|| THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: || THE MACHANICAL DOLL ตุ๊กตาไขลาน || ตอนที่ 18 (END) ** 2018.01.14 **  (อ่าน 18863 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หยอดมาขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกอุ่นเอ๊ย :z3:

ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านแล้วมีคำถาม ซึ่งจะขอถามตรงๆเลยนะคะ
1 สรุปแล้วใครเป็นพระเอก (ในใจอยากให้เป็นไวน์ แต่บทน้อยเหลือเกิน ความสัมพันธ์ก็ไม่คืบหน้าสักที)
2 อุลรักเบฟแบบชู้สาวหรือเปล่า (เพราะอ่านแล้วงงกับความรู้สึกของอุลมาก ถ้าไม่ใช่แบบชู้สาว ทำไมยอมให้เบฟจูบ แบบนั้นมันยิ่งเพิ่มความหวังให้เบฟไม่ใช่เหรอ ตอนนี้อ่านแล้วเหมือนความรู้สึกมันปนเปไปหมด ทั้งความผูกพันแบบครอบครัว ทั้งรักแบบชู้สาว อยากรู้ว่าอุลรักเบฟแบบชู้สาวหรือเปล่า โดยที่ตัดประเด็นเรื่องความผูกพันและความสัมพันธ์เชิงครอบครัวไปก่อน)
3 (ข้อนี้เหมือนเป็นขอร้องมากกว่า) ถ้าเบฟไม่ใช่พระเอก รบกวนช่วยจัดการกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างอุลกับเบฟทีเถอะค่ะ รู้สึกเหมือนถ้าไม่จัดการกับความสัมพันธ์นี้ให้เรัยบร้อยจะสงสารพระเอกมากจริงๆ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 10


สี่ทุ่มแล้วยังไร้วี่แววการกลับมาของไออุ่น แต่เบฟและพีทยังคงนั่งรออย่างมีความหวัง ในขณะที่ตอนนี้มืดแปดด้าน ติดต่อไปก็ไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

“เบฟ พักสักหน่อยไหม”

“ไม่ จะรอจนกว่าอุ่นจะกลับมา”

พีทเองก็ไม่อยากถอดใจแต่ดึกขนาดนี้แล้ว ไออุ่นคงไม่กลับมาวันนี้ นั่งรอไปก็ดีแต่ทรมานตัวเองเปล่าๆ อีกทั้งเขายังถูกไออุ่นฝากให้ช่วยดูแลคนที่นั่งข้างๆ เป็นอย่างดีแล้วมีหรือที่จะละทิ้งหน้าที่นั้นได้แต่ต่อไม่ได้รับปากกับไออุ่นเอาไว้ เขาก็ต้องดูแลเบฟให้ดีที่สุดอยู่แล้วในเวลาแบบนี้

“งั้นแล้วเรื่องเรียนล่ะ”

“ไม่ไป ถึงไปก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก”

“แล้วจะทรมานตัวเองแบบนี้ไปถึงเมื่อไร”

ถึงเมื่อไร? …. คำถามที่ไม่จำเป็นต้องถามก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าตราบใดที่ไออุ่นยังไม่กลับมา เบฟก็ยังคงจะเฝ้ารออยู่อย่างนี้เหมือนที่ไออุ่นเคยพูดไว้ไม่มีผิด เด็กคนนี้เมื่อรู้ว่าคนที่รักหายไปจะไม่ยอมไปเรียนและไม่สนใจอนาคตตัวเองอีก

“จนกว่าอุ่นจะกลับมา”

“งั้นถ้าอยากนั่งรอก็อยู่นี่ เดี๋ยวพี่จะไปซื้อข้าวมาให้ กินอะไรสักหน่อยระหว่างที่กำลังรออยู่ก็แล้วกันนะ”

เบฟไม่ได้พูดอะไรเป็นอันเข้าใจว่าคงไม่ต่อต้านหรือไม่ยอมให้พีทไปซื้ออะไรเข้ามาให้ เขาจึงเดินออกไปและปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้ที่ร้านเพียงลำพัง อันที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไรที่จะปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เขากลัวว่าการที่เบฟอยู่คนเดียวจะเกิดอาการคิดมาก ฟุ้งซ่าน จิตตกไปต่างๆ นาๆ

การที่เบฟไม่มีไออุ่นอยู่ด้วยแบบนี้ ใจมันอ่อนไหวแปลกๆ เหมือนจะหมดแรงบีบรัดสูบฉีดเลือดให้ไหลไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ในหัวสมองขาวโพลนแต่ก็ยังมีคำถามว่าไออุ่นหายไปไหน ไปกับใครวนเวียนอยู่ตลอดเวลา

“ถ้าอุ่นกลับมา ผมจะไม่ยอมห่างไปไหนอีกเลย”

ดวงตาสีฟ้าครามทอดมองไปรอบๆ ตัว บรรยากาศที่เคยอบอุ่น ในตอนนี่กลับเย็บเฉียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ การไม่มีไออุ่นอยู่เคียงข้างสักคน ทุกอย่างก็ดูเหมือนหยุดนิ่ง ไร้ชีวิตชีวาทั้งที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสีสันของดอกไม้หลากชนิด

“ถ้าอุ่นกลับมา…”

น้ำเสียงอันแสนเศร้าขาดห้วงไปราวกับมีอะไรบางอย่างมาอัดแน่นจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ดั่งใจนึก หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ทั้งที่อยากจะเข้มแข็งแต่กลับทำไม่ได้เมื่อเขาคนนั้นไม่ได้อยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกครั้ง

“แค่… อึก อุ่นกลับมา”

มือใหญ่ยกปาดน้ำตาที่ไหลเปรอะแก้ม เบฟปล่อยร่างกายทิ้ง พิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ดวงตาเลื่อนลอยทอดมองไปตรงหน้า นั่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ใจไหลไปกับกาลเวลาจวบจนกระทั่งเสียงกระดิ่งที่บานประตูดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งรีบเด้งตัวขึ้นมาด้วยหวังว่าน่าจะเป็นไออุ่นที่เป็นคนเปิดมันแต่กลับต้องผิดหวัง คนที่เดินเข้ามาคือคนที่เพิ่งออกไปซื้ออะไรกลับเข้ามากิน เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อไม่ใช่คนที่อยากเจอ

“เดี๋ยวกินอะไรหน่อยนะ พี่ซื้อข้าวต้มมาให้”

“อืม”

เห็นเบฟเป็นแบบนี้แล้วพีทก็อดสงสารไม่ได้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปลูบหัวเบาๆ ปลอบโยนก่อนที่จะเดินเข้าไปหลังร้านแต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ก่อน

“พีท”

“ว่าไง”

“ทำไมต้องดีกับกูขนาดนี้ด้วยวะ”

“เพราะนายเป็นน้องพี่อุ่นไง”

“เหรอ”

พีทหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย “อืม”

“มีอะไรที่กูไม่รู้หรือเปล่า อะไรที่ยังไม่ได้บอก”

พีทชะงักไปเล็กน้อย พยายามยิ้มกลบเกลื่อนว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นความลับ ไม่มีเรื่องไหนที่ยังไม่ได้พูด

“คิดว่าพี่จะปิดบังอะไร”

“อะไรสักอย่าง ความรู้สึกมันบอกเหมือนว่ามึงกับอุ่นมีความลับที่กูไม่รู้”

“จะไปมีได้ยังไง นายนั่นล่ะที่น่าจะมีความลับระหว่างพี่อุ่นที่พี่ไม่รู้ อย่างเช่น… ไปสารภาพรักกับพี่อุ่นตอนไหน”

เบฟทำหน้ายุ่ง เขากำลังสงสัยว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ารู้ได้ยังไงว่าเขาสารภาพรักกับไออุ่นไปแล้ว

“รู้ได้ไง”

“บรรยากาศมันบอก”

พีทตอบแบบผ่านๆ อย่างวันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวไออุ่นและเบฟเวลาที่อยู่ด้วยกันมันอวลไปด้วยความหวานที่ไม่ถึงกับเลี่่ยน ความเบาบางของความห่วงหาอาธรณ์ซึ่งกันและกันเลยทำให้พอเดาได้ลางๆ ว่าต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

“มึงเป็นนักเดาหรือไง”

“ทำไม พี่เดาถูกเหรอ”

เบฟนิ่งเงียบแล้วก็ยิ้มออกมานิดๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้พีทสามารถคาดเดาอารมณ์ได้แล้ว

“นายพอจะยิ้มได้แล้วสินะ”

พีทพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เขารีบเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อจัดการเทข้าวต้มร้อนๆ ออกมาจากถุง ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งในร้านก็ได้แต่นิ่งไปพลางครุ่นคิดในใจ





หลังจากที่ไวน์บอกแกมสั่งให้ไออุ่นอยู่ที่ห้องนี้ก่อนสักระยะ เขาได้สั่งให้ลูกน้องซื้อข้าวขึ้นมาให้แต่ไออุ่นกลับไม่ยอมแตะต้องมันเลยสักนิด เอาแต่จ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ในขณะที่เขาเองก็ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ทำไมไม่กิน”

“ไม่หิวครับ”

“ไม่หิวหรือกลัวผมใส่ยาพิษลงไปในนั้น”

ใบหน้าอันงดงามนั้นประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อถูกถาม ไออุ่นอยากจะหัวเราะเสียด้วยซ้ำเพราะต่อให้อาหารตรงหน้ามียาพิษจริงก็คงไม่ตายด้วยฤทธิ์ของมันแต่คงจะตายเพราะเป็นอาหารมากกว่า

“ยิ้มอะไร”

“เปล่าครับ เพียงแต่ผมยังไม่อยากกิน”

“ไม่อยากกิน? หรือจะเอาเป็นอย่างอื่น จะได้บอกลูกน้องให้ซื้อขึ้นมา”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”

“แล้วยังไง”

“ผมจะไปมีกะจิตกะใจกินลงได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อถูกคุณรั้งตัวไว้ที่นี่ ถ้าคุณให้โอกาสผมได้ติดต่อกลับไปที่บ้านสักหน่อยมันคงจะดีกว่านี้”

ไออุ่นลองยื่นข้อเสนอดู ถึงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่การได้โทรไปพูดคุยกับเบฟก่อนก็พอจะทำให้ฝ่ายนั้นคลายความกังวลไปได้บ้าง ตอนนี้เขาพอจะนึกภาพของเด็กคนนั้นออกเลยว่าคงจะซึมกะทือ ไม่เป็นอันทำอะไรแน่

“ขอโทษนะ ผมคงให้ทำแบบนั้นไม่ได้”

“ครับ ไม่เป็นไร ผมก็พอจะเข้าใจอยู่ ว่าแต่... ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงพาผมมาที่นี่”

ไวน์นิ่งอยู่สักพักใหญ่ เขาไม่รู้ว่าจะพูดออกไปตรงๆ ดีหรือไม่ว่าเพราะเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาพาไออุ่นมาที่นี่ก็เป็นเพราะคำพูดของเด็กคนนั้น มันคงจะกลายเป็นว่าเขาทำสิ่งที่ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลยในสายตาของไออุ่น ทั้งที่รู้ดีแต่ก็ยังทำลงไป

“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”

“ถ้าไม่สะดวกใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไรครับ”

ไออุ่นไม่คิดที่จะบังคับให้ตอบและเขาก็พึงใจกับการที่ได้มาอยู่ที่นี่ ที่ที่จะทำให้เขาจากไปได้อย่างไร้ความกังวลและไม่เจ็บปวดเกินไปนักเพราะถ้าหากยังอยู่ที่ร้านมันคงยากต่อการตัดใจจาก

“ผมขอโทษที่พาตัวคุณมาแบบนี้ คุณคงโกรธผมมากสินะ”

“ผมไม่โกรธคุณเลยสักนิดครับ”

ไวน์นิ่งไปชั่วครู่ ทั้งที่ดูก็รู้แล้วว่านี่เป็นการกระทำของผู้ชายที่ไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายแต่ทำไมไออุ่นถึงยังทำเป็นนิ่งเฉย ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อยนั่นก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ใบหน้าที่แสดงถึงความยินดีในทุกสิ่งที่เขาได้ทำลงไปไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน

“ทำไมถึงไม่โกรธทั้งที่ผมทำเรื่องที่ไม่ควรทำ”

“ไม่โกรธเพราะคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ อีกอย่าง... ผมเองก็มีเหตุผลของผมที่ไม่โกรธคุณ อันที่จริงอยากจะบอกว่าขอบคุณมากกว่าโกรธด้วยซ้ำครับ”

ไวน์ไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจในการกระทำนี้เลยแม้สักนิด เขาควรจะถูกอีกฝ่ายโกรธหรือไม่ก็ต้องแสดงอาการขัดขืนออกมาบ้าง แต่ทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นกลับเป็นปกติราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายสักเท่าไรจนอดที่จะเป็นฝ่ายโมโหแทนไม่ได้ เขาจึงได้แค่ทำน้ำเสียงเข้มเป็นเชิงขู่ให้ฝ่ายนั้นได้รู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง

“คุณอยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายได้เลย อยากได้อะไรก็บอกแต่ห้ามออกไปไหน”

น้ำเสียงจริงจังราวกับเป็นคำสั่งเด็ดขาดของไวน์ ไออุ่นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิดกลับรู้สึกขำเสียด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกไปตรงๆ จึงได้แต่ยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น

“ยิ้มอะไร”

“เปล่าครับ คุณไวน์ไม่ผิดจากที่ผมคาดไปเท่าไรเลยนะครับ”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้ว

“คุณเป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน ภายนอกดูเย็นชาแต่จริงๆ แล้วใจดีและอบอุ่น”

ข้อดีและข้อเสียของไออุ่นก็คือมักจะมองฝ่ายตรงข้ามออกว่ามีอุปนิสัยอย่างไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพบเจอผู้คนมามากมายในช่วงหลายทศวรรษหรือมันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกกันแน่

ไวน์นิ่งไปสักพักใหญ่ถึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“อุ่น ถ้าเบื่อที่จะอยู่ในห้องก็บอก ผมจะพาออกไปเองแต่ไม่ให้ออกไปคนเดียวนะ”

“ครับ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากไปไหนนอกจากกลับไปที่ร้าน”

ไวน์พยักหน้า เป็นอันว่าเขาเข้าใจ

“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำเถอะ ผมให้ลูกน้องเตรียมชุดไว้ให้แล้ว”

“ครับ”

ไออุ่นรับคำแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เขาพอจะมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้อยู่ในหัวบ้างแล้ว เพียงแค่เปิดน้ำฝักบัวให้ไหลไปเรื่อยๆ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ รอให้เวลาเดินไปสักพัก จึงค่อยออกมาจากห้องน้ำแต่ไวน์ก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงลูกน้องคนนั้นที่เข้ามาข้างในแทน

“นายบอกว่าให้คุณอยู่แต่ในห้องแล้วพรุ่งนี้นายจะกลับมา อยากได้อะไรก็ให้บอกผมไว้ได้เลยแล้วพรุ่งนี้จะเอามาให้ครับ”

“ถ้าไม่รบกวนมากเกินไป ผมขอชุดอุปกรณ์ไขควงขนาดเล็กได้ไหมครับ”

คำขอของไออุ่นดูจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฝ่ายนั้นจึงได้ไม่รับปากในทันทีแต่กลับบอกให้เป็นการตัดสินใจของผู้เป็นนายเอง ส่วนตัวไออุ่นเองก็เข้าใจเพราะเขาเรียกร้องในสิ่งที่คนปกติไม่เรียกร้องกัน

“แล้ว… ไวน์ไปไหน”

“ไม่ทราบครับ ลูกน้องไม่ยุ่งเรื่องของเจ้านาย”

“อ่า….”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะเอาข้าวมาส่งให้ตอนเจ็ดโมงนะครับ ขอให้คุณอย่าออกจากห้องไปไหนเด็ดขาด”

ไออุ่นพยักหน้าเข้าใจ มองส่งลูกน้องของไวน์เดินออกจากห้องไปจนลับสายตาแล้วถอนหายใจเบาๆ เขาเกือบจะไม่รอดเสียแล้ว ถ้าไวน์ยังอยู่ในห้องก็คงถูกจับได้ว่าน้ำยังไม่โดนตัวเลยด้วยซ้ำ อย่าหวังว่าจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่เหลวในห้องน้ำเลย เขาอาจจะตายอยู่ในนั้นก่อนถ้าต้องทำจริงๆ

“อีกไม่นานแล้วสินะ”

ตุ๊กตาไขลานเดินไปหยุดอยู่ตรงบานกระจกตรงที่ไวน์เคยเอามือกระแทกลงไป เขาลูบไล้มันอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังซึมซับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่แล้วก็ต้องทอดถอนใจออกมาเบาๆ อีกครั้งราวกับกำลังพยายามคลายความกลัดกลุ้มใจที่มีทั้งหมดออกไป





เช้าวันใหม่ เบฟถูกพีทบังคับให้ไปเรียนทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาเฝ้าอดตาหลับขับตานอนรอไออุ่นกลับมาแต่จนแล้วจนรอดเมื่อรุ่งอรุณของวันถัดไปมาเยือนก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แวว ไม่มีแม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเพื่อบอกข่าวคราวให้ได้รับรู้ว่ายังปลอดภัยดีอยู่

หลังจากที่ไปมหาวิทยาลัยด้วยสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ สติแทบจะไม่มีเหลืออยู่ คำบรรยายของอาจารย์ประจำวิชาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและไม่ได้ผ่านสมองแม้แต่นิด เบฟก็กลับมาที่ร้านด้วยความหวังว่าจะได้เห็นร่างที่คุ้นเคย ได้เห็นรอยยิ้มที่ชโลมหัวใจให้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ได้ฟังน้ำเสียงรื่นหูที่มักพูดตามใจเขาเสมอ แต่ความหวังก็ยังเป็นเพียงแค่ความฝัน

เสียงโทรศัพท์ของทางร้านดังขึ้น ร่างที่ซึมกะทือก็ตื่นตัวขึ้น รีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์เอาไว้ มือใหญ่รีบคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมารับแล้วเงียบฟัง

// อุล //

แค่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ความหวาดกลัวต่างประดังประเดเข้ามา มือที่ัจับหูโทรศัพท์นั้นสั่นเทาไม่หยุด เบฟพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่นเครือแต่มันกลับเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

“คะ… ครับ แด๊ด”

// เบฟ? ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น แล้วอุลล่ะ //

“อ่า… ป๊ะป๋า ไม่… อยู่ครับ”

// ไม่อยู่? ไปไหน? //

เบฟแทบจะไม่เคยคุยกับผู้เป็นพ่ออย่างจริงจังสักครั้ง พอจะคุยทีก็กลายเป็นเรื่องซีเรียสที่ตัวเขายังรู้สึกหวาดกลัวในน้ำเสียงที่ผ่านมาตามสายโทรศัพท์

“ป๊ะป๋าออกไปข้างนอกครับ เดี๋ยว… เดี๋ยวก็คงกลับ”

// กลับ? อุลไม่ออกไปข้างนอก //

เรื่องนี้เบฟเองก็รู้ดี ไออุ่นไม่เคยออกไปนอกร้านและรู้เช่นกันว่าคำตอบนี้มันไม่น่าจะได้ผล

“ครับ”

// ไปเรียกอุลมาคุยเดี๋ยวนี้ //

“แด๊ด…”

เบฟควบคุมทั้งน้ำเสียงและจิตใจให้มั่นคงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาแทบจะประคองหูโทรศัพท์ไม่มั่นคง เรี่ยวแรงที่มีมันหายไปไหนไม่รู้

// แด๊ดจะถามอีกครั้ง อุลไปไหน //

“แด๊ดอย่าโกรธผมนะ คือ… ผมไม่รู้ว่าป๊ะป๋าไปไหน ไม่เห็นอยู่ที่ร้านตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ไม่กล้าโทรไปบอก”

เบฟนิ่งเงียบ ยอมรับชะตากรรมว่าจะต้องถูกต่อว่ายกใหญ่หรือไม่ก็ต้องโดนตัดพ่อตัดลูกกันแน่ ไออุ่นหรืออุลถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัว เขาที่อยู่กับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นมาตลอดก็ต้องรับผิดชอบต่อการหายไป อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจเช่นกันก่อนที่จะได้ยินเสียงสบถออกมาเบาๆ

// แล้วทำไมไม่โทรบอกตั้งแต่แรก //

น้ำเสียงของสเตซี่ราบเรียบไม่แฝงไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองใดๆ ยังความประหลาดใจมาให้กับเบฟ

“คือ… กลัวแด๊ดจะโกรธ”

// ใช่! แด๊ดโกรธแต่โกรธไปแล้วได้อะไร //

“แล้วแด๊ดจะทำยังไงครับ”

// พรุ่งนี้จะไปหาที่ร้าน คุยกันตรงนี้ไม่สะดวก //

“ครับ”

// วันนี้ก็… ฝากด้วยนะ รออุลกลับมาด้วยนะ //

“ครับ แด๊ดไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะอยู่รอจนกว่าป๊ะป๋าจะกลับมา”

// อืม… ดูแลตัวเองด้วยล่ะ //

“ครับ แด๊ดก็เหมือนกันนะครับ”

โทรศัพท์ถูกวางลงแล้ว เบฟทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม สะอื้นไห้ไม่เกรงใจใคร สิ่งที่หวาดกลัวมาตลอดตั้งแต่ไออุ่นหายออกจากร้านไปถูกคลี่คลายลงแล้ว ความกังวลที่มีอยู่ในใจหายไปเพียงหนึ่ง





ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวง ความครึกครื้นที่มีให้เห็นแม้ยามดึกดื่น ไออุ่นที่ยืนมองผ่านกระจกหน้าต่างเกลียดสถานที่แบบนี้ สถานที่ไร้ซึ่งความสงบชวนให้หวนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปพร้อมกับวิคเตอร์ แม้ตอนนั้นจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ ได้แต่นั่นเป็นเวลาที่เขามีความสุขที่สุด ได้มองเห็นคนที่รักตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน ได้ฟังเสียงแหบพร่าพูดคุย ได้ดูเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ตรงหน้า ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก

ไออุ่นเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวันเวลาเหล่านั้น

เสียงประตูห้องที่เปิดเข้ามาเรียกให้ไออุ่นหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเองแล้วหันไปมอง ไวน์ในชุดสูทสีดำเนี๊ยบดูอิดโรยคล้ายกับอดหลับอดนอนมาค่อนคืนเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ยกมือนวดหัวคิ้วคลายความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่คืนวาน

“คุณไวน์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าไม่ดีเลย เดี๋ยวผมไปเอานำเย็นๆ มาให้ดื่มนะครับ”

ไออุ่นกุลีกุจอไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ด้วยความเป็นห่วง

ไวน์รับแก้วนั้นไว้ ยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมไม่หนีไป”

“ไม่หนีหรอกครับ ในเมื่อคุณบอกให้อยู่ ผมก็จะอยู่”

“ถ้าผมบอกให้คุณตาย คุณก็จะตายด้วยอย่างงั้นสิ”

“ถ้ามันเป็นความต้องการของคุณ” ไออุ่นพูดเท่านี้ก่อนจะต่อท้ายประโยคนั้นในใจ ‘อีกไม่นานหรอกครับ’

ไวน์วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงกับพนักที่นั่ง มีอีกหนึ่งสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและมันรบกวนสมาธิในการทำงานตลอดทั้งวัน จวบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงได้ขอสิ่งนั้นทั้งที่ไม่ได้คิดจะหนี
“คุณอยากได้ชุดไขควงขนาดเล็กไปทำอะไรเหรอ”

“ซ่อมอะไรนิดหน่อยครับ”

“อะไร”

“ความลับ”

อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหนาเพราะวันหนึ่งไวน์จะเข้าใจเองว่าไออุ่นต้องการของพวกนั้นไปทำอะไร เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดความจริงออกไป

“ความลับ? คุณคงไม่เอามันไปใช้เพื่อหนีหรอกเพราะคุณบอกแล้วว่าจะไม่หนี”

“เชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เมื่อถามจบ ไออุ่นจึงเดินไปยืนที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังที่ที่ไกลแสนไกลแล้วพูดต่อ “ทั้งที่ผมเป็นแค่คนแปลกหน้า”

“ไม่ได้เชื่อใจแต่ผมแค่ให้โอกาสคุณเพื่อทำให้ผมเชื่อใจ”

ดวงตาสีน้ำตาลของคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาลอบมองปฏิกิริยาอีกฝ่ายแต่มันกลับสงบนิ่งก่อนที่เงาสะท้อนจากกระจกจะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่กำลังหันหลังให้อยู่นั้นกำลังยิ้มขันกับคำตอบของเขา

“คุณไวน์ใจดีจริงๆ ด้วยสินะ”

ไวน์เบือนหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับถูกจับได้ ในขณะที่ไออุ่นยังคงพูดต่อไป “จริงๆ แล้วต้องเป็นผมต่างหากที่ทำให้คุณเชื่อใจว่าไม่คิดจะหนีจริงๆ ไม่ใช่คุณที่เปิดโอกาสให้ผมแสดงความเชื่อใจ ผมถึงได้บอกว่าคุณน่ะใจดีจนผมไม่คิดจะหนีเพราะรู้ว่าวันหนึ่งคุณจะส่งผมกลับบ้านเอง”

คำพูดที่ทิ้งไว้ช่วงท้ายนั้นไออุ่นไม่รู้ว่าไวน์จะเข้าใจมันได้มากน้อยแค่ไหน

“ถ้าผมไม่พาคุณกลับล่ะ”

“ไม่มีทาง คุณต้องพาผมกลับแน่ ผมเชื่อแบบนั้น”

ไวน์ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ไออุ่นมั่นใจแบบนั้น บางทีเขาอาจจะเก็บไออุ่นไว้กับตัวตลอดกาลจนกว่าจะตายจากกันก็ได้

“คุณไวน์ครับ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอกระดาษกับปากกาด้วย อยู่แต่ในห้องมันเบื่อๆ น่ะครับ เลยอยากจะขีดเขียนอะไรเล่นฆ่าเวลาสักหน่อย”

“อืม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะให้คนเอามาให้”

“ขอบคุณครับ”

“อืม”

ไออุ่นลอบประเมินคนที่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นชัดว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นเบฟเพราะไม่อย่างนั้นคนๆ นั้นคงจะทำอะไรสักอย่างกับเขาไปแล้วแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้

“จะนอนแล้วหรือยัง”

“ใกล้แล้วครับ”

“ช่วยนั่งเป็นเพื่อนก่อนได้ไหม”

ไวน์ตบลงตรงที่ว่างข้างๆ ตัว เรียกให้ไออุ่นลงมานั่ง ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันและไออุ่นรู้ว่าเวลาแบบนี้ควรเลือกที่จะเงียบเอาไว้เป็นดีที่สุด แต่พวกเขาอยู่ท่ามกลางความเงียบซึ่งกันและกันได้ไม่นาน ไวน์ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน

“อุ่น”

“ครับ”

“กอดหน่อยสิ”

“ครับ?”

ไออุ่นไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธอะไรได้และนี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองถูกใครขอให้กอดแต่ก็ยอมทำตามคำขอ เขาโอบกอดร่างที่สูงกว่าเอาไว้หลวมๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงมวลแห่งความอบอุ่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย แม้สัมผัสไม่ได้ด้วยกายแต่เขาสัมผัสได้ด้วยใจ

“อุ่น”

“ครับ?”

“กอดให้แน่นกว่านี้ได้ไหม”

“เอ๊ะ?”

ถ้าจะให้ไออุ่นกอดให้แน่นกว่านี้ก็เท่ากับว่าจะต้องเอาหน้าซบลงบนแผ่นอกกว้างนั่นน่ะสิ พอคิดว่าต้องทำแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับที่เกิดขึ้นตอนที่เบฟกอด มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง บางทีอาจเป็นความประหม่าเพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่รู้จักมักคุ้น

“กอดผมแบบนี้เหมือนไม่ได้กอด”

ไออุ่นแอบเหลือมองอีกฝ่ายตาเขียว เขารู้สึกโกรธหน่อยๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าอ้อมกอดของเขานั้นมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแต่ก็ยังคงปฏิกิริยานิ่งเฉย

“งั้นคุณกอดผมให้ดูได้ไหมล่ะครับ จะได้รู้ว่าต้องประมาณไหนถึงจะรู้สึกว่ากอด”

พูดจบ ไออุ่นถึงได้รู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้ว เขาทำหน้าเหวอไปพักหนึ่ง ไวน์หันมาหาเขาแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวเขาให้นอนลงกับพื้นโซฟา แขนแกร่งสอดเข้ามาด้านหลัง โอบรอบกายที่เล็กกว่าอย่างเชื่องช้า ร่างสูงใหญ่โน้มกายทาบทับลงมาที่ร่างของไออุ่น

“คุณ… ไวน์”

“เรียกไวน์สิ แค่ไวน์”

ไออุ่นเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายเสียงเบา “วะ… ไวน์”

“อุ่น แบบนี้นะ ที่เขาเรียกว่ากอด”

ไออุ่นพยักหน้าแต่ยังไม่กล้าที่จะสบสายตา อ้อมกอดที่คล้ายคลึงกับของเบฟกลับนุ่มนวลอ่อนโยนกว่าทำเอาความรู้สึกของเขาปั่นป่วนไปหมด หวังว่านี่… คงไม่ใช่อาการตกหลุมรักหรอกนะ

ไวน์ขยับตัวอีกเล็กน้อย ปัดปรอยผมของอีกฝ่ายที่เลื่อนลงมาปรกใบหน้าออกแล้ว จ้องมองดวงตาสีหยกด้วยความรักใคร่พร้อมกับประทับรอยจูบลงบนหน้าผากกลมมนอย่างแผ่วเบา “แบบนี้เขาเรียกว่าจูบหน้าผากนะ”

“อ๊ะ! คุณไวน์...”

ไวน์เลื่อนตัวลงมาอีกเล็กน้อยให้หน้าผากทั้งสองได้อยู่ในระนาบเดียวกัน ใบหน้าที่อยู่ข้างใต้ห่างออกไปเพียงแค่ลมหายใจคั่น ดวงตาสีหยกอยู่ใกล้แค่เพียงสันจมูกโด่งชนกัน ลมหายใจร้อนผ่าวรดรินริมฝีปากรูปกระจับ ไออุ่นอยากจะเบือนหน้าหนีแต่เขากลับทำมันไม่ได้เมื่อถูกวงแขนกว้างห้อมล้อมเอาไว้ ถ้าหากตุ๊กตาไขลานอย่างเขาแสดงอาการออกมาได้ ใบหน้านั้นคงจะร้อนผ่าวเช่นกัน เผลอๆ มันอาจจะขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

“คุณไวน์... ใกล้...”

“เรียกแค่ไวน์สิ”

“ไวน์ครับ ปล่อยเถอะ นอนอยู่แบบนี้ คุณจะไม่สบายตัวเอานะครับ”

ไวน์ไม่อยากปล่อยให้ร่างนี้หลุดลอยไป ร่างที่เขารู้สึกทั้งอิจฉาทั้งหวงแหนราวกับไออุ่นเป็นรักแรกพบที่เขาเฝ้ารอมานาน เขาจึงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปทั้งอย่างนั้น นอนกอดร่างที่คล้ายกับจะเย็นเฉียบเอาไว้แนบแน่นพลางซุกใบหน้าลงตรงต้นคอของอีกฝ่าย “อุ่น ขอผมอยู่แบบนี้สักพักนะ”

ไออุ่นตอบรับในลำคอเบาๆ เพียงสั้นๆ  เขาเองก็อยากอยู่แบบนี้ไปสักพักด้วยเช่นกัน


** ติดตามตอนต่อไป **


ไออุ่นก็ยังไม่รู้อีกว่าไวน์ชอบตัวเองเหมือนเดิมค่ะ -*-
เรารู้สึกแบบ... เขียนไปแล้วกลัวว่ามันไม่ดีพอจังเลย (จริงๆ ก็รู้สึกมาทุกตอนที่เขียนอ่ะนะ)
แต่เรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วนะคะ อีกประมาณ 10 กว่าตอนก็จะถึงตอนจบแล้วล่ะ
ยังไงก็อยู่ตามไออุ่นกันก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



rockiidixon666

 ขอบคุณะนคะ พี่ไวน์คงคิด... "ทำขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ"

alternative

เนอะ ไวน์ไม่น่าพาตัวอุ่นมาเลย แต่ถ้าไม่พามามันจะไปต่อตอนต่อไปไม่ได้ไง
ปล. ขอบคุณนะคะ เข้าไปในรั้วแล้วเจออะไรบ้างหรือยังคะ น่าจะยังไม่เจอเพราะคนแถวนั้นยังไม่ออกฤทธิ์

Nekosama
ไออุ่นเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ดีเกิน 555+ ขอบคุณนะคะ

Altasia

ขอบคุณนะคะ
1. เป็นไวน์ค่ะ
2. จริงๆ คำตอบของคำถามนี้จะถูกบอกช่วงเกือบท้ายเรื่องเลยค่ะ ในช่วงที่อุลได้เคลียร์ทุกอย่างกับเบฟ
อุลไม่เคยรักเบฟแบบชู้สาวค่ะ เอ็นดูและรักแบบคนในครอบครัว ส่วนเหตุผลที่ยอมให้เบฟจูบ ยอมเบฟทุกอย่างเพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะต้องจากไปในสักวันซึ่งมันอีกไม่นานนี้ เขาจึงทำทุกอย่าง ยอมทุกเรื่องเพื่อให้เบฟได้มีความสุข แม้ว่าในใจของตัวเองไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยก็ตาม (อุลรู้ค่ะว่าเบฟมีตัวเองคนเดียว จริงๆ คือ... มีทั้งพ่อและแม่ แต่เบฟยึดติดกับอุลมากกว่าใคร)
3. มีเคลียร์ประเด็นนี้แน่นอนค่ะ ยังไงเราเองก็ไม่อยากให้มันค้างคาแบบนี้เหมือนกัน มันน่าอึดอัดนะกับความสัมพันธ์แบบนี้แต่กว่าจะได้เคลียร์ความสัมพันธ์นี้ ขอสารภาพเลยค่ะว่าอีกหลายตอนกว่าจะถึงตอนนั้นค่ะ



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
อุลลลล

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
แอบหวาน

ออฟไลน์ Chacha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบภาษามากเลยค่ะ รอตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เวรกรรม อุ่นไร้เดียงสาได้อย่างน่าเอ็นดู

พยายามเข้านะไวน์ แต่ว่า...อย่านอนทับอุ่นดีไหม ไขข้อปู่แกไม่ค่อยดี

ฉันยังคงสงสารเบฟเช่นเดิม เพิ่มเติมพีทมาอีกคน

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 11


ร้านดอกไม้อุ่นไอรักปิดให้บริการอย่างไม่มีกำหนดเปิด แม้จะมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาเพราะไม่เชื่อว่าร้านที่ไม่เคยปิดทำการจะปิดแบบไม่มีกำหนดอย่างนี้ ลูกค้าบางรายถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่ได้ช่อดอกไม้ฝีมือของไออุ่นติดไม้ติดมือกลับไป
เบฟใช้เวลารอไออุ่นมาร่วมสองคืนแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวหรือข่าวคราวใดๆ ให้เขาดีใจ ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ หัวใจก็เริ่มอ่อนแอ เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ เกลียดความรู้สึกที่แม้แต่คนรักก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ เสียน้ำตาให้กับความไม่เอาไหนของตัวเองมามากพอที่มันจะไม่เหลือให้ร้องไห้ได้อีก

พีทแวะมาอยู่เป็นเพื่อนเบฟตลอดช่วงเช้า หาข้าวให้กิน นั่งปลอบใจก่อนที่จะกลับไปที่ร้านของตัวเองตอนเที่ยง หลังจากนั้นไม่นานสเตซี่และรุ้งก็เข้ามาในร้าน สีหน้าของสเตซี่ดูไม่ดีเอาเสียเลย ขนาดที่ว่ามันย่ำแย่ไม่ต่างไปจากตัวลูกชาย

“อุลกลับมาหรือยัง”

คำถามแรกที่สเตซี่มาถึง เบฟไม่แปลกใจหรอกหากผู้เป็นพ่อจะรักไออุ่นมากกว่าลูกแท้ๆ

“ยังครับ”

สิ้นคำตอบของเบฟ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบที่ชวนให้อึดอัด ต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการกลับมาของไออุ่นอย่างใจจดใจจ่อ เรื่องที่พอจะทำให้สองพ่อลูกพูดคุยกันได้ด้วยดีเห็นทีจะมีแค่เรื่องของไออุ่นเท่านั้น

“ลูกดูโทรมมากเลยนะ ไม่เหมือนคราวนั้นที่เจอกันเลย ให้แม่ทำอะไรให้กินสักหน่อยไหม”

รุ้งทนไม่ได้กับความเงียบระหว่างคู่พ่อลูก ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน คำพูดที่พวกเขาสองคนพูดกันมาตลอดทั้งชีวิตก็คงถึงขั้นนับคำได้จึงคิดอยากทำลายบรรยากาศหมองๆ ให้มีสีสันขึ้นมาสักหน่อย อย่างน้อยๆ ในนี้ก็เป็นร้านดอกไม้

“ผมกินแล้วครับ”

“ถ้างั้นไปพักผ่อนสักหน่อยไหม ตาคล้ำหมดแล้วน่ะ เดี๋ยวแม่นั่งรอให้เอง”

เห็นสภาพร่างกายที่แทบจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของลูกชายแล้ว หัวใจของรุ้งก็เจ็บแปลบขึ้นมา เธอสงสารลูกชายที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นห่วงไออุ่นที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือไปตกระกำลำบากที่ไหน

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว”

“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ แม่เป็นห่วง”

“ครับ”

เบฟรับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ผู้เป็นแม่มอบให้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากไปไหน

“เบฟ แด๊ดมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

น้ำเสียงจริงจังของสเตซี่ทำให้รุ้งรู้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นเป็นเรื่องอะไรจึงเดินเลี่ยงไปที่ครัว ปล่อยให้สองพ่อลูกได้พูดคุยเจรจากันเองแต่ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอกลัวว่าพวกเขาจะเผลอทะเลาะกัน

“แด๊ดจะคุยเรื่องอะไร”

เบฟออกจะแปลกใจอยู่นิดหน่อย ปกติพวกเขาก็ไมค่อยมีเรื่องอะไรให้คุยกันอยู่แล้ว บางครั้งที่อยู่ต่อหน้ากันและกันก็ยังไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกันดี มีเพียงเรื่องของไออุ่นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่พอจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้นได้บ้าง

“อุลได้พูดอะไรหรือเปล่าตั้งแต่ที่กลับมา”

“ป๊ะป๋าบอกว่าแด๊ดจะรับผมกลับ”

“แค่นั้นเหรอ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกเลยเหรอ”

“ไม่ครับ”

สเตซี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมไออุ่นถึงได้พูดแค่นี้ ทั้งที่สิ่งที่เขาอยากให้เป็นมันไม่ใช่แบบนี้เลยแท้ๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันผิดแผนไปหมด “เฮ้อ~ นี่ฉันทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า”

เบฟไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูดเลยแม้แต่น้อย

“เรามานั่งคุยกันเป็นกิจจะลักษณะดีกว่า ยืนคุยแบบนี้ไปนานๆ ขาแด๊ดคงตะคริวกินก่อน”

สเตซี่ทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งที่อยู่ภายในร้าน ส่วนเบฟเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ที่อยู่หลังเค้าท์เตอร์ ระยะห่างขนาดนี้ดูก็รู้ว่าพ่อลูกคงไม่กินเส้นกันเท่าไร

“รู้หรือเปล่าว่าวันนั้นที่แด๊ดคุยกับอุลเรื่องรับแกกลับมาอยู่ด้วยกัน เขามีสีหน้ายังไง”

เบฟจะไปรู้ได้ยังไงในเมื่อเขามีโอกาสอยู่ที่บ้านหลังนั้นแค่สองวันและเขาก็ทำตัวติดกับไออุ่นตลอดเวลา จะมีแยกจากกันก็แค่ตอนไปอาบน้ำกับตอนที่เข้าไปช่วยทำครัวเท่านั้นและหลังจากนั้นก็กลับมาอยู่ที่ร้านโดยที่ปล่อยไออุ่นไว้ที่บ้านหลังนั้นตั้งเกือบหนึ่งสัปดาห์ ถ้าหากมันจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น เขาย่อมต้องไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

“อุลดูเจ็บปวดมากนะตอนที่รู้ว่าแด๊ดจะขอให้แกกลับไปอยู่ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกลงโดยไม่ปฏิเสธสักคำ เพราะอะไรรู้ไหม… อุลน่ะมักจะคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ”

“แด๊ดรู้ว่าป๊ะป๋าเจ็บก็ยังจะให้ผมไปอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ! แด๊ดจำไม่ได้เหรอว่าทวดบอกว่ายังไง! แด๊ดลืมไปแล้วเหรอว่าเรื่องของป๊ะป๋าต้องมาก่อนเสมอ! แด๊ดโคตรใจร้ายเลย!!”

สเตซี่รู้อยู่แล้วว่าเมื่อเบฟรู้ความจริงจะต้องโกรธมากจึงยังเงียบอยู่และความจริงที่เขาพูดไปนั้นเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เลิกสนใจอารมณ์ของลูกชายแล้วเตรียมรับมือกับความโกรธครั้งใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม

“ใช่! แด๊ดใจร้าย ที่บอกว่าจะขอแกกลับไปเป็นเรื่องโกหก”

หัวใจของเบฟเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตแล้วตามด้วยการยัดมันเข้าไปในช่องฟรีซ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้ ทั้งสับสนทั้งโมโห หลากหลายอารมณ์ในคราวเดียว

“โกหกงั้นเหรอ”

เบฟลุกขึ้นยืนพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ คล้ายกับจะระบายอารมณ์ทั้งหมดของตัวเองออกมา จ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยความโกรธเคืองระคนไม่พอใจ ริมฝีปากบางบิดเป็นรูปทรงประหลาดเมื่อเจ้าตัวพยายามระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟระเบิด “เป็นเพราะแด๊ด!! เพราะแด๊ดคนเดียว!!”

สเตซี่ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขารู้ตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับไออุ่นเป็นความผิดของตัวเองทั้งหมดจึงยอมรับชะตากรรม ต่อให้ถูกลูกชายเพียงคนเดียวเกลียดเข้ากระดูกดำก็จะไม่มีวันโกรธหรือโทษใครเลย

“ถ้าไม่เป็นเพราะแด๊ด ป๊ะป๋าคงไม่หายไปแบบนี้!!!”

“อุลไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นด้วยการน้อยใจแล้วหนีออกไปหรอก แกคิดว่าแด๊ดอยู่กับอุลมานานแค่ไหน! มากกว่าอายุแกด้วยมั้ง”

เป็นความจริงที่ว่าสเตซี่ถูกอุลดูแลเลี้ยงดูมาตลอดสามสิบกว่าปีจนกระทั่งแต่งงานไป เบฟที่อยู่ด้วยกันมาตลอดยี่สิบปีจะไปสู้อะไรได้ เขาย่อมรู้จักอุลมากกว่าที่เบฟรู้จักจริงๆ เสียอีก

“อยู่ด้วยกันนาน ไม่ได้จะแปลว่ารู้จักกันดี”

เสียงของเบฟเข้มขึ้น เขาทั้งโกรธทั้งโมโหแต่พยายามสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ระเบิดไปมากกว่านี้ พอดีกับที่รุ้งเดินออกมาพร้อมช็อคโกแลตเย็นแก้วหนึ่ง เธอหวังว่ามันจะช่วยคลายความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในอกของลูกชายไปได้บ้าง

“เบฟ แม่ว่าลูกใจเย็นๆ ก่อนนะ”

“เย็น?”

“ฟังแด๊ดพูดให้จบก่อนแล้วค่อยโมโหก็ยังไม่สายนะ”

สเตซี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภรรยาเขาตั้งใจจะช่วยชีวิตเขาจากอารมณ์โมโหของลูกชายหรือตั้งใจจะให้เขาถูกลูกชายเหวี่ยงใส่แบบคอมโบ้เซ็ตกันแน่

“ให้ผมฟังอะไร! ไม่ใช่เพราะแด๊ดเหรอที่ทำให้ป๊ะป๋าหายไป”

เบฟพาลฟาดงวงฟาดงาใส่ผู้เป็นแม่ เอาแต่คิดว่าการที่ไออุ่นหายออกไปจากร้านโดยไม่ติดต่อกลับมานั้นเป็นความผิดของสเตซี่ฝ่ายเดียว หากไม่ยื่นคำขอบ้าบออะไรนั่นปัญหาแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

“ก็จริงที่แด๊ดก็มีส่วนผิดแต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าแด๊ดเสียใจแค่ไหนที่เกิดเรื่องขึ้น แม่อยากให้ลูกใจเย็นแล้วตั้งสตินะ”

เบฟคว้าแก้วน้ำที่อยู่ในมือรุ้งเอามาดูดเผื่อว่าความเย็นของมันจะขึ้นสมองแล้วไล่ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ออกไปได้บ้าง รุ้งเห็นลูกชายพอจะสงบลงได้บ้างเล็กน้อยแล้วจึงพยักพเยิดให้สเตซี่ได้พูดต่อ

“เอาล่ะ! แด๊ดก็พูดไปแล้วว่ามันเป็นความผิดของแด๊ดเองที่แค่อยากลองใจอุล เห็นเขารักแกถึงขนาดยอมปล่อยให้มาอยู่กับแด๊ดทั้งที่ตัวเองก็เสียใจ แด๊ดก็รู้แล้วแต่ไม่คิดว่าวันที่โทรมาเพื่อจะขอโทษเรื่องที่แด๊ดโกหกว่าจะขอรับแกไปอยู่ด้วย อุลก็ดันไม่อยู่ฟัง”

“ลองใจ?”

ยิ่งฟังเบฟก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมต้องลองใจ

“แกไม่รู้สินะ อุลน่ะชอบเก็บความรู้สึกของตัวเอง ต่อให้เขาไม่อยากคืนแกให้กับแด๊ดแต่เขาก็จะไม่ปฏิเสธแล้วบอกว่าเข้าใจเหตุผล วันนั้นที่แด๊ดพูด สีหน้าของอุลดูไม่ดีเลยแต่เขาก็ยังยิ้ม ทั้งที่เขาจะปฏิเสธสิ่งที่แด๊ดขอก็ได้แต่เขากลับไม่ทำ เขาน่ะรักแกมากนะ รักจนเผลอทำร้ายตัวเอง”

เบฟไม่รู้จะยินดีปรีดาที่ไออุ่นรักเขามากหรือควรจะเสียใจดีที่วันนั้นยอมตามใจไออุ่นด้วยการรับปากว่าจะไปอยู่กับพ่อแม่ตามที่ต้องการ

“แล้วทำยังไงดี”

“รอ ทำอะไรไม่ได้ พวกเราทำได้แค่รอ”

คำตอบของสเตซี่เหมือนกับคำตอบของพีทในวันนั้นที่เบฟเปรยถาม

“ทำไม ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้เลย ตามหาไม่ได้เหรอ แจ้งความได้ไหม ผม… อยากทำอะไรก็ได้ที่พอจะหาเบาะแสการหายไปของป๊ะป๋าแม้มันจะไม่ได้ผลก็ตาม”

“อุลไม่รู้จักใคร ไม่เคยออกไปไหน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีบัตรประชาชน จะให้ไปตามหายังไง”

เบฟยอมรับในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูด พวกเขาไม่มีอะไรสักอย่างแล้วจะต้องไปเริ่มต้นหาจากที่ไหน ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือรอและภาวนาให้ไออุ่นกลับมาอย่างปลอดภัย

“ก็ได้ ผมจะรอ”





ผ่านไปหลายวันแล้วสำหรับการที่ไออุ่นได้อยู่แต่ในห้อง เขาได้กระดาษ ปากกาตามคำขอรวมถึงอุปกรณ์ไขควงขนาดเล็ก ในช่วงที่ผ่านมานั้นไวน์แวะมาทุกวันแต่ไม่เคยอยู่ค้าง นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องสรรหาเหตุผลว่าทำไมเนื้อตัวถึงไม่มีกลิ่นหอมของสบู่ แต่ใช่ว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเสียเมื่อไรเพราะไออุ่นยังต้องคอยตอบคำถามเรื่องปริมาณอาหารที่แทบจะไม่ลดลงเลย เขาอ้างนู้นอ้างนี่จนไม่รู้จะยกอะไรขึ้นมาอ้างได้อีกแล้ว

“อุ่น ทำไมไม่กิน”

“เอ่อ… เดี๋ยวค่อยกินครับ ผมยังไม่หิว”

คำอ้างแรกๆ ถูกวนลูปกลับเอามาใช้ใหม่อีกรอบจนไออุ่นเองก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ถ้าวันนี้ไม่ถูกไวน์จับกรอกปากก็คงถูกสั่งให้ไปอาบน้ำตามสเต็ปเดิมที่พอเวลาถูกปฏิเสธ ฝ่ายนั้นก็บอกให้ไปอาบน้ำ เขาที่เป็นแค่ตัวประกันย่อมไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งอยู่แล้ว

“ทำไม ผมอยู่ด้วยแล้วกินไม่ลงหรือไง”

ไวน์ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ทุกครั้งที่มาหา ฝ่ายนั้นก็เอาแต่นั่งจ้องอาหารไม่วางตาจนอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

“เปล่าครับ ว่าแต่ไวน์เถอะครับ เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนี้ ไม่กินเหรอครับ”

“ผมกินมาแล้วล่ะ”

ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างกันนอกเหนือจากนี้เหมือนหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาพูดคุยกันแค่เรื่องอาหารและการอาบน้ำเหมือนสมองถูกเซตคำถามให้มีอยู่แค่นี้จนไออุ่นเป็นฝ่ายที่อดรนทนไม่ได้เอง

“เรา... ไม่คิดจะคุยกันเรื่องอื่นบ้างเหรอครับ”

สายตาคมเฉียบที่มองตรงมาทำเอาไออุ่นรู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรพลาดไป

“อุ่นอายุเท่าไร”

ไออุ่นไม่คิดว่าจะถูกถามเรื่องอายุเลยนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากเขาบอกความจริงออกไป อีกฝ่ายต้องไม่เชื่อแล้วคิดว่าเขาโกหกแน่

“ถามเรื่องอายุคนอื่นนี่มันเสียมารยาทนะครับ ผมก็อายุน้อยกว่าคุณไม่กี่ปีหรอก”

“ผมก็คิดแบบนั้น”

“อ่า…”

“แล้วจบอะไรมา”

คำถามของไวน์คำถามนี้ดูเป็นคำถามที่ตอบยากเพราะไออุ่นไม่ได้เรียนจบทางไหนมาทั้งนั้น ที่อ่านออกเขียนได้ในทุกวันนี้ก็ได้เจนีวา เฮเลน สเตซี่และเบฟช่วยสอนให้ ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิดก็อาศัยค้นคว้าในอินเตอร์เน็ต

“ไม่จบครับ”

“ไม่จบ? แปลกนะ ทั้งที่น้องชายเรียนมหาวิทยาลัยแต่คนเป็นพี่กลับเรียนไม่จบ”

“ครับ พอดีทางบ้านประสบปัญหาทางการเงินก่อน เลยจำเป็นต้องส่งเสียได้คนเดียว ผมเลยคิดว่าให้น้องชายเรียนต่อน่าจะดีกว่า”

ไออุ่นคิดเรื่องโกหกสดๆ ร้อนๆ ในขณะที่รู้สึกกลัวว่าจะถูกจับเท็จได้ แต่คาดว่ามันไม่น่าจะมีพิรุธอะไรในเมื่อไวน์ไม่ใส่ใจที่จะซักไซ้เรื่องการศึกษาต่อ เขาแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“แล้วเปิดร้านมาได้กี่ปีแล้วล่ะ”

“สี่สิบปีแล้วครับ”

“ถ้างั้นก็เปิดก่อนคุณเกิด ถูกต้องไหม”

“ครับ”

ไออุ่นรู้สึกเหมือนคำถามของไวน์เริ่มต้อนให้เขาจนมุม สายตาที่มองมานั้นนิ่งเฉยแต่แฝงไปด้วยความครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่สังหรณ์ใจได้ว่าถ้าไม่รีบเบี่ยงประเด็นก็จะถึงคราวซวยของตัวเองอย่างถาวร แม้จะรู้สึกดีต่อฝ่ายนั้นมากแค่ไหน แต่ถ้ารู้ความจริงขึ้นมา บางทีสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจพลิกกลับจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือได้ในทันที

“ว่าแต่คุณจะไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ลองตั้งคำถามดูบ้างเหรอครับ”

ไวน์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้ไออุ่นเป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง เขาเองก็ถามไปหลายคำถามจนเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่างแล้วเหมือนกัน

“ถ้างั้นผมขอถามคุณกลับสี่คำถามเท่ากับที่คุณถามผมมาก็แล้วกันนะครับ คำถามแรกคือคุณชอบเบฟ น้องชายผมเหรอครับ”

ไวน์หลุดหัวเราะเบาๆ เขาไม่คิดว่าจนถึงตอนนี้ไออุ่นจะไม่รู้เลยว่าเขาชอบใครกันแน่ “เปล่า ผมไม่ได้ชอบเขา”

ไออุ่นทำหน้างงแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยิงคำถามต่อไป “แล้วคุณไม่ได้ชอบน้องชายผมแน่เหรอครับ”

“อืม แน่สิ”

ไออุ่นออกอาการโล่งใจ ถ้าหากไวน์ชอบเบฟจริงๆ ก็คงเสียใจและผิดหวังมากแน่ถ้ารู้ความจริงว่าในใจของคนที่แอบชอบกลับไม่มีตัวเองอยู่เลย และเขาเองก็ไม่อยากให้ใครเสียใจ แต่กลับกลายเป็นว่าอาการแบบนั้นของเขาทำให้ไวน์เข้าใจผิด

“สองคำถามแล้วนะ” ไวน์เตือนสติ

“ครับ แต่ผมไม่รู้จะถามอะไรดีแล้ว งั้นจะยกประโยชน์ให้คุณถามผมในส่วนของคำถามที่เหลือก็แล้วกันครับ”

ความใจดีของไออุ่นย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าตัวเสียแล้วเมื่อฝ่ายตรงข้ามกระตุกยิ้มมุมปาก เขากำลังมีเรื่องที่อยากถามต่อจากเมื่อครู่อยู่พอดี ไม่คาดฝันว่าจะถูกโยนโอกาสที่มันควรจะหลุดลอยไปกลับคืนมาให้ ไวน์ดูพึงพอใจเป็นอย่างมากก่อนที่แววตาสีอำพันคู่นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย

“คำตอบที่คุณตอบผมมาทั้งหมดคือเรื่องโกหกใช่ไหม”

“เอ๊ะ?”

ไออุ่นมีสีหน้าแปลกใจแต่มันไม่เนียนเลยสักนิด

“หึ! คิดว่าผมโง่เหรอ ร้านดอกไม้นั่นเป็นชื่อของรุ้งลาวัลย์ พรมี มีสามีคือสเตซี่ บรอมฟอร์ด และพวกเขามีลูกชายคนเดียวคือเด็กที่ชื่อเบฟ”

ไออุ่นชะงักไปเล็กน้อยแต่ใบหน้านั้นก็กลับมาเปื้อนรอยยิ้มได้ไม่ยาก

“ถ้าผมบอกว่าผมเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงก่อนเบฟจะเกิดล่ะครับ”

“ตามฐานระบบทะเบียนราษฎร์เท่าที่ผมไปตรวจสอบมานะ ไม่มีชื่อของไออุ่น บรอมฟอร์ดหรือไออุ่น พรมี หรือแม้แต่หลักฐานอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอุ่นในระบบเลยสักที่”

“สงสัยในตัวผมถึงขั้นต้องไปสืบหาความจริงเลยเหรอครับ จริงๆ แล้วผมกับคุณไม่ได้มีอะไรที่จะต้องมาข้องเกี่ยวกันเลยสักนิด คุณแค่เป็นลูกค้า ส่วนผมก็แค่เจ้าของร้าน ผม… ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณทำเลยครับ ไวน์”

อย่าคิดว่าจะมีเพียงไออุ่นที่ไม่เข้าใจในการกระทำของไวน์ ตัวไวน์เองก็ไม่เข้าใจว่าทั้งที่เขาพูดถึงขนาดนี้แล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่แสดงอาการร้อนรนและคายความจริงออกมาให้ได้ยินแม้แต่คำพูดเดียว … ทำไมถึงยังต้องปิดบังความจริงกันอยู่อีก หรือเขาที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนสำคัญที่จะให้รับรู้ได้ ความน้อยอกน้อยใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นย่อมมี เพียงแต่ไวน์แค่เก็บมันเอาไว้ในใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่ทว่าน้ำเสียงกลับปิดเอาไว้ไม่มิด “ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังดันทุรังปิดบังความจริงอยู่อีก”

ไออุ่นยิ้มหวานให้แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ไวน์รู้สึกว่ามันกำลังเยาะเย้ยความโง่เขลาของตัวเขาอยู่ รอยยิ้มที่สวยงามในตอนนี้เขารู้สึกเกลียดมันจับใจ

“ผมเองก็ไม่เข้าใจครับว่าทำไมคุณถึงได้อยากรู้ความจริงนักว่าผมเป็นใคร มาจากไหน รู้ไปแล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอกครับ เผลอๆ มันอาจจะทำให้คุณเกลียดผมมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้”

ไออุ่นไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ จนสร้างบันดาลโทสะให้กับไวน์ไม่รู้ตัว ร่างที่สูงกว่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ตรงเข้าไปกระชากแขนของไออุ่นซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจนเก้าอี้ล้ม ร่างที่เล็กกว่าเซถลาไปด้านหลังแล้วถูกลากไปจนหลังกระแทกเข้ากับกำแพงปูนเสียงดัง

ร่างสูงโน้มตัวลงต่ำเข้าบดเบียดริมฝีปาก ความโกรธยังคงครุกกรุ่นอยู่ในใจ โกรธที่ไออุ่นไม่พยายามเข้าใจในการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อยส่งผลให้รอยจูบนั้นทวีความรุนแรงขึ้น ร่างที่อยู่ต่ำกว่าพยายามเบือนหน้าหนีแต่กลับสู้แรงไม่ได้ เขาที่ถูกล็อคตัวให้ติดกับกำแพงไม่มีทางให้ดิ้นหนี

“อื้อ~ ยะ…”

เสียงครวญครางของร่างที่อยู่ในอ้อมแขนพาให้สติของไวน์เตลิด เสียงอันแสนไพเราะที่เขาอยากได้ยิน ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่เขาอยากสัมผัสมาตลอด ร่างกายอันบอบบางที่อยากทาบทับลงไป ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ตรงหน้าแล้ว ริมฝีปากบางรุกไล้โลมเลียไปทั่วใบหน้าด้วยความโหยหาหน้ามืดตามัว มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อตัวบางลูบไล้ไปตามร่างกาย แม้ไออุ่นจะพยายามขัดขืนเท่าไรมันก็ไม่เป็นผล การรุกรานผสานความอยากครอบครองของคนตรงหน้านั้นรุนแรงจนเขาอยากร้องไห้

“มะ… ไม่ ไม่”

เมื่อริมฝีปากไม่ได้ถูกยึดครอง ไออุ่นจึงมีโอกาสที่จะพูดขอร้องให้หยุดการกระทำแบบนี้

“ขอร้อง…. อย่า…”

มือเล็กพยายามป่ายปัดไปรอบตัวป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกล่วงล้ำไปมากกว่านี้แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อไหล่ซ้ายที่พอขยับได้หน่อยก็ติดกับอะไรสักอย่างเข้าจนไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนมันก็ยังนิ่งเฉย

“ไวน์… ขอร้อง”

คำขอร้องของไออุ่นดูจะไม่มีผลอะไรเลย ไวน์ยังไม่หยุดการกระทำกับร่างกายของเขาแม้ว่าการเล้าโลมพวกนี้จะไม่ทำให้ตุ๊กตาไขลานรู้สึกเหมือนที่มนุษย์ทุกคนควรจะรู้สึกแต่ไออุ่นไม่อยากให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาควรต้องหยุดไวน์เสียแต่เนิ่นๆ

“หยุดเถอะนะ ขอร้องล่ะ หยุดเถอะ ได้โปรด”

ผู้ที่กำลังทำการยึดครองทุกส่วนสัดของร่างกายหยุดชะงักไปดื้อๆ ราวกับคำพูดเหล่านั้นช่วยดึงสติเขากลับมา หากไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถลำลึกไปมากเท่าไร

“ขอบคุณนะ”

ไออุ่นก้มหน้านิ่งกล่าวขอบคุณที่อีกฝ่ายยั้งมือ ไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะเขากลัวว่าเมื่อทุกอย่างดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถหยุดได้อีกแล้ว ความจริงที่เขาเฝ้าปิดบังมาตลอดจะต้องปรากฏขึ้นแน่
มือเล็กจับแขนข้างซ้ายของตัวเองไว้แน่นเพื่อปกปิดว่ามันไม่อาจขยับได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ร่างทั้งร่างที่ถูกกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างแรงคงใกล้จะใช้งานไม่ได้เต็มที วันที่ไออุ่นจะต้องจากไปอยู่ใกล้แค่เอื้อมเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากนัก ร่างเล็กค่อยๆ ขยับตัวหนีไปด้านข้างด้วยการเอาหลังชิดพิงกำแพงเอาไว้

“ขอโทษ”

ไออุ่นไม่ได้นึกถือโทษโกรธเคืองอะไรแต่ยังไม่พร้อมเผชิญหน้า เขาจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไปแต่สำหรับไวน์ที่เป็นผู้กระทำผิด เขากลับคิดว่าฝ่ายนั้นต้องโกรธมากแน่ที่เขาเผลอตัวเผลอใจทำอะไรไม่ให้เกียรติลงไป
ไออุ่นยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในบานกระจก สีหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นความตกใจ ความวาบหวามที่เกิดขึ้นในหัวใจ ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อถูกประทับริมฝีปาก หรือแม้แต่ทุกความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในหัวสมองเวลานี้

“ทำไม...”

ไออุ่นยกมือขึ้นแตกริมฝีปากตัวเองเบาๆ ลูบไล้ไปมาอย่างไม่เข้าใจ

“ขอโทษนะ เบฟ... ขอโทษ”

บางที... เขาอาจจะหลงรักไวน์เข้าจริงๆ เสียแล้ว




ไวน์นั่งสำนึกผิดอยู่บนโซฟาเงียบๆ เพียงลำพังในขณะที่ไออุ่นก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ยอมออกมาร่วมชั่วโมง เขาวู่วามเกินไปรวมทั้งตอนนั้นกำลังโมโห ทุกอย่างเลยดูแย่อย่างนี้อีกทั้งบรรยากาศระหว่างเขากับไออุ่นอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางติดลบ

กว่าที่ไออุ่นจะยอมเดินออกมา เหน็บก็กินร่างของผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาไปครึ่งท่อนแล้ว เขาดีใจมากที่ได้เห็นหน้าไออุ่นอีกครั้งหลังจากที่ตัวเองได้กระทำผิดลงไป กำลังจะลุกขึ้นไปหาแต่ก็ล้มลงโซฟาด้วยเพราะขาที่ชาจนไม่มีแรงจะทรงตัว
“ไวน์! ระวังครับ”

ไออุ่นรีบวิ่งไปดูอาการด้วยความเป็นห่วง

“ระวังหน่อยสิครับ อย่าลุกเร็วแบบนั้น เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมล้มไปกับพื้นแทนที่จะเป็นโซฟานะครับ”

“อุ่น”

เสียงเข้มเรียกชื่อของไออุ่น เจ้าของชื่อถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าทำเกินกว่าหน้าที่ของตัวประกันไปแล้ว เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนอีกทางที่ทิ้งระยะห่างระหว่างกันเอาไว้พอประมาณ

“ขอโทษนะครับที่ผมเป็นห่วงคุณ”

“เป็นห่วงผม? แล้วทำไมต้องขอโทษ”

“ผมที่อยู่ที่นี่ในฐานะเชลยหรือตัวประกันไม่มีสิทธิเป็นห่วงใครได้หรอกครับ”

เพราะอยู่ห่างกันเป็นวา อีกทั้งไฟในห้องก็แค่แสงสลัวจากหลอดไฟดรีมไลท์ ไวน์จึงเห็นไม่ชัดว่าไออุ่นกำลังมีสีหน้าแบบไหนแต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินกลับทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

“อุ่น โกรธหรือเปล่า”

“เรื่องอะไรครับ”

“ทุกเรื่องที่ผมทำ มันทำให้อุ่นโกรธ เกลียดผมหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ผมไม่โกรธ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณทำแบบนั้นไปทำไมก็เถอะ”

มันน่าแปลกและแปลกมากเสียด้วย โดยปกติแล้วผู้ที่ถูกลวนลามควรร้องไห้ฟูมฟายหรือไม่ก็ต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปแล้วแต่เรื่องแบบนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับไออุ่น ความอ่อนโยนที่สื่อผ่านน้ำเสียงของผู้พูดยิ่งตอกย้ำให้ไวน์รู้สึกผิดกับการกระทำเพียงชั่ววูบของตัวเอง

“เพราะผมรักอุ่น”

แววตาสีหยกไหววูบอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คาดคิดว่าคนที่ไวน์รักจะกลายเป็นเขาเสียได้ ก่อนเอื้อนเอ่ยเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองออกมาอย่างเชื่องช้า “รัก… ผมเหรอครับ”

“เพราะรัก ผมเลยอยากรู้เรื่องอุ่น อยากรู้จักอุ่นให้มากกว่านี้ อยากได้ยินความจริงจากปากของอุ่นแต่อุ่นก็ยังปิดบัง ไม่ใช่ทำได้แค่เดินเข้าร้าน สั่งดอกไม้ แล้วทุกอย่างก็จบหลังจากที่ผมเดินออกมา”

ไวน์ว่าตัวเองช่างโง่เขลากับเรื่องของความรักมากนัก ทั้งที่รักชอบอยู่เต็มอกแต่กลับหาวิธีสารภาพรักได้แย่มาก คงไม่มีใครคิดที่จะพาคนรักมากักขังหน่วงเหนี่ยว เผลอคิดล่วงเกินร่างกายนั้นแล้วบอกว่าทำไปเพราะว่ารัก มันดูไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย

“ขอโทษนะครับที่ผมตอบเรื่องที่ไวน์อยากรู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะอะไร ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรแล้วเพราะผมไม่โกรธหรือเกลียดไวน์หรอกครับ”

ไออุ่นได้แต่ยืนมองดูร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาห่างๆ เขาทั้งนึกขอบคุณที่อีกฝ่ายมอบความรักมาให้แต่ในขณะเดียวกันก็นึกขอโทษที่ไม่อาจเอ่ยปากตอบรับรักนั้นได้อย่างเต็มคำ ทั้งที่แววตาสีอำพันนั้นช่างคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งที่เขาน่าจะรู้สึกยินดีปรีดามากกว่านี้แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันไปต่อไม่ได้

“ไม่โกรธ? ไม่เกลียด?”

“ครับ ไวน์รู้แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

ไออุ่นพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าตัวเองคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ บางสิ่งบางอย่างกำลังผูกมัดเขาเอาไว้จนไม่สามารถกระทำได้ตามใจชอบ เขาส่งยิ้มจางๆ อย่างอ่อนโยนไปให้พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างกายแล้วเอนตัวซบอิงไหล่กว้างอย่างช้าๆ

“ขออยู่แบบนี้ไปสักพักนะครับ ได้ไหม”

ไวน์ตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ แล้วเอื้อมมือประคองกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น ถ้าไออุ่นจะให้เขารู้เพียงเท่านี้ เขาก็ต้องรู้เพียงเท่านี้แม้ในใจจะมีคำถามอีกมากมายที่อยากจะถามออกไปก็ตาม   


** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้สำหรับเราแล้วไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่คือว่า... อุ่นก็รู้แล้วเนอะว่าไวน์ชอบตัวเอง
คิดเองเออเอง เข้าใจผิดมาหลายตอนแล้ว แต่มันยังติดปัญหาที่เบฟอยู่อีก T^T

ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ แอบขอฝากเรื่องหนูจ้าวกับพี่ตฤณ (คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ) อีกเรื่องด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ



-----------------------------------------------------


sirin_chadada
ขอบคุณค่ะ

KARMI
ขอบคุณค่ะ

shoky_9
ก็แอบหวานนิดหน่อย มันต้องมีบ้างเนอะ นิดนึงก็ยังดี ขอบคุณนะคะ

Chacha
ขอบคุณนะคะ

alternative
ฮ่าๆๆๆ อุ่นก็นะ... แบบว่า... จริงๆ อยากจะบอกอุ่นว่า "ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...."
ขอบคุณนะคะ


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไวน์ ๆๆๆๆๆๆ

เบามือหน่อยเถอะ อุ่นตัวนิดเดียวเองนะ

และ...เย้! อุ่นรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รักอุ่น แต่ทำไมชอบทำร้ายร่างกาย กระชากเอย ผลักไปกระแทกผนังเอย ตอนอยู่กับครอบครัวบรอมฟรอดพวกเขาดูแลไออุ่นอย่างดีมาตลอด พอคุณไวน์ลักพาตัวไปนี่ทำร้ายอุ่นหลายทีแล้วนะ ถ้าอุ่นจะขยับตัวอีกไม่ได้วันนี้พรุ่งนี้นี่โทษตัวเองเลยนะไอ้คุณไวน์ รักยังไงใช้กำลังตลอด ไม่รู้จักถนอมเอาเสียเลย
แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปคิดล่ะเนอะว่าคนที่ตัวเองชอบจะเป็นหุ่นยนต์ แถมเป็นหุ่นยนต์ที่เครื่องรวนใกล้เจ๊งเต็มทีแล้วด้วย

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
พี่ไวน์คนแปลก เข้าหาคนที่ชอบแบบแปลกๆ เหมือนพี่เขางงๆ  :laugh:

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ถ้าไวน์รู้จะทำยังไงนะ จะทำทุกอยากให้ได้อยู่ต่อไปกับอุ่นอีกไหม

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนูจ้าวมากระซิบให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ หนุกหนาน ๆ รอตอนต่อไปจ้า  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ติดที่เบฟแล้วสินะ ... เบฟหวงและห่วงอุ่นมากๆเลย ...

ออฟไลน์ Death_note

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากจะรู้ถ้าไวน์รู้ความจริงจะทำยังไงงต่อไป รักอุ่น เชียไวน์เต็มที่

ออฟไลน์ Misakiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สำนวนดี นิยายสนุกมากเลยค่ะ รอติดตามนะคะ สู้ๆ  :yeb:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 12


ตั้งแต่วันนั้นที่ไวน์เผยความในใจ เขาก็หายไปหลายวัน ไม่แวะเข้ามาหาหรือแม้แต่ถามไถ่ข่าวคราวจากพวกลูกน้องก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ ในตอนนี้ร่างกายของไออุ่นเองก็ไม่เหมือนเดิม หัวไหล่ซ้ายที่ควรจะขยับได้กลับฝืดเคืองเหมือนต้องการน้ำมันหล่อลื่น ในช่วงระยะหลายวันที่อาศัยอยู่ในคอนโดของไวน์ ไออุ่นพยายามไขลานให้ตัวเองทุกวัน เขากลัวว่าถ้ามัวแต่นับวันจะลืมเข้าเสียเปล่าแล้วพอถึงเวลานั้นถ้าลานในตัวหยุดเดินขึ้นมากลางทาง เขาไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นเลย

การอยู่เพียงลำพังในห้องนานติดต่อกันถึงสามวันสองคืน ไออุ่นเพิ่งรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว ปกติต่อให้ได้อยู่แต่ในร้านดอกไม้แคบๆ ก็ยังมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาบ้างหรือไม่ก็นั่งมองผู้คนที่เดินสวนทางผ่านหน้าร้านไปมา ยังมีพีทที่ชอบเข้ามาหาเขา สอบถามสารทุกข์สุกดิบและนำอะไหล่ที่ไปตระเวนหามาให้ แม้บางชิ้นจะใช้การไม่ได้แต่ก็ยังอุตส่าห์หามาด้วยความปราถนาดี เวลาว่างในช่วงที่ต้องอยู่คนเดียวก็ยังมีใครบางคนที่เขากำลังรอให้กลับมาอยู่ แต่ตอนนี้แม้หันไปรอบกายก็ยังไม่พบใคร

ไออุ่นเดินไปหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง เหม่อมองสายตาออกไปข้างนอก รถยังแล่นอยู่เกือบเต็มซอยถนนแม้ว่ามันค่อนข้างจะดึกแล้ว วิวทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นไออุ่นเคยมองด้วยความประทับใจแต่พอนานวันเข้ากลับเป็นภาพเดิมๆ ที่เห็นจนคุ้นตาและเขาไม่ปรารถนาที่จะเห็นมันอีก

“มันคงถึงเวลาแล้วสินะ”

ไออุ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วหลุบสายตาลงต่ำ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับพึงพอใจในการใช้ชีวิตเพียงเท่านี้

ปากกากับกระดาษที่เคยขอจากไวน์เอาไว้ ไออุ่นไม่เคยได้ใช้มันเลยสักครั้งแต่ครั้งนี้เขาคงต้องใช้มันอย่างเลี่ยงไม่ได้ อุปกรณ์ขีดเขียนถูกวางเรียงไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน ไออุ่นลูบไล้สิ่งของพวกนั้นเบาๆ ราวกับจะซึมซับถึงความอบอุ่นของเจ้าของมันก่อนจะลงมือจรดปากกาลงบนกระดาษสีขาวสะอาดตา

คำแรกที่ไออุ่นเขียนลงไปคือคำว่าเบฟ เด็กน้อยที่บัดนี้เริ่มโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว บรรจงเขียนทุกอย่างที่อยากพูด อยากบอกกล่าวเพราะรู้ว่าโอกาสที่มีอยู่นั้นแทบไม่เหลืออีกแล้ว ถ้าหากว่ามัวแต่ลังเลจะกลายเป็นว่าสิ่งที่ควรพูดก็จะไม่ได้พูดไม่ได้บอกออกไป

ถัดมานั้นจึงหยิบกระดาษอีกใบขึ้นมา คราวนี้เขาเลือกที่จะเขียนถึงไวน์และพร้อมกับคำตอบที่คนๆ นั้นอยากรู้มาโดยตลอด แม้ในใจลึกๆ จะหวาดกลัวว่าเมื่ออีกฝ่ายรับรู้ความจริงไปแล้วทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีก ไออุ่นเขียนถึงไวน์มากพอสมควร มีหลายประโยคที่แสดงถึงความรู้สึกของตัวเองออกไปไม่น้อย หลังจากนั้นจึงหยิบมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้งทั้งสองฉบับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ยังไม่เขียน ไม่มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกกล่าว ทันทีที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าจดหมายพวกนี้มีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ เขาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มกว้างและจริงใจราวกับจะจารึกลงบนกระดาษพวกนั้น

ไออุ่นถอดสร้อยคอที่มีจี้กุญแจออกมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ หยิบกระดาษจดหมายที่เขียนไว้มาพับทีละแผ่นแล้วจึงลงชื่อผู้ที่ต้องการจะเขียนถึงไว้ด้านหน้า ใบหนึ่งวางลงบนโต๊ะ ส่วนอีกใบเลือกที่จะวางไว้คู่กับสร้อยเส้นนั้น แต่ก่อนที่มันจะได้อยู่คู่กัน ไออุ่นหยิบกุญแจมาไขลานที่อยู่ข้างหลัง ไม่ใช่เพื่อให้มันเดินถอยหลังกลับไปเริ่มต้นใหม่แต่ไขเพื่อที่จะให้มันเดินหน้าไปสู่จุดจบ

กระดาษจดหมายใบหนึ่งถูกรวบเข้ากับสร้อยคอพร้อมจี้ ไออุ่นเลือกที่จะวางมันไว้ในที่ลับตาคนก่อนจะหยิบจดหมายอีกฉบับที่วางอยู่บนโต๊ะใบแรกมาถือเอาไว้ สอดตัวเข้าไปใต้ผืนผ้านวม วางมือทั้งสองข้างไว้บนกระดาษจดหมายฉบับนั้นที่อยู่บนหน้าท้อง นึกกล่าวขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสเขาได้ใช้ชีวิตคล้ายมนุษย์มาจนกระทั่งถึงตอนนี้

สำหรับตัวเขาแล้วนั้นไม่มีอะไรค้างคาใจ สิ่งที่ต้องทำก็ทำไปเรียบร้อยแล้ว เติมเต็มความสุขของเบฟอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ รับฟังคำบอกรักของไวน์ที่พาให้เขารู้สึกราวกับลอยอยู่บนอากาศ เปลือกตาบางปิดลง หลังจากนี้จะไม่มีใครได้เห็นดวงตาสีหยกอันสุกสกาวทอดมองออกไปนอกร้านอีก จะไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มอันจริงใจที่แสนงดงามนั้นอีก จะไม่มีใครได้เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นอีกแล้ว

ไออุ่นเอื้อนเอ่ยคำอำลาสุดท้ายที่ไม่อาจมีใครได้ยิน ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเดินทางมาถึงแล้ว “ลาก่อน”





ร้านดอกไม้อุ่นไอรักยังคงปิดบริการเช่นเคย ดอกไม้ที่อยู่ในร้านถูกทิ้งให้แห้งเหี่ยวอยู่ที่เดิม บรรยากาศภายในร้านที่เคยสดใสแลอบอวลไปด้วยความอบอุ่นจากเจ้าของร้านอย่างไออุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหว้าเหว่ เยือกเย็นคลุกเคล้าด้วยความเศร้าสร้อยที่ชวนให้รู้สึกหดหู่

เบฟไปมหาวิทยาลัยทุกวันเพียงกลัวว่าถ้าหากไออุ่นกลับมาแล้วเห็นเขาเอาแต่นั่งรออยู่ในร้าน ละทิ้งการเรียนที่อีกฝ่ายพร่ำเพียรบอกให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและคว้าเกียรตินิยมมาให้ได้แล้วจะถูกโกรธเอา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามตั้งใจเรียนขนาดไหน ทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมากเท่าไรไออุ่นก็ไม่กลับมา

วันนี้เบฟกลับมาที่ร้านด้วยความคาดหวังเหมือนทุกวัน แต่ก็ยังไร้วี่แวว ไม่มีการติดต่อกลับมา ไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ จนเวลาผ่านมาเกือบสองสัปดาห์กับการหายไปของไออุ่น ความคาดหวังแปรเปลี่ยนเป็นคาดคิดในแง่ร้าย เขาไม่อยากรู้สึกแบบนั้นแต่อดคิดไม่ได้ ไออุ่นอาจตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้



~ กริ๊งงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงง ~



เสียงโทรศัพท์ในร้านดังขึ้นเพียงสองครั้ง เบฟก็กระวีกระวาดไปรับสายด้วยใจลุ้นระทึก แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย ฉับพลันนั้นหัวใจก็ห่อเหี่ยว ร่างกายหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ

// เบฟ อุลกลับมาหรือยัง //

“ยังครับ”

// อืมมมม เอาไงกันดี //

เสียงของสเตซี่ฟังดูคล้ายกับกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

“แด๊ดเคยบอกให้รอ เราก็ทำได้แค่รอ”

// รู้ แต่นี่มันนานเกินไปแล้ว ไม่เป็นห่วงอุลบ้างหรือไง //

ไม่มีวันไหนที่เบฟไม่รู้สึกเป็นห่วงไออุ่น ไม่มีแม้วินาทีไหนที่ไม่คำนึงถึง ทุกเศษเสี้ยวของลมหายใจที่ใช้ไปในแต่ละวันมีเพียงชื่อของไออุ่นสลักไว้เท่านั้น

“ห่วงสิครับ แต่แด๊ดบอกว่าเราทำอะไรไม่ได้”

// งั้นถ้าอุลกลับมาแล้วรีบโทรมาบอกด้วยนะ แล้วอย่าให้ย่ารู้เด็ดขาดว่าอุลหายไป //

“ครับ”

หลังจากที่เบฟรับปากว่าจะโทรหาทันทีที่ไออุ่นกลับมาและสายถูกวางไปแล้ว เขาก็เดินไปนั่งที่ม้านั่งในร้าน หากมองจากมุมนี้จะเห็นการกระทำของไออุ่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าการเดินไปรอบร้าน รอยยิ้มทุกรอยที่มอบให้กับลูกค้า แววตาแห่งความมุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจ เพียงแต่ตอนนี้ภาพที่เห็นนั้นเป็นแค่เงาลางๆ ของความทรงจำ

ความคิดถึงคำนึงหา หากมันจะเกิด ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ แต่ทว่าเบฟนั่งเศร้าเสียใจได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะที่ประตูร้าน เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปบอกว่าร้านไม่ได้เปิดแล้ว หากว่าต้องการจะมาสั่งช่อดอกไม้

“ขอโทษนะครับ ร้านปิดแล้ว เจ้าของร้านไม่อยู่ และไม่แน่ใจว่าจะกลับมาวันไหน”

“นายสั่งให้ผมมาพาคุณไปพบคุณอุ่นครับ”

หัวใจเหมือนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของไออุ่น เบปยืนนิ่งไปอยู่พักใหญ่ราวกับสิ่งที่เฝ้าคอยมานานแสนนานจะได้กลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เขาไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะมาถึง วันที่จะได้เห็นหน้าคนที่รักอีกครั้ง ความดีอกดีใจมันล้นปรี่อยู่เต็มอกข้างซ้ายจนน้ำตาซึมออกมาไม่รู้ตัว

เบฟทำอะไรไม่ถูก รู้เพียงแค่ว่าเขาจะต้องพาพีทไปเป็นพยานว่าคนที่จะไปพบนั้นคือไออุ่นจริงๆ

“รอ… รอเดี๋ยวนะ”

สองเท้ารีบก้าวกึ่งวิ่งไปยังร้านขายอะไหล่ พอมาหยุดอยู่หน้าร้านก็เห็นพีทยืนอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ เขาไม่รอช้ารีบคว้าข้อมือลากให้อีกฝ่ายเดินตามมาทั้งที่ยังคงอยู่ในความมึนงง

“เดี๋ยว! เบฟ จะพาพี่ไปไหน”

“อุ่น… อุ่น…”

แค่ได้ยินชื่อของไออุ่น เท้าพีทก็ก้าวไวเสียกว่าคนที่กำลังลากเขาอยู่นี่ จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขากำลังจูงเบฟให้เดินตามมาแทนพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความดีใจที่ในที่สุดทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เบฟจะไม่นั่งเศร้าหรือเหม่อลอยอีกแล้ว  “พี่อุ่นมาเหรอ”

เบฟไม่ได้ตอบอะไร พอพวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านก็ถูกชายคนเดิมเชิญให้ขึ้นรถ เบฟเดินตามไปแต่โดยดี ในขณะที่ีพีทกลับลังเลที่จะไปด้วย เขารู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกลว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไออุ่น แต่ถึงอย่างนั้นใจกลับเรียกร้องให้ไปเห็นกับตาตัวเอง

สุดท้ายพวกเขาสองคนก็ก้าวขึ้นรถไป





ร่างของไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนอย่างสงบโดยมีเพียงร่างของเจ้าของห้องยืนมองด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เป็นต้นเหตุให้ไออุ่นจากไปแบบนี้

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ราวๆ หนึ่งวันก่อน ไวน์ที่กำลังดูงานด่วนอยู่ที่สิงคโปร์ได้รับข้อความสั้นๆ จากลูกน้องคนสนิทเกี่ยวกับไออุ่น เขาละทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ให้พนักงานในบริษัทที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยจัดการแทนแล้วจับเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดบินกลับประเทศในทันที พอกลับมาถึงห้องที่คอนโด เขาเข้าไปดูอาการของไออุ่นให้แน่ชัดแม้ว่าจะได้ยินคำบอกเล่าจากลูกน้องมาบ้างแล้วแต่ยังไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าไออุ่นจะจากไปแล้วจริงๆ

หัวใจของไวน์ร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟสุมทันทีที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไป ร่างที่อยู่บนเตียงเหมือนเจ้าหญิงนิทราที่รอให้เจ้าชายมาจุมพิตแต่เจ้าชายมาแล้ว จุมพิตแล้วร่างนั้นก็ยังไม่ตื่นเหมือนในนิทาน ดวงตาสีอำพันทอดมองร่างที่นอนนิ่งด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าทำอย่างไรไออุ่นก็ไม่ฟื้น

เสียงประตูห้องถูกเปิดออกดึงสติของไวน์ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขาต้องเตรียมรับมือกับเด็กคนนั้นที่อีกไม่กี่วินาทีก็จะก้าวมาถึงห้องนี้แล้ว เขาเริ่มนับถอยหลังในใจ

“อุ่น! อุ่น!”

ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าครามคือภาพที่ไออุ่นนอนนิ่ง หลับตาพริ้มไม่ไหวติงใดๆ อยู่บนเตียงพรากเอาความดีใจที่ท้วมท้นอยู่ในอกหายวับไปในพริบตาแทนที่ด้วยความหนักอึ้งเหมือนมีใครโยนหินก้อนโตลงใส่ ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เรี่ยวแรงที่ควรมีเหมือนถูกดูดออกจากร่างไปจนหมด เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่มีอยู่ด้วยคำพูดไหนดีแต่ตอนนี้เขาเสียใจยิ่งกว่าเสียใจ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก อยากเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับไออุ่นแต่ก็มีก้อนอะไรบางอย่างจุกแน่นอยู่ที่คอคอยดูกลืนคำพูดให้หายไป

พีทเตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะพบกับไออุ่นที่ตายจากไปแล้วแต่เขาก็ยังรับมันไม่ได้อยู่ดีเมื่อได้เห็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมันตลอดการที่ได้รู้จักกับตุ๊กตาไขลานตัวนั้นมา

“เบฟ… พี่อุ่นอาจยังไม่ตาย เขาอาจแค่หลับไป”

เบฟไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด พอได้ยินคำเตือนของพีทเข้าเลยเพิ่งได้สติ เขารีบวิ่งตรงไปที่ร่างนั้น ไวน์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอนไม่ได้อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

“แต่… เขาตัวเย็น ไม่ขยับ”

ไวน์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกและพูดถึงร่างของไออุ่นที่เขาเจอเมื่อครั้งแรกตอนเปิดประตูเข้ามา พีทยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมแต่เขาแค่อยากจะยิ้ม ผู้ชายวัยสามสิบปีคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับไออุ่นเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าร่างนั้นเป็นตุ๊กตามีชีวิต

“นั่นปกติ”

“พีท! หยุด! ไม่ต้องพูด!”

พีทเงียบลงตามคำพูดของเบฟ แล้วยืนมองอยู่ห่างๆ คอยสังเกตท่าทางหรือปฏิกิริยาของเจ้าของห้อง

“เขาเขียนจดหมายถึงนายด้วย แต่ผมไม่ได้อ่านหรอกนะ ไม่ต้องห่วง”

ไวน์ยื่นกระดาษพับสองทบไปให้กับเบฟที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน เขาค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นไม่หยุดไปรับมันมา นิ้วเรียวคลี่กระดาษออกอ่านเนื้อความที่อยู่ข้างใน ใจเริ่มสั่นเมื่อเห็นคำแรกที่ปรากฏอยู่บนนั้น



ถึง… เบฟ

อุ่นไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรดี แต่อุ่นขอโทษนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อุ่นรู้ว่ามันทำใจลำบากแต่อยากให้เข้าใจว่ามันถึงเวลาที่จะต้องจากกันแล้ว อุ่นเสียใจที่ไม่ได้กล่าวคำลาด้วยตัวเอง แต่ไม่เป็นไรเพราะถ้าต้องบอกลาต่อหน้าเบฟจริงๆ อุ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะพูดมันออกมาได้ไหม ไม่แน่ใจว่าจะจากไปได้หรือเปล่า อุ่นเป็นห่วงเบฟนะ ดูแลตัวเองให้ดี
จากนี้ไปก็ขอให้เข้มแข็งเข้าไว้นะ เป็นเด็กดีของแด๊ดกับแม่ รักแด๊ดกับแม่ให้มากๆ
แล้วอย่าร้องไห้นะเพราะอุ่นคงไปปลอบใจไม่ได้ และสุดท้ายก็อยากให้รู้ไว้ว่าอุ่นรักเบฟมากนะ

สักวัน… เราอาจได้พบกันที่ไหนสักแห่ง

ลาก่อน
ไออุ่น



ถึงในจดหมายจะบอกว่าห้ามร้องไห้แต่ความเสียใจมันห้ามกันได้ที่ไหน เช่นเดียวกับน้ำตาที่ไม่ว่าจะพยายามกลั้นเท่าไรก็ไหลร่วงออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาเบาๆ จากริมฝีปากที่ห้อเลือด

พีทที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นเบฟร้องไห้เสียใจมากมายขนาดนี้ ตัวเขาเองก็เสียใจไม่แพ้กันแต่จำต้องเข้มแข็งเอาไว้ เขากัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดที่มีเอาไว้ภายใน แม้รู้ว่ามันยากแต่เขาก็จะพยายามทำให้ได้อย่างที่ได้รับปากกับไออุ่นเอาไว้

“เบฟ ใจเย็นก่อน พี่อุ่นอาจยังไม่ตาย”

กระดาษจดหมายที่ไออุ่นเขียนถึงถูกยื่นมาตรงหน้าพีท เขากวาดสายตาอ่านใจความทั้งหมดแล้วต้องกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในหัวใจ แม้อาจช่วยยื้อร่างนั้นเอาไว้ได้แต่ใจกลับพร้อมจากไปได้ทุกเมื่อ

“อุ่นจากไปแล้ว”

“เบฟตั้งสติ”

เหมือนเบฟจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบก้มไปดูที่ร่างของไออุ่น แหวกปกเสื้อเชิ้ตออก ควานหาบางอย่างที่อยู่ตรงคอแต่กลับไม่พบสร้อยคอเส้นนั้น เส้นสำคัญที่จะพาไออุ่นกลับมาอยู่กับเขาได้อีกครั้ง

“ไม่มี… ไม่มี พีท! มันไม่มี”

“พี่อุ่นไม่เคยถอด มันต้องมีสิ”

“เดี๋ยว! กำลังหาอะไร…”

หมัดหลุนๆ กระแทกเข้าหน้าทันทีแม้ว่าไวน์จะยังถามไม่จบประโยค ตามด้วยอีกหมัดซ้ำที่เดิม ไวน์ไม่หลบ ไม่ตั้งรับและไม่สวนกลับเพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเองก็สมควรแล้วที่จะได้รับผลกรรมนั้น ถึงเลือดจะซึมออกมุมปากนิดๆ เขาก็ทำแค่เอานิ้วปาดมันออกแล้วไม่พูดอะไร ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วไปทั่วใบหน้ายังเทียบได้ไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ

“เบฟ! พอ”

พีทเข้าไปดึงรั้งเบฟให้ออกมา ความเดือดดาลยังคงแล่นปะทุอยู่ในอก ไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับลงง่ายๆ สองแขนป่ายปัดไปทั่ว สองเท้าออกแรงถีบแม้จะทำได้แค่เตะลมเตะอากาศ

“อยู่ไหน!! สร้อยของอุ่นอยู่ไหน!! มึงเอามันไปซ่อนใช่ไหม!! ไม่อยากคืนเขาจนต้องทำแบบนี้เลยเหรอวะ!!”

“ไม่เห็น”

ไวน์ไม่เคยเห็นสร้อยของไออุ่นมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามันมีอยู่เลยตอบไปตามนั้นแต่กลับกลายเป็นว่าคำตอบของเขาเป็นเครื่องเร่งความฉุนเฉียวของเบฟให้แรงขึ้นอีกครั้ง เบฟทำท่าจะเข้ามาทำร้ายร่างกายแต่ยังดีที่ได้พีทช่วยรั้งเอาไว้ให้
“ไม่เห็น!!! ไม่เห็นได้ไงวะ!! อยู่กับเขาตั้งเกือบสองอาทิตย์ เอาเขาไปจากกูโดยที่มึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มึงทำแบบนี้ได้ไง!! มึงอยากเอาคืนกูก็มาลงกับกูนี่!! ทำไมต้องเอาเขามาเกี่ยวด้วย!”

พีทแทบจะรั้งร่างในอ้อมแขนที่กำลังขาดสติเอาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามบอกกับเบฟด้วยความใจเย็นแม้ในใจตัวเขาเองจะร้อนรุ่มเป็นไฟ “เบฟ! ใจเย็นก่อน”

“ไม่ยงไม่เย็นอะไรทั้งนั้น!! มึงไม่เห็นเหรอ พีท มันเอาอุ่นไปแล้วก็ทำให้อุ่นเป็นแบบนี้! ยังหน้าด้านหน้าทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร!! ไอ้คนใจร้าย!”

“เบฟ… ใจเย็น สงบสติอารมณ์นิดนึง หรือไม่ก็ช่วยเห็นแก่พี่อุ่นที่นอนอยู่ตรงนั้นด้วย”

แค่คำพูดเพียงประโยคเดียวเกี่ยวกับไออุ่นก็ทำให้เบฟชะงักไปทันที ถ้าไออุ่นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็เขาคงต้องโดนดุแน่เพราะไออุ่นเกลียดการทะเลาะกัน เกลียดการพูดคุยกันโดยใช้แต่อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ไออุ่นผู้รักสงบคนนั้นกำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง

“เบฟ ออกไปรอข้างนอกก่อน พี่ขอคุยอะไรกับเขาหน่อย”

“พีท แต่…”

พอเห็นสายตาที่จริงจังของพีท เบฟก็ยอมล่าถอย ไม่ทำตัวดื้อด้านเอาแต่ใจ เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงโมโหทั้งตัวเอง ทั้งเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นออกจากห้องไป ยังไม่วายกระชากประตูปิดตามหลังเสียงดังโครมใหญ่ ระบายความอัดอั้นตันใจที่สุมอยู่ในอกจนจะระเบิดอยู่รอมร่อ เสียงลากเก้าอี้โครมครามข้างนอกทำเอาพีทถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถ้าหากเขาไม่ใช้ไออุ่นมาเป็นชื่อห้ามทัพล่ะก็งานนี้คงไม่มีวันจบลงง่ายๆ แน่

“ขอโทษด้วยที่เบฟแสดงกิริยาไม่ดีต่อคุณ”

“อืม ไม่เป็นไร มันก็สมควรโดนแล้วล่ะ”

ไวน์ยกมือลูบมุมปากของตัวเองเบาๆ หมัดของเด็กคนนั้นหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าไม่เจ็บก็คงไม่ใช่ แค่ยังพอทนได้มากกว่า

“ขอเข้าประเด็นเลยแล้วกันนะ คุณไม่เห็นสร้อยที่มีจี้เป็นรูปกุญแจของพี่อุ่นจริงๆ น่ะเหรอ แล้วก็ขอร้องนะ อย่าปิดบังเพราะมันสำคัญกับเรามากจริงๆ”

“อืม ก็ไม่เชิงว่าไม่เห็น เอาเป็นว่าผมไม่ได้สังเกตดีกว่าเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีหรือมันไม่มี ว่าแต่คุณเถอะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”

“รู้สึกสิ ผมรู้สึกมานานแล้วและก็รู้ว่าวันนี้จะมาถึง” พีทตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น ทว่าภายในใจนั้นกลับเจ็บปวดเหลือแสน

“หมายความว่ายังไง”

“ถ้าคุณรู้จักพี่อุ่นดีกว่านี้ คุณจะรู้เองว่าที่ผมพูดมันหมายความว่ายังไง อ้อ! ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ขอพาตัวพี่อุ่นกลับเลยก็แล้วกันนะครับ และถ้าไม่รบกวนมากไป หากเจอสร้อยเส้นนั้นช่วยนำมันมาคืนด้วย”

“มันสำคัญมากเลยเหรอ”

“สิ่งที่อยู่บนสร้อยเส้นนั้นคือชีวิตของพี่อุ่น”

มือแกร่งสอดเข้าใต้ร่างที่นอนอยู่แล้วช้อนตัวขึ้นมา อุ้มออกไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้พูดะไรขึ้นมาอีก เขารู้ว่าการจากไปของไออุ่นไม่ได้เป็นเพราะไวน์แต่มันคือความต้องการของเจ้าตัวเองจึงไม่ได้โกรธอะไร แต่ไม่ใช่กับคนที่นั่งปั่นปึ่ง เศร้าเสียใจอยู่ข้างนอกนั่นแน่

ไวน์ยืนอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้อง หัวสมองมึนตื้อ จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ได้แต่มองเตียงที่ว่างเปล่านั้นแล้วกล่าวโทษตัวเอง หากไม่เป็นเพราะเขารีบร้อนไปทำงานต่างประเทศโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้า ไออุ่นอาจจะยังอยู่ตรงนี้

ทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามาในห้องก็มักจะเห็นร่างนั้นยืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก แววตาและท่าทางที่สะท้อนออกจากกระจกหน้าต่างนั้นดูมีความสุขแม้จะได้แค่อยู่แต่เพียงในห้องแคบๆ  ได้เห็นไออุ่นหาข้ออ้างร้อยแปดประการในการไม่กินข้าว เขาไม่เคยโกรธที่ไออุ่นไม่ยอมกินแต่กลับเป็นห่วงมากกว่าและเขาสนุกมากที่ในแต่ละวันจะได้รับฟังเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ได้นั่งจ้องดวงตาสีหยกโดยไม่ต้องพูดอะไรจนกว่าจะพอใจ ได้เห็นรอยยิ้มที่มอบให้เขาทุกครั้งเวลาที่พูดคุยกันแต่ตอนนี้กลับไม่มีอีกแล้ว

“ขอโทษนะ อุ่น ผมขอโทษ”

ไวน์นั่งรวบรวมสติอยู่พักใหญ่หลังจากที่ไออุ่นถูกพาออกจากห้องไปแล้ว คำพูดที่พีททิ้งไว้ให้เป็นปริศนา ‘ถ้าหากคุณรู้จักพี่อุ่นดีกว่านี้’ ‘สิ่งที่อยู่บนสร้อยนั้นคือชีวิตของพี่อุ่น’ ยังคงค้างคาอยู่ในใจ เขายอมรับว่าอาจจะไม่ได้รู้จักไออุ่นดีเท่าสองคนนั้นแต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมสร้อยเส้นนั้นมีความสำคัญถึงขนาดที่ว่าสามารถชี้เป็นชี้ตายชีวิตใครได้

“ถ้ามันสำคัญมาก ถ้ามันพาคุณกลับมาได้ ผมจะหาให้”

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ไวน์กลับรู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี คนที่ถูกยมทูตพรากวิญญาณไปแล้วไหนเลยจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

“ทำไมพวกเขาถึงได้ดูมั่นใจนักนะว่าอุ่นจะกลับมา”

ไวน์เปรยถามตัวเองในขณะที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในจุดเดียวกับที่ที่ร่างของไออุ่นเคยนอนอยู่ ทั้งที่เนื้อตัวเย็นเฉียบเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ในหิมะขั้วโลกเหนือ ทั้งที่ร่างนั้นไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนหรือตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบกาย ไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ แล้วทำไมทั้งสองคนนั้นถึงยังเชื่อว่าไออุ่นยังมีชีวิตอยู่ เขาพยายามเค้นสมองคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อลองย้อนกลับไปคิดดูให้ดีอีกครั้งก็พบว่ามันประหลาดนักตั้งแต่พาไออุ่นมาอยู่ที่นี่ ทั้งเรื่องการขอชุดไขควงขนาดเล็ก ทั้งการปฏิเสธการกินข้าวในทุกครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลัง เรื่องที่ไออุ่นพูดเหมือนตัวเองไม่รู้จักความเจ็บปวดราวกับตัวเองเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป

ในตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับหาสร้อยคอที่หายไปคืนแก่เจ้าของ เขาเองจะได้ไม่รู้สึกผิดมากไปกว่านี้





ร่างของไออุ่นถูกพากลับมาที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรัก กลับมายังสถานที่ที่เคยรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่รัก ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนในห้องของตัวเอง สีหน้าของเบฟดูไม่ดีเอาเสียเลยตั้งแต่ที่กลับมาถึง เขาเอาแต่นั่งจ้องดวงหน้าเรียวที่เคยได้สัมผัสนั้นอยู่นิ่งๆ

“เบฟ พักก่อนเถอะนะ นายนั่งจ้องหน้าพี่อุ่นแบบนี้มาสามชั่วโมงแล้วนะ”

ร่างที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงไม่ขยับ ไม่มองหน้าและไม่รับฟัง คำบอกลาที่ถูกเขียนด้วยลายมือบรรจงยังคงฝังอยู่ในใจ เบฟไม่ได้คาดคิดว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้ ไออุ่นไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ยึดยื้อเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ

 “เบฟ พี่เข้าใจนะว่านายกำลังเสียใจ แต่พักบ้างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยนึกถึงพี่อุ่นบ้าง อยากให้เขาจากไปโดยยังต้องคอยเป็นห่วงเหรอ”

“ไหนบอกว่าอุ่นยังไม่ไปไหนไง”

พีทชะงักไปเล็กน้อย เขาก็แค่หวังว่าไออุ่นจะกลับมาแต่ในเมื่อสิ่งสำคัญอย่างกุญแจที่อยู่บนสร้อยคอหายไปและไวน์ไม่ได้นำมันไปซ่อนเพื่อไม่ต้องการให้ไออุ่นมีชีวิตต่อ โอกาสที่จะได้เห็นตุ๊กตาไขลานตัวนั้นลืมตาขึ้นมาก็แทบจะไม่มีเหลือ

“แต่เราไม่มีกุญแจ”

“อุ่นต้องกลับมา! ยังไงอุ่นก็ต้องกลับมา”

เบฟเชื่อแบบนั้น เขาเริ่มจะสงบสติลงได้บ้างแล้วหลังจากที่นั่งจ้องหน้าคนรักมาตลอดสามชั่วโมง

“ถ้าเราไม่มีกุญแจนั่น มันก็จะเป็นเรื่องยากที่จะพาพี่อุ่นกลับมา”

“ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราหมุนมันเองก็ได้”

“จะแยกชิ้นส่วนพี่อุ่นออกมาเหรอ”

พอสงบจิตสงบใจกันได้แล้ว พวกเขาก็สามารถคุยกันดีๆ ได้

“ถ้ามันจำเป็นนะ”

พีทไม่อยากนึกสภาพตอนที่แยกร่างไออุ่นออกมาทีละชิ้นทีละส่วนเพื่อหาทางไขลานโดยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจดอกนั้น “พี่ขอให้มันไม่ต้องจำเป็นจนถึงขั้นนั้นก็แล้วกันนะ พี่ไม่อยากรู้สึกว่าพี่อุ่นเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่คน”

เบฟพยักหน้านิ่งๆ เขาเองก็ไม่อยากที่จะต้องทำอย่างนั้น อย่าว่าแต่พีทจะรู้สึกรับไม่ได้ เขาเองก็รับไม่ได้เช่นกัน

ไออุ่นไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะรื้อตรงนู้น แงะดูตรงนี้ก็ทำได้ ไม่ใช่ศพที่ต้องมาชำแหละชันสูตร แม้ร่างกายจะเป็นตุ๊กตาไขลานแต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าไออุ่นเป็นแค่ตุ๊กตาไขลาน

“ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ พักข้างๆ พี่อุ่นนั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปนอนข้างล่างเองแล้วก็หยุดเรียนสักวันสองวันนะ สภาพนายเป็นแบบนี้ยังไงก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ามีอะไรก็ลงมาเรียกล่ะ อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ ระวังพี่อุ่นจะตื่นขึ้นมาดุเอา”
ก่อนเดินออกจากห้องไป พีทเหลียวมองอีกฝ่ายที่นั่งนิ่ง เริ่มไม่หือไม่อืออีกครั้งแล้วต้องแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่อยากให้เบฟเป็นแบบนี้เลย มันทำให้เขารู้สึกแย่ตามๆ กัน ทั้งที่พยายามทำใจตัวเองให้เข้มแข็งแล้วแท้ๆ น้ำตากลับไหลออกมาเสียได้

“ถ้าจะต้องถูกอุ่นดุ ถูกโกรธก็ยอม ขอแค่ตื่นขึ้นมาได้ไหม”

เสียงของเบฟแม้จะเบาแค่ไหนแต่มันก็ยังดังเข้าหูพีทที่ยังยืนหันหลังอยู่ตรงประตู เขาเองก็อยากจะขอไออุ่นเช่นกัน ถ้าหากคำอธิษฐานของเขาสามารถเป็นจริงได้ก็อยากจะขอให้คำขอของเบฟเป็นจริง






** ติดตามตอนต่อไป **


การตายครั้งนี้ของไออุ่นก็ดูเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเอง
จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้อุ่นจากไปตอนนี้แต่... อารมณ์มันพาไป แหะๆ
ฝากติดตามด้วยนะคะว่าสุดท้ายแล้วไออุ่นจะกลับมาได้ไหม ขอบคุณนะคะ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



alternative
ขอบคุณนะคะ ไวน์ก็อยากจะเบานะ แต่อารมณ์พาไป

sirin_chadada
ใช่ค่ะ อีกอย่างอุ่นก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยด้วย ขอบคุณนะคะ

about
ขอบคุณนะคะ

rockiidixon666
คนเขียนอย่างเราก็น่าจะแปลกด้วยค่ะ คิดอะไรประหลาดๆ ฮ่าๆๆ ขอบคุณนะคะ

KARMI
อย่างนี้ต้องติดตามค่ะ ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะที่ติดตามทั้งสองเรื่องเลย

Nekosama
ใช่ค่ะ ตอนนี้เหลือแค่ปัญหาที่เบฟแล้วล่ะ ขอบคุณนะคะ

Death_note
เราก็เชียร์ไวน์เหมือนกันค่ะ ขอบคุณนะคะ

Misakiiz
ขอบคุณนะคะ


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อุ่นใจเด็ดมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
อุลจะต้องกลับมานะ  :hao5: พี่ไวน์ไปหาสร้อยมาเลยยย  :angry2:

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถ้าพ่อเบฟไม่หลอกอุ่น ถ้าไวน์ไม่ลักพาตัวอุ่นไป อุ่นคงไม่คิดอย่างนี้หรอก แล้วอุ่นวางสร้อยไว้กับจดหมายอย่างไง มันถึงหายไป  :m16:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เบฟเดือดมาก... จะว่าไรมั้ยถ้าเรามองเห้นเรือพีชเบฟอยู่ไกลๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไวน์เอ๊ย รีบหาสร้อยเถอะ หาในห้องก่อนเพราะนายขังอุ่นไว้ในนั้นนะ เกณฑ์คนมาค้นให้ทั่วเดี๋ยวก็เจอ เจอสร้อยแล้วเราจะได้อ่านจดหมายด้วย แฮร่
ตอนนี้อยากโทรไปบอกไวน์มาก เสียดายไม่รู้เบอร์ ฮุฮุ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อุ่นใจเด็ดมาก

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
อุ่นจะกลับมาได้มั๊ยนะ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 13


ตั้งแต่วันที่รับตัวไออุ่นกลับมาอยู่ที่ร้าน เบฟพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งแล้วออกไปเรียนหนังสือ แม้มันจะเป็นเรื่องยากเอาการแต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไออุ่นคาดหวังในตัวเขา การเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้รับเกียรตินิยมจะทำให้ไออุ่นภาคภูมิใจ แม้ว่าสุดท้ายแล้วคนๆ นั้นอาจจะไม่อยู่แสดงความยินดีร่วมกับเขา

พีทแทบจะทิ้งร้านของตัวเองเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเบฟที่ร้านดอกไม้อุ่นไอรัก คำพูดที่เป็นเหมือนดั่งคำสั่งเสียของไออุ่นทำให้เขาทิ้งไปไม่ได้ และในเวลานี้คนที่ต้องการใครสักคนเพื่ออยู่เคียงข้างก็คือเด็กคนนั้น

“เรียนเป็นไงบ้าง”

“ก็งั้นๆ แล้วมายืนทำอะไรหน้าร้าน”

เบฟตอบกลับผู้ที่ยืนพิงกำแพงกระจกร้านรอ ไม่ได้เปิดประตูเข้าไปแต่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ กัน มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาในบริเวณนั้น แต่ใจกลับลอยหายไปหาคนที่นอนรอเพื่อมอบชีวิตใหม่อีกครั้งอยู่บนเตียงนอนข้างบนห้อง

“มารอ”

“รอ? รอทำไม ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วน่า นี่มันก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์แล้ว”

“เหรอ”

พีทไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะลืมความเจ็บปวดไปได้จริงๆ ขนาดเขาเองยังทำไม่ได้เลย การเลือกที่จะให้ไออุ่นอยู่เพียงแค่ในความทรงจำมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ลึกๆ แล้วเขาก็แค่หวังว่าจะได้ไออุ่นกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“กูไม่ได้ลืมอุ่นนะ แต่กูแค่จะพยายามยอมรับความจริงซึ่งมันโคตรยากเลย เวลาที่กูอยู่ในร้าน… มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพเขาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาตั้งใจทำช่อดอกไม้ หรือตอนที่เขานั่งรอกูกลับ เวลากูจะนอนก็เหมือนหลับไม่สนิท ชีวิตที่ไม่มีเขานี่มันโคตรทรมานเลย”

“เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แล้ว… บอกที่บ้านเรื่องพี่อุ่นหรือยัง”

เบฟส่ายหัวแทบจะทันทีที่ถูกถาม เขาไม่กล้าจะบอกออกไปว่าไออุ่นได้จากทุกคนในครอบครัวไปแล้ว เขาไม่รู้จะเอาคำตอบไหนไปตอบระหว่างความจริงที่แสนเจ็บปวดกับคำโกหกที่ทำให้รู้สึกแย่

“ไม่มีใครโทรมาถามเลยเหรอ”

“แด๊ดโทรมาแต่ก็โกหกไปว่ายังไม่เจอ”

“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”

เบฟพยักหน้า เขารู้ตัวว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีเลยแต่ก็ยังปล่อยให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน

“มึงคิดว่ามีโอกาสแค่ไหนที่อุ่นจะได้กลับมา”

“พี่ไม่รู้หรอก แต่ถ้าเมื่อไรที่มีโอกาสก็จะคว้าเอาไว้ไม่ปล่อย พี่ยังอยากให้พี่อุ่นมีชีวิตอยู่นะ เพราะฉะนั้นต่อให้โอกาสแทบเป็นศูนย์ พี่ก็จะคว้าไว้อยู่ดี”

เบฟไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ แล้วคิดตาม เขาเองก็เช่นกัน ถ้าหากมีโอกาสแค่เพียงน้อยนิดในการพาไออุ่นกลับมาก็จะคว้าเอาไว้ แต่ถ้าไม่มีโอกาสนั้น เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง ไม่ว่าจะพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้หรือไม่ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง

“ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไร”

“มีอะไรก็โทรมา หรือไม่ก็มาเรียกที่ร้านได้นะ”

เบฟพยักหน้า เขารอให้พีทเดินจากไปก่อนแล้วจึงค่อยเข้าร้าน

บรรยากาศของร้านดอกไม้อุ่นไอรักไม่เหมือนเช่นเคยเมื่อเจ้าของร้านอย่างไออุ่นไม่อยู่ ดอกไม้ที่เคยส่งกลิ่นหอมอวลไปทั้งร้านแห้งเหี่ยวลงไม่นานหลังจากที่ไออุ่นหายไปและดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นก็ยังถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นราวกับว่าเมื่อไออุ่นกลับมาที่ร้าน พวกมันจะพากันเบ่งบานอีกครั้ง

แม้อากาศในร้านจะไม่ได้เย็นแต่หัวใจของเบฟกลับสั่นสะท้าน การที่ไออุ่นไม่อยู่ทำให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงได้ถึงขนาดนี้เชียว สีหน้าของเบฟเปลี่ยนไปเมื่อย่างเท้าเข้ามาในร้าน เขาอยากจะสลัดความทุกข์เศร้าให้หายออกไปแต่นั่นจะหมายความว่าเขาสามารถลืมไออุ่นได้แล้ว

เบฟเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเอื่อยเฉื่อยเลื่อนลอย เข้าไปในห้องที่มีร่างของไออุ่นนอนอยู่แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ร่างที่ไม่ไหวติงราวกับเป็นตุ๊กตาที่เขาไม่เคยรู้จัก

“อุ่น ลูบหัวหน่อยสิ”

“…….”

“อุ่น กอดหน่อยได้ไหม”

“…….”

“อุ่น วันนี้เหนื่อยไหม”

“…….”

ไม่ว่าเบฟจะถามออกไปอีกสักกี่คำถาม คำตอบที่ได้รับก็คือความเงียบที่ทำให้หัวใจแทบแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

“อุ่น” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “รู้ไหมว่าผมเหนื่อยมากเลย อยากหลับไปพร้อมกับอุ่นจัง” หยาดหยดน้ำใสเอ่อคลอรอบดวงตาสีฟ้าคราม “แต่ผมหลับไม่ได้เลย พอหลับตาทีไรมันก็คิดถึงอุ่น พอคิดถึงก็รู้ตัวว่า… ความคิดถึงของผมคงส่งไปไม่ถึงอุ่นอีกแล้ว”

ร่างสูงโปร่งขยับตัวให้เข้าใกล้ตุ๊กตาไขลานขึ้นอีกนิดแล้วเอื้อมมือออกไปลูบโครงหน้าสวยนั้นอย่างเบามือ

“อย่าทรมานผมแบบนี้เลยนะ”

“………”

“ขอร้องล่ะ ตื่นมาคุยกันหน่อยได้ไหม ไม่… ไม่ต้องคุยก็ได้ แค่ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมหน่อยได้ไหม ตอบสนองอะไรก็ได้ แค่… ยิ้มก็ได้ ขยับตัวนิดก็ได้”

“………”

“อุ่น”

แขนแกร่งยันตัวเองให้พลิกขึ้นคร่อมร่างที่นอนนิ่ง บรรจงจูบอย่างเนิบนาบและอ่อนโยนลงบนริมฝีปากสีเชอรี่ ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากร่างข้างใต้พาให้น้ำตาที่เอ่อล้นเบ้าตาไหลออกมาเป็นสาย หนึ่งสายไหลลงเลอะเปรอะข้างแก้มเนียนนุ่มที่เขาชอบลูบไล้

“อุ่นชอบจูบของผมไหม”

“……..”

“ผมชอบจูบของอุ่นมากเลย”

“……..”

“ตอนนี้ก็ยังชอบ แต่ชอบน้อยกว่าปกตินิดนึง”

“……..”

“ตื่นขึ้นมาทำให้ผมชอบจูบของอุ่นมากขึ้นกว่านี้ได้ไหม ฮึกๆ… ไม่ได้เหรอ ไม่ได้สินะ”

เบฟทิ้งตัวซบลงกับแผ่นอกที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็งที่หยิบออกมาจากช่องแช่แข็ง เย็นเสียจนชั่ววินาทีหนึ่งหัวใจของเขารู้สึกชาวาบ ปกติตัวของไออุ่นก็ไม่ได้อบอุ่นเหมือนชื่ออยู่แล้วแต่คราวนี้กลับเยียบเย็นเสียจนขนแขนลุกไปหมดราวกับใครสาดเอาน้ำผสมน้ำแข็งลงมาที่เขาในกลางดึกฤดูหนาว

“ถ้าอุ่นได้ยิน ผมจะบอกว่า… ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อุ่นกลับมานะ รอผมหน่อยนะ”





ตั้งแต่วันที่เบฟพาไออุ่นกลับไป ไวน์ก็แทบจะไม่มีกะจิตกะใจทำงาน เขาว้าวุ่นกับเรื่องของไออุ่นตลอดเวลาจนแทบจะกลายเป็นว่างานทั้งหมดที่กำลังทำอยู่นั้นสุดท้ายก็ถูกส่งต่อให้กับลูกน้องในบริษัทเป็นผู้จัดการเสียส่วนใหญ่

เขากลับไปที่คอนโด รื้อข้าวของทุกชิ้นออกมาตรวจหาสร้อยคอที่ไม่รู้รูปพรรณสัณฐาน สร้อยเส้นบางๆ ที่เขาไม่เคยได้สังเกตมัน แม้ในห้องจะมีข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่อย่างแต่ก็สามารถทำให้ห้องรกได้ในพริบตา

สถานที่บริเวณริมหน้าต่างที่ไออุ่นชอบไปยืนชมทิวทัศน์และมักพูดอยู่เสมอว่าอิจฉาคนที่ได้อยู่ข้างนอกจวบจนตอนนี้ไวน์ก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของมันอย่างถ่องแท้ รับรู้เพียงแค่ว่าเจ้าตัวคงอยากออกไปจากที่นี่เต็มทน เขาได้แต่มองมันด้วยความอาลัย ถ้าไออุ่นจะพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยินดีที่จะพาออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างที่เจ้าตัวต้องการ

ไวน์หันกลับไปแล้วพบว่าเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวที่ไออุ่นมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเฉยๆ ให้เขาได้จ้องหน้า และหาเรื่องมาปฏิเสธการกินข้าวได้ตลอดเวลามันกลายเป็นที่ที่ว่างเปล่า หลงเหลือไว้เพียงเงาแห่งความทรงจำ

ความรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ไออุ่นจากไปมันเกาะกินหัวใจเขามาตั้งแต่วันนั้น หากไม่สามารถหาสร้อยเส้นสำคัญนั้นกลับไปคืนเจ้าของได้ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะชดใช้แทนกันได้มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น

ไม่ว่าไวน์จะควานหาที่ไหน มุมไหนของห้องก็กลับไม่พบสร้อยคอเส้นนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่าไออุ่นอาจจะทิ้งมันลงไปในท่อระบายน้ำหรือไม่ก็อาจจะทิ้งลงในชักโครกไปแล้ว ทั้งที่มันสำคัญแต่ทำไมเจ้าตัวถึงได้เลือกที่จะทำให้มันหายไปจากสายตา ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดเท่าไรก็มีแต่คำถามว่าทำไมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีใครให้คำตอบกับคำถามของเขาได้เลยสักคน แม้แต่ตัวเองที่เป็นผู้ตั้งคำถามนั้นก็ยังตอบไม่ได้ ไวน์เลิกหาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เรียวคิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ดวงหน้าแสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วเขาก็ผุดลุกขึ้นมานั่งราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

ร่างสูงเดินตรงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงลิ้นชักให้เปิดออกกว้าง ควานมือเข้าไปหาของชิ้นหนึ่งที่น่าจะอยู่ข้างใน ก่อนหน้านี้เขาเคยกำชับกับไออุ่นไว้ว่าอนุญาตให้ใช้โต๊ะเขียนหนังสือได้แต่ห้ามเปิดลิ้นชักเด็ดขาด และเพราะแบบนั้นในหลายวันที่ผ่านมาเลยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ บางทีสร้อยเส้นนั้นอาจอยู่ในที่ที่เขาห้ามให้แตะต้อง

ในที่สุดก็เจอ

มือใหญ่คว้าเอาสร้อยเส้นหนึ่งที่อยู่ในนั้นออกมาและพบว่ามีกระดาษพับสองทบแผ่นหนึ่งแนบติดออกมาด้วย เมื่อได้เปิดอ่านก็พบว่าเนื้อความที่อยู่ในนั้นถูกเขียนถึงเขา



ถึง คุณไวน์
ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และผมก็ดีใจที่คุณหามันจนเจอ ผมคิดว่าก่อนหน้านี้เบฟคงพูดอะไรให้คุณรู้สึกว่ามีเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้น และผมคิดว่าคุณคงเชื่อในสิ่งนั้นด้วยเลยหาของที่หายไป จำได้ไหมครับที่คุณเคยถามหาความจริงจากผม ตอนนี้ผมพร้อมจะพูดแล้วแต่เมื่อคุณได้ฟัง คุณอาจจะรับไม่ได้หรืออาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ได้ใช้ไปพร้อมกับคุณ คุณคงตั้งคำถามและสงสัยผมในหลายเรื่อง ผมขอโทษด้วยที่ตอนนั้นตอบอะไรออกไปไม่ได้เพราะผมรู้ว่าคุณจะไม่เชื่อ และผมไม่เคยโกรธที่คุณไปสืบหาประวัติของผมมา ที่คุณทำไปก็เพราะอยากรู้จักผม ผมเข้าใจครับ แต่ผมอยากจะขอให้ช่วยรับปากอะไรสักเรื่อง นั่นก็คือ… ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงหลังจากนี้ ขอให้คุณนำสร้อยเส้นนี้ไปคืนเบฟได้ไหมครับ

คำตอบของผม…. “เพราะผมเป็นเพียงตุ๊กตาไขลานยังไงล่ะครับ”

สุดท้ายนี้ ผมดีใจนะครับที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับคุณ มันมีค่ากับผมมาก
ไออุ่น




“ตุ๊กตาไขลาน… งั้นเหรอ” ไวน์เข่นเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น เรื่องตลกที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นแล้ว

“คุณล้อเล่นแบบนี้ ไม่สนุกเลยนะ”

ราวกับไออุ่นจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าไวน์ไม่มีทางเชื่อเรื่องที่เขาเป็นตุ๊กตาไขลานจึงทิ้งท้ายไว้ให้อีกประโยคหนึ่งที่ด้านใต้ของกระดาษว่า ‘ลองไปถามเบฟดูสิครับ’

ไม่ว่ายังไงไวน์ก็ยังคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น ถึงจะนำสร้อยคอเส้นสำคัญกลับไปคืนได้ก็ใช่ว่าจะได้ไออุ่นกลับมาเสียเมื่อไร แต่ในใจลึกๆ แล้วก็ยังอยากให้ความสงสัยนั้นกระจ่างขึ้นมาบ้าง ตอนนี้สิ่งนั้นยังคลุมเครือเหมือนฟ้าจะโปร่งแต่อีกครึ่งฝนกำลังตั้งเค้าจะตก

มือแกร่งกำสร้อยเส้นนั้นเอาไว้แน่นพร้อมกับจดหมายที่ไออุ่นเขียนถึง เขารีบรุดออกจากคอนโดตรงไปยังร้านดอกไม้อุ่นไอรัก ต่อให้มันจะดึกดื่นเที่ยงคืนหรือมากกว่านั้นก็จะต้องออกไปพบกับเบฟให้ได้ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกตอนนี้กำลังเรียกร้องหาความจริง





>>> ต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
>>> ต่อจากข้างบนค่ะ



ไวน์หยุดยืนอยู่หน้าร้านที่ติดป้ายไว้ว่า ‘CLOSE’ ภายในนั้นมืดสนิทแต่กลับรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าในการจากไปของเจ้าของร้าน ดอกไม้ที่เคยงดงามอยู่เสมอยามที่เขาแวะเยือน บัดนี้ไร้ซึ่งสีสันและความมีชีวิตชีวา การจากไปของไออุ่นส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างได้มากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ

กริ่งที่อยู่ข้างประตูถูกกดลงไปถึงสามครั้ง และถูกกดอีกสามครั้งเมื่อภายในร้านไร้การเคลื่อนไหว

คราวนี้ไวน์ยืนรออยู่หน้าประตูไม่นาน ไฟในร้านบางดวงก็สว่างขึ้นก่อนจะปรากฏร่างของคนๆ หนึ่งที่กำลังเดินตรงมายังประตูร้าน แต่พอเจ้าตัวได้เห็นว่าใครมือบอนมากอดกริ่งกลางดึกชนิดที่ไร้ซึ่งความเกรงใจก็เป็นอันต้องชะงักไปเล็กน้อย ดวงหนาอันน่ารักน่าเอ็นดูนั้นแลบึ้งตึงขึ้นมาราวกับมีใครไปสับสวิตซ์เข้า

เบฟหยุดอยู่ตรงหน้าไวน์โดยมีเพียงแค่ประตูกระจกและประตูเหล็กกั้นเอาไว้เท่านั้น เขาเปิดประตูกระจกออกเล็กน้อยแล้วยืนนิ่งๆ รอฟังเหตุผลดีๆ ในการปลุกเขาขึ้นมากลางดึก

“ขอเข้าไปหน่อย”

“เสียใจ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมา”

ไวน์ชูสร้อยคอของไออุ่นให้ดู ประตูร้านถึงได้เปิดกว้างมากขึ้นในขณะที่เบฟเอื้อมมืออกไปเพื่อจะคว้าสร้อยเส้นนั้นเอาไว้แต่ไวน์กลับชักมันกลับแล้วบอกว่า “เปิดประตูให้เข้าไปก่อนสิ แล้วจะให้”

เบฟไม่มีทางเลือก เขาเหวี่ยงประตูกระจกเปิดดังโครมแล้วเดินไปหยิบกุญแจเพื่อมาไขประตูเหล็กด้านนอกให้ไวน์ได้ก้าวเข้ามาในร้าน

“เข้ามา เอาสร้อยวางไว้แล้วก็ไปได้แล้ว!”

“ขอเจออุ่นหน่อย”

“คิดว่านี่มันกี่โมง! จะตีหนึ่งแล้วไหม! เสร็จธุระแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

“ธุระของผมคือการมาเจออุ่นและฟังความจริง”

“ความจริงอะไร! คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไง กลับไปได้แล้ว!! ที่นี่ไม่ต้อนรับคนที่ทำให้อุ่นตาย!”

แม้ความจริงไออุ่นอาจจะยังไม่ตาย เขาอาจจะช่วยยื้อร่างนั้นเอาไว้ได้ด้วยกุญแจที่อยู่บนสร้อยคอเส้นนั้นแต่ความเดือดดาลที่มีให้กับคนที่พรากคนรักไปจากเขามันไม่หมดไปจากใจได้ง่ายๆ

“ถ้าไม่ให้เจอ ถ้าไม่บอกความจริง งั้นผมคงต้องกลับแต่จะกลับไปพร้อมกับสิ่งสำคัญที่นายตามหามันมาตลอด”

กุญแจชิ้นสำคัญถูกชูแกว่งไปมาจนเบฟออกอาการหงุดหงิด จะปิดประตูใส่หน้าก็กลัวว่าจะไม่ได้กุญแจที่อยู่บนสร้อยเส้นนั้นกลับมา แต่ถ้าบอกความจริงออกไปก็คงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง

“จะไปเจออุ่นก่อนหรือฟังความจริงก่อน”

“ขอฟังความจริงก่อน ความจริงที่เกี่ยวกับอุ่นนะ”

เบฟทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งในร้าน สงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะยาวจนเกือบโต้รุ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ การที่จะเล่าเรื่องไออุ่นให้ใครสักคนได้ฟังมันไม่ใช่เรื่องง่ายในเวลาแบบนี้เลยจริงๆ

“อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”

“เขาบอกว่า… เขาเป็นตุ๊กตาไขลาน”

ไวน์ตัดสินใจถามออกไปตรงๆ แล้วกระเถิบเข้าใกล้เบฟมากขึ้นด้วยใจลุ้นระทึก

“อืม… ก็ตามนั้น อุ่นเป็นตุ๊กตาไขลานที่มีชีวิตอยู่กับครอบครัวเรามาเกือบร้อยปี ไม่กิน ไม่นอน ใช้ชีวิตอย่างไม่หยุดพัก ไม่รู้จักความเจ็บปวด ร้องไห้ไม่ได้แม้จะเสียใจแค่ไหน น้ำตาของอุ่นก็ไม่เคยไหล”

คำอธิบายของเบฟช่วยไขข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับเขาจนหมดเกลี้ยง ในตอนนั้นที่เขาถามว่าเจ็บไหม ไออุ่นกลับมีท่าทีลังเลใจ ในตอนที่เขาให้ไออุ่นกินข้าว ฝ่ายนั้นกลับหาทางเลี่ยงทุกครั้ง ในตอนที่เขานึกสงสัยว่าไออุ่นต้องการชุดไขควงไปทำอะไรก็คงเพราะอยากซ่อมแซมร่างกายของตัวเอง

“แบบนี้เอง… หึ แบบนี้เองเหรอ”

ไวน์แหงนหน้าขึ้นมาเพดานห้อง กลั้นน้ำตาที่จะไหลลงมาให้ไหลย้อนกลับไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร โล่งใจหรือเจ็บปวด รู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ ทุกอย่างที่เป็นความรู้สึกมันตีรวนจนสับสนไปหมด

“แบบไหน”

“ไม่ต้องเข้าใจหรอก พาไปเจออุ่นหน่อย”

เบฟพยักหน้า เขาลุกขึ้นแล้วเดินนำไปข้างบน ห้องนอนของไออุ่นดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา มีเพียงแค่ของใช้จำเป็นเท่านั้น ถ้าไม่เห็นว่ามีใครบางคนนอนอยู่บนเตียง สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของไวน์มันคือห้องว่างดีๆ นี่เอง

“อุ่นอยู่นั่น เอาสร้อยมาได้แล้ว”

ไวน์เห็นแล้ว เห็นไออุ่นนอนนิ่งอยู่บนเตียงและแล้วภาพในวินาทีแรกที่เขาเปิดเข้ามาในห้องนอนเมื่อได้รับคำบอกเล่าจากลูกน้องสะท้อนเข้ามาในดวงตา เสี้ยววินาทีหนึ่ง หัวใจของเขากระตุกวูบเหมือนถูกไฟช็อต

“ขอสร้อยด้วย”

เบฟที่กำลังพยุงร่างของไออุ่นให้ลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียกขอสร้อยคอคืน แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยืนเฉยอยู่กับที่ “สร้อย”

ไวน์เพิ่งได้สติจึงเดินเอาสร้อยของไออุ่นไปคืนให้ แต่เขาไม่ได้หนีหายไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างเตียงนอน รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกับสร้อยเส้นนั้น

คนที่นั่งอยู่บนเตียงรับสร้อยกลับคืนมาแล้วปล่อยให้ร่างของไออุ่นทิ้งน้ำหนักตัวลงมาที่เขา อีกมือที่ว่างอยู่นั้นสอดเข้าไปใต้เสื้อ คลำหาช่องเสียบกุญแจ อีกมือที่ถือสร้อยอยู่พยายามที่จะเสียบกุญแจเข้าช่องแต่มันไม่ง่ายเลยในเมื่อเขามองไม่เห็น

“ให้ช่วยไหม”

“ไม่ต้อง ทำเองได้”

เบฟใช้เวลาพยายามอยู่ไม่นานนัก กุญแจที่อยู่ในมือก็ลงล็อค เพียงแค่บิดหมุนมันทวนเข็มนาฬิกา ไออุ่นก็จะกลับมาหาเขาเหมือนเดิม กลับมาอยู่กับร้านที่รัก กลับมาให้เขาได้บอกรักทุกวัน แต่สวรรค์มักเล่นตลกกับมนุษย์เสมอจึงไม่มีทางที่จะให้สมหวังได้โดยง่าย… ลานฟรี

“ไม่นะ ไม่…”

เบฟลองกดกุญแจลงไปให้ลึกแล้วหมุนมันอีกครั้ง สีหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดลงถนัดเมื่อลานมันฟรี หมุนยังไงมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นจนไวน์ต้องเสนอความช่วยเหลืออีกครั้ง คราวนี้เขายอมเพราะคงทำเองคนเดียวไม่ได้ ใจมันสั่นจนไม่สามารถควบคุมให้มือนิ่งได้อีกแล้ว

ไวน์รับกุญแจมา ถลกเสื้อของไออุ่นขึ้น เขาไม่เคยสังเกต ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าไออุ่นจะเป็นตุ๊กตาไขลานจริงๆ จนได้มาเห็นกับตาตัวเองในครั้งนี้ มือข้างหนึ่งของเขาเกิดสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ความรู้สึกในตอนนี้ยากจะอธิบายให้เข้าใจเมื่อได้รับการยืนยันด้วยตาตัวเองว่าไออุ่นไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆ

กุญแจรูปทรงเฉพาะถูกเสียบลงกลางหลัง ทันทีที่หมุนย้อนกลับมันช่างง่ายดายเหมือนเราหมุนอะไรสักอย่างที่ข้างในมีความกลวงจนเกือบจะครบรอบ เขาได้ยินเสียงดังกึกอยู่สามสี่ครั้งแล้วราวกับลานในตัวเริ่มขยับ เขาถอนกุญแจออกแล้วยื่นมันคืนให้กับเจ้าของ ถอยหลังออกมาสองก้าวเพื่อให้ตัวได้ยืนอยู่ด้านหลังเบฟและมองเห็นภาพไออุ่นลืมตาขึ้นมาได้ชัดเจนขึ้น

ร่างกายที่เคยแน่นิ่งไปกลับมาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง

“อุ่น อุ่น… อุ่นกลับมาแล้ว” เบฟเรียกชื่อของคนที่รักสุดหัวใจซ้ำไปซ้ำมาด้วยความดีใจ

ไออุ่นโอบกอดร่างที่เขาซบพิงอย่างแนบแน่นพลางเหลือบมองคนที่อยู่สูงกว่าแล้วส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่ไม่ใช่ความโกรธเกลียด ไม่ใช่การกล่าวโทษ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการตำหนิติเตียนพาให้หัวใจของผู้ที่ได้รับรอยยิ้มนั้นแข็งทื่อ ทั้งที่ตัวเขาเองพยายามหาทางแก้ไขความผิดนั้นแต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่แม้แต่จะใส่ใจ

“แต่อุ่นคงบอกได้แค่ว่า… ลาก่อน”

“เอ๊ะ?”

“อุ่นอยู่มานานแล้วนะ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องจากไปอยู่ดี เพียงแต่วันนั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดก็เท่านั้นเอง เบฟต้องเป็นเด็กดีของแด๊ดกับแม่นะ”

“อุ่น… ไม่เอาๆ ไม่ให้ไป”

เบฟกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม พอรู้ว่าไออุ่นจะต้องหายไปจากชีวิตเขา น้ำตาก็ร่วงพล็อยลงมาทีละหยด พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ พยายามบังคับร่างตัวเองไม่ให้สั่นไหวทั้งที่รู้ว่ามันยาก หัวใจเขาในตอนนี้เหมือนมีใครบางคนโยนมันทิ้งลงมาจากที่สูง ทันทีที่ตกถึงพื้นก็แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี

“ไม่ร้องสิครับ เด็กดี”

“ไม่ได้ร้อง”

ไออุ่นหลุดยิ้มเล็กน้อย “ครับๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง…” แล้วเงยหน้ามองร่างที่อยู่สูงกว่า “ขอโทษนะ”

ไม่รู้ว่าไวน์จะเข้าใจไหมว่าเขากำลังเอ่ยขอโทษอยู่ ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริง ขอโทษที่เด็กคนนี้อาจก่อเรื่องวุ่นวายให้ ขอโทษที่เขาไม่อาจตอบรับความรู้สึกนั้นได้แม้ในใจจะรู้สึกแบบเดียวกันก็ตาม

“ขอกอดอุ่นแบบนี้ไปตลอดเลยได้ไหม”

ไออุ่นพยักหน้าแต่ดวงตาสีหยกนั้นยังคงจ้องมองใบหน้าของไวน์ไม่วางตา เสียงบางอย่างในร่างกายเริ่มลั่นร้อง มันคงเหลือเวลาให้เขาได้เก็บเกี่ยวความสุขที่อยู่ตรงหน้าอยู่เพียงไม่กี่อึดใจแล้ว

“อืม ได้สิ”

ไออุ่นยื่นมือข้างหนึ่งของตัวเองไปตรงหน้าไวน์พร้อมกับส่งยิ้มหวาน มันช่างงดงามตอบรับกับรูปหน้าเรียวและดวงตาสีหยกคู่นั้น ประทับติดตรึงใจจนยากแก่การลบเลือน หากแต่ถ้าไวน์จะเข้าใจคงรับรู้ได้ไม่ยากว่านี่เป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่บ่งบอกถึงการจากลานิรันดร์กาล

เพียงแค่มือใหญ่แตะสัมผัสอย่างแผ่วเบา เปลือกตาบางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวปิดลงอย่างช้าๆ ค่อยๆ ซึมซับทุกสิ่งที่ส่งผ่านมือคู่นั้นมา รอยยิ้มอันงดงามยังคงประดับอยู่บนใบหน้า หากแต่มือที่เกาะกุมกันไว้ลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไออุ่นถูกดึงรั้งให้กลับคืนสู่ผืนแผ่นดิน

“อุ่น… อุ่น… อย่าเงียบสิ อุ่น”

“…….”

ไวน์ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา เขาเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้

“อุ่น!! ไม่ๆ อุ่น!!”

เบฟดึงร่างที่ซบตัวเขาออกอย่างช้าๆ วินาทีที่เห็นว่าไออุ่นพลิ้วไหวตามแรงเหวี่ยง ขยับไปอย่างไร้ทิศทาง บังคับให้ไปซ้ายก็ไปซ้าย บังคับให้ไปขวาก็ไปขวา ความรู้สึกที่อิ่มเอมอยู่ในอกพลันหายวับไปในพริบตาแทนที่ด้วยความปวดร้าว

“อุ่น!!! ม่ายยยยยยยยย”

มือแกร่งรั้งร่างนั้นเอาไว้ โอบกอดแนบแน่นด้วยความรักสุดหัวใจ น้ำตาร่วงรินจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ หากไออุ่นไม่กลับมา และดูเหมือนว่าไออุ่นจะตั้งใจทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่รับรู้ว่าตัวเขาจะรู้สึกอย่างไรกับการจากไปในครั้งนี้ การจากไปที่ไม่อาจรับปากได้ว่าเมื่อไขลานอีกครั้ง ไออุ่นจะกลับมายิ้มให้เขาได้อีกหรือไม่ เขารีบคว้าเอากุญแจมาเสียบใส่ช่องที่หลัง หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในความเงียบ ไร้การเคลื่อนไหวไม่ว่าจะลองพยายามอีกสักกี่ครั้ง จะหมุนจนกุญแจหักคาช่องก็ไม่มีวันพาไออุ่นกลับมาจากความตายได้อีก

“อุ่น!!! ฟื้นสิ!! ลืมตาขึ้นมาสิ!!! ลืมตาเดี๋ยวนี้นะ!!!”

“เขา… จากไปแล้ว… ใช่ไหม”

ไวน์เองก็อยากได้คำยืนยันให้แน่ใจว่าไออุ่นจะไม่กลับมาอีกแล้ว เขาจะไม่ได้รับช่อดอกไม้ฝีมือไออุ่น ไม่ได้สบดวงตาสีหยกคู่นั้น ไม่มีโอกาสได้ฟังเสียงอันไพเราะเอ่ยทักทาย ไม่มีโอกาสได้ชิมน้ำฝีมือไออุ่นอีกแล้ว

เบฟนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร เขาประคองร่างของไออุ่นให้นอนราบลงบนเตียงอย่างเบามือราวกับถ้าออกแรงมากกว่านี้เพียงเล็กน้อย ร่างนั้นจะสูญสลายไป สองมือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ความเดือนดาลที่ครุกกรุ่นอยู่ในใจปะทุแตกออกมาเป็นสาย ความรู้สึกในเวลานี้เต็มไปด้วยความเสียใจ โกรธแค้นและกล่าวโทษ

หมัดหนักๆ ของคนที่นั่งอยู่บนเตียงกระแทกเข้าหน้าของไวน์เต็มแรงจนถึงกับทำให้ร่างนั้นเซถอยหลัง เบฟตามเข้าไปซ้ำอีกหลายหมัด ระบายความโกรธและแค้นเคืองบนใบหน้าอันหล่อเหลา ร่างสูงล้มลงกับพื้นและเขาก็ไม่พลาดที่จะกระหน่ำความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ลงบนใบหน้าของคนที่พรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากชีวิตเขาไป

ไวน์ไม่ปัดป้อง ไม่โต้กลับ อยู่นิ่งๆ รอรับหมัดที่ถูกประเคนใส่หน้าหลายต่อหลายหมัดจนกระทั่งล้มลงไปก็ยังปล่อยให้ตามเข้ามาซ้ำ ความผิดบาปที่ทำให้ไออุ่นจากไปทำให้เขาอยู่เฉย รอรับบทลงโทษ

หลังจากที่ระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบจะหมดแรง เบฟก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าการกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ไออุ่นกลับมา

“เจ็บไหม”

เจ็บไหม… แน่นอนว่าถ้าเป็นร่างกายมันคงตอบว่าเจ็บมากแต่ที่เจ็บกว่า เห็นทีคงจะเป็นหัวใจ

“ก็ไม่เท่าไร”

“เอาอีกสักสิบหมัดไหม”

“เอาสิ จะอีกสักร้อยหมัดก็ได้ เอาที่สบายใจเลย”

“หึ! ต่อยไปก็ทำให้อุ่นกลับมาไม่ได้ อีกอย่าง… มันเจ็บมือด้วย”

คำตอบของเบฟเรียกรอยยิ้มจากไวน์ได้นิดหน่อย ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ระบายโทสะลงกับเขาไปตั้งมากมาย

“อย่าตัดความหวังตัวเองแบบนั้นสิ ไออุ่นเป็นตุ๊กตาไขลาน ยังไงก็ต้องพาเขากลับมาได้ เรา… มาพักรบแล้วร่วมมือกันสักหน่อยไหม”

“ร่วมมือ? กับคุณเนี่ยนะ! เหม็นขี้หน้า!” ร่างข้างๆ จิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะว่าต่อ “แต่เพื่ออุ่น… ก็ได้ ยกธงพักรบชั่วคราว อุ่นกลับมาเมื่อไรค่อยรบกันต่อยังไม่สาย”

“โอเค งั้นกลับก่อนล่ะ”

ไวน์ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ปาดเลือดที่ไหลเปรอะมุมปากออกแล้วลุกขึ้นยืน ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป

“ขอโทษนะที่เมื่อก่อนเคยพูดไม่ดีเอาไว้ทั้งที่คุณอายุมากกว่าและก็เป็นลูกค้าของร้าน”

 จู่ๆ เบฟก็พูดขึ้นมาถึงเรื่องเมื่อครั้งนั้นที่เขาเคยพูดจาหวงก้างไม่ดีไว้กับไวน์ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วฝ่ายนั้นตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ แต่ไวน์กลับไม่ได้ติดใจหรือถือสาหาความอะไรกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ผมกับอุ่น เรามีกันอยู่แค่สองคน ผม... ไม่อยากเสียเขาไปไม่ว่าจะให้กับใครหรือกับอะไร”

“ผมก็ขอโทษเหมือนกันที่พาตัวเขาไป”

เบฟนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงว่าตัวเขาให้อภัยในสิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไป “ไวน์ แล้วเจอกัน”

“อืม… แล้วเจอกัน”





** ติดตามตอนต่อไป **




เอิ่มมมมม อุ่นมาแล้วก็จากไป T^T
ในจดหมายของอุ่นก็ไม่มีอะไรมาก แต่คิดว่าน่าจะมีประโยคสำคัญประโยคหนึ่งที่เขียนให้ไวน์ ไม่รู้จะรู้หรือเปล่าว่าอุ่นต้องการบอกอะไร
มาลุ้นด้วยกันนะคะว่าสุดท้ายแล้วจะช่วยไออุ่นกลับมาได้ไหม หรือว่าเขาจะจากไปตลอดกาล

นอกจากนี้ยังมีเรื่องแจ้งให้ทราบด้วยค่ะ คือ...
ขออนุญาตแจ้งผู้อ่านทุกท่านว่าจะงดอัพนิยายประมาณ 1 เดือนนะคะ
เนื่องจากว่าผู้แต่งซึ่งคือเราเองจะออกไปท่องโลกกว้าง ณ แดนอาทิตย์อุทัยเป็นระยะเวลาราวๆ 2 สัปดาห์ค่ะ
จึงคิดว่าชีวิตค่อนข้างวุ่นวายแน่นอน ไหนจะเช็คแพลนรอบสุดท้าย เตรียมของ คอนเฟิร์มโรงแรม บลาๆๆ อีกมากมายเลย
เห็นช่วงระยะเวลาที่จะเงียบหายไปแล้วค่อนข้างจะนานอยู่พอสมควรเลย
อย่าเพิ่งลืมนิยายเรื่องนี้กันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งลืมไออุ่นกับไวน์กันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



alternative
ขอบคุณนะคะ ไออุ่นก็ใจเด็ดนิดนึงค่ะ แต่ว่าเหมือนเขารู้ว่าไม่วันนี้ก็วันข้างหน้า ลานในตัวจะหยุดเดินแล้วตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่จะจากที่สุดแล้วอ่ะค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ พี่ไวน์หาสร้อยมาคืนได้แล้วค่ะ แต่ก็.... นะ T^T

KARMI
ขอบคุณนะคะ ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ อุ่นวางสร้อยกับจดหมายไว้ในที่ลับตาคนค่ะ เห็นได้คนเดียวคืออุ่น เพราะอุ่นเป็นตุ๊กตา แหะๆ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ เรือพีทเบฟน่าจะอีกไกลเลยกว่าจะถึงฝั่ง มันอยู่ลิบๆ นู้นเลยค่ะ

sirin_chadada
ขอบคุณนะคะ เจอจดหมาย เจอสร้อยแล้วนะคะ แต่... ข้อความในจดหมาย อุ่นเขียนได้สั้นมาก ฮ่าๆๆ

shoky_9
ขอบคุณนะคะ กลับมาแล้วและก็ไปแล้วค่ะ T^T



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พีททททททท อยู่ไซ  เตรียมหาอะหลั่ยอุ่นด่วนนนนนนนนนนนนนนนน  :dont2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด