|| THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **  (อ่าน 18901 ครั้ง)

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 4


สถานที่ที่สเตซี่ขับรถพามาเยี่ยมเฮเลนนั้นอยู่ท่ามกลางป่าเขาและธรรมชาติที่สวยงาม นำพาความตื่นตาตื่นใจมาให้กับไออุ่น การเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบนั้นช่างน่าอิจฉานัก ออกมาข้างนอกโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรผิดกับเขาที่ต้องดูถึงความชื้นภายในอากาศ ถ้าความชื้นมากเกินไปก็เสี่ยงต่ออะไหล่ในร่างกายขึ้นสนิมและเพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่แต่ในร้าน

“อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านมัมแล้วนะ”

“ผมจะได้ว่าบ้านย่าไม่ได้มาทางนี้ไม่ใช่เหรอครับ แด๊ด”

สเตซี่ไม่ยอมตอบคำถามของลูกชาย จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนนั้นเฮเลนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่รายล้อมไปด้วยอาคารสูงใหญ่และตอนนี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่น แต่การเดินทางมาไกลขนาดนี้ก็เพราะถูกเฮเลนกำชับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะให้พาไออุ่นมาที่นี่ให้ได้

“แด๊ด~”

“นี่แหละทางไปบ้านย่าเฮเลน”

รุ้งอดไม่ได้ที่จะตอบคำถามของลูกชายแต่มันกลับไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นมาแม้แต่น้อย

“เอาล่ะๆ เบฟช่วยปิดตาไออุ่นให้แม่ทีสิจ๊ะ”

“ต้องปิดตาผมด้วยเหรอ รุ้ง”

อะไรกัน! กับแค่มาเยี่ยมเฮเลนถึงขนาดต้องปิดตากันด้วย จู่ๆ ไออุ่นก็ชักหวั่นใจแปลกๆ ราวกับว่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

“ค่ะ คุณแม่กำชับให้ปิดตาอุ่นเอาไว้ก่อนถึงบ้าน ดูเหมือนท่านมีอะไรจะเซอร์ไพรส์คุณนะคะ”

“ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“ค่ะ คำสั่งคุณแม่น่ะค่ะ”

รุ้งยืนกรานหนักแน่น และเมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วเบฟก็รีบยื่นมือตัวเองไปปิดตาของไออุ่นเอาไว้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะคำสั่งของเฮเลน บางทีเขาอาจไม่มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างนี้กับตุ๊กตาไขลานที่แสนรักแสนหวงตัวนี้ ไออุ่นจับมือของเบฟที่กำลังปิดตาเขาอยู่แล้วออกแรงดึงให้มันเคลื่อนลงมาแต่กลับไม่ได้ช่วยให้เห็นอะไรนอกเสียจากทิวทัศน์ที่เลือนรางผ่านช่องว่างระหว่างนิ้ว

“เบฟเอามือออกได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ คำสั่งแม่”

ไออุ่นไม่แน่ใจว่าการออกมาจากร้านมันเป็นเรื่องดีแน่แล้วจริงๆ เพราะตัวเขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างหน้า

“ใกล้ถึงแล้วๆ เลี้ยวเข้าทางนี้ก็ถึงแล้ว ถ้าอุลได้เห็นต้องชอบมากแน่ๆ”

อย่าว่าแต่ไออุ่นจะชอบ เพียงแค่เบฟเห็นมันจากที่ไกลๆ ยังรู้สึกชอบ เหมือนกับสิ่งที่เห็นผ่านตาคู่นี้มีชีวิตที่สัมผัสได้ มันดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

“ลืมตาได้แล้ว อุล”

เบฟปล่อยมือออกเมื่อรถจอดนิ่งสนิทและสเตซี่บอกให้เปิดตาออกได้ ไออุ่นเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมายืน สิ่งที่เห็นอยู่เต็มสองตาคือสิ่งที่คิดถึงและโหยหามานาน บ้านหลังเล็กสไตล์ยุโรปยกพื้นสูงเล็กน้อยสีขาวเขียวกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบเป็นแบบเดียวกับบ้านที่เจนีวาพาเขากลับมา บ้านหลังที่เขาสามารถเรียกมันว่าบ้านได้อย่างเต็มปาก ถ้าไออุ่นมีหัวใจมันคงกำลังเต้นระรัวด้วยความตื้นตันใจ ถ้าเขามีสิ่งที่เรียกว่าน้ำตามันคงไหลออกมาด้วยความปลาบปลื้ม ถ้าร่างกายของเขาถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าพละกำลัง ร่างของเขาคงทรุดลงกับพื้นไปแล้วแต่ไออุ่นรำลึกเสมอว่าเขาเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิต สมบัติล้ำค่าของครอบครัวบรอมฟอร์ด

“ชอบไหม”

“ชอบสิ มันทำเอาฉันคิดถึงวันเก่าๆ”

“เข้าไปข้างในกันเถอะ มัมคงอยากเจออุลจะแย่แล้ว”

ไออุ่นไม่มีกระเป๋าสัมภาระเพราะเขาแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า พอถูกสเตซี่พูดแบบนั้นเขาก็รีบเดินนำเข้าไปในบ้านก่อน อยากโผล่หน้าเข้าไปทำเซอร์ไพรส์เฮเลนใจจะขาด ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเวลามาจนถึงป่านนี้แล้วคนที่เป็นดั่งเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ทันทีที่เหยียบย่างขึ้นบันไดไปก็รู้สึกถึงความคุ้นเคย

“เฮเลน~”

“...........”

“เฮเลน~ ฉันมาแล้วนะ”

ไออุ่นตะโกนเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา

“โอ๊ะ! อุลเหรอ”

หญิงชราวัยย่างเข้าเลขแปดเดินออกมาจากทางไปห้องครัว ใบหน้าของเธอดูแก่ลงไปมากแต่ถึงอย่างนั้นไออุ่นก็ยังจำได้ดี แววตาสีฟ้าครามคู่นั้นที่มองมายังเขามันไม่เคยเปลี่ยนไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าคือความรักและความผูกพันที่ต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สิ่งเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

“เฮเลน!”

“นายไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

แน่ล่ะ! ตุ๊กตาไขลานอย่างไออุ่นคงเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอกของตัวเองไม่ได้เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาเอง

“เธอก็ไม่เปลี่ยนเหมือนกันนะ”

เฮเลนได้แต่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาไออุ่นด้วยความคิดถึง เอื้อมมือที่ไม่ได้เต่งตึงเหมือนครั้งแรกที่เจอกันออกไปลูบโครงหน้านั้นเบาๆ ไออุ่นจับมือข้างนั้นอย่างแนบแน่นราวกับพยายามที่จะซึมซับความอบอุ่นนั้นเอาไว้

“อุล! เจอมัมหรือยังครับ”

พอสเตซี่ก้าวเข้ามาในบ้าน คำถามนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบแล้ว ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าบอกได้ทุกอย่าง

“โอ้โห~ ทีกับผม อุลไม่ยอมให้กอดแต่พอเป็นมัม...”

“อ๊ะ! นั่นใช่เบฟหรือเปล่า”

เฮเลนผละออกจากไออุ่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเบฟพยักหน้าพร้อมกับตอบรับ เธอจึงกวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหา เบฟหันไปมองหน้าไออุ่นราวกับต้องการคำตอบว่าเขาควรทำอย่างไร พอเห็นว่าไออุ่นพยักหน้าให้ก็เลยเดินเข้าไป มันเป็นความเคอะเขินของเด็กหนุ่มอย่างเขาที่เข้าหาผู้ใหญ่ไม่เก่งและดูจะไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเบฟถึงไม่พูดอะไร ต่อให้เขารู้ว่าเฮเลนเป็นย่าและเคยพบหน้าเมื่อครั้งยังเด็กแต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเบฟกับเฮเลนจึงเปรียบเสมือนญาติที่เป็นคนแปลกหน้า

“ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะ ย่าจำได้ตอนนั้นหลานยังตัวเล็กนิดเดียวเอง”

“ครับ”

“นั่งกันก่อนๆ ย่าชงชาเอิร์ลเกรย์เอาไว้ เดี๋ยวจะยกมาให้นะ”

เฮเลนรีบกุลีกุจอเดินไปทางห้องครัวเพื่อยกน้ำชาที่เพิ่งทำออกมาแต่รุ้งรีบห้ามเอาไว้และอาสาจะเป็นคนไปยกมันออกมาเอง

“นั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

“ขอบใจนะ”

เฮเลนนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่ทันไรก็เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอมีอะไรบางอย่างอยากให้ไออุ่นได้เห็น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธออยากพูดคุยและตอนนี้เธอก็อยากอยู่กับไออุ่นเพียงลำพัง

“จริงสิ สเตซี่ช่วยไปดูในเตาให้หน่อยได้ไหม แม่อบไก่เอาไว้”

“อ๋อ ครับ ได้ครับ” สเตซี่รับคำและสั่งให้ลูกชายเอาของเข้าไปเก็บในห้องให้เรียบร้อย

เมื่อต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปแล้ว เฮเลนก็ลุกขึ้นเดินไปทางห้องหนึ่ง มันเป็นห้องที่เธอทำไว้สำหรับรอการกลับมาของไออุ่น “อุล นายชอบที่นี่ไหม”

“ชอบสิ มันทำให้ฉันนึกถึงเจนีวากับวิคเตอร์”

“แต่ที่นี่มันทำให้ฉันคิดถึงนาย”

ไออุ่นชะงักไป ถึงเขาจะใช้ชีวิตมาเป็นร้อยปีแต่ประสบการณ์กลับไม่ได้สอนอะไรเขาเลย คำพูดที่ไม่ควรพูดก็เผลอพูดออกไปจนได้

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าในใจของนาย ปู่ย่อมมาเป็นที่หนึ่งเสมอ”

ในใจของไออุ่นไม่เคยลืมภาพของวิคเตอร์ไปได้เลย เขาจดจำทุกสิ่ง ทุกคำพูดและทุกการกระทำของผู้ชายคนนั้นเสมอมาแม้ว่าในขณะนั้นจะยังเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานที่ตอบสนองความรักและความเอ็นดูของใครไม่ได้เลยก็ตาม

“แต่เธอก็มาเป็นที่สองนะ”

“ไม่ต้องพูดให้ดีใจเล่นหรอก มา... ฉันจะพาเธอไปดูอะไรบางอย่าง”

เฮเลนเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นห้องที่เธอภูมิใจนำเสนอมากที่สุดและคิดว่าเมื่อไออุ่นได้เห็นแล้วจะต้องชอบมากแน่และนั่นก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ไออุ่นดูนิ่งไปเมื่อได้เห็นห้องนั้นแล้วความทรงจำต่างๆ ก็ย้อนกลับเข้ามา เก้าอี้ม้าโยกริมหน้าต่างเป็นเก้าอี้ตัวแรกและตัวเดียวที่เขานั่งประจำในร้านของวิคเตอร์ ถัดไปนั้นเป็นเตียงนอนแบบเดียว ลายเดียวกับเตียงนอนของเฮเลนเมื่อสมัยก่อน ทุกอย่างในห้องถูกเนรมิตให้เป็นห้องที่เขาเคยอยู่

“เฮเลน...”

เฮเลนจูงมือไออุ่นให้มานั่งที่เก้าอี้ม้าโยกแล้วเธอจึงนั่งลงข้างกัน จับมือของไออุ่นให้มาลูบหัวตัวเธอเอง

“อุล จำได้ไหม ครั้งแรกที่อุลขยับได้ก็เอามือมาลูบหัวฉันแบบนี้”

ไออุ่นพยักหน้า เขาเองจำได้ไม่เคยลืม มันเป็นความปรารถนาครั้งแรกหากร่างกายขยับได้ เขาอยากลูบหัวเล็กๆ ที่น่าเอ็นดูนั่นแต่ตอนนี้อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว เด็กตัวน้อยคนนั้นตอนนี้ตัวใหญ่ขึ้นมาก ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเสียหมดจนแทบจะจำเค้าโครงเดิมอะไรไม่ได้เลยเว้นเสียแต่ดวงตาคู่นั้น

“แต่ก่อนเธอชอบมานั่งเล่นบนตักฉันแต่ตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วสินะ”

เฮเลนหัวเราะเบาๆ

“อุล จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม”

“จำ... ได้สิ... มั้ง”

ไออุ่นไม่แน่ใจว่าวันแรกที่เราได้เจอกันในความหมายของเฮเลนนั้นเป็นวันไหนกันแน่ เป็นวันที่เขานั่งรอวิคเตอร์กลับมาหรือเป็นวันที่เขาย้ายไปอยู่ที่บ้านของเจนีวา

“ฉันจำได้ วันนั้นที่ฉันตามแม่ไปที่ร้านของปู่ วินาทีที่เห็นอุลนั่งอยู่ตรงนั้น ฉันรู้สึกเหมือนนายมีชีวิตแล้วยิ่งตอนที่ขึ้นไปนั่งบนตักของอุล มันอุ่นมากแต่แม่กลับบอกว่าเป็นเพราะไออุ่นจากตัวฉัน มันน่าแปลกดีนะ ว่าไหม”

“เฮเลน...”

“แม่เอาแต่บอกสิ่งที่ปู่สั่งเสียไว้ว่าอุลเป็นสมบัติล้ำค่าของครอบครัวแต่ฉันกลับรู้สึกว่าอุลเป็นมากกว่านั้น เป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว เป็นคุณครู เป็นเพื่อน... และเป็นสิ่งสำคัญของปู่”

ไออุ่นไม่คิดว่าตัวเองจะสำคัญกับเฮเลนมากขนาดนี้ ไม่คิดว่าตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตตัวนี้จะมีค่ากับคนในครอบครัวบรอมฟอร์ดได้ถึงขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะได้มีชีวิต มีความรู้สึกเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“ทุกคนในครอบครัวบรอมฟอร์ดก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉันเหมือนกัน”

“อุลชอบที่นี่ไหม”

เฮเลนรีบเปลี่ยนเรื่อง ถ้าเอาแต่พูดเรื่องนี้มากเข้าก็กลัวน้ำตาจะไหลกันเสียก่อน หรืออาจจะมีแค่เธอที่เอาแต่นั่งร้องไห้ก็ได้
“ชอบสิ มันเหมือนบ้านหลังนั้นของเจนีวามากเลย”

“ฉันกับสามีทุ่มเททั้งชีวิตทำงานเก็บเงินเพื่อทำสิ่งนี้ให้นาย บ้านหลังนี้... สเตซี่กับรุ้งก็มีส่วนร่วมด้วยนะ เราขอยกมันให้กับนาย สิ่งที่มีค่าที่สุดของครอบครัวบรอมฟอร์ดก็คือนาย พวกเราอยากให้นายมีสิ่งที่เรียกว่าบ้านให้กลับ”

“ให้... ให้ฉันงั้นเหรอ!?”

ไออุ่นไม่คิดว่าเขาจะได้รับอะไรมากมายอย่างนี้มาก่อน เขาก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานธรรมดาตัวหนึ่งที่เมื่อลานหมด ทุกอย่างก็จะหยุดเดิน มันอาจจะหยุดในวันพรุ่งนี้หรืออีกสองวันข้างหน้า ไม่มีใครรู้ได้แม้แต่ตัวเขาเอง เตียงนอนที่ไม่ได้นอน ห้องครัวที่ไม่ได้ใช้ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยฟันเฟืองทุกชิ้น อะไหล่ทุกตัว

“อืม ตอบแทนสิ่งที่อุลทำให้มาโดยตลอด”

“ขอบคุณนะ เฮเลน”

ไออุ่นดึงร่างของเฮเลนที่นั่งอยู่ข้างๆ เข้ามากอดเอาไว้แนบแน่น เขาไม่มีอะไรจะให้ครอบครัวนี้ได้นอกจากความรัก

“มัม~ อุล~ ไก่อบเสร็จแล้ว!!”

เสียงของสเตซี่ที่ดังลอยเข้ามาในห้องทำให้ต้องปล่อยเฮเลนไปแล้วส่งยิ้มให้กันแทน

“เฮเลนไปกินข้าวเถอะ เกือบบ่ายแล้วนะ”

“แล้วอุลล่ะ ไปด้วยกันสิ”

“ฮ่าๆ ให้ฉันไปนั่งมองพวกเธอกิน เดี๋ยวได้กินกันไม่ลงกันพอดี อีกอย่างฉันว่าจะไปเดินดูรอบๆ สักหน่อย คงไม่ว่ากันใช่ไหม”
ไออุ่นเลือกที่จะพาตัวเองออกมาอยู่ข้างนอกแม้ว่าการกระทำแบบนี้อาจเสี่ยงต่อการที่อะไหล่บางชิ้นเสื่อมสภาพเร็วขึ้นแต่การเข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงส่วนเกิน ได้แต่นั่งมองเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งเขาก็อดที่จะรู้สึกอิจฉามนุษย์ไม่ได้

ไออุ่นเดินดูไปเรื่อยเปื่อย ที่นี่ดูร่มรื่นและงดงามมากจริงๆ ทำให้เขารู้สึกสงบ เป็นสถานที่ที่ใช้หลีกหนีจากความอลม่าน จอแจของผู้คนในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดีทีเดียว แล้วพลันนึกถึงวิคเตอร์... ชายคนนั้นรักสงบและมักชอบพูดให้เขาฟังอยู่เสมอถึงบั้นปลายชีวิตที่จะกลับไปอยู่ในฟาร์มแกะกับญาติผู้น้อง วิคเตอร์เคยบอกว่าจะพาเขาไปด้วยกันแต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้เพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง... วิคเตอร์จากไปแล้ว
 
“อุ่น!”

ไออุ่นหันไปตามเสียงเรียก เป็นเบฟที่ยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดไปดูเหมือนว่าจะได้ยินแค่เพียงชื่อเขาห้วนๆ

“ป๊ะป๋า”

“ครับ”

“ทำไมป๊ะป๋าไม่ไปนั่งกับพวกเราล่ะครับ”

“ป๊ะป๋าแค่อยากออกมาเดินสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย แต่เดี๋ยวก็กลับเข้าไปแล้วล่ะ”

‘สูดอากาศข้างนอก’ …. ไออุ่นพลาดไปแล้วจริงๆ ตุ๊กตาไขลานอย่างเขาแค่คำว่าหายใจยังไม่รู้จักแล้วนับประสาอะไรจะไปสูดอากาศ

“เหรอครับ”

เบฟทำหน้าไม่อยากเชื่อในคำพูดของไออุ่นสักเท่าไรแต่เขาก็ไม่อยากถามอะไรมาก

“แล้วไม่อยู่กินข้าวกลางวันให้เสร็จเรียบร้อยล่ะ”

“กินเสร็จแล้วครับ”

“นี่! จะเอาแต่มาขลุกอยู่กับป๊ะป๋าทั้งวันไม่ได้นะ”

“ครับ รู้แล้วครับ”

ไออุ่นยกมือขึ้นยีผมของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน

“ไปอยู่กับแด๊ดกับแม่เถอะ นานๆ ทีจะได้เจอกัน รู้หรือเปล่าว่าพวกเขารักเบฟมากนะ”

เบฟหยักหน้า ถึงเขาจะอยากอยู่กับไออุ่นมากกว่าแต่ก็จำต้องจากไป เพียงเพราะไม่อยากทำให้ไม่สบายใจ

“เดี๋ยวอีกสักพักป๊ะป๋าก็จะกลับเข้าไปข้างในแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ก็ได้ครับ งั้นเบฟเข้าไปข้างในก่อนนะครับ”

ไออุ่นมองตามร่างที่เดินจากไปแต่กลับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบเดินตาม

“เบฟ! ป๊ะป๋าว่าป๊ะป๋าตามเข้าไปด้วยดีกว่า”

“อ้าว~”

เบฟยิ้มกว้าง สุดท้ายแล้วไออุ่นก็ยอมเข้าไปข้างในด้วยกันแต่เขาไม่ทันได้เอ๊ะใจว่าทำไมจู่ๆ ไออุ่นถึงได้ยอมเดินตามเข้าไปด้วยกันง่ายๆ

“คืนนี้เบฟนอนกับป๊ะป๋านะครับ”

“เสียใจครับ คืนนี้ป๊ะป๋าจะนอนกับย่า เบฟก็ไปนอนกับแด๊ดสิ”

“ไม่เอานะ! ไม่เอา!! เบฟจะนอนกับป๊ะป๋า”

เบฟร้องลั่น ไม่ยอมอย่างเด็ดขาดที่วันนี้จะไม่ได้นอนเตียงเดียวกับไออุ่น เหตุที่ยอมตามมาถึงที่นี่ก็เพราะอยากอยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากมีความทรงจำที่ดีร่วมกันกับไออุ่นให้ได้มากที่สุด อยากทำทุกอย่างโดยมีไออุ่นอยู่ข้างกาย แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอกับการที่จะไม่ยอมให้ไออุ่นอยู่ห่างตัว

“นานๆ จะได้เจอแด๊ดที เบฟควรใช้เวลานี้ให้คุ้มค่านะ”

“ป๊ะป๋า~”

ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เวลาอีกฝ่ายเอาแต่ใจ ทางเดียวที่จะรับมือได้คือต้องใจเย็นและไม่สั่นคลอนต่อเป้าหมายของตัวเอง ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ไม่บังคับแต่ก็ไม่ทำตามเสียทีเดียว

“อยู่กับป๊ะป๋ามาตั้งยี่สิบปี เปิดโอกาสให้แด๊ดกับแม่ได้ทำคะแนนบ้างเถอะ”

“แต่... เบฟอยากอยู่กับป๊ะป๋ามากกว่านี่ครับ”

“งั้นเอาแบบนี้ไหม ตอนกลางวันเบฟก็หาเวลาอยู่กับแด๊ด แม่และย่า ส่วนกลางคืนก็ค่อยมานอนกับป๊ะป๋า”

เบฟดูจะนิ่งไป เขากำลังใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก ได้อยู่กับไออุ่นแค่ช่วงเวลากลางคืนน่ะเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยแต่การที่ต้องเข้าหาสเตซี่ผู้เป็นพ่อนั้นมันช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเขามากนัก ในเมื่อตลอดชีวิตที่ผ่านมานี่เขามีเวลาที่ใช้ร่วมกับพ่อและแม่น้อยมากจนแทบจะลืมช่วงเวลาเหล่านั้นไปหมดสิ้นแล้ว

“มันตัดสินใจยากมากเลย”

ไออุ่นหัวเราะเบาๆ “ขนาดนั้นเชียว?”

“อืม ป๊ะป๋าสำคัญกับเบฟมากนะครับ”

“แด๊ดกับแม่ก็สำคัญนะ ถ้าไม่มีแด๊ดกับแม่ เบฟคงไม่มีโอกาสได้พูดว่าป๊ะป๋าสำคัญหรอกนะ เอาล่ะ! เข้าไปข้างในกันดีกว่า พวกเขาคงรอแย่แล้ว”

“คร๊าบ~ คร๊าบ~”

เบฟตอบรับเสียงทะเล้นแล้วเข้าไปโอบเอวของไออุ่นเอาไว้พร้อมกับเอาคางเกยไหล่นั้นไว้

“นับวัน เรานี่นะ... มันน่าตีจริงๆ”

ไออุ่นเลยตีเข้าไปที่ต้นแขนจริงๆ หนึ่งที เบฟถึงกับทำหน้ายู่แล้วพวกเขาก็หัวเราะไปด้วยกัน



หลังจากที่ไออุ่นยอมไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยก็ดูเหมือนเบฟจะคุยกับพ่อมากขึ้นด้วยข้อตกลงที่พวกเขามี

จบจากการร่วมโต๊ะอาหาร เบฟก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่กับไออุ่นตลอดเวลาจนเฮเลนถึงกับเอ่ยปากแซวพลางหัวเราะเบาๆ

“เบฟนี่ลูกใครกันล่ะเนี่ย ลูกอุลหรือสเตซี่”

“เฮเลน~ อย่าแซวกันแบบนี้สิ”

“ลูกป๊ะป๋าแล้วก็ลูกแด๊ดด้วยครับ”

เฮเลนยิ้มขัน เธอมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มานานพอๆ กับไออุ่น ทำไมถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือใครคิดอะไรยังไงกับใครบ้าง และเพราะรู้ดี เธอจึงเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจแล้วมองดูพวกเขาดำเนินชีวิตกันต่อไป แต่สำหรับไออุ่นผู้มองผู้อื่นในแง่ดีอยู่เสมอไม่มีทางรับรู้ได้ด้วยตัวเองแน่ๆ ว่าใครรู้สึกยังไงกับตัวเองบ้าง

“ก็ขอให้เป็นแบบนั้น ย่าเห็นหลานเอาแต่ทำตัวติดอุล”

“ก็เบฟรักของเบฟนี่ครับ”

“ฮ่าๆ ย่าเหนื่อยแล้ว ขอเข้าไปพักก่อนแล้วกันนะ”

เฮเลนหัวเราะแล้วรีบขอตัวแยกออกไป ร่างกายของเธอเริ่มร้องประท้วงอยากได้อะไรมาผ่อนคลายบ้างแล้ว อายุอานามของเธอเองก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าขืนยังอยู่ตรงนี้มีหวังได้ล้มฟุบอยู่แถวนี้เอาแน่

“ให้ไปส่งไหม เฮเลน”

“ไม่เป็นไรๆ”

เฮเลนเอื้อมมือไปยีผมเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป ในช่วงเวลาอาหารเย็นนั้นไออุ่นได้เสนอขอนอนห้องเดียวกับเบฟด้วยเพราะความเคยชินแต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น เฮเลนเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยที่จะจัดการนอนใหม่ ถึงเธอจะเคยอยู่ห้องเดียวกับไออุ่นมาตลอดจนถึงเวลาที่เธอแต่งงานออกจากบ้านไปแต่เธอก็รู้ว่า ณ เวลานี้มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจึงกลายเป็นว่ารุ้งจะนอนห้องเดียวกับสเตซี่ ไออุ่นกับเบฟนอนด้วยกันและสุดท้ายก็จบที่เฮเลนอยู่เพียงลำพัง

“ป๊ะป๋าไปนอนกันเถอะครับ เบฟง่วงแล้ว”

“งั้นก็ไปกันครับ”

ไออุ่นและเบฟพากันเดินเข้าห้องนอนและพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะทำเหมือนทุกครั้งก่อนนอน การจูบหน้าผากซึ่งกันและกันก่อนเข้านอนเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ทำด้วยกันมาตั้งแต่ที่เบฟยังเล็ก แม้ว่าเด็กตัวเล็กคนนั้นจะโตเป็นหนุ่มแล้วแต่การกระทำแบบนี้ก็ยังคงอยู่

“ป๊ะป๋า คืนนี้นอนกอดเบฟได้ไหมครับ”

“ได้สิ”

เบฟรู้ว่าไออุ่นใจดีและสิ่งที่เขาร้องขอนั้นไม่เคยมีคำว่าไม่ได้

“งั้นก็นอนได้แล้วนะครับ เด็กดี เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้ว”

เบฟไม่ทันได้คิดถึงเวลาที่เขาจะได้อยู่กับไออุ่นว่ามันจะมีเพียงแค่เท่านี้ หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันกว่าๆ แต่มันก็มีค่ากับเขามากมายมหาศาล จากนี้ไปอีกห้าวันยังนึกภาพไม่ออกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงโดยที่ไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ฟ้าคงต้องถล่ม โลกคงต้องพังพินาศแน่

“ไม่อยากกลับเลยครับ ป๊ะป๋า ขอเบฟอยู่ด้วยอีกสักวันไม่ได้เหรอ”

“แล้วที่สัญญากับป๊ะป๋าไว้ล่ะครับ”

เบฟชะงักไปเล็กน้อย “ป๊ะป๋า~”

ไออุ่นหัวเราะเบาๆ ได้แกล้งเด็กคนนี้บ้างก็ดูมีความสุขดีเหมือนกัน

“นอนเถอะครับ นอนดึกแล้วจะเป็นแพนด้าน้อยเอานะ”

“ป๊ะป๋าห่มผ้าให้หน่อยครับ”

เบฟลงไปนอนกับเตียงรอให้ไออุ่นมาห่มผ้าให้ ถ้าการเป็นเด็กในสายตาของไออุ่นจะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป เขาก็อยากเป็นเพียงแค่นั้นแม้ในใจลึกๆ จะหวังอะไรที่มากกว่านั้นก็ตาม ไออุ่นยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากแล้วดึงผ้าห่มมาปิดตัวให้

“ทีนี้ก็นอนได้แล้วนะ”

“ยังไม่ได้ครับ ป๊ะป๋ายังไม่ได้มานอนกอดเบฟเลย”

เด็กหนุ่มเขยิบตัวไปอีกฝั่งของเตียงแล้วให้ไออุ่นสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ป๊ะป๋า... ถ้าเบฟเป็นเด็กไม่ดีจะยังรักเบฟอยู่ไหม”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เบฟถามคำถามนี้กับไออุ่นแต่มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองอยากรู้มาโดยตลอด ถ้าหากเขากลายเป็นเด็กไม่ดีที่คิดไม่ซื่อกับตุ๊กตาไขลานที่ชื่อว่าป๊ะป๋า อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

“รักสิครับ นอนได้แล้วนะ”

เด็กน้อยคนนั้นอมยิ้ม เพียงเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว เขาสวมกอดร่างของตุ๊กตาไขลานตัวนี้เอาไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงกับแผงอกของอีกฝ่าย ค่อยๆ เก็บเกี่ยวความสุขของกันและกันเอาไว้ก่อนที่วันสุดท้ายของการได้อยู่ร่วมกันจะมาถึง


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้มาย้อนวันวานกันกับเฮเลนและไออุ่นกันนะคะ
ส่วนตอนหน้านั้น... คาดว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องได้เลย (ไม่แน่ใจว่านี่เราสปอยหรือเปล่า แหะๆ )

--------------------------

หลังจากที่ลงมาหลายตอนแล้วแต่ยังไม่เคยได้ตอบคอมเม้นท์ใครเลย ขออนุญาตตอบตรงนี้นะคะ ขอบคุณทุุกคำคอมเม้นท์ทั้งตอนก่อนหน้าและตอนที่ผ่านมามากค่ะ รวมถึงขอขอบคุณทุกคำคอมเม้นท์หลังจากนี้ล่วงหน้าเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ (^/|\^)

เฟมโตตัน.
ขอบคุณค่าาาาา [/li][/list]


rockiidixon666
มาแล้วค่าาาาาาาา ^0^

TIKA_n
สงสารไออุ่นเหมือนกันเลย สำหรับเรื่องนี้ส่วนตัวเราคิดว่าไออุ่นน่าสงสารที่สุดแล้วอ่ะ ส่วนไวน์จะเป็นวิคเตอร์กลับชาติมาเกิดหรือเปล่านั้นต้องรอดูค่ะ ขอบคุณนะคะ

พิศตะวัน
ขอบคุณนะคะ

xหยกน้อยx
จะอัพให้ทุกอาทิตย์นะคะ ถ้ามีธุระก็อาจจะต้องเลื่อนไปอ่ะนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพลนธุระอะไรค่ะ ว่างมากกกกกกกก ปั่นนิยายวนไป ฮ่าๆๆๆๆ

donut4top
ไม่ใช่แค่คนบ้านนี้รักอุ่นนะคะ เราก็รักอุ่นจนอยากแย่งมาจากทุกคนเลย ฮ่าๆๆ แล้วไวน์จะใช่วิคเตอร์หรือเปล่าต้องติดตามตอนต่อๆ ไปนะคะ แต่ก็แอบคันปากอยากเล่ามากเลย

alternative
ตอนที่3 นี่เบฟน่าสงสารจริงค่ะ และคาดว่าน่าจะน่าสงสารอีกหลายๆ ตอน


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
ไม่รู้เลยว่าไออุ่นจะมีคู่มั้ย หรือถ้ามีก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร555
อย่าหักดิบเรานะ แบบสุดท้ายไออุ่นก็หยุดทำงานถ้าเป็นอย่างนี้ช่วยบอกเป็นนัยๆก่อนจะได้ทำใจ555
สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ใคร ๆ ก็รักอุล

ใคร ๆ ก็อกหักจากอุล

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 5


เมื่อเจ้าของร้านอย่างไออุ่นไม่อยู่ ร้านดอกไม้จึงปิดให้บริการตลอดหนึ่งสัปดาห์แต่ก็ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งที่หน้าร้านก็แปะป้ายบอกเอาไว้แล้วแท้ๆ ลูกค้าที่แวะมาส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้าขาประจำที่คิดว่าเจ้าของร้านคงล้อเล่นเรื่องที่ปิดร้านไปทั้งสัปดาห์ซึ่งตามปกติแล้วต่อให้ฝนจะตก ลูกค้าจะน้อยแค่ไหน ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็ยังคงเปิดให้บริการเสมอ

เบฟไม่เคยรู้สึกเหงาขนาดนี้มาก่อน ความเงียบสงบภายในร้านทำให้ทุกอย่างดูนิ่งไปหมดแม้กระทั่งใจของเขาเองที่ก็เกือบจะหยุดไปเช่นกัน ความอ้างว้าง โดดเดี่ยวที่ไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยมันช่างทรมานนักจนอยากจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรสักอย่างแต่เขารับปากกับไออุ่นเรื่องการเรียนเอาไว้แล้วจะทำให้ผิดหวังไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ผ่านมาแล้วสองวันกับการที่เบฟต้องอยู่ในร้านเพียงคนเดียวและคอยบอกลูกค้าที่แวะมาที่ร้านว่ายังไม่เปิดให้บริการเมื่อมีคนมาถามถึง

เสียงเคาะประตูร้านดังขึ้นเรียกให้เบฟหันไปมอง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือพีท ลูกชายเจ้าของร้านขายอะไหล่ เขาลุกขึ้นจากม้านั่งในร้านแล้วเดินไปเปิดประตูให้ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม

“พี่อุ่นไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ เบฟ”

“ไม่ได้อ่านป้ายหน้าร้านเหรอวะ พีท”

พออยู่ต่อหน้าไออุ่น เบฟก็เป็นเด็กที่น่ารัก ว่านอนสอนง่ายแต่พอลับหลังก็กลายเป็นคนละคน เขาไม่ใช่คนสองบุคลิกแต่ที่ทำแบบนั้นมันมีเหตุผล

“อ่านแต่คิดว่าพี่อุ่นจะกลับมาด้วย”

“ถ้ากลับมา มึงคงไม่เห็นป้ายหน้าร้านนั่น”

“พี่เอาอะไหล่มาให้ ไม่แน่ใจว่ามันจะแทนกันได้ไหม”

พีทยื่นซองใส่อะไหล่สองชิ้นที่เขาตระเวนหาไปทั่วให้กับเบฟซึ่งเจ้าตัวไม่แน่ใจว่ามันพอจะทดแทนกันได้ไหม ตอนที่ไปเสาะหามาก็อาศัยดูเอาจากรูปที่ถ่ายแล้วกะขนาดด้วยสายตาตัวเองซึ่งมันอาจผิดพลาดกันได้

“ขอบใจ”

“พี่อุ่นรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วนายเป็นคนแบบนี้”

พีทเห็นท่าทางของเบฟที่นิ่งไปก็พอจะเดาเรื่องออกได้ลางๆ

“เบฟ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ถ้าพี่อุ่นรู้เข้าจะทำยังไง”

“รู้อะไร”

“คิดว่าพี่อุ่นจะรู้อะไรล่ะ”

พีทนั่งลงข้างๆ กับเบฟ เขาหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าห้าปีอย่างมีความหมาย

“จะไปรู้เหรอ มึงอย่ากวนได้ไหมวะ รู้อะไรก็รีบๆ พูดมา”

“ไปล่ะ ไม่มีใครเฝ้าร้าน”

พีทลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้เบฟได้คิดดูให้ดีว่าตัวเองกำลังปิดบังอะไรเอาไว้

“พีท!!”

เบฟจะวิ่งตามออกไปคุยไปเคลียร์กับให้รู้เรื่องว่าที่ไออุ่นจะรู้เรื่องนี่มันเรื่องอะไรกันแน่แต่ก็มีลูกค้าที่เขารู้สึกไม่ค่อยชอบหน้ามาเคาะประตูร้าน ไวน์คือชื่อของเขาคนนั้น เบฟจำมันได้ดีเพราะไออุ่นมักเรียกชื่อนั้นเสมอจึงจำต้องเดินไปเปิดประตูต้อนรับเพื่อแจ้งให้รู้ว่าวันนี้ร้านปิด

“ครับ”

“ไออุ่นอยู่หรือเปล่า ผมเอาร่มมาคืน”

ไวน์ยื่นร่มกันฝนสีน้ำเงินเข้มไปให้ แสดงให้เห็นว่าที่ตัวเขามาที่นี่แค่เพียงต้องการนำร่มที่ให้ยืมมาคืนเท่านั้น

“พี่อุ่นไม่อยู่และวันนี้ร้านปิด แต่ถ้าแค่เอาร่มมาคืน ผมจะรับมันไว้แทนให้ก็แล้วกัน”

“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไรครับ”

“เห็นป้ายหน้าร้านตรงนั้นไหม ปิดถึงเมื่อไรก็ไม่อยู่ถึงวันนั้นแหละ”

เบฟชี้ไปที่ป้ายสีขาวหน้าร้านแจ้งสถานะการปิดร้านชั่วคราวเอาไว้ ถ้าอีกฝ่ายมีแก่ใจสังเกตดูบ้างล่ะก็คงจะรู้ว่าร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดให้บริการถึงวันไหนและการที่ปิดให้บริการนั้นก็หมายความว่าเจ้าของร้านไม่อยู่หรืออาจมีเหตุให้เปิดร้านไม่ได้

“แล้วถ้าผมจะขอ...”

“ถ้าจะขออะไรก็มาวันที่ร้านเปิดแล้วกันนะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้... คุณไม่ต้องมาเลยจะดีกว่า”

“คือ... ผมแค่...”

ไวน์พยายามจะอธิบายเหตุผลว่าจริงๆ แล้วตัวเขาต้องการจะขออะไรแต่ดูเหมือนเบฟจะไม่ฟังและคิดเองเออเองไปเพียงฝ่ายเดียว

“แค่อะไร? ผมไม่รู้หรอกนะครับ แต่ถ้าคิดจะจีบเขาแล้วล่ะก็ไม่มีทาง!”

ไวน์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเบฟที่พยายามจะขวางไม่ให้เขาได้มีโอกาสจีบไออุ่น

“ที่พูดแบบนี้ ต้องการเก็บเขาไว้คนเดียวเหรอครับ”

เบฟชะงักไปเล็กน้อย ฝ่ายนั้นพูดเหมือนรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับไออุ่นแต่เบฟรู้ว่าคนที่เข้าหาไออุ่นส่วนใหญ่เป็นเพราะหลงใหลในดวงตาสีหยกคู่นั้นเช่นเดียวกับเขา ไออุ่นไม่ได้แค่ประดิษฐ์ช่อดอกไม้ได้สวยและงดงามแต่ยังมีอัธยาศัยดี แม้จะได้อยู่เพียงในร้านก็ยังมีคนแวะเวียนมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ

“ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอครับ คุณมาที่นี่บ่อยๆ แถมยังชอบทิ้งช่อดอกไม้เอาไว้ มันคงไม่ใช่เพราะว่าคุณลืมหรอกแต่เป็นเพราะตั้งใจทิ้งมันไว้ที่นี่ให้เขามากกว่า อ๋อ! อีกอย่าง... สายตาเวลาที่คุณมองเขาน่ะผมเห็นนะ ถึงคุณจะทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรในตัวเขาแต่ผมก็พอจะรู้ว่าคุณคิดยังไง ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ยังทันนะครับ”

ไวน์ยิ้มขันก่อนจะแจงให้รู้ว่าคนที่ควรจะตัดใจจริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่

“คนที่ควรจะตัดใจจากเขาน่าจะเป็นคุณมากกว่านะ ครั้งก่อนที่ผมมาที่นี่เหมือนจะได้ยินคุณเรียกเขาว่าพี่ สถานะของคุณกับเขาคงเป็นได้แค่พี่กับน้อง ไม่มีทางที่จะกลายเป็นอย่างอื่นได้เพราะถ้าคิดจะเปลี่ยนสถานะก็ต้องคิดให้ดี อะไรที่ถูกเปลี่ยนไปแล้วมันคงยากที่จะเปลี่ยนกลับมา คุณว่าจริงไหม”

เบฟถึงกับสะอึก นั่นล่ะคือสิ่งที่เขากลัวมาตลอดถ้าสักวันหนึ่งไออุ่นรู้ความจริงเข้า ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่มีทางเหมือนเดิม

“แต่คนที่ไม่มีสถานะอะไรอย่างคุณคงยากหน่อยนะครับ คุณลูกค้า”

“ครับ มันคงจะยากเพราะผมเริ่มจากศูนย์แต่สำหรับคุณคงยากกว่าเพราะเริ่มจากร้อย”

“คุณ!! ยังไงคุณก็ไม่มีทางได้เขาไปแน่”

“ถ้าวันหนึ่งผมได้เขามา อย่ามาทวงคืนนะครับ” แววตาและน้ำเสียงของไวน์บ่งบอกว่าเขาพูดจริงทำจริง

“คุณเอาเขาไปให้ได้ก่อนเถอะครับ”

ไวน์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินออกจากร้านไป





“อุล! มานั่งทำอะไรตรงนี้”

เฮเลนร้องทักเมื่อเห็นไออุ่นพยายามเอากุญแจที่คล้องคออยู่ไขลานให้กับตัวเอง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ไขลานด้วยสองมือของตัวเองเลยดูติดขัดอยู่บ้างเล็กน้อย

“กำลังไขลานน่ะ”

“ให้ฉันช่วยนะ”

ไออุ่นยื่นกุญแจไปให้กับเฮเลนช่วยไขลานที่อยู่ข้างหลังให้

“เฮเลนเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ไหม”

“กลับชาติมาเกิดเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า”

เฮเลนส่งกุญแจคืนไปให้กับไออุ่นแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รับลมเย็นในสวนหย่อมเล็กๆ ที่เธอทำขึ้นมาไว้สำหรับพักผ่อน นั่งเล่นยามแก่ชรา

“ฉันรู้สึกเหมือนเจอวิคเตอร์”

“ปู่เหรอ? เจอที่ไหน ยังไง”

“เขาเป็นลูกค้าที่ร้าน” ไออุ่นเงียบไปสักพัก รอดูปฏิกิริยาของเฮเลนที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นเอาเสียมากๆ เขาแอบหัวเราะอยู่เล็กน้อยก่อนจะที่พูดต่อ “ถึงเขาจะมีหน้าตา นิสัยไม่เหมือนวิคเตอร์เสียทีเดียวแต่ความรู้สึกฉันมันบอกว่านั่นล่ะวิคเตอร์”

“ได้ยังไง อุล~ หน้าตาก็ไม่เหมือน นิสัยก็ไม่ใช่ ทำไมถึงได้ด่วนตัดสินใจนักล่ะ”

“ความรู้สึกไง ถึงมันจะผ่านมานานมากแล้วแต่ฉันก็ยังจำวิคเตอร์ได้นะ”

ไออุ่นไม่เคยลืมวิคเตอร์ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ภาพที่ชายชราคนนั้นชวนคุย กล่าวทักทายทุกเช้า  กล่าวราตรีสวัสดิ์ทุกคืนหรือแม้แต่มานั่งปรับทุกข์อยู่ตรงหน้าเขายังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แม้ว่านิสัยจะแตกต่างไปจากเดิมแต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือวิคเตอร์ บรอมฟอร์ด

“อุล~ ถึงจะรู้สึกว่ามันใช่แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจเป็นคนที่เหมือนปู่หรือไม่ก็เป็นเพราะอุลคิดถึงปู่”

“คิดถึง... งั้นเหรอ”

ไออุ่นรู้ว่าวิคเตอร์จากไปแล้วและจะไม่มีวันกลับมาตลอดกาล ความคิดถึงไม่ได้ช่วยทำให้ได้เจอวิคเตอร์อีกครั้งแต่ในวันนั้นที่เขาคนนั้นเดินเข้ามาสั่งช่อดอกลิลลี่ที่ร้าน แววตาที่มองมานั้นช่างคล้ายกับคนที่สร้างตุ๊กตาไขลานตัวนี้ขึ้นมาแต่น่าเสียดายที่ความจริงแล้วสายตาคู่นั้นใช้มองเบฟมาโดยตลอด ไม่ใช่เขา

“อืม... ความคิดถึงบางทีก็อาจทำให้เราสับสนได้”

“เฮเลนพูดอะไรน่ะ ความคิดถึงทำให้สับสน?”

เฮเลนหัวเราะเบาๆ เธอคงพูดอะไรแปลกๆ ออกไปสินะ

“ยิ่งคิดถึงมากก็ยิ่งโหยหามากนะ อุล ช่วงเวลาแบบนี้แหละที่พอเวลาเราได้เห็นใครสักคน อะไรสักอย่างที่คล้ายกันก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่เราโหยหา เช่นเดียวกัน... ความคำนึงถึง ความอยากเจอ พอเราได้เจอใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นแม้เพียงน้อยนิดก็จะรีบคว้าเอามา ทึกทักไปเองว่าใช่ทั้งที่จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“ฉัน... แค่คิดไปเองเหรอ?”

“เปล่า ฉันแค่อยากเตือนนายเฉยๆ”

“ขอบคุณนะ เฮเลน”

“ขอบคุณอะไร ฉันมันก็แค่ยายแก่ๆ คนหนึ่งที่กำลังรู้สึกแบบนั้น”

เฮเลนยิ้มขำให้กับชีวิตของตัวเอง ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาเธอมีความสุขกับการทำงานมากและเพื่อความมั่นคงของครอบครัวเลยมีเวลาให้กับสเตซี่และอุลน้อยมากรวมถึงลอยด์ผู้เป็นสามีด้วย โหมงานอย่างหนักจนลืมเวลาให้กับครอบครัวและคนที่รักจนกระทั่งลอยด์จากไปด้วยโรคร้ายอย่างกะทันหัน

“เฮเลน”

“ฉันพูดตรงๆ เลยนะ ตั้งแต่ที่ลอยด์จากไป ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงเขา ฉันเสียใจที่เอาแต่บ้างานจนลืมใส่ใจคนรอบข้าง ฉันไม่อยากให้สเตซี่ใช้ชีวิตแบบฉันแต่มันก็เป็นไปแล้ว ไม่อยากให้เขาเสียใจในภายหลังที่เอาแต่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีไปกับการทำงาน ฉันรู้นะว่าสเตซี่กับเบฟดูไม่ค่อยจะสนิทกับเหมือนพ่อลูกคู่อื่น ตอนนี้มันอาจยังพอแก้ไขอะไรได้อยู่บ้าง ไม่เหมือนฉันที่อยากคิดกลับไปแก้ไขอะไรหลายๆ อย่างก็ทำไม่ได้อีกแล้ว”

ไออุ่นไม่รู้จะพูดปลอบใจอย่างไร อย่างน้อยๆ เฮเลนก็ยังมีเวลาอยู่กับลูกมากกว่าเมื่อเทียบกับสเตซี่และเบฟ

“ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะ ป่านนี้รุ้งคงทำข้าวเย็นเสร็จแล้ว”

“อุล... นั่งตรงนี้เป็นเพื่อนฉันสักพักได้ไหม”

“อืม”

ในขณะที่นั่งเฉยๆ เป็นเพื่อนเฮเลนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก ไออุ่นก็คิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจคิดไปเองแบบที่เฮเลนพูดก็ได้ ต่อให้คนนั้นเป็นวิคเตอร์กลับชาติมาเกิดใหม่จริงแต่คงไม่มีทางจำเขาได้แน่

“อุล”

“หืม?”

“ฉันเองก็คิดถึงปู่ แม้จะจำอะไรไม่ค่อยได้แต่ฉันก็รู้ว่าปู่รักฉันมาก ตอนที่ปู่เข้าโรงพยาบาล ฉันกับแม่ก็ไปเยี่ยมปู่ทุกวัน ทุกครั้งที่ไปปู่จะพูดกับฉันเสมอเรื่องของอุล ตั้งแต่ตอนเริ่มลงมือสร้างจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วฉันก็ได้รู้ว่าความรักที่ปู่ให้ฉันมันน้อยกว่าที่เขาให้นาย แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ปู่มอบความรักให้ไม่เท่ากันเพราะสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้คือสิ่งที่วิเศษที่สุด”

ไออุ่นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มอันอ่อนโยนไปให้

“รอยยิ้มของอุลสวยมากนะ ขนาดฉันที่เป็นผู้หญิงยังรู้สึกอิจฉาเลย”

“รอยยิ้มสวยๆ แบบนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้วิคเตอร์ล่ะนะ”

ทุกอย่างที่เป็นไออุ่นได้จนถึงตอนนี้เป็นฝีมือของวิคเตอร์ทั้งนั้น ถ้าหากชายคนนั้นไม่มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างตุ๊กตาไขลานขนาดเท่าคนจริงที่ขยับเขยื้อนร่างกายบางส่วนได้ขึ้นมาล่ะก็ทั้งเฮเลน ทั้งสเตซี่และเบฟคงไม่เห็นมันได้มานั่งใช้ชีวิตที่ถูกมอบให้อยู่ตรงนี้แน่

“ไม่เถียง มันไม่ใช่แค่รอยยิ้มนะ แต่ทุกอย่างที่เป็นอุลมันดูงดงามไปหมด”

เฮเลนเอื้อมมือออกไปลูบใบหน้านั้นของไออุ่น เป็นความงดงามที่ถาวรจนเธอยังหลงใหลและรู้สึกอิจฉาอยู่นิดหน่อย ตุ๊กตาไขลานนั้นแตกต่างจากมนุษย์ ถึงแม้ว่าอะไหล่บางชิ้นส่วนจะเสื่อมสภาพลงก็ยังหาของใหม่มาทดแทนได้ทุกชิ้น อายุขัยที่ไม่ขยับไปไหนทำให้สามารถมีอายุยืนยาวได้ตามต้องการช่างเป็นสิ่งที่น่าอิจฉายิ่งนัก

“เฮเลนก็ยิ้มสวย จำได้ไหม... ตอนที่ลอยด์มาจีบเธอน่ะ ฉันเคยถามเขาว่าชอบอะไรในตัวเธอ คำตอบที่ฉันได้รับคือรอยยิ้ม”

“พูดให้ฉันดีใจเล่นเหรอ อุล”

“ฉันพูดความจริง”

“คุณแม่คะ อาหารเย็นตั้งโต๊ะแล้วค่ะ”

รุ้งเดินมาตามเฮเลนที่นั่งคุยเล่นกับไออุ่นที่ริมระเบียงด้านนอก เธอกับสามีช่วยกันเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอให้ทุกคนมานั่งร่วมโต๊ะกันเท่านั้น

“ไปเถอะ เฮเลน รุ้งมาตามแล้ว ฉันจะนั่งตรงนี้อีกสักพักก็จะเข้าไปแล้วล่ะ”

“อุล”

เฮเลนจับมือของไออุ่นแล้วลูบมันเบาๆ มือของไออุ่นนั้นช่างนุ่มนิ่มแต่น่าเสียดายที่มันเย็นเฉียบราวกับร่างไร้วิญญาณ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“อ๋อ! คุณอุ่นคะ เดี๋ยวอีกสักพักรบกวนแวะไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยนะคะ”

“มีอะไรหรือเปล่า รุ้ง”

ไออุ่นถามกลับไป ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยถูกเรียกให้ไปพูดคุยกันเป็นทางการแบบนี้มาก่อน จะมีก็แค่ตอนที่เขาถูกรุ้งและสเตซี่ขอร้องให้ช่วยเลี้ยงเบฟแทน หรือบางทีตอนนี้อาจถึงเวลาที่ต้องคืนสิ่งที่พวกเขามอบมาให้รวมถึงชีวิตนี้ด้วย

“แน่นอนว่ามีค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปรอนะ”

ไออุ่นนั่งรับลมเย็นอยู่ตรงที่เดิม ไม่ว่าสายลมจะพัดมาแรงเท่าไรกลับไม่รู้สึกถึงมันได้เลย ไม่ว่าจะเคยพูดว่าเกลียดความเย็นเพราะมันจะทำให้ชิ้นส่วนในตัวชื้นและขึ้นสนิมได้ง่าย แต่ทว่าเขากลับไม่รู้จักสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย มีดีก็แค่พูดไปเพราะความกลัวว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะหายไปจากโลกนี้ สิ่งล้ำค่าที่ครอบครัวบรอมฟอร์ดเฝ้าถนุถนอมและปกป้องราวกับเขาเป็นพระเจ้า ต่อให้รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่สามารถตอบสนองใครได้อีกแต่ก็ยังอยากอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรำลึกถึงวิคเตอร์และตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่ครอบครัวนี้มอบให้





ไออุ่นพาตัวเองเข้ามานั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นได้ไม่นาน สเตซี่และรุ้งก็เดินเข้ามาแต่กลับไม่มีเฮเลน นั่นคงเพราะเป็นแค่เรื่องระหว่างพวกเขาเท่านั้น

“ขอโทษนะคะที่มาช้า เพิ่งพาคุณแม่ไปพักผ่อนน่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แล้วที่เรียกให้มานี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“ขอโทษนะคะ แทนที่คุณจะได้พักผ่อนแต่เราจำเป็นต้องคุยจริงๆ ค่ะ คือ... เรื่องของลูกชายของเรา”

รุ้งเกริ่นนำพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับไออุ่น เหลือบมองสเตซี่ที่นั่งลงมาข้างๆ กันเป็นเชิงว่าให้เตรียมตัวเข้าประเด็นได้
“เบฟเหรอ”

ถึงแม้ว่าไออุ่นจะถามไปแบบนั้นแต่ท่าทางของเขาดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เรื่องที่ทั้งสองคนต้องการจะคุยด้วยนั้นเป็นเรื่องของเบฟ เรื่องเดียวที่พวกเขาจะคุยอย่างจริงจังได้ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น

“ค่ะ คือว่า... อยากถามว่าคุณรู้สึกยังไงกับเขาเหรอคะ”

คำถามของรุ้งคำถามนี้ทำให้ไออุ่นแปลกใจได้เลยจริงๆ เขานึกว่าจะพูดเรื่องขอเบฟกลับไปเสียอีก

“หมายถึงความรู้สึกแบบไหนล่ะ”

“แบบที่คุณกำลังรู้สึกอยู่นั่นแหละค่ะ ขอให้คุณตอบมาตามตรงเลยนะ เราอยากได้มันไปประกอบการตัดสินใจอะไรบางอย่าง”
ไออุ่นนิ่งไปอยู่ชั่วครู่พลางคิดทบทวนถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวเอง ถ้าถามว่ารักไหม คำตอบคือรักแน่นอนและรักมาก เขาเป็นคนที่เลี้ยงเด็กคนนั้นมาเกือบทั้งชีวิตย่อมต้องมีทั้งความรักและความผูกพัน หากแต่ไม่เข้าใจว่าที่รุ้งถามออกมานั้นกำลังต้องการคำตอบแบบไหนจากเขากันแน่

“เบฟเป็นเหมือนลูกชายอีกคนของฉัน”

“แค่นั้นเหรอคะ”

“แล้วอยากได้ยินฉันตอบว่ายังไงเหรอ”

“ช่วยระบุให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ”

ไออุ่นไม่เข้าใจว่าคำตอบแค่นี้ไม่เพียงพออย่างไร พอหันไปมองหน้าสเตซี่เพื่อต้องการคำอธิบายก็ได้คำตอบส่งผ่านมาทางสายตาให้ตอบสิ่งที่รุ้งถามเพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน

“ฉันเริ่มเลี้ยงเบฟอย่างจริงจังตั้งแต่ที่เขาเข้าเรียนประถม คอยสอนเขาทุกอย่างแม้ว่าฉันจะพาเขาออกไปเรียนรู้ ท่องเที่ยวเหมือนเด็กคนอื่นไม่ได้ แต่เขาไม่เคยโกรธฉัน ไม่เคยเรียกร้องจนถึงตอนนี้น่าจะรู้คำตอบนะว่าฉันรู้สึกยังไง”

สเตซี่และรุ้งไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นได้หรอก พวกเขาเป็นได้เพียงผู้ให้กำเนิดแต่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูเด็กคนนั้นจนเติบใหญ่ รุ้งแค่โชคดีหน่อยที่เธอมีโอกาสได้อยู่กับลูกมากกว่าสามีแต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับช่วงเวลาอันยาวนานที่เบฟอยู่กับไออุ่นได้

“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอพูดตรงๆ ว่าเราอยากเลี้ยงเบฟต่อจากนี้เอง”

ไออุ่นชะงักไปทันทีที่ได้ยินสิ่งที่สเตซี่พูด

“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับอุล แต่เบฟเป็นลูกของเรา เราจึงอยากรับเขากลับมา”

ไออุ่นนิ่งไปอย่างใช้ความคิด น้ำเสียงของสเตซี่ฟังดูจริงจัง แววตาที่มองมานั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้พูดเล่น และไม่แปลกที่พวกเขาอยากได้เด็กคนนั้นกลับคืนไปในเมื่อทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือผู้ให้กำเนิด เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง ส่วนเขาเป็นเพียงผู้เลี้ยงดูที่ไม่ควรคิดผูกพัน

“อืม... ได้”

“เอ๋? ได้เหรอ? แล้วอุล...”

ทั้งสเตซี่และรุ้งมีสีหน้าตกใจ พวกเขาไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้

“ไม่เป็นไร เบฟเป็นลูกของพวกเธอ เขาก็ควรจะอยู่กับพวกเธอมากกว่าฉัน และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วก็แค่นั้น”

“อุลไม่คิดจะรั้งไว้เลยเหรอ”

ไออุ่นยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เขาเสียใจที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ พวกเขาทั้งคู่มีสิทธิ์ในตัวเบฟสมบูรณ์ทุกประการต่างจากเขาที่เป็นเพียงแค่จุดรับฝาก เมื่อคนฝากมาขอคืนก็ย่อมต้องคืนอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ไม่ล่ะ ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วคิดว่าจะไปรับเขากลับวันไหนล่ะ”

“อีก... อีกสองอาทิตย์”

“เดี๋ยวฉันจะเป็นคนพูดกับเขาเอง เตรียมตัวรอรับได้เลย ฉันขอไปพักก่อนนะ รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย เหมือนอะไหล่บางส่วนมันฝืดอีกแล้ว”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป สเตซี่ก็เอื้อมมือออกไปรั้งเอาไว้ก่อน

“ขอบคุณนะ อุล”

ไออุ่นทำแค่พยักหน้าแล้วเดินจากไป

“คุณคะ ทำแบบนี้ดีแล้วแน่เหรอคะ”

รุ้งดูค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย เธอเห็นสีหน้าของไออุ่นแล้วรู้สึกสงสารที่ทำแบบนี้ลงไป

“ดีสิ เห็นสีหน้าของอุลตอนที่พูดถึงเบฟหรือเปล่าล่ะ บอกเลยว่าตั้งแต่ที่ผมอยู่กับเขามา ยังไม่เคยเห็นทำหน้าแบบนี้สักครั้ง แล้วจะได้ถือโอกาสดัดนิสัยเจ้าลูกชายคนนั้นด้วย”

“คุณก็เอาแต่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันสงสารคุณอุ่นนะคะ”

สีหน้าของรุ้งดูเป็นกังวลอย่างชัดเจน แม้เธอจะรู้ว่าสามีทำลงไปก็เพื่อจะเอาคืนลูกชายที่ไม่ค่อยสนใจตนแต่กลับให้ความสำคัญกับไออุ่นมากกว่า แต่ไม่คิดว่าจะมีคนโดนลูกหลงไปด้วย

“แล้วจะให้ผมทำยังไง”

“ฉันกลัวคุณอุ่นจะโกรธเอาน่ะสิคะ”

“โกรธก็ดีสิ รายนั้นน่ะทำเป็นอยู่หน้าเดียว ผมก็อยากเห็นสีหน้าแบบอื่นๆ ของเขาบ้างนะ”

“เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณอุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ ฉันจะบอกว่ามันเป็นความผิดของคุณ”

รุ้งหัวเราะเบาๆ สามีของเธอเจ้าแผนการดีนัก เธอไม่เข้าข้างหรอก

“แต่คุณเองก็ร่วมมือกับผมด้วยนะ อย่าลืมสิ รุ้ง”

รุ้งชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะลืมไปว่าตัวเธอเองก็รู้เห็นเป็นใจกับสเตซี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ค่ะ ถูกบังคับให้ร่วมมือจะถูกต้องกว่า”

สเตซี่หัวเราะชอบใจที่ภรรยาของเขาทำท่าไม่พอใจ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไรนักเพราะมันกะทบกับไออุ่นโดยตรง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วล่ะก็เขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย

“คุณอุ่นนี่ปิดความรู้สึกเก่งเหมือนกันนะคะ”

“อุลก็เป็นแบบนี้ล่ะ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต่อให้เขาบอกว่าไม่เป็นไรแต่ในใจอาจกำลังร้องไห้อยู่ก็ได้”

“แล้วคุณก็ทำเขาร้องไห้”

“ใช่ผมที่ไหนกันล่ะ”

“ไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันไปนอนพักดีกว่า”

รุ้งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปแบบงอนๆ เธอกลัวไออุ่นจะไม่พอใจแล้วโกรธเข้าจริงๆ แต่ดูเหมือนสเตซี่จะไม่ทุกข์ร้อนอะไรทั้งสิ้นทั้งที่เป็นคนเริ่มเรื่องแท้ๆ


** ติดตามตอนต่อไป **

เราคิดว่าจะเอานิยายเรื่องนี้มาลงทุกวันอาทิตย์นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

ขอโทษด้วยนะคะที่เรื่องนี้มีคำพูดที่ไม่สุภาพอย่างกูมึงด้วย จริงๆ ไม่อยากใส่เลยคำพูดแบบนี้ ถ้าไม่ชอบ เดี๋ยวตอนต่อไปพยายามจะไปปรับแก้ดูนะคะ

ขอบคุณคุณKARMI ,คุณพิศตะวัน, คุณalternative มากนะคะ สำหรับคอมเม้นท์
ยังไม่อยากบอกเลยว่าไออุ่นจะมีคู่ไหม หรือถ้ามีแล้วจะได้คู่กับใคร อยากให้ลุ้นกันไปเรื่อยๆ ^^



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน พอจะจากกันก็ต้องเศร้าเป็นธรรมดา
ไม่รู้งานนี้เบฟจะอาละวาดแค่ไหน

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ชอบความรักและผูกพันธ์ของอุลกับเฮเลนมากเลย อ่านแล้วน้ำตาคลอ
ทำไม อ่านที่สเตซี่กับรุ้งคุยกัน ไม่ใช่ว่าอุ่นก็รู้สึกับเบฟเกินกว่าลูกชายด้วยหรอกนะ
หรือไป ๆ มา ๆ เบฟจะเป็นพระเอกหรือเปล่า T ^ T  ฮือออ ไม่นะ
เอาจริง ๆ อ่านตอนนี้นี่ ไม่ชอบนิสัยจริง ๆ ของเบฟเลยนะ เป็นเด็กก้าวร้าวมาก
พูดจากับพี่พีทไม่ดีเลย พี่พีทอายุมากกว่า แล้วก็ถือเป็นผู้มีบุญคุณกับอุ่นเลยนะ
ยังไงก็เชียร์ไวน์อ่ะ จะใช่หรือไม่ใช่วิคเตอร์กลับมา ก็เชียร์ไวน์อยู่ดี ไม่ชอบเบฟ
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านแล้วรู้สึกว่า คาแรคเตอร์ของเบฟจะไม่เนียน มันดูกระโดด ๆ พยายามกลับไปหาว่าเบฟอายุเท่าไร แต่ก็หาไม่เจอ (ฉันอาจจะพลาดเอง) คิดว่าน่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น (13 - 15 ปี) ถ้าอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจอาการออดอ้อนเป็นเด็กเล็ก ๆ ได้ และทำไปก็พอจะดูน่ารักได้บ้าง แต่ถ้าโตกว่านั้น คือ 16 ไปถึง 20 ปี เด็กหนุ่มวัยนี้จะแสดงออกแบบที่อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ โตแล้ว อยากให้คนที่ตนสนใจเห็นว่าตนเองแข็งแกร่ง อาการออดอ้อนเป็นเด็กดูจะไม่เข้ากับวัยนี้

รู้สึกขัดตรงที่พูดกับไวน์กับพีทเช่นกันกับพีทที่สนิทกันนั้นอาจจะปากกล้า ขึ้นกูมึงได้ แต่จะให้ลุกมาไขว้กับผู้ใหญ่อย่างไวน์ (ที่ฉันก็เดาเองว่า ว่าเขาน่าจะอายุราว 25 ปีขึ้นไป) ก็ดูจะข้ามรุ่นไปหน่อย


ส่วนตอนนี้ สเตซี่กับรุ้งกำลังหักด้ามพร้าด้วยเข่า มีแต่จะเจ็บปวดกันทุกฝ่าย

ให้กำลังใจคุณ BlueSora ค่ะ


ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 6


ไออุ่นกลับมาที่ร้านได้หลายวันแล้ว หลังจากที่สเตซี่ขอเบฟกลับคืน เขาก็ดูไม่สดใสเหมือนเคย แม้จะยิ้มให้กับผู้คนรอบข้างแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าในรอยยิ้มนั้น แม้แต่เบฟก็ยังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ มีลูกค้าเข้ามาในใช้บริการที่ร้านค่อนข้างเยอะแต่ส่วนมากก็เข้ามาถามไถ่ถึงการปิดร้านไปทั้งสัปดาห์โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า

“เบฟ วันนี้เลิกเรียนแล้วรีบกลับนะครับ มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

ไออุ่นบอกกับลูกชายในขณะที่กำลังจัดช่อดอกไม้ให้กับลูกค้าที่โทรมาสั่งตั้งแต่ร้านเพิ่งจะเปิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ เรื่องสำคัญเหรอ”

“ครับ ไปเรียนได้แล้วนะ”

“โอเคครับ งั้นเบฟจะรีบกลับนะครับ”

เบฟพุ่งเข้าไปสวมกอดไออุ่นจากทางด้านหลังเหมือนเช่นที่ทำทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาอยากกอดร่างนี้เอาไว้ให้นานที่สุดตราบเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกเหมือนจะต้องห่างกันมันเข้าใกล้มาทุกทีแล้ว

“ไปนะครับ”

เบฟผละออกมาแล้วเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ที่สเตซี่พาไออุ่นกลับมาจากบ้านหลังนั้น เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกลแต่ไออุ่นกลับไม่พูดถึง ไม่อธิบายอะไร เอาแต่ยิ้มแย้มอยู่ทุกวันทั้งที่ในใจนั้นอาจจะตรงกันข้าม

“ขอโทษนะ เบฟ”

ไออุ่นเอ่ยขอโทษลูกชายที่รักยิ่ง มันเป็นคำพูดที่พออยู่ตรงหน้าแล้วคงจางหายไปกับสายลม

เสียงกระดิ่งตรงประตูหน้าร้านดังขึ้น ไออุ่นจึงละสายตาจากงานที่ทำอยู่ ส่งยิ้มให้กับลูกค้าเหมือนเช่นเคยแล้วจึงเอ่ยทักทายด้วยประโยคที่กล่าวเป็นประจำ

"สวัสดีครับ ต้องการรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“เอ่อ...” หญิงสาวในชุดสีทึมมองไปรอบๆ ร้านแล้วจึงตัดสินใจถาม “รับทำพวงหรีดงานศพไหมคะ”

“ขอโทษนะครับ เรารับทำเป็นช่อกับกระเช้าเท่านั้น คุณคงต้องไปถามร้านอื่นดูนะครับ”

หญิงสาวคนนั้นทำหน้าสลดก่อนจะเอ่ยขอบคุณ และในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านไป ไออุ่นก็รีบรั้งเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปหยิบดอกคาร์เนชั่นมายื่นให้

“รับไว้นะครับ แทนคำปลอบใจ”

“ขะ... ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาววัยกลางคนเอื้อมมือที่สั่นเทารับดอกไม้ที่ไออุ่นให้แทนคำปลอบใจเอาไว้ แล้วจู่ๆ น้ำตาเธอก็ไหล

“คุณแม่ชอบดอกคาร์เนชั่นมาก ฉันจะเอาดอกนี้วางไว้หน้าโลงของเธอ ขอบคุณนะคะ”

ไออุ่นยิ้มให้ เขาไม่คิดว่าแค่การหยิบดอกไม้เพื่อมาปลอบใจเรื่องการสูญเสียและการที่ทำพวงหรีดดอกไม้ให้ไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นดอกไม้ที่แม่ของผู้หญิงคนนั้นโปรดปรานแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี เธอคนนั้นเดินออกจากร้านไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มกว่าเดิมแม้ว่าจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ไออุ่นกลับมาจัดการงานที่ยังค้างไว้อยู่ให้เสร็จเรียบร้อย อีกไม่นานลูกค้าที่โทรมาสั่งดอกไม้กระเช้านี้เพื่อไปเยี่ยมไข้คงใกล้มาถึงแล้ว ในขณะที่ไออุ่นกำลังจัดร้าน พีทก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือของบางอย่างมาด้วย

“พี่อุ่น!”

“ว่ายังไง พีท”

“ผมเอาของมาให้ครับ”

พีทแบมือให้เห็นอะไหล่สองสามชิ้นที่เขาไปเสาะหามาจากทั่วทุกสารทิศ มันอาจจะแทนของเดิมที่มีอยู่ไม่ได้แต่ก็ดีกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้อะไหล่ในร่างกายแต่ละชิ้นค่อยๆ พังลงไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็ใช้การไม่ได้อีก

“ขอบใจนะ”

ไออุ่นรับมันเอาไว้แล้วเดินขึ้นไปเก็บรวมกันไว้ในกล่องข้างบนห้องก่อนจะเดินกลับลงมาก็พบว่าลูกค้าที่โทรมาสั่งกระเช้าดอกไม้เอาไว้มาถึงแล้ว เขาเดินไปหยิบกระเช้าที่ทำเสร็จเรียบร้อยตามที่สั่งไปส่งให้ถึงมือลูกค้าพร้อมกับรับเงินมา พอเห็นว่าพีทกำลังมองอยู่อย่างไม่วางตาเลยถามออกไป

“มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

“ก็มีครับ แต่ไม่พูดจะดีกว่า”

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

พีทอ้ำอึ้งแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป “รอยยิ้มพี่อุ่นไม่เหมือนเดิม”

ไออุ่นชะงักไป จริงอยู่ว่าช่วงนี้อารมณ์ของเขาดูไม่มั่นคงจึงอาจทำให้บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนอย่างที่เคยแต่ไม่คิดว่าพีทจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย

“ไม่มีอะไรหรอก พีทคงจะคิดมากไปเอง พี่แค่เหนื่อยน่ะ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีครับ”

พีทรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้น ต่อให้เขารู้จักไออุ่นไม่ดีเท่ากับที่เบฟรู้จักแต่ทั้งสีหน้าและแววตาสีหยกกำลังสะท้อนความเจ็บปวดออกมา แม้เพียงน้อยนิด... คนนอกอย่างเขายังสัมผัสได้ แล้วกับเบฟที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกอะไร

“พี่อุ่น ผมก็อยากจะบอกนะครับว่าพักผ่อนให้เยอะๆ แต่สำหรับพี่อุ่นที่เป็นแบบนี้ ผมเลยไม่รู้จะพูดปลอบยังไงดี”

“แค่ทำหน้าเหมือนเดิมก็พอแล้ว”

ทำหน้าเหมือนเดิม? พีทนิ่งไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่แสดงสีหน้าที่แตกต่างออกไปจากเดิม

“คือ... ยังไงครับ”

ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง

“ตั้งแต่ที่พีทก้าวเข้าร้านมา ถึงจะทำหน้านิ่งๆ แต่พี่ก็รับรู้ว่าพีทรู้สึกยังไง แล้วรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ความจริงแล้วยิ้มไม่ออกนั่น รอยยิ้มพีทก็ไม่เหมือนเดิมเหมือนกัน”

บรรยากาศชวนอึดอัดดูอึมครึมเหมือนฝนจะตกแต่ไม่ตก มีเมฆมากแต่ก็พอจะเห็นแสงแดดรำไรรอบตัวไออุ่นนั้นช่างดูหดหู่ ดอกไม้ในร้านที่ปกติแล้วดูสดชื่นและงดงามอยู่เสมอ ในเวลานี้กลับพร้อมที่จะเหี่ยวเฉาลงได้ทุกเมื่อ ไม่มีทางที่เบฟจะไม่รับรู้ถึงมันแล้วยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

“พี่อุ่น ผมขอถามตรงๆ นะครับ มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่พี่ปิดร้านหรือเปล่าครับ”

“ถ้าอยากรู้ก็จะบอก แต่สัญญาได้ไหมว่ามันจะเป็นความลับแค่เรา”

พีทพยักหน้ารับคำสัญญานั้น

“เวลาของพี่เหลืออีกไม่มากแล้ว”

“อะ... อะไรนะครับ! แล้วเบฟ...”

สีหน้าของพีทดูตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ทั้งที่เขาพยายามเสาะหาอะไหล่ชิ้นใหม่มาเปลี่ยนให้อยู่เรื่อยๆ แม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตามแล้วทำไมถึงยังไม่เหลือเวลาอีกแล้ว

“เขายังไม่รู้ ห้ามบอกเด็ดขาดเลยนะ ถ้าเด็กคนนั้นรู้เข้าจะต้องโวยวายแน่”

“แล้วทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น”

“อะไหล่พังน่ะก็หามาเปลี่ยนใหม่ได้ใช่ไหม คิดว่าเป็นตุ๊กตาไขลานยังไงก็ต้องมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าใช่ไหม แต่อย่าลืมว่าต่อให้ใช้ชีวิตมายาวนานมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องมีวันหยุดเดิน ไม่มีอะไรคงอยู่จนถึงโลกอวสานหรอกนะ”

“พี่อุ่น...”

พีทไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีหรือเรียกว่าพูดไม่ออกจะฟังดูเข้าใจง่ายกว่า เขาคิดมาเสมอว่าไออุ่นน่าจะเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีความสุขที่สุดในโลก ได้ถูกห้อมล้อมด้วยคนที่รักและเอ็นดูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่มาจากคนในครอบครัวอย่างเบฟหรือแม้แต่ความเอ็นดูจากลูกค้าของร้านแต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนแบบนั้นจะเก็บซ่อนความเจ็บปวดที่แสนโหดร้ายเอาไว้ตลอดมาภายใต้รอยยิ้มอันงดงามและเป็นมิตร

“อย่าบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เด็ดขาดนะ”

ไออุ่นเอ่ยย้ำอีกครั้ง เพราะแค่เรื่องจะต้องย้ายไปอยู่กับสเตซี่ เขาก็พอจะนึกภาพออกว่าเด็กคนนั้นจะแสดงอาการอย่างไรออกมา ยังไม่นับถึงถ้าหากรู้เรื่องนี้ด้วยแล้วล่ะก็ร้านดอกไม้อุ่นไอรักคงได้เวลาปิดกิจการถาวร

“แต่ถ้าเขารู้ทีหลัง”

“รู้ทีหลังก็ยังดีกว่าให้รู้ตอนนี้ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเขาคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

“ไม่ใจร้ายกับเขาไปหน่อยเหรอครับ ถ้าให้เขารู้ตอนนี้อาจจะทำอะไรได้ก็ได้”

ไออุ่นได้แค่ยิ้ม จริงอยู่ว่าถ้าเบฟรู้ตอนนี้อาจพอมีทางออกให้กับเรื่องนี้แต่เขาคิดมาดีแล้ว

“พี่อุ่น ผมเริ่มไม่ชอบรอยยิ้มของพี่แล้วนะ”

ไออุ่นหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากัน ตีหน้ายุ่งจ้องมองมาที่เขา

“รอยยิ้มของพี่มันไม่ถูกใจพีทแล้วเหรอ”

“ผม...” ดวงตาเรียวเล็กของพีทหลุบต่ำลงเล็กน้อยราวกับพยายามครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ผมยังชอบรอยยิ้มของพี่เสมอนั่นแหละครับ แต่บางทีการที่พี่ยิ้มเพื่อบอกว่าพี่กำลังมีความสุขดีก็แค่การหลอกคนอื่นและหลอกตัวเอง”

“พูดเหมือนมานั่งอยู่ในใจพี่เลยนะ”

“คนที่นั่งอยู่ในใจพี่จริงๆ ไม่ใช่ผมหรอกครับ”

ไออุ่นชะงักไปแล้วเข่นยิ้มออกมาเล็กน้อย

“พูดแบบนี้... อยากเข้ามานั่งในใจพี่เหรอ”

พีทหัวเราะขำขันอย่างเสแสร้ง ต่อให้เขาหรือใครอยากเข้าไปนั่งในใจของไออุ่น ยังไงก็ต้องฝ่าด่านกำแพงหินของเบฟให้ได้ก่อนซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย รายนั้นไม่มีทางยอมปล่อยให้ไออุ่นได้เป็นของใครแน่

“ผมกลับก่อนดีกว่า”

พีทขอตัวกลับร้านก่อน ไออุ่นพยักหน้าตอบรับพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ก่อนที่จะได้ก้าวออกจากร้านไป พีทก็พูดขึ้นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาที่ภายในร้านอันเงียบสงัดนั้นยังฟังได้ชัดเจนว่า “การที่พี่ยิ้มแต่ในใจกำลังเจ็บปวด อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะครับ เขารู้ดีแต่เลือกที่จะไม่พูด”

อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว อะไรที่ควรบอกก็บอกไปหมดแล้ว จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับไออุ่นเพียงคนเดียวว่าจะจัดการอย่างไร

ไออุ่นเก็บเอาคำพูดของพีทมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่คนเดียวจนกระทั่งเสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้น เขาจึงหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วเหลือบสายตามองไปยังประตู พอเห็นว่าเป็นใครก็ยกยิ้มน้อยๆ

“สวัสดีครับ คุณไวน์ วันนี้จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“เหมือนเดิม”

เหมือนเดิม? แววตาของไออุ่นมีแต่ความงุนงงในขณะที่กำลังส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย เขาบอกไม่ถูกว่าที่เหมือนเดิมนั้นคือช่อดอกลิลลี่ที่อีกฝ่ายสั่งหรือเป็นช่อดอกกุหลาบสีชมพูที่เคยทำวันนั้น แต่เอาเถอะ! วันนี้เขาจะทำช่อดอกลิลลี่และดอกกุหลาบรวมเป็นช่อเดียวกันให้ก็แล้วกัน

ไออุ่นเดินไปจัดแจงหยิบดอกไม้ที่จำเป็นต้องใช้มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ช่อดอกไม้ช่อนี้ ไออุ่นคิดว่าจะทำให้เป็นกรณีพิเศษโดยไม่คิดเงิน ไม่รู้ทำไมถึงอยากทำแบบนี้ให้ อาจเป็นเพียงแค่ต้องการเอ่ยขอบคุณและบอกลาไปในตัว

“หายไปไหนมาเหรอครับ”
คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งในร้านเอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่กำลังมองออกไปข้างนอกร้าน อยากจะถามเขาแต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย ไออุ่นยิ้มขันให้กับท่าทีแบบนั้นแล้วเอ่ยตอบ “ผมไปเยี่ยมญาติมาครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”

“ครับ”

บทสนทนาของทั้งคู่เกือบจะจบลงเพียงสั้นๆ แค่นี้แต่ไออุ่นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“คุณแวะมาตอนร้านปิดเหรอครับ”

“ผมก็แค่เอาร่มที่คุณให้ยืมมาคืนเท่านั้น”

ไวน์ตอบกลับไปโดยไม่มองหน้าคนถามอีกเช่นเคย ที่ไม่มองนั้นไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่พอเวลาได้สบตาสีหยกคู่นั้นแล้วหัวใจกลับเต้นแปลกๆ รู้สึกประหม่า เคอะเขินทุกครั้ง

“อ๋อครับ”

บทสนทนาของทั้งคู่ดูจะจบลงเท่านี้แล้วจริงๆ ไออุ่นไม่รู้จะถามอะไรต่อหรือชวนคุยเรื่องอะไรดี อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าอยากพูดคุยด้วยเลย บรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาดนี่มันคืออะไรกัน!?

“วันนี้ผมไม่รีบนะ”

คำพูดลอยๆ ที่เหมือนจะพูดกับดินฟ้าอากาศของไวน์เรียกรอยยิ้มตรงมุมปากของไออุ่นได้ เขาวางมือจากดอกไม้ที่กำลังจัดอยู่แล้วเดินหายไปยังข้างหลังร้าน วันนี้ตอนเช้าเขาทำนมเย็นเอาไว้ ตั้งใจว่าหลังจากที่เบฟกลับมาแล้วจะเทให้ดื่มแต่ดูเหมือนจะมีคนชิงตัดหน้าไปก่อนเสียแล้ว

ไออุ่นเดินกลับออกมาพร้อมกับถือแก้วน้ำใส่เครื่องดื่มสีนมชมพู

“คุณดื่มนมเย็นได้ไหมครับ”

“ได้”

น้ำเสียงห้วนๆ กลับมาเหมือนเดิมแล้ว สายตาของคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งก็ยังคงมองไปนอกร้านเช่นเดิม จวบจนแก้วใบกลางทรงสูงถูกยื่นมาให้ตรงหน้าจึงเงยขึ้นไปมอง สายตาที่สบกันเพียงครู่ช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่เพียงไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็เบือนหน้าหนี แก้วน้ำที่ถูกยื่นให้ยังคงค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

“ให้ผมป้อนไหมครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบรับแก้วใบนั้นมาถือเอาไว้ก่อนที่จะเสมองไปข้างนอกร้านด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจางๆ ไออุ่นอมยิ้มแล้วจึงเดินกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อให้เสร็จ จริงๆ แล้วชายคนนั้นอาจเป็นประเภทที่ไม่เก่งเรื่องการเข้าสังคมก็อาจจะเป็นได้ถึงได้มีท่าทีราวกับจะเมินเฉยกันตลอดอย่างนี้

เสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังขึ้นเป็นครั้งสามของวัน ไออุ่นเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับยิ้มทักทาย

“สวัสดีครับ พี่นิตย์”

นิตย์ที่ไออุ่นกล่าวถึงนั้นเป็นพนักงานบริษัทวัยกลางคนที่ทุกสัปดาห์จะแวะมาเลือกดอกไม้ประมาณห้าดอกไปประดับแจกันที่โต๊ะทำงานและคราวนี้ก็เช่นกัน เขาจึงไม่ถามอะไรมาก

ดอกเยอบีร่าหลากสีถูกหยิบออกมาจากกระถางข้างล่างแล้วมาวางลงบนโต๊ะทำงานของไออุ่น

“รับอีกสักดอกไหมครับ พี่นิตย์ ผมแถมให้”

“ไม่เอาแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอแล้วอุ่น เอาให้โต๊ะทำงานพี่พอมีสีสันบ้าง”

ไออุ่นยิ้มนิดๆ ครั้งแรกที่นิตย์แวะเข้ามาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็เพื่อจะซื้อดอกไม้เพียงดอกเดียวไปประดับที่โต๊ะทำงานให้มีสีสันขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นเพราะดอกไม้เพียงดอกเดียว ไออุ่นจึงยกให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นลูกค้าประจำที่แวะมาร้านทุกสัปดาห์โดยจะเลือกซื้อดอกไม้ไปห้าดอกทุกครั้งเพราะกลัวว่าไออุ่นจะยกให้ฟรีเหมือนครั้งแรกอีก

ไออุ่นใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อช่อดอกไม้ที่ถูกวางบนโต๊ะก่อนจะหยิบกระดาษสีน้ำตาลมาห่อทับให้อีกชั้นโดยไม่ลืมหยิบดอกเยอบีร่าสีสันสวยสดใส่เข้าไปอีกหนึ่งดอกเป็นการแถมให้แม้จะถูกปฏิเสธ

“อุ่น~ พี่บอกแล้วไงว่าไม่เอา”

“ผมให้”

“งั้นเอาไปเลย ไม่ต้องทอน”

นิตย์วางเงินเกินจำนวนราคาของของแล้วรับดอกไม้พวกนั้นเอาไว้แต่ก่อนจากไป เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงแกมตัดพ้อเล็กน้อยว่า “อุ่นใจดีเกินไปแล้วนะ ดีเกินไปมากจริงๆ”

ใครๆ ก็มักพูดว่าไออุ่นคนนี้ใจดีเสมอ คงเป็นเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ล่ะมั้ง

หลังจากที่นิตย์เดินออกจากร้านไปแล้ว ไออุ่นจึงกลับมาทำช่อดอกไม้ให้ไวน์ต่อ

“ชอบไหมครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าคนถาม และเหมือนไออุ่นจะเพิ่งรู้ตัวว่าถามอะไรกำกวมออกไปจึงยิ้มแก้เขิน แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ไวน์ต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่กล้าแม้เพียงจะจ้องหน้าเพราะกลัวเผลอยิ้มตามไปด้วย

“คือ... ผมหมายถึงคุณชอบน้ำแก้วนั้นไหมครับ”

“อืม... ชอบ”

คำตอบของไวน์ก็ยังฟังดูห้วนๆ เช่นเดิมแต่กลับรู้สึกอบอุ่นราวกับคำว่าชอบนั้นไม่ได้หมายถึงน้ำในแก้วที่ถืออยู่ในมือแต่เป็นคนที่เอ่ยถามถึงมันต่างหาก

“ผมดีใจนะครับที่คุณชอบ”

“อร่อยดี ไม่หวานเกินไป กลิ่นนมไม่โดดแล้วก็... เข้มข้น”

คำวิพากษ์วิจารณ์นมเย็นแก้วนี้ทำให้ไออุ่นเผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว

“คุณไวน์ ชอบเครื่องดื่มแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

คำถามที่ถูกถามออกมาราวกับเขาเป็นคนพิเศษ เร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น ใบหน้าคมคายนั้นเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆ หากแต่สายตาที่สั่นไหวยังคงมองออกไปนอกร้านเช่นเคย เขาพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้ดูมีพิรุธไปมากกว่านี้

“คุณทำอร่อย ผม... ชอบทุกอย่างที่คุณทำ”

คำตอบแสนจะเบาหวิวแต่ไออุ่นกลับได้ยินชัดทุกคำ แม้เฮเลนจะเคยบอกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามซึ่งมีลักษณะนิสัยแทบจะไม่เหมือนวิคเตอร์อาจจะเป็นเพียงเพราะความโหยหา คำนึงถึงของเขาเองที่ทำให้รู้สึกไปเองแบบนั้น แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่เป็นอะไร ต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่วิคเตอร์กลับชาติมาเกิด ต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะมีความเหมือนแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็นหรือต่อให้เขาเป็นคนที่ถูกผู้ชายคนนั้นเย็นชาใส่ หรือแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานในร่างมนุษย์ที่ไม่เคยสะท้อนอยู่ในดวงตาสีอำพันดวงนั้นก็ตาม

“ขอบคุณครับ”

ไออุ่นหยิบริบบิ้นมาพันรอบช่อดอกไม้ก่อนจะผูกให้เป็นโบว์ เขาทำช่อดอกไม้ให้กับไวน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ส่งมอบมันให้กับเจ้าของ ช่อดอกไม้ที่มีดอกกุหลาบสีชมพูแซมอยู่ในนั้น หวังว่าผู้ที่รับมันไปคงไม่โกรธที่วันนี้ช่อดอกไม้นั้นจะกลายมาเป็นแบบนี้

“ผม... ไม่รู้ว่าเหมือนเดิมของคุณคืออะไร คงไม่โกรธนะครับที่ผมเอาดอกลิลลี่กับดอกกุหลาบไว้ในช่อเดียวกัน”

ไออุ่นยื่นช่อดอกไม้ที่ทำเสร็จแล้วไปตรงหน้าไวน์ด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อยเพราะกลัวจะถูกโกรธที่ตัดสินใจทำลงไปโดยไม่ถามสักคำแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มให้แล้วรับดอกไม้ช่อนั้นเอาไว้ รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นจากคนๆ นี้มาก่อน ไออุ่นชะงักไปเล็กน้อยแล้วถอยหลังออกมาก่อนจะวิ่งเข้าไปหลังร้าน แต่ในจังหวะนั้นเขารู้สึกมีอะไรบางอย่างติดขัดอยู่ที่ข้อหัวเข่า ด้วยความเคยชินจึงก้มลงไปจับ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

น้ำเสียงห้วนๆ แต่แสดงถึงความห่วงใยดังมาจากทางด้านหลัง ไออุ่นจำต้องหันกลับไปแล้วฝืนยิ้มส่งไปให้เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นคือตัวเขาเองรู้สึกเหมือนอะไหล่ตรงข้อหัวเขามันเริ่มหลวมทำท่าจะหลุดจึงส่งเสียงดังก๊องแก๊งเป็นการเตือน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ปวดเข่านิดหน่อย คนมีอายุก็เป็นซะแบบนี้แหละครับ”

ไออุ่นรีบบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้านแล้วรีบกลับออกมาพร้อมกับกระบอกใส่น้ำที่เต็มไปด้วยนมเย็นในส่วนที่เหลือ เขายื่นมันไปตรงหน้าไวน์ทันทีที่เดินออกมาราวกับจะยกให้ ไวน์ทำท่าจะไม่รับ เขาไม่รู้เหตุผลว่าที่ยื่นมาให้นี่เพราะอะไรกัน

“รับไปเถอะครับ เห็นคุณบอกชอบ ผมเลยยกส่วนที่เหลือให้คุณ”

ไวน์ทำท่าอึกอัก จะรับแต่ก็ไม่รับเหมือนกับตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้

“รับไปนะครับ”

ไออุ่นยังยื่นกระบอกน้ำไปตรงหน้าอย่างมีความหวัง ในท้ายที่สุดไวน์ก็จำต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณนะ แล้วค่าดอกไม้เท่าไร”

“ผมให้ครับ”

“เอ๊ะ?”

ไวน์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกดอกไม้ช่อนั้นให้จึงมีสีหน้าแปลกใจ ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วและแรงพอที่จะทำให้คนทั้งคู่พร้อมใจกันหันไปยังต้นตอของเสียง

“เบฟ! ทำไมกลับมาตอนนี้ โดดเรียนเหรอ”

“จะโดดเรียนได้ยังไงล่ะครับ อาจารย์ติดประชุมด่วนเลยยกเลิกคลาส แล้วพี่อุ่นก็บอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าให้รีบกลับ”

เบฟเดินอ้อมหลังไออุ่นไปวางกระเป๋ากับหนังสือเรียนลงบนโต๊ะว่างแต่สายตายังคงพยายามจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด ไออุ่นไม่รู้จะตอบยังไงเพราะเป็นเขาเองที่บอกให้เบฟรีบกลับมาแต่เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรีบกลับมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าผิดจากที่คาดการณ์ไปเล็กน้อย

“เอ่อ...”

เสียงของไวน์เรียกให้ไออุ่นหันกลับมามอง เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วย้ำสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไปแล้วอีกครั้ง

“รับเอาไว้เถอะนะครับ ถือว่าผมทำให้”

ไวน์ทำหน้าบอกไม่ถูกเหมือนจะดีใจแต่ก็นิ่งเฉยในขณะเดียวกัน

“แต่...”

“ถือซะว่ามันเป็นค่าเสียหายที่ผมทำแล้วไม่ถูกใจคุณก็แล้วกันนะครับ”

เบฟรู้สึกแปลกๆ ในคำพูดของไออุ่นเสียเอง เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วเดินย้อนกลับมา ไออุ่นไม่เคยทำพลาดและต่อให้พลาด คนที่สั่งยังยินดีรับเสมอโดยที่ยังคงจ่ายเงินเต็มจำนวนอย่างไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่คราวนี้กลับแปลกไป ฝ่ายนั้นดูไม่เหมือนคนที่ได้รับของผิดออเดอร์แต่ไออุ่นกลับพูดราวกับว่าตัวเองทำไม่ได้ดั่งใจคนสั่ง

“ช่อนั้นพันสองร้อยบาทครับ แต่ถ้ามันผิดจากที่คุณลูกค้าสั่งและยินดีที่จะรับมัน ทางเราจะลดให้ครึ่งราคา”

ไออุ่นได้แต่มองเบฟด้วยสายตาอ่อนใจแต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ ดูจากสถานการณ์ที่เหมือนจะเริ่มตึงเครียด ไวน์จึงจ่ายเงินค่าดอกไม้ช่อนั้นเต็มจำนวน แต่ก่อนจะลุกจากไป เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากหนึ่งครั้งราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ กระบอกน้ำที่เต็มไปด้วยนมเย็นฝีมือของไออุ่นถูกชูขึ้นมาในระดับที่พอจะให้เบฟได้เห็น ริมฝีปากบางเฉียบยกยิ้มเพียงเล็กน้อยอีกครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยออกมาเบาๆ “ขอบคุณสำหรับนมเย็นที่ทำให้นะครับ มันอร่อยมาก”
ไออุ่นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขานึกว่าฝ่ายนั้นจะทำเป็นเมินเฉยแต่กลับกลายเป็นว่าคนคนนั้นทั้งยิ้มให้ทั้งเอ่ยขอบคุณ ถ้าไออุ่นมีหัวใจเหมือนคนทั่วไปมันคงพองโตอย่างน่าประหลาด แต่ในขณะเดียวกันนั้นคำพูดของไวน์กลับสร้างความฉุนเฉียวในใจลึกๆ ให้กับเบฟได้เป็นอย่างดีราวกับมีดที่กรีดถูกแผลเดิม

“เดี๋ยวผมเปิดประตูให้นะครับ ดูเหมือนมือคุณจะไม่ว่างน่ะ”

ในขณะที่ไออุ่นกำลังจะเดินไปเปิดประตูให้ เบฟก็รีบทำตัวเป็นเด็กดีรีบเข้าไปเปิดประตูแทน เขายิ้มอย่างนอบน้อมเชิญชวนให้ไวน์พาตัวเองออกจากร้านให้ไวก่อนจะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราวกับจะข่มขู่กันอย่างไม่เกรงกลัว “อย่าคิดว่าจะเอาตัวเขาไปได้ง่ายๆ นะครับ”

ไวน์เพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากร้านไปโดยที่ไมได้พูดอะไรต่อ


** ติดตามตอนต่อไป **



sirin_chadada
ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวตอนหน้าก็ได้รู้แล้วค่ะว่าเบฟจะอาละวาดขนาดไหน หรือออาจจะไม่เลย

TIKA_n
เราเองก็ไม่ค่อยชอบเบฟเหมือนกัน เหมือนคนหวงของ หวงไออุ่น ไม่อยากยกให้ใคร ไม่อยากให้ใครมาแตะมายุ่ง แบบไออุ่นเป็นของเขานะอะไรทำนองนี้
คงเพราะอยู่กับไออุ่นแค่สองคน มีกันแค่สองคน เขาเลยกลายเป็นคนแบบนี้ เขียนเองแล้วแอบหงุดหงิดเอง
เบฟจะเป็นพระเอกของเรื่องไหม ต้องแบบ... ดูกันไปค่ะ
แต่เราเชียร์ไวน์สุดตัวมาก ช่วยอยู่เชียร์เป็นเพื่อนกันก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ

alternative
หลังจากที่ได้อ่านคอมเม้นท์แล้ว... เราเลยย้อนกลับไปหาดู จำได้ว่าเหมือนจะเห็นอยู่ อันนี้มาจากตอนที่3 ค่ะ
'เบฟเดินกอดร่างที่สูงกว่าไปตลอดทางที่เข้าไปข้างหลังร้าน เขาแค่อยากเป็นเด็กให้ถูกรักเหมือนที่เคยเพียงเพราะรู้ว่าเมื่อเด็กตัวน้อยคนนี้เติบโตขึ้น สิ่งที่เคยได้รับมาตลอดก็อาจจะเปลี่ยนไปจนท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นความห่างเหินที่ไม่อาจต่อกันติดอีกแล้ว เขาเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดแบบนั้นมาก่อน'

เลยกลายเป็นว่าเบฟเลยทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กตอนที่อยู่ต่อหน้าไออุ่นทั้งที่ตัวเองโตแล้ว ส่วนอายุไวน์ในเรื่องก็ 30 แล้วอ่ะค่ะ อายุของเบฟคือเด็กมหาวิทยาลัย
ส่วนทำไมเบฟอยู่กับไออุ่นแล้วกลายเป็นเหมือนเด็ก เขาเป็นคนมีปมค่ะ เรียกว่าปมได้ไหมนะ? ประมาณว่าเขาก็มีเหตุผลของเขาที่ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ตอนอยู่ต่อหน้าไออุ่น แต่พอลับหลังก็กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย
ส่วนเหตุผลหรือปมที่ว่านั้นจะถูกเฉลยเอาตอนท้ายเรื่องค่ะ
ขอบคุณมากนะคะที่ทักเตือนมา เพราะเราเองก็คิดว่าที่เขียนออกมามันดีแล้วแต่บางทีมันก็เป็นการมองในมุมๆ เดียว มีอะไรที่เห็นต่างบอกได้เลยนะคะ  ยินดีรับฟังทุกสิ่งอย่างเลยค่ะ

พิศตะวัน
ขอบคุณนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อุ่นน่ะ ฉันจะร้องไห้แล้วนะ!

สงสารเบฟต่อไป

หมั่นไส้ไวน์ด้วย ท่ามาก!

ปล. ขอบคุณที่ชี้แจงค่ะ ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติม

เรื่องสเตซี่และรุ้งมาขอเบฟกลับไปเลี้ยงดู ตรงนี้ดูขัดกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะเบฟเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว นั่นคืออายุ 19 ปีขึ้นไป ในวัฒนธรรมตะวันตก (ที่สเตซี่โตมา) การเรียนจบไฮสคูลคือช่วงเตะโด่งออกจากบ้าน เพราะถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ดูตนเอง ลัษณะของเบฟเองก็แสดงท่าทางเด็ก ๆ เพียงตอนอยู่กับอุ่นเท่านั้น  การจะพากลับมา "เลี้ยงดู" เพราะหวังชดเชยที่ห่างเหินไป มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควรค่ะ

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ BlueSora
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2017 22:36:45 โดย alternative »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก็อยากจะเชียร์ไวน์อยู่หรอกนะคะ แต่พ่อคุณขี้เขินแล้วชอบทำปั้นปึ่งเหลือเกิน เวลาของอุ่นเหลือไม่มากแล้ว ถ้าเชียร์คุณไวน์จริงไม่รู้จะทันไหม นี่มาสั่งดอกไม้หลายทียังได้คุยแค่นี้เองง่ะ ดูเหมือนความสัมพันธ์จะคืบหน้าช้าเหลือเกิน แต่ที่ได้เปรียบคือดูท่าแล้วอุ่นจะมีความรู้สึกพิเศษให้นี่ล่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
แอบเชียร์ไวน์อยู่นะคะ (ชูป้ายไฟ)
ไม่ค่อยชอบเบฟเลย นางดูเป็นเด็ก เด็กเกินไป เป็นเด็กหวงของ โดยเฉพาะหวงอุลมากเกินไปด้วยค่ะ  อยากให้ความสัมพันธ์ของเบฟและอุลเป็นได้แค่คนในครอบครัว สถานะเปรียบเหมือนพ่อลูก หรือ พี่น้อง แต่ก็รอติดตามค่ะว่าใครจะเป็นพระเอก

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ชอบการพูดคุยกับดินฟ้าอากาศของคุณไวน์ 555  คนอะไรเขินน่ารักอ่ะ หน้าแดงด้วย ชอบ  :-[
แต่เพราะการไม่กล้าแสดงออกของคุณไวน์ ไออุ่นก็เลยคิดว่าโดนทำเย็นชาใส่ซะงั้นอ่ะ โถ
ไออุ่น รู้สึกจริง ๆ กับเบฟยังไงไม่รู้  ใครนั่งอยู่ในใจไออุ่นจริง ๆ ก็ไม่สน
ยังไงก็ยังคงเชียร์คุณไวน์ สุดใจขาดดิ้นเลย 
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 7    

หลังจากที่ไวน์ออกจากร้านไปแล้ว ไออุ่นก็เดินไปล็อคประตู พลิกแผ่นป้ายหน้าร้านจากคำว่า ‘OPEN’ เป็นคำว่า ‘CLOSE’ จากร้านที่ไม่เคยปิดหรือหยุดพัก หากไม่นับช่วงที่ถูกสเตซี่ชวนไปเยี่ยมเฮเลน ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็จะปิดแค่เฉพาะช่วงที่ถึงเวลาแล้วเท่านั้น

“ป๊ะป๋า~ ทำไมปิดร้านเร็วนักล่ะครับ คิดถึงเบฟเหรอ”

เด็กหนุ่มเข้าไปโอบกอดร่างของไออุ่นจากทางด้านหลังแม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่าเพียงเล็กน้อย แม้ว่าแผ่นหลังของไออุ่นจะไม่ได้อุ่นสมชื่อ มันเย็นเฉียบเสียจนถ้าไม่มองหน้าหรือพูดคุยก็คงจะคิดว่าร่างนี้เป็นร่างที่ไร้ชีวิตไปแล้ว

“คิดถึงสิครับ แต่... ป๊ะป๋ามีเรื่องสำคัญจะพูด”

ไออุ่นยิ้มอ่อน แตะมืออีกฝ่ายที่โอบกอดเอวเขาเอาไว้เบาๆ ขยับใบหน้าออกห่างเล็กน้อยเพื่อที่จะเอี้ยวตัวกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาราวกับเด็กสามขวบทำให้เบฟต้องค่อยๆ คลายแรงกอดแล้วปล่อยออกมาในที่สุด

“เบฟก็มีเรื่องสำคัญจะพูดเหมือนกันแต่ให้ป๊ะป๋าพูดก่อนก็แล้วกัน”

ไออุ่นถอนหายใจเบาๆ จับมือของเบฟแล้วพาขึ้นไปนั่งคุยกันบนห้องนอนของตัวเขาเอง ในระหว่างทางที่เดินกันอยู่นั้นเขาต้องพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ไม่จำเป็นต้องสวยหรูแต่ต้องเป็นคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจคนฟังให้ได้น้อยที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็คงต้องเสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

“เบฟ...”

ไออุ่นทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนเมื่อขึ้นมาถึงบนห้อง เอ่ยเรียกชื่อลูกชายสุดรักสุดหวงแหนด้วยเสียงอันเบาหวิว

“เบฟรักแด๊ดกับแม่ไหมครับ”

เบฟคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วพยักหน้าช้าๆ

“เบฟรักป๊ะป๋าไหมครับ”

เบฟพยักหน้าอีกครั้ง เขารักไออุ่นมากกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น

“ถ้า...” ไออุ่นนิ่งไปสักครู่ พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “ถ้าเบฟต้องเลือกระหว่างแด๊ดกับป๊ะป๋า”

คำถามของไออุ่นช่างเป็นคำถามที่บีบคั้นหัวใจของคนที่นั่งอยู่ข้างล่าง คนหนึ่งคือผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคนก็เป็นดั่งชีวิตของเขา สีหน้าของเบฟแสดงความเจ็บปวดออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง คำถามนี้มีคำตอบแต่กลับตอบออกไปไม่ได้ เพียงเพราะรู้ว่าตัวเองจะตอบอะไรและผู้ถามคาดหวังคำตอบแบบไหน

“ถ้าผมไม่เลือกล่ะ”

‘ถ้าผมไม่เลือกล่ะ’ ... คำตอบที่เห็นแก่ตัวราวกับจะอยากเก็บไว้ทั้งสอง หากแต่ความจริงแล้วเบฟเพียงต้องการปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ปกป้องความรู้สึกของไออุ่น ถ้าตอบออกไป เราทั้งคู่ย่อมเสียใจแน่

“เบฟ...”

เสียงของไออุ่นฟังดูอ่อนลงไปมากราวกับจะทอดถอนใจให้กับความดื้อด้านของอีกฝ่าย

“อุ่นก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ยังจะให้ผมตอบอะไรอีก”

สรรพนามที่เคยใช้เรียกเปลี่ยนไป น้ำเสียงที่ใช้ฟังดูจริงจังมากขึ้น ไม่ทะเล้น ไม่ขี้อ้อนเหมือนอย่างที่ผ่านมา แววตาที่สะท้อนมาจากเบื้องล่างทำเอาหัวใจของไออุ่นสั่นไหว เด็กที่เขาเรียกว่าลูกชายมาตลอด... ไม่คิดว่าจะรู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่าสถานะของพ่อกับลูกอย่างที่ควรจะเป็น

“บะ... เบฟ”

“ผมรักอุ่นมาก รักเท่าชีวิตของผม ถ้ามันจำเป็นต้องเลือกระหว่างพ่อกับคนรัก...”

“อะ... อะไรนะ! คนรัก?”

เบฟก้มหน้าลงซบตักของคนที่นั่งอยู่บนเตียง เขากลัวว่าถ้าหากเงยหน้าขึ้นมา สบเข้ากับดวงตาสีหยกคู่นั้นจะทำให้หัวใจเขาสั่นคลอนจนร้องไห้

“อุ่น... ขอโทษนะ ขอโทษ”

ไออุ่นทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่กลับพูดไม่ออกราวกับมีบางสิ่งกำลังดูดกลืนเสียงของเขาเอาไว้ ภายในใจยังคงสับสนวุ่นวาย หลากหลายเรื่องราวตีรวนอยู่ในสมองจนจับต้นชนปลายไม่ถูก เขารู้เสมอว่าเบฟรักและห่วงใยในสิ่งที่เขาเป็นแต่กลับไม่ได้คาดคิดเลยว่าภายใต้สิ่งเหล่านั้นกำลังแอบซ่อนบางสิ่งอยู่

“อุ่น อย่าเพิ่งพูดอะไร ช่วยรับฟังก่อนได้ไหม”

“.........”

“ผม... ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ไปอาจทำให้อุ่นเกลียดผมไปตลอดชีวิต แต่ผมรักอุ่น อยากมีอุ่นอยู่ข้างๆ ตลอดไป จะไม่รักผมตอบก็ช่าง จะเกลียดผมก็ไม่เป็นไร จะทำเป็นเมินเฉยกันไปเลยก็ได้แต่ขอแค่ให้ผมได้รักอุ่นได้ไหม... อย่าผลักไสกันไปเลยนะ”

ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งคู่เมื่อเสียงของเบฟเงียบไป

“ผมขอโทษนะ อุ่น”

น้ำเสียงที่สั่นเครือเบาหวิวพร้อมจะหายไปในอากาศ เบฟยังคงก้มหน้านิ่งซบลงบนตักของไออุ่นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมามอง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะมองด้วยสายตาที่รังเกียจหรือตัวตนของเขาในแววตาของไออุ่นจะถูกลบเลือนหายไป ใจมันสั่นไหวแปลกๆ

“ผมขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ป๊ะป๋า... ไม่สิ อุ่น... อุ่นไม่โกรธ ไม่เกลียดเบฟหรอก”

ไออุ่นแนบใบหน้าลงกับเรือนผมของอีกฝ่าย สูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อจะได้พูดต่อไป

“อุ่นจะไปรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง จริงไหม? เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรักที่อุ่นมีให้จะไม่เปลี่ยนแปลง ยังรักเบฟเหมือนวันแรกที่เจอกัน ยังคิดถึงและห่วงหาเหมือนที่ผ่านมาแม้ตอนนี้จะอยู่ในสถานะเดิมไม่ได้อีกแล้วก็ตาม”

ไออุ่นดีเกินไป... ดีเกินไปจนเบฟรู้สึกผิด

“ผมขอโทษจริงๆ”

“ขอโทษมากไปแล้วนะ”

ไออุ่นยังคงซบหน้าอยู่กับเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน เขายิ้มไม่ออก หัวเราะไม่ได้ราวกับตัวเองกำลังถูกดูดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง เฝ้าบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆ ว่าไม่เป็นไร จะให้เขาเป็นอะไรก็ได้ในสายตาของเบฟ จะเป็นคนรักหรือเป็นพ่อหรือเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้ ขอเพียงสุดท้ายแล้วเบฟมีความสุขก็เป็นสิ่งที่เขาพึงพอใจที่สุดแล้ว

“เพื่อเบฟแล้ว อุ่นเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ต้องขอโทษแล้วนะ”

ไออุ่นเงยหน้าขึ้น นั่งตัวตรงในขณะที่เบฟค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขากล้ามากพอที่จะจ้องมองดวงตาสีหยกคู่นั้นแล้ว

“เบฟ... จริงๆ แล้วอุ่นควรเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า ขอโทษนะ”

“.........”

“ขอโทษที่สุดท้ายแล้วเบฟ...” จู่ๆ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ที่คอจนเปล่งเสียงออกไปไม่ได้ ความขาดห้วงที่มีอยู่ทำให้ไออุ่นอยากร้องไห้แต่ตุ๊กตาไขลานย่อมไม่มีน้ำตาแม้ว่าจะให้เสียใจมากเท่าไรก็ตาม กว่าจะพูดออกมาเป็นคำต่อจากประโยคเดิมได้ น้ำตาก็ท่วมท้นหัวใจทั้งดวงไปแล้ว “เบฟ... ต้องไปอยู่กับแด๊ดนะ”

“อะ... อะไรนะ!”

ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะเข้าอย่างจัง หลังจากได้ยินคำพูดของไออุ่นแล้วหัวสมองของเบฟก็ขาวโพลนไปหมด

“แด๊ดกับรุ้งบอกว่าอยากเลี้ยงเบฟเอง”

สายฟ้าเส้นที่สองผ่าเปรี้ยงลงมากลางใจ ไม่ต้องพูดอะไร เบฟก็เข้าใจเรื่องราวต่อจากนี้

“มะ... ไม่! อย่าให้เราต้องจากกันเลยนะ”

ไออุ่นดึงเบฟเข้ามากอดเอาไว้ราวกับจะปลอบโยนให้หายจากความเจ็บปวด แต่เขาทำอะไรไม่ได้กับความจริงที่ว่าตัวเขาเองเป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้สเตซี่และรุ้งรับช่วงต่อดูแลเบฟโดยไร้คำโต้แย้งใดๆ หากในวันนั้นเขารวบรวมความกล้าปฏิเสธออกไป เรื่องราวในวันนี้คงไม่เกิดขึ้นและพวกเขาจะมีสถานะเป็นเพียงแค่พ่อลูกกันเท่านั้น

“เบฟ อาทิตย์หน้าแด๊ดจะมารับนะ”

“แล้วอุ่นล่ะ ผมทิ้งให้อุ่นอยู่คนเดียวไม่ได้”

เบฟเงยหน้าขึ้นมอง แววตาสีหยกคู่นั้นดูเจ็บปวดไม่แพ้กันแต่ฝ่ายนั้นกลับนิ่งเฉยราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นแต่ตัวเขาเองกลับไม่เข้าใจว่าทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ทำไมถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำไมถึงยังปล่อยให้เขาต้องเสียใจ

“ไม่เป็นไร อุ่นอยู่ได้”

“อยู่... ไม่ได้”

“รู้ได้ยังไง อุ่นอยู่ได้ แค่นี้สบายมาก” ไออุ่นพยายามยิ้มแต่เบฟกลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเอามากๆ “ลูกก็ควรจะต้องอยู่กับพ่อแม่ไม่ใช่หรือไง ไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกเขาจะคิดถึงแค่ไหน"

“แล้วไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมจะคิดถึงอุ่นแค่ไหน”

“คิดถึงก็โทรมาสิครับ”

เบฟได้แต่มองหน้าคนพูดนิ่งงันไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นมายืนประจันหน้า สิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีหยกคู่นั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาเอง หากแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าอันแสนอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังจะปลอบประโลมหัวใจที่รวดร้าวดวงนี้ เขาฝืนยิ้มตอบกลับไปให้อย่างจนใจ

“ถ้าอุ่นไม่อยู่แล้วผมจะกอดใคร จะมีใครจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ก่อนอนได้อบอุ่นเหมือนอุ่น แล้วใครจะช่วยไขลานที่ข้างหลังให้อุ่น จะมีใครเห็นเรื่องของอุ่นสำคัญเป็นที่หนึ่งเหมือนผมอีกไหม จะมีใครรักผมเท่าอุ่นอีกไหม...”

น้ำเสียงของเบฟขาดหายไป เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จะพูดก็พูดไม่ออก จะหายใจแต่ละทีก็ยังลำบาก แต่แล้วน้ำใสๆ ก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีฟ้าครามที่ยังคงฉายแววแห่งความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้

ไออุ่นเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างดีแต่เขาทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงแค่ยอมรับความจริง เบฟไม่มีวันได้อยู่กับเขาไปตราบเท่าชีวิตหากพ่อแม่ที่แท้จริงยังคงอยู่ เขาไม่มีสิทธิ์รั้งเด็กคนนี้เอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง

“เบฟ… ฟังนะ”

ไออุ่นแหงนหน้ามองร่างที่บัดนี้ยืนอยู่สูงกว่า

“อุ่น… อยากให้เข้าใจว่าที่ทำแบบนี้ก็เพราะอุ่นเข้าใจในสถานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกของตัวเอง พวกเขาแค่ต้องการสิ่งที่พวกเขารักกลับคืนไป หากไม่รัก ไม่ใส่ใจ มองว่าเบฟเป็นภาระสำหรับพวกเขา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรับเบฟกลับคืนไปก็ได้ ยังไงก็ตาม… เพราะเบฟเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขา”

“ถ้ารักกันจริง ทำไมถึงได้ปล่อยทิ้งไว้กับอุ่นเกือบทั้งชีวิต ติดต่อมาก็แทบนับครั้งได้”

เบฟหลุดถามออกมาในสิ่งที่เขาแคลงใจมาโดยตลอด ในขณะที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่เขาเสียใจมากที่สุดแล้วล่ะมั้ง

“พวกเขามีเหตุผล”

“เหตุผลอะไร”

“ขอโทษนะที่บอกได้เท่านี้”

ถ้าหากไออุ่นมีน้ำตา เขาคงร้องไห้ออกมาไม่หยุดเช่นกัน ความเจ็บปวดที่ไม่มีทางระบายมันอัดแน่นอยู่ในความรู้สึกจนทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนเกินการควบคุม เขาไม่เคยรู้สึกแย่เช่นนี้มาก่อนตลอดช่วงการใช้ชีวิตในฐานะตุ๊กตาไขลานที่มีความรู้สึกและคิดเป็น

“อุ่น! อุ่น!”

เบฟตกใจกับอาการของไออุ่นที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ไม่รู้วิธีการรับมือ ได้แต่โผเข้ากอดเอาไว้แนบกายหวังให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลาย ไม่นาน… สิ่งที่ไออุ่นเป็นอยู่ก็ค่อยๆ สงบนิ่งลงอย่างช้าๆ

“พอแล้ว… อุ่น พอแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว”

ยิ่งเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับไออุ่นผู้ที่เบฟรักสุดหัวใจ หัวใจของเขาก็ปวดหนึบขึ้นมาเสียดื้อๆ ขอเพียงแค่เศษเสี้ยวเวลาเล็กๆ ให้เขาได้แบกรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้บ้างก็ยังดี

“ผม… ผมจะไปอยู่กับแด๊ดอย่างที่อุ่นต้องการ”

“……..”

“อะไรที่ทำให้อุ่นมีความสุข ผมยอมทำทุกอย่าง ขอเพียงอย่างเดียวได้ไหม อย่าเก็บความทุกข์ไว้กับตัวเอง ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา อยู่กับผมน่ะอ่อนแอบ้างก็ได้นะ เพราะผมชอบที่อุ่นเป็นแบบนั้น มันรู้สึกเหมือนผมได้ปกป้องคนที่ผมรักบ้าง…”

เบฟยังคงกอดร่างของไออุ่นไว้แนบแน่นในขณะที่พรั่งพรูความรู้สึกของตัวเองออกมา ไออุ่นทำได้แค่เพียงกอดตอบแต่ไม่อาจแบ่งเบาสิ่งที่อยู่ในใจไปให้กับใครได้

“เบฟ…”

“นะครับ”

“จะพยายามนะ”

ไออุ่นไม่รู้จะพูดอะไร คำว่า ‘จะพยายาม’ ก็แค่รับปากออกไปส่งๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้สบายใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังเผยมุมที่อ่อนแอออกมาให้ได้เห็น หากแต่แท้จริงแล้วก็คือคำลวง

“รู้ไหมครับว่าผมรักอุ่นที่สุด ไม่มีอุ่นอยู่ด้วย… ผมก็อยู่ไม่ได้หรอกนะ”

ไออุ่นไม่อยากนึกถึงวันนั้น วันสุดท้ายของการเคลื่อนไหวของลานที่อยู่ในตัวเพราะมันคงเจ็บปวดเหลือคณานับเฉกเช่นเดียวกับวันที่วิคเตอร์จากไปโดยที่เขาได้แต่เฝ้ารออย่างมีความหวัง

“เบฟ…”

“อุ่นคงเหนื่อยแล้ว นอนพัก หลับตาสักหน่อยนะครับ”

เบฟผละออกจากร่างที่กอดเอาไว้ ค่อยๆ จับตัวไออุ่นให้นอนราบลงไปกับเตียง ดวงตาสีฟ้าครามมองดูร่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสารและทั้งรักจับใจ

“หลังจากนี้… เรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขก่อนถึงวันที่เราจะแยกจากกันเถอะนะครับ”

“อืม”

คำตอบรับของไออุ่นแม้จะเบาแสนเบาแต่กลับช่วยชโลมหัวใจที่ปวดร้าวให้มีรอยยิ้มขึ้นมาได้บ้าง เบฟทิ้งตัวลงนอนทับทั้งร่างราวกับจะขอบคุณที่ยังให้โอกาสตัวเขาได้มีความสุข

“ถ้าอุ่นเป็นคน ป่านนี้คงตายไปแล้วล่ะ"


“หืม?”

เบฟขืนตัวขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะจ้องไปยังดวงตาสีหยกด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็…” ไออุ่นเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “เล่นทิ้งตัวลงมาขนาดนี้ ขยับไม่ได้เลย”

“โอ๊ะ! ขอโทษครับ”

เบฟทำท่าจะลุกขึ้นแต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงรั้งเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอก นอนอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

“งั้น… วันนี้ปิดร้านเลยนะครับ”

ไม่ต้องบอกให้ปิดร้าน ไออุ่นก็ตั้งใจไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“แล้วเราจะทำอะไรกันดี”

“ไม่ทำครับ อยากนอนกอดอุ่นแบบนี้ไปนานๆ”

ไออุ่นยอมให้เบฟกอดอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้รู้สึกหนักหรือทรมานอะไร เพียงแค่ขยับตัวลำบากเท่านั้น ดูเหมือนเขาเพิ่งจะเห็นข้อดีจริงๆ ของการเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตเข้าแล้ว

“เบฟช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่ากี่โมงแล้ว”

เมื่อได้ยินไออุ่นถามถึงเวลา เบฟจึงขยับตัวออกมาและเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเขาเองอาจทำความลำบากให้กับคนที่นอนอยู่ข้างใต้ เพียงแต่ไออุ่นก็ยังคงเป็นไออุ่นที่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง

“ขอโทษนะ เมื่อกี้คงทำให้อุ่นอึดอัดแย่”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่… กี่โมงแล้วครับ”

ไออุ่นไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร พอเบฟขยับตัวออกมา เขาจึงเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่งที่เอาหลังพิงกับหัวเตียง นาฬิกาที่อยู่ในห้องมีเพียงเรือนเดียวซึ่งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่นอนจ้องเพดานและขยับไปไหนไม่ได้

“บ่ายสอง… ยี่สิบห้า”

“สนใจจะเป็นลูกมืออุ่นทำข้าวเย็นไหม”

“ตอนนี้เหรอครับ”

“อืม”

เบฟพยักหน้า เขาลุกออกมาจากตัวของไออุ่นแล้วเดินไปยืนรออยู่ที่ปลายเตียงแม้ในใจลึกๆ ยังคงอยากที่จะกอดไออุ่นไปแบบนี้อีกสักพัก แต่เมื่อถูกชวน เขาก็ไม่อยากปฏิเสธเช่นกัน

“แล้ววันนี้อุ่นจะทำอะไรครับ”

“อยากกินอะไรล่ะ”

ไออุ่นลุกขึ้นจากเตียง จัดเสื้อผ้าที่ยับให้เข้าที่

“ได้ทุกอย่างที่อุ่นเป็นคนทำ”

“ข้าวกับไข่ต้ม น้ำปลาพริกเนอะ”

ไออุ่นแกล้งพูดกวนประสาทพลางเหลือบสายตามองดูปฏิกิริยาของคนที่บอกรักเขาปาวๆ เมื่อครู่ ใบหน้าลูกครึ่งดูเหวอไปถนัดด้วยเพราะคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำเมนูง่ายๆ ขนาดปล่อยให้เด็กประถมทำคนเดียวยังได้

“อุ่น~ เอาจริงเหรอ”

“อืม… ก็อยากทำอะไรง่ายๆ บ้าง เบฟไม่ชอบเหรอครับ”

น้ำเสียงสลดลงเล็กน้อย ดวงตาสีหยกช้อนมองร่างที่ทำท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อว่ามื้อเย็นจะมีเพียงแค่ไข่ต้มกับน้ำปลาพริก แต่ทว่าเพียงแค่เห็นสายตาที่มองมากับท่าทางของไออุ่น เขาก็เผลอยิ้มออกมาแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเขาเองสารภาพรักไปก่อนหน้านี้มันคงจะดีกว่านี้มาก

“ชอบสิ ผมชอบทุกอย่างที่อุ่นทำนั่นแหละ”

“งั้นช่วยลงไปตั้งน้ำให้หน่อยได้ไหม เดี๋ยวอุ่นขอจัดเตียงก่อน เห็นผ้าปูมันยับแล้วขัดใจนิดหน่อยน่ะ”

“ก็ได้ครับ”

เบฟเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายที่กำลังยืนจัดผ้าปูเตียงเสียใหม่ เมื่อได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา เขาก็อุ่นใจ เดินลงไปตั้งน้ำสำหรับต้มไข่ได้อย่างสบายใจที่สุดราวกับได้ปลดล็อคทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนาน
ไออุ่นมองแผ่นหลังอันกว้างใหญ่เดินจากไปจนลับสายตา เขาจึงพูดกับตัวเองด้วยเสียงอันเบาหวิวราวกับจะขาดอากาศหายใจ

“เบฟ… ขอบคุณนะที่ชอบทุกสิ่งที่อุ่นทำ มันก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแต่หลังจากนี้อุ่นก็คงกลายเป็นคนที่ถูกเกลียด”

ไออุ่นนั่งลงกับเตียงที่ถูกขึงใหม่จนตึงเรียบแล้ว เขาทำได้แต่กอดปลอบตัวเองเอาไว้แนบแน่น แค่คิดถึงอนาคต คิดถึงสิ่งที่จะทำหลังจากที่เบฟได้ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ เขาคงกลายเป็นคนที่ถูกลืมเข้าสักวัน
ไออุ่นไม่ได้เข้มแข็งพออย่างที่พยายามมาโดยตลอด เขาเพียงแค่อยากเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นภาระของใคร ในบางครั้งสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจก็กลายเป็นแรงผลักดันให้อยากร้องไห้ แต่น่าเสียดายที่ต่อพยายามเท่าไรน้ำตาก็ไม่ไหลสักหยด สิ่งที่ถูกเก็บไว้และไม่ได้รับการบรรเทาค่อยๆ กัดกินความรู้สึกของเขาอย่างช้าๆ

“อุ่นขอโทษนะ อุ่น… ขอโทษถ้าสักวันหนึ่งจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายคนที่รักอุ่นมากที่สุด ขอโทษนะ เบฟ… ขอโทษจริงๆ”

ไออุ่นนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ไม่ใช่การย้ำคิดย้ำทำ หากแต่กำลังกำจัดสิ่งที่ทำให้ตัวเองทุกข์ใจออกไปทีละอย่าง เพื่อความสุขของเบฟ เพื่อความสุขของกันละกันอันแสนสั้น




เบฟลงมาต้มน้ำใส่ในหม้อไว้ให้กับไออุ่น ความรู้สึกเป็นสุขที่ท่วมท้นอยู่ในใจพลอยทำให้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีไปเสียหมด ไม่ว่าเขาจะเผลอทำน้ำหกตอนที่กำลังรองน้ำใส่หม้อ หรือเผลอทำไข่แตกไปหนึ่งฟองเพราะคิดว่ามือของตัวเองใหญ่พอที่จะหยิบไข่สามฟองพร้อมกันได้ ไม่คิดแม้กระทั่งว่าถ้าไออุ่นลงมาเห็นสภาพห้องครัวที่เกือบจะเละเทะจะต้องโดนเอ็ดแน่

“เบฟ! นี่มันอะไรกัน แค่ต้มน้ำ”

“แค่ต้มน้ำนี่แหละครับ”

เบฟยังคงตีหน้ามึน ยิ้มแย้ม เช็ดน้ำที่หกเลอะพื้น

“ถ้าอุ่นไม่กลัวขึ้นสนิมก็คงช่วยแล้วล่ะ”

ไออุ่นพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ เขาจะพยายามทำให้ตัวเองมีความสุขเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายกำลังมีความสุขอยู่ในขณะนี้

“นั่งลงแล้วรอดูผมโชว์ฝีมือต้มไข่กับทำน้ำปลาพริกนะ”

“เบฟทำมันจะกินได้เหรอ”

ถึงเบฟจะเคยเป็นผู้ช่วยชิมแต่การลงครัวทำอะไรด้วยตัวเองอย่างจริงจังก็เพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรก ปกติแล้วถึงไออุ่นจะไม่ค่อยถูกกับน้ำแต่เขามักจะใส่ถุงมือกันเปื้อนเอาไว้ตลอดเวลาที่ทำกับข้าวหรือบางครั้งที่ต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ

“ต้องลองครับ”

“ถ้ามันไม่ได้เรื่อง อุ่นคงช่วยอะไรไม่ได้นะ”

“ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมกินฝีมือห่วยๆ ของตัวเองสิครับ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้สารภาพความในใจออกไปจนหมดแล้วหรือเปล่า เบฟถึงได้ดูผ่อนคลายและมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขาเดินไปหยิบเศษไข่ที่แตกอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทิ้งมันลงไปในถังขยะแล้วเอาผ้ามาเช็ดคราบเหนียวออกไป

“ถ้าแค่ต้มไข่กับทำน้ำปลาพริกออกมาแล้วกินไม่ได้ อุ่นว่า… ฝีมือเบฟคงเข้าขั้นแย่มากจริงๆ”

“ผมยังไม่ได้ทำเลยนะครับ อย่าเพิ่งดูถูกกันสิ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้ม เบฟในตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยจนเขารู้สึกแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังเป็นเด็กงอแง ขี้อ้อนคนหนึ่งแต่พอได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นราวกับว่าก่อนหน้านี้เด็กคนนั้นพยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้ภายใต้ตัวตนของความเป็นเด็ก

“ตั้งแต่เมื่อไร”

“ครับ?”

เบฟหันหน้ามามองอย่างงุนงง เขาไม่ค่อยเข้าใจคำถามเท่าไรนัก

“รู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
 
เบฟยิ้มและไม่ยอมตอบคำถามนั้นทันที แต่แกล้งทำเป็นสนใจเรื่องไข่มากกว่า “ต้องใส่ไข่ลงไปตอนไหน แล้วเมื่อไรถึงจะใช้ได้”

“รอน้ำเดือดก่อน ทิ้งไว้สักพักแล้วปิดเตา รออีกสักครู่ก็เอาขึ้นได้แล้วล่ะ ส่วนน้ำปลาพริกก็มีพริกหั่นฝอย น้ำปลา มะนาวและน้ำตาลเล็กน้อย ทำตามรสที่เบฟชอบนั่นแหละ”

ไออุ่นตอบคำถามรวดเดียวเสร็จสรรพรวมไปถึงวิธีการทำน้ำปลาพริกที่อีกไม่นานเจ้าตัวคงถามออกมาต่อจากนี้หรืออาจเป็นตอนที่เขาถามย้ำคำถามเดิม

“อุ่นไม่เปิดโอกาสให้ผมถามต่อเลย”

เบฟเดินไปชะโงกดูน้ำในหม้อต้มที่เริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมาบ้างแล้วก่อนจะลังเล ละล้าละลังไม่รู้ว่าควรจะหย่อนไข่ลงไปตอนไหนดีจนกระทั่งไออุ่นเดินมายืนมองอยู่ข้างๆ แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหู

“ใส่ไปเลยสิ”

คำพูดอันแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหูเมื่อครู่จะพาลทำให้ไข่ที่ถืออยู่ในมือตกพื้นแตกเสียก่อนที่จะได้ลงไปนอนอยู่ในน้ำเดือดๆ

“อุ่น~”

“เดี๋ยวมานะ ไปปิดไฟหน้าร้านก่อน ไม่ได้เปิดร้านก็ไม่รู้จะเปิดไฟทิ้งไว้ทำไม”

ไออุ่นหาทางเดินเลี่ยงออกมา เขารู้ตัวว่าถ้าอยู่ตรงนั้นคงได้อยู่ยาวอีกสักพักใหญ่แน่ แววตาสีฟ้าครามที่มองมาตรงหน้าก็พอจะเดาภาพหลังจากนี้ได้ลางๆ


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเบฟจะได้คู่กับไออุ่นนะคะ เพราะนิยายมันยังไม่จบเลย คงอีกหลายตอนอยู่
เช่นเดียวกับที่เขาว่ากันว่า "สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร"
สารภาพเลยว่าตอนนี้เขียนยาก เหมือนคนสับสนอะไรบางอย่างในชีวิต ตอนเขียนก็นั่งดมยาดม อ่านทวนอยู่หลายรอบ พอเขียนไปจนเสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่าโอเคแน่แล้วใช่ไหม แล้วคำตอบที่ได้ก็คือความเงียบ ถามตัวเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ถ้ามันอ่านแล้วดูมึนๆ งงๆ หรือแบบรู้สึกแปลกๆ ก็ขอโทษด้วยนะคะ T^T


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

alternative
ขอบคุณนะคะ คิดว่าตอนที่ 7 นี้น่าจะไม่สงสารเบฟแล้วเนอะ แต่น่าจะไปสงสารไวน์แทน โดนเบฟสารภาพตัดหน้าไปซะก่อน

อ้างอิงจากตอนที่ 1 นะคะ
'หลังจากที่เฮเลนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้พักใหญ่ เธอก็แต่งงานและย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ประเทศไทย ในขณะนั้นอุลสามารถพูดได้ เดินได้เหมือนดั่งเช่นมนุษย์คนหนึ่ง หากแต่ร่างกายยังคงทำจากเงิน เฮเลนพาอุลมาด้วยและตั้งชื่อให้ใหม่ว่าไออุ่น ห้าปีให้หลัง... เฮเลนได้ให้กำเนิดลูกชายและตั้งชื่อว่าสเตซี่'
อันนี้อาจจะหมายความได้ว่าเครือญาติของสเตซี่คือชาวตะวันตก แต่เกิดในไทยแล้วยิ่งแต่งงานกับรุ้งที่เป็นคนไทยก็อาจจะมีซึมซับความเป็นไทยมาบ้างในบางเรื่องอ่ะค่ะ

ส่วนอันนี้อ้างอิงจากตอนที่ 5 นะคะ
“คุณก็เอาแต่เล่นสนุกเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันสงสารคุณอุ่นนะคะ”
ข้างบนเป็นประโยคที่รุ้งพูดกับสเตซี่หลังจากที่พวกเขาคุยกันเรื่องขอเบฟกลับคืนและตอนนั้นไออุ่นไม่อยู่แล้ว

'สเตซี่หัวเราะชอบใจที่ภรรยาของเขาทำท่าไม่พอใจ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไรนักเพราะมันกระทบกับไออุ่นโดยตรง แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วล่ะก็เขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย'
นั่นคือ... เป้าหมายหลักของสเตซี่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่การขอเบฟกลับไปเลี้ยง แต่มันเป็นอย่างอื่นที่ยังไม่ถูกเฉลย ซึ่งคำตอบจะอยู่ในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้านี้ค่ะว่าทำไมสเตซี่ถึงพูดกับไออุ่นว่าเขาอยากขอเบฟกลับไปเลี้ยงเอง

นิยายเราสร้างความลำบากให้หรือเปล่าคะ ต้องย้อนทวนกลับไปกลับมาแบบนี้ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ 


sirin_chadada
เชียร์ไวน์ตอนนี้ยังทันอยู่นะคะ แม้ว่าตอนที่ 7 นี้จะถูกเบฟตัดหน้าชิงสารภาพรักไปซะก่อน ขอบคุณนะคะ


rockiidixon666
เราก็ไม่ชอบเบฟเช่นกันค่ะ แต่ก็รู้สึกแบบ... เขาก็รักของเขาอ่ะเนอะ แต่ยังไงสำหรับเราแล้วเรายังเชียร์ไวน์อยู่ค่ะ ขอบคุณนะคะ

TIKA_n
ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ไออุ่นก็ยังไม่ได้บอกเนอะว่าคิดยังไงกับเบฟ เขาแค่ยกคำสัญญาที่เคยพูดเอาไว้มาตอบเฉยๆ
ยังไงยังเชียร์ไวน์เหมือนเราอยู่ไหมคะ


ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
คุณไวท์ต้องรีบทำคะแนนแล้วน้าา

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
อุ่นจะทำอะไรหลังจากเบฟไปล่ะเนี่ย ทำไมต้องคิดว่าจะถูกเบฟเกลียดด้วย
ทำไมจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายเบฟล่ะ ฮืออ ดราม่า ๆ  :hao5:
จริง ๆ ก็สงสัยอยู่นะ ว่าสเตซี่กับรุ้งทำอะไร ถึงต้องทิ้งเบฟไว้ให้อุ่นเลี้ยง
ให้เลี้ยงแบบทิ้งลืม แทบไม่ติดต่อมาเลย มีความลับอะไรที่บอกเบฟไม่ได้
ตอนนี้ไม่มีคุณไวน์ของเราเลย เดี๋ยวเบฟไปอยู่กับพ่อแม่แล้ว
คุณไวน์ก็รุกจีบอุ่นเลยนะ เอาแบบดี ๆ อย่าให้อุ่นเข้าใจผิดอีกเน้อ 555
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เหมือนจะจำได้ว่าอุ่นต้องพยายามอย่าให้ร่างกายถูกความชื้น ว่าแต่... ทำอาหารก็ได้เหรอ

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ขนาดคนเขียนยังเชียร์ไวน์แบบตรงไปตรงมาเลย แสดงว่าไวน์คือพระเอกรึเปล่าคะ5555555
ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆยังไม่เชียร์ใครเป็นพิเศษ รอเดาพระเอกดีกว่า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ปวดใจ สงสารอุ่น สงสารเบฟ (ที่ไม่น่าจะสมหวัง)


ปล. ขอบคุณที่ช่วยไขข้อข้องใจค่ะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 8


วันรุ่งขึ้น เบฟขอร้องให้ไออุ่นอนุญาตให้เขาหยุดเรียนได้หนึ่งวัน แต่กว่าจะได้รับคำอนุญาตก็ต้องทั้งขอร้อง อ้อนวอนอยู่เป็นนานสองนาน ไออุ่นไม่ค่อยอยากให้เขาขาดเรียนสักเท่าไรโดยเฉพาะต้องมาหยุดเรียนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ขอบคุณคร๊าบบบ”

ไออุ่นยิ้มอ่อน ถูกลูกตื้อของเบฟเข้ามากๆ เป็นต้องแพ้ทุกที

“เรื่องที่ถามเมื่อวานน่ะ ยังไม่ได้ตอบเลยนะ”

“ก็…” เบฟละล่ำละลัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีไออุ่นอยู่ข้างกายตลอด เห็นไออุ่นเป็นคนสำคัญมาเสมอจนไม่ว่าจะทำอะไรก็จะนึกถึงไออุ่นก่อนใครเพื่อน “ก็… ลูกค้าเข้าร้านครับ”

ไออุ่นหันไปมองตรงประตู เห็นชายวัยเกษียณเปิดประตูเข้ามาในร้านจึงยิ้มทักทาย “สวัสดีครับ ลุงวุฒิ วันนี้จะรับแบบเดิมใช่ไหมครับ”

“สวัสดีอุ่น เอาแบบเดิมนั่นแหละครับ”

“ครับ”

ไออุ่นเดินไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอกจากแจกันที่วางอยู่แล้วยื่นไปให้โดยไม่คิดราคาเช่นเดิม

“ผมให้ครับ ฝากสวัสดีป้าสายแทนผมด้วยนะครับ”

“ใจดีแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวเธอก็ขาดทุนกันพอดี”

“เดือนละดอก ไม่ขาดทุนง่ายๆ หรอกครับ”

ผู้ชายวัยเกษียณอายุคนนี้เคยแวะมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักเมื่อสิบเดือนก่อนหน้านี้ เขาแวะมาทุกวันเพื่อซื้อดอกกุหลาบสีขาวซึ่งเป็นที่โปรดปรานของภรรยาจนค่อนข้างจะสนิทกับไออุ่นอยู่พอประมาณ แต่เพียงไม่นานชายคนนี้ก็ไม่แวะมาที่ร้านอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหกเดือนก่อนเขาแวะมาอีกครั้งพร้อมกับบอกข่าวร้ายเรื่องที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคร้าย และเขาต้องการดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวเพื่อจะนำไปวางไว้หน้าหลุมศพของเธอในทุกเดือน

“ขอบใจนะ”

“ยินดีครับ”

“เธอนี่เป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ”

ไออุ่นได้แต่ยิ้มนิดๆ คำชมนี้เขาได้ยินค่อนข้างบ่อยจากลูกค้าที่แวะมายังร้านดอกไม้อุ่นไอรักแห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่ชินเท่าไร

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

“ขอบใจนะ งั้นลุงไปก่อนล่ะ ขอให้ขายดิบขายดี”

“ขอบคุณครับ”

ชายวัยเกษียณอายุเดินออกจากร้านไปพร้อมด้วยดอกกุหลาบขาวอย่างที่หวังไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาแต่เป็นเพราะได้ไออุ่นคอยปลอบประโลมเสมอจนกระทั่งถึงวันที่คนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“อุ่นใจดีแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่าครับ”

“ลุงแกน่าสงสารออก จะให้อุ่นใจร้ายได้ยังไง”

“แต่ผมอยากให้อุ่นใจดีกับผมคนเดียวนี่ครับ”

เบฟเดินเข้ามาสวมกอดไออุ่นจากทางด้านหลัง แม้อีกฝ่ายจะสูงกว่าเล็กน้อยแต่เขาก็พยายามที่จะเอาคางขึ้นไปเกยไหล่มนแต่ก็ทำได้แค่เพียงเอาหน้าตัวเองจมลงกับแผ่นหลังนุ่ม

“เบฟ…”

ไออุ่นทอดถอนใจ เด็กก็ยังคงเป็นเด็กต่อให้รู้สึกว่ามีบางมุมที่โตขึ้นแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนั่นก็คือความเอาแต่ใจ

“ก็ได้ครับ แต่อุ่นจะต้องใจดีกับผมมากกว่าคนอื่นนะ”

“ครับๆ อุ่นก็ใจดีกับเบฟมากที่สุดอยู่แล้ว”

“ผมรักอุ่นที่สุดนะ”

เสียงกรุ๊งกริ๊งที่หน้าประตูร้านขัดจังหวะความหวานของพวกเขาสองคน เบฟถึงกับออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เห็นว่าใครมาพรากความสุขของเขาไป แต่ไออุ่นกลับยิ้มต้อนรับแล้วแกะมือใหญ่ที่แอบเอามาโอบเอวเขาไว้หลวมๆ ออก

“พีท มาก็ดีเลย พี่มีเรื่องจะให้ช่วยนิดหน่อยน่ะ”

“ครับ”

พีทตอบรับอย่างมึนๆ บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างสองคนนั้นที่อบอวลไปทั้งร้านดูเลี่ยนกว่าดอกไม้ที่รายล้อมอยู่รอบๆ เสียอีก จนรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว

“ว่าแต่… พี่อุ่นกับเบฟ”

“มีอะไรเหรอ”

ไออุ่นถามพลางเดินไปจัดเรียงดอกไม้ที่ปักอยู่ในแจกัน

“บรรยากาศระหว่างพี่กับเบฟเหมือนกำลังอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์เลย”

“แหงสิ! พี่พีทอยู่ในร้านดอกไม้นี่ครับก็ต้องเหมือนอยู่ท่ามกลางดอกไม้อยู่แล้ว ไม่ใช่ไปอยู่ท่ามกลางกลิ่นอาหารทั้งๆ ที่เป็นร้านดอกไม้”

“เนอะ พี่ก็นะ… ลืมไป”

เบฟมองหน้าพีทเหมือนกับรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร แน่นอนว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไออุ่นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วราวกับว่าการที่มีไออุ่นอยู่รอบตัวทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม

“เบฟเฝ้าร้านให้หน่อยนะ พีทมาหลังร้านเป็นเพื่อนหน่อยสิ มีเรื่องให้ช่วยน่ะ”

ไออุ่นเดินไปรออยู่ที่หลังร้านโดยที่ไม่ฟังเสียงทัดทานของเบฟที่อยากจะเข้าไปฟังด้วยว่าคุยเรื่องสำคัญอะไรกัน เขาได้แต่ยืนหน้าบึ้งเป็นหุ่นไล่กาแต่อันที่จริงสีหน้าแบบนั้นน่าจะไล่ลูกค้าได้ดีกว่า

พีทเดินตามเข้าไป เรื่องที่จะพูดกับเขาคงสำคัญมากถึงขั้นต้องแยกออกมาคุยโดยไม่ให้เบฟได้มีส่วนร่วม หรือบางทีเรื่องสำคัญที่ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเบฟเอง

“พีท… ขอโทษนะ ทั้งที่แวะมาหาแต่พี่กลับเรียกให้มาคุยด้วยซะงั้น ยังไม่ทันได้ถามเลยว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเมื่อวานปิดร้าน แล้ว… พี่อุ่นมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“สัญญากับพี่นะว่าจะไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ไปบอกเบฟ”

นั่นปะไร! พีทเดาไม่ผิดเลยว่าเรื่องสำคัญของไออุ่นก็คือเรื่องของเบฟ เรื่องสำคัญของเบฟก็คือเรื่องของไออุ่น พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็สำคัญซึ่งกันและกัน

“ครับ”

“เวลาที่เหลืออยู่ของพี่มันมีไม่มากแล้ว พี่ไม่รู้ว่าลานจะหยุดเดินเมื่อไร”

“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมพี่ถึงห้ามไม่ให้บอก” เสียงพีทเข้มขึ้น จริงจังขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงต้องปิดเอาไว้เป็นความลับ ถ้าเบฟเป็นคนสำคัญ เรื่องสำคัญแบบนี้ก็ควรจะต้องรู้

“รู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นเด็กที่ดื้อ เอาแต่ใจ”

พีทพยักหน้า

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเด็กดื้อที่เอาแต่ใจ เวลาโดนแย่งของรักไป สภาพจะเป็นยังไง”

พีทพยักหน้าอีกครั้ง เขาพอจะนึกภาพได้ลางๆ

“ถ้าปล่อยให้เด็กดื้อคนนั้นรู้เรื่องตอนนี้ พอจะนึกออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

พีทส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า “ไม่รู้หรอกครับแต่พอจะเดาภาพออก”

“เด็กดื้อคนนั้นจะไม่ยอมไปเรียน จะไม่สนใจอนาคตของตัวเอง และอาจจะไม่ให้เปิดร้านอีกตลอดไป จะไม่ยอมให้ของรักห่างกาย แบบนั้น… คิดว่าดีเหรอ”

น้ำเสียงของไออุ่นราบเรียบแต่จิตใจกลับสั่นไหว

“แล้วถ้าเขารู้หลัง…”

“เรื่องนี้เราเคยคุยกันไปครั้งหนึ่ง จำได้ใช่ไหม พี่ไม่อยากพูดถึงมันซ้ำสอง และเรื่องที่พี่อยากจะพูดก็คือ…” ไออุ่นนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เขาพยายามรวบรวมสมาธิ ไม่ให้เสียงตัวเองสั่นพอๆ กับใจของเขาที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง “หลังจากที่พี่ไม่อยู่แล้ว ช่วยดูแลเขาแทนพี่ได้ไหม เขาต้องอาละวาดแน่”

“ครับ”

พีทตอบรับง่ายๆ อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด

“พีท… ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง พี่เองก็เปรียบเสมือนพี่ชายผมคนหนึ่ง เบฟก็เหมือนน้องชาย ถึงเราจะเป็นแค่เพื่อนบ้านกันแต่สำหรับผม พี่อุ่นกับเบฟก็เหมือนครอบครัว”

ไออุ่นซาบซึ้งในความรู้สึกของพีทเป็นอย่างมาก แต่ตุ๊กตาไขลานแบบเขาไม่มีน้ำตา จึงทำได้เพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้นแล้วโผเข้ากอดด้วยความขอบคุณ

“ขอบคุณนะ”

“พี่อุ่น… ผมขอถามอะไรสักอย่างสองอย่างได้ไหม”

“ได้สิ” 

“เรื่องพี่กับเบฟนี่คือยังไงเหรอครับ คือ…แบบ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเลยนะครับ แต่บรรยากาศระหว่างพี่กับเบฟดูแตกต่างออกไปจากเดิมน่ะ มันดู… ว่ายังไงดีนะ ละมุนขึ้น”

ไออุ่นยิ้มก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัวเสียใหม่เพราะถ้าให้เล่าทั้งหมด คนที่รออยู่ข้างหน้าร้านคงจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาตามแล้วพีทอาจจะโดนลูกหลงได้ง่ายๆ

“จะพูดยังไงดี”

“เอาแบบนี้ดีกว่าครับ ผมมีช้อยส์”

ฟังดูน่าสนใจ ไออุ่นแค่เพียงเลือกคำตอบและคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก

“อืม ว่ามา”

“ข้อแรก พี่อุ่นกับเบฟคบกัน”

แค่ข้อแรก ไออุ่นก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย พีทมองดูปฏิกิริยานั้นแล้วพูดต่อไปว่า “ข้อสอง ยังไม่ได้คบกันแต่รักกัน”

“เอ่อ… พีท พี่ว่า…”

“อย่าเพิ่งขัดสิครับ ยังไม่หมดเลย ข้อสาม พี่อุ่นกับเบฟรักกันแต่พี่อุ่นไม่ได้สารภาพรัก คนที่พูดคือเบฟ”

ช้อยส์ข้อสามนี้ ไออุ่นถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความเขินแต่โชคดีที่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาไขลานจึงไม่มีเลือดเนื้อ ใบหน้าของเขาจึงแทบจะไม่แสดงพิรุธอะไร

“ข้อสี่ ข้อแรกกับข้อสามรวมกัน”

“หมดแล้วหรือยัง”

“หมดแล้วครับ”

ไออุ่นแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่สักพักราวกับว่าสิ่งที่ให้เขาเลือกนั้นเป็นสิ่งที่ตอบยากหรืออาจไม่มีคำตอบที่แท้จริงอยู่ในตัวเลือกเหล่านั้น เขาทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย กระตุ้นให้คนถามเกิดอาการอยากรู้มากกว่านี้อีกสักนิด แค่เพียงอีกนิดแล้วเขาก็จะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไร

“พี่อุ่น…”

พีทเร่งเร้า ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้นนั่นแหละที่เขากำลังต้องการ ความอยากรู้อยากเห็นจนอดรนทนไม่ไหวจะทำให้เขาไม่ต้องพูดอะไรเลย

“พี่อุ่นอย่าเงียบสิ ผมอยากรู้จริงๆ นะ”

“อืม… จะว่าไป…”

ไออุ่นทำหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง ทำเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเลลังที่จะพูดความจริงออกไปเป็นบางครั้ง สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้พีทเปิดปากตอบออกมาเอง และเป็นจริงดั่งคาดการณ์ ความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั่นทำให้ชายวัยยี่สิบห้าปีคนนี้ต้องยอมแพ้

“คำตอบคือข้อสี่ใช่ไหมครับ”

ไออุ่นไม่ตอบแต่แค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เพียงแค่นั้นคำตอบทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง

“พี่อุ่น! ใช่ไหมครับ”

“ก็รู้อยู่แล้วว่าพี่จะตอบอะไรไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้หรอกครับ เพราะถ้าผมรู้ก็คงไม่ถาม ขอถามอีกเรื่องนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงได้แทนตัวเองว่าของรักทั้งที่ควรจะเป็นคำว่าคนรัก ”

ไออุ่นกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “พี่เป็นแค่ตุ๊กตาไขลาน จะให้มาเรียกว่าคนรักไม่ได้หรอก อีกอย่าง... สิ่งที่เด็กคนนั้นทำ ถ้าพูดว่ารักแท้มันคงไม่ใช่ พี่อยากให้พีทลองนึกถึงของเล่นชิ้นสำคัญ ถ้ามันสำคัญกับพีทมากก็จะรักษาถนุถนอมเอาไว้อย่างดี ไม่ยอมให้ใครมาเล่น ไม่ยอมให้ใครมาแตะเพราะกลัวว่ามันจะพังใช่ไหม หรือไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆ เพราะคิดว่านี่เป็นของของเขา เด็กคนนั้นก็เป็นแบบนั้น”

“แล้วทำไม...”

ราวกับคำถามของพีทถูกความรู้สึกบางอย่างดูดกลืนเข้าไปจนเขาไม่สามารถกลั่นมันออกมาเป็นคำพูดได้

“เด็กคนนั้นแค่คิดว่าสิ่งที่เขาทำคือความรัก แต่พี่ไม่ได้บอกนะว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้รักพี่ เขาอาจจะรักแต่รักในอีกความหมายหนึ่ง”

“แล้วพี่ก็ยอมที่จะให้เขาเข้าใจผิดๆ ไปแบบนั้น”

“พี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ถ้าสิ่งที่พี่ทำลงไปแล้วเขามีความสุข พี่ก็จะทำเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พี่จะทำเพื่อเขาได้ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง”

“ผม... ผมไม่เข้าใจพี่เลย”

“ความจริงแล้วมันก็ผิดที่พี่เองด้วยที่มองเห็นเขาเป็นเด็กมาตลอด ทำเหมือนว่าเขาเป็นเด็กตัวน้อยมาตลอด เขาเลยไม่ยอมโตเวลาที่เขาอยู่กับพี่และพี่ก็ยินดีที่จะให้เขาเป็นเด็กอยู่แบบนั้น พี่ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาออกจากร้านไปแล้วเป็นยังไง เขาก้าวร้าวหรือมีนิสัยที่แตกต่างไปจากที่อยู่กับพี่หรือเปล่าเพราะโลกของพี่มันอยู่แค่ในร้าน”

“สรุปให้ผมฟังอีกทีได้ไหม คือ... ผมสับสนไปหมดแล้ว”

ยิ่งฟังไออุ่นพูด คำถามก็ยิ่งมีตามมามากขึ้นในหัวสมองของพีทเป็นพรวน

“พี่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดว่ารัก แท้จริงแล้วมันไม่ใช่คำว่ารักอย่างที่เขาเข้าใจ รักที่อยากเก็บไว้กับตัว รักที่ทำลงไปเพราะทำให้ตัวเองมีความสุขไม่อาจเรียกว่ารักได้หรอก เด็กคนนั้นแค่ยึดติดกับพี่เหมือนคนหวงของ และถ้าวันหนึ่งเขาเข้าใจคำว่ารักจริงๆ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร”

“แล้ว... ทำไมพี่ไม่บอกเขาไปตรงๆ”

“พี่พูดไม่ได้”     

“แล้วที่ผมถามไป... จริงๆ แล้วคำตอบมันไม่มีอยู่ในตัวเลือกไหนเลยใช่ไหมครับ เพราะพี่ไม่ได้รักเขา”

ไออุ่นเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจ เขานึกทบทวนสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเด็กคนนั้นและเพราะรักจึงอยากให้อีกฝ่ายได้มีความสุขแต่ทว่าบางครั้งการกระทำของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป “พี่ขอโทษนะ พีท พี่คิดว่าบางทีตัวพี่เองอาจเป็นต้นเหตุให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น เวลาเขาอยู่กับพี่ เขาขี้อ้อนเพราะเขารู้ว่าถ้าเขาทำแบบนี้แล้วเขาจะได้อะไร เขาเอาแต่ใจเพราะเขารู้ว่าพี่ตามใจเขาตลอดแม้ว่าพี่อาจจะดุบ้างแต่มันไม่เคยมีครั้งไหนที่จริงจังเลย เขางอแงเพราะเขารู้ว่าพี่จะโอ๋ แต่ถ้าเขาอยู่กับพี่ต่อไป เขาจะไม่มีวันโตขึ้นเลย เพราะฉะนั้นรับปากพี่สักอย่างได้ไหม ถ้าพี่จากไปแล้ว พีทช่วยเข้าใจเขา สอนให้เขารู้จักคำว่ารัก ช่วยดูแลเขาแทนพี่ได้ไหม”

“ครับ”

ไม่มีคำตอบไหนที่ไออุ่นอยากได้ยินนอกจากคำนี้ แค่เพียงพีทรับปากให้เขาได้อุ่นใจ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

“ออกไปข้างนอกกันเถอะ ก่อนที่ข้างนอกจะเปลี่ยนจากร้านดอกไม้กลายเป็นสนามรบ”

ไออุ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินนำออกไปก่อนด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย อะไรที่ต้องทำก็ได้ทำแล้ว เหลืออยู่เพียงแค่เก็บเกี่ยวเวลาระหว่างกันและกันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดอย่างที่เด็กคนนั้นต้องการ ดวงตาสีดำมันขลับคู่หนึ่งมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ท่าทีผ่อนคลายราวกับยกปัญหาที่หนักอกหนักใจออกไปได้แล้ว พีทรู้สึกเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ

“อุ่น! คุยอะไรกันตั้งนาน”

เสียงของเบฟดังเข้ามาถึงข้างหลังร้าน พีทจึงต้องรีบเดินออกไป แต่เห็นภาพที่เด็กคนนั้นโอบกอดไออุ่นด้วยความรักอันอ่อนโยนแล้วหัวใจกลับรู้สึกแปลกๆ … ความรู้สึกเหมือนมีใครพรากสิ่งที่รักไปต่อหน้าแต่ทำอะไรไม่ได้ ด้วยสถานะที่เป็นได้เพียงน้องชายสำหรับเขาคนนั้น

“แค่แวะเข้าไปคุยกับพีทแปปเดียว นี่ถึงกับต้องปิดร้านเลยเหรอ”

ดวงตาสีหยกเหลือบมองป้ายหน้าร้านที่ตอนนี้เขาเห็นคำว่า ‘OPEN’ หันเข้ามาด้านในแล้วได้แต่ยิ้มปนหัวเราะ

“ก็ไม่อยากรับลูกค้า”

ไออุ่นพยักหน้าอย่างเอ็นดู ใบหน้าของเบฟตอนนี้เหมือนเด็กขี้หวงคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ารอของรักอย่างใจจดใจจ่อจนไม่มีกระจิตกระใจจะไปทำอะไร

“พีท… ขอบคุณมากนะ สำหรับเรื่องที่ขอให้ช่วย”

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ มีอะไรก็โทรมานะครับ… แต่พี่ก็ไม่เคยโทร”

ประโยคท้ายๆ ราวกับพีทจะพูดบอกแค่ตัวเองแต่ไออุ่นกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน้อยใจผิดกับสีหน้าที่แสดงออกมาไปคนละเรื่อง

ไออุ่นผละออกจากอ้อมกอดของเบฟ เดินเข้าไปยืนดักหน้าพีทที่ทำท่าจะเดินออกจากร้าน เขาเอื้อมมือออกไปลูบเส้นผมที่ผ่านการย้อมสีมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ยังนุ่มมืออย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมือคู่นี้มาช่วยพัดพาความน้อยอกน้อยใจให้จางหายไป ราวกับจะช่วยเยียวยาหัวใจที่แสนเจ็บปวดนี้ให้ผ่อนคลายลงและกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

คำตอบที่อยากรู้ก็ได้รู้แล้ว แต่ความรู้สึกรักยังคงไม่จางหายไปไหน มันยังเจ็บปวดทุกครั้งที่รู้สึก เจ็บปวดมาโดยตลอดแต่ก็ฝืนบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อไออุ่น ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างคนๆ นี้แม้จะรู้ว่าที่ตรงนั้นไม่มีโอกาสให้เขาไขว่คว้ามาอยู่ในมือได้เลย

ฝ่ามือที่เย็นเฉียบแต่กลับอบอุ่นเหมือนชื่อเจ้าของดึงรั้งให้ร่างของพีทโน้มต่ำลง จู่ๆ หัวใจของเขาก็เหมือนจะเต้นช้าลงจนคล้ายกับจะขาดใจตายเสียตรงนั้น ท่าทางแบบนี้… เขาไม่เคยได้รับมันมาก่อน

“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงกัน”

คำพูดอันแผ่วเบาข้างหู อ่อนโยนมากกว่าทุกครั้งที่เสียงนี้ถูกเปล่งออกมาในขณะที่กำลังพูดคุยกับเขา ร่างทั้งร่างชาวาบด้วยเพราะไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งที่เฝ้าใฝ่หามาตลอด

‘อยากให้คนนั้นอ่อนโยนกับเขาบ้าง แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี’

“พี่...”

ไออุ่นละออกมาแล้วจึงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ดวงตาของคนเรามักไม่โกหก ไออุ่นรับรู้มาโดยตลอด

“ขอบคุณนะที่ช่วย”

เบฟมองหน้าคนสองคน เขาไม่ได้ยินที่ไออุ่นพูดกับพีทเพราะมันบางเบาเสียจนคล้ายจะกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเพียงสองคน ขัดใจ! เป็นคำที่ผุดเข้ามาในหัวขณะที่เห็นภาพเหล่านั้น

“คะ… ครับ ไม่เป็นไรครับ งั้น… งั้นผมไปก่อนนะครับ”

พีทเดินจากไปแล้ว เหลือเพียงเด็กดื้อที่ทำหน้างอกับตัวเขาที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ

“เบฟครับ”

“…….”

“เบฟครับ จะไม่ไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเหรอครับ”

“อุ่น!!”

ไออุ่นรู้ว่าเบฟต้องการจะพูดอะไรแต่เขากลับแกล้งทำเป็นหูทวนลม

“อุ่น มานี่เลย”

เบฟออกแรงลากไออุ่นมาหลังร้าน แม้มันจะไม่รุนแรงเหมือนจะบังคับกันเท่าไรนักแต่ผู้ที่ถูกลากมาก็แทบจะล้มลงกับพื้น

“คุยอะไรกับพี่พีท”

น้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง แต่กลับทำให้ไออุ่นอยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาทำเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอานิ้วชี้แนบริมฝีปากตัวเอง “ความลับ”

คงเป็นความลับที่ชวนให้หงุดหงิดเสียเต็มประดา เบฟถึงได้ดึงแขนเล็กให้โน้มต่ำลงมา ประกบริมฝีปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ไม่ได้ค้างไว้นานนักหรือพยายามจะรุกล้ำไปมากกว่านี้… ก็แค่เพียงต้องการขู่

“ถ้าไม่บอกอีก ผมก็จะทำอีก”

ไออุ่นชะงักไป เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงเมื่อริมฝีปากสัมผัสกัน รสจูบอันแผ่วเบาไม่ได้หวานซาบซ่านถึงใจ ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเหมือนเช่นอีกฝ่ายที่กำลังมีความสุข 

“ว่ายังไงครับ”

“อะ… เอ่อ…”

ถึงคราวที่เบฟจะได้ถือไพ่เหนือกว่าบ้างแล้ว เขาพยายามเร่งเร้าแกมข่มขู่ให้อีกฝ่ายรีบตอบออกมาและก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่จะได้รับคือการปิดปากเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนึกสนุก

“ไม่ตอบ ผมจูบจริงนะครับ”

ไออุ่นนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรออกไปทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้าอยู่นิ่งๆ   

“กลัวเหรอครับ”

ไออุ่นส่ายหน้า เขาไม่ได้กลัวเพราะมันไม่มีอะไรให้กลัวแต่ไม่อยากให้ทุกอย่างมันเลยเถิดไปไกล

 “ถ้าอย่างนั้น… เราทำอีกสักครั้งได้ไหม”

ดวงตาสีฟ้าครามเป็นประกายสะท้อนเงาของผู้ที่รักสุดหัวใจ เบฟไม่พยายามไล่ต้อนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่กลับเอ่ยถามความคิดเห็นแกมขอร้อง

“อืม…”

ไออุ่นตอบรับพร้อมกับเบือนหน้าหนี ไม่กล้าที่จะประสานสายตาโดยตรง ยิ่งมองเด็กคนนั้นก็ยิ่งเห็นแววตาที่รักใคร่ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบรัดด้วยสายตาอันเร่าร้อน ความต้องการของเด็กคนนั้นที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสถานะที่ต่างกันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิดออกมา

“อุ่น”

ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าอันงดงามนั้นให้หันมอง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบเย้ายวนชวนมองเผยอขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกรั้งมา ดวงตาสีหยกหลุบต่ำลง ไม่กล้าแม้เพียงจะสบสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเพียงเพราะกลัวจะหลงมัวเมา

“ขอนะครับ”

ไออุ่นไม่มีทีท่าขัดขืนแต่อย่างใด ใบหน้าเรียวขยับขึ้นลงเล็กน้อยอย่างเชื่องช้าราวกับจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ถ้ามันจะทำให้เบฟมีความสุข

“แค่จูบนะ”

“ครับ ผมจะจูบอย่างถนุถนอมที่สุด”

เห็นทีคำว่าถนุถนอมคงไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเบฟเสียแล้วล่ะมั้ง เพราะถ้าถนุถนอมจริงดั่งว่าไออุ่นคงไม่มีสีหน้าราวกับจะขาดใจแต่ทว่ากลับมีความสุขในคราวเดียวกัน

ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดควานหาความหวานไปเสียทุกส่วน บ้างก็หยอกล้อกับปลายลิ้นของอีกฝ่ายที่พยายามกระถดถอยหนีไปจนสุดทางแล้วก็ละออกมาให้คนในอ้อมกอดได้สงบจิตสงบใจ ก่อนจะรุกล้ำเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ใหม่อีกครั้ง ลิ้นของเบฟที่สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากนั้นชำนาญเหนือความคาดหมายของไออุ่นอยู่มาก เขาพยายามขยับลิ้นหนีแต่อีกฝ่ายกลับชอบเข้ามาหยอกเย้าแล้วก็ถอนหนีออกไปเพื่อให้เขาได้ตั้งหลัก

“อืมม… เบฟ”

“ครับ”

“ไม่… อืมมมมมม”

ยิ่งท่าทางของไออุ่นเหมือนจะทรมานแต่ก็สุขสมในคราวเดียว เบฟก็ยิ่งอยากจะกอดรัดร่างนี้เอาไว้แนบแน่น เพียงแค่จูบ… อีกฝ่ายก็ดูมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ถ้าหากทำมากกว่า รายนั้นคงแสดงสีหน้าและท่าทางออกมาได้ตราตรึงใจแน่

เบฟละริมฝีปากออกมาแต่ก็ยังโอบกอดร่างของตุ๊กตาไขลานเอาไว้แนบแน่น ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดทรุดลงเล็กน้อย ถ้าไออุ่นเป็นมนุษย์ ป่านนี้ใบหน้าเขาคงร้อนผ่าว เลือดลมคงสูบฉีดดีขึ้นกว่าเดิมทำให้แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ หัวใจของเขาคงกำลังเต้นๆ หยุดๆ เป็นจังหวะแปลกๆ

“อุ่นชอบไหมครับ”

ไออุ่นนิ่งเงียบ เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น

“ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ แค่อุ่นไม่ปฏิเสธ ผมก็ดีใจแล้ว”


** ติดตามตอนต่อไป **


--------------------------------------------------------------


ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอโทษทุกคนที่หายไปสองอาทิตย์นะคะ คือ... แม่เข้าโรงพยาบาลกะทันหันเลยไม่ทันได้มาแจ้ง ปกติแม่เป็นคนที่ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย เราเลยช็อคๆ ไปเหมือนกัน ส่วนตอนนี้แม่พอจะดีขึ้นมาบ้างและไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ขอโทษอีกครั้งนะคะที่หายไปนานเลย เราไม่ได้คิดทิ้งนิยายเรื่องนี้นะคะ

แอบอยากบอกว่ามีคำสารภาพแหละค่ะ ว่า... ไม่ถนัดเขียนฉากหวานๆ โรแมนติกเลย มันนึกภาพในหัวไม่ออกเลยว่าต้องอะไรยังไง เริ่มตรงไหน ถ้ามันดูแบบอ่านแล้วไม่สมูทก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

แอบแจ้งอีกนิดนึงนะคะ ในส่วนของตอนที่ 9 จะเจอกันในวันที่ 8 เดือนตุลาคมนะคะ อาทิตย์ที่จะถึงนี้ไม่ว่างจริงๆ ค่ะ ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

rockiidixon666
ไวน์จะทำคะแนนทันหรือเปล่านี่สิ เบฟติดสปีดสี่จีใส่แล้ว ขอบคุณนะคะ

TIKA_n
ดูเหมือนเรื่องนี้มีปมเยอะเลย เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในบางที (เขียนเองก็ไม่เข้าใจเอง เอาสิ! ฮ่าๆ ) เดี๋ยวตอนหน้าคุณไวน์ก็มาหาแล้วนะคะ ขอบคุณนะคะ

sirin_chadada
ดีใจที่จำได้ด้วยว่าอุ่นทำให้ร่ายกายชื้นไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นสนิม แต่ว่ามันจะมีอยู่ประโยคหนึ่งในตอนที่ 7 เขียนไว้ว่า [ ปกติแล้วถึงไออุ่นจะไม่ค่อยถูกกับน้ำแต่เขามักจะใส่ถุงมือกันเปื้อนเอาไว้ตลอดเวลาที่ทำกับข้าวหรือบางครั้งที่ต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ] เราว่าเราต้องสื่อผิดพลาดแน่เลยค่ะ คืออยากให้นึกถึงตอนใส่พวกถุงมือยางของหมอ หรือแบบถุงมืออันใหญ่ๆ ที่ใส่เวลาล้างจานน่ะค่ะ ขอโทษด้วยค่าาาา (^/|\^")

คนคิ้วท์คิ้วท์
เอาจริงๆ ตอนแรกที่เราเริ่มแพลนเรื่องนี้ เราเชียร์เบฟด้วยซ้ำนะคะ แต่พอไปๆ มาๆ ขอเปลี่ยนฝั่งดีกว่า แบบเอนเอียงไปทางไวน์เรื่อยๆ แหะๆ ขอบคุณนะคะ

alternative
ยินดีค่ะ สงสัยอะไรหรืออ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่ามันไม่เคลียร์ตรงไหน ถามได้ตลอดเลยนะคะ เรายินดีตอบทุกคำถามค่ะ ขอบคุณนะคะ



ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
เบฟพุ่งไปไกลแล้ว พี่ไวน์ยังไม่ขยับเลย  :hao7: จูบขนาดนี้กลัวอุลสนิมขึ้นจัง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านแล้วปวดใจ

สงสารเบฟจริง ๆ รักที่ไม่ใช่รักดั่งที่หวัง
สงสารพีท
แต่ก็เข้าใจอุ่น ไม่รักก็คือไม่รัก ต่อให้ผูกพันแค่ไหน ก็ไม่รักแบบคนรักไปได้

ปล. ขอให้คุณแม่แข็งแรงไว ๆ นะ คุณ Bluesora ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
 :hao5: สู้ๆนะอุล

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สู้ๆนะอุ่น สู้ๆนะไรต์  :mew1:

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ดูหวานปนเศร้า เอ๊ะยังไง 555 คุณไวน์ได้เวลาออกโรงยังคะ  :hao7:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องนี้อ่านจบแต่ละบทต้องถอนหายใจยาวๆ
นึกๆ ไปคนที่เรารักก็เหมือนตุ๊กตาไขลาน ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ๆ ลานจะหมดวันไหน เราจึงต้องทำทุกวันให้ดีที่สุด ออกไปทางธรรมะเข้าโน่น

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 9


ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เช่นกัน

อยู่ที่คนเราเลือกที่จะเก็บทุกข์หรือสุขไว้กับตัว

แต่สำหรับไออุ่น เขาเลือกที่จะเก็บสองอย่างไว้ด้วยกันเพราะมันแสดงถึงว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่




เหลือเวลาอีกเพียงแค่วันเดียวที่เบฟจะได้อยู่ที่นี่ อยู่เคียงข้างกันแบบนี้ ทุกวันเรากอดกัน จูบกัน ทำทุกอย่างที่เด็กคนนั้นต้องการ ไออุ่นพยายามถนอมช่วงเวลาที่มีกันและกันไว้ให้ดีที่สุดก่อนที่สุดท้ายแล้วมันจะหลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ

เสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้นเบาๆ มีชายแปลกหน้าท่าทางดุดันเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าไออุ่น เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็ยังทำเป็นนิ่งไว้แล้วเอ่ยทักทายอย่างเช่นทุกครั้ง

“สวัสดีครับ จะรับดอกไม้แบบไหนดีครับ”

“แบบไหนก็ได้ เสร็จแล้วช่วยเอาไปส่งให้ที่รถคันนั้นด้วยนะ รีบทำล่ะ เจ้านายอยากได้เร็วๆ”

“ครับ”

ไออุ่นรับปาก ดวงตาสีหยกเหลือบมองออกไปนอกร้าน รถสีดำคันหนึ่งจอดเยื้องออกไปไม่ไกลก็คงจะเป็นคนนั้นที่ถูกพูดถึง แต่จอดใกล้สี่แยกแบบนี้ อีกไม่นานคงถูกล็อคล้อเอาแน่จึงรีบลงมือทำช่อดอกไม้อะไรก็ได้ ที่ทำบ่อยและชินมือในช่วงนี้เห็นทีจะเป็นช่อดอกลิลลี่

พูดถึงช่อดอกลิลลี่ก็เผลอนึกถึงคนสั่งอย่างไวน์ ไออุ่นไม่เห็นลูกค้าคนนั้นแวะเข้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่โทรเข้ามาทั้งที่ขอเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว ….. เขาเป็นบ้าอะไร! ทำไมถึงได้คิดถึงฝ่ายนั้นทั้งๆ ที่เบฟก็ยังอยู่ตรงนี้

“เพ้อเจ้อจังแฮะ ตัวเรา”

หัวกลมๆ สลัดไล่ความคิดโง่เง่านั่นออกไป เดินไปหยิบอุปกรณ์สำหรับทำช่อดอกไม้มาเรียงเอาไว้ ต้องรีบลงมือทำ ไม่อย่างนั้นเจ้าของรถที่จอดอยู่ตรงนั้นคงลำบาก

“จะเป็นอะไรไหมเนี่ย ถ้าหยิบไปให้แค่ลิลลี่ดอกเดียว”

ไออุ่นถามกับตัวเองด้วยท่าทีลังเลไม่น้อยแต่เพราะเป็นห่วง กลัวว่าจะถูกล็อคล้อเข้าเสียก่อน เอาล่ะ! ไม่ลองก็ไม่รู้ เจ้าของรถคันนั้นอาจต้องการดอกไม้อะไรก็ได้เพียงดอกเดียวแต่ถ้าไม่ใช่ก็คงบอกความประสงค์ของตัวเองออกมาเอง เมื่อคิดได้แบบนั้นจึงเดินไปเลือกดอกลิลลี่ดอกที่งามที่สุดมาแล้วเดินตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ข้างนอก

ไออุ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะต้องเผชิญกับอากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง ตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาก็เคยชินกับอุณหภูมิในห้องแอร์

ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลัว

ไออุ่นเดินตรงไปยังรถยนต์สีดำจอดอยู่เยื้องจากร้านไปเพียงเล็กน้อย เคาะกระจกรถสองครั้งเพื่อแจ้งให้คนที่นั่งอยู่ด้านในทราบแต่เมื่อลองมองดูดีๆ แล้วกลับไม่พบใครที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเลยสักคน

“ช่วยเอาดอกไม้นั่นไปส่งให้ถึงมือเจ้านายด้วยครับ”

“ครับ?”

ไออุ่นทำหน้างงแต่ไม่ทันไรก็เข้าใจ

“เชิญขึ้นรถครับ”

ประตูข้างหลังถูกเปิดออกโดยชายที่เดินเข้ามาสั่งดอกไม้ในร้านคนนั้น จะวิ่งกลับเข้าร้านไปก็ดูเหมือนจะต้องสู้กับคนๆ นี้ก่อน แต่ถ้ายอมตามไปแล้วเบฟกลับมา…. ไออุ่นไม่อยากจะนึกภาพต่อจากนี้เลย

“เอ่อ… ขอไปล็อคประตูร้านหน่อยได้ไหม”

“เชิญขึ้นรถครับ”


… ดูเหมือนจะไม่ได้สินะ …


“ถ้าอย่างนั้นขอโทรบอกน้องชายก่อนได้ไหม ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงน่ะ”

“อย่าทำให้พวกเราเสียเวลาเลย เชิญขึ้นรถได้แล้วครับ เจ้านายกำลังรอดอกไม้จากคุณอยู่”

ไออุ่นทำท่าลังเล แบบนี้เหมือนตัวเองกำลังถูกลักพาตัวไปที่ไหนสักที่ ดวงตาสีหยกจ้องมองไปยังหน้าร้านดอกไม้อุ่นไอรักด้วยความอาลัยอาวรณ์ ถ้ายอมขึ้นรถไปตอนนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

“แล้ว… เจ้านายคุณอยู่ไหนเหรอครับ”

“ไปถึง เดี๋ยวก็รู้เอง”

“แล้วจะพาผมกลับมาไหม”

“แน่นอนครับ ถ้านั่นเป็นคำสั่งของเจ้านาย”

ไออุ่นก้าวขึ้นรถไปอย่างจำยอม

… ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
… ไม่รู้ว่าต้องไปพบใคร
… ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีกไหม
… บางทีนี่อาจเป็นการจากลาที่ดีที่สุดแล้วก็ได้



“ลาก่อน เด็กน้อยที่รัก”





เบฟกลับมาจากมหาวิทยาลัย ก้าวเข้าร้านมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไฟในร้านยังคงเปิดอยู่ ข้าวของที่ไออุ่นใช้ยังคงวางอยู่ที่เดิมแต่เจ้าตัวไม่อยู่หน้าร้าน

“อุ่น! อุ่นครับ!!”

“…….”

“อุ่นครับ!! อยู่หลังร้านเหรอ”

ยังคงไร้เสียงตอบรับเช่นเคยจนเบฟรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี สองเท้ารีบก้าวอย่างเร็วตรงไปยังหลังร้านแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงความว่างเปล่า

“อุ่นอยู่ข้างบนเหรอครับ”

ความเงียบสนิทที่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำเอาใจหวิวแปลกๆ … ไออุ่นควรอยู่ที่ร้าน ควรอยู่รอรับเขากลับมา

ไวเท่าความคิด เบฟรีบวิ่งออกจากร้านตรงไปหาพีทที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ร้านของตัวเองซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าหลัง ทันทีที่มาถึงก็ตะโกนเรียกชื่อสุดเสียง

“พีท!!”

“มีอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

พีทที่กำลังนั่งหงอยเพราะไม่มีอะไรทำ ถูกพ่อกับแม่สั่งให้อยู่เฝ้าร้านคนเดียว อ้าปากหาวหวอดๆ ท่าทางสะลืมสะลือแต่ก็ยังพอจับความผิดสังเกตของเบฟได้จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามาหา

“อุ่น… อุ่น…”

“พี่อุ่นเป็นอะไร”

“อุ่น… อยู่ที่นี่หรือเปล่า”

แน่นอนว่าคำตอบของคำถามคือคำว่า ‘ไม่’ แต่ถึงอย่างนั้นเบฟก็ยังคงหวังและภาวนาขอให้ไออุ่นอยู่ที่ร้านนี้ด้วยเถิด แม้เปอร์เซ็นของความเป็นไปได้คือศูนย์ก็ตาม

“เปล่า เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

“อุ่น… หายไป”

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าไออุ่นจะต้องจากไปสักวันแต่พีทก็ยังรู้สึกช็อคอยู่ดี

“หายไป… ได้ยังไง”

“พีท อุ่นไม่อยู่ที่ร้านจริงๆ นะ อุ่น…”

พีทดึงร่างที่อยู่ตรงหน้าเข้ามากอด

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่อุ่นก็กลับมา พี่อุ่นจะไม่เป็นอะไร เขาต้องกลับมาแน่”

ไม่ใช่เพียงแค่ปลอบใจเด็กที่อยู่ตรงหน้าแต่พีทปลอบใจตัวเองด้วยเช่นกัน เขาคาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าไออุ่นจะจากกันไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา

“ถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ”

“ต้องกลับสิ”

พีทยืนยันแม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะกลับมานั้นน้อยมากแค่ไหน ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าไออุ่นไม่เคยก้าวเท้าออกจากร้านเพราะเขากลัวสภาพแวดล้อมด้านนอกมันจะทำร้ายร่างกายให้จากไปก่อนเวลาอันควร ไม่มีทางที่จะจากไปทั้งๆ แบบนี้แน่

“เขาทิ้งไปแล้ว อุ่น… ใจร้าย”

“พาไปดูที่ร้านหน่อยได้ไหม พี่อยากยืนยันอะไรนิดหน่อย”

“ยืนยันอะไร”

เบฟผละออกมาจากอ้อมกอดปลอบใจของพีท

“ยืนยันว่าพี่อุ่นออกไปเองหรือมีใครพาออกไป”

เบฟนิ่งคิดทบทวนอยู่สักพัก สิ่งที่พีทพูดก็ฟังดูเป็นสิ่งที่ควรทำ เขาไม่น่าขาดสติถึงขึ้นพอเห็นว่าไออุ่นไม่อยู่ในร้านก็คิดไปแล้วว่าตัวเองถูกทิ้ง ทั้งที่ความเป็นจริงเราออกจะรักกันขนาดนั้น

“แล้วใครพาอุ่นไป”

“พี่ถึงได้บอกไงว่าต้องไปดูก่อน ไปดูให้แน่ใจ”

“ถ้ากลับไปก็อยากเห็นอุ่นยังอยู่ในร้าน”

พีทพยักหน้า เขาเองก็ภาวนาขอให้ไออุ่นยังอยู่ในร้าน ขอให้สิ่งที่เบฟเห็นนั้นไม่เป็นความจริง ขอให้ไออุ่นไม่จากกันไปด้วยวิธีการแบบนี้

พวกเขาพากันเดินเข้ามาในร้านดอกไม้อุ่นไอรัก ทุกอย่างยังคงวางอยู่เหมือนเดิมในที่ของมัน บนโต๊ะทำงานมีอุปกรณ์ทำช่อดอกไม้วางอยู่นั่นหมายความว่าไออุ่นไม่ได้ออกไปเพราะต้องการจะจากไปจริงๆ

“มีกล้องวงจรปิดไหม”

เบฟส่ายหน้า ที่ร้านไม่เคยติดกล้องวงจรปิดเพราะไออุ่นบอกว่าตัวเขาเองมักจะอยู่หน้าร้านตลอด โอกาสที่จะมีใครเข้ามาขโมยของข้างในนี้น้อยมาก

“พี่เชื่อนะว่าพี่อุ่นจะกลับมา”

“ถ้าเขาไม่กลับมาจะทำยังไง ถ้าแด๊ดถามถึงจะตอบยังไง หรือมันเป็นเพราะเราไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีกแล้ว”

เบฟทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้านอย่างหมดแรง พึมพำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ หัวใจปวดหนึบคล้ายกับมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดเอาไว้ ลมหายใจขาดห้วงเป็นบางช่วง

“รู้เหรอ?”

“รู้?”

เบฟทวนถามกลับ รู้อะไร รู้เรื่องอะไร

“เอ่อ…”พีทชะงักไป ดูเหมือนเขาจะพลาดเสียเองที่พูดขึ้นมาจึงรีบกลบเกลื่อนด้วยเรื่องอื่น “ที่บอกว่าไม่มีโอกาสแล้วนี่รู้ได้ยังไง”

“อุ่นไม่ได้บอกเหรอว่าผมจะย้ายไปอยู่กับแด๊ดอาทิตย์นี้แล้ว พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ”

“อ่า….”

เรื่องนี้พีทยอมรับว่าไม่รู้จริงๆ เขาจึงส่ายหน้าแทนคำตอบ บอกตามตรงว่าเขารู้สึกสับสนไปหมด ทั้งเรื่องที่เบฟจะย้ายออกไป ทั้งเรื่องที่ใกล้จะถึงเวลาที่ไออุ่นจะจากไปเพราะลานในตัวเริ่มจะมีปัญหาบ้างแล้ว ทั้งเรื่องที่ไออุ่นหายไป ดูจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้สักอย่าง

“พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”

เบฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

“ลองคิดดูนะ นายกับพี่อุ่นรักกันถูกไหม แล้วคนที่รักกันก็ย่อมต้องอยากอยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย ตามหลักแล้วพี่อุ่นที่รักนายมากน่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็ต้องรอส่งนายก่อน”

“จะพูดอะไรน่ะ”

“ถ้าที่พี่อุ่นหายไปเป็นเพราะถูกใครพาไปล่ะ”

“อุ่นไม่ออกจากร้านเด็ดขาด”

เรื่องที่ไออุ่นจะไม่ออกจากร้านอย่างเด็ดขาด ทั้งเบฟและพีทต่างรู้ดีด้วยกันทั้งคู่เพราะฉะนั้นแล้วการที่ไออุ่นจะออกไปได้ก็ต้องมีแรงจูงใจหรือเหตุการณ์บังคับ

“พี่อุ่นน่ะไม่ออกก็จริงแต่เขาก็เป็นคนใจดี ถ้ามีใครขอร้องล่ะ เขาก็คงยอมเพราะคิดว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร”

“พูดเหมือนรู้จักอุ่นดีเลยนะ”

พีทยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีเท่าไรนักเพราะมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขนาดรู้ดีก็ยังไม่สามารถครองที่หนึ่งในใจของไออุ่นได้

“เอาเป็นว่ารอดูถึงคืนนี้ก่อนว่าเขาจะกลับมาไหม เลิกคิดฟุ้งซ่านสักพักนะ”

เลิกคิดฟุ้งซ่านเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเบฟแน่ คนที่รักหายไปทั้งคน ติดต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าออกไปที่ไหนและกับใคร คงไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้

“ทำได้เหรอ… พีททำได้เหรอ”

พีททิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ตรงหน้า ภาพความทรงจำที่ไออุ่นเดินวนไปเวียนมาในร้านค่อยๆ ปรากฏขึ้นจางๆ รอยยิ้มหวานละมุนที่มักจะยิ้มให้กับทุกคนเสมอเป็นภาพที่เขาชอบมากที่สุด ไออุ่นที่ใจดีและอ่อนโยนกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้คือคนที่เขาชอบมากที่สุด แต่เวลานี้กลับแสดงความรู้สึกออกไปได้ไม่ทั้งหมด ความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน ความรักที่ได้แต่เก็บใส่กล่องเอาไว้แล้วซ่อนมันให้ลึกสุดหัวใจแทบจะบีบรัดให้ตัวเขาเองขาดอากาศหายใจเหมือนจะตายลงเสียตรงนี้ ทรมานจนอยากจะระบายออกมาแต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็งเพื่อปลอบใจคนข้างๆ อย่างที่เคยได้รับปากกับคนๆ นั้นเอาไว้

“ทำไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้สักอย่างนอกจากรอ”

“ขอบคุณนะ”

“หืม?”

“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน”





ไออุ่นถูกพามาที่ไหนสักที่ ดูคล้ายคอนโดมิเนี่ยมหรู ระหว่างทางที่มาก็คอยมองดูข้างทางตลอดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เขาไม่ได้ถูกคุมตัวหรือล็อคแขน ใช้ปืนจี้ด้านหลังเหมือนเป็นตัวประกันนั่นย่อมหมายความว่าเขาไม่ได้ถูกลักพาตัวมาเพื่อต้องการทำร้ายร่างกายแน่

“ขอโทษนะครับ ทำไมต้องมาพาถึงที่นี่ด้วย” ไออุ่นลองเลียบเคียงถาม

“เจ้านายสั่ง”

“แล้ว… ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ พอบอกได้ไหม”

“คอนโดครับ”

ไออุ่นแอบถอนหายใจเงียบๆ

“เดินตามมาเฉยๆ เถอะครับ”

ไออุ่นจำต้องเดินตามไปอย่างเงียบเฉียบ ไม่คิดที่จะถามอะไรต่อเพราะดูจากรูปการณ์แล้วเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไม่ได้คำตอบอะไรเลย

ไออุ่นถูกพาขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่สิบห้า ถูกพาเข้าห้อง1508 ถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องและห้ามคิดหนีโดยมีคนที่พาขึ้นมายืนเฝ้าอยู่หน้าประตู แต่อันที่จริงต่อให้คิดที่จะหนีก็จำทางกลับไม่ได้อยู่ดี เป็นเพียงความโง่เง่าของตัวเองที่ไม่คิดจะจดจำเพราะคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันได้ออกห่างจากร้านดอกไม้มาไกลแสนไกลขนาดนี้

ไออุ่นเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายมองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าสีครามช่างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบ้านเมืองจากมุมสูง มันดูแปลกตาและเป็นภาพที่น่าจดจำ พอได้มองจากตรงนี้ก็เห็นอะไรที่เคยเห็นกลายเป็นสิ่งที่เล็กเพียงฝ่ามือราวกับตัวเองได้มาอยู่ในเมืองของเล่น

นานเท่านาน ไออุ่นยังคงมองดูทิวทัศน์และซึมซับความสุขในครั้งนี้นิ่งๆ อยู่ที่เดิม จวบจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีโอล์ดโรสเหมือนดอกกุหลาบที่เขาชื่นชอบและค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะแดงฉานแต่ยังไม่ทันจะได้เห็นภาพที่ความมืดมิดอาบไล้ลงมาอย่างเชื่องช้า ประตูห้องที่ถูกปิดสนิทมาเนิ่นนานก็เปิดออก ไออุ่นหันกลับไปมองต้นตอของเสียงแล้วก็ต้องชะงักไป

“คุณ… ไวน์”

“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับนิ่งๆ

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไมครับ”

“ผมอยากได้ดอกไม้ที่ผมสั่ง”

ไออุ่นชำเลืองมองดอกไม้ในมือของตัวเอง ‘ลิลลี่’

“ผม… ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ ไม่อย่างนั้นผมคงทำเป็นช่อสวยๆ มาให้แล้วล่ะ”

ดอกลิลลี่สีขาวในมือเล็กๆ ดอกไม้ที่ไออุ่นคัดสรรมาอย่างดีถูกยื่นมาตรงหน้าชายหนุ่มวัยสามสิบในชุดสูทเนียบสีดำสนิท เขารับมันไว้แล้วเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง

“ทำไมถึงไม่หนี”

“ครับ?”

ไออุ่นไม่ใช่คนไม่ฉลาดสักเท่าไรนัก เขาแค่ใจดีกับทุกคนมากเกินไป มองโลกในแง่ดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เขาต้องหนีไปไหน

“ทำไมถึงตามมาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไปพบใคร อาจเป็นการลักพาตัวก็ได้”

“ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะครับ อาจเป็นการลักพาตัวอย่างที่คุณว่าก็ได้” ไออุ่นยิ้มนิดๆ ราวกับเรื่องลักพาตัวเป็นเรื่องขำขันแล้วจึงพูดต่อ “แต่ผมรู้แค่ว่าลูกค้าต้องการให้นำดอกไม้ไปส่งแค่นั้นครับ”

เห็นใบหน้าของไออุ่นที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไรแล้วไวน์ชักเริ่มหงุดหงิด

“ทำไมมองโลกในแง่ดีอย่างนั้น”

“ทำไมคุณไวน์ถึงได้ตั้งแต่คำถามว่าทำไม ทำไมล่ะครับ”

ไออุ่นเดินตามมายืนข้างๆ แค่ละสายตาไปไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มจะกลายเป็นสีกรมท่าเกือบทั้งหมดแล้ว เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปกติก็ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ที่ร้านหรือบางครั้งพอรู้สึกตัวอีกที ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว

“นี่!!”

ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดอะไรนักหนา เพียงแค่เห็นไออุ่นทำตัวตามสบายเหมือนไวน์เดินเข้าร้านมาเพื่อสั่งดอกไม้แล้วอีกฝ่ายก็ต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น ไออุ่นควรร้อนรนบ้าง จู่ๆ มือใหญ่ก็ดันไหล่ขวาของคนข้างๆ ให้กระแทกเข้ากับหน้าต่างที่เป็นกระจกอย่างแรง ส่งผลให้ร่างกายภายในเกิดการกระทบกระเทือน

‘แย่แล้ว’

ไออุ่นได้แต่นึกร้องไห้อยู่ในใจ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงได้กลายเป็นตุ๊กตาไขลานที่ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้อีกต่อไปแน่

“ผมเจ็บครับ”

‘เจ็บ’ ไออุ่นยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือคำว่าเจ็บ ความเจ็บปวดมีรูปร่างแบบไหนแล้วต้องแสดงสีหน้าอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเจ็บ ก็เขาน่ะเป็นตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึกยังไงล่ะ

ไวน์ทุบมืออีกข้างลงที่บานกระจกแต่ก็ไม่แรงพอที่จะทำให้มันแตกได้ อารมณ์หงุดหงิดที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในหัวใจไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เลย

“คุณไวน์ ผมกลับนะครับ”

“ไม่ได้!! ห้ามกลับ!!”

เสียงตะโกนดังลั่นแสดงออกถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่างทำเอาไออุ่นสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่เกือบจะสั่นเครือ  “ทำ… ทำไมครับ”

“บอกว่าห้ามกลับก็คือห้ามกลับ”

“เพราะ… อยากเก็บผมไว้เป็นตัวประกันใช่ไหมครับ”

ไวน์หันกลับไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาขุ่นเคือง ดูท่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลยว่าเขารู้สึกยังไง สายตาที่คอยแอบมองอยู่ตลอดเวลาที่เขาแวะเวียนไปที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรักก็น่าจะพอบอกอะไรได้บ้าง หรือแม้แต่การวางช่อดอกไม้ทิ้งไว้ให้ก็น่าจะต้องเข้าใจว่ามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงแต่กลับกลายเป็นว่าคนๆ นั้นไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรสักอย่าง

“พูดอะไรน่ะ”

“คุณไวน์ชอบเบฟ น้องชายผมใช่ไหมครับ เลยคิดที่จะเก็บผมไว้เป็นตัวประกัน ประมาณว่าถ้าผมหายไป เบฟก็คงออกตามหา พอถึงเวลานั้นคุณก็จะเสนอตัวเข้าไปช่วย”

สิ่งที่ไออุ่นคิดแทบจะทำให้ไวน์ประสาทเสีย คนๆ นี้มองโลกในมุมแปลกๆ แต่จะโกรธก็โกรธไม่ลง แววตาและท่าทางของไออุ่นดูใสซื่อราวกับว่ากำลังบอกว่าเจ้าตัวคิดแบบนั้นจริงๆ

“ผม… พูดอะไรไม่ออกเลย”

“เข้าใจครับ เป็นเพราะคุณคงไม่คิดว่าผมจะรู้ใช่ไหมล่ะครับ”

‘เป็นเพราะนายไม่รู้อะไรเลยต่างหาก’
ไวน์ได้แต่ตอบคำถามนั้นอยู่ในใจ

“ที่กระแทกเมื่อกี้ เจ็บมากไหม”

ไออุ่นทำหน้าครุ่นคิดเมื่อถูกถามอย่างอ่อนโยน เขาตอบไม่ได้ว่ามันควรจะต้องเจ็บมากหรือเจ็บน้อยแค่ไหน เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อโดนกระแทกกับอะไรสักอย่างมันน่าจะต้องเจ็บ

“นิดหน่อย… มั้งครับ”

“มั้ง? ทำไมต้องมั้ง เจ็บมากก็บอกว่าเจ็บมาก พูดเหมือนไม่แน่ใจทั้งที่ตัวคุณเองแท้ๆ”

พูดแล้วก็ให้น่าโมโหอีกสักรอบ คราวนี้จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าที่ไหล่โดนกระแทกกับบานหน้าต่างมันควรจะเจ็บขนาดไหนกันแต่ไวน์ก็ทำไม่ลง

“เจ็บ เอ่อ… ไม่มากไม่น้อยครับ”

คำตอบกลางๆ แบบนี้น่าจะพอใช้ได้ เห็นไวน์ถอนหายใจเหมือนกับจะถอดใจในคำตอบแล้วไออุ่นก็คิดว่ามันน่าจะดีแล้ว ยิ่งถูกถามมากก็ยิ่งตอบยาก

“ถ้างั้นก็ช่วยอยู่ที่นี่สักระยะนะ ได้ไหม”

“ครับ”

ไวน์มองหน้าคนที่ตอบออกมาอย่างไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยๆ การถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่นานเท่าไรก็ไม่บอก คนๆ นั้นควรจะมีความวิตกหรือกระวนกระวายใจให้เห็นบ้างแต่กลับไม่มีอะไรเลยสักอย่างราวกับว่าเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว



** ติดตามตอนต่อไป **

เราว่าในตอนนี้ต้องมีคนไม่ชอบไวน์แน่เลยอ่ะ T^T พาตัวไออุ่นออกมาจากร้าน พาออกมาจากเบฟ

สุดท้ายนี้ ขอยืมพื้นที่นี้ฝากนิยายอีกเรื่องของเราไว้ด้วยนะคะ ลงไว้ถึงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-


rockiidixon666

ตอนที่ 9 พี่ไวน์ เร่งสปีดตามมาแล้วนะคะ มาแบบ... สคิปข้ามขั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ ขอบคุณนะคะ

alternative
ขอบคุณค่ะ ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้วค่ะ ใกล้หายเป็นปกติแล้วค่ะ .... เราแอบสงสารอุ่นล่ะ เหมือนจะไปซ้ายก็ไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ แต่พอจะไปทางขวาก็ดันติดคนทางซ้าย มันดูน่าอึดอัดเนอะ

KARMI

ขอบคุณนะคะ

Nekosama
ขอบคุณค่ะ

shoky_9

ขอบคุณนะคะ ตอนนี้คุณไวน์มาแล้วนะ

insomniac
เราไม่ได้ถอนหายใจเลยค่ะ ในแต่ละตอน แต่เรานั่งกุมขมับเลย บอกตรงๆ ค่ะว่านิยายแนวดราม่าเป็นอะไรที่เราไม่ถนัดเลย ไม่เคยแต่งแนวนี้มากก่อนด้วยค่ะ แต่ทำไมถึงแต่งก็เพราะตอนที่คิดเรื่องนี้ เรานั่งฟังเพลง ookina furui dokei ของ Hirai Ken ค่ะ... เป็นเพลงที่เราชอบมากเพลงหนึ่งอ่ะค่ะ โทนเรื่องมันเลยมาแนวนี้
(เราตอบตรงประเด็นไหมเนี่ย - -")


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2017 13:27:58 โดย BlueSora »

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หงุดหงิดพี่ไวน์ลักพาตัวเขามาขนาดนี้ ก็บอกไปสิว่าชอบเขา ไม่ได้ชอบเบฟสะหน่อยย  :katai1:  :z3:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไวน์ครับ ตอนนี้ไม่น่ารักเลย

ปล. ตามไปเข้ารั้วคฤหาสน์มาแล้วจ้ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด