ที่ว่าหาคนเล่นแทนกูได้ก็คือน้องเอฟหรอ?”

    “เยป”

    แคปร้องอ๋อเบาๆ ก่อนจะหันกลับมากดคอร์ดเพลงที่เล่นค้างไว้เมื่อกี๊ต่อ พอดีเมื่อคืนมี
เพจรีวิวร้านอาหารมาถ่ายรายการที่ร้านถึงดึกดื่น เขาเลยถูกพี่อัพจองตัวยาวและต้องลางาน
เล่นร้านไปคืนหนึ่ง ที่เท็นบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะหามือเบสมาแทนได้ก็คือน้องเอฟนี่เอง

    “ก็ดีนะ รู้ว่ามีคนแทนได้ วันหลังถ้ากูมีธุระมึงได้เรียกน้องไปแทนได้อีก”

    “โหย คราวหน้ากูคงเรียกไอ้แทนไปแหละ พาร์ทเบสยังไงก็สกิลแข็งกว่า แต่เมื่อคืนมันด่วน
น้องมันเลยว่างอยู่คนเดียว”

    “แต่น้องก็สนิทกับมึงดีไง เวลาสั่งอะไรจะได้คุยง่ายๆ พวกคนพาร์ทกูมันดื้อจะตาย”

    เท็นเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ตอบเสียงนิ่ง แต่ก็ปฏิเสธที่จะหันหน้ามาจาก
คีย์เปียโนและสบตากับเขา แววตาคมเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ว่าแคปจะพยายามพูดยัดเยียดเอฟ
ให้เขาขนาดนั้นทำไม

    “กูก็ไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้น”

    “ถ้ามึงมาไม่ได้ กูก็คงเรียกน้องมาแทนเหมือนกันอ่ะแหละ”

    แคปตัดบทสนทนาด้วยคำพูดห้วนๆ ไม่เหมือนกับน้ำเสียงปกติเลยสักนิด เท็นกระพริบตางงๆ
แต่ไม่ทันจะได้ตอบ เสียงโต้ง หัวหน้าพาร์ทกีต้าร์ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “แคปเท็น พวกมึงมาช่วยกูแกะเพลงนี้หน่อย เริ่มเข้าคอร์ดงงๆ ละว่ะ กูไม่ชัวร์”

    แคปตะโกนกลับไปว่าโอเค ก่อนจะหันมาคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนแสตนด์โน๊ตตรงหน้า
แต่เท็นก็ยังมองออกเช่นเคยว่าเขาแค่กำลังหาทางหนีความอึดอัดตรงนี้ไปเหมือนทุกครั้ง จึงคว้ามือ
ข้างนั้นเอาไว้ได้

    “สำหรับกูอ่ะ ใครก็แทนมึงไม่ได้หรอกนะเว่ย”

    ร่างสูงที่จากกำลังดันตัวขึ้นยืนค่อยๆ เข่าอ่อนลงไปนั่งกับเบาะหนังสีดำอีกครั้ง
ริมฝีปากสีสวยอ้าค้าง

    “เย็นนี้กูกลับด้วยนะ"

    ประโยคที่ดูผิดที่ผิดทางถูกกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน พร้อมกับมืออุ่นที่วางลงบน
กลุ่มผมของคนที่สูงกว่าแต่กลับทำตัวเป็นเด็กขี้แย เท็นยิ้มบางๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืน
และเดินไปหาโต้งได้ก่อน ทิ้งแคปให้นั่งจมอยู่กับความอุ่นจากสัมผัสเมื่อกี๊อยู่ที่เดิม

    อาการงี่เง่าเมื่อกี๊มันคืออะไรเขาก็ไม่รู้

    แล้วอาการใจสั่นแบบนี้มันมาจากไหน...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน





____________________________




    เสียงแกร่กๆ ของโซ่จักรยานดังขึ้นมาในความมืด ก่อนจักรยานสีขาวกับชายหนุ่มในสภาพ
ผมเปียกเหงื่อและเสื้อนิสิตยับย่นจะค่อยๆ โผล่มาในแสงจากเสาไฟข้างทาง

    "แคป!"

    “ท..เท็น"

    เท็นเห็นเพื่อนที่นั่งกอดเข่าอยู่ริมถนนก็รีบปั่นจักรยานเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เสียงเอี๊ยดจากการจอดแบบกระทันหันดังก้องไปทั่วบริเวณ

    แคปเงยหน้าไปสบตาเพื่อนผิวเข้มและหัวเราะแหะๆ เบอร์เท็นกลายเป็น contact ฉุกเฉิน
ของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่เดี๋ยวนี้เกิดอะไรขึ้นแคปก็มักจะโทรหาเท็นก่อนพ่อแม่
เสียด้วยซ้ำ

    วันนี้ก็เหมือนกัน ระหว่างทางกลับบ้านจากจากทำเคสกับกลุ่มที่มหา’ลัยตอนตีหนึ่ง
ด้วยความง่วงสะสมมาตั้งแต่สองวันก่อนแคปก็เกิดหลับในและขับรถตกถนนและชนเสาไฟฟ้าเข้า
ยังดีที่หมู่บ้านของเขาอยู่นอกตัวเมืองจึงไม่มีรถอื่นมากนัก และเขาเองก็ไม่เจ็บตัว แต่ความช็อค
ก็เอาเสียสติล่องลอยออกไปหมด อย่างเดียวที่ทำไปโดยอัตโนมัติก็คือโทรหาเท็นเนี่ยแหละ

    "จริงๆ มึงไม่ต้องมาก็ได้นะเว่ย กูแค่เห็นทางมันเปลี่ยวๆ เลยหาคนคุยด้วย"

    “ก็เพราะทางมันเปลี่ยวนี่ไงกูถึงมา ดึกดื่นขนาดนี้มึงจะมานั่งอ๊องอยู่คนเดียวแบบนี้ได้ไง”

    “เห่ยย กูเป็นผู้ชายนะ ไม่โดนใครลากไปข่มขืนหรอก”

    “มันอันตราย จะผู้หญิงผู้ชายก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละ”

    เท็นขมวดคิ้วและตอบเสียงซีเรียสแบบที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก ร่างสูงยื่นขวดน้ำจากถุงเซเว่น
ที่ห้อยที่จับข้างขวาของจักรยานมาให้แคป ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาเหลือบไปมองสภาพรถ
ด้านหลัง ก่อนจะส่ายหัวเอือมกับเพื่อนที่ทำตัวเหมือนเด็กไม่มีเปลี่ยน

    “ก็รู้ว่าตัวเองไม่ไหวจะฝืนขับมาทำไมเนี่ย”

    “ตอนออกมาคิดว่าไหวไง แล้วค่าจอดรถก็แพงด้วย”

    “แล้วคุ้มมั้ยล่ะ?”

    แคปถอนหายใจ ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่คนที่กำลังทำตัวเป็นพ่อบ้าง

    “ว่าแต่กูเถอะ มึงก็ปั่นจักรยานออกถนนใหญ่มาดึกๆ ดื่นๆ ไม่กลัวรถชนรึไง?”

    “กูมีสติแล้วกัน”

    “แต่ช่วงนี้รถบรรทุกมันวิ่งเยอะ กูโทรหาประกันแล้ว เดี๋ยวเค้าก็มากัน แต่มึงอ่ะ
ถ้าโดนรถชนจะทำไง”

    เท็นผงะกับน้ำเสียงที่ค่อยๆ ดังและจริงจังขึ้น จึงเป็นฝ่ายหยุดเถียงไปเอง ทางด้านแคป
พอพูดจบก็หันกลับไปยกน้ำดื่มอึกใหญ่

    “ทำไม? เป็นห่วงกูอ่ะดิ”

    “ก็เออดิ ที่กูยอมแบกจักรยานมึงกลับบ้าน ขับรถมาส่งทุกวันตั้งแต่ปีหนึ่งเนี่ย คิดว่า
เพราะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่กูกลัวมึงจะโดนรถชนเดี้ยงไปซะก่อนอ่ะ?”

    “คิดว่าเป็นพ่อหนุ่มใจบุญ”

    “อ่ะ อันนั้นมันก็แน่นอน”

    “ตึงโป๊ะ”

    “แฮ่! ทุ้ย!”

    เท็นยังคงตบมุกแคปได้อย่างรู้จังหวะเช่นทุกครั้ง และสุดท้ายบทสนทนาซีเรียสๆ
ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเช่นเคย เสียงหัวเราะของทั้งคู่ยังคงดังคลอเสียงจิ้งหรีดกับรถ
ที่วิ่งผ่านไปมาเป็นครั้งคราวไปอีกพักใหญ่ จนรถประกันมาถึงที่เกิดเหตุในที่สุด









    “มึงนี่ก็แปลกเนาะ”

    “หือ?”

    “มีรถให้นั่งกลับไม่นั่ง มานั่งถ่วงรถกู”

    แคปที่นั่งซ้อนหันหลังพิงกับเท็นอยู่บนจักรยานเอี้ยวตัวกลับมาฟาดหัวเพื่อนคนสนิท
ไปหนึ่งป้าบ ทำเอารถเฉไปเล็กน้อย แต่ยังดีที่เท็นควบคุมรถเอาไว้ได้อยู่

    ก็จะไม่ให้ว่าได้ยังไงล่ะ ขนาดพนักงานประกันที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาที่รถเอ่ยปากบอกว่า
จะพากลับไปส่งบ้านให้เพราะตอนนั้นเวลาก็ล่วงไปใกล้ตีสองแล้ว แคปก็ปฏิเสธและบอก
จะนั่งซ้อนท้ายจักรยานเท็นกลับบ้านแทน ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ แล้วทางกลับก็ใช่ว่าจะใกล้ๆ
เสียที่ไหน

    “มึงอุตส่าห์ออกมาหากูถึงที่ จะให้กูปล่อยมึงกลับคนเดียวมืดๆ รึไง?”

    “แต่ทำไมยิ่งมีมึงอยู่กูว่ามันยิ่งอันตรายวะ”

    “ปากดีนะมึง! เว้ยยย”

    แคปหันตัวมาฟาดหัวเท็นอีกรอบหนึ่ง แต่ครั้งนี้กลับแรงซะจนเท็นเสียหลัก จักรยานคันสีครีม
ค่อยๆ เอียงตัวลงใกล้จะล้ม แคปจึงรีบกระโดดขึ้นยืน พร้อมกับเท็นที่เบรครถได้พอดิบพอดี
เสียงทั้งสองตะโกนโหวกเหวกดังอยู่สามวินาที ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะแทน

    “นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ”

    “shut up”

    แคปบ่นอุบอิบอย่างขายหน้า แค่พูดสองคำสำเนียงยังดีเป็นบ้า สมชื่อนักเรียนโรงเรียน
ไฮสคูลจากวอชิงตัน ดีซี เท็นกลั้นหัวเราะพลางมองเพื่อนตัวขาวที่ทำเป็นปัดเสื้อปัดกางเกง
แก้มือว่าง ส่วนคนที่โดนแซวก็เบะปากมองแรงตามระเบียบ

    “มาๆ รีบขึ้นมานั่งดีๆ จะได้กลับกันซักที กูมีเรียนเก้าโมงเนี่ย”

    “ก็ใครบอกให้มึงออกมาล่ะ”

    ประโยคสุดท้ายนี้แคปบ่นอุบอิบคนเดียว แต่ความเงียบในถนนเล็กๆ เส้นนี้มันดัน
ทำให้เท็นได้ยินเสียชัดเจน ร่างสูงหัวเราะหึ ก่อนจะตั้งจักรยานและก้าวขาขึ้นนั่งคร่อมมันอีกครั้ง

    แคปค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะหลัง แต่ไม่ทันจะได้ออกรถ ก็ร้องเฮ้ย และกระโดดออกมายืน
อีกรอบจนเท็นตั้งตัวไม่ทันและออกรถไปสองสามเมตร

    “เป็นไรอีกเนี่ยคุณอนณ?”

    “กุญแจหายอ่ะ”

    “ฮะ?”

    “กุญแจบ้านไง จำได้ว่าใส่กระเป๋ากางเกงไว้นะ แต่แม่งไม่อยู่แล้วว่ะ”

    คนหน้าตี๋พูดรัวจนลิ้นพันพลางก้มล้วงกระเป๋ากางเกงหน้าหลังไปมา ดวงตากลมก็หรี่มอง
พื้นรอบๆ ไปทั่ว แต่ก็ไม่เจอกุญแจที่ว่าอยู่ดี เท็นค่อยๆ ถอยจักรยานกลับมาที่เดิมและมอง
เพื่อนอย่างเป็นห่วงปนเอ็นดู

    “มึงลืมไว้ในรถเปล่า? พรุ่งนี้ค่อยโทรไปถามอู่ก็ได้ มันน่าจะหล่นอยู่แหละ”

    “ไม่มึง กูจำได้ว่าตอนลงจากรถกูเคลียร์ของที่ต้องใช้ แล้วก็เสียบกุญแจลงกระเป๋าขวาเนี่ย”

    “ลองดูในกระเป๋าคอมดูดิ”

    เท็นว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงด้วยความกังวลเมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่ตนแอบชอบกัดปาก
และขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด

    “ไม่เจอว่ะ”

    แคปถอนหายใจและหยุดยืนนิ่งอย่างหมดหนทาง แววตาโตจ้องมองพื้นคอนกรีตอย่าง
ครุ่นคิดพลางฟันขาวกัดริมฝีปากล่างด้วยความกังวล เห็นแบบนี้เท็นก็ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว

    “เดี๋ยวโทรเรียกพี่ริส หรือพี่อัพลงมารับก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก...ดึกแล้วมึง กลับเหอะ”

    “กูไม่ได้กลัวเข้าบ้านไม่ได้”

    คำตอบกับท่าทางดื้อดึงไม่ยอมขึ้นรถทำให้เท็นยกคิ้วสงสัย แคปถอนหายใจก่อนจะ
เดินมายืนข้างเท็นและเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย

    “กูเป็นห่วงพวงกุญแจ”

    “หืม? พวงกุญแจเนี่ยนะ?”

    เท็นกระพริบตาปริบๆ เพราะความจริงจังในแววตาของแคปมันเยอะจนเท็นทำตัวไม่ถูก

    “เออดิ พวงกุญแจรูปโล่ไง”

    ว่าแล้วเท็นก็ดีดนิ้วและร้องอ๋อเสียงดัง พวงกุญแจที่แคปว่าคืออันที่เขาซื้อให้เจ้าตัว
เมื่อวันเกิดตอนปีสองนั่นเอง พวงกุญแจตัวปัญหาเป็นรูปโล่กัปตันอเมริกา เพราะคนในคณะ
มักจะล้อที่ทั้งสองคนตัวติดกันด้วยการเรียกชื่อแคปกับเท็นติดๆ กัน เป็นคู่จิ้นว่า captain
และแคปก็ไปเรียนไฮสคูลมาจากอเมริกา เท็นเลยซื้อมาฝากตอนไปเที่ยวที่นั่นพอดี

    “โห่ กูก็คิดว่าเรื่องใหญ่ ไม่ต้องห่วงหรอกมึง อันนิดเดียว”

    “เรื่องใหญ่ดิ ของแพงนะเว่ย มึงก็อุตส่าห์ซื้อให้กู”

    “เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้กลับบ้านเหอะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมาหา
อีกทีก็ได้ เดี๋ยวกูมาด้วย”

    “แต่ว่า”

    “เห็นมึงกังวลขนาดนี้กูก็ไม่ถืออะไรแล้วน่า ไม่ต้องคิดมาก กลับกันเหอะ”

    เท็นจับไหล่ขวาของแคปหลวมๆ พลางยิ้มหวานให้อย่างเคย จนคนหัวร้อนยอมใจเย็นลงในที่สุด
แคปค่อยๆ พยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเบาะอย่างอิดออด แผ่นหลังกว้างพิงลงบนหลังเพื่อน
ก่อนเท็นจะออกรถไปเงียบๆ

    “ทำไมมึงต้องเป็นคนดีขนาดนี้วะเท็น?”

    เสียงต่ำถามขึ้นมาลอยๆ จนเท็นส่งเสียง “ฮึ?” เชิงถามให้แคปขยายความ ร่างสูงรู้สึกถึงหลัง
คนซ้อนท้ายที่ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนคนหน้าตี๋จะถอนหายใจเบาๆ

    “มึงทั้งใส่ใจ ทั้งดูแลกูดี๊ดี พ่อแม่มึงเลี้ยงมึงยังไงให้จิตใจดีขนาดนี้วะ”

    “กูมันเทพบุตรน่ะเพื่อน”

    “ทุ้ย”

    ทั้งสองคนหัวเราะอีกระลอกใหญ่ รถจักรยานเซเล็กน้อยเมื่อเท็นขี่ผ่านเนินเต่าหน้าทางเข้า
หมู่บ้านของแคป

    “คนที่มึงรักในอนาคตข้างหน้าเนี่ย ต้องเป็นคนที่โชคดีมากแน่ๆ”

    เสียงต่ำว่าด้วยรอยยิ้มบางๆ บนมุมปาก เช่นเดียวกับคนฟังที่ทำได้แค่แอบยิ้มแก้มปริ
ตอนมองถนนไปเท่านั้น

    “ถึงตอนนั้นกูคงโหวงแย่”

    เท็นทำได้แค่หัวเราะหึๆ เป็นคำตอบพร้อมรอยยิ้มแห้งบนใบหน้าเท่านั้น แม้ว่าในใจจะ
มีคำตอบมากมายที่อยากจะพูด แต่ปากมันก็ยังหนักเสียเหลือเกิน








    ถ้าอย่างนั้น...มึงก็เป็นคนที่โชคดีมากเลยล่ะ







___________________________________







    “อ่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
   
    พีชว่าหลังจากยกมือขึ้นจับไฮแฮทเพื่อหยุดเสียงสุดท้ายของเพลง ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้น
บิดขี้เกียจพร้อมกับเพื่อนคนอื่นที่ค่อยๆ ทะยอยวางเครื่องลงกับพื้น ก่อนจะหันไปสบตากับ
เท็นพอดิบพอดี

    “เท็น มึงไปรับกีต้าร์กับกูทีดิ”

    “ฮะ? ที่ร้านเฮียโป้งหรอ?”

    “ใช่ๆ กูเอารถมา แต่กูดูกีต้าร์ไม่ค่อยเป็นอ่ะ”

    เท็นพยักหน้าครุ่นคิดพลางคว้ากระเป๋ากีต้าร์ของตัวเองมาจากริมผนัง แคปแอบเงยหน้า
ขึ้นมามองทั้งสองคนพลางเก็บเครื่องของตัวเองไปด้วย

    “งั้นขากลับแบนด์กูแวะไปดูให้เลยก็ได้นะ ยังไงก็จะติดรถไอ้แคปมันกลับอยู่แล้ว”

    “ให้ไอ้แคปมันอยู่นี่แหละ ต้องเอาเครื่องไปเก็บที่ห้องแบนด์ แถมมีแค่ไอ้เอฟคนเดียว
จะได้พาน้องกลับไปส่ง”

    เท็นหันไปมองเอฟที่กำลังง่วนเก็บกีต้าร์ราคาแพงของตัวเองลงเคสสีดำ ก่อนจะหันไปสบตา
แคปครั้งหนึ่งเพื่อขอความเห็น แต่แคปก็ยักไหล่และหันไปยิ้มให้น้องเอฟที่เงยขึ้นมามองทั้ง
สองคนพอดี

    “งั้น...ไอคิง มึงอยู่ช่วยน้องเอฟมันหน่อยดิ”

    “กูมีร้องร้านหกโมงครึ่ง เนี่ย รถกูมาพอดีเลย ไปก่อนนะพวกมึง บายยย”

    คิง นักร้องนำของวงว่าแล้วก็รีบคว้ากระเป๋าเป้ของตนวิ่งรี่ออกไปจากห้องทันที
ทิ้งอีกสี่คนที่เหลือยืนอ้าปากหวอ งงไปตามๆ กัน

    “โห่ ไอ้เท็น มึงจะเกี่ยงอะไรขนาดนั้นวะ เงินที่จะไปจ่ายเฮียโป้งก็อยู่กับกู กูต้องเอาไปจ่าย
อีกอย่างไอ้แคปเองมันยังไม่เห็นพูดอะไรเลย ทำไม? รังเกียจกูรึไง?"

    “จริงๆ พวกพี่ก็ไปกันหมดเลยก็ได้นะครับ ผมเก็บคนเดียวได้อยู่”

    เสียงเรียบๆ กับรอยยิ้มแบบลูกคุณหนูทำให้เท็นเงียบเสียงไปได้ในฉับพลัน ร่างสูงหันไป
มองหน้าแคป ตามด้วยพีช ก่อนจะหัวเราะแหะๆ ออกมาเมื่อรู้สึกตัวจนได้ว่าตัวเองกำลังเอาแต่ใจ
ออกหน้าออกตา

    “เอ้ยๆๆ กูล้อเล่นน่า มาๆ เดี๋ยวกูไปกับมึงเนี่ยแหละ โอเคมั้ยคุณประธาน?”

    ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดวงตาคมก็ยังแอบเหลือบมองแคปไม่วาง ซึ่งแคปก็ทำแค่อมยิ้ม
เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไรตอบมาเท่านั้น

    “ดีมาก งั้นก็ไปกันเหอะ”

    พีชทำท่าตะเบ๊ะให้มือกีต้าร์ระดับประเทศก่อนจะคว้าแขนเพื่อนหน้าหล่อเดินตามคิง
ออกไปอีกคน ทิ้งแคปยืนจ้องตาเอฟปริบๆ คนตัวสูงกว่าหัวเราะแหะๆ ก่อนจะหันกลับไป
คว้ากระเป๋ากีต้าร์ขึ้นสะพายหลัง และหันไปหยิบเอฟเฟคของแบนด์สองอัน ที่เท็นกับเอฟ
ยืมมาใช้

    “เห้ยพี่ เดี๋ยวถือคนละอันก็ได้”

    “มึงถือกระเป๋าให้กูแล้วก็เปิดประตูให้กูพอ แค่นี้สบายมาก”

    เอฟอ้าปากอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้างงๆ และหันไปจัดแจงหยิบเครื่องและสัมภาระ
ที่เหลือมาสะพายบ้าง








    “พ…พี่แคปครับ”

    เสียงที่เพิ่งแตกหนุ่มไม่นานเรียกชื่อรุ่นพี่คนสนิทหลังจากอีกฝ่ายเดินนำออกไป
ทางประตูห้องซ้อมสามก้าว ร่างสูงหยุดเดิน ก่อนจะหันใบหน้าหล่อเหลากลับมายิ้ม
ตอบบางๆ

    “ว่า?”

    “อย่าว่าผมก้าวก่ายเรื่องพี่หรืออะไรเลยนะ แต่ว่า”

    “มีอะไรก็ถามมาเหอะ กูชิลจะตาย”

    คำถามธรรมดาๆ กับรอยยิ้มบางๆ บนมุมปากคนที่ไม่ค่อยจะยิ้มกว้างๆ ให้ใคร
นอกจากเท็นเห็นสักเท่าไหร่ทำให้รุ่นน้องหนุ่มเหงื่อชุ่มมือได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอฟกลืนน้ำลาย
อึกผ่านลำคอที่แห้งผากขึ้นมาเสียเฉยๆ ก่อนจะก้มหน้าหนีแววตาหวานแต่กลับลึกลับตรงหน้า

    “พี่เท็นกับพี่แคป...เป็นอะไรกันรึเปล่า?"

    สิ้นคำถามแคปก็เลิกคิ้วและเอียงคอเป็นคำตอบ ร่างสูงกระพริบตาดวงโตทั้งสองอยู่ชั่วครู่
เพื่อตีความคำถามจากปากเอฟอีกสองรอบ แต่ยังไงก็ออกมาเป็นความหมายเดิมที่ไม่อยากจะ
เชื่อหูทั้งสองครั้ง

    “นี่กูไม่ได้หูฝาดใช่ป่ะ?”

    “ค…ครับ ผมถามอย่างนั้นจริงๆ”

    เอฟก้มหน้างุดด้วยความอาย แต่ในเมื่อถามไปแล้วเขาก็อยากจะได้รับคำตอบที่
อยากรู้มานานเช่นกัน

    แคปมองคนตรงหน้า สลับกับปลายรองเท้าหนังสีน้ำตาลของตัวเอง ตอนนี้ในหัวของเขา
เบลอเป็นสีขาวจากความงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่คิดว่าวันนึงจะมีคนมาถามเขาตรงๆ เรื่องนี้
แล้วยิ่งน้องคนนี้ยิ่งไม่อยากจะเชื่อหูเชื่อตาตัวเองเข้าไปใหญ่

    “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?”

    “ก็…ผมเห็นพี่แคปกับพี่เท็นสนิทกันมาก แบบ มากๆ มากกว่าเพื่อนปกติเค้าจะสนิทกัน
อ่ะครับ ก...ก็เลย อยากรู้”

    ใบหน้าหวานๆ ขึ้นสีแดงรเรื่อ พร้อมกับอาการปากสั่นทั้งที่ห้องซ้อมก็ไม่ได้หนาวอะไร
เห็นอย่างนั้นแคปก็ค่อยๆ ยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู ความตึงเครียดเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป

    “เว่อร์ละ พวกกูก็เพื่อนกันนี่แหละ อาจจะแค่เล่นกันถึงเนื้อถึงตัวไปหน่อย”

    “แต่พี่เท็นเค้าดูเป็นห่วง แล้วก็คอยดูแลพี่มาเป็นพิเศษเลยนะครับ”

    “โห่ ก็กูเล่นทำอะไรเองก็เละเทะไปหมด มันต้องคอยดูแลกูมาตลอด พอนานวันเข้า
ก็เลยเคยชินกันทั้งคู่อ่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อน ไอ้เท็นก็คงเป็นพ่อกูแทนละ”

    แคปตอบอย่างติดตลก ก่อนหันหลังจะเดินออกจากห้องไปเมื่อเห็นว่าเอฟไม่ได้พูด
อะไรตอบนอกจากพยักหน้าตามงึกๆ




    “คือผม...ชอบพี่เท็นอ่ะพี่”




    เสียงของเอฟหยุดขายาวที่กำลังจะก้าวพ้นประตูทางเข้าตึกเอาไว้กับที่ ขาข้างนั้นค่อยๆ
ยกกลับมาวางด้านหลัง ก่อนแคปจะหันกลับมาเผชิญหน้าเอฟอีกครั้งด้วยดวงตาเบิกกว้าง
อย่างไม่เชื่อหู

    “จริงดิ?”

    “จริงดิพี่ ผมจะล้อเล่นทำไม”

    เอฟหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะรีบก้มหน้างุดเมื่อสบตาเข้ากับแคป คนเป็นพี่กระพริบตาปริบๆ
ไม่รู้ว่าควรจะตอบประโยคที่ได้ยินว่ายังไงดี แต่จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงไม่ได้

    “แล้วมึง...จะบอกกูทำไมอ่ะ? ถ้าจะให้ช่วยกูก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงนะ เท็นมัน
ดูไม่ได้อยากมีใคร”

    “ก็ผมคิดว่าพวกพี่เป็นแฟนกัน...เลยมาถามก่อน”

    แคปพยักหน้าเนือยๆ พลางร้องอ๋อในใจ

    “งั้นก็สบายใจได้ เพราะว่าไม่ใช่”

    “ค…ครับพี่”

    แคปยกยิ้มแบบพี่ชายให้กับรุ่นน้องอย่างเอ็นดู เวลาเห็นคนแอบชอบคนอื่นมัน
ก็น่ารักไม่เบา สภาพไม่ต่างจากสมัยมาร์คตามจีบเทมส์ใหม่ๆ เลยสักนิด

    “แต่ว่า...พี่แคปล่ะครับ”

    “หือ? กูทำไม?”

    แคปที่วางเอฟเฟคต์ทั้งสองเครื่งอในมือลงกับพื้นแล้วด้วยความเมื่อยเลิกคิ้วให้กับ
คำเรียกรอบที่สามในค่ำคืนนี้ เอฟก็เริ่มจะมีท่าทางผ่อนคลายขึ้นกว่าในห้องเมื่อกี๊
ใบหน้าหวานระบายยิ้มบางๆ และเอ่ยถาม



    “พี่แคปคิดอะไรกับพี่เท็นรึเปล่า?”



    “เปล่านี่ ก็เป็นเพื่อนกันเนี่ยแหละ ดีแล้ว”

   

    แคปยิ้มบางๆ และตอบคำถามด้วยถ้อยคำฉะฉาน และตบบ่ารุ่นน้องตัวเล็กให้สบายใจได้
ก่อนจะหยิบของบนพื้นขึ้นมาอีกครั้ง และเรียกให้เอฟเดินตามไปขึ้นรถ





    แต่เขาหารู้ไม่ ว่าในขณะที่เขากับเอฟกำลังคุยกันในห้อง พีชได้รับโทรศัพท์จากเฮียโป้ง
ว่าเฮียโป้งติดธุระ และให้กลับมาเอาเครื่องวันอื่น




    เขานั้นหารู้ไม่ ว่าตอนที่เอฟเรียกให้เขาหยุดลงเป็นครั้งที่สอง เท็นที่ขอตัวจากพีช
เพื่อมาขึ้นรถกลับบ้านกับเขานั้นเดินมาอยู่ใกล้ประตูตึกพอดิบพอดี




    เขานั้นหารู้ไม่...ว่าคำพูดของเขามันทำให้คนที่รอฟังอยู่หัวใจพังเป็นชิ้นๆ









    “เฮ้อ…”



    เท็นถอนหายใจยาวๆ หลังจากทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งด้านหลังตึก เพราะเขาก่อนหน้านี้
ต้องจ้ำขาหนีแคปกับเอฟก่อนทั้งสองคนจะออกจากตึกมาเจอเขาอยู่ บนใบหน้าคมยังมีรอยยิ้ม
เศร้าประดับอยู่ตั้งแต่ที่เขาได้ยินแคปตรงหน้าประตู แต่ที่เพิ่มมาคือน้ำตาข้างแก้มทั้งสองข้าง


    ร่างสูงทิ้งตัวพิงลงกับพนักพิง พลางเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่คืนนี้มีดาวเยอะกว่าปกติ




    “เป็นเพื่อนกัน...ก็คงดีที่สุดแล้วล่ะ”








   TBC.

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อะไรจะประจวบเหมาะขนาดนั้น..แคปยังไม่รู้ใจตัวเอง ง่อ..อออออออ   :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #3
«ตอบ #19 เมื่อ26-09-2017 18:11:52 »

CAPPUCCINO
Capturing our moments
CHAPTER 3


BGM













    “ช่วงนี้มึงแปลกๆ นะ”

    แคปเอ่ยทักขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่เปลี่ยนเกียร์ถอยหลังเพื่อเอารถเข้าจอด
หน้าร้านกาแฟของที่บ้าน เท็นที่นั่งมาด้วยหันไปมองหน้าเพื่อนพลางเลิกคิ้วเชิงถาม

    “ยังไงวะ?”

    “ซ้อมเสร็จ เล่นเสร็จก็กลับบ้านเลย ปกติไม่เห็นเคยพลาดวงเหล้าซักครั้ง”

    “กูว่าอันนั้นกูต้องเป็นคนถามมึงนะ”

    เท็นหัวเราะก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยของตนออก และแกล้งหันไปกดของแคปออก
จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง และส่งเสียงโวยวายขึ้นมา

    “แหม่ ก็กูบอกมึงแล้วว่ากูโดนพี่ริสสวดยับไปหลายรอบ กูขอพักยาวๆ”

    แคปว่าแล้วก็ทำหน้าแขยง ตั้งแต่คราวก่อนที่เท็นหามเขากลับมาส่งที่บ้าน และคนที่ลงมารับ
เป็นพี่ริส แทนที่จะเป็นพี่อัพเหมือนปกติ เลยโดนพี่ชายเทศน์ยาวไปเป็นชั่วโมงเรื่องสุราบุหรี่
ไหนจะเรื่องกลับดึก เรื่องรบกวนเท็น รบกวนพี่อัพ เรียกได้ว่าด่าจนสร่างเมา แคปก็เข็ดจนคง
ไม่กล้าดื่มเหล้าอีกเลยมาเป็นเวลาสองเดือนได้

    “ว่าแต่มึงเหอะ ตามเทรนด์รองเดือนคณะหรือยังไง?”

    “ค่ะพี่ ชอบพี่มากเลยอ่ะ พี่โคตรเท่ ทุ้ย!”

    แคปหัวเราะก๊าก พลางพิงหลังลงกับประตูรถ จึงอยู่ในท่าหันข้างมามองหน้าเท็นเต็มๆ
เจ้าของผิวสองสีสบตากลมๆ ของเพื่อน ก่อนจะระบายยิ้มบางๆ และพิงหลังลงกับพนักพิง
พลางมองตรงไปข้างหน้า

    “ปกติกูก็ไม่กินเหล้าอยู่แล้วนี่หว่า ที่อยู่ดื่มก็เพราะต้องอยู่เก็บศพมึงเนี่ย”

    คำตอบของเท็นทำให้แคปเลิกคิ้วงงๆ เพราะเวลาเขาเมาแต่ละครั้งความจำของเขาก็จะเบลอ
ไปจนเช้าทุกครั้ง ไม่เคยจำได้หรอกว่าใครพาเขากลับบ้าน แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ทั้งบ้านอยู่ดีว่าคงไม่พ้น
คนตรงหน้าเขานี่แหละ

    “พอมึงไม่กิน กูก็ไม่มีสาเหตุจะต้องอยู่กิน”

    ใบหน้าคมระบายยิ้มอย่างพระเอกละครจนแคปอดยกมือปัดหน้าอีกฝ่ายเบาๆ ไปด้วยความ
หมั่นไส้ไม่ได้

    “เออๆ พระเอกโคตรๆ หน้าหล่อไม่พอยังจะใจหล่ออีก”

    “หึๆ มีเพื่อนหล่อกว่าก็ต้องหาจุดขายนิดนึง”

    ทั้งสองคนสบตากันก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย แคปเป็นฝ่ายถอดกุญแจรถและเปิดประตูออกก่อน
ตามด้วยเท็นที่เดินอ้อมไปเอาจักรยานจากท้ายรถก่อน

    ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ เมื่อพ้นสายตาแคปออกมาแล้ว แอบน้อยใจโชคชะตาเล็กน้อยกับเรื่องที่
จู่ๆ แคปก็ตัดสินใจหักดิบเลิกดื่มเหล้าไปเสียอย่างนั้น จากที่ตั้งตารอวันที่จะพาแผนสารภาพรัก 100 ครั้ง
ไปถึงฝั่งฝันเสียทีก็ต้องยกแผนพักยาวไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ อย่างกับคนบนฟ้าไม่อยากให้เขาบอกรัก
แคปซักทียังไงอย่างงั้น

    ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าเรื่องคราวก่อนไม่ทำให้เท็นยอมแพ้หรือ นี่ก็คงเป็นคำตอบมากพอ
เพราะบอกเลยว่าไม่

    แน่นอนว่าเท็นเสียกำลังใจและแอบซึมไปหลายวันหลังจากนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าแคปคิดยังไง
เขาแค่ช็อคเพราะไม่เคยได้ฟังคำตอบนั้นตรงๆ จากปากแคปมากกว่า พอถอยหลังไปตั้งหลักเรียบร้อย
เท็นก็เลยกลับมาเป็นปกติ เพราะถ้าไม่อยู่กับแคปและคอยดูแลแคปแบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
จะไปทำอะไร






    “เชี่ย”

    เสียงสะดุ้งเบาๆ จากคนข้างหน้าเรียกสายตาของเท็นขึ้นมาจากพรมเช็ดเท้า ตามด้วยภาพ
ของเทมส์และมาร์คที่โต๊ะๆ หนึ่งในร้าน ขายาวทั้งสองชะงักลงตามหลังแคปเพียงเสี้ยววินาที

    ไม่ทันที่เท็นจะได้พูดพร่ำทำเพลง แคปก็คว้าข้อมือเท็นหมับ และลากไปยืนกระจุกอยู่กับพี่ริส
ที่หลังเคาน์เตอร์เรียบร้อย

    “นานยังอ่ะพี่?”

    “ซักพักละ แต่ไม่พลาดอะไรมาก”

    สองพี่น้องกระซิบกันมุบมิบ ส่วนเท็นก็แอบเงี่ยหูฟังอยู่ไม่ห่าง แคปยิ้มให้ริส ก่อนจะหันกลับมา
มองน้องชายแสนรักแสนชังอย่างให้กำลังใจ

    ถึงแคปมักจะด่าและมีเรื่องกับมาร์คมากที่สุดในบ้าน แคปเองก็รักและเป็นห่วงน้องชายมาก
เพราะอายุใกล้กันที่สุดและมักจะถูกมาร์คขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ เรื่องที่จีบเทมส์ด้วยก็เช่นกัน
ใครจะรู้ว่าช่วงแรกๆ ที่มาร์คอกหักกลับมาบ้าน แคปเองก็แอบมีโมเมนต์กินข้าวไม่ลงตามน้องไปด้วย
อีกคน

    เท็นยกยิ้มบางๆ ตามรอยยิ้มกว้างอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าของแคป ซึ่งหาดูได้ยากเสียยิ่งกว่าอะไร
ดวงตาสีน้ำตาลดวงโตจ้องน้องชายที่ลุกขึ้นจูบเทมส์กลางร้านด้วยความปลื้มปริ่ม เหมือนพ่อแม่ที่มา
ส่งลูกไปโรงเรียนวันแรก เป็นแววตาที่เท็นหลงรักเสียเหลือเกิน

    “แฮปปี้เอนดิ้งซะทีวะ โอ้ย”

    คำพูดแคปดังขัดบรรยากาศแสนโรแมนติคขึ้นมา ก่อนจะโดนริสหยิกไปตามระเบียบ คนแก่กว่า
หันมาหยิกเอวน้องชายพลางพึมพำอะไรบางอย่างกับแคปซึ่งเท็นเองก็ฟังไม่ได้ความ ก่อนแคปจะ
เปลี่ยนมายักคิ้วทำหน้ากวนส้นเท้าพี่ชาย

    “แหม่ รอดูผมบ้างเห๊อะ เด็ดกว่านี้ชัวร์”

    ริสหัวเราะหึอย่างท้าทาย ก่อนขะเท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเคาน์เตอร์และหันมาเผชิญหน้ากับแคปเต็มตัว

    “พูดแบบนี้...แสดงว่ามีแล้วงั้นสิ?”

    “ไม่อ่ะพี่ มันโสดสนิท”

    เท็นที่ยืนมองสองพี่น้องเถียงกันเป็นเด็กๆ มาซักพักพูดขัดขึ้นมาสั้นๆ แต่กลับมีพลังดาเมจสูง
จนถ้านี่เป็นหนังตลกแคปคงเซล้มไปแล้ว

    เสียงของบุคคลที่สามที่แทรกขึ้นมาทำให้ริสเกือบหลุดขำ ส่วนแคปที่เล่นหูเล่นตากับพี่ชายจน
ลืมเพื่อนก็หันมาทำตาขู่ใส่เพื่อนตัวสูงที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างหลัง

    “ตอนนี้อ่ะโสด”

    ชายหนุ่มกระซิบพลางกัดฟันกรอด และหันกลับมายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ใส่พี่คนรอง

    "แต่อีกไม่นานแน่ พี่รอดูเลย”

    ริสกระซิบตอบกลับมาว่า จะรอดู พร้อมรอยยิ้มเย็นยันกระดูกสันหลัง ก่อนจะขอตัวกลับ
เข้าห้องครัวที่เขามักจะไปซุ่มอยู่ทุกวี่ทุกวันเช่นเคย ทิ้งสองเพื่อนรักยืนมองคู่รักคู่ใหม่ล่าสุด
ที่นั่งจับมือคุยกันหนุงหนิง

    “ของอะไรขึ้นหรอ?”

    “ฮะ?”

    คำถามจากปากเท็นทำให้แคปหันขวับมาตอบจนคอแทบเคล็ด เท็นหัวเราะในลำคอ พลางเท้าตัว
ลงกับเคาน์เตอร์ตรงหน้า มือข้างขวาก็จับขวดโหลเก็บน้ำตาลเล่นอย่างคุ้นเคย

    “ไหนบอกว่าไม่อยากมีใคร วันดีคืนดีไปท้าพี่ริสเฉย”

    “อ้าว คนมันก็เปลี่ยนกันได้”

    แคปหันหลังและพิงลงบนเคาน์เตอร์ข้างๆ กับเท็น ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มทะเล้น พลางยักคิ้วเจ้าเล่ห์

    “มีคนในใจละดิ อะไรวะ ไม่บอกกูเลย”

    “อ้าว มึงยังไม่บอกกูเลย”

    “ก็มันไม่มี จะให้บอกว่าใครล่ะ”

    เท็นยิ้มโกหกหน้าตายเพราะทำมานานจนจะเป็นดาราสุพรรณหงษ์ได้อยู่แล้ว ก่อนจะสบตาแคป
เล็กน้อยให้สมจริงยิ่งขึ้น

    “เออๆ กูก็ไม่มีหรอก”

    “อ่าว”

    แคปหัวเราะหึๆ ก่อนจะพลิกตัวมายืนเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ในท่าเดียวกับเท็นแทน ดวงตากลม
มองไปทางเทมส์กับมาร์ค ก่อนร่างสูงจะถอนหายใจเบาๆ

    “กูสารภาพเลยนะ ว่ากูชอบมองคนมีความรัก”

    รอยยิ้มที่แสดงด้านอ่อนโยนของแคปโผล่ออกมาอีกครั้งจนเท็นใจเต้นไม่อยู่สุข ร่างสูงเหม่อมอง
น้องชายกับเพื่อนร่วมห้องแล้วก็ใจฟูกับความน่ารักของทั้งคู่

    “ก่อนหน้านี้ที่กูไม่ได้อยากมีใคร เพราะกูขี้รำคาญ แต่พอเห็นคนที่จุกจิกยิ่งกว่ากูร้อยเท่าอย่างไอเทมส์
มันเปิดใจ กูเองก็อยากจะเจอคนที่จะทำให้กูเปิดใจได้เหมือนกันนะ”

    ร่างสูงหัวเราะเคอะเขินกับสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด แต่ก็พูดต่อไปเรื่อยๆ เหมือนทุกครั้งที่แคปมักจะเปิดใจ
เปิดเผยด้านอ่อนไหวๆ ของตัวเองให้เท็นเห็นเสมอ

    “กูก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าความรักมันให้คนๆ นึงยอมทำอะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

    เท็นส่งยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายเมื่อทั้งสองสบตากัน ผมสีน้ำตาลเข้มสะบัดไหวเมื่อเท็นพยักหน้า

    “นั่นสินะ”



    ก็ได้แต่หวัง ว่าความรักของแคป จะเป็นของเขา








___________________________________







   
    “เชี่ย เห็นตอนที่ไอ้เท็นมันโซโล่ป่ะ สาว ๆ โต๊ะข้างหน้านี่กรี๊ดกันลืมพวกกูเลย”

    พีชหยอกเพื่อนคนเก่งพลางยกมือผลักหัวเจ้าของชื่ออย่างหมั่นไส้

    “นี่ยังไม่นับพวกฐานแฟนคลับที่ยังตามมาดูมันเล่นนะเว่ย แข่งจบมาสี่ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะ
โคตรเหนียวแน่น”

    “คนมันมีฝีมือก็เงี้ยแหละเพื่อนๆ”

    เท็นทำเป็นยักคิ้วขิงพีชกับคิงที่ทำเป็นแซะเขาไม่เปลี่ยนไปจากสมัยปีหนึ่ง โดยมีเอฟ
ยืนหัวเราะพี่ ๆ อยู่กลางวง ส่วนแคปที่เพิ่งคุยกับพี่ผู้จัดการร้านเสร็จเดินตามมาด้านหลัง
พร้อมยกแขนพาดไหล่เท็นอย่างสนิทสนม

    “ช่วยอวยกูที มึงไม่อยู่ละกูโดนรุม”

    “หมาหมู่นะพวกมึงอ่ะ” แคปยกนิ้วชี้หน้าเพื่อนเรียงตัวและทำเป็นยกยิ้มมุมปากแบบมาเฟีย
ที่เห็นในหนัง

    “แหม ปกป้องออกหน้าออกตานะมึง”

    “เปล่า กูจะด่าพวกมึง ที่รุมเท็นกันไม่เรียกกู กูอยากจอย”

    ทุกคนระเบิดหัวเราะออกมาจนแทบดังสู้ดนตรี EDM ในร้านได้อยู่แล้ว พีชหันหน้ามองไปรอบ ๆ
ก่อนจะหันกลับมามองเพื่อน ๆ

    “กูว่าไม่น่ามีโต๊ะว่างว่ะ...เราไปนั่งริมหาดกันมะ?”

    “เอ้อออ กู๊ดไอเดีย มาบางแสนทั้งทีก็ต้องเอาให้ได้บรรยากาศหน่อยดิวะ”

    แคปดีดนิ้วดังเป๊าะ และเดินไปกอดคอพีชแทนสำหรับไอเดียแสนบรรเจิด

    งานวันนี้เป็นงานพิเศษจากร้านญาติของคิง ที่กำลังจัดเทศกาลดนตรีมหา'ลัย จึงเชิญวงดนตรี
จากคณะ และมหาวิทยาลัยต่างๆ มาวนเล่นกันไปอาทิตย์ละวง แถมยังมีที่นอนที่รีสอร์ทริมหาดแถมให้ฟรี
พร้อมแอลกอฮอลล์ไม่อั้น บอกเลยว่าพวกเขาไม่มีทางปฏิเสธ ยิ่งช่วงเวลานี้ของปี ที่บรรยากาศริมหาด
กำลังสวย ๆ อีกด้วย

    “อ้าวแคป คิดว่ามึงจะเลิกดื่มแล้วซะอีก”

    เสียงเท็นแย้งขึ้นมาจากด้านหลัง แคปจึงหยุดเดินและหันไปยิ้มแป้นใส่เพื่อนสุดที่รัก

    “กูพักไปเพราะพี่ริสด่า แต่ดื่มที่นี่กูไม่โดนด่า กูก็ไม่ต้องอดสิครับ แหม่”

    ทุกคนในวงร้องฮิ้วกับสปิริตนักดื่มที่กลับเข้าสิงแคปหลังจากห่างหายไปหลายเดือน
ส่วนเท็นก็ยืนกอดอกส่ายหัวอย่างเพลียใจ แต่ก็ยอมรับว่าในใจน่ะดีใจไม่แพ้กัน


    ได้โอกาสซักที


    “อ่ะ ไปกันยัง? คิง ฝากไปเอาเหล้าหน่อยดิ”

    คิงรับคำ และหันหลังหายไปในฝูงชน แต่ไม่ทันสี่หนุ่มที่เหลือจะได้เดินออกไปจากเสียงจอแจ
ในร้าน ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาเสียก่อน

    “Hey Cap!! (เฮ้แคป!!)”

    แล้วก็ดูเหมือนเสียงที่ว่าจะสะกิดหูของแคปเพียงคนเดียวในกลุ่ม ร่างสูงค่อย ๆ หันกลับมา
มองต้นเสียง ก่อนจะร้องเฮ้ยจนคนอื่นสะดุ้ง

    “Hey Bro!! Long time no see. How’s it been? (หวัดดีเพื่อน ไม่เจอกันนานเลย เป็นไงมั่ง?) ”

    สำเนียงภาษาอังกฤษสุดเป๊ะที่หลัง ๆ มาเจ้าตัวไม่ค่อยได้พูดนักรัวออกมาจากริมฝีปากอิ่มไม่มีหยุด
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผิวเข้ม ใบหน้าคมไปทางญี่ปุ่นในเสื้อกล้ามสีเทา ก่อนทั้งสองจะสวมกอด
กันแน่นเหมือนไม่ได้เจอกันมานับสิบปี

    “Cool dude. What a surprise to meet you here. “ก็ดีแหละ เซฮร์ไพรซ์มากเลยนะที่มาเจอนายที่นี่)”

    “I know. You should’ve told me you were coming to Thailand. (ใช่ป่ะ? น่าจะบอกกันก่อนนะ
ว่าจะมาไทย)”

    “I wanted to but seems like you’ve changed your Facebook and email (ก็อยากจะบอกอยู่หรอก
แต่เหมือนนายจะเปลี่ยนเฟชบุ๊ค แล้วก็อีเมลไปแล้ว)”

    แคปทำท่านึก ก่อนจะระบายยิ้มเชิน ๆ เพราะตั้งแต่กลับมาเข้ามหาลัยเขาก็เปลี่ยนช่องทางโซเชี่ยลทุกอย่าง
ไม่ให้คนที่ใหม่สืบประวัติเขาให้ใหญ่โต แล้วก็ไม่ได้กลับไปใช้บัญชีเก่าอีกเลย จะเหลือก็แค่เพื่อนสนิทมาก ๆ
บางคนที่ตามมาค้นเฟสใหม่ของเขาเจอเองเท่านั้น ที่ยังติดต่อกันอยู่

    “Sorry man…I was busy with all the university thing, and then forgot to get back to the old accounts.
(โทษทีว่ะ...พอดีตอนนั้นฉันยุ่ง ๆ กับเรื่องมหาลัย แล้วก็ลืมกลับไปเช็คพวกแอคเคานต์เก่า ๆ เลย)”

    “No worries! We’ve meet at last anyways. (ไม่ต้องห่วงน่า! ยังไงเราก็ได้มาเจอกันแล้วนี่)”

    พ่อหนุ่มหน้าเข้มดึงแคปเข้าไปโอบ ท่อนแขนหนาจากการเล่นกล้ามเป็นประจำโอบไหล่ผอม ๆ ของแคป
ได้อย่างพอดีมือ ฝ่ายแคปก็หันไปยิ้มตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่อยู่ห่างกันไม่มาก ทำให้เท็นต้องแอบกำหมัดแน่น
เพื่อหักห้ามความหึง
   
    "By the way, you guys were awesome on the stage. I always knew you had the talent.
(จะว่าไป บนเวทีเมื่อกี๊พวกนายเจ๋งมาก ฉันรู้อยู่แล้วว่านายมีของ) “

    แคปหันมาแนะนำคนแปลกหน้าคนนี้กับเพื่อน ๆ ว่าชื่อเจค เป็นเพื่อนจากฮาวายที่เรียนที่เดียวกันสมัยเรียน
ไฮสคูลที่อเมริกา แถมยังเป็นคนที่เริ่มเล่นดนตรีมาด้วยกัน ก่อนจะหันไปสวัสดีคนอื่น ๆ อีกสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น
มีทั้งฝรั่งตาน้ำข้าวสองคน คนดำหนึ่งคน และคนเอเชียตัวขาวอีกหนึ่งคน

    “What a small world, huh? (โลกกลมจริง ๆ นะเนี่ย)”

    แคปตบบ่าฝรั่งผมทองที่ชื่อแมทธิว ก่อนจะหันไปไฮไฟฟ์กับคนเอเชียผิวขาวตามแบบเด็กอเมริกันแท้ ๆ

    “Yup!! Hey do you wanna hang out with us a little? It’s been ages (ใช่!! อยากมาอยู่กับพวกเราก่อน
ซักหน่อยมั้ยล่ะ? ไหนๆ ก็ไม่เจอกันมาตั้งนาน) “

    เจคว่า พลางพยักเพยิดหน้ามาทางคนไทยสี่หน่อที่ยืนยิ้มแหย ๆ อยู่กลางร้าน แคปตอบไปว่าขอตัว
มาคุยกับเพื่อนก่อน และลุกกลับมาหาเพื่อนร่วมวง

    “พวกมึง คือนี่กลุ่มเพื่อนกูสมัยเรียน ม.ปลายอ่ะ บังเอิญมากินร้านนี้กันเฉยเลย ยังไงกูขออยู่กับพวกมัน
ก่อนแล้วกันนะ”

    “กินระวัง ๆ ล่ะมึงอ่ะ ไม่ได้กินนานแล้ว เดี๋ยวน็อค”

    เท็นเตือนขึ้นมาอย่างเป็นห่วง ก็อย่างที่ว่าว่าแคปไม่แตะแอลกอฮอลล์มาเป็นเดือน ๆ ถ้ากินหนักเข้าไป
ทีเดียวก็มีสิทธิเมาได้ง่าย ๆ ยิ่งเขาไม่สามารถไปนั่งคุมอีกฝ่ายอยู่ในดงเพื่อนกลุ่มเบ้อเร่อนั่นได้ด้วย

    “เอาน่า กูไม่กินเยอะหรอก เดี๋ยวก็ตามพวกมึงไปที่หาดแล้ว”

    พอไม่เห็นว่ามีใครคัดค้าน แคปก็บอกให้ทุกคนล่วงหน้าไปดื่มกันก่อน และเดินกลับไปนั่ง
ร่วมวงกับเพื่อน ๆ

    “งั้น…เราก็ไปกันเหอะ”

    พีชว่า ก่อนเอฟจะพยักหน้าและเดินตามไป ปิดท้ายด้วยเท็นที่ยืนมองท่าทางร่าเริงของแคป
อยู่อีกเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านไป







___________________________________________





   

    สุดท้ายแคปก็ไม่ได้กลับมา


   

    “พี่เท็นโอเคใช่มั้ยครับ?”

    “เออ กูสบายมาก พาคนอื่นกลับห้องเหอะ”

    แคปหันไปโบกมือให้เอฟที่เดินแบกพีชมาข้าง จูงมือคิงมาข้าง พลางล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อ
เปิดประตูห้องพักของตัวเอง

    เสียงเพลงเบา ๆ ที่ดังคลอในห้องอยู่ก่อนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเพื่อนร่วมห้องของเขามาถึงก่อน
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท็นค่อย ๆ ผลักประตูเปิดออก ก่อนจะเห็นภาพที่ทำให้เขาอมยิ้ม

    “อือ...กลับมาแล้วหรอ?”

    แคปที่ตื่นง่ายเป็นปกติค่อย ๆ ส่งเสียงงัวเงีย ก่อนจะขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ร่างสูงในเสื้อยืด
สีเหลืองกับผมฟูยุ่งเหยิงดูเหมือนเด็กห้าขวบที่เท็นอยากจะเก็บมาเลี้ยงเสียเหลือเกิน

    “ปลุกหรอ?”

    แคปพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะคอพับค้างลงไปในครั้งที่สาม เท็นหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดู
ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งลงบนเตียงข้างที่อีกฝ่ายนอนอยู่ก่อน

    “ทำไมไม่ตามไปกินต่ออ่ะ?”

    “ก็ว่าจะตามไปแล้ว...แต่เหนื่อย”

    “เมาหรอ?”

    มือใหญ่วางลงบนตักขวาของอีกคน พลางดวงตาคมที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติจ้องตาอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง
ถึงจะอาบน้ำเข้านอนเรียบร้อย แต่เท่าที่ดูแล้วแคปเองก็ยังเมาอยู่ไม่น้อย

    แล้วก็อย่างที่คิด แคปส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง

    “ครับๆ ไม่เมา”

    มือข้างเดิมย้ายขึ้นไปยีผมนุ่ม ๆ ของอีกคนอย่างคุ้นเคย คิดถึงเวลาแบบนี้แทบตายมาตลอด
สองเดือนที่ผ่านมา

    “ทำอะไรอ่ะ?”

    เสียงแหบถามอู้อี้ เท็นคลี่ยิ้มบาง ๆ เป็นคำตอบ หัวใจที่แสนห่อเหี่ยวค่อย ๆ พองโต
กับบรรยากาศเดิม ๆ นัยน์ตาสีเข้มเลื่อนลงมาจ้องตาอีกฝ่ายที่ปรือและกระพริบถี่ ๆ จากความพร่ามัว
จากแอลกอฮอลล์

    “ขอเหอะ ไม่ได้ทำแบบนี้มาโคตรนานเลย”

    แคปส่งเสียงหืออย่างไม่เข้าใจ แต่เท็นก็ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากย้ายมือกลับลงมาวางทับบนมือขวา
ของแคปบนเตียง นิ้วโป้งที่สากจากการเล่นกีต้าร์นับสิบปีกวาดผิวขาวหลังมือของแคปอย่างเบามือ

    “เดี๋ยวมึงก็ลืมอยู่ดี”

    ดวงตาคมค่อย ๆ กลายเป็นแววตาเศร้าลงเมื่อเอ่ยประโยคที่สอง แคปสบตาเขาตอบนิ่ง ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร

    “แคป”

    เสียงทุ้มเรียกชื่อที่เขารักสุดหัวใจ น้ำเสียงที่ใช้มันแปลกไปจนแคปเลิกคิ้วสงสัย ดวงตาโตยังหรี่เล็กน้อย
จากความเมา

    “กูรักมึงนะ”

    เมื่อเห็นอาการอึ้งไปของคนที่ได้ฟัง เท็นก็ระบายยิ้มเศร้า เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการ
สารภาพรักครั้งนี้สักเท่าไหร่ เพราะผลที่ออกมามันก็คงเป็นคำตอบสั้น ๆ เหมือน 99 ครั้ง ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
เขาแค่อยากทำสิ่งที่พยายามมาตลอดเวลานี้ให้มันสำเร็จก็เท่านั้น

    “มึงคงไม่รู้ว่ากูรักมึงมาตลอดสี่ปี แต่กูก็ไม่อยากจะบอกมึงต่อหน้าให้เราต้องมาเสียเพื่อนกันเพราะ
ความรู้สึกข้างเดียวของกู”

    แคปถลึงตาโต แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เห็นดังนั้นเท็นก็ถือโอกาสพูดสิ่งที่อัดอั้นมานับปี
ออกมาเสียหมด

    “กูรู้ว่ามึงไม่ได้อยากมีใคร แล้วกูก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงจะรังเกียจกูที่เป็นผู้ชายมั้ย ไม่รู้ว่าบอกไปแล้ว
มึงจะผลักไสกูมั้ย แล้วพื้นที่ข้าง ๆ มึง พื้นที่ในฐานะเพื่อนสนิทที่สุดของมึงจะหลุดมือกูไปรึเปล่า...
สุดท้ายก็เลยทำได้แค่มาฉวยโอกาสกับมึงเวลามึงเมาแบบนี้ไงแคป”

    ร่างสูงหัวเราะหึอย่างสมเพชตัวเอง และหลบตาอีกฝ่ายลงไปมองมือของแคปที่ไม่ได้เลื่อนหนี
ออกไปจากฝ่ามือของเขา รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม แต่มันกลับดูเศร้าเสียเหลือเกิน

    “มึงสำคัญกับกูมากนะแคป กูไม่อยากเสียมึงไป ก็เลยเป็นไอ้ขี้ขลาดขี้หวง ที่เป็นเจ้าของมึง
ได้แค่ในจินตนาการ”

    ความหน่วงในหน้าอกซ้ายที่เท็นแสนจะคุ้นเคยกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งจนหัวหมุนไปหมด
เท็นยกมืออีกข้างขึ้นลูบแก้มใสที่เขาชอบแอบจิ้มเล่นอยู่บ่อย ๆ

    "กูไม่อยากให้ใครเขามาหามึง เข้ามาทำให้ใจมึงหวั่นไหว แต่กูเองก็ไม่กล้าพอจะเข้าหามึงเหมือนกัน...
แม่ง กูไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย”

    เขาถอนหายใจและเงยหน้ากลับขึ้นมามองแคปอีกครั้ง ดวงตาหวานจ้องมองเขาด้วยแววตาว่างเปล่า
คงจะเมาจนฟังไม่ได้ความเหมือนเคย

    “ยังไงก็...ขอบคุณนะ ที่ฟังกูมาตลอด...แล้วก็ขอโทษที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”

    ไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีภาพตรงหน้าก็เบลอจนเท็นต้องกระพริบตาถี่ ๆ
เพื่อไล่มันออกให้พ้นทาง เวลาแบบนี้เขาอยากจะเก็บภาพของแคปใกล้ ๆ แบบนี้เอาไว้ให้มากที่สุด
ไหล่กว้างค่อย ๆ กระเด้งขึ้นเป็นพัก ๆ จากแรงสะอื้นของชายหนุ่ม อดอายไม่ได้ที่ต้องมาให้แคปเห็น
ด้านอ่อนแอของเขาแบบนี้

    “เท็น…”

    เสียงพร่าเอ่ยเรียกคนตรงหน้า แต่มันกลับเบาเกินกว่าเจ้าของชื่อจะได้ยิน แคปเงียบไปและใช้ดวงตา
มองใบหน้าคนที่ก้มหน้าหนีไม่ให้เขาเห็นน้ำตา ก่อนจะเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงที่ดังขึ้น

    “เท็น”

    แล้วมันก็ได้ผล เท็นตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กัน
มีเพียงเสียงเพลงจากลำโพงบลูทูธข้างหัวเตียงที่เล่นคลอไปกับเสียงหายใจเข้าออกช้า ๆ ของทั้งคู่




    อุตส่าห์พยายามเก็บไว้

    อุตส่าห์ไม่พูดออกไป




    “แคป”




    คำสุดท้ายหลุดออกมาจากปากเท็น ก่อนอะไรก็ไม่รู้จะมาดลใจให้เท็นโน้มตัวลงจูบริมฝีปาก
ของเพื่อนหนุ่มโดยที่ไม่ทันตั้งตัว

    แคปมีท่าทางสะดุ้งเล็กน้อย สังเกตได้จากไหล่ที่แข็งทื่อและเอนหนีจนชิดไปกับพนักพิงไปในช่วงแรก ๆ
ก่อนจะค่อย ๆ คลายตัวลง ตามมาด้วยเสียงครางอือเบา ๆ ที่ทำให้เท็นใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

    เมื่อเห็นคนบนเตียงไม่มีท่าทีขัดขืน สิ่งที่อัดอั้นมานับสี่ปีของเท็นก็พังโครม ร่างสูงกดน้ำหนักบน
ริมฝีปากอิ่มหนักยิ่งขึ้น พร้อมสอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากร้อนอย่างเอาแต่ใจ เขาเท้าแขนทั้งสอง
ลงกับพนักพิงเพื่อขังร่างของอีกฝ่ายไว้ระหว่างกลาง ก่อนจะย้ายขาขึ้นมาคร่อมแคปเอาไว้

    มือแคปย้ายลงมากำเสื้อเชิ้ตสีดำของเขาจนยับ พลางกลีบปากนุ่มก็ขยับขบริมฝีปากล่างของเขาตอบเบา ๆ
ราวกับลูกกวางที่เข้ามาล่อเสือถึงปากถ้ำ

    ช่างอันตรายต่อใจของเขาเสียจริง

    “แคป กูรักมึงนะ”

    เสียงแหบกระซิบระหว่างระยะริมฝีปากเมื่อทั้งสองผละออกจากกันเพื่อรับอากาศเข้าปอด
แคปสบตาเขานิ่ง ริมฝีปากที่โดนเขาดูดจนเริ่มแดงทำให้เขาใกล้จะห้ามใจไม่อยู่เข้าทุกที

    หัวใจของเท็นแทบหยุดเต้น เมื่อใบหน้าตี๋ตรงหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนมายิ้มให้เขา แก้มสีขาวขึ้นสีชมพู
ระเรื่ออย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน





    “อือ”





    กับคำตอบเดิมที่คุ้นเคย






________________________________________







    “อือ...”

    เสียงแหบครางเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัวตื่น แสงสว่างสีขาวที่ส่องผ่านผ้าม่านบาง ๆ ที่หน้าต่าง
ทำให้เท็นต้องรีบหลับตาลงก่อนจะได้ลืมตาเต็มตา

    “ตื่นแล้วหรอ?”

    เสียงที่แค่ได้ยินผ่าน ๆ ก็บอกได้ว่าใครดังขึ้นจากทางขวา ก่อนเท็นจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ
และเห็นหน้าแคปที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งเมื่อสายตาปรับกับความสว่างได้แล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อคืน
เริ่มไหลย้อนเข้ามาในหัว ทำให้เท็นหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    “ยิ้มอะไรมึงอ่ะ?”

    แคปถามเสียงกวนเหมือนเคย แต่บนใบหน้าหวานกลับดูมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

    “รีบตื่นจังนะมึงอ่ะ”

    “อืม มันสว่างอ่ะ แล้วมึงอ่ะ โอเคมั้ย?”

    “เห้ย ชิลล์ กูไม่ได้เมาขนาดนั้นซะหน่อย”

    เท็นหัวเราะแห้ง และค่อย ๆ ดันตัวขึ้นนั่ง แต่พอหันกลับไปสบตากับแคปอีกที แคปกลับมีสีหน้า
ที่แปลกไป ไหนจะคิ้วที่ขมวดกันเล็กน้อยอีก

    “นี่มึง...จำเรื่องเมื่อคืนได้มั้ย?”

    แคปหรี่ตาลง และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและเบาลงจนเท็นใจหวิว ในแววตาสีน้ำตาลมี
ความต้องการอะไรบางอย่างที่เท็นไม่อยากจะเดาเลยว่าคืออะไร

    “เรื่องเมื่อคืน? ทำไมหรอ มีอะไร?”

    เท็นพยายามทำเสียงดึงบรรยากาศแปลก ๆ ในห้องให้กลับมาเป็นปกติ แต่เหมือนการกระทำนั้น
จะยิ่งทำให้แคปไม่พอใจ

    “มึงอ่ะเท็น เมื่อคืนมึงได้บอกอะไรกูรึเปล่า?”

    แคปถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและไร้อารมณ์ใด ๆ เท็นรู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมจากความกลัว
ก็คิดอยู่ว่าเมื่อคืนแคปคงเมาไม่มากเท่าที่เคย เจ้าตัวอาจจะพอมีความทรงจำอะไรหลงเหลือมาบ้าง เขาค่อย ๆ
ระบายยิ้มเจื่อน และพยายามกลบเกลื่อนให้เนียนที่สุด

    “ป…เปล่านี่ กูมาถึงมึงก็เมาหลับไปแล้วนะ ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน”

    เท็นพยายามยิ้มให้แคปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เหมือนที่ลอดสายตาแคปมาได้ในทุก ๆ ครั้ง
แต่คราวนี้แคปกลับยังจ้องเขาไม่วางตา
   
    เสียงสูดหายใจเข้าช้า ๆ และถอนหายใจหนัก ๆ ของแคปดังก้องไปทั่วห้องที่ไม่มีเสียงใด ๆ
ร่างสูงกำผ้าห่มสีขาวในมือ พลางกัดริมฝีปากล่างแน่นจนเท็นเป็นห่วง

    และไม่ทันที่เท็นจะได้เอ่ยปากถาม แคปก็ดันตัวยืนขึ้นและเดินออกจากห้องไปเสียก่อน
   




TBC.


ตอนที่สามแล้ววววว ส่วนตัวเราชอบพล็อตของเรื่องนี้ที่สุดในซีรี่ส์เลย 55555
ภาษาอาจจะยังไม่สวยขนาดนั้นนะคะ แต่ว่าเราก็พยายามเขียนให้เห็นภาพที่สุด
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนหน้าก็จบเรื่องแคปแล้ว แงงง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #3
« ตอบ #19 เมื่อ: 26-09-2017 18:11:52 »





ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
ตกลงว่าจำได้หรือไม่ได้....
กลัวเท็นนกจัง  :z10:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เท็นป๊อดอะไรเบอร์นี้...ไม่ได้ดั่งใจเลย   :m16: :m16: :m16:

ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #4.1
«ตอบ #22 เมื่อ28-09-2017 22:57:26 »

CAPPUCCINO
Capturing our moments
CHAPTER 4


BGM















    “แคป”

    “แคป ฟังกูก่อน แคป!!”

    เสียงเท็นดังตามหลังแคปมาไม่ห่าง แต่ร่างสูงก็ยังก้าวขาฉับ ๆ เตะทรายใต้เท้ากระเด็นอย่างไม่สนใจ

    “แคป กูขอโทษ กูไม่รู้ว่ามึงจะจำได้...กูไม่น่า-“

    “กูไม่ได้โกรธมึงเรื่องเมื่อคืน เท็น”

    จู่ ๆ แคปก็หยุดเดินและหันกลับมามองหน้าเท็นตรง ๆ แววตาโตสั่นไหวแปลก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ดูกลัว หรือขยะแขยงแบบที่เท็นกลัว

    “ถ้ามึงจำทุกอย่างได้เหมือนที่กูจำได้ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่ได้โกรธมึงเลย”

    แววตาดุดันค่อย ๆ อ่อนลง เมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของเพื่อนรัก เท็นได้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาเรียบร้อย แต่ก็ยืนห่างออกไปกว่าปกติเล็กน้อย

    "กูไม่รู้ว่านะว่ามึงจำเรื่องเมื่อคืนว่ายังไง แต่มึงแม่ง...”

    “มึง…หมายความว่าไง?”

    เท็นขมวดคิ้วมองหน้าแคปอย่างไม่เข้าใจ คนตัวสูงกว่ากัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “ไม่คิดเลยว่ามึงจะเมาได้หมดสภาพขนาดนี้”

    “ฮะ?”

    พอเห็นสีหน้างงงวยของอีกฝ่ายแคปก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกทอด ร่างสูงมองออกไปทางทะเล ก่อนจะกลับมามองเท็นที่เอาแต่มองเขาอย่างอ้อนวอน ให้ช่วยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟังที

    “ก็เมื่อคืนนี้อ่ะ...”






    “one shot! one shot! one shot!”

    เสียงตะโกนของเพื่อนในวงดังมาจากริมหาดไม่ไกลไปนัก แคปยกยิ้มเมื่อเห็นหลังเสื้อเชิ้ตสีดำกับผมสีเข้มของเท็นอยู่ไหว ๆ ก่อนจะพาขายาวตรงไปทางที่กลุ่มเพื่อนนั่งอยู่ก่อน

    หลังจากที่เขาไปนั่งดื่มกับเพื่อนจากอเมริกานี่ก็ผ่านไปได้เกือบชั่วโมงครึ่งแล้ว เพราะเพื่อน ๆ ชวนเขาคุยไม่หยุด กว่าจะขอตัวออกมาได้ต้องรอให้ทุกคนเริ่มไม่มีสติกันระดับหนึ่ง สุดท้ายเขาเลยแทบไม่ได้แตะเครื่องดื่มอะไรเลยนอกจากเบียร์แค่แก้วเดียว เพราะไม่อยากเมาก่อนจะได้ไปจอยกับเพื่อนด้วย

    “โห ไอ้เท็น คบกันมาสี่ปี กูไม่เคยเห็นมึงแดกเหล้าเยอะขนาดนี้เลยนะเว้ย”

    พีชผู้เป็นคนชงเหล้าแก้วที่เท็นกระดกครั้งเดียวหมดไปเมื่อกี๊ตบบ่าเพื่อนหน้าหล่อและพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น คิงก็พยักหน้าสมทบ ส่วนเอฟที่นั่งอยู่ชิดข้างซ้ายของเท็นก็แอบนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว

    “นั่นดิ กูคิดว่ามึงไม่ชอบดื่มซะอีก”

    “เปล๊า กูไม่ได้ไม่ชอบ”

    คำตอบของเท็นหยุดขาที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาเพื่อน ๆ ของแคปอยู่กับที่ เพราะคำตอบนั้นมันตรงกันข้ามกับที่เท็นมักจะบอกเขามาเสมอ ว่าตัวเองไม่ค่อยชอบดื่ม เวลาดื่มกับเพื่อนจึงดื่มน้อย ๆ ทั้งที่ตัวเองก็คอแข็งพอสมควรมาเสมอ ร่างสูงจึงหยุดยืนอยู่ห่างจากทุกคนพอให้ไม่โดนเห็นเสียก่อน เพื่อจะฟังว่าเท็นจะพูดว่าอย่างไรต่อไป

    “แต่ปกติกูดื่มมากไม่ได้ว่ะ กูมีคนต้องดูแล”

    เท็นที่นั่งโอนไปเอนมาเหมือนจะเมาไม่น้อยปรือตาตอบพีช ท่าทางของร่างสูงแปลกตาทุก ๆ คนที่ได้เห็น เพราะไม่มีใครเคยได้เห็นเท็นตอนเมาแบบนี้ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างแคปเองก็เถอะ

    “ไอ้แคปอ่ะนะ?”

    เท็นพยักหน้า

    “โถมึง แปลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงโกหกพวกกูหรอ?”

    “พวกกูก็คิดไปว่าพวกมึงไม่อยากดื่มกับพวกกู น้อยใจนะเว่ย”

    คิงเบะปากตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ก่อนจะปักขวดเบียร์ในมือลงในทรายข้างตัว เท็นสบตาเพื่อนหนุ่มตอบ ก่อนจะส่ายหน้าและยิ้มบาง ๆ

    “อยากดิ กูเห็นพวกมึงสนุกกูก็อยากร่วมวง...แต่กูก็ต้องดูแลไอ้แคปมันป่ะวะ อ่อนแอแบบนั้นอ่ะ ปล่อยแป๊บเดียวก็เจ็บตัวแล้ว”

    คำตอบที่ฟังจับใจความยากเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวเริ่มพูดไม่ค่อยได้ศัพท์ แถมยังพูด ๆ หยุด ๆ ทำให้แคปเกิดอาการใจเต้นไปชั่วขณะ ร่างสูงกลืนน้ำลายอึกกับจังหวะหัวใจที่เต้นแปลก ๆ จนลามมาทำให้หน้าเขาร้อนไปหมด

    “แล้ววันนี้คิดยังไงแดกเยอะขนาดนี้วะ? เนี่ยมึงคนเดียวสอยไปครึ่งขวดละ”

    พีชว่าพลางยกขวดวอดก้าราคาแพงขวดใหญ่ขึ้นมาโชว์ แต่ก็ไม่พ้นเขาเองนั่นแหละ ที่พอเห็นเพื่อนเริ่มไม่ได้สติก็แกล้งส่งเอา ๆ แถมแต่ละแก้วยังชงซะเข้ม ทำเอาเท็นที่ปกติคอแข็งระดับหนึ่งก็แพ้ราบคาบ ไหนจะยิ่งไม่ได้ดื่มมาเป็นเดือน ๆ เจอหนักขนาดนี้เข้าไปก็หมดสภาพ

    เท็นกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ละสายตาลงมองแก้วเปล่าในมือของตัวเอง มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแห้ง ตามด้วยเสียงหึในลำคอ ที่มีแต่เอฟคนเดียวที่ได้ยิน

    “วันนี้เค้าคงไม่ต้องให้กูดูแลหรอก”

    หัวนิ้วโป้งสากลูบขอบแก้วไปมาเป็นวงกลม แคปที่ยืนฟังอยู่ก็รู้สึกเจ็บแปลกๆ ขึ้นมา

    “แล้ว...กูก็ควรได้รับเวลาของตัวเองบ้างอ่ะนะ จะเรียนจบแล้วยังไม่เคยได้เมากับพวกมึงเลย ฮะๆ”

    เท็นรีบปัดไปตอบคำถามอีกประเด็นหนึ่ง เรียกเสียงฮิ้วจากเพื่อนคนอื่น ๆ อีกระลอก และเหล้าแรง ๆ ที่ตามมาลงคอเท็นไปอีกสองสามแก้ว แคปยังคงยืนหลบอยู่ที่เดิม คำตอบของเท็นมันทำให้เขารู้สึกเท้าหนักจนก้าวขาไม่ออก ใจที่อยากจะเข้าไปนั่งสนุกกับเพื่อน ๆ เริ่มห่อเหี่ยวลงไปอย่างไม่รู้สาเหตุ

    นี่เขา...เป็นภาระของเท็นมาตลอดเลยหรือ?

    ฟันขาวขบริมฝีปากตัวเองอย่างชั่งใจ ความรู้สึกผิดมันไหลมาเทมาจนอยากเดินเข้าไปถามเท็นตรง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินหนีออกมากลับเป็นสิ่งต่อไปที่เขาเห็น

    ภาพของเท็นที่ยกมือโอบ และดึงไหล่ของเอฟเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนทั้งสองจะกระซิบกระซาบและหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน

    ไม่มีเขาแล้ว เท็นก็ดูมีความสุขดี

    ใช่…เขาควรให้พื้นที่ส่วนตัวกับเท็นบ้าง

    เขาควรปล่อยให้เท็นไปเจอคนดี ๆ ที่คู่ควรกับเท็นบ้าง






____________________



   


    นอนไม่หลับ

    แคปดันผ้านวมสีขาวที่คลุมโปงไว้เมื่อกี๊ออกจากหน้าและมองเหม่อขึ้นไปบนที่จับควันที่กระพริบไฟสีแดงอยู่บนเพดาน เสียงเพลงจากลำโพงของเขาเปลี่ยนไปเป็นเพลงที่สิบกว่า ๆ หลังจากทิ้งตัวลงนอน

    ส่วนสาเหตุที่เขานอนไม่หลับ ก็เพราะเพื่อนร่วมห้องตัวดียังไม่กลับมาเลยน่ะสิ

    “เฮ้อ…”

    ใบหน้าขาวเบะปากพลางเป่าผมหน้ามายาว ๆ ของตัวเองเพื่อข่มใจ เพราะใจเจ้ากรรมมันเต้นแรงจนเขาไม่มอารมณ์จะนอนเลยเนี่ยสิ

   
    ตัวถ่วง...

   
    รู้สึกเหมือนมีคำนี่ตราหน้าตัวโต้ง ๆ อยู่บนหน้าผากตั้งแต่ได้ยินเรื่องที่เพื่อนคุยกันเมื่อชั่วโมงก่อน แคปเผลอตัวกัดริมฝีปากล่างอย่างเคยชินเพราะความกังวลใจ จะว่าน้อยใจก็ได้ แต่เรียกว่ารู้สึกผิดน่าจะถูกต้องกว่า

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารบกวนเท็นมากขนาดไหน แต่เห็นเท็นเองก็ชอบมาขอช่วยเหลืออยู่เสมอ เขาเลยตีความไปเองว่าเท็นก็คงเต็มใจ พออยู่ด้วยกันนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นว่าเรื่องขอความช่วยเหลือเท็นกลายเป็นส่วนนึงของชีวิตประจำวันของทั้งสองไปเสียแล้ว แคปเองก็พึ่งพาเท็นอยู่ฝ่ายเดียว จนลืมคิดไปเสียสนิทว่าคนอื่นจะคิดยังไง และเท็นจะพลาดอะไรที่ควรจะทำไปมากขนาดไหน

    ไม่เคยคิดจนได้ยินเท็นพูดออกมาแบบนั้น

    แต่ที่ทำให้เขาเสียใจ ไม่ใช่เพราะเขาน้อยใจ แต่เพราะเท็นเลือกที่จะไม่บอกเขา แล้วทำเป็นไม่เป็นไรมาตลอดต่างหาก

    แม่ง…โคตรเห็นแก่ตัว

    แคปนึกด่าตัวเองในใจ ได้แต่คิดว่าถ้าเขาไม่ได้ทำตัวเอาแต่ใจ เรียกหาแต่เท็นตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมา ตอนนี้ชีวิตของเท็นจะดีขนาดไหน

    และคำพูดของเอฟเมื่อสองเดือนก่อนก็ย้อนกลับมาในหัว


    “ผมชอบพี่เท็นครับ”


    แคปยกมุมปาก เสียงทุ้มหัวเราะหึ บางทีที่เขาไม่เข้าไปวันนี้ก็อาจจะดีก็ได้ อาจจะทำให้เอฟกล้าเข้าหาเท็นมากขึ้น เพราะไม่มีเขาขวางทาง และเท่าที่ดูสองคนนั้นก็ดูเข้ากันดี

    แต่ไม่ทันจะได้จินตนาการอะไรไปไกลกว่านี้ แคปก็ถูกเรียกออกจากภวังค์ด้วยเสียงพูดคุยจากนอกประตูห้อง ตามด้วยเสียงแกร๊กที่ลูกบิดเสียก่อน

    ร่างสูงรีบตีเนียนทำเป็นหลับตานอน ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวลืมตา และส่งเสียงครางในลำคอเหมือนเพิ่งตื่นนอน

    “อือ…กลับมาแล้วเหรอ?”

    ว่าแล้วก็ดันตัวเองขึ้นนั่งพิงหัวเตียง โดยพยายามคงความเร็วให้ช้าเหมือนคนง่วงนอน แคปเงยหน้าขึ้นมองเท็นที่เดินโผล่ออกมาจากทางเดินหน้าห้องและหยุดลงที่ปลายเตียง กลิ่นเหล้าที่หึ่งไปทั่วห้อง และแก้มแดง ๆ กับตาปรือ ๆ ของเท็นบ่งบอกได้ดีทีเดียวว่าพ่อรูปหล่อเมาขนาดไหน

    “ปลุกหรอ?”

    แคปไม่ตอบ แต่พยักหน้าสามครั้ง เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเท็นสัปหงกและเซลงไปทางโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ยังดีที่เท็นเท้าแขนยันตัวเองไว้ทัน

    ฝ่ายเท็นก็ลุกขึ้นมายืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงตรงที่ว่างบนเตียงข้างขาของแคป พอได้อยู่ใกล้ ๆ แคปก็สังเกตกระดุมเสื้อเชิ้ตของเท็นที่สองเม็ดบนถูกปลดออกจนเห็นแผงอกสีแทน ที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอลล์

    “ทำไมไม่ตามไปกินต่ออ่ะ?”

    คำถามของเท็นทำให้แคปสะอึกและพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง คำพูดของเท็นทุกคำ และภาพที่เท็นกับเอฟหัวเราะกันสนุกสนานไหลกลับเข้ามาให้เขาปวดหัวอีกรอบ

    “ก็ว่าจะตามไปแล้ว...แต่เหนื่อย”

    สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบบ่ายเบี่ยงไปแทน ยังไงซะเขาเองก็ไม่เคยคุยกับเท็นตอนเมา ไม่รู้ว่าจะหัวร้อน หรือจะอ่อนไหวขนาดไหน และต่อให้พูดความจริงออกไป เขาก็จะดูงี่เง่าไปอีก

    “เมาหรอ?”

    อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงอู้อี้ กลิ่นแอลกอฮอลล์หลากยี่ห้อโชยออกมาจนแคปยู่หน้า แต่ความคิดทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเมื่อสัมผัสอุ่น ๆ จากฝ่ามือของเท็นวางลงบนตักขวาของเขา ไหนจะนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องตาเขานิ่งอย่างกับจะดูดวิญญาณ ดวงตาที่คุ้นเคย แต่วันนี้อารมณ์ที่สื่อออกมามันแปลกไป แคปเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันทำเขามวนท้องไปหมด

    แทนที่จะเอ่ยปากด่าไปอย่างที่คิด แคปเลยแค่อ้าปากเก้อ และส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว

    “ครับ ๆ ไม่เมา”

    เท็นระบายยิ้มหวาน ก่อนจะย้ายมือข้างเดิมขึ้นมายีหัวของแคปไปมาอย่างนุ่มนวล ทำเอาแคปที่งงอยู่แล้วยิ่งสับสนจนทำตัวไม่ถูก ถึงเท็นจะแตะต้องตัวเขาเป็นปกติ แต่ครั้งนี้มันกลับรู้สึกไม่เหมือนทุกครั้ง

    เพราะครั้งนี้มันทำให้แคปใจเต้นจนปวดไปทั้งหน้าอก

    “ทำอะไรอ่ะ?”

    แคปหวังว่าคำถามนี้จะเรียกสติของเท็นได้บ้าง เผื่อเพื่อนสนิทจะกำลังเห็นเขาเป็นคนอื่น แต่ดวงตาเยิ้มที่เลื่อนกลับมาจ้องตาเขา และกระพริบถี่ ๆ ก็ทำให้ลิ้นเขาเปลี้ยไปหมด

    “ขอเหอะ ไม่ได้ทำแบบนี้มาโคตรนานเลย”

    ร่างสูงตอบเสียงยาน และเลื่อนมือกลับลงไปกลุมมือของแคปที่วางอยู่ข้างตัว สัมผัสอุ่น ๆ จากปลายนิ้วโป้งที่ลากหลังมือเขาไปมาทำให้แคปขนลุกไปทั้งตัว

    “เดี๋ยวมึงก็ลืมอยู่ดี”

    หมายความว่ายังไง?

    แคปส่งเสียงหืออย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าตี๋ขมวดคิ้ว ยิ่งเท็นพูดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ที่หมายความว่าเขาจะลืม คือทุกครั้งที่เขาเมาจนลืม เท็นทำอะไรกับเขาไว้เหรอ? แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้เท็นไม่ได้แค่เมาจนมโนไปเอง

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองคนที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ไม่ไกล ใจแอบหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มเพราะสายตาที่มองมาจู่ ๆ ก็ดูหม่นหมองเหลือเกิน

    งงไปหมด

    “แคป”

    เท็นเรียกชื่อที่คุ้นเคย แต่น้ำเสียงที่ใช้มันกลับหวานและอ่อนโยนกว่าที่ใช้ในทุก ๆ ครั้ง แคปหายใจสะดุดเล็กน้อย สาเหตุหนึ่งเพราะเสียงของเท็น แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะเขาแน่ใจแล้วว่าเท็นไม่ได้เห็นเขาเป็นใครอื่น

    ทำไมถึงแอบดีใจก็ไม่รู้

    แคปเลิกคิ้วเป็นสัญญาณให้เท็นขยายความ ก่อนคำตอบที่ได้รับจะเหมือนกำปั้นที่อัดหน้าเขาจนชาไปทั้งตัว

    “กูรักมึงนะ”

    เสียงที่เท็นเอ่ยมันแหบพร่า แต่กลับดังและชัดเจนจนดังก้องไปมาอีกหลายรอบในหัวของแคป คำพูดที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ยินจากเพื่อนที่รักที่สุดในชีวิตทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งไปหมด สิ่งเดียวที่รู้ตัวทั้งร่างกายคือดวงใจที่เต้นตุ้บตั้บ ๆ จนจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว

    เมื่อเขาไม่ตอบ เท็นก็ค่อย ๆ ระบายยิ้มเศร้า และก้มหน้าหลบตาเขาไป แคปนั่งจ้องคนตรงหน้านิ่ง อึดอัดไปหมดกับความรู้สึกแปลก ๆ ข้างในที่เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร เขาควรจะโกรธ หรือตกใจ หรือรู้สึกอะไรกับคำว่ารักของเท็นบ้างสิ แต่อาการที่เขากำลังเผชิญอยู่มันไม่ใช่อะไรที่เขารู้จัก เหมือนกับกำลังนั่งฟังภาษาที่ตัวเองพูดไม่เป็น เขาก็เลยไม่รู้จะต้องแสดงออกความรู้สึกนี้ออกไปอย่างไรด้วย

    “กูรู้ว่ามึงไม่ได้อยากมีใคร แล้วกูก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงจะรังเกียจกูที่เป็นผู้ชายมั้ย ไม่รู้ว่าบอกไปแล้วมึงจะผลักไสกูมั้ย แล้วพื้นที่ข้าง ๆ มึง พื้นที่ในฐานะเพื่อนสนิทที่สุดของมึงจะหลุดมือกูไปรึเปล่า...สุดท้ายก็เลยทำได้แค่มาฉวยโอกาสกับมึงเวลามึงเมาแบบนี้ไงแคป”

    เท็นหัวเราะหึ และมองหลบลงไปที่มือของทั้งสองคนที่วางทับกันอยู่ แคปพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองไม่ให้เร็วถี่ขึ้นตามจังหวะหัวใจ ทำให้เสียงลมที่ออกมาจากปากสั่นระริก ถึงเท็นจะกำลังเมาจนคิดไปเองว่าเขาเมาจนไม่ได้สติ แต่สิ่งที่เท็นพยายามจะสื่อมันก็ชัดเจนมากพอ

    เท็นกำลังสารภาพรักกับเขา...

    จู่ ๆ แคปก็วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม

    ชีวิตนี้เขาโดนสารภาพรักมาแล้วก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันมีผลกระทบกับร่างกายของเขาหนักหน่วงเหลือเกิน อาจเป็นเพราะมันออกมาจากปากเพื่อนคนสนิท หรืออาจะเป็นเพราะคน ๆ นั้นคือเท็นก็ได้

    คำว่ารักของเท็นมันอาจจะหมายถึงรักแบบเพื่อนก็ได้...

    แบบเพื่อนที่สนิทกันมาก...แล้วก็หวงกันมาก

    เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น...เขาเองก็เป็นเหมือนกันนั่นแหละ

    “มึงสำคัญกับกูมากนะแคป กูไม่อยากเสียมึงไป ก็เลยเป็นไอ้ขี้ขลาดขี้หวง ที่เป็นเจ้าของมึงได้แค่ในจินตนาการ”

    แคปกลั้นหายใจเฮือกเมื่อมืออุ่น ๆ ของเท็นยกขึ้นมาลูบข้างแก้มของเขา จู่ ๆ ขอบตาก็รื้นและร้อนไปหมด ใบหน้าที่ละลายใจสาวมานับร้อยอยู่ห่างจากเขาไปเพียงเอื้อม แสงไฟสีเหลืองส้มจากโคมไฟข้างเตียงตกกระทบสันจมูกโด่ง และตาคมจนสะท้อนออกมาเป็นภาพใบหน้าที่ดูดียิ่งกว่าทุก ๆ วัน

    "กูไม่อยากให้ใครเขามาหามึง เข้ามาทำให้ใจมึงหวั่นไหว แต่กูเองก็ไม่กล้าพอจะเข้าหามึงเหมือนกัน...แม่ง กูไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย”

    คำสารภาพยังคงพรั่งพรูออกมาจากปากของเท็น โดยมีแคปนั่งฟังเขาเงียบอยู่ฝ่ายเดียว เท็นถอนหายใจอ่อน และสบตาแคปที่จ้องตอบเขาไม่กระพริบ แต่ที่แคปเป็นแบบนี้ ก็เพราะตอนนี้ทุกอย่างในหัวมันตีกันจนเขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้วต่างหาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสามนาทีที่ผ่านมามันถาโถมใส่เขาหนักเหลือเกิน

    และแต่ละคำพูดที่เท็นเอ่ย ก็เหมือนนวมที่ชกเข้ามาที่หน้าอกซ้ายของเขาไม่มีหยุด จนเขาแทบจะน๊อคเอาท์ได้เพียงแค่เท็นกระดิกนิ้วอีกหนึ่งครั้ง



    “ยังไงก็...ขอบคุณนะ ที่ฟังกูมาตลอด...แล้วก็ขอโทษที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”



    K.O.



    สมองและหัวใจของแคปเหมือนหลุดลอยออกจากร่างด้วยประโยคสุดท้ายจากปากของเท็น พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อและไหลออกจากดวงตาที่แคปคุ้นเคย น้ำตาที่บ่งบอกถึงความจริงใจกับทุก ๆ คำพูดที่เจ้าตัวเพิ่งพูดไปกับคนที่ตัวเองแอบรักมาตลอดสี่ปี

    แคปไม่ได้รู้สึกตัวเลยตอนที่เขาขยับพลิกมือหงายขึ้น และบีบมือของเท็นที่กุมมือเขาเอาไว้ เขาไม่รู้ตัวด้วยเช่นกันว่าน้ำตาของตัวเองมันไหลตามเท็นออกมาได้ยังไง เขาสับสนไปหมดกับทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งตัวเท็น และตัวเขาเองที่กำลังรู้สึกแปลก ๆ ทั้งมึนหัว ทั้งแน่นหน้าอก และยิ่งเป็นหนักขึ้นเมื่อเท็นพยายามกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาของตัวเอง

    ร่างสูงแทบลืมหายใจเมื่อเรือนไหล่กำยำของเท็นเริ่มสั่นขึ้นลงพร้อมกับเสียงกลั้นสะอื้นของคนตรงหน้า เขารู้จักเท็นดีพอที่จะรู้ว่าเท็นไม่ใช่คนอ่อนไหว แต่สิ่งที่เท็นกำลังเป็นอยู่มันตรงกันข้าม และมันทำให้เขาเผลอร้องไห้หนักขึ้นตามไปด้วย เพราะเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุ




    “เท็น…”



    ปากเจ้ากรรมเผลอเรียกขื่ออีกฝ่ายไปก่อนที่หัวจะได้คิด สถานการณ์ตอนนี้มันทำให้สมองที่มักจะคิดมากของแคปมันหยุดทำงานไปชั่วขณะ อย่างกับร่างกายกำลังเปิดโหมดออโต้ไพล็อตให้หัวใจควบคุมอย่างไรอย่างนั้น

    “เท็น”

    แคปเอ่ยชื่อเท็นออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นกว่าเก่า จนมันทะลุความเมาของเจ้าตัวไปถึงหูได้เสียที เท็นตัวแข็งทื่อเหมือนโดนผีหลอก ก่อนจะค่อย ๆ ยกหัวหนัก ๆ กลับขึ้นมาสบตาแคปที่มองเขาอยู่ก่อน

    เท็นไม่ได้พูดอะไร เช่นเดียวกับแคปที่เอาแต่มองตาเท็นราวกับจะหาคำตอบให้กับความไม่เข้าใจในใจตัวเองให้ได้




    รัก



    จู่ ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว แคปเลิกคิ้วและเบิ่งตาโตด้วยความตกใจ คำที่เท็นพูดแล้วพูดอีกในค่ำคืนนี้ดังก้องไปทั่วห้องเป็นร้อย ๆ ครั้ง ราวกับเท็นหยุดเวลาเอาไว้นับชั่วโมง

    ที่เขาหวั่นไหวขนาดนี้ เพราะคำ ๆ นี้หรือเปล่า?

    ที่เขาใจสั่นขนาดนี้ เพราะความจริงจังที่เท็นส่งมาให้เขา ในคำว่ารักทุก ๆ ครั้งหรือเปล่า?

    ที่เขาเป็นแบบนี้...เพราะเขาก็...รักเท็นเหมือนกันหรือเปล่า?




    "แคป”

   

    เสียงเรียกของเท็นลอยผ่านไปเหมือนเพียงลมปาก เพราะเตียงที่ยุบฮวบ และสัมผัสร้อนที่ริมฝีปากที่ตามมาติด ๆ ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของแคปลอยฟุ้งไปในอากาศ

    เท็นกำลังจูบเขา

    ดวงตากลมเบิกโพลง ไหล่แคบเอนหนีตามสัญชาตญาณจนแนบไปกับที่พิง รสชาติแอลกอฮอลล์จาง ๆ ในปากของเท็นทำให้โลกของแคปหมุนติ้ว

    หนังตาของแคปค่อย ๆ หนักและหลับลงตามจังหวะจูบเนิบ ๆ แต่อ่อนโยนของเท็น ที่ขยับขบเล็มริมฝีปากล่างของเขา และจู่ ๆ ภาพเท็นในเสื้อยืดสีกรมท่า ในวันแรกที่ทั้งสองเจอกันเมื่อก่อนเปิดเทอมตอนปีหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในหัว

    “ไม่ไปคุยกับคนอื่นหรอ?”

    รอยยิ้มแสนอบอุ่น กับคำถามที่แฝงไปด้วยความจริงใจตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกันกลับมาเตือนใจหลังจากแคปลืมมันไปหลายปี

    “สำหรับกูอ่ะ ใครก็แทนมึงไม่ได้หรอกนะเว่ย”

    คำพูดของเท็นเมื่อสองเดือนก่อน ที่พูดผ่านหูเพียงเสี้ยววินาทีดังขึ้นให้แคปใจสั่นอีกครั้ง ประโยคที่ตอนนั้นเขาแอบคิดตื่นเต้นไปเอง แต่ตอนนี้กลับมีความหมายชัดเจน

    ไหล่ที่เกร็งตัวอยู่ค่อย ๆ คลายลงพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนมุมปากของคนที่โดนจูบ และราวกับแคปได้เปิดประตูเขื่อนในหัวใจออก จู่ ๆ ร่างกายก็รู้สึกรุ่มร้อนขึ้นมากกว่าเดิมร้อยเท่า หัวใจเต้นเร็วและแรง ราวกับเรียกร้องให้เท็นเข้าหามากกว่านี้

    แคปเองยังแปลกใจ ที่เข้าไม่ได้รู้สึกอยากผลักไส หรืออยากให้จูบครั้งนี้จบลงเลย

    “อ…อือ”

    ร่างผอมเผลอเบิกตาตกใจกับเสียงตัวเองที่ครางออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ กลัวว่าตัวเองจะดูไร้ประสบการณ์และเสียฟอร์มหนุ่มฮอตของมหาลัย แต่ไม่เลย เพราะเสียงนั้นกลับเหมือนไปเปิดสวิตช์อะไรบางอย่างในตัวเท็น ให้รุกล้ำเขามากยิ่งกว่าเดิม

    แคปหลับตาพริ้มเมื่อแรงกดที่ริมฝีปากหนักหน่วงยิ่งขึ้น แต่ยังคงความเนิบนาบไว้ให้ใจหวิว ปลายลิ้นร้อนแตะลงที่ช่องว่างระหว่างปากบนและล่างเหมือนจะขออนุญาต และเมื่อแคปไม่ปฏิเสธ เท็นก็ดันปลายลิ้นร้อนเข้ามาเปิดทางโพรงปากร้อน และฉกชิงจูบครั้งแรกไปจากแคปโดยสำเร็จ

    “ฮ…อืม”

    แคปแอบใจสั่นเมื่อจู่ ๆ เท็นก็เปลี่ยนจากคนอ่อนโยน มาเป็นคนถือไพ่นำในเกมนี้ ร่างสูงยกแขนทั้งสองขึ้นกั้นครึ่งตัวบนของเขาไว้กับหัวเตียง และยกขาขึ้นมาคร่อมครึ่งตัวล่างของเขาเอาไว้กับเตียง

    อบอุ่น

    เหมือนกับทุกครั้งที่เท็นคอยปกป้องเขา

    ไม่อยากให้ไปไหนเลย...

    สติเส้นสุดท้ายของแคปขาดผึง เช่นเดียวกับความดื้อดันในตัวที่อ่อนระทวย เหลือเพียงหัวใจที่ร่ำร้องต้องการความอบอุ่นจากเท็นขึ้นมา รู้ตัวอีกที แคปก็เป็นฝ่ายจูบเท็นตอบโดยไม่ต้องให้เท็นร้องขอ

    กลีบปากนุ่มขบเม้มอีกคนอย่างไม่รู้ประสีประสา ลมหายใจร้อนยังคงรดใบหน้ากันและกันจากระยะห่างไม่ถึงเซนติเมตร มือขาวเลื่อนขึ้นจากฟูกเตียง มากำเสื้อเชิ้ตสีดำของเท็นแน่นจนยับยู่ยี่

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้จะยิ่งปลุกใจเท็น แต่ที่ทำก็เพราะเขาไม่อยากให้เท็นหักห้ามใจกับเขาแล้วเหมือนกัน

    ถ้าจะเปิดใจกันแล้ว ก็เปิดมันให้หมดไปเลยทีเดียว

    แคปร้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อสัมผัสเย็น ๆ จากฝ่ามือของเท็นล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืดสีเหลือง และสัมผัสกับกล้ามหน้าท้องของตน เท็นขยับตัวเข้ามาชิดกับเขายิ่งขึ้นอย่างขาดสติ มือหนาจัดการปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกและถอดมันออกไปให้พ้นทาง พลางเลื่อนปลายจมูกไปอยู่ที่ต้นคอขาวแทน

    “แฮ่ก…แฮ่ก...”

    เสียงหอบแผ่ว ๆ ข้างหูทำให้หัวใจแคปเต้นรัวจนไม่สามารถโฟกัสกับอะไรนอกจากคนตรงหน้าได้อีกแล้ว ร่างกายมันทั้งเร่าร้อนและเรียกหาแต่เท็นในแบบที่เขาก็ไม่เข้าใจ




    แบบนี้เขาเรียกว่ารักหรือเปล่า?





    “แคป”




    เสียงต่ำกระซิบเข้าที่ใบหูพร้อมลมหายใจร้อนที่รดผ่านต้นคอ





    “กูรักมึงนะ”




    เท็นว่าแล้วก็ค่อย ๆ ดันตัวออกห่างจากแคปให้ทั้งสองมีระยะหายใจ แคปมองลึกลงไปในดวงตาแสนอบอุ่นของคนตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ยกยิ้มแบบเดียวกันตอบ แก้มขาวขึ้นสีชมพูอ่อน เหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มในการ์ตูนญี่ปุ่นที่เท็นชอบอ่าน




    เขาเริ่มแน่ใจแล้วล่ะ




    “อือ”




    นี่…คือความรัก





    “กูก็รักมึง”









ออฟไลน์ KhaMhoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ARABIKA รักนี้กลิ่นกาแฟ || CAPPUCCINO #4.2
«ตอบ #23 เมื่อ28-09-2017 22:58:50 »






    “แต่ไม่ทันที่กูจะได้บอกมึง มึงก็หลับไปซะงั้น”

    “นี่…มึงพูดจริงดิ?” สิ้นเสียงของแคป เท็นก็ยืนอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง

    อย่างแรก คือไม่เชื่อว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เขาหาแคปจนเจอ แคปไม่ได้มีท่าทางกลัว หรือรังเกียจเขาเพราะสิ่งที่เขาทำไปเมื่อคืน

    อย่างที่สอง คือเรื่องที่แคปเล่า ซึ่งต่างกับสิ่งที่เขาจำได้โดยสิ้นเชิง

    และอย่างสุดท้าย...คือคำตอบที่แคปบอกกับเขา

    แคปยกแขนขึ้นกอดอกและถอนหายใจกับสีหน้าของเท็น แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อเช่นกัน

    “แต่กูมั่นใจนะว่ากูไม่ได้เมา...มึงอ่ะเมาจนเบลอรึเปล่า?”

    “อย่ามา กูเห็นมึงยกเอา ๆ ไม่เชื่อก็ลองไปถามพวกน้องเอฟสิว่ากว่าจะพามึงขึ้นห้องอ่ะยากขนาดไหน”

    เห็นท่าทางแคปมั่นใจขนาดนั้น เท็นก็เริ่มเสียความมั่นใจในความจำเรื่องเมื่อคืนของตัวเองแล้ว ร่างสูงกลืนน้ำลายอึก และหลบตาโต ๆ ของแคปลองมองพื้นทราย

    ถ้าสิ่งที่แคปพูดคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง...

    “กูจำได้ว่า...กูแค่จูบมึงเฉย ๆ นะ”

    “แค่จูบบ้านมึงดิ สติเมา ๆ ของมึงนี่จำซะตัวเองเป็นพระเอกหนังเกาหลีเลยนะ”

    เท็นส่งเสียงอุบอิบ พลางนึกภาพตามตอนที่แคปบอกว่าตัวเองถึงขั้นถอดเสื้อโยนทิ้ง ยังไงก็นึกภาพตัวเองทำอะไรป่าเถื่อนแบบนั้นไม่ออกจริง ๆ 

    “แต่กูตื่นมาก็ใส่เสื้อครบนะ”

    “ก็กูนี่แหละจับมึงแต่งตัวนอน”

    “แล้วกูก็จำได้ว่ามึงไม่ได้ตอบกูแบบนั้น”

    “ก็ใครใช้ให้เมาจนสลบไปก่อนอ่ะ?”

    เสียงของแคปเริ่มเหวี่ยงจนเท็นหวั่นใจ แต่พอเงยหน้ามาเจอหน้าแดง ๆ ที่พยายามทำเป็นโกรธอยู่ เท็นก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมายิ้มกว้างอย่างอุ่นใจ

    “ยิ้มอะไรของมึง?”

    “ก็…มึงตอบกูว่าอย่างนั้นจริง ๆ หรอ?”

    ตาที่โตอยู่แล้วเบิกขึ้นกับคำถามขวานผ่าซากของเท็น แคปนิ่งไปเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปเล่นน้ำทะเลสักรอบหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าร่างมาและทำท่ากระฟัดกระเฟียด จะเดินหนีเท็นไปอีกรอบ

    “โคตรดีใจเลยว่ะ”

    แต่คำพูดของเท็นก็หยุดขาที่หมุนตัวหนีไปให้หยุดกึก เสียงสวบสาบดังมาจากข้างหลัง ตามด้วยเท็นที่เดินอ้อมตามมายืนข้างหน้าแคปอีกรอบ รอยยิ้มหวานเหมือนกับเมื่อคืนถูกส่งมาให้ แต่มันกลับมีพลังทำลายล้างหนักขึ้นเมื่อทั้งสองมีสติครบถ้วนแบบนี้

    “พูดอีกทีดิ”

    “ไม่”

    แคปทำตาถมึงทึงใส่เท็นอย่างไม่ยอมแพ้ ส่วนเท็นก็เอาแต่ยืนยิ้มหน้าเดิม เขาอาศัยจังหวะที่แคปไม่รู้ตัวก้าวขาไปใกล้และยกมือจับไหล่ทั้งสองเอาไว้

    “เห้ย!”

    แคปสะดุ้งโหยงและทำท่าจะถอยหลังหนี แต่ก็สู้แรงเท็นไม่ได้อยู่ดี เลยทำได้แค่ยืนนิ่ง และด่าเท็นผ่านทางสายตาเหวี่ยงปลอม ๆ เท่านั้น

    “งั้นมึงก็ไม่ได้โกรธที่กูบอกรักมึงใช่ป่ะ?”

    คำว่ารักจากปากเท็นทำให้ร่างบางตัวแข็งทื่อไปในพริบตา แก้วขาวเปลี่ยนสีเป็นสีชมพูหวาน ส่วนหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาจนแม้แต่เท็นยังรู้สึกได้

    “เอ่อ…กู...โอ้ย อย่าแกล้งกูดิ”

    แคปขมวดคิ้วและเบะปากอย่างยอมแพ้ แต่นั่นก็เป็นคำตอบที่ดีพอแล้วว่าสิ่งที่เท็นกังวลที่สุดไม่ได้เป็นจริง คือแคปไม่ได้รังเกียจหรือผลักไสเขาเหมือนที่เขากลัวมาตลอด

    “แต่ถ้าไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนั้น...ที่โกรธกูเมื่อกี๊คือเรื่องอะไรอ่ะ?”

    แคปช้อนตาขึ้นมาสบตาเท็น ก่อนกัดปากล่างอย่างครุ่นคิดตามความเคยชิน แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เท็นนึกย้อนไปถึงจูบของทั้งสองเมื่อคืน และเกิดหน้าแดงขึ้นมา แถมยังออกอาการชัดเจนจนแคปสังเกต และรีบหันหน้าหนีตามไปอีกคน

    “กู…ก็กูเห็นมึงทำเป็นปฏิเสธ กูก็เลยคิดว่าเมื่อคืนมึงแค่ทำเป็นเล่น”

    เสียงต่ำตอบเบา ๆ อยู่ที่ปลายริมฝีปาก แต่ก็ดังพอที่เท็นจะได้ยินอย่างชัดเจน มือทั้งสองของแคปที่ว่างอยู่จับปลายเสื้อยืดสีเหลืองตัวเดิมไปมาด้วยความเขิน

    “ท่าทางมึงตอนกูถามอ่ะ มึงดูไม่อยากให้กูจำได้ เหมือนที่มึงทำมึงแค่เผลอไปอ่ะ”

    เท็นระบายยิ้มบาง ๆ กับท่าทางเหมือนเด็ก ๆ ของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาของรองเดือนมหาลัยตอนนี้แก้มแดงและตาใสเหมือนลูกหมาหลงทางไม่มีผิด

    "กูกลัวว่า...เมื่อคืนนี้ กูจะเป็นคนจริงจังอยู่ฝ่ายเดียว”

    แคปพูดประโยคสุดท้ายแล้วก็ก้มหน้างุด อยากจะมุดดินหนีไปจากตรงนี้แล้วไปโผล่ที่ขั้วโลกใต้ เพราะอายไอ้คนที่ยืนแทะเล็มเขาด้วยสายตาอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่เล่าความจริงให้ฟังเท็นก็เอาสายตาทิ่มแทงแบบเมื่อคืนมาจ้องเขาจนจะทะลุ

    รู้แบบนี้ไม่น่าบอกเลย ให้ตาย

    “กูจริงจังนะแคป”

    เสียงทุ้มหนักแน่น ในขณะที่ใบหน้าคมยังยิ้มหวานเหมือนเก่า มือบนหัวไหล่ทั้งสองลูบวนไปมา ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมากุมข้อมือของเขาเอาไว้ และยังทิ้งสัมผัสร้อนรุ่มไว้ตตลอดทางที่มืออุ่นเคลื่อนผ่านอีกต่างหาก

    “จริงจังแบบที่อยากแต่งงานกับมึงเลย”

    “เห้ยยยย ไอ้บ้า ใจเย็น ๆ ดิ”

    แคปทำหน้าเหวอกับคำพูดที่ฟังดูเพ้อเจ้อ แต่ก็จริงใจมาก ๆ ในขณะเดียวกัน ยิ่งไฟในแววตาของเท็นก็เป็นตัวยืนยันคำพูดของเจ้าตัวได้อย่างหนักแน่น

    “กูเพิ่งรู้ว่าเพื่อนสนิทที่สุดของกูแอบรักกูมาสี่ปี เพิ่งเสียจูบแรกให้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง เพิ่งบอกรักเพื่อนสนิทของตัวเอง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในคืนเดียวอ่ะมึง มันเร็วมาก...กูขอเวลาปรับตัวก่อน”

    แคปสบตาเท็นและพูดด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ ผสมความเขินไปอีก 30% คนฟังก็โดนความน่ารักแอทแทคไปแรง ๆ

    “ปรับตัวอะไรอ่ะ?”

    “ก็ปรับตัวกับมึงไง”

    แคปเบะปากแรงและยกมือขึ้นมาชี้ที่อกของคนที่ยืนยิ้มหน้าตายอยู่ตรงหน้า ทำให้มือของเท็นที่จับข้อมือเขาอยู่ยกตามขึ้นมาด้วย

    “เมื่อวานมึงยังเป็นเพื่อนกูอยู่ดี ๆ วันนี้มึงมาบอกรักกูแล้ว กูจะปรับตัวตามมึงยังไงให้ทันล่ะ คุณธันวา?"

    เท็นหัวเราะหึ ก่อนจะฉวยโอกาสดึงมือแคปไปด้านหลังให้แคปเซเข้าหาเขา และย้ายมือไปดึงเอวบาง ๆ เข้ามาชิดกับเขาแทน

    “เห้ย!! ปล่อยกู!! ถ้าพวกคนอื่นมาเห็นนะ มึงซวย”

    “ก็ไม่ต้องปรับตัวสิ”

    เสียงนิ่ง ๆ ที่กระซิบลงข้างหูหยุดอาการโหวกเหวกของแคปที่ฉับพลัน สันคางคมวางลงบนไหล่ของคนที่สูงไล่เลี่ยกัน พร้อมกับลมหายใจร้อนที่รดลงที่ต้นคอ

    แล้วใจของแคปก็สั่นระรัว...เพราะมันเหมือนกับเมื่อคืนเสียเหลือเกิน

    “ถึงสถานะกูจะเพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อคืน”

    มือหนาค่อย ๆ เลื่อนจากเอวไปที่แผ่นหลัง ก่อนจะเคลื่อนมาจนโอบกอดร่างของอีกคนไว้เต็มแขน มือขวาจับหัวทุยให้ซบลงที่ต้นคอของตัวเอง

    “แต่สิ่งที่กูทำให้มึง...กูทำในฐานะคนที่รักมึงมาแต่ไหนแต่ไรแล้วแคป"
   
    แต่ละคำที่เท็นเอื้อนเอ่ย มันยิ่งทำให้สติของแคปกระจัดกระจายเป็นผุยผงลงไปผสมกับเม็ดทรายใต้เท้าของทั้งสอง หน้าอกซ้ายมันปวดระบม ไม่ใช่เพราะเจ็บหัวใจ แต่เพราะมันอิ่มเอมจนอัดแน่นไปหมด

    “กูก็จะทำกับมึงเหมือนที่กูเคยทำ มึงก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร...เราก็อยู่กันแบบที่เราสบายใจ”

    เท็นยกยิ้มบางเมื่อรู้สึกถึงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นเร็วไม่แพ้ของเขา

    “ถ้าจะมีอย่างเดียวที่ต้องเปลี่ยน...ก็คือสถานะของเราสองคนเนี่ยแหละ”

    มือหนาค่อย ๆ ดันแคปออกจากอ้อมกอด แววตาคมจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้มองหนีเขาไปไหน




    “แคป”




    “เป็นแฟนกันนะ”




    แคปทำได้แต่ยืนมองเท็นด้วยตาโต ๆ ดวงเดิม ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนึงจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้

    ยิ่งคนที่กำลังขอเขาเป็นแฟนก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนสนิทที่เขารักที่สุดคนนี้

    แต่ก็เพราะคนตรงหน้าคือเท็น เพื่อนสนิทที่เขารักที่สุดนี่แหละ

    …ที่ทำให้เขาพยักหน้าตกลง

   





    “อือ”










บางครั้ง ความรักก็ไม่ได้มาในรูปแบบของความต้องการ หรือความโหยหา

บางครั้ง มันก็ไม่ได้มาในรูปแบบรุนแรง หรือ ปุบปับ

บางครั้ง ความรักก็ค่อย ๆ ก่อตัว เป็นความธรรมดา เป็นความเคยชิน และแฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวัน

จนรู้อีกที...ก็รักไปแล้ว






 THE END




จบแล้วววววว เขินแคปมากเลย ณ จุดๆ นี้ 5555555
ส่วนตัวเราชอบคู่นี้ที่สุดเลย แล้วก็อยากจะเขียนเรื่องต่อด้วย แง
มีโอกาสจะได้เห็นเรื่องแยกของคู่นี้หลักจากซีรี่ส์นี้จบนะคะ 5555

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันเสมอมานะคะ

ฝากคอมเม้นคำแนะนำและความคิดเห็นเอาไว้ด้วยนะคะ
จะมาตามอ่านและพัฒนาต่อไปค่า

แล้วก็ขอบคุณทุกคอมเม้นที่ผ่านมา เป้นกำลังใจที่ดีให้เรามากกก



รัก

ขาหมู


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักระดับล้าน...อยากอ่านต่อเหมือนกัน ปักหมุดรอ   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เท็นแกหลอกชั้นนนนนนนนนนนนนนน!!!  o22
555555555555555555555 แฮปปี้ๆๆๆๆ  :z2:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
หวานนนนน  :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด