ตอนที่ 4
ผมมองดูคลิปที่มีนไปออกงานในจอแล็ปท็อปด้วยสายตาหน่วงๆ ในเช้าวันต่อมา วันนี้ผมไม่มีเรียน (ปีสี่แล้วก็สบายอย่างงี้) ผมจึงมีเวลาดูคลิปในยูทูบเรื่อยเปื่อย คลิปของมีนเป็นคลิปแนะนำในยูทูบแถมยอดวิวยังพุ่งกระฉูดอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้มีนกำลังมาจริงๆ ครับ ต้องยอมมัน...
มือผมเลื่อนไปกดปิดแล้วถอนหายใจ ความน่ารักของมีนเหมือนตอกย้ำให้ผมบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าคนคนนี้คือเจ้าของหัวใจของสงครามอย่างแท้จริง ผมไม่ควรไปตื่นเต้นกับข้อความไลน์ของมัน มันอาจจะพิมพ์มาแบบไม่คิดอะไรก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กหอสองคนอื่นๆ ที่ชอบปั่นหัวเด็กหอสามเล่น
หนอยแน่ ไอ้พวกชั่ว! #อยู่ดีๆก็ขึ้นเฉยเลย
วันนี้ผมรู้สึกฟิต เลยกะจะไปออกกำลังกายสักหน่อย คิดไว้ว่าจะไปสนามแบดมินตันในช่วงบ่ายกับไอ้ไปป์ เพราะไอ้ไปป์บอกว่าตอนเช้าเด็กคณะพลศึกษาใช้สนามอยู่ อยากรู้เรื่องกีฬาให้ไปถามเด็กหอสองครับ สนามกีฬาที่อยู่ในซอกหลืบมอและเล็กที่สุดมันก็ยังรู้ว่าช่วงเวลาไหนว่างหรือไม่ว่าง
เมื่อโปรแกรมชีวิตมีแค่ช่วงบ่าย ช่วงเช้าแบบนี้จึงปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงจากนั้นก็มองดูเพดาน รู้สึกดีที่ได้พักบ้าง ชาวหอสามคงไปเรียนกันหมด ไม่มีคนมาเคาะห้อง ไม่มีเสียงเรียกจากเด็กๆ ว่าพี่อ้ายอย่างนั้น พี่อ้ายอย่างนี้
นี่มันสวรรค์ชั้นเจ็ดชัดๆ ผมควรจะนอนยาวๆ ไปจนถึงบ่าย หรือไม่ก็...
ก๊อก ก๊อก ก๊อกใครมาขัดความสุขผมตอนนี้วะ คงจะเป็นลูกหอคนใดคนหนึ่งอีกตามเคย ผมคิดอย่างเซ็งๆ แต่มือก็เปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว
คนที่มาเคาะยิ่งใหญ่กว่าลูกหอของผมทุกคนรวมกันซะอีกครับ เพราะมันคือประธานหอสอง!
มันไม่ควรจะมาเหยียบถิ่นหอสามป่ะวะ
“ฟวยยยยย!” ผมร้องลั่นอย่างตื่นตกใจ
“เต็มหน้ากูเลย” สงครามทำหน้าเซ็ง “เชี่ยตั้มให้มาตาม บอกมีประชุมที่ห้องเย็นเฉียบ”
“มึงโทรมาตามหรือไลน์มาตามก็ได้ มึงมาทำไม!” ผมมองซ้ายมองขวาเผื่อมีเด็กอยู่แถวนี้ เดี๋ยวต้องมาเล่นละครว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันอีก เหนื่อยจะแอ็กติ้ง
“หอมึงไม่เห็นจะมีใครอยู่”
“มึงเป็นกล้องวงจรปิดเหรอ”
“กูมองเห็น”
“ฟาย ออกไป”
“เร็วๆ เขาจะเริ่มกันแล้ว”
ผมมองสงครามอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ ใครจะห้ามอะไรมันได้ แต่สิ่งที่มันทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ผิดโคตรๆ เลยอดที่จะมองมันอย่างตำหนิไม่ได้
“นี่กูต้องง้อมึงอีกแล้วเหรอเนี่ย”
มันทำให้ผมคิดโทษตัวเองไปเลยว่าขี้งอน ผมเปล่าเป็นแบบนั้นสักหน่อย
“เร็วๆ กูรอหน้าหอ”
“เออ”
หัวใจผมเต้นแรงตอนที่สงครามก้าวถอยหลังออกไป ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ประธานหอสองผู้ยิ่งใหญ่มาเหยียบหอสามด้วยตัวเอง ทำไมผมต้องตื่นเต้น ผมกำลังกลัวใช่มั้ยว่าจะมีลูกหอคนไหนมาเห็นสงครามหรือเปล่า
ผมรีบจัดการใส่ชุดไปรเวตแล้วออกมา สงครามกำลังขู่ลูกหอผมที่เพิ่งเดินผ่านมันไป
“มองเหี้ยไรนักหนา”
“สัด” ผมร้อง “อย่ายุ่งกับเด็กหอกู”
“แม่มันนี่ก็ดุจัง” สงครามส่ายหน้าเบาๆ “เร็ว”
“รู้แล้ว มึงรีบจัง เขาจะแจกเงินหรือไง”
“ก็ไม่แน่นะ ไอ้ตั้มเป็นคนเรียกประชุมด้วย ไม่ใช่พี่โอ” ยังจำเจ้าหน้าที่ดูแลหอพักอย่างพี่โอได้อยู่ใช่มั้ยครับ และไอ้ตั้มมันก็คือประธานหอสี่นั่นไง เวลาตั้มมันเรียกประชุมทีไร สิ่งที่ผมกับประธานคนอื่นๆ ได้ตามมาก็คือเงิน แต่ไม่ใช่เงินส่วนตัวครับ เป็นเงินจัดกิจกรรมภายในหอซึ่งสนับสนุนโดยพวกหอสี่โดยตรง
พวกนี้แม่งบ้า มีเงินเยอะก็เลยรู้สึกอยากเหวี่ยงเงินให้คนอื่นเล่นๆ
กว่าจะมาถึงห้องเย็นเฉียบ ผมกับไอ้สงครามก็เถียงกันอีกหลายยก ประธานทุกหอรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อผมกับสงครามก้าวเท้าเข้าไป การประชุมก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นขึ้น
เป็นจริงอย่างที่ผมคาด เชี่ยตั้มมันจะแจกเงิน มันบอกว่ามีสินค้าชิ้นหนึ่งอยากมาเป็นสปอนเซอร์ให้แต่ละหอและอยากจะให้นำตู้สินค้านี้ไปวางไว้ใต้หอเพื่อจัดจำหน่ายสักหน่อย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย พื้นที่ใต้หอมีอยู่เยอะแยะ และอีกอย่างสินค้าชนิดนี้คงจะทำเรื่องขออย่างถูกต้องจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพูดคุยกับประธานหอ
ดูท่าสินค้าตัวนี้คงจะเป็นของพ่อแม่เด็กปีหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของพวกหอสี่แหง
“และก็มีเรื่องจะพูดเป็นเรื่องสุดท้าย” ตั้มเอ่ยเมื่อถึงตอนท้ายของการประชุม มันหันมาสบตาผมเป็นครั้งแรก จากนั้นก็หลบสายตาไปทางอื่น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มันแปลกไป ปกติแล้วไอ้ตั้มมันเป็นพวกมีความมั่นใจสูงจะตาย
มันสบตาทุกคนยกเว้นผม
“กรุณาเร่งหน่อยได้มั้ยครับ วันนี้มีเกมเปิดเซิร์ฟเวอร์ใหม่ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว” โกวิทย์มองดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย
“เกมอะไรอ่ะ น่าสนใจ” เด็กเรียนอย่างไอ้ทิวส่งเสียงถาม
“อะแฮ่ม” ตั้มแกล้งกระแอม “ไอ้สัด กูพูดใกล้จะจบแล้ว”
“ว่ามา” สงครามพูดบ้าง
“ช่วงปลายสัปดาห์หน้ากูจะจัดงานเลี้ยง”
ผมกับคนอื่นๆ ส่งเสียงเซ็งไปตามๆ กัน เราทั้งหมดเคยไปงานปาร์ตี้ที่ไอ้ตั้มจัดอยู่หนหนึ่ง เป็นงานที่มีแต่พวกหอสี่และมันก็น่าเบื่อฉิบหายเพราะไม่มีคนที่เหมือนเราเลย แขกในงานพูดคุยแต่เรื่องที่คนรวยๆ เขาพูดกัน ผมอยู่กับเซียนเกมอย่างไอ้โกวิทย์ยังสนุกกว่าคนพวกนั้น
จำได้ว่าไอ้สงครามออกไปจากงานทั้งๆ ที่ใช้เวลาอยู่ในงานไม่ถึงห้านาที
“แต่กูไม่ได้จัดที่หอสี่”
“มึงจะไปจัดที่ไหนอีก” ภามเริ่มทำหน้าเหมือนสิ่งที่ไอ้ตั้มพูดแม่งโคตรเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
“กรุงเทพฯ” ตั้มนั่งวางท่า “โรงแรมของเด็กหอกูเอง”
“กูไม่ไป” สงครามลุกขึ้นยืน
“แล้วแต่” ไอ้ตั้มไม่คิดจะรั้ง “จริงๆ กูอยากให้พวกมึงทุกคนไป เพราะแขกส่วนใหญ่มีแต่สปอนเซอร์ของมอ จะให้กูกับคนหอกูไปมันก็น่าเกลียดไปหน่อย”
ในเมื่อมันพูดมาซะขนาดนี้ยังไงก็ต้องไปสินะ
“แล้วทำไมต้องไปจัดไกลถึงกรุงเทพฯ” ผมถาม
“สปอนเซอร์ส่วนใหญ่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ ไง เขาไม่ได้อยู่ต่างจังหวัดที่มีแต่ธุรกิจบ้านไอ้คีนแบบนี้” คำตอบของตั้มไม่ได้สร้างความแปลกใจเท่ากับการที่มันไม่ยอมสบตาคนถามอย่างผม
“มึงเป็นไรเชี่ยตั้ม มึงมีไรกับกูหรือเปล่า” ผมถามออกไปตรงๆ
“กูขอปิดการประชุมแค่นี้” ตั้มลุกขึ้นก่อนจะเดินหนี คนอื่นๆ เดินตามมันออกไปอย่างงงๆ ทิ้งให้ผมอยู่ตามลำพังกับไอ้สงครามในห้องเย็นเฉียบ
“ปกติมันไม่เป็นแบบนี้กับกูนะ” ผมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
“เรื่องของมัน”
“...”
“จะกลับหอยัง”
“ทำไม”
“หออยู่ใกล้กันก็เดินไปด้วยกันดิ”
ผมขี้เกียจเถียงจึงทำตามในสิ่งที่มันพูด สงครามปล่อยให้ผมเดินนำหน้าโดยมีมันเดินตามหลังห่างออกไปเกือบสองเมตร แปลกแต่จริงที่นักศึกษาชายทั้งหลายพร้อมใจกันแหวกทางให้ผมเดิน คิดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะผมหรอก แต่เป็นเพราะคนที่เดินตามผมมามากกว่า
สงครามไม่ได้อยู่ใกล้หรือไกลจนเกินไป จึงไม่มีพวกลูกหอคนไหนมองด้วยสายตาผิดปกติ
“มึงจะไปทำอะไรต่อ” สงครามถามมาจากด้านหลัง
“นอน”
“นั่นคือสิ่งที่มึงจะทำในวันนี้ทั้งวันเหรอ”
“เปล่าหรอก ตอนบ่ายมีตีแบดกับไปป์”
“ใครนะ”
ผมยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทันแฮะ
“ไอ้ไปป์เพื่อนกูอ่ะนะ” สงครามถามย้ำ
“ฟังผิดแล้ว ไอ้ธัชเพื่อนกูต่างหาก”
“อ้าย” เสียงของสงครามจริงจังจนทำให้ผมหันกลับไปมอง “กูไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ามึงจะสนิทกับไปป์”
ทำไมมึงไม่พูดมาก่อนหน้านี้วะ ให้กูแถหรือพูดจาโกหกพกลมทำไมตั้งนานสาดดดดด
“ระวังสายตาคนอื่นก็พอ ไม่ต้องมาระวังกับกูหรอก”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจโล่งอก “กูสนิทกับไปป์รองจากธัชเพื่อนกูเลย”
“ที่ผ่านมาคือการแสดงหมดเลยงั้นสิ ที่ทำตัวไม่สนิทกันต่อหน้ากูอ่ะ”
“ก็มึงมันน่ากลัว”
“กูไม่คิดจะต่อยเพื่อนเพียงเพราะสนิทกับคนอื่นที่ไม่ใช่หอตัวเองนะเว้ย มึงก็น่าจะรู้อยู่ว่ากูเป็นคนยังไง”
“ใครจะไปเดาอารมณ์มึงได้” ผมพูดตามความรู้สึก “มึงมันไม่เหมือนใคร”
“ฟังดูน่าภูมิใจ” หน้าสงครามไม่ได้ยิ้มไม่ได้โมโห ติดจะเฉยๆ มากกว่า “ชนะไอ้ไปป์ให้ได้แล้วกัน”
“กูออกกำลังกายขำๆ ไม่ได้คิดจะเอาชนะ”
“งั้นก็ขอให้แพ้ไอ้ไปป์”
“...”
“แต่มึงคงแพ้อยู่แล้วเพราะมึงคือเด็กหอสาม ไอ้เชี่ยอ้าย เสียใจด้วยนะ”
“ไปไกลๆ กูเลย”
สนามแบดมินตัน คณะพลศึกษา
ด้วยอำนาจของไอ้ไปป์หรือเพราะแต้มบุญของผมก็ไม่รู้ วันนี้คนมาใช้สนามน้อยมาก มีคนที่มาตีแบดในเวลาบ่ายๆ อย่างนี้เพียงแค่สองสามคู่เท่านั้น ผมกับไอ้ไปป์แทบจะเรียกว่าเป็นวีไอพีกันเลยทีเดียว
“กูจะเล่นจนเหงื่ออาบเลย” ผมพันแขนเสื้อขึ้นพร้อมดวลกับไอ้ไปป์เต็มที่
“พร้อมนะ ระวังอย่าออกแรงจนปวดแขนล่ะ” ไปป์ตอบยิ้มๆ
“ยังไงก็ต้องปวดอยู่แล้วป่ะวะ”
“...”
“เพราะงั้นจะปวดทั้งทีก็ต้องเล่นให้มันสุดๆ”
เด็กหอสองก็คือเด็กหอสอง ไม่ว่ากีฬาอะไรพวกแม่งก็ถนัดหมด ผมต้องเสิร์ฟลูกจนเหนื่อยหอบ ขณะที่ไอ้ไปป์นั้นยืนจับไม้นิ่งๆ มองดูผมวิ่งเก็บลูกที่ตกฝั่งของผมอย่างมีมาด รู้สึกหมั่นไส้แม่งจริงๆ
“เหงื่อมึงออกแล้ว วันนี้ยังไงก็คุ้ม” มันพูด “ถ้าเหนื่อยก็พักนะ อย่าหักโหม”
“กูไม่พักโว้ย”
เล่นกันไปอีกสักพักผมก็ยกมือขอเวลานอก ไอ้ไปป์ยิ้มขำตอนที่มันทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เหงื่อมันออกนิดเดียว ขณะที่เหงื่อผมนั้นไหลเป็นแม่น้ำ
“นี่น้ำ” น้ำไอ้ไปป์ดูน่าแดกกว่าน้ำผมเยอะ (น้ำเปล่านะครับนะ) ผมรับน้ำที่มันส่งมาให้ผมทันที นอกจากดื่มแล้วผมยังเอาน้ำมาสาดใส่หน้าอีกด้วยเพื่อความสดชื่น “นานๆ ทีจะเห็นประธานหอสามออกกำลังกาย”
“มันดูเป็นไงไม่ทราบ”
“ตลก”
“ไอ้เหี้ยไปป์”
“ก็ตลกจริงๆ อ่ะ มึงแม่งจริงจังเกินเหตุ ฮ่าๆๆ”
ผมคิดว่าผมจริงจังเพราะคำพูดดูถูกของไอ้สงครามเมื่อเช้า เรื่องกีฬาไม่ว่าจะพยายามยังไงก็สู้คนที่มาจากหอนี้ไม่ได้จริงๆ ผมควรทำใจใช่มั้ยเนี่ย
โทรศัพท์ของผมมีข้อความเข้ามา เป็นข้อความจากกลุ่มไลน์ประธานหอผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ทักมาก็คือไอ้ตั้ม มันส่งตารางเวลางานเลี้ยงที่มันจัดมาให้ พอผมได้จับโทรศัพท์ผมก็เลยจับยาว เข้าแอปนั้นแอปนี้อย่างเคยชิน จนกระทั่งมาหยุดที่อินสตาแกรม
“มึงฟอลมีนด้วยเหรอ” ไอ้ไปป์ทัก มันหันมาเห็นหน้าจอผมพอดี “ติ่งเหรอสาด”
“ฟวยไร มีนมันลูกหอกูและก็เป็นเพื่อนสาขาเราด้วย ฟอลมันแล้วแปลกตรงไหน”
“...”
“หรือมึงไม่ฟอล”
“ไม่ได้ฟอลอ่ะ” ไปป์ยักไหล่
“เอาท์สัดๆ ของดีของเด็ดของหอกูทำไมมึงไม่ฟอล” ใครๆ ก็พูดถึงมีนกันทั้งนั้น ไม่ก็พูดถึงอาสาโดยเฉพาะไอ้พวกหอสอง เพราะงั้นผมจึงมองเหมือนไอ้ไปป์มันไม่ปกติ
“กูก็ฟอลของดีของหอมึงอยู่”
“ใครบ้างว่ามาซิ”
“อาสาไง”
“อันนี้มันของตายของหอมึง ใครๆ ก็ฟอล” ใครๆ ก็ชอบน้องยกเว้นไอ้สงครามครับ มันเห็นหน้าอาสาทีไรแล้วมันเบื่อ ชอบสร้างปัญหาให้มัน คิดแล้วผมก็ฮา “มีใครอีก”
“และก็มึง”
“ของดีของเด็ดเว้ยไอ้บ้า ไม่ใช่เพื่อนฝูง”
“เนี่ย กูก็กำลังพูดถึงของดีของเด็ด”
ผมหรี่ตามองไอ้ไปป์ มันหัวเราะหึหึคงสะใจมากที่แกล้งผมได้ ผมเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าแบบลวกๆ จนกระทั่งผมเอาผ้าออกจากใบหน้า หันไปมองไอ้ไปป์จึงเห็นว่ามันมองผมอยู่
“มีอะไรวะ”
“เคยมีคนบอกมั้ยว่ามึงหน้าเหมือนภาพวาด”
“ก็มีบ้าง”
“มึงคิดว่าไง”
“กูว่ามันตลก”
“ไม่นะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ไปป์ขยับเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับมองผมอย่างสำรวจ สายตาของมันดูลึกซึ้งมากกว่ามองสำรวจเฉยๆ นิดหน่อยจนผมรู้สึกได้ “คิ้ว ดวงตา จมูก ปาก รูปหน้า ทุกอย่างมันดูลงตัวหมดเลย อย่างกับวาดเอา”
“อวย ไอ้เหี้ย” ผมเอาผ้าตีหน้ามัน รู้สึกเขินแปลกๆ เพราะปกติไปป์มันไม่ค่อยได้ชมผมแบบนี้หรอกนะครับ
“พูดจริง”
ผมเลิกสนใจไอ้ไปป์แล้วลุกขึ้นยืน “ไป ไปเล่นกันต่อ”
“มึงหันมาดิ๊อ้าย” ผมหันไปตามคำเรียกแล้วไอ้ไปป์มันก็กดถ่ายรูปผมด้วยโทรศัพท์ “เพอร์เฟ็กต์สัด”
“เลิกอวยแล้วมาเล่น”
“มึงเขิน?”
“เปล่า กูฟิต”
“ฮ่าๆๆ เออ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หอสาม ห้อง 101
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จในตอนค่ำ ผมก็มีเวลานิดหน่อยในการเขียนโน้ตสุขใจก่อนออกไปเดินตรวจตรารอบๆ หอ วันนี้ผมนึกความสุขของผมได้ไม่ยากเลยครับ
โน้ตสุขใจ
1. สงครามกล้าเดินเข้ามาในหอสามอย่างหน้าด้านๆ (ซูฮก)
2. มันไม่โกรธเรื่องที่เราเป็นเพื่อนกับไปป์
3. วันนี้ได้ออกกำลังกาย
4. เพื่อนชมว่าหน้าเหมือนภาพวาด (อดรู้สึกปลื้มไม่ได้)
5. อาทิตย์หน้าจะได้ไปแดกของแพงฟรีๆ เพราะงานที่ไอ้เหี้ยตั้มมันจัดหลังจากที่เขียนเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้อง รับไหว้เด็กปีหนึ่ง แตะไหล่เด็กปีสอง ตบหัวเด็กปีสามเบาๆ ทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ ทั้งนับจำนวน ตรวจสอบการใช้ชีวิตของลูกหอ และดูว่าพวกมันซ่องสุมสิ่งผิดกฎหมายไว้ในห้องหรือเปล่า ส่วนใหญ่หอผมมักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้ครับ เพราะงั้นงานของผมก็เลยสบายหน่อย
ผมยืนอยู่หน้าหอมองดูุลูกหอกลับเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางวันก็กลับมาครบ บางวันก็กลับมาไม่ครบ โชคดีที่ไอ้ธัชมันเป็นผู้ช่วยดูแลหอที่ดี มันมักจะมีเหตุผลให้เสมอเวลาที่ผมถามว่าลูกหอไปไหน เช่น ไอ้เต เพื่อนอาสา มันชอบไปแดกเหล้าร้านพี่น้อยจนสนิทกันแถมยังมีห้องพักส่วนตัวที่ร้าน ถ้าไอ้เตมันหาย ก็แปลว่าอยู่ร้านพี่น้อย อะไรประมาณนี้
พักหลังๆ มันอยู่ติดห้อง 204 ของมันมาก อาจเป็นเพราะตั้งแต่มันคบกับไอ้ไมล์เพื่อนมันนั่นแหละ
ผมคิดอะไรเพลินๆ จนกระทั่งมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเดินเข้ามาใกล้ พวกหอสี่กลุ่มใหญ่นำมาโดยไอ้เหี้ยตั้ม
“มีเหี้ยอะไร” แน่นอนว่าต้องมีเรื่องผิดปกติ เพราะคนอย่างไอ้ตั้มคงไม่ย่างกรายมาบริเวณหอคนอื่นแบบนี้ง่ายๆ หรอก
“มึงต้องมากับกู” ตั้มพูุด มันยังคงไม่ค่อยกล้าสบตาผมแต่ก็พูดด้วย
“ไปไหน กูประชุมกับมึงแล้วเมื่อเช้า”
“ไม่ใช่เรื่องงาน”
“...”
“เรื่องส่วนตัว”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ไอ้ตั้มก็เลยกดเปิดโทรศัพท์ให้ดู ภาพที่เห็นในจอทำเอาผมตกใจจนหน้าซีดเผือด มันเป็นภาพของโอม ลูกพี่ลูกน้องของผมโดนต่อยจนหน้าเละและหลับอยู่ที่ไหนสักที่
“มันเป็นลูกหนี้คนของกู และมันวางตัวมึงเอาไว้ไถ่หนี้”
“เฮ้ย” เหี้ย ตลกแล้วววว นี่มันคอวอยออะไรไอ้สัดดดด
“กูขอโทษนะสัดอ้าย กูทำอะไรไม่ได้”
“เดี๋ยว” ผมพยายามรวบรวมสติ “โอมมันเป็นหนี้ มันต้องเกี่ยวกับกูแค่เรื่องเงินไม่ใช่เหรอ ไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวกูนะ”
“อ้าย ถ้ามึงไม่สมัครใจ กูจะให้ไอ้พวกนี้แบกตัวมึงไป”
“เหี้ยตั้ม”
“ตอนนี้กูอยู่หน้าหอสาม ถ้ากูทำเหี้ยอะไรมึงพวกลูกหอของมึงคงลงมาจัดการพวกกู หอสี่ทุกคนก็คงจะไม่อยู่เฉยๆ เรื่องก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะงั้น...กูคิดว่ามึงตามกูมาดีๆ ดีกว่า”
“มึงจะพากูไปไหนตั้ม”
“เออ ตามกูมาก่อน”
ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันควรจะเกิดกับคนอย่างอาสาไม่ก็คนอย่างมีนมากกว่า เพราะถ้ามันเกิดกับผมมันก็คงจะนิยายเกินไป โอมเอาตัวผมไปวางไว้เป็นตัวใช้หนี้ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักคิวต์ๆ อะไร ผมแข้งขายาวอีกทั้งยังตัวเก้งก้าง...
ทำไมโอมมันทำกับผมแบบนี้วะ
ห้องเย็นเฉียบ
ไอ้ตั้มคงไม่รู้ว่าควรจะพาผมไหนก็เลยให้ผมมาอยู่กับมันที่นี่ก่อน ในห้องที่โคตรหนาวห้องนี้มีผมอยู่กับตั้มสองคน ตั้มบอกให้พวกลูกน้องของมันคอยอยู่ข้างนอก มันมองหน้าผมเครียดๆ อยู่หัวโต๊ะแบบเมื่อเช้าเด๊ะ ขณะที่ผมเองก็เริ่มจะเครียดไปกับมันบ้างแล้ว
ปกติแล้วตั้มมันเป็นมนุษย์ที่ชอบต่อปากต่อคำกับผม แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปจนแทบจะไม่เหลือภาพนั้นอีก ตั้มมันเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนผมรู้สึกแปลกๆ ที่ความเครียดนั้นมันเป็นเพราะผม ผู้ซึ่งไอ้ตั้มชอบหาว่ามีดีแต่หน้าตา ไม่มีอะไรอย่างอื่นดีเลย
“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูรวย” ช่างเป็นการเปิดประเด็นได้โคตรน่าหมั่นไส้ ผมพยักหน้ารับรู้ “บ้านกูทำหลายอย่างมาก หนึ่งในนั้นก็มีพวกปล่อยเงินกู้”
“...” มันอวดรวยกับผมทำไมกัน
“ญาติมึงคนนี้คงจะมายืมเงินจากสาขาหนึ่งของบ้านกูอ่ะ”
“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูไม่เกี่ยว” ตอนนี้ผมขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง
“กูก็ไม่เกี่ยว”
“แล้วมึงลากกูมาทำไม”
“กูกำลังคิดว่ากูจะช่วยมึงยังไงดี” ตั้มดูเครียดมากจริงๆ “ปกติแล้วการจะใช้คนมาไถ่หนี้มันต้องเป็นคนที่...เอ่อ...”
“เหมือนอาสา” ผมช่วยขยายความ
“เออ อะไรเทือกๆ นั้น ตัวเล็กๆ ขาวๆ แต่พอผู้จัดการสาขานี้เห็นรูปมึง เขาก็ถูกใจ แล้วเขาก็ตกลงให้มึงเป็นตัวไถ่หนี้ได้”
“เดี๋ยวสิ”
“ญาติมึงไม่ยอมพามึงไปหาเขาตามข้อตกลง ก็เลยโดนเละ”
ผมเอามือทึ้งหัวตัวเอง “งั้นก็แปลว่ามึงช่วยกูได้ใช่มั้ย ในเมื่อเขาเป็นคนของบ้านมึงนี่”
“มันเป็นเรื่องของระบบว่ะอ้าย ถ้ากูเอาตัวเข้าไปยุ่ง ช่วยมึงให้หลุดพ้นจากเรื่องนี้ พวกลูกหนี้คนอื่นก็คงจะมีลีลาเยอะขึ้น เอาตัวกูเข้าไปเกี่ยวมากขึ้น ซึ่งพ่อกูไม่ชอบ”
“...”
“มึงก็น่าจะรู้ ลูกนักธุรกิจก็ต้องคิดแบบลูกนักธุรกิจ”
“มึงจะพูดอะไรกันแน่ไอ้สัดตั้ม”
มันตวัดสายตามองผม เป็นครั้งแรกของวันที่มันสบตาผมได้นานขนาดนี้
“กูจะจ่ายหนี้แทนญาติมึง ให้ญาติมึงเป็นหนี้กูแทน”
“...”
“มึงจะกลายมาเป็นเด็กกู สัดอ้าย”
นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในวันนี้เลย “เหี้ย เป็นก็เหี้ยแล้ว”
“มึงมีทางเลือกเหรอ” ตั้มเสียงดังขึ้น “ถ้ามึงไม่ยอม มึงก็ต้องไปเป็นเด็กผู้จัดการสาขาคนนั้น”
“เหี้ยตั้ม อยู่เฉยๆ จะมาจับกูไปเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ไม่ได้นะเว้ย นี่ไม่ใช่ละคร”
“มึงจะโทษใครได้ ในเมื่อญาติมึงทำสัญญาแบบนี้เอาไว้เอง ถ้ามึงไม่ทำตาม ญาติมึงจะตายนะอ้าย”
“ตายเลยเหรอ” ผมอ้าปากค้าง “บ้านมึงทำธุรกิจแบบไหนกันวะ บ้าไปแล้ว”
“มึงก็น่าจะได้เห็นความรุนแรงที่อยู่ในรูปแล้ว” ตั้มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมนึกไปถึงสภาพของโอมที่เพิ่งได้เห็นเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน มันดูไม่ได้จริงๆ “ถ้ามึงไม่ห่วงมัน อย่างน้อยก็ควรห่วงตัวมึงเอง กูรู้จักมึงมาก่อน แต่ผู้จัดการบ้าอะไรนั่นไม่รู้จักมึง”
“มัน...” ผมบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ “กูประธานหอสามนะเว้ย” อยู่ดีๆ จะให้ไปเป็นเด็กมัน มันบ้าป่ะ
“มึงเลือกมีญาติผิดอ่ะ”
“มันใช่ความผิดกูมั้ย”
“เป็นเด็กกูก็ไม่เสียหายหรอก”
“เหี้ยตั้ม!”
“มึงมองว่าเป็นเรื่องที่มึงติดหนี้บุญคุณกูก็แล้วกัน”
“...”
“แล้วกูจะติดต่อไป”
ผมกดโทรออกหาโอมเป็นครั้งที่สิบแล้วโอมก็ไม่ยอมรับสาย ผมจึงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างทางกลับหอผมเตะนั่นเตะนี่ไปทั่ว รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ควรเกี่ยวอะไรกับผม ทำไมผมต้องมาเป็นแพะ
นี่มันเกินไปแล้ว ครั้งนี้โอมแม่งทำเกินไปจริงๆ
“เป็นอะไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนผมสะดุ้งเฮือก สงครามมันยืนอยู่ในที่มืด ไม่รู้ว่ามันยืนทำอะไรอยู่
พอเห็นหน้ามันก็ยิ่งรู้สึกหน่วงในหัวใจ จึงเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินหนีแทน
“เดี๋ยว ถ้าคราวนี้มึงงอนอะไรกูอีก กูว่ามึงต้องเป็นมนุษย์ที่โคตรขี้งอนที่สุดในโลก กูยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
สงครามเดินตามผมมา (แบบห่างๆ)
“เชี่ยอ้าย”
“ไม่เกี่ยวกับมึง โทษที กูไม่พร้อมจะคุย”
“ทำไมต้องเข้าไปห้องนั้นกับไอ้ตั้ม”
ฉิบหาย สงครามมันเห็นเหรอ
“มันทำอะไร บอกกูมา”
“...”
“จริงๆ แล้วไม่ต้องบอกก็ได้ กูว่ากูไปซัดแม่งเลยดีกว่า”
สงครามหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินไปต่อยไอ้ตั้มจริงๆ จนผมต้องรีบคว้าไหล่มันเอาไว้
“ไม่มีอะไรเว้ย” ผมรีบพูด “กูโอเค”
“โอเคก็เหี้ยแล้ว เมื่อกี้มึงทำร้ายพุ่มไม้ไปตั้งเยอะ” อีกฝ่ายโวยวาย “ถ้ามันทำอะไรก็บอกกูมา กูต่อยคนอื่นเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
“มันซับซ้อน” สงครามไม่ควรโผล่มาในเวลานี้เลย
“อ้าย มึงดูผิดปกติจริงๆ นะ”
“กูทำเป็นปกติตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”
“กูไม่สบายใจเลย”
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไม่มีใครเถียงกับกูได้สนุกเท่ามึงอีกแล้วจริงๆ นะ มึงเป็นแบบนี้มึงจะเถียงกับกูได้ไง”
“เหี้ยสงคราม”
“อ้าย” ผมได้ยินเสียงไอ้ตั้มเรียกจึงหันไปมอง มันเพิ่งวางสายเสร็จ สีหน้ามันดูโล่งใจไม่น้อย “กูเคลียร์เรียบร้อย”
“เคลียร์เหี้ยอะไร” สงครามที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรทำท่าจะพุ่งไปต่อยไอ้ตั้มอย่างเดียว ตั้มตกใจเล็กน้อย ผมรีบคว้าตัวสงครามเอาไว้ ไอ้ตั้มมันก็เลยกล้าพูดต่อ
“ไอ้เจ้าหนี้นั่นมันหน้าเลือดฉิบหาย โก่งราคาสัดๆ คงเสียดายมึงมากอ่ะ เขาบอกว่าเขาแอบขับรถมาดูมึงแล้วด้วยนะ”
“โรคจิตสัด” ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ขอทึ้งหัวตัวเองแป๊บ
“พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกัน” สงครามยังดูไม่เข้าใจ
“กูได้มึงมาในราคาสองเท่าของหนี้เดิมของญาติมึง สัดอ้าย”
“...”
“ต่อไปนี้มึงเป็นเด็กกูแล้ว”
“มึงหุบปากกกกกกก” สงครามดูหมดสิ้นความอดทน ไม่รู้เพราะมันโกรธหรือเพราะมันไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าความจริงเป็นยังไงกันแน่ ตั้มกับคนอื่นๆ รีบเดินหนีไปทางอื่น ขณะที่ผมพยายามจับตัวใหญ่ๆ ของสงครามเอาไว้ “เหี้ยนั่นพูดเรื่องอะไร เด็กอะไร ราคาอะไร เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมทำหน้าเศร้า ไลน์ของผมดังตอนนั้นพอดี อ่านแล้วรู้สึกอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง
ตั้ม หอสี่ : พรุ่งนี้เก้าโมง เจอกันที่ลานจอดรถหอกูTBC*