น้ำเงิน
เสียงทะเลาะกันของพี่คีนกับเจ๊ลลิลยังดังก้องอยู่ในหัวของผม แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม ผมนอนไม่ค่อยหลับเนื่องจากบทสนทนานั้นยังวนเวียนหลอกหลอน พี่คีนนอนหลับไปแล้วฟังจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ท่าทางของเขาเหมือนคนไม่มีเรื่องให้กังวลใจอะไร ต่างจากผมที่มีเรื่องคิดเต็มหัวไปหมด
ผมพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ไหนบอกแค่อยากอยู่กับเขาและไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น แต่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของพี่คีนกับเจ๊คนงาม ผมก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา
บทสนทนาดุเดือดนั้นสรุปได้ว่าหากจะเป็นเด็กพี่คีนต้องรู้จุดยืนของตัวเองและก็ไปยุ่งกับใครไม่ได้เลย
อาจเป็นเวรเป็นกรรมของผมที่มาหาพี่คีนเพราะอยากตัดใจจากคุณดล ทำให้พี่คีนก็ไม่ต่างจากตัวตายตัวแทนอะไรทำนองนั้น เพราะเหตุนั้นผมจึงต้องติดแหงกอยู่กับเขาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเบื่อ สิ่งที่ผมกำลังกังวลและสงสัยก็คือผมพร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นแล้วเหรอ ผมรู้จักกับพี่คีนแค่ไม่กี่วันเองนะ
ผมมองใบหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าทำใจใครเขาปั่นป่วน ดวงตาน้อยอกน้อยใจและคำพูดเสียดแทงของพี่คีนยังคงลอยเข้าหัวผมอย่างต่อเนื่อง ถ้าถึงวันที่พี่คีนเบื่อผม ผมจะมาตามตื๊อเขาเหมือนที่เจ๊ลลิลทำมั้ยนะ พี่คีนจะด่าหรือต่อว่าผมด้วยคำพูดแบบนั้นหรือเปล่า
ผมรู้ดีว่าการที่คิดล่วงหน้าไปนั้นมันก็เจ็บไปเปล่าๆ แต่ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนทำผมสับสนกับชีวิตของตัวเองได้ขนาดนี้ แค่นอนด้วยกันสองสามคืนก็ทำผมคิดหนักขนาดนี้แล้ว แม้กระทั่งคุณดลยังทำไม่ได้เลย
มันช่างน่าดีดหน้าผากเล่นนัก...
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้นิ้วมือที่เตรียมดีดหน้าผากพี่คีนของผมหยุดชะงัก พี่คีนลืมตาขึ้นมาแล้วคว้ามือผมหมับ จากนั้นก็เอาไปซุกไว้ต่างหมอน
ผมอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ พี่คีนไม่แตะตัวผมเลยมาตลอดทั้งคืนจนกระทั่งตอนนี้
“นาฬิกาปลุกแล้วนะครับ”
“วันนี้ไม่มีงาน” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ปิดนาฬิกาให้ด้วยครับ”
ผมทำตามคำพูดของพี่คีน จากนั้นก็ลองขยับมือที่พี่คีนขโมยไป
“อยู่นิ่งๆ และก็นอนซะนะ ไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอเราน่ะ”
แม่งรู้เฉยยยยยยย...พี่มันมีตาวิเศษซ่อนอยู่ที่ไหนหรือเปล่าวะเนี่ย
“พี่คงทำเราสับสนมากเลยสินะ”
ผมกระพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าควรตอบกลับไปว่าอะไร
“พี่ก็สับสน” พี่คีนซุกหน้าลงกับฝ่ามือของผมแนบชิดยิ่งขึ้น “ตอนนี้เราอยู่กันไปแบบสับสนๆ ได้มั้ย”
คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาผมยิ้มมุมปากเล็กๆ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดดูท่าว่าจะใช้ได้จริงในสถานการณ์ตอนนี้ ผมใช้มืออีกข้างลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา นึกสงสัยว่าคนเราจะหน้าเรียวอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ผ่านการศัลยกรรมได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ชาติที่แล้วทำบุญมาด้วยอะไรวะเนี่ย
พูดถึงเรื่องทำบุญคงไม่ต้องสงสัยให้เหนื่อยใจไป การที่พี่คีนรวยขนาดนี้ชาติที่แล้วคงสร้างวัดหลายสิบแห่งล่ะมั้ง เพราะงั้นเศษเสี้ยวบุญตรงนั้นคงแบ่งมาให้ในส่วนของหน้าตาด้วยแน่ๆ แม้พี่คีนจะหล่อแบบแปลกๆ แต่ก็ถือว่าหล่อมากอยู่ดี
แทนที่จะถามพี่คีน ผมควรถามตัวเองด้วยว่าผมทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้นอนเคียงข้างคนคนนี้มาตั้งสามคืน
“มองอยู่นั่นแหละ นอนได้แล้ว”
ไอ้เรื่องบุญที่ว่านั่นคงแบ่งมาให้ในส่วนตาวิเศษของคนคนนี้อีกด้วย
หลับตาก็ยังเสือกรู้อีกว่ามีคนมอง กูล่ะยอมใจจริงๆ
ตอนสาย
“เหี้ยแม่ง แดงเถือก” พี่เบสยกแท็บเลตโชว์หุ้นให้พี่คีนดู “พังหมดแล้ว ชีวิตกู”
“พังห่าอะไร ไหนดูซิ” คนที่นั่งหัวโต๊ะกวาดตามองรายชื่อหุ้นที่ราคาตกอย่างรวดเร็ว “คุณวิฑูรย์เป็นผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เชื่อเหอะปัญหานี้ไม่เกินอาทิตย์นึงเดี๋ยวหุ้นก็ราคาขึ้น แม้ว่าจะขึ้นนิดๆ ก็ตาม”
“เหรอวะ” พี่เบสกลืนน้ำลายดังเอื้อก
“ถ้าราคาขึ้นแล้วก็อย่าลืมขายเลยก็แล้วกัน เพราะกูคิดว่าปัญหาเดิมน่าจะตามมาอีกไม่จบไม่สิ้น”
“มึงรู้ได้ไง”
“บริษัททีดีซีเลย์ออฟพนักงานออกไปเยอะแล้ว มึงรู้ข่าวมั้ยเนี่ย”
คนฟังอย่างพี่เบสส่ายหน้าดิก “ทำไมกูไม่รู้ล่ะ”
พี่คีนยักไหล่ “สงสัยแหล่งข่าวกูดีเกินไป”
“กราบเทพคีน”
“กูขอน้ำแดงด้วย ช่วงนี้กูกระหาย”
แม่งคุยอะไรกันวะเนี่ย ผมมองสองคนสลับกันอย่างไม่เข้าใจ ไม่มีใครใจดีช่วยอธิบายให้ผมฟังสักคน
“เรื่องของผู้ใหญ่น่ะ” พี่คีนพูดยิ้มๆ
“สิบเก้านี่ก็ไม่เด็กแล้วมั้ง” ผมพูดแข็งๆ
“อยากรู้หรือไง น่าเบื่อออกนะ”
“ก็มีบ้าง”
“พี่ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน” พี่คีนวางช้อนลงก่อนจะเช็ดมือด้วยท่าทางผู้ดีๆ “จะทำยังไงกับเงินหกสิบล้านนั่น จะปล่อยไว้อยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ”
ผมถึงกับสำลักออกมาเบาๆ จนไอ “ไม่คิดว่าจะถามเรื่องนี้”
“ก็อยากรู้น่ะครับ”
“ไม่รู้สิ ยังไม่คิดที่จะทำอะไร”
“ถ้าอยากหุ้นอะไรกับพี่ก็บอกนะ พี่มีโปรเจ็กต์ล้านแปดรออยู่”
“มันลงทุนอะไรมันจำได้หมด” พี่เบสเสริม “มันกับบ้านมันเป็นพวกบ้าคลั่งอยากครองโลก ธุรกิจที่บ้านต้องมีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ น้องน้ำเงินเคยไปจังหวัด B หรือยัง”
ผมส่ายหน้า
“ลองไปถามตาสีตาสาแถวนั้นดู ถ้าไม่มีคนรู้จักตระกูลภารกรพี่ให้เหยียบหน้า”
“เชี่ยเบส โม้สัด” พี่คีนโยนผ้าเช็ดมือไปใส่พี่เบส “รีบแดกได้แล้ว วันนี้กูกับน้ำเงินจะไปดูหนังกัน”
เดี๋ยวสิ...ถามผมหรือยังว่าผมอยากดูหรือเปล่า
“น้องมันดูไม่อยากไปกับมึงนะ”
“จริงเหรอน้ำเงิน”
ฉิบหาย...แล้วกูควรจะตอบว่าอะไรดีเนี่ย “ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
พี่เบสส่งยิ้มให้พี่คีน “กูชอบเด็กคนนี้ น้องดูจริงใจดี ไม่ตอบเอาใจมึงด้วยนะ”
คนถูกส่งยิ้มให้ดูเคืองนิดๆ ที่ผมไม่ได้เอาใจ ทำไงได้ล่ะ ก็ผมยังไม่ได้พูดจริงๆ นี่ว่าจะไปหรือไม่ไป แต่เชื่อมั้ยครับ...ท้ายที่สุดผมก็ไปอยู่ดีนั่นแหละ
“เหยดเข้” พี่เบสที่เล่นมือถืออยู่ขยับหน้าจอไปให้พี่คีนดู “พี่อ้ายกับพี่สงครามแม่งเอาเรื่องว่ะ ฮ่าๆๆ”
“ไหน”
“นี่ไง เพิ่งจบหมาดๆ ก็ตัดชุดครุยมาถ่ายรูปกันซะแล้ว จบถึงสองเดือนยังวะเนี่ย”
“เดี๋ยวก่อนนะ สองคนนี้คบกันเหรอวะ”
“ดูจากรูปไม่รู้เหรอ”
“ไม่รู้หรอกไอ้ห่า อย่างกับเพื่อนกันถ่ายด้วยกัน”
พี่เบสทำท่าครุ่นคิด “พี่ตั้มก็บอกอยู่นะว่าสองคนนี้อาจจะคบกัน พี่มันดูนอยด์ไปช่วงหนึ่งเลย เห็นว่าสนใจพี่อ้ายอยู่เหมือนกัน”
“พี่อ้ายเลยนะ ใครบ้างที่ไม่สนครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ พี่สงครามเองยังสนเลย”
“ถูกครับผม”
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องตั้งคำถามขึ้นมาในหัวของตัวเองว่า...พี่สองคนนี้แม่งคุยอะไรกันวะ แต่ชื่อพี่อ้ายทำเอาผมสะดุด คนคนนี้ต้องดูดีขนาดไหนนะถึงทำให้พี่คีนบอกว่าสนอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้ได้ จะสวยเท่าเจ๊ลลิลมั้ย
ใครจะรู้ว่าผมจะได้รับคำตอบนั้นภายในวันเดียวกันกับที่ผมสงสัย
ห้างสรรพสินค้า
แม้วันนี้พี่คีนจะไม่มีงาน แต่มือของเขาก็ติดอยู่กับโทรศัพท์มากอยู่ดี ผมไม่แน่ใจว่าพี่คีนเปิดแอปอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คงเป็นไลน์ซึ่งผมแอบเห็นว่ามีข้อความเด้งขึ้นมาตลอด อีกทั้งยังมีกรุ๊ปอีกเป็นล้าน
อายุเท่านี้แต่ก็ทำงานหนักขนาดนี้...น่านับถือเขานะครับ
ผมเดินตามหลังพี่เขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านร้านแห่งหนึ่ง มีคนสองคนที่หน้าตาหล่อโดดเด้งกำลังนั่งคุยกันกับเพื่อนอีกสองคน สองคนนั้นเตะตาผมเพราะว่าหนึ่งในนั้นออร่าจับฉิบหายจนผมต้องหันไปมอง ทั้งคู่อยู่ในชุดนักศึกษาที่ไม่ค่อยเนี้ยบอาจเป็นเพราะร้อน ที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเขาก็คือชุดครุย
ถ้าผมจำไม่ผิด นี่มันคือชุดครุยของมอ B ที่ผมกำลังจะไปเข้านี่ และตอนนี้มันก็กำลังจะหล่นลงพื้น ชุดอะไรแบบนี้ไม่ควรจะหล่นลงพื้น ผมรีบวิ่งเข้าไปเตรียมคว้ามันส่งให้พี่ๆ โต๊ะนั้น แต่แล้วพี่คีนก็ร้องห้ามเสียงดังลั่น
“อย่า!”
ผมสะดุ้งพอๆ กับพี่ๆ โต๊ะนั้น ทั้งหมดหันมามองผมกับพี่คีนอย่างประหลาดใจ พี่คีนทำหน้าอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือไหว้คนเหล่านั้น ผมก็ยกมือไหว้ตามแบบงงๆ
“ร้องดังมากเลยสัด” คนที่หล่อแต่ไม่ออร่าจับเท่าคนข้างๆ พูดกับพี่คีน ผมเพิ่งเห็นหุ่นของคนคนนี้ใกล้ๆ ขนาดใส่ชุดนักศึกษายังรู้เลยว่าหุ่นคนนี้แม่งดีขนาดไหน “น้องมันจะเข้ามอ B เหรอ”
“ใช่ครับ” พี่คีนตอบ
“ไหนๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ซิ” พี่เขากระดิกนิ้วเรียกผม คนคนนี้น่ากลัวมากจนพี่คีนเองก็ยังหวั่นๆ พี่เขาทำให้พี่ออร่าที่อยู่ข้างๆ ดูใจดีขึ้นมาเป็นล้านเท่า “ขอดูหน่อยว่าจะได้อยู่หอไหน”
ผมเดินเข้าไปใกล้อย่างลังเล พี่คีนมองผมอย่างเป็นห่วง บอกเลยว่าคนทั้งโต๊ะมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังแสกนอะไรบางอย่าง
เป็นแบบนี้กันทั้งมอเลยหรือไงฟะ พี่คีนเองก็เคยมองผมแบบนี้
คนอีกสองคนที่หน้าตาไม่ได้โดดเด้งมากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข่าวอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็พูดออกมาระหว่างที่พี่คนหล่อสองคนกำลังจ้องมองผม
“ไม่ต้องคิดแล้วไอ้พวกอดีตประธาน กูจำหน้าน้องมันได้เพราะเคยเห็นแวบๆ ในข่าว น้องชื่อน้ำเงิน มีทรัพย์สินส่วนตัวคนเดียวไม่ต่ำกว่าหกสิบล้าน เพราะเพิ่งได้มาจากการถูกล็อตเตอรี่ชุดใหญ่”
ไอ้ข่าวนั่นมันทำให้ผมเป็นที่รู้จักพอสมควรแต่ก็เพียงแค่ชั่วคราว เพราะผมไม่ใช่พวกที่หน้าตาเด่นโดดเด้งอะไร อีกอย่างหนึ่งประเทศไทยมีดราม่ามากมายให้ติดตามอยู่แล้ว คนให้ความสนใจผมเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นแหละ แต่ถึงจะเลิกสนใจไปแล้ว ข่าวเก่ามันก็ยังพอมีอยู่ ชื่อของผมเลยถูกเสิร์ชเจอได้ง่ายๆ
พี่คีนมองหน้าผมราวกับขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นก็ดึงตัวผมให้ไปอยู่ใกล้ๆ
“หอสี่สินะ” พี่คนโหดกระซิบ
“ครับ เพราะสมบัติส่วนตัวเกินสามสิบล้าน” พี่คีนตอบเสียงเรียบ ผมหันขวับไปมองคนข้างๆ เพราะตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมากถึงมากที่สุด
“เรทขั้นต่ำของคนในหอมึงหรือไงคีน” พี่ออร่าพูดบ้าง
“ครับ”
ผมเผลอมองหน้าพี่ออร่าอย่างเหม่อๆ คนอะไรจะขาวและก็ดูสง่าไปหมดขนาดนี้ นี่ถ้าบอกว่าเป็นเทพลงมาเดินบนโลกผมก็เชื่อนะ อะไรจะดูดีได้ขนาดนี้วะ
“เชี่ย นี่แฟนกูเว้ย” พี่คนโหดเสียงดังทันที “คุมเด็กมึงหน่อยดิ๊คีน”
อีกนิดผมก็จะยกมือไหว้เหนือหัวอยู่แล้ว พี่คนนี้แม่งน่ากลัวฉิบหาย
แต่เดี๋ยวก่อนนะ...เขาเป็นแฟนกันเหรอวะ
เหยดเข้!
ถ้าจะให้พูดตรงๆ พี่คนโหดแม่งโชคดีมากที่ได้แฟนระดับนี้นะ หล่อออร่าจับไม่พอ แถมยังดูใจดีมากอีก ต่างจากพี่คนโหดลิบลับ
“ไม่ใช่เด็กผมครับพี่”เสียงของพี่คีนทำเอาผมอึ้ง ผมอยู่กับพี่เขามาสามวันแล้วนึกว่าเขาจะยอมรับออกมาตรงๆ ซะอีก สถานะของผมมีเพียงแค่พี่เบส เจ๊ลลิล และก็แม่บ้านของพี่คีนเท่านั้นที่รู้ แล้วพี่คีนพอใจที่จะให้มันหยุดอยู่แค่นั้นเหรอ
แล้วนี่ผมจะน้อยใจทำไม...ผมเป็นเด็กพี่คีนเฉยๆ ไม่ใช่แฟนพี่เขาสักหน่อย
บทสนทนาระหว่างพี่คีนกับเจ๊ลลิลลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง การจะเป็นเด็กพี่คีนต้องรู้จักจุดยืนของตัวเองจริงๆ งั้นสินะ
ผมเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นพี่ออร่ายิ้มให้ผมแล้ว รอยยิ้มนั้นทำเอาผมเคลิ้มและก็ลืมความเจ็บนิดๆ ของใจไปได้ขณะหนึ่ง
“ไปกันเถอะ” พี่คีนไหว้พี่ๆ ก่อนกระซิบบอกผม “อยู่ไปนานๆ อาจจะเจอเท้าพี่สงคราม”
เดี๋ยวก่อนนะ...ถ้าพี่คนโหดชื่อพี่สงคราม งั้นก็แสดงว่าพี่ออร่าคนนี้ก็ชื่อพี่อ้ายงั้นสิ ที่ผมจำได้เพราะคำพูดบนโต๊ะอาหารระหว่างพี่คีนกับพี่เบสมันจำง่าย น้อยคนนักจะตั้งชื่อลูกว่าสงคราม...
เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนต้องสนพี่อ้าย เพราะพี่อ้ายคือสิ่งดีงามบนโลกใบนี้แน่แท้เลยทีเดียว
ผมมองหน้าพี่คีนด้วยความสับสนงงงวย
ตอนนี้เราทั้งคู่นั่งอยู่ในเลานจ์สำหรับพวกถือตั๋วหนังวีไอพี พี่คีนจ่ายเงินค่าตั๋วหนังในราคาใบละพันกว่าบาทโดยไม่ได้สะดุ้งสะเทือนใจอะไรสักนิด ขณะที่ผมนั้นนั่งเกร็งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่คีนอย่างหวาดหวั่น ปกติแค่นั่งที่นั่งฮันนีมูนในโรงธรรมดาก็ถือว่าหรูมากแล้ว นี่เรียกว่าข้ามขั้นแบบสุดๆ เพราะราคาตั๋วแม่งเป็นกี่เท่าของที่นั่งฮันนีมูนธรรมดาก็ไม่รู้ นี่สินะวิถีชีวิตของคนรวยอย่างแท้จริง
อันที่จริงแล้วการที่ผมนั่งเกร็งไม่ใช่เพราะเรื่องตั๋วหนังหรอก แต่เป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ ความสงสัยของผมมันพุ่งทะยานไปดาวอังคาร แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม คำว่าผมไม่ใช่เด็กพี่คีนทำให้ความกล้าของผมลดลง
จะพูดว่าน้อยใจก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่ถ้าหากจะบอกว่าผิดหวังล่ะก็...ผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยทีเดียว
อยู่กันอย่างสับสนๆ แบบนี้มันดีจริงๆ เหรอวะ
ชื่อคุณดลเริ่มจางหายไปทีละเล็กละน้อยโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว
“หนังจะเริ่มในอีกยี่สิบนาที” พี่คีนคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงกับโต๊ะข้างหน้า “น้ำเงินมีอะไรจะพูดกับพี่มั้ย”
ผมไม่ใช่คุณลลิล...ถ้าพี่คีนบอกว่าผมไม่ใช่เด็กเขากับคนอื่นผมก็จะไม่ขยี้ ผมถามเรื่องอื่นที่น่าสนใจดีกว่า
“มีไอจีพี่อ้ายมั้ยครับ”
“หา”
“ปลื้มอ่ะ” ผมพูดจากใจจริง “คนอะไรแม่งโคตรดูดี”
พี่คีนกอดอก “อยากให้พี่สาธยายถึงพลังเท้าของแฟนพี่อ้ายมั้ย”
“อะไรกัน แค่จะตามไอจีเอง”
“แค่ไปกดติดตาม พี่สงครามก็เคืองแล้ว”
“...”
“ดีไม่ดีตามมาเอาเรื่องถึงหน้าบ้าน”
มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ ผมดูไม่ออกว่าพี่คีนโกหกหรือเปล่า “พี่เขาทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“คนในมออกสั่นขวัญแขวนหมดเพราะเขาคนเดียว”
โหดจังวะ...คนหรือเทพมารสะท้านยุทธจักร ผมนั่งคิดไปแป๊บหนึ่งก่อนจะถามพี่คีนต่อ “งั้นเอาไอจีพี่สงครามด้วยก็ได้ ติดตามคู่กันเขาจะได้รู้ว่าเราเจตนาดี”
พี่คีนทำหน้าเหมือนถ้าหงายเงิบได้คงทำไปแล้ว “นี่อยากตามจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่สิ หรือพี่หวงเอาไว้ตามคนเดียว”
“บ้าไปใหญ่แล้ว” พี่คีนกดเข้าไอจีก่อนจะส่งโทรศัพท์มาให้ผมดู “นี่ไงไอจีพี่สงคราม ส่วนไอจีพี่อ้ายก็หาเอาในรูปนั่นแหละ พี่สงครามแม่งแท็กแฟนทุกรูป”
จริงอย่างที่พี่คีนพูด รูปในไอจีพี่สงครามทุกรูปแท็กไอจีพี่อ้ายหมด แท็กตั้งแต่หน้าพี่สงคราม แก้วกาแฟ ลามไปถึงรองเท้า เดี๋ยวก่อนนะ รู้สึกแปลกๆ ที่แท็กตรงรองเท้า ผมแอบขำตอนเห็นคอมเมนต์พี่อ้ายที่ด่าออกสื่อ
‘ไม่แท็กที่ตีนมึงเลยล่ะไอ้ฟาย’“พอใจแล้วใช่มั้ย” พี่คีนรับโทรศัพท์คืนตอนที่ผมจัดการติดตามไอจีพี่สุดหล่อทั้งสอง
“พอใจมากเลยครับ”
“เห็นนั่งทำหน้านิ่งๆ นึกว่าคิดมากอะไรอยู่ ที่แท้ก็อยากได้ไอจีคนหล่อ” ผมยักไหล่ระหว่างที่ฟังพี่คีนพูด “ว่าแต่ไม่อยากได้ไอจีพี่เหรอ”
คนถูกถามอย่างผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“พี่หล่อไม่พอ?”
ผมยิ้ม ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเองเออเองไปเรื่อยๆ
“จริงมั้ยเนี่ย” อีกฝ่ายรีบยกโทรศัพท์เปิดกล้องหน้าขึ้นมาเช็กหน้าตาตัวเองทันที “ไม่หล่อจริงเหรอวะ”
ที่ผมไม่อยากได้ไอจีพี่คีนเพราะผมกดเข้าไปดูชื่อไอจีพี่เขาก่อนหน้าที่จะดูไอจีพี่สงครามซะอีก...
ตอนที่ดูหนังเสร็จพี่คีนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นผมเช็กข้อความในโทรศัพท์เพราะมีใครบางคนส่งข้อความมาหาผม
Mr. Don : พี่กลับมอวันนี้
Mr. Don : น้ำเงินจะกลับบ้านก็ได้นะ เพราะพี่ไม่อยู่แล้วข้อความของคุณดลทำเอาผมตัวแข็งไปชั่วขณะ ไม่รู้ตัวว่าพี่คีนยืนอ่านข้อความอยู่ใกล้ๆ
“ดลส่งข้อความมาเหรอ”
ผมสะดุ้งเพราะเสียงพี่คีนอยู่ใกล้ผมมาก “ตกใจหมด”
“ทำตัวเหมือนมีชู้เลยเราน่ะ”
“เหมือนตรงไหน”
“ก็อ่านข้อความแบบลับๆ ล่อๆ”
“ผมอ่านปกติ แต่พี่คีนมาส่องดูเองเหอะ”
“...”
“และนี่ก็ไม่ใช่ชู้ด้วย นี่คือเจ้านาย”
“ถ้าพี่เป็นเจ้านายน้ำเงินนะ ป่านนี้พี่เลิกจ้างแล้ว” พี่คีนแหย่เล่นๆ
“ถ้าเป็นผมผมก็คงเลิกจ้างตัวผมเองเหมือนกัน มีอย่างที่ไหน หนีตามผู้ชายมาเนี่ย” ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างพี่คีนเล่นๆ
“แทนที่จะรู้สึกแปลกๆ แต่ทำไมพี่รู้สึกชอบประโยคเมื่อกี้จังวะ”
ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะดูหน้าจออย่างลังเลว่าจะเอายังไง
“ไปขนของวันนี้เลยสิ”
“หา”
“เดี๋ยวพาไป ของเยอะมั้ยล่ะ”
“เฮ้ย คือว่า...”
“พกของไปน้อยๆ นั่นแหละดีแล้ว อยากได้อะไรเดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่ จะอยู่หอสี่ทั้งทีตั้งตัวกากๆ ไม่ได้เลยนะ เพื่อนมันล้อนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะอยู่หอนี้”
“พี่คิดว่าเราต้องได้อยู่แล้วล่ะ ไม่มีหอไหนที่เหมาะกับน้ำเงินเท่าหอนี้อีกแล้ว”
จากที่เคยได้ยินได้ฟังมา ไอ้หอนี้มันไม่เหมาะกับผมที่สุดแล้ว “หอที่มีแต่คนรวยเนี่ยนะครับ”
“มันไม่ได้เหมาะกับน้ำเงินเพราะเป็นหอที่มีแต่คนรวยหรอก”
“...”
“มันเหมาะเพราะมีพี่อยู่หอนี้ต่างหากล่ะ”บ้านคุณดล
พี่คีนพาผมมาจริงๆ ด้วย มิหนำซ้ำยังกำชับให้ผมขนของไปเพียงแค่หนึ่งกระเป๋าใหญ่พอ ถ้าขาดเหลืออะไรพี่เขาซื้อให้ได้เสมอ ผมไม่คิดจะให้เขาซื้อให้ผมทุกอย่างหรอกครับ เพราะฉะนั้นไอ้ของในหนึ่งกระเป๋าใหญ่นี่จึงเป็นของที่จำเป็นกับผมมากที่สุด
รถของพี่คีนจอดรอผมอยู่ที่หน้ารั้วบ้าน อีกทั้งเจ้าตัวก็รออยู่ข้างนอกบ้านด้วย ผมเดินเข้ามาในบ้านคนเดียว ฝีเท้าของผมทำให้บ้านเสียงดังไปหมดเพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ นี้เลย
เจ้านายไม่อยู่...ในบ้านจีงเงียบกันไปหมด
ผมสูดลมหายใจลึกๆ ความทรงจำระหว่างผมกับคุณดลลอยเข้ามาในหัวทุกครั้งที่ผมก้าวผ่านบริเวณต่างๆ ในบ้าน คุณดลดีกับผมมากเสียจนทำให้ลืมความเศร้าที่สูญเสียคุณปู่ไป แต่ทว่าความดีนั้นกลับถูกใบหน้าของพี่คีนเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ ผมสารภาพว่าตอนนี้คนที่ผมโฟกัสก็คือคนที่จอดรถรอผมอยู่ข้างนอก ไม่ใช่คนที่มีความทรงจำระยะสั้นร่วมกันอีกต่อไปแล้ว
ใจกูนี่ก็เปลี่ยนง่ายจังเลย...นี่ถ้าพี่คีนไม่ดีกับผมมากขนาดนี้ ผมคงไม่ได้รู้สึกแบบนี้หรอกจริงมั้ยครับ แม้ว่าตอนนี้ผมจะเป็นแค่เด็กพี่คีนก็เถอะ แต่ลองคำนวณชั่งตวงน้ำหนักความทุกข์ดูแล้ว ผมพบว่ามันมีน้อยกว่าตอนที่ผมอยู่กับคุณดลว่ะ
รักที่อาจเป็นไปได้ (แม้จะน้อยนิด) กับรักที่เป็นไปไม่ได้เลย...เป็นคุณคุณจะเลือกใครครับ
“น้ำเงิน”
“อ๊ากกกกกกก!” ผมร้องลั่นเพราะตกใจมาก คุณดลโผล่ออกมาจากมุมมืด ทำเอาผมสะดุ้งไปทั้งตัว สติหลุดจนร้องเสียงดังออกมา
“พี่ไม่ใช่ผีนะ”
“คุณดลยังไม่ไปอีกเหรอครับเนี่ย”
“ยังหรอก”
“...”
“ถ้าไม่โกหกไปแบบนั้น น้ำเงินก็คงไม่กลับ” คุณดลพาผมมานั่งโซฟาที่กลางบ้าน จากนั้นก็เปิดไฟสว่าง เขามองดูผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่หัวจรดเท้า “เป็นยังไงบ้าง ไอ้คีนมันไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาหรือเงินของมันหรอกนะ พี่เป็นห่วงเรามากเลยรู้มั้ย”
นี่เขาจำไม่ได้เหรอว่าผมพูดอะไรกับเขาไป...ทำไมถึงได้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้
“ผมโอเคดีครับคุณดล ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวไปเก็บของข้างบนก่อนนะ”
หมับ
มือของคุณดลจับมือของผมเอาไว้
“คุณดลปล่อยผมได้มั้ยครับ”
“น้ำเงินเป็นเกย์เหรอ”ผมกลืนน้ำลายเบาๆ “ผมขอตัวได้มั้ย”
“ทำไมไม่บอกพี่ให้เร็วกว่านี้ ที่ผ่านมาพี่ไม่ทำอะไรเพราะพี่กลัวว่ามันจะเป็นไปไม่ได้”
ยะ ยังไงนะ
“เพราะพี่กลัวว่าน้ำเงินไม่ได้เป็นเกย์ พี่ก็เลยไม่กล้า”
“...”
“พี่ก็คิดแบบเดียวกันกับน้ำเงินนะ”
ผมรู้จักคุณดลมานานและก็เพิ่งได้ใกล้ชิดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง ระยะเวลาแค่นั้นมันทำให้ผมไม่สามารถยืนยันกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่คุณดลพูดนั้นมันจริงหรือไม่ แต่ภาพที่คุณดลนอนกับสาวสวยในห้องของผมก็ยังตามมาหลอกหลอน ไม่มีทางที่ผมจะรับได้ ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกเหยียบหน้าเข้าอย่างจังจริงๆ นะ
“ช้าจังเลย” เสียงพี่คีนดังขึ้นขัดจังหวะ ผมรีบดึงมือตัวเองให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของคุณดล เจ้าของบ้านมองดูพี่คีนอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “นี่ยังไม่ขึ้นไปเก็บของอีกเหรอ”
“ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” ผมรีบพาตัวเองหนีจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้
“เดี๋ยว” คุณดลลุกขึ้นมาคว้าแขนผมไว้อีกครั้ง
“เฮ้ย” พี่คีนเข้ามาปัดมือคุณดลออก ทำให้ตอนนี้ผมยืนอยู่ระหว่างกลางของคนสองคน
ทำไมในหัวผมตอนนี้นึกออกแต่คำว่า...ฉิบหายแล้ว
“คุยกันหน่อยมั้ย” คุณดลพูดกับพี่คีน
“กูก็ว่าจะพูดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“น้ำเงินขึ้นไปเก็บของ และก็ห้ามแอบฟัง”
“เอ่อ...ครับคุณดล” แม้จะเป็นคนที่ผมรู้สึกดีด้วย แต่ก็ยังถือว่าเป็นเจ้านายของผมอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงก้มหน้าก้มตาขึ้นไปเก็บของและทำตามคำสั่งคุณดลอย่างเคร่งครัด
ผมไม่ลืมที่จะหันไปมองทั้งคู่ก่อนเดินพ้นบันได
คงจะไม่มีการซัดกันเกิดขึ้นใช่มั้ย...
บ้าน่า...ผมไม่ได้น่าแย่งขนาดนั้นนะ
TBC*น้ำเงินผู้เจียมเนื้อเจียมตัว
ส่วนสงคราม...สรุปเป็นคนหรือเทพมารสะท้านยุทธจักร? 