ตอนที่ 9ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เช่นกัน
อยู่ที่คนเราเลือกที่จะเก็บทุกข์หรือสุขไว้กับตัว
แต่สำหรับไออุ่น เขาเลือกที่จะเก็บสองอย่างไว้ด้วยกันเพราะมันแสดงถึงว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่
เหลือเวลาอีกเพียงแค่วันเดียวที่เบฟจะได้อยู่ที่นี่ อยู่เคียงข้างกันแบบนี้ ทุกวันเรากอดกัน จูบกัน ทำทุกอย่างที่เด็กคนนั้นต้องการ ไออุ่นพยายามถนอมช่วงเวลาที่มีกันและกันไว้ให้ดีที่สุดก่อนที่สุดท้ายแล้วมันจะหลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ
เสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้นเบาๆ มีชายแปลกหน้าท่าทางดุดันเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าไออุ่น เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็ยังทำเป็นนิ่งไว้แล้วเอ่ยทักทายอย่างเช่นทุกครั้ง
“สวัสดีครับ จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”
“แบบไหนก็ได้ เสร็จแล้วช่วยเอาไปส่งให้ที่รถคันนั้นด้วยนะ รีบทำล่ะ เจ้านายอยากได้เร็วๆ”
“ครับ”
ไออุ่นรับปาก ดวงตาสีหยกเหลือบมองออกไปนอกร้าน รถสีดำคันหนึ่งจอดเยื้องออกไปไม่ไกลก็คงจะเป็นคนนั้นที่ถูกพูดถึง แต่จอดใกล้สี่แยกแบบนี้ อีกไม่นานคงถูกล็อคล้อเอาแน่จึงรีบลงมือทำช่อดอกไม้อะไรก็ได้ ที่ทำบ่อยและชินมือในช่วงนี้เห็นทีจะเป็นช่อดอกลิลลี่
พูดถึงช่อดอกลิลลี่ก็เผลอนึกถึงคนสั่งอย่างไวน์ ไออุ่นไม่เห็นลูกค้าคนนั้นแวะเข้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่โทรเข้ามาทั้งที่ขอเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว ….. เขาเป็นบ้าอะไร! ทำไมถึงได้คิดถึงฝ่ายนั้นทั้งๆ ที่เบฟก็ยังอยู่ตรงนี้
“เพ้อเจ้อจังแฮะ ตัวเรา”
หัวกลมๆ สลัดไล่ความคิดโง่เง่านั่นออกไป เดินไปหยิบอุปกรณ์สำหรับทำช่อดอกไม้มาเรียงเอาไว้ ต้องรีบลงมือทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าของรถที่จอดอยู่ตรงนั้นคงลำบาก
“จะเป็นอะไรไหมเนี่ย ถ้าหยิบไปให้แค่ลิลลี่ดอกเดียว”
ไออุ่นถามกับตัวเองด้วยท่าทีลังเลไม่น้อยแต่เพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะถูกล็อคล้อเข้าเสียก่อน เอาล่ะ! ไม่ลองก็ไม่รู้ เจ้าของรถคันนั้นอาจต้องการดอกไม้อะไรก็ได้เพียงดอกเดียวแต่ถ้าไม่ใช่ก็คงบอกความประสงค์ของตัวเองออกมาเอง เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงเดินไปเลือกดอกลิลลี่ดอกที่งามที่สุดมาแล้วเดินตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ข้างนอก
ไออุ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะต้องเผชิญกับอากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาก็เคยชินกับอุณหภูมิในห้องแอร์
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลัว
ไออุ่นเดินตรงไปยังรถยนต์สีดำจอดอยู่เยื้องจากร้านไปเพียงเล็กน้อย เคาะกระจกรถสองครั้งเพื่อแจ้งให้คนที่นั่งอยู่ด้านในทราบแต่เมื่อลองมองดูดีๆ แล้วกลับไม่พบใครที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเลยสักคน
“ช่วยเอาดอกไม้นั่นไปส่งให้ถึงมือเจ้านายด้วยครับ”
“ครับ?”
ไออุ่นทำหน้างงแต่ไม่ทันไรก็เข้าใจ
“เชิญขึ้นรถครับ”
ประตูข้างหลังถูกเปิดออกโดยชายที่เดินเข้ามาสั่งดอกไม้ในร้านคนนั้น จะวิ่งกลับเข้าร้านไปก็ดูเหมือนจะต้องสู้กับคนๆ นี้ก่อน แต่ถ้ายอมตามไปแล้วเบฟกลับมา…. ไออุ่นไม่อยากจะนึกภาพต่อจากนี้เลย
“เอ่อ… ขอไปล็อคประตูร้านหน่อยได้ไหม”
“เชิญขึ้นรถครับ”
… ดูเหมือนจะไม่ได้สินะ …
“ถ้าอย่างนั้นขอโทรบอกน้องชายก่อนได้ไหม ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงน่ะ”
“อย่าทำให้พวกเราเสียเวลาเลย เชิญขึ้นรถได้แล้วครับ เจ้านายกำลังรอดอกไม้จากคุณอยู่”
ไออุ่นทำท่าลังเล แบบนี้เหมือนตัวเองกำลังถูกลักพาตัวไปที่ไหนสักที่ ดวงตาสีหยกจ้องมองไปยังหน้าร้านดอกไม้อุ่นไอรักด้วยความอาลัยอาวรณ์ ถ้ายอมขึ้นรถไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
“แล้ว… เจ้านายคุณอยู่ไหนเหรอครับ”
“ไปถึง เดี๋ยวก็รู้เอง”
“แล้วจะพาผมกลับมาไหม”
“แน่นอนครับ ถ้านั่นเป็นคำสั่งของเจ้านาย”
ไออุ่นก้าวขึ้นรถไปอย่างจำยอม
… ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
… ไม่รู้ว่าต้องไปพบใคร
… ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีกไหม
… บางทีนี่อาจเป็นการจากลาที่ดีที่สุดแล้วก็ได้
“ลาก่อน เด็กน้อยที่รัก”
เบฟกลับมาจากมหาวิทยาลัย ก้าวเข้าร้านมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไฟในร้านยังคงเปิดอยู่ ข้าวของที่ไออุ่นใช้ยังคงวางอยู่ที่เดิมแต่เจ้าตัวไม่อยู่หน้าร้าน
“อุ่น! อุ่นครับ!!”
“…….”
“อุ่นครับ!! อยู่หลังร้านเหรอ”
ยังคงไร้เสียงตอบรับเช่นเคยจนเบฟรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี สองเท้ารีบก้าวอย่างเร็วตรงไปยังหลังร้านแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงความว่างเปล่า
“อุ่นอยู่ข้างบนเหรอครับ”
ความเงียบสนิทที่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำเอาใจหวิวแปลกๆ … ไออุ่นควรอยู่ที่ร้าน ควรอยู่รอรับเขากลับมา
ไวเท่าความคิด เบฟรีบวิ่งออกจากร้านตรงไปหาพีทที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ร้านของตัวเองซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าหลัง ทันทีที่มาถึงก็ตะโกนเรียกชื่อสุดเสียง
“พีท!!”
“มีอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
พีทที่กำลังนั่งหงอยเพราะไม่มีอะไรทำ ถูกพ่อกับแม่สั่งให้อยู่เฝ้าร้านคนเดียว อ้าปากหาวหวอดๆ ท่าทางสะลืมสะลือแต่ก็ยังพอจับความผิดสังเกตของเบฟได้จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาหา
“อุ่น… อุ่น…”
“พี่อุ่นเป็นอะไร”
“อุ่น… อยู่ที่นี่หรือเปล่า”
แน่นอนว่าคำตอบของคำถามคือคำว่า ‘ไม่’ แต่ถึงอย่างนั้นเบฟก็ยังคงหวังและภาวนาขอให้ไออุ่นอยู่ที่ร้านนี้ด้วยเถิด แม้เปอร์เซ็นของความเป็นไปได้คือศูนย์ก็ตาม
“เปล่า เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“อุ่น… หายไป”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าไออุ่นจะต้องจากไปสักวันแต่พีทก็ยังรู้สึกช็อคอยู่ดี
“หายไป… ได้ยังไง”
“พีท อุ่นไม่อยู่ที่ร้านจริงๆ นะ อุ่น…”
พีทดึงร่างที่อยู่ตรงหน้าเข้ามากอด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่อุ่นก็กลับมา พี่อุ่นจะไม่เป็นอะไร เขาต้องกลับมาแน่”
ไม่ใช่เพียงแค่ปลอบใจเด็กที่อยู่ตรงหน้าแต่พีทปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าไออุ่นจะจากกันไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา
“ถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ”
“ต้องกลับสิ”
พีทยืนยันแม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะกลับมานั้นน้อยมากแค่ไหน ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าไออุ่นไม่เคยก้าวเท้าออกจากร้านเพราะเขากลัวสภาพแวดล้อมด้านนอกมันจะทำร้ายร่างกายให้จากไปก่อนเวลาอันควร ไม่มีทางที่จะจากไปทั้งๆ แบบนี้แน่
“เขาทิ้งไปแล้ว อุ่น… ใจร้าย”
“พาไปดูที่ร้านหน่อยได้ไหม พี่อยากยืนยันอะไรนิดหน่อย”
“ยืนยันอะไร”
เบฟผละออกมาจากอ้อมกอดปลอบใจของพีท
“ยืนยันว่าพี่อุ่นออกไปเองหรือมีใครพาออกไป”
เบฟนิ่งคิดทบทวนอยู่สักพัก สิ่งที่พีทพูดก็ฟังดูเป็นสิ่งที่ควรทำ เขาไม่น่าขาดสติถึงขึ้นพอเห็นว่าไออุ่นไม่อยู่ในร้านก็คิดไปแล้วว่าตัวเองถูกทิ้ง ทั้งที่ความเป็นจริงเราออกจะรักกันขนาดนั้น
“แล้วใครพาอุ่นไป”
“พี่ถึงได้บอกไงว่าต้องไปดูก่อน ไปดูให้แน่ใจ”
“ถ้ากลับไปก็อยากเห็นอุ่นยังอยู่ในร้าน”
พีทพยักหน้า เขาเองก็ภาวนาขอให้ไออุ่นยังอยู่ในร้าน ขอให้สิ่งที่เบฟเห็นนั้นไม่เป็นความจริง ขอให้ไออุ่นไม่จากกันไปด้วยวิธีการแบบนี้
พวกเขาพากันเดินเข้ามาในร้านดอกไม้อุ่นไอรัก ทุกอย่างยังคงวางอยู่เหมือนเดิมในที่ของมัน บนโต๊ะทำงานมีอุปกรณ์ทำช่อดอกไม้วางอยู่นั่นหมายความว่าไออุ่นไม่ได้ออกไปเพราะต้องการจะจากไปจริงๆ
“มีกล้องวงจรปิดไหม”
เบฟส่ายหน้า ที่ร้านไม่เคยติดกล้องวงจรปิดเพราะไออุ่นบอกว่าตัวเขาเองมักจะอยู่หน้าร้านตลอด โอกาสที่จะมีใครเข้ามาขโมยของข้างในนี้น้อยมาก
“พี่เชื่อนะว่าพี่อุ่นจะกลับมา”
“ถ้าเขาไม่กลับมาจะทำยังไง ถ้าแด๊ดถามถึงจะตอบยังไง หรือมันเป็นเพราะเราไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีกแล้ว”
เบฟทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้านอย่างหมดแรง พึมพำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ หัวใจปวดหนึบคล้ายกับมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดเอาไว้ ลมหายใจขาดห้วงเป็นบางช่วง
“รู้เหรอ?”
“รู้?”
เบฟทวนถามกลับ รู้อะไร รู้เรื่องอะไร
“เอ่อ…”พีทชะงักไป ดูเหมือนเขาจะพลาดเสียเองที่พูดขึ้นมาจึงรีบกลบเกลื่อนด้วยเรื่องอื่น “ที่บอกว่าไม่มีโอกาสแล้วนี่รู้ได้ยังไง”
“อุ่นไม่ได้บอกเหรอว่าผมจะย้ายไปอยู่กับแด๊ดอาทิตย์นี้แล้ว พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ”
“อ่า….”
เรื่องนี้พีทยอมรับว่าไม่รู้จริงๆ เขาจึงส่ายหน้าแทนคำตอบ บอกตามตรงว่าเขารู้สึกสับสนไปหมด ทั้งเรื่องที่เบฟจะย้ายออกไป ทั้งเรื่องที่ใกล้จะถึงเวลาที่ไออุ่นจะจากไปเพราะลานในตัวเริ่มจะมีปัญหาบ้างแล้ว ทั้งเรื่องที่ไออุ่นหายไป ดูจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้สักอย่าง
“พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
เบฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย
“ลองคิดดูนะ นายกับพี่อุ่นรักกันถูกไหม แล้วคนที่รักกันก็ย่อมต้องอยากอยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย ตามหลักแล้วพี่อุ่นที่รักนายมากน่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็ต้องรอส่งนายก่อน”
“จะพูดอะไรน่ะ”
“ถ้าที่พี่อุ่นหายไปเป็นเพราะถูกใครพาไปล่ะ”
“อุ่นไม่ออกจากร้านเด็ดขาด”
เรื่องที่ไออุ่นจะไม่ออกจากร้านอย่างเด็ดขาด ทั้งเบฟและพีทต่างรู้ดีด้วยกันทั้งคู่เพราะฉะนั้นแล้วการที่ไออุ่นจะออกไปได้ก็ต้องมีแรงจูงใจหรือเหตุการณ์บังคับ
“พี่อุ่นน่ะไม่ออกก็จริงแต่เขาก็เป็นคนใจดี ถ้ามีใครขอร้องล่ะ เขาก็คงยอมเพราะคิดว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร”
“พูดเหมือนรู้จักอุ่นดีเลยนะ”
พีทยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีเท่าไรนักเพราะมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขนาดรู้ดีก็ยังไม่สามารถครองที่หนึ่งในใจของไออุ่นได้
“เอาเป็นว่ารอดูถึงคืนนี้ก่อนว่าเขาจะกลับมาไหม เลิกคิดฟุ้งซ่านสักพักนะ”
เลิกคิดฟุ้งซ่านเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเบฟแน่ คนที่รักหายไปทั้งคน ติดต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าออกไปที่ไหนและกับใคร คงไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้
“ทำได้เหรอ… พีททำได้เหรอ”
พีททิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ตรงหน้า ภาพความทรงจำที่ไออุ่นเดินวนไปเวียนมาในร้านค่อยๆ ปรากฏขึ้นจางๆ รอยยิ้มหวานละมุนที่มักจะยิ้มให้กับทุกคนเสมอเป็นภาพที่เขาชอบมากที่สุด ไออุ่นที่ใจดีและอ่อนโยนกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้คือคนที่เขาชอบมากที่สุด แต่เวลานี้กลับแสดงความรู้สึกออกไปได้ไม่ทั้งหมด ความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน ความรักที่ได้แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้แล้วซ่อนมันให้ลึกสุดหัวใจแทบจะบีบรัดให้ตัวเขาเองขาดอากาศหายใจเหมือนจะตายลงเสียตรงนี้ ทรมานจนอยากจะระบายออกมาแต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งเพื่อปลอบใจคนข้างๆ อย่างที่เคยได้รับปากกับคนๆ นั้นเอาไว้
“ทำไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้สักอย่างนอกจากรอ”
“ขอบคุณนะ”
“หืม?”
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน”
ไออุ่นถูกพามาที่ไหนสักที่ ดูคล้ายคอนโดมิเนี่ยมหรู ระหว่างทางที่มาก็คอยมองดูข้างทางตลอดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เขาไม่ได้ถูกคุมตัวหรือล็อคแขน ใช้ปืนจี้ด้านหลังเหมือนเป็นตัวประกันนั่นย่อมหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกลักพาตัวมาเพื่อต้องการทำร้ายร่างกายแน่
“ขอโทษนะครับ ทำไมต้องมาพาถึงที่นี่ด้วย” ไออุ่นลองเลียบเคียงถาม
“เจ้านายสั่ง”
“แล้ว… ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ พอบอกได้ไหม”
“คอนโดครับ”
ไออุ่นแอบถอนหายใจเงียบๆ
“เดินตามมาเฉยๆ เถอะครับ”
ไออุ่นจำต้องเดินตามไปอย่างเงียบเฉียบ ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อเพราะดูจากรูปการณ์แล้วเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย
ไออุ่นถูกพาขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่สิบห้า ถูกพาเข้าห้อง1508 ถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องและห้ามคิดหนีโดยมีคนที่พาขึ้นมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู แต่อันที่จริงต่อให้คิดที่จะหนีก็จำทางกลับไม่ได้อยู่ดี เป็นเพียงความโง่เง่าของตัวเองที่ไม่คิดจะจดจำเพราะคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันได้ออกห่างจากร้านดอกไม้มาไกลแสนไกลขนาดนี้
ไออุ่นเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายมองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าสีครามช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบ้านเมืองจากมุมสูง มันดูแปลกตาและเป็นภาพที่น่าจดจำ พอได้มองจากตรงนี้ก็เห็นอะไรที่เคยเห็นกลายเป็นสิ่งที่เล็กเพียงฝ่ามือราวกับตัวเองได้มาอยู่ในเมืองของเล่น
นานเท่านาน ไออุ่นยังคงมองดูทิวทัศน์และซึมซับความสุขในครั้งนี้นิ่งๆ อยู่ที่เดิม จวบจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีโอล์ดโรสเหมือนดอกกุหลาบที่เขาชื่นชอบและค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะแดงฉานแต่ยังไม่ทันจะได้เห็นภาพที่ความมืดมิดอาบไล้ลงมาอย่างเชื่องช้า ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทมาเนิ่นนานก็เปิดออก ไออุ่นหันกลับไปมองต้นตอของเสียงแล้วก็ต้องชะงักไป
“คุณ… ไวน์”
“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับนิ่งๆ
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ”
“ผมอยากได้ดอกไม้ที่ผมสั่ง”
ไออุ่นชำเลืองมองดอกไม้ในมือของตัวเอง
‘ลิลลี่’“ผม… ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ ไม่อย่างนั้นผมคงทำเป็นช่อสวยๆ มาให้แล้วล่ะ”
ดอกลิลลี่สีขาวในมือเล็กๆ ดอกไม้ที่ไออุ่นคัดสรรมาอย่างดีถูกยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่มวัยสามสิบในชุดสูทเนียบสีดำสนิท เขารับมันไว้แล้วเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง
“ทำไมถึงไม่หนี”
“ครับ?”
ไออุ่นไม่ใช่คนไม่ฉลาดสักเท่าไรนัก เขาแค่ใจดีกับทุกคนมากเกินไป มองโลกในแง่ดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เขาต้องหนีไปไหน
“ทำไมถึงตามมาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไปพบใคร อาจเป็นการลักพาตัวก็ได้”
“ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะครับ อาจเป็นการลักพาตัวอย่างที่คุณว่าก็ได้” ไออุ่นยิ้มนิดๆ ราวกับเรื่องลักพาตัวเป็นเรื่องขำขันแล้วจึงพูดต่อ “แต่ผมรู้แค่ว่าลูกค้าต้องการให้นำดอกไม้ไปส่งแค่นั้นครับ”
เห็นใบหน้าของไออุ่นที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วไวน์ชักเริ่มหงุดหงิด
“ทำไมมองโลกในแง่ดีอย่างนั้น”
“ทำไมคุณไวน์ถึงได้ตั้งแต่คำถามว่าทำไม ทำไมล่ะครับ”
ไออุ่นเดินตามมายืนข้างๆ แค่ละสายตาไปไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มจะกลายเป็นสีกรมท่าเกือบทั้งหมดแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปกติก็ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ที่ร้านหรือบางครั้งพอรู้สึกตัวอีกที ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
“นี่!!”
ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดอะไรนักหนา เพียงแค่เห็นไออุ่นทำตัวตามสบายเหมือนไวน์เดินเข้าร้านมาเพื่อสั่งดอกไม้แล้วอีกฝ่ายก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น ไออุ่นควรร้อนรนบ้าง จู่ๆ มือใหญ่ก็ดันไหล่ขวาของคนข้างๆ ให้กระแทกเข้ากับหน้าต่างที่เป็นกระจกอย่างแรง ส่งผลให้ร่างกายภายในเกิดการกระทบกระเทือน
‘แย่แล้ว’ไออุ่นได้แต่นึกร้องไห้อยู่ในใจ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงได้กลายเป็นตุ๊กตาไขลานที่ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกต่อไปแน่
“ผมเจ็บครับ”
‘เจ็บ’ ไออุ่นยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือคำว่าเจ็บ ความเจ็บปวดมีรูปร่างแบบไหนแล้วต้องแสดงสีหน้าอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเจ็บ ก็เขาน่ะเป็นตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึกยังไงล่ะ
ไวน์ทุบมืออีกข้างลงที่บานกระจกแต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้มันแตกได้ อารมณ์หงุดหงิดที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในหัวใจไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เลย
“คุณไวน์ ผมกลับนะครับ”
“ไม่ได้!! ห้ามกลับ!!”
เสียงตะโกนดังลั่นแสดงออกถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่างทำเอาไออุ่นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่เกือบจะสั่นเครือ “ทำ… ทำไมครับ”
“บอกว่าห้ามกลับก็คือห้ามกลับ”
“เพราะ… อยากเก็บผมไว้เป็นตัวประกันใช่ไหมครับ”
ไวน์หันกลับไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาขุ่นเคือง ดูท่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลยว่าเขารู้สึกยังไง สายตาที่คอยแอบมองอยู่ตลอดเวลาที่เขาแวะเวียนไปที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็น่าจะพอบอกอะไรได้บ้าง หรือแม้แต่การวางช่อดอกไม้ทิ้งไว้ให้ก็น่าจะต้องเข้าใจว่ามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงแต่กลับกลายเป็นว่าคนๆ นั้นไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรสักอย่าง
“พูดอะไรน่ะ”
“คุณไวน์ชอบเบฟ น้องชายผมใช่ไหมครับ เลยคิดที่จะเก็บผมไว้เป็นตัวประกัน ประมาณว่าถ้าผมหายไป เบฟก็คงออกตามหา พอถึงเวลานั้นคุณก็จะเสนอตัวเข้าไปช่วย”
สิ่งที่ไออุ่นคิดแทบจะทำให้ไวน์ประสาทเสีย คนๆ นี้มองโลกในมุมแปลกๆ แต่จะโกรธก็โกรธไม่ลง แววตาและท่าทางของไออุ่นดูใสซื่อราวกับว่ากำลังบอกว่าเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงๆ
“ผม… พูดอะไรไม่ออกเลย”
“เข้าใจครับ เป็นเพราะคุณคงไม่คิดว่าผมจะรู้ใช่ไหมล่ะครับ”
‘เป็นเพราะนายไม่รู้อะไรเลยต่างหาก’ ไวน์ได้แต่ตอบคำถามนั้นอยู่ในใจ
“ที่กระแทกเมื่อกี้ เจ็บมากไหม”
ไออุ่นทำหน้าครุ่นคิดเมื่อถูกถามอย่างอ่อนโยน เขาตอบไม่ได้ว่ามันควรจะต้องเจ็บมากหรือเจ็บน้อยแค่ไหน เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อโดนกระแทกกับอะไรสักอย่างมันน่าจะต้องเจ็บ
“นิดหน่อย… มั้งครับ”
“มั้ง? ทำไมต้องมั้ง เจ็บมากก็บอกว่าเจ็บมาก พูดเหมือนไม่แน่ใจทั้งที่ตัวคุณเองแท้ๆ”
พูดแล้วก็ให้น่าโมโหอีกสักรอบ คราวนี้จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าที่ไหล่โดนกระแทกกับบานหน้าต่างมันควรจะเจ็บขนาดไหนกันแต่ไวน์ก็ทำไม่ลง
“เจ็บ เอ่อ… ไม่มากไม่น้อยครับ”
คำตอบกลางๆ แบบนี้น่าจะพอใช้ได้ เห็นไวน์ถอนหายใจเหมือนกับจะถอดใจในคำตอบแล้วไออุ่นก็คิดว่ามันน่าจะดีแล้ว ยิ่งถูกถามมากก็ยิ่งตอบยาก
“ถ้างั้นก็ช่วยอยู่ที่นี่สักระยะนะ ได้ไหม”
“ครับ”
ไวน์มองหน้าคนที่ตอบออกมาอย่างไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยๆ การถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่นานเท่าไรก็ไม่บอก คนๆ นั้นควรจะมีความวิตกหรือกระวนกระวายใจให้เห็นบ้างแต่กลับไม่มีอะไรเลยสักอย่างราวกับว่าเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
** ติดตามตอนต่อไป **
เราว่าในตอนนี้ต้องมีคนไม่ชอบไวน์แน่เลยอ่ะ T^T พาตัวไออุ่นออกมาจากร้าน พาออกมาจากเบฟ
สุดท้ายนี้ ขอยืมพื้นที่นี้ฝากนิยายอีกเรื่องของเราไว้ด้วยนะคะ ลงไว้ถึงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
rockiidixon666
ตอนที่ 9 พี่ไวน์ เร่งสปีดตามมาแล้วนะคะ มาแบบ... สคิปข้ามขั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ ขอบคุณนะคะ
alternative
ขอบคุณค่ะ ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ ใกล้หายเป็นปกติแล้วค่ะ .... เราแอบสงสารอุ่นล่ะ เหมือนจะไปซ้ายก็ไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ แต่พอจะไปทางขวาก็ดันติดคนทางซ้าย มันดูน่าอึดอัดเนอะ
KARMI
ขอบคุณนะคะ
Nekosama
ขอบคุณค่ะ
shoky_9
ขอบคุณนะคะ ตอนนี้คุณไวน์มาแล้วนะ
insomniac
เราไม่ได้ถอนหายใจเลยค่ะ ในแต่ละตอน แต่เรานั่งกุมขมับเลย บอกตรงๆ ค่ะว่านิยายแนวดราม่าเป็นอะไรที่เราไม่ถนัดเลย ไม่เคยแต่งแนวนี้มากก่อนด้วยค่ะ แต่ทำไมถึงแต่งก็เพราะตอนที่คิดเรื่องนี้ เรานั่งฟังเพลง ookina furui dokei ของ Hirai Ken ค่ะ... เป็นเพลงที่เราชอบมากเพลงหนึ่งอ่ะค่ะ โทนเรื่องมันเลยมาแนวนี้
(เราตอบตรงประเด็นไหมเนี่ย - -")