Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Agnosia [เเอคโนเซีย] - บทที่ 30 (End) อัพเดต Agnosia 2 (23-07-2020) P.5  (อ่าน 31681 ครั้ง)

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
น่าสนใจมาก

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
สนุกมากกกกกก  o13

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
รอติดตามตอนทำงานต่ออยู่น้า  :L2:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บทที่ 2 ผู้ชายขี้อ่อย


-ขอฝากพระเอกนายเอกคู่ใหม่ด้วยนะคะ เเอคโนเซียภาค 2 จะเป็นการเล่าเรื่องของสองนายเอกสลับกัน มี NC เยอะพอสมควร หวังว่าจะชอบกันน้า-


-งาน Meb E-book fari 2020 มีโปรโมชั่นลดราคาหนังสือนิยายทุกเรื่องของเรามากกว่า 20% ใครสนใจมาช่วยกันอุดหนุนได้นะคะ ขอบคุณค่ะ-

o18


(เกื้อกูล)

จะไปดีมั้ย?

Devil : ไปเถอะน่า นายอายุ 23 แล้ว ควรได้เปิดโลกกว้างบ้างนะ

Angel : อย่าไปเด็ดขาด ร่างกายของนายมีค่า จะปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาบุกเบิกประตูหลังไม่ได้ นายอาจติดโรค!

Devil : ใส่ถุงยางอนามัยสิ ไม่ติดโรคหรอกน่า

Angel : นายควรจะเสียตัวให้กับคนรักสิถึงจะถูก เก็บความบริสุทธิ์เอาไว้ก่อน

Devil : แต่นายไม่เคยมีคนรักนะเกื้อกูล แล้วก็ไม่แน่ว่าจะหาได้ นายต้องการเซ็กส์ ฉันรู้ว่านายอยากลอง เพราะงั้นไปสนุกให้เต็มที่ การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งผิด และการมีเซ็กส์กับคนแปลกหน้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี นายเป็นผู้ชาย ท้องไม่ได้นะเว้ย

อืม…มีเหตุผล ไม่ท้องย่อมไม่เสียหาย

ความคิดของผมเริ่มเอนเอียงไปหาเจ้าปีศาจที่อยู่ในสมอง แต่คำว่า ‘ไม่กล้า’ ที่ผลุดขึ้นมาในใจกลับทำให้ผมเริ่มกังวลอีกครั้ง ได้แต่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้ากระจก บนเตียงเล็กๆ ในอพาร์ทเม้นท์ราคาถูก มีเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดของผมวางกองไว้จนเป็นภูเขาขนาดย่อม ผมพยายามเลือกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทำให้ตัวเองดูดีที่สุด เพราะว่าคืนนี้ผมตัดสินใจจะเปิดโลกกว้างของตัวเอง ด้วยการเข้าไปเที่ยวที่บาร์เกย์ชื่อดังประจำจังหวัด เพียงแต่จู่ๆ ก็เริ่มลังเลแล้วว่าควรจะไปดีหรือเปล่า?

ผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายมาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เพราะคำว่า ‘ไม่กล้า’ ทำให้ผมซ่อนความเป็นตัวเองเอาไว้ มันเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุด

ครอบครัวของผมเป็นเกษตกรหัวโบราณ แม่ของผมเสียชีวิตด้วยอาการป่วยตั้งแต่ผมมีอายุได้ห้าขวบ ผมจึงแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่เลย ผมอาศัยอยู่กับพ่อ ปู่ย่าและป้า ทุกคนดีกับผมมาก ป้าของผมไม่ได้แต่งงาน จึงรักและเอ็ดดูผมราวกับลูกแท้ๆ ผมเป็นหลานเพียงคนเดียวในตระกูล ซึ่งทุกคนต่างคาดหวังให้ผมประสบความสำเร็จในทุกด้าน

ผมแน่ใจว่าตัวเองเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบในระเบียบมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยสร้างเรื่องหนักใจให้กับครอบครัวเลย ผมคว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศได้ แต่น่าเสียดายที่พ่อของผมป่วยหนักและเสียชีวิตก่อนที่ผมจะเรียนจบได้เพียงสองเดือน

ผมกลับบ้านมาช่วยป้าทำสวนทำไร่ได้เกือบสี่เดือน ระหว่างรอให้บริษัทที่สมัครงานเรียกตัว และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ผ่านการสัมภาษณ์งานที่บริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ปู่ย่ากับป้าพากันจัดงานฉลองเล็กๆ ให้ผม ก่อนที่ผมจะเก็บข้าวของย้ายมาใช้ชีวิตที่จังหวัดระยองเพียงลำพัง

นอกจากหน้าที่การงานที่มั่นคง ผมยังคาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตกับใครสักคนไปจนแก่เฒ่า เพียงแต่เกย์ฝึกหัดอย่างผมไร้ประสบการณ์ ทั้งเรื่องของความรักและเรื่องของเซ็กส์ ผมไม่รู้ว่าจะไปหาคนรักได้จากที่ไหน ผมมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนๆ นี้ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ดังนั้นสถานที่ที่ผมจะค้นหาชายรักชายได้อย่างเปิดเผย คงหนีไปพ้นบาร์เกย์ ผมต้องหัดเข้าสังคมเกย์ หาเพื่อนฝูง หรือถ้าโชคดี ผมอาจเจอคู่นอนที่ถูกใจก็ได้

ผมยอมรับแบบไม่อายเลยว่าผมอยากเป็น ‘รับ’ คิดว่านะ อย่างน้อยตอนที่ดูหนังโป๊ ผมก็จินตนาการว่าตัวเองเป็นฝ่ายรับว่าโดยตลอด อีกอย่างอายุยี่สิบสามปีก็ออกจะแก่เกินไปสำหรับการเสียตัวครั้งแรกแล้วล่ะ ผมควรมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบนเตียงบ้างก่อนที่จะคบกับใครแบบจริงจัง ผมเคยอ่านปัญหาของชีวิตคู่มาจากเว็บไซต์เกย์แห่งหนึ่ง ถ้าผมไร้น้ำยากับเรื่องบนเตียงมากเกินไป คนรักของผมอาจจะเบื่อหน่ายก็ได้ และมันอาจจะนำไปสู่การนอกกายแล้วก็จะตามมาด้วยการนอกใจ

ผมตัดสินใจคว้าเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อดังมาสวมเข้าคู่กับกางเกงยีนสีเข้มพอดีตัว เสื้อผ้าพวกนี้ผมเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ตั้งใจจะเก็บไว้ใส่ในโอกาสพิเศษ ซึ่งวันนี้นับเป็นวันสำคัญของผมที่ผมอาจจะได้เปิดซิงของตัวเองก็ได้ ผมฉีดน้ำหอมยี่ห้อ CK ONE ที่ให้กลิ่นหอมละมุน ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผม พยายามไม่ให้ดูเนี้ยบจนเกินไป แต่ก็ไม่ให้ดูยุ่งเหยิง เมื่อหมุนตัวอยู่หน้ากระจกจนพึงพอใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองแล้ว ผมก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับและโบกเรียกแท็กซี่ไปยังบาร์ชื่อดัง

ผมมาถึงจุดหมายปลายทางในเวลาสี่ทุ่มตรง ‘Manly’ เป็นบาร์ที่มีชื่อเสียงและหรูหราที่สุดในจังหวัด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่แต่งตัวดี มีมารยาทและกระเป๋าหนัก ลูกค้าที่ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทหรือการทำอนาจารในบาร์จะถูกไล่ออกไปและติดแบล็คลิสตลอดชีวิต บาร์แห่งนี้จึงค่อนข้างทำให้ผมเบาใจ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องกังวลว่าอาจจะถูกฉุดหรือถูกมอมเหล้าโดยไม่มีใครช่วยเหลือ

ผมยืนลังเลอยู่ที่หน้าบาร์ สายตาไล่มองชายหนุ่มหลายคนที่เดินเข้าเดินออกทางประตูใหญ่ ด้วยความมั่นใจที่เริ่มถดถอยลงทุกที

ให้ตายสิ มีแต่คนหน้าตาดีเต็มไปหมดเลย บางคนหน้าสวย เอวบางร่างเล็ก ภาพลักษณ์งดงามเหมือนนายเอกหนัง AV ที่ผมดูไม่มีผิด แล้วดูผมสิ จืดชืด ไร้รสนิยม ช่างเป็นคนที่ไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเลย ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนหน้าตาดี เพียงแต่ผิวขาวกับใบหน้าเรียบเนียนทำให้พอดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง

ผมสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ไหนๆ ก็ตั้งใจแต่งตัวมาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่เข้าไปก็น่าเสียดายแย่ อย่างน้อยครั้งแรกไม่ได้คู่ก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่ามาสำรวจสถานที่ก่อนแล้วกัน

ผมถูกยามหน้าประตูใหญ่ขอดูบัตรประชาชนซึ่งทำให้ผมเสียความมั่นใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวพี่ยามหน้าโหดก็พยักหน้าแล้วปล่อยให้ผมผ่านเข้าไป ด้านในของบาร์ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น ให้ความรู้สึกเรียบหรูแต่ดูดี ไฟสีทองสลัวทำให้ในบาร์ไม่มืดจนเกินไป ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของผู้คนได้อย่างชัดเจนเลย

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ทางด้านขวามีบาร์ครึ่งวงกลมสีดำเงางาม บนเก้าอี้ทรงสูงมีคนนั่งอยู่เพียงสามคน ซึ่งผมขอเดาว่าพวกเขาอาจจะมาเที่ยวคนเดียว ส่วนทางด้านซ้ายเป็นโต๊ะเข้าชุดกับโซฟาสีแดงเลือดนก มีคนนั่งรวมกันเป็นกลุ่ม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมจึงเลือกที่จะพาตัวเองเดินเข้าไปนั่งที่บาร์ครึ่งวงกลมแล้วสั่ง Cocktail มาดื่ม

ในตอนที่ผมกำลังยกแก้วทรงสูงขึ้นแตะริมฝีปาก สายตาก็เหลือบไปมองใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงฝั่งตรงกันข้ามกับผม

ตึกตักตึกตัก

หัวใจของผมเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่…

อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมาก อายุราวๆ 25-30 ปี ดวงตาเรียวยาวคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางได้รูป แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นบุคลิกเย็นชาที่แฝงแววร้ายกาจ ราวกับสัตว์นักล่าที่ทั้งน่าเกรงขามและสง่างาม เมื่อรวมกับออร่าความรวยที่พุ่งออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของใครหลายคนในบาร์

ราวกับรับรู้ได้ถึงการถ้ำมอง ผู้ชายคนนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับผม มือที่ยกแก้วเหล้าสีอำพันขึ้นจิบช้าๆ กับแววตานักล่านั้นดูเซ็กซี่มาก ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอเมื่ออีกฝ่ายขยับยิ้มให้ คิดว่าเขายิ้มให้ผมนะ แม่ง โคตรเชิญชวนเลยอ่ะ รู้สึกหน้ามืดนิดๆ เหมือนจะตกเก้าอี้แล้ว

เข้าไปทำความรู้จักดีมั้ย?

เขากำลังให้ท่าผมอยู่หรือเปล่านะ?

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ ก็แค่หน้าแตกเหรอ?

ระหว่างที่ผมกำลังตบตีกับความคิดฟุ้งซ่านในสมอง ก็มีใครบางคนก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนเกือบมองตามแทบไม่ทัน มาทรุดนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงข้างๆ ผู้ชายคนนั้น เขาจึงละสายตาจากผมแล้วหันไปมองผู้ชายร่างบางข้างๆ แทน

ผู้ชายที่มาใหม่ มีใบหน้าสวยจัด จมูกศัลยกรรมกับคางที่ถูกเหลาจนแหลมชวนมองอย่างประหลาด เจ้าตัวเหลือบตามามองผมพร้อมกับรอยยิ้มเหยียด เห็นแล้วทำให้หางคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ผมไม่โทษเขาหรอก ผู้ชายคนนั้นงานดีขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากได้เป็นธรรมดา แต่ที่เสียใจคือ…ผมโดนตัดหน้าไปแล้วอ่ะ ฮือออออ!





ซ่า!

ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เรียกความสดชื้นได้เล็กน้อย ความรู้สึกเวียนศีรษะในตอนแรกหายไปแล้ว ผมก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มตรง นอกจากนั่งดื่มเหล้าเหงาๆ คนเดียวมาเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ไม่เห็นมีใครแวะเวียนมาทำความรู้จักกับผมเลย แต่ถ้าจะให้ผมเป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่น บอกเลยว่าไม่มั่นใจ แถมยังหมดอารมณ์ไปดื้อๆ เมื่อเห็นเป้าหมายที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง กำลังนั่งพูดคุยกับชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนม

นก!

กลับห้องไปนอนดีกว่า…

ผมคิดพลางหยิบกระดาษชำระมาเช็ดมือทั้งสองข้างให้แห้งก่อนจะโยนลงถังขยะ มองสภาพของตัวเองในกระจกที่ดูโทรมเล็กน้อย เพราะผมเป็นเด็กอนามัย หัวต้องถึงหมอนตั้งแต่เวลาสี่ทุ่มแล้ว ตอนนี้เลยเวลาเข้านอนมากว่าหนึ่งชั่วโมง จึงช่วยไม่ได้ที่ดวงตาของผมจะเริ่มปรือ บวกกับแอลกอฮอล์ในเลือดยิ่งทำให้อยากหลับเข้าไปทุกทีแล้ว

ตุบ!

ในตอนที่ผมก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำได้เผลอชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคนเต็มแรง สาบานว่าผมเป็นคนที่มีความระมัดระวังมาก อุบัติเหตุเล็กๆ ในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่จู่ๆ ก็ก้าวเข้ามายืนขวางทาง

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อได้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นจากร่างของอีกฝ่าย เพิ่งรู้สึกตัวว่าในตอนนี้ ผมได้หน้าขมำไปชนเข้ากับซอกคอของผู้ชายคนนั้น

กลิ่นดีมาก…ต่อให้ไม่เห็นหน้ายังรู้เลยว่ากลิ่นแบบนี้ต้องหล่อแน่ๆ

“ขอโทษครับ”

ผมรีบก้าวถอยหลังทันที ทุกคนที่เข้ามาในบาร์เกย์ ย่อมเป็นชายรักชาย แล้วผมก็เสือกล้มไปหอมซอกคอเขาเต็มๆ ขนาดนี้ อีกฝ่ายอาจคิดว่าผมจ้องจะฉวยโอกาสก็ได้ ดีไม่ดีอาจโดนด่า

“จะกลับแล้วเหรอ”

ฮะ?

เสียงทุ้มติดจะแหบเล็กน้อย เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเขาคือผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม หัวใจไม่รักดีก็เริ่มเต้นกระหน่ำอีกครั้ง ยอมรับว่าไม่ได้เจอผู้ชายหน้าดีมากแบบนี้บ่อยๆ และยิ่งไม่เคยถูกผู้ชายหน้าตาดีมากเข้ามาทัก มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูกได้แต่พยักหน้าโง่ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามไม่ให้สั่นเพราะความตื่นเต้น

“ครับ”

“อยากไปต่อกับฉันมั้ย”

เขาชวนผมไปต่อ?

หมายถึงไปทำเรื่องอย่างว่าหรือเปล่านะ?

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?

หรือเขาจะชวนผมไปกินข้าว ไปทำความรู้จัก?

ความคิดสับสนในสมอง ทำให้ผมเหลือบตาขึ้นไปมองใบหน้าที่หล่ออย่างร้ายกาจกับดวงตาคมกริบของเขา ไม่น่า…คนที่มีบุคลิกเอาแต่ใจอย่างรุนแรงแบบนี้ ไม่น่ามีโมเม้นต์อย่างการชวนไปกินข้าว แต่เพื่อความแน่ใจผมควรเอ่ยถามให้ชัดเจน อาจารย์ของผมเคยบอกเสมอว่า ถ้าไม่เข้าใจอะไรให้ถาม อย่าปล่อยให้เข้าใจผิดและค้างคาเด็ดขาด

“One Night Stands เหรอครับ?”

อีกฝ่ายหัวเราะขบขันทันทีที่ได้ยินคำถามของผม อะไรหว่า? เขาไม่ได้จะชวนผมไปนอนด้วยเหรอ

“พูดตรงดีนี่”

ผู้ชายคนนั้นขยับยิ้มที่มุมปากซึ่งทำให้เขาดูเซ็กซี่และน่าเข้าหามากยิ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ใครหลายคนต่างพากันเหลือบมามองเขาเป็นระยะ

“ตามนั้นแหละ”

ผมหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ตอนนี้ผมง่วงมาก แต่โอกาสดีๆ ที่จะได้เปิดซิงกับผู้ชายที่หล่อขนาดนี้อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตของคนหน้าจืดอย่างผม ถ้าผมไม่คว้าไว้ตอนนี้ อนาคตผมอาจจะได้กับผู้ชายหน้าตาไม่ดีหรือเปล่านะ อืม…ยังไงผมก็อยากได้คนหล่อไว้ก่อนอ่ะครับ งั้นเอาล่ะกัน

“ไปครับ”

เมื่อผมตอบตกลง ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาโอบไหล่ของผม แล้วพาเดินออกไปจากบาร์ทันที ผมเดินตามไปอย่างงงๆ ทั้งที่อยากเอ่ยปากถามว่า ‘คุณชื่ออะไรเหรอครับ’ แต่ก็ไม่กล้า เพราะคิดว่าการไม่ถามชื่ออาจเป็นเรื่องปกติของคู่นอนชั่วคราวก็ได้

พวกเราเดินมาถึงลานจอดรถของบาร์ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารถหรูสีแดงสด ผมไม่มีความรู้ในเรื่องของรถมากเท่าไร แต่ก็พอจะบอกได้ว่ามันคือรถของคนเห็นแก่ตัว ที่ราคาโคตรแพงแต่มีแค่สองที่นั่ง รู้สึกจะชื่อว่า ‘เฟอรารี่’

“ขึ้นรถ”

ประโยคคำสั่ง ทำให้ผมรีบเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งด้านในพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ผมเหลือบตามองคนที่เข้ามานั่งบนเบาะข้างๆ ก่อนจะแอบวิเคราะห์ลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขาไปด้วย

ผมคิดว่าฐานะทางการเงินของผู้ชายคนนี้คงจะไม่ธรรมดา ดูจากรถที่ขับ บาร์ที่เลือกเข้ามาใช้บริการ เสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บอกผมว่าเขาน่าจะรวยถึงรวยมาก แต่พอมาดูที่บุคลิกมีอำนาจ น้ำเสียงที่ใช้ค่อนไปทางออกคำสั่งโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นคนทำงาน อาจจะระดับบริหารธุรกิจส่วนตัวที่มีคนรอรับคำสั่งตลอดเวลา คนแบบนี้ไม่ชอบให้ใครขัดใจ แล้วก็น่าจะขี้หงุดหงิดพอสมควร

นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันนะ คนแบบนี้ไม่น่าจะอ่อนโยนกับเรื่องบนเตียงได้เลย แล้วผมก็กลัวว่าครั้งแรกอาจจะเจ็บมากอีกด้วย เปลี่ยนใจตอนนี้จะทันหรือเปล่า ขอตัวกลับเพราะง่วงนอนได้มั้ย ไม่สิ ควรบอกว่ามีธุระด่วนถึงจะถูก

“คิดอะไรอยู่”

คำถามลอยๆ พร้อมกับรถที่ทะยานสู่ท้องถนนยามค่ำคืนทำให้ผมสะดุ้ง เขาอ่านความคิดของผมออกด้วยเหรอ…นับว่าเป็นคนที่ความรู้สึกเร็ว ต้องเจนจัดในด้านธุรกิจแน่เลย

“เปล่าครับ” ผมตอบแบบประหยัดคำพูด ที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง ยิ่งกับคนที่ไม่สนิท ผมยิ่งพูดน้อยมาก

“เปล่าก็ดี ฉันก็คิดว่าเธอเปลี่ยนใจ ไม่อยากไปกับฉันแล้ว”

แม่นกว่าหมอดู ก็เขานี่แหละ!

ผมไม่ได้ยอมรับว่าเขาพูดถูก แต่เลือกที่จะมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไป จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายขับรถเร็วมาก แต่ก็นับว่าขับได้นิ่มนวลมากเช่นกัน

“เปิดลิ้นชัก”

คำสั่งลอยๆ เรียกให้ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจอมบ่งการ ก่อนจะเหลือบมามองลิ้นชักรถที่อยู่ตรงหน้า…หมายถึงลิ้นชักอันนี้ล่ะมั้ง?

“หาอะไรครับ”

ผมถาม แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักตามคำสั่งโดยดี ด้านในมีซองจดหมายเกี่ยวกับธุรกรรมต่างๆ ที่ยังไม่ได้ถูกแกะยัดไว้เต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีหลอดพลาสติกบางอย่างนอนอยู่ด้านในสุด ด้วยความสงสัยผมจึงหยิบมันออกมาดูโดยไม่คาดคิดว่ามันคือ เจลหล่อลื่นกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ถูกใช้ไปเกือบครึ่งหลอดแล้ว เฮ้อ คนแบบไหนกันนะที่เก็บของแบบนี้ไว้ในลิ้นชักหน้ารถ

“มีถุงยางมั้ย”

ผมเหล่ตาไปมองดวงหน้าหล่อๆ ที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะบอกว่าตัวเองว่า คงเป็นคนเซ็กส์จัดที่ผ่านคู่นอนมาหลายต่อหลายคน

“ไม่มีครับ”

ผมตอบ หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาระหว่างพวกเราอีกเลย เขาเองก็ดูไม่ใช่คนช่างพูดซะเท่าไหร่ ผ่านไปประมาณสิบนาที รถถูกจอดลงที่หน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผมเดาว่าอีกฝ่ายคงลงไปซื้อถุงยางอนามัย ขณะที่ผมนั่งรออยู่ในรถก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมยังไม่ได้ศึกษาเรื่อง One Night Stands อย่างถ่องแท้เลย จึงรีบหยิบไอโฟนขึ้นมาแล้วเสิร์ชคำว่า ‘กฎของความสัมพันธ์แบบ One Night Stands’ รอไม่นานหน้าจอก็แสดงผลการค้นหาให้ผมอย่างรวดเร็ว

กฎของความสัมพันธ์แบบ One Night Stands

1. ความสัมพันธ์ต้องแน่นอน ชัดเจน และไว้ใจได้

อาห์ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลอกผมไปขาย หรือหลอกผมไปรุมโทรม เขาน่าจะอยากได้ผมชั่วคราว ดังนั้นจึงถือว่าไว้ใจได้ล่ะมั้ง?

2. ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก

อ๋อ มันเป็นเรื่องสนุก?

นั่นสินะ การมีเซ็กส์นับเป็นความบันเทิงและสามารถปลดปล่อยความเครียดได้ส่วนหนึ่ง เพราะงั้นคืนนี้ผมต้องสนุก

3. อย่าหวังจะเจอรักแท้

อืม…ห้ามหวังจะเจอรักแท้กับคนที่ผ่านมาและผ่านไป ผมแค่ต้องโฟกัสเรื่องเซ็กส์

4. อย่าลืมป้องกันเสมอ

ผู้ชายคนนั้นไปซื้อถุงยางแล้ว เจลก็มีแล้ว ข้อนี้นับว่าไม่มีปัญหา

5. อย่าทำอาหารเช้าหรือกินมื้อเช้าด้วยกัน ให้รีบแยกย้ายทันที

กฎข้อนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การกินมื้อเช้าด้วยกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันธ์โดยไม่จำเป็น เพราะในอนาคตพวกเราไม่ได้ต้องการจะเกี่ยวข้องกันอีก ดังนั้นได้กันแล้วรีบแยกย้ายคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ผมรีบยัดไอโฟนลงในกระเป๋ากางเกงเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเปิดประตูรถ แล้วพาตัวเองขึ้นมานั่งประจำที่นั่งคนขับ รถทะยานสู่ท้องถนนอีกครั้งก่อนจะจอดสนิทในลานจอดรถของโรงแรม ‘ไอริส’

ผมเดินตามเขาเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม การตกแต่งที่หรูหราทำให้ผมรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากไปนอนในห้องรูหนู แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะพาผมมาเปิดห้องในโรงแรมระดับห้าดาวแบบนี้ ไม่รู้ว่าคืนละกี่พัน แค่ลองคาดเดาราคาก็ทำเอาผมน้ำตาตกในแล้วครับ ฮืออออ แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้ผมจ่ายคนเดียว ยังไงก็ต้องหารกัน ถือซะว่าใช้เงินค่าโรงแรมในครั้งนี้ ซื้อประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเอง

“เท่าไรเหรอครับ” ผมเอ่ยถามระหว่างที่พวกเราอยู่ในลิฟท์ด้วยกันสองคน

“หืม?” ผู้ชายคนนั้นก้มหน้ามองผมด้วยความไม่เข้าใจ ผมจึงรีบขยายความให้ชัดเจน

“ค่าโรงแรมน่ะ”

“ทำไม จะช่วยออกเหรอ?”

“ครับ” ผมรีบพยักหน้า ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ จะให้เขาจ่ายคนเดียวก็ออกจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย แต่ไม่คิดว่านอกจากจะปฎิเสธแล้ว เขายังหัวเราะขบขันราวกับเห็นว่าผมเล่นตลกให้ดูอย่างนั้นแหละ

“ไม่ต้องหรอก ฉันจ่ายเอง”

ผมขมวดคิ้ว รู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย ปกติแล้วผมไม่เคยเอาเปรียบคนอื่นเลยนะครับ

“จะดีเหรอครับ โรงแรมนี้ก็ดูท่าจะแพงมาก”

“ไม่แพงหรอก”

เขาปฎิเสธ ซึ่งพอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 23 ผมจึงรีบก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไปบนทางเดินที่ถูกปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก

“แต่ผมไม่อยากเอาเปรียบคุณนะครับ”

“เธอไม่ได้เอาเปรียบฉัน”

อีกฝ่ายถอนหายใจเบาๆ ขณะหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูห้องหมายเลข 2309 ผมไม่กล้าคะยั้นคะยอต่อเพราะเกรงว่าจะทำให้เขาอารมณ์เสีย ซึ่งมันคงไม่ดีต่อการเปิดประสบการณ์ของผม

ประตูห้องพักถูกปิดตามหลังพร้อมกับไฟในห้องที่ถูกเปิดจนสว่างไสว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กวาดสายตามองสำรวจความหรูหรา ร่างของผมก็ถูกผู้ชายคนนั้นดันถอยหลังไปจนติดกับผนังด้านหนึ่ง แล้วริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาแทบจะทันที เป็นเพราะผมไม่เคยจูบกับใครมาก่อนจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกเร้าริมฝีปากของผมตามใจชอบ

“เปิดปากหน่อยสิ”

ประโยคคำสั่งที่กระซิบชิดกับริมฝีปาก ทำให้ผมค่อยๆ เปิดปากขึ้นอย่างเงอะงะ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ว่าลิ้นร้อนของเขาสอดแทรกเข้ามาข้างในอย่างจ้าบจ้วง มือทั้งสองข้างของผมยกขึ้นมาดันแผ่นอกของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ แต่นอกจากเขาจะไม่ปล่อยผมแล้ว เขายังจูบผมอย่างดูดดื่มและแนบแน่นจนผมเกือบจะหายใจไม่ทัน ลิ้นซุกซนของเขาพยายามไล่ต้อนลิ้นของผมที่ขยับหนี และตวัดสำรวจไปทุกซอกทุกมุมในโพรงปาก ความรู้สึกซาบซ่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก่อตัวขึ้นช้าๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง การจูบที่ดุเดือดในครั้งนี้ทำให้ผมแทบสิ้นสติ น้ำใสๆ ที่กลืนลงคอไม่ทันเริ่มไหลเยิ้มลงมาตามปลายคาง ผมไม่ได้ขัดขืนเขาอีกแล้ว ได้แต่ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาจูบจนพอใจจึงเป็นฝ่ายผละออกไปเอง

“เธออายุเท่าไหร่”

เขาเอ่ยถามในตอนที่ถอนริมฝีปากออกมา แต่เนื่องจากเมื่อครู่พวกเราจูบกันอย่างดูดดื่มและยาวนานพอสมควร ทำให้เวลานี้มีของเหลวใสเป็นเส้นยาวเยิ้มออกมาจากปากของพวกเราทั้งคู่ ซึ่งภาพนั้นทำให้ผมหน้าแดงก่ำ

“ยี่สิบสามครับ” ผมตอบแล้วก้มหน้ามองพื้น รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อๆ

“งั้นเหรอ”

เขาเอื้อมมือมาจับปลายคางของผม แล้วดันขึ้นเบาๆ เพื่อให้สบตากับเขา ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่แฝงความร้ายกาจ มองสำรวจใบหน้าของผมเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งในสิ่งที่ทำให้ผมต้องถอนหายใจด้วยความยินดี

“ไปอาบน้ำ”

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าบนเตียงหลังใหญ่มีผ้าขนหนูสีขาวสะอาด ถูกพับเป็นรูปนกยูงคู่ก็รีบวิ่งไปคว้ามาไว้ในมือหนึ่งตัว ก่อนจะพุ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ผมยืนหอบหายใจ แผ่นหลังชิดกับประตู ใบหน้าแตกตื่นเล็กน้อย ผมขอเวลาอยู่กับตัวเองสักสิบนาทีเถอะ เพราะแค่จูบกันก็ทำเอาผมเกือบสติแตกแล้ว ถ้าทำมากกว่าจูบผมจะช็อคตายหรือเปล่าวะเนี่ย

ทำไมมันตื่นเต้นแบบนี้อ่ะ ฮืออออ




TBC.




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0


บทที่ 3 เป็นภรรยาต้องช่วยเหลือสามี


เวลาสี่โมงเย็นเป็นช่วงที่การจราจรบนท้องถนนหน้าบริษัทยูเนียนแออัดมากที่สุด พนักงานส่วนใหญ่ต่างรีบเร่งออกจากบริษัททันทีที่หมดเวลางาน บ้างรีบไปรับลูกจากโรงเรียน บ้างรีบไปรับแฟน ส่วนผมรีบไปรอให้ ‘แฟน’ มารับ
ผมเร่งฝีเท้าไปบนฟุตบาท มองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเพื่อนร่วมงานอยู่แถวนี้จึงรีบวิ่งไปยืนแอบอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ หยิบไอโฟนขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปทางไลน์ของพอร์ช
‘รอที่เดิม’
ผมมาทำงานพร้อมกับพอร์ชและกลับเพนท์เฮ้าส์พร้อมกับเขาเช่นกัน เพียงแต่ความยากลำบากมันอยู่ตรงที่ เขาจะจอดรถส่งผมแถวป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทเพื่อให้ผมเดินเข้าไปด้านในเอง ทำแบบนี้จึงจะไม่เป็นที่สะดุดตาของคนอื่น ซึ่งไอ้การหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ จะว่าตื่นเต้นมันก็ใช่อยู่นะ แต่จะทำให้ผมประสาทแดกเข้าสักวันน่ะสิ
“วิน”
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อ พร้อมกับมือที่ตะปบลงมาบนไหล่ ผมได้แต่โอดครวญในใจ ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังพลางภาวนาว่าคงจะไม่ใช่…
อีพี่เขียว!
“มาได้ไงอ่ะพี่”
ผมถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเหลอหลาราวกับต้องการประท้วงว่า…กูผิดอะไร๊! เออ ผิดดิ ผิดมาก ปกติเห็นขับรถมาทำงาน ไง๊วันนี้เสร่อมาที่ป้ายรถเมล์ได้เล่า!?
“เดินมาสิวะ” ไอ้พี่เขียวตอบ พลางเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“แล้วรถพี่ไปไหน”
“เข้าอู่”
แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องทนฟังเฮียแกบ่นเรื่องรัฐบาลชุดใหม่กับเศรษฐกิจที่มันย่ำแย่อยู่เกือบสิบนาที ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นจากัวร์สีดำแล่นมาจอดเทียบริมฟุตบาท
“ผมกลับก่อนนะพี่ แฟนมารับแล้ว”
“ขี้โม้นะมึงอ่ะ อะ อ้าว เดี๋ยวดิ วิ๊นนนนน”
ผมโบกมือลาก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปที่รถคันนั้น หวังว่าไอ้พี่เขียวจะไม่ทันสังเกตนะว่าท่านประธานแห่งยูเนียนใช้รถยี่ห้ออะไร
“หมอนั่นใคร”
นั่นเป็นคำถามแรกหลังจากที่ผมขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่รหัสกู”
ผมตอบแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว พร้อมกับที่รถหรูเคลื่อนตัวสู่ท้องถนนอีกครั้ง สายตาแอบเหลือบไปมองดวงหน้าของอีกฝ่ายเงียบๆ พอร์ชเป็นคนขี้หึงแบบไม่แสดงออก เขาจะไม่โวยวายหรือหงุดหงิดใส่ผม แต่จริงๆ แล้วในสมองกำลังคิดเลอะเทอะ ก่อนอื่นผมต้องเล่าที่มาที่ไปเกี่ยวกับความขี้หึงของเขาซะก่อน หมอนี่มีโรคประจำตัวชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยกับคนทั่วไปได้ เพราะมันถือเป็นจุดอ่อนถึงตายสำหรับนักธุรกิจ
พอร์ชไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิต โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง แบบนั้นมันเบสิคเกินไป คนหล่อระดับเขาต้องป่วยด้วยโรคที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว
“ทำงานแผนกเดียวกับมึง?”
“อืม”
ผมพยักหน้า ไม่ใช่ว่าหมอนี่จำหน้าของอีพี่เขียวไม่ได้นะครับ แต่เขาจำหน้าใครไม่ได้เลยต่างหาก
พอร์ชป่วยเป็นโรค Prosopagnosia หรือโรคหลงลืมใบหน้า แม้แต่ใบหน้า ของผมเขาก็จำไม่ได้ แต่ส่วนที่บกพร่องของเขากลับถูกชดเชย ด้วยสมองที่มีความจำดีเยี่ยม อย่างเช่นว่าเขาสามารถจดจำน้ำเสียง บุคลิกการเดิน การยืน รวมถึงสไตล์การแต่งตัว และกลิ่นกายเฉพาะบุคคลได้ดีกว่าคนปกติ นั่นทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา
“พี่มันจะจำรถมึงได้เปล่าวะ” ผมพึมพำด้วยความกังวล รถนอกราคาเหยียบล้านแบบนี้จะมีสักกี่คนที่กล้าใช้
“จำได้หรือไม่ได้แล้วทำไม?” พอร์ชเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ผมรู้ดีว่าหมอนี่กำลังหาเรื่องกวนตีนผม
“ถ้าพี่มันรู้ว่ามึงมารับกู คงจะคิดว่ากูเป็นเด็กมึงจริงๆ น่ะสิ”
“ก็มึงเป็นเด็กกูจริงๆ นี่”
ผมขมวดคิ้ว
“แต่กูไม่อยากถูกนินทาว่าปีนขึ้นเตียงท่านประธานนี่”
พอร์ชเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คบกันแบบเปิดเผยเลยมั้ย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราคุยกันในเรื่องนี้ พอร์ชอยากให้พวกเราคบกันแบบเปิดเผย ครอบครัวของพอร์ชรับรู้ว่าเขาคบกับผม แม้ไม่ได้คัดค้าน แต่จะบอกว่ายินดีเลยก็ไม่ถูกนัก ส่วนครอบครัวของผมปลงแล้วที่ผมชอบผู้ชาย และไม่เคยถามถึงคนรักของผมเลย ผมเดาว่าพ่อไม่อยากรับรู้มากกว่า แล้วผมก็ไม่อยากบอกด้วย กลัวสะเทือนใจ
“กูไม่แคร์หรอกว่าใครจะคิดยังไง”
แต่กูแคร์ว่าคนอื่นจะมองมึงไม่ดี…
“ไม่เอา”
ผมปฎิเสธ ซึ่งพอร์ชก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูดอีก พวกเราแวะกินมื้อเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารจีนแถวเยาวราชซึ่งเป็นร้านประจำ อาหารรสชาติดีและราคาถูกเหมาะสำหรับคนทั่วไป โชคดีที่พอร์ชไม่ใช่คนเรื่องมากในการกินอยู่ เขาสามารถปรับตัวเข้าหาการดำรงชีวิตที่ปกติสามัญของผมได้ดี ไม่ต้องกินหรู กินแพง การใช้ชีวิตอยู่กับเขาทำให้ผมรู้สึกถึงความสุขที่สมบูรณ์ เขาทำให้ผมพอใจกับการตื่นนอนตอนเช้าแล้วเห็นหน้าเขา พอใจกับการนอนหลับเคียงข้างกับเขา ไม่ได้ต้องการอะไรที่มากไปกว่านี้แล้ว
“วิน” พอร์ชเอ่ยเรียก เมื่อรถหรูแล่นเข้ามาจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถของเพนท์เฮ้าส์
“หื้ม” ผมปิดประตูรถแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ซึ่งโยนบางอย่างมาให้ผมที่เกือบจะแบมือรับไว้ไม่ทัน
“ให้ยืม”
ผมก้มมองของในมือจึงพบว่าเป็นรีโมตของรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งสัญลักษณ์บนรีโมตทำให้ผมรู้ว่าเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์
“เบนซ์เนี่ยนะ”
ผมครวญคราง จำได้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนผมเอ่ยปากขอยืมรถยนต์จากที่บ้านของพอร์ช คือที่บ้านของหมอนี่มีรถยนต์มากกว่าสิบคันที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ ไอ้ผมก็เสียดายไง ขอยืมมาใช้สักคัน คงจะสะดวกกว่าการยืมจากัวร์คันที่พอร์ชใช้อยู่ประจำไปตรวจงานที่โรงงานผลิตจาระบีในที่จังหวัดระยอง
“กูขอยืมคันที่เบสิคที่สุด”
ผมประท้วง ที่ผมไม่อยากขับจาร์กัวเพราะมันเด่นเกินไป แล้วนี่ยังจะให้กูใช้เบนซ์อีกเหรอวะ
“นี่ถูกสุดในบ้านกูแล้ว”
ไอ้คนรวยบ้าบอ!
“จอดอยู่ไหน”
ผมถาม ช่างมันเถอะ ยังไงในกรุงเทพก็มีคนขับเบนซ์เยอะแยะไป
“นั่น” พอร์ชชี้นิ้วไปที่รถยนต์คันสีเหลืองสดที่จอดอยู่ข้างๆ จากัวร์
วอท เดอะ ฟัค!
“มึงคิดว่ากูจะกล้าขับไปทำงานมั้ยฮะ!”
ผมโวยใส่พอร์ชด้วยความขัดใจ ถ้าเป็นเบนซ์สีดำรุ่นทั่วไปก็ว่าไปอย่าง นี่มึงถึงขั้นแต่งรถให้ดูโฉบเฉียว แถมสียังเด่นสะดุดตาขนาดนี้ มันจะไม่กลายเป็นเด่นกว่าจากัวร์สีดำอีกเหรอฮะ!!
ยอมใจในความรวย…



22.00 น.
ผมก้าวเท้าออกมาจากห้องอาบน้ำ มือสองข้างกำลังใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำออกจากเส้นผม พลางกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องนอนที่ว่างเปล่า…พอร์ชอาจจะยังอยู่ที่ห้องทำงาน ให้ตายเถอะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพักผ่อน เป็นถึงเจ้าของบริษัท แต่กลับทำงานเหมือนชนชั้นทาส หมอนั่นกลัวได้กำไรไม่มากพอหรือไงวะเนี่ย
ผมหยิบชุดนอนมาสวมแล้วก้าวเท้าออกจากห้องนอน เพนท์เฮ้าส์ของพอร์ชมีทั้งหมดสองชั้น ในส่วนของชั้นบนมีห้องนอนใหญ่สำหรับผมกับเขา และห้องนอนเล็กสำหรับรับแขก ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้ใช้ ห้องนอนใหญ่มีประตูเชื่อมไปยังห้องแต่งตัว ซึ่งใช้เก็บเสื้อผ้าของพอร์ชที่มีมากพอๆ กับร้านขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า ด้วยความที่ห้องของพอร์ชอยู่ชั้นบนสุด และราคาแพงที่สุดจึงมีดาดฟ้าส่วนตัวที่ใช้สำหรับการชมวิวอีกด้วย
ผมก้าวเท้าลงบันไดไปสู่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นส่วนของห้องนั่งเล่น มีโซนครัวเล็กๆ มุมหนึ่ง และห้องทำงานของพอร์ชที่เขามักจะใช้เคลียร์งานที่ขนกลับมาจากบริษัท
ผมใช้หลังมือเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด บนโต๊ะเบื้องหน้ามีโน้ตบุ๊คตัวหนึ่งกับแฟ้มเอกสารกองใหญ่
“พอร์ช”
“หื้ม?” เขาขานรับในลำคอ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผมเลย
“สี่ทุ่มแล้ว”
“ยังไม่ง่วง”
ผมไม่ชอบเห็นเขาเคร่งเครียดกับงานแบบนี้เลย เขาไปทำงานพร้อมกับพนักงานในบริษัท แต่กลับต้องทำงานล่วงเวลามากกว่าพนักงานปกติ ผมอยากช่วยแบ่งเบาภาระของเขา แต่การที่ผมไม่ได้จบบริหารธุรกิจโดยตรง ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะอะไรพอร์ชถึงได้กังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและค่าเงินบาทได้ทุกวัน
“ไม่ง่วงก็พักก่อนเถอะ มาดูหนังโป๊กับกูก็ได้”
ผมเอ่ยกระเซ้าเพราะคิดว่าคนเซ็กส์จัดจะรีบวางปากกาในมือ แล้ววิ่งมาเล่นผีผ้าห่มกับผม แต่ดูท่าว่างานที่เขากำลังทำอยู่คงสำคัญไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
“หึ หมกมุ่นให้มันน้อยๆ หน่อย”
ชิ๊! เมื่อก่อนตัวเองก็หมกมุ่นพอๆ กันนั่นแหละ
ผมทำหน้ายุ่งก่อนจะเดินไปยืนด้านหลังเก้าอี้ทำงาน แล้วเอื้อมมือไปบีบนวดไหล่ให้อีกฝ่าย
“ทำอะไรอยู่ งานเร่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก”
พอร์ชวางงานในมือ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วดึงมือข้างหนึ่งของผมไปจูบ
“แต่ยอดขายในปีนี้ตกลง กำไรก็ลดลงถึง 15% แล้วด้วย”
ทำไมเยอะแบบนี้?
คาดว่า 15% ของยูเนียนเกรงจะคิดเป็นเงินหลักล้านบาทเลยล่ะ
“ลูกค้ารายใหญ่ยกเลิกการสั่งซื้อกับยูเนียนเหรอ”
ผมถาม แล้วทรุดตัวลงนั่งบนตักของพอร์ช มือเลื่อนโน้ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้มาดูใกล้ๆ จึงเห็นกราฟที่แสดงยอดขายย้อนหลังไปสามปี และในปีปัจจุบันที่มีแนวโน้มลดลง
“อืม รายใหญ่ในไทย”
พอร์ชเลื่อนแฟ้มเอกสารที่เปิดทิ้งไว้ก่อนหน้ามาให้ผมดู ลูกค้ารายใหญ่ที่ว่าคือบริษัท ดีแมคซ์ ไฮส์ จำกัด เป็นบริษัทนำเข้าและประกอบชิ้นส่วนของรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นลูกค้าประจำมาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อของพอร์ชบริหารงาน โดยทางยูเนียนมีหน้าที่ผลิตน้ำมันเครื่องให้กับทางนั้น
“รู้สาเหตุมั้ย”
“โอเมก้า ออยล์” พอร์ชเปรย พร้อมกับเลื่อนแฟ้มเอกสารอีกอันหนึ่งมาให้ผมดู
โอเมก้า ออยล์ เป็นบริษัทเอกชนขนาดเล็กที่เคยเป็นคู่แข่งกับยูเนียนมานานกว่าสิบปี ในขณะที่ยูเนียนเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารจากครอบครัวของพอร์ช แต่โอเมก้า ออยล์กลับย่ำอยู่ที่เดิม
เมื่อไม่นานมานี้ พอร์ชเล่าให้ผมฟังว่าครอบครัวอาหญิงของเขาได้หันไปลงทุนกับโอเมก้า ออยล์ โดยนับเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน และดูเหมือนว่าผมจะคาดเดาไม่ผิดที่พวกเขาต้องการเป็นคู่แข่งกับพอร์ชโดยตรง ก่อนอื่นผมต้องเท้าความให้คุณฟังก่อนว่า อาหญิงของพอร์ชเคยทำพินัยกรรมปลอม ระบุว่าหลังจากที่พี่ชายเสียชีวิตได้ยกยูเนียนให้กับเธอ โดยที่การฟ้องร้องในครั้งนั้นเธอเป็นฝ่ายชนะ แต่พอร์ชก็สามารถทวงคืนยูเนียนกลับมาได้ ด้วยการทำลายบริษัทให้ตกต่ำ ก่อนจะกว้านซื้อหุ้นกลับคืนมาและเข้ามาบริหารงานอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งธุรกิจด้านจาระบีและน้ำมันเครื่องของยูเนียนยังไม่มั่นคงเท่ากับด้านอื่นๆ อาจจะต้องใช้เวลาอีกกว่าห้าปีในการเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้ากลับคืนมา ซึ่งการสูญเสียยูเนียนให้กับพอร์ชในครั้งนี้ ทำให้ครอบครัวของอาหญิงเสียหน้าและคงจะแค้นเคืองไม่น้อยเลย
“ทำไม ที่นั่นให้ราคาถูกกว่าเราอีกเหรอ” ผมถาม
“ใช่ ดูนี่สิ”
ผมก้มมองตารางเปรียบเทียบราคา ซึ่งคุณภุมรา เลขาคนสนิทของพอร์ชได้ค้นคว้าราคาขายของโอเมก้า ออยล์มาให้ เท่าที่กวาดสายตาดูคร่าวๆ พบว่าโอเมก้า ออยล์ได้เสนอราคาขายส่งให้ดีแมคซ์ ไฮส์ ถูกมากๆ ถูกแบบหักหน้ากันเลยอ่ะครับ แต่ราคาขนาดนี้เขาได้กำไรเหรอวะ?
อืม…หรืออาจจะยอมได้กำไรน้อยเพื่อสร้างฐานของลูกค้า หรือไม่ก็จงใจแย่งลูกค้าเพื่อความสะใจส่วนตัว?
ผมได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา ที่จริงแล้วคู่แข่งของยูเนียนในด้านน้ำมันดิบและจาระบีถือว่าน้อยมาก เพราะปกติแล้วบริษัทจะส่งสินค้าออกนอกประเทศ ไม่ค่อยได้ค้าขายในไทยซะเท่าไร แต่การที่กำไรในส่วนของน้ำมันเครื่องลดลงถึง 15% ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในระดับหนึ่ง
“วันเสาร์นี้ มีงานเลี้ยงวันเกิดของประธานดีแมคซ์ ไฮส์ ส่วนวันอาทิตย์ประธานจะจัดประมูลที่ดินที่เขาครอบครองไว้หลายร้อยไร่”
“แล้วมึงอยากได้ที่ดินของเขา?”
ผมหันไปถามพอร์ช อีกฝ่ายส่ายหน้า ดูอ่อนล้ามาก
“ไม่อยากได้ แต่กูต้องไปตามคำเชิญแล้วมึงก็ต้องช่วยกู”
พอร์ชขยับเม้าส์ไปเปิดไฟล์รูปภาพของบุคคนที่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานทั้งหมด ซึ่งหน้าที่ของผมคงจะเป็นการจดจำชื่อและใบหน้าของคนพวกนี้แทนเขา
พอร์ชสามารถจดจำบุคลิกลักษณะ รวมถึงน้ำเสียงของใครหลายคนได้ก็จริง แต่นั่นครอบคุมแค่บุคคลที่เขาสนิทหรือพบเจอบ่อยๆ เท่านั้น มันมักจะเกิดปัญหาใหญ่ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงสังสรรค์ของพวกนักธุรกิจไฮโซ คือแม่งจะไม่ไปร่วมงานก็ไม่ได้ไง เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราหยิ่งบ้าง ไม่ให้เกียรติบ้าง บ้าบอสารพัดจะยัดเยียดข้อหาให้ ดังนั้นพอร์ชจึงจำไปต้องไปงานสังคมสวมหน้ากาก โดยมีคุณภุมราทำหน้าที่แนะนำคนดังในงานให้เขา เขาจะได้ไม่ไปทักคนในงานแบบผิดๆ ถูกๆ ให้ขายขี้หน้า
“คุณภีมล่ะ”
ผมถาม เพราะปกติแล้วคนที่ออกงานกับพอร์ชคือเลขาคนสนิท ส่วนผมที่ติดตามไปเที่ยวเล่นจะนอนขึ้นอืดอยู่ในห้องพักซะมากกว่า
“กูส่งไปตรวจงานที่อเมริกาช่วงเสาร์อาทิตย์นี้พอดี งานสำคัญเลื่อนไม่ได้”
ผมพยักหน้าแล้วเริ่มตรวจรายชื่อผู้ร่วมงานคร่าวๆ มีประมาณสามสิบคน ซึ่งนับว่าเป็นตัวท็อป เช่น ท่านประธาน รองประธาน คุณหญิง คุณนาย และทายาทนักธุรกิจเป็นต้น ส่วนในงานจริงๆ จะมีผู้ติดตามหรือเลขาอีกจำนวนหนึ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยังไงพอร์ชก็คงจะเสวนาแค่กับคนระดับเฮดเท่านั้น พวกปลาสร้อยปลาซิวไม่จำเป็นต้องสนใจ
“อย่ากังวลเลย กูเก่งเรื่องจำชื่อกับจำหน้าคนอยู่แล้ว”
ผมหันไปยืนยันกับพอร์ชด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แค่คนสามสิบคนไม่นับว่าเป็นปัญหาต่อการจดจำ
“อืม” พอร์ชเอื้อมมือมาลูบแก้มของผมเบาๆ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น ผมรู้สึกว่าเขากำลังล้า เหมือนกับการวิ่งระยะไกลที่ไม่มีจุดแวะพัก เมื่อเคลียร์ปัญหาใหญ่ตรงหน้าเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีปัญหาใหญ่ที่ท้าทายยิ่งกว่าผุดขึ้นมาอีกครั้งไม่มีวันจบสิ้น นี่เหละคือเส้นทางของการทำธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา
“แต่เสาร์อาทิตย์นี้วันหยุดของกู มึงต้องให้โอทีด้วยนะ” ผมเอ่ยกระเซ้าเพราะไม่อยากให้เขาเคร่งเครียดจนเกินไป ซึ่งอีกฝ่ายก็ขยับรอยยิ้มจางๆ ส่งมาให้ผม
“ได้สิ ตามที่มึงต้องการเลย”


TBC.


ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 4 One Night Stands


 
(เกื้อกูล)
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมสะดุ้งเมื่อประตูห้องน้ำถูกเคาะจากด้านนอก คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคู่นอนของผม แต่ว่าผมเพิ่งจะเข้ามาอาบน้ำได้ไม่ถึงห้านาที ยังไม่สะอาดเลยนะ ทำไมเขาต้องเร่งผมด้วยล่ะ หรือว่าปวดฉี่? อืม…อาจจะปวดมากจนทนไม่ไหวแล้วก็ได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำจากฝักบัว คว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวมาพันรอบเอวก่อนจะเปิดประตูเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าออกไปถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ล็อคประตูทำไม”
ฝ่ายนั้นถามด้วยความแปลกใจ ซึ่งทำให้ผมต้องขมวดคิ้วคิดหนัก อืม…ถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เป็นใครก็ต้องล็อคประตูทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?
ผู้ชายคนนั้นไม่รอฟังคำตอบของผม แต่ใช้มือผลักประตูห้องน้ำให้เปิดกว้างขึ้น แล้วแทรกตัวเข้ามาโดยไม่สนใจสีหน้าเหลอหลาของผมเลย
ดะ เดี๋ยวสิ!
ผมอ้าปากค้าง กำลังจะเอ่ยปากถามว่า ‘ขอผมอาบน้ำให้เสร็จก่อนได้มั้ย’ อีกฝ่ายกลับเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดทุกชิ้น รวมถึงกางเกงชั้นในด้วย
รูปร่างของอีกฝ่ายดีมาก เขาต้องเป็นประเภทที่ใส่เสื้อผ้าแล้วดูผอมกว่าความเป็นจริงแน่ๆ เพราะเมื่อถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าผิวขาวๆ ของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงอย่างคนที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำ
ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวแทบไหม้ ขณะที่สายตาของผมเริ่มแสดงความอยากรู้อยากเห็น และค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่ส่วนสงวนของอีกฝ่าย
อึก…
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นขนาดที่ใหญ่โตของเขากำลังผงกหัวขึ้นเล็กน้อย นี่ขนาดว่ายังไม่แข็งเต็มที่นะ ยัง ยะ…ใหญ่ขนาดนี้ แล้วตรงนั้นของผมจะรับมันเข้าไปได้จริงๆ เหรอ
“เขินหรือ?”
เขาถามแล้วเอื้อมมือมาดึงไหล่ทั้งสองข้างของผมเข้าไปหา ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้งอย่างจาบจ้วง ลิ้นร้อนกวาดสำรวจไปทั่วโพรงปาก ทั้งเร่าร้อนและหวานล้ำ ทำเอาสมองมึนงงสับสนถึงขั้นไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายกระตุกปมผ้าเช็ดตัวบนเอวของผมแล้วโยนทิ้งไว้บนอ่างล้างหน้า
ผมถูกดันถอยหลังไปยืนใต้ฝักบัวอาบน้ำ แล้วครู่ต่อมาน้ำอุ่นกำลังดีก็ไหลลงมาปะทะร่างของพวกเรา ผมเริ่มขยับริมฝีปากโต้ตอบเขาอย่างช้าๆ มือสองข้างค่อยๆ วางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย เพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ขณะที่ฝ่ามือของเขากำลังลูบไล้แผ่นหลังและผิวกายของผมอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการสำรวจพื้นที่บนร่างกายทุกซอกทุกมุม
“ผิวเธอสวยมาก”
เขากระซิบชิดกับริมฝีปากของผม ขณะที่มือหนาซึ่งป้วนเปี้ยนอยู่แถวบั้นเอวค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาที่แก้มก้นทั้งสองข้าง ผมก้มหน้าต่ำด้วยความอายเมื่อเขาเอาแต่ลูบก้นของผม ตอนแรกเพียงแค่ลูบเบาๆ แต่ต่อมาเริ่มออกแรงบีบคลึงจนผมรู้สึกเสียวมาก
“อ๊า…”
ผมเผลอครางออกมาเบาๆ เมื่อมือใหญ่เอื้อมมากอบกุมแก่นกาย แล้วขยับชักรูดเป็นจังหวะ ริมฝีปากของเขาเริ่มแทะเล็มใบหูข้างหนึ่งของผม ก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้าไปหยอกเย้าภายใน ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ผมถึงกับตัวสั่น หอบหายใจเร็วขึ้นด้วยความกระสับกระส่าย
ริมฝีปากซุกซนไม่ได้หยุดอยู่ที่จุดๆ เดียว แต่เริ่มลากไล้สำรวจลงมาตามลำคอจนถึงหน้าอกของผมที่กำลังชูชันด้วยแรงอารมณ์ เขาแลบลิ้นเลียยอดอกข้างหนึ่งช้าๆ ราวกับกำลังทดลองลิ้มรสชาติว่าถูกปากหรือไม่ ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกนิ้วมือของเขาบีบคลึงเบาๆ
“อึก…”
ผมสะดุ้ง เคยได้ยินมาว่าการถูกดูดเลียที่ยอดอก จะทำให้ฝ่ายรับรู้สึกดี แต่ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ ผมเผลอแอ่นหน้าอกเข้าหาริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย เมื่อเขาเริ่มดูดดุนหน้าอกของผมเป็นจังหวะหนักๆ ใช้ฟันขบลงมาเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ ลิ้นที่ตวัดไปมารอบๆ ยอดอกทั้งสองข้างก็ทำให้รู้สึกสุขสมและเดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายเจนสนามรบมากเพียงใด
หลังจากเล่นสนุกกับยอดอกของผมจนบวมแดงแล้ว เขาก็จับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงขัดขืนของผมให้หันเข้าหาผนังห้องน้ำ ผมรีบยกมือยันกำแพงกระเบื้องสีขาวเมื่อสะโพกถูกรั้งไปด้านหลัง
“ทำความสะอาดมาหรือยัง”
เสียงทุ้มที่แหบพร่ากว่าปกติกระซิบชิดใบหูของผม ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ารับเพราะทั้งตัวกำลังสั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งกังวลและตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน
ก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจออกมาหาความสำราญที่บาร์เกย์ ผมได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการทำความสะอาดรูทวารเรียบร้อยแล้ว และได้ลองพยายามทำความสะอาดอย่างดีที่สุด มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้บุกเบิกประตูหลังของตัวเอง แม้จะเป็นการทำความสะอาดก็ตาม มันค่อนข้างเจ็บเสียดและไม่รู้สึกถึงความฟินเลยสักนิด แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นนิ้วของคนอื่นอาจจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้ก็ได้
ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังใช้หัวแม่มือนวดคลึงเบาๆ ที่ปากทางเข้าด้านล่าง ไม่ได้พยายามรีบร้อนจะยัดเหยียดสิ่งแปลกปลอมเข้ามา นับว่าเขาใจเย็นและให้เกียรติคู่นอนพอสมควรเลย
“แน่นชะมัด”
ผมได้ยินเสียงของเขาพึมพำอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับนิ้วชี้และนิ้วกลางที่ดันเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมหอบหายใจแรง รู้สึกเจ็บมากจนเผลอเกร็งกล้ามเนื้อหูรูดโดยไม่ตั้งใจ แม้จะศึกษาทฤษฎีมาอย่างดีแล้วว่าต้องผ่อนคลาย แต่เมื่อได้ลองปฎิบัติจริง มันก็กลายเป็นอีกเรื่องแล้ว
“เคยมีเซ็กส์ทางประตูหลังหรือเปล่า”
เขาถามด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ได้แต่ยอมรับไปตามตรง
“ไม่เคยครับ”
“shit!”
ผมสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็สบถเสียงดัง พร้อมกับนิ้วแข็งๆ ที่ถูกดึงออกไปแบบกะทันหัน
“ฉันไม่ชอบมีเซ็กส์กับเด็กบริสุทธิ์”
ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่า ‘บริสุทธิ์’ ไม่ดีตรงไหน เขาได้เปิดซิงผมเป็นคนแรกเลยนะ แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ชอบจริงๆ นั่นล่ะ เพราะเขาดูหงุดหงิดมากเลย
“ยุ่งยาก”
เขาเอ่ยขึ้นมาราวกับล่วงรู้ความคิดของผม และเมื่อผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเขาก็เพิ่มเหตุผลให้ผมอีกหนึ่งข้อ
“ไม่เป็นงาน”
เอ่อ…
“เสียอารมณ์”
“ขอโทษครับ”
ผมรีบก้มหน้ามองพื้น ยืนสงบเสงี่ยมเจียมตัว ลืมคิดไปเลยว่าถ้าผมไม่เป็นงานเขาอาจจะรู้สึกไม่สนุกก็ได้ เป็นเพราะเขามีประสบการณ์มาก่อน แค่ถูกจูบถูกเล้าโลมผมก็มีความสุขมากแล้ว แต่สำหรับเขาอาจให้ความรู้สึกตรงกันข้าม
ผมแอบเหลือบตาขึ้นไปมองดวงหน้าหล่อเหลาที่กำลังแดงก่ำ แต่พอสบสายตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจก็รีบหลุบตาลงต่ำทันที แต่สายตาไม่รักดีกลับปะทะเข้ากับแก่นกายยักษ์ที่ยังคงตื่นตัวอยู่ในตอนนี้
ผมรู้สึกผิดชะมัดเมื่อค้นพบว่าความหงุดหงิดนั้น มีผลมาจากความต้องการที่กำลังจะได้กินของโปรด แต่พอลิ้มรสไปคำแรก กลับพบว่ามันจืดชืด ทั้งที่หิวโหยมากแต่ก็ไม่อยากจะกินต่อแล้ว หรือถ้าปรุงรสใหม่มันคงไม่ถึงกับกลืนไม่ลงมั้ยล่ะ?
ถ้าผมบอกให้เขาไปหาคู่นอนใหม่ในคืนนี้ ผมจะโดนด่าหรือเปล่านะ…
ไม่ๆ ผมควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ถึงจะถูก!
“ถ้าคุณยอมสอน ผมจะตั้งใจเรียนรู้”
เขาเลิกคิ้ว พวกเราสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่งโดยที่ผมไม่ยอมหลบสายตาแบบเมื่อครู่อีกแล้ว มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ผมเรียนรู้เร็ว จริงๆ นะ…
“จะร้องไห้หรือเปล่าเนี่ย”
ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น ต่อให้ผมเด็กกว่าเขา…กี่ปีก็ช่าง แต่ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้กับเรื่องแบบนี้แน่นอน
“ไม่ครับ”
ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาพยักหน้าก่อนจะกวาดสายตามองร่างกายของผมช้าๆ ซึ่งในครั้งนี้ทำให้ผมหน้าแดงก่ำจนแทบไหม้ ไม่เห็นต้องมองกันแบบเปิดเผยอย่างนี้เลย ผมก็อายเป็นนะ
“เธอต้องเป็นเด็กดี ทำตัวว่าง่าย ฉันไม่ชอบให้ใครมาขัดใจตอนอยู่บนเตียงเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ” ผมรีบรับปาก เรื่องนี้ไม่ยาก เขาบอกให้ทำอะไร ผมก็แค่ทำตามนั้น
“ดี”
เขาพยักหน้า ขณะที่สายตายังเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของผม ซึ่งผมที่กำลังทำตัวไม่ถูกได้แต่โค้งให้เขาช้าๆ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่คิดว่านอบน้อมที่สุด
“รบกวนด้วยนะครับ”
ในเมื่อเป็นฝ่ายฝากตัวเป็นศิษย์ก็ต้องเคารพและตั้งใจเรียนรู้ให้มาก อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยต่างก็ชื่นชมว่าผมเป็นเด็กมารยาทดี ไม่รู้อะไรก็ถาม ตั้งใจศึกษาหาความรู้อย่างขยันขันแข็ง คนแบบนี้มักจะได้ดี ซึ่งผมก็เชื่ออาจารย์และจำใส่ใจอยู่เสมอเลยครับ
ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกผลักให้นอนหงายลงบนเตียง พร้อมกับร่างของอีกฝ่ายที่ตามมาทาบทับแนบแน่น ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อผิวเนื้อของพวกเราเสียดสีกันเบาๆ ความร้อนลุ่มที่กึ่งกลางลำตัวสัมผัสกับตัวตนที่แข็งขืนของอีกฝ่ายทำให้ของเหลวสีขุ่น ค่อยๆ ขับออกมาเล็กน้อย
ผมหอบหายใจ รู้สึกว่าอากาศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงสติที่เริ่มกระเจิดกระเจิงทันทีที่มือหนาเอื้อมมาชักรูดแก่นกายเป็นจังหวะช้าๆ ผมหอบหายใจอย่างหนัก เห็นชัดว่าความสามารถในการใช้มือของเขาช่างร้ายกาจมาก มันไม่ใช่การขยับขึ้นๆ ลงๆ อย่างที่ผมเคยทำให้ตัวเอง แต่มันยังเต็มไปด้วยทักษะต่างๆ ที่ตอบสนองต่ออารมณ์และร่างกายของผมอย่างดีเยี่ยม
“ครางหน่อยสิเด็กดี ถ้ามีความสุขก็ส่งเสียงออกมา” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกที่ข้างใบหู พร้อมกับเรียวขาของผมที่ถูกจับแยกออกจากกัน
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวเย็นๆ ที่ถูกป้ายลงบนช่องทางคับแคบ เมื่อผงกศีรษะขึ้นมาดูจึงพบว่าเป็นเจลหล่อลื่น อีกฝ่ายกำลังก้มใบหน้าอยู่ตรงกลางลำตัว พร้อมกับยกสะโพกของผมขึ้นสูงจนเห็นช่องทางด้านหลัง
“สะอาดดีนี่”
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นสายตาคมกริบกำลังพิจารณาอยู่ตรงร่องหลืบ ก่อนจะรีบผลักศีรษะที่ก้มลงต่ำแทบไม่ทัน
“อ๊ะ อ๊า!”
ผมครวญครางดังลั่นเมื่อปลายลิ้นของอีกฝ่ายจู่โจมขบกัดตรงซอกขาด้านใน เขาไม่ได้แตะต้องแก่นกายของผมเลย แต่นั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง ปลายลิ้นซุกซนค่อยๆ ไล่ต่ำลงบนจนถึงแก้มก้น จนผมเผลอขมิบร่องหลืบเล็กน้อยด้วยความไม่ตั้งใจ
“อะ อย่า ไม่เอา…”
ผมพยายามผลักไสศีรษะของอีกฝ่ายออกไป แต่เขากลับตรึงขาของผมให้แยกออกจนกว้าง พร้อมกับปลายลิ้นร้ายกาจที่เริ่มทำงานต่ออีกครั้ง ทั้งปัดป่ายไปทั่วแก้มก้น จนผมเผลอเกร็งไปหมดเพราะกลัวว่าลิ้นของเขาจะแตะถูกช่องทางด้านหลัง มันเสียวและลุ้นระทึกยิ่งกว่าการที่เขาเลียลงมาตรงๆ เสียอีก
“หึ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกึ่งกลางลำตัว แววตาคมกริบร้ายกาจทำให้ผมเริ่มกังวลใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรุนแรงกับผม
“คิดอะไรอยู่”
เขาถามพร้อมกับบีบเจลหล่อลื่นลงบนนิ้วชี้และนิ้วกลางของตัวเอง
“กลัวเหรอ”
ผมกลืนน้ำลาย ดวงตาสองข้างแดงก่ำ มีน้ำใสเอ่อคลอเล็กน้อย
นี่ผมกำลังเล่นกับไฟชัดๆ เลย
แต่เสียงของปีศาจน้อยกลับดังแทรกขึ้นมาเป็นการปลุกปลอบ
…ไม่เป็นไรหรอก ลองเล่นครั้งเดียวเอง ไม่ตายหรอกน่า ถือว่าเป็นประสบการณ์…
ผมทิ้งศีรษะลงบนหมอน เงยหน้ามองเพดาน พยายามผ่อนคลายร่างกายเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วแข็งๆ ที่เริ่มกดสอดเข้ามาภายใน รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงการต่อต้าน ปล่อยให้นิ้วทั้งสองขยับเข้ามาจนสุด
“อ๊า….”
ผมครางแผ่วเมื่อนิ้วทั้งสองเริ่มขยับเข้าออกเพื่อขยายช่องทางด้านหลัง ผมหอบหายใจ เริ่มรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการนำพาของนิ้วพวกนั้น ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด จริงๆ แล้วมันดีมากด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายรอคอยอย่างใจเย็นจนเห็นว่าผมกำลังผ่อนคลาย และเริ่มฟินกับนิ้วที่อยู่ด้านใน จึงค่อยๆ ส่งนิ้วเพิ่มเข้ามาอีกจนครบสามนิ้ว
“รัดแน่นชะมัดเลย”
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยายปากทางเข้า และทำท่าราวกับกำลังควานหาอะไรบางอย่าง
“อ๊ะ อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วกระทบที่จุดหนึ่งภายใน มันทำให้ผมเสียวซ่านและเริ่มบิดตัวไปมา นิ้วมือจิกลงบนผ้าปูเตียงแล้วเริ่มครางอย่างสุขสม เสียงที่ผมได้ยินราวกับไม่ใช่เสียงของผม แต่คล้ายกับสัตว์ป่าตัวเมียที่กำลังสุขสมต่อการผสมพันธุ์เสียมากกว่า
เมื่อเริ่มคุ้นชินกับการชักเข้าออกเป็นจังหวะถี่ๆ ของปลายนิ้ว ผมก็พบว่ามันสุขสมมากเหลือเกิน ในขณะที่ผมกำลังมึนเมาไปกับการร่วมรักด้วยนิ้วทั้งสาม อีกฝ่ายก็ใจร้ายมากพอที่จะดึงมันออกทั้งหมดโดยไม่บอกกล่าว
พรวด!
“คุณ!” ความว่างเปล่าที่มาเยือนกะทันหันทำให้ผมสะดุ้ง ได้แต่ผงกศีรษะมองใบหน้าของเขาด้วยความไม่พอใจ
…จะเอาเข้าหรือเอาออก ก็บอกกันหน่อยไม่ได้หรือไงนะ…
“ฉันมีอะไรดีๆ กว่านิ้วจะให้เธอ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็แทรกแก่นกายเข้ามาในร่างของผมช้าๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมสะท้านด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บกว่าตอนที่นิ้วแข็งๆ ทั้งสามแทรกเข้ามาแบบเทียบกันไม่ติด ร่างกายคล้ายกำลังจะแยกออกเป็นสองส่วนยังไงยังงั้น ความเจ็บทำให้หยดเหงื่อผุดซึมมาตามหน้าผาก ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงครวญคราง ผมไม่อยากโดนเขาด่าซ้ำหรอกนะ ไม่ว่าจะเป็นไอ้อ่อน หรือขี้แยก็ไม่เอาทั้งนั้น
“อย่าเกร็ง”
เขาอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่งเพื่อให้เวลาผมได้เคยชินกับขนาดของแก่นกายที่แทรกอยู่ในร่าง แล้วจากนั้นก็กดสอดเข้ามาจนสุดความยาวโดยไม่ให้ผมได้ตั้งตัว
“อ๊า…!”
ใบหน้าของผมเชิดไปด้านหลัง ร่างกระตุกเมื่อแก่นกายใหญ่ชนเข้ากับจุดกระสัน ผมเริ่มบิดร่างเร้าๆ ด้วยความต้องการ มือสองข้างจิกผ้าปูเตียงพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มหอบหนัก
“ดีขึ้นหรือยัง”
ผมพยักหน้า เขาจึงเริ่มขยับกายเข้าออกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ร่างกายของผมโยกคลอนไปตามแรงส่งของอีกฝ่าย ริมฝีปากเปล่งเสียงครวญครางในลำคออย่างไม่รู้ตัว ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะหน้ามืด ไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวเลยนอกเหนือจากจุดที่เชื่อมต่อพวกเราเอาไว้ด้วยกัน
“อย่านอนเฉยแบบนั้น ฉันไม่ชอบ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาผู้ชายคนนั้น เขาดูไม่สบอารมณ์ที่เห็นผมนอนนิ่งๆ ให้เขากระแทกกระทั้น
“อยากให้ผมทำอะไร”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย ฮือออออ ผมกำลังจะหมดแรงแล้ว
ทำไมการเป็นฝ่ายรับมันยากจังอ่ะ ไม่ใช่แค่มานอนอ้าขาเฉยๆ ก็ฟินได้แล้วเหรอ นี่ผมต้องทำอะไรอีกหรือไง
“เคยดูหนังโป๊หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เคยฉันคงคิดว่าเธอถือศีลบวชมาก่อน”
“คะ…เคยครับ”
“แล้วไม่รู้เหรอว่าคนที่เป็นฝ่ายรับให้ความร่วมมือยังไงบ้าง”
ผมพยายามรวบรวมสมาธิที่กระเจิดกระเจิงเพื่อนึกถึงภาพของฝ่ายรับในหนังโป๊ที่เคยดู…ผมพอจะนึกออกบ้างแล้วว่าเขาอยากให้ผมแสดงความร่วมมืออย่างไร จึงค่อยๆ ใช้แขนสองข้างโอบกอดลำคอของเขา รั้งให้แผ่นอกแข็งแรงโน้มลงมาแนบชิด ซึ่งการกระทำนั้นทำให้อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวทันที
“ทำต่อสิครับ”
ผมกระซิบข้างใบหูของเขา พร้อมกับยื่นใบหน้าเข้าไปหอมแก้มเรียบเนียนเบาๆ ผิวของเขานิ่มและสุขภาพดีมากจนผมเผลอกดริมฝีปากลงไปอีกหลายครั้ง
“คุณหล่อมากเลย”
ผมสบตากับเขาในระยะประชิด ดวงตาของเขาคมกริบ มีประกายนักล่าแลดูอันตราย แต่ยิ่งอันตรายก็ยิ่งเร้าใจ ผมค้นพบว่าเสน่ห์ของเขาช่างร้ายกาจและเชิญชวนให้ผมมัวเมาในกามอารมณ์เหลือเกิน แบบนี้ซินะ ที่เรียกว่ามีแรงดึงดูดทางเพศสูง ขนาดผมเพิ่งใกล้ชิดกับเขาเป็นครั้งแรกยังสูงสึกอยากมีเซ็กส์กับเขาแบบไม่ต้องคิดเลย
“คืนนี้ฉันเป็นของเธอ อยากทำอะไรก็ทำซะ”
เขาเป็นของผมงั้นเหรอ? ผู้ชายที่หล่อเหลาและเซ็กซี่แบบนี้เป็นของผม…งั้นผมควรทำอะไรกับเขาดีล่ะ?
ฝ่ามือของผมลูบไล้แผ่นอกและแผ่นหลังของเขาอย่างเผลอไผล สมองเริ่มจินตนาการถึงภาพการร่วมเพศในหนังเรื่องล่าสุดที่ผมดู…ฝ่ายรับขึ้นไปออนท็อปให้ฝ่ายรุก ซึ่งผมคิดว่ามันดูให้ความร่วมมือแล้วก็เซ็กซี่มากๆ ต่อให้ผมเซ็กซี่ได้ไม่เท่านายเอกหนัง AV แต่ผมก็อยาจะกลองขย่มผู้ชายตรงหน้าอยู่เหมือนกัน
“ให้ผมทำได้มั้ย” ผมเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง
“หืม?”
“ผมอยากอยู่ข้างบน”
เขาขยับยิ้มมุมปากซึ่งดูเหมือนว่ากำลังพึงพอใจในคำขอของผม
“อยากเล่นท่ายากตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ”
ผมทำหน้ายุ่ง ก็เขาบอกเองนี่ว่าไม่ชอบให้นอนเฉยๆ
“ก็คุณจะเป็นของผมแค่วันเดียวนี่ครับ ไม่เล่นวันนี้จะให้รอไปเล่นวันไหน”
“เอาสิ”
เขาอนุญาตพร้อมกับที่อุ้มร่างของผมขึ้นมานั่งบนตัก ผมยกแขนทั้งสองข้างคล้องลำคอของเขา สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแก่นกายที่ยังอยู่ภายในทิ่มลึกเข้ามามากกว่าเดิม
“แค่นี้ก่อนล่ะกัน”
ผมพยักหน้า เข้าใจว่าการที่เขานอนให้ผมออนท็อปอาจจะทำได้ยากกว่าการที่เขานั่ง แล้วช่วยใช้มือประคองสะโพกขณะที่ผมขยับขึ้นลง
“ค่อยๆ ขยับก่อน เดี๋ยวจะบาดเจ็บ”
ผมยกสะโพกขึ้นแล้วค่อยๆ กดร่างลงมาอย่างยากลำบาก ในช่วงแรกผมยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการเสียดสีภายใน แต่เมื่อขยับไปเรื่อยๆ ช่องทางก็เริ่มขยายกว้างขึ้นทำให้ผมขยับเข้าออกได้สะดวก แรงบีบจากช่องทางด้านหลังไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งผมรู้สึกเสียวซ่านมันก็ยิ่งบีบรัดรุนแรง
“อาห์”
เสียงครางต่ำๆ ในลำคอและการกระแทกกายสวนขึ้นมาเล็กน้อยยิ่งทำให้ผมได้ใจ เริ่มขย่มกายเข้าออกถี่รัว ผมเงยหน้าส่งเสียงร้องโดยไม่รู้ตัว หลับตาสะบัดใบหน้าดื่มดำอยู่ในห้วงกามอารมณ์ ริมฝีปากเผลอขึ้นเล็กน้อย สมาธิของผมพุ่งตรงไปที่แก่นกายของอีกฝ่ายที่ทะลวงเข้ามาภายในอย่างสุขสม…ดีเหลือเกิน ผมรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนสวรรค์เลยด้วยซ้ำ
“ช้าหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เดินไม่ได้หรอก”
เขาว่าเสียงดุ แล้วจับสะโพกของผมที่เด้งรัวอยู่บนตักของเขาไว้ แต่วินาทีนี้สมองของผมไม่รับรู้อะไรแล้ว ได้แต่ครางด้วยความขัดใจแล้วพยายามขย่มให้รุนแรงยิ่งขึ้น อยากให้เจ้าสิ่งนั้นเข้ามาอีกลึกๆ แทงเขามารัวๆ ผมได้ยินเสียงผิวเนื้อเสียดสีกันทุกครั้งที่ก้นของผมกระแทกบนหน้าตักของอีกฝ่าย แต่ผมไม่ได้ใส่ใจนอกจากทำตามความต้องการดิบของตัวเอง
“ดื้อ”
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งเมื่อถูกกัดที่ใบหู ยังไม่ทันได้โวยวายใส่คนที่ทำลายบรรยากาศ ร่างของผมก็ถูกผลักลงไปนอนหงายบนเตียง มือหนาสองข้างเอื้อมมายกสะโพกของผมให้ลอยสูงจากเตียงเพื่อรับแรงกระแทกที่โจนจ้วงเข้ามารุนแรงและถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า!”
ผมครวญครางด้วยความสุขสมเมื่อพบว่าแรงส่งนั้นมากกว่าที่ผมขย่มอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดวงตาสองข้างปรือขึ้นมองคนที่คร่อมอยู่ด้านบน ใบหน้าของเขาดิบเถื่อน แสดงความกระหายอยากออกมาชัดเจน ซึ่งมันทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่และเรียบหรูหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยปีศาจกระหายเซ็กส์ ทั้งแปลกตาและน่ามองอย่างยิ่ง
“อาห์…เร็วอีก”
เขาส่งแรงกระแทกกระทั้นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของผมบีบรัดตอบสนอง ผมเชิดหน้าขึ้นหอบหายใจหนัก รู้สึกว่าส่วนที่สอดประสานกันเปียกชุ่มและร้อนผ่าวไปหมด
“คุณเก่งจัง ผมจะ…จะตายแล้ว อ๊า!!!”
ผมส่งเสียงในลำคอ ผมเสียวจนแทบทนไม่ไหว อยากให้อีกฝ่ายขยับช้าหน่อย แต่ร่างกายกลับแอ่นรับแรงส่งด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“ไม่ตายหรอกน่า”
“ใหญ่จัง”
“ใหญ่ๆ สิดี อาห์ เด็กน้อย เธอตอดเก่งชะมัดเลย”
ผมหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินประโยคที่แสดงความหยาบโลน การพูดเรื่องลามกระหว่างมีเซ็กส์ ทำให้ผมรู้สึกเสียวซ่านมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำพูดพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมกระดากอาย ตรงกันข้าม เมื่อมันออกมาจากปากของอีกฝ่ายผมกลับอยากให้เขาพูดอีกครั้ง
ผมฝังใบหน้าลงบนไหล่กว้างเมื่อร่างกายถึงจุดสุดยอดก็ฉีดพ่นน้ำกามสีขุ่นออกมาอย่างรุนแรงและมีปริมาณมากกว่าที่คาดคิด ผมหอบหายใจแรง ร่างกายสั่นระริกในตอนที่อีกฝ่ายกดสะโพกลงแล้วแทงเข้าออกรัวๆ อีกสองสามครั้งก็หยุดนิ่งแล้วปลดปล่อยน้ำกามออกมาในถุงยางอนามัย ซึ่งผมยังสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของมันเขาไม่ได้รีบถอนตัวตนออกไปทันที แต่โน้มใบหน้าลงมากดจูบลงบนหน้าผากและปลายจมูกของผมอย่างเชื่องช้า ราวกับจะปลอบประโลม
ผมคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการมีเซ็กส์ครั้งแรก ซึ่งมันน่าประทับใจมากเสียจนผมคิดว่าจะต้องจดจำผู้ชายคนนี้ไปอีกนานเลยล่ะ

TBC.




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ใครเอ่ย เกื้อกูลจะตกหนุ่มสุดฮ๊อทได้หรือเปล่า

ออฟไลน์ mamiooo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai2-1: สนุกค่า ชอบๆ อ่านรวดเดียวจบเลย

ดีใจมีภาคต่อด้วย รอติดตามตอนต่อๆๆๆไปนะค๊าา

อีกคู่นี่ดุเดือดมว๊ากกก น้องเกื้อกูลน่ารักอ่ะ ชอบๆ

ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
บทที่ 5 งานเลี้ยง

“มึงจำที่กูบอกได้หรือยัง?”
ผมเอ่ยถามด้วยความกังวล แล้วเริ่มเดินย่ำไปย่ำมาบนพรมเปอร์เซียในห้องพักสุดหรู ในมือยังถือกระดาษที่มีรายชื่อและภาพถ่ายของบุคคลสำคัญในงานเลี้ยงวันเกิดของประธานบริษัท ดีแมคซ์ ไฮส์
“จำได้”
พอร์ชเหลือบตามามองผมครู่หนึ่งแล้วขยับยิ้มขัน หมอนั่นกำลังสวมชุดทักซิโด้อยู่เบื้องหน้ากระจกบานใหญ่
“ยิ้มอะไร”
ผมโยนกระดาษในมือทิ้งไป แล้วหันไปถลึงตาใส่คนที่กำลังยืนจัดระเบียงเสื้อผ้าของตัวเอง ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงแรมสกาล่า ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ของพอร์ชและเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดกับงานประมูลที่ดินซึ่งจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
“เปล่า แค่ซาบซึ้งที่เห็นความตั้งใจของเมีย”
ผมเบ้ปาก ก่อนจะเริ่มลงมือเปลี่ยนมาใส่ชุดทักซิโด้ของตัวเอง ผมเพิ่งเคยใส่ชุดหรูๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกจึงค่อนข้างสับสนกับทักซิโด้ปกกล้วยหอม เสื้อเชิ้ตคอตั้ง สายรั้งกางเกง แถบผ้าคาดเอวและกางเกงเข้าชุด นอกจากนั้นยังมีผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่ามีไว้ทำอะไร รวมถึงรองเท้าหนังขัดเงาที่ดูเป็นทางการแบบสุดๆ
“มึงนี่มันเงอะงะกว่าที่คิดอีกนะ”
พอร์ชว่าในขณะที่ผมกำลังพยายามติดตะขอผ้าคาดเอวที่อยู่ด้านหลัง
ให้ตายสิ ใครใช้ให้ชุดที่มึงเตรียมมาเรื่องเยอะขนาดนี้ล่ะ สูทธรรมดาอ่ะ ไม่รู้จักหรือไง
“ก็กูไม่เคยแต่งชุดหรูๆ ไปออกงานสังคมนี่”
ผมปลดผ้าคาดเอวออกแล้วตั้งใจว่าจะโยนทิ้งไป แต่พอร์ชกลับดึงผ้าผืนนั้นไปซะก่อน
“กะอีแค่ผ้าคาดเอวไม่เห็นต้องใส่ให้มันยุ่งยากเลย”
ผมบ่นงึมงำระหว่างที่ถูกพอร์ชจับแต่งตัว เขาเกี่ยวตะขอผ้าคาดเอวให้ผม เกี่ยวสายรั้งกางเกงเข้ากับไหล่ตามด้วยการสวมทักซิโด้สีดำ รวมถึงเสียบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าบนอกเป็นอันจบพิธี
ผมมองดูตัวเองในกระจก ภาพที่เห็นค่อนข้างแปลกตา เส้นผมของผมและพอร์ชถูกหวีเรียบเป็นทรงคนแก่ ดูเรียบหรูก็จริงแต่มันไม่แนวเลย แล้วผมก็ไม่ชอบด้วย
“พร้อมมั้ย” พอร์ชถาม
“ถ้ากูทำอะไรให้มึงขายหน้าล่ะ”
พอร์ชใช้มือสองข้างจับไหล่ของผมแล้วบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“มึงไม่ทำอะไรให้กูหน้าแตกหรอก”
ผมพยักหน้า การไปร่วมงานวันเกิดในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การพาพอร์ชไปให้เกียรติเจ้าของงานเท่านั้น แต่รวมไปถึงการสานสัมพันธ์และหาลูกค้าในอนาคตให้กับยูเนียน
“มาจูบหน่อย” ผมเรียกร้องกำลังใจจากเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมโน้มใบหน้าลงมาประทับจูบบนกลีบปากของผมอย่างนุ่มนวล
“ไม่เอา”
ผมขมวดคิ้ว ผมอยากได้มากกว่านี้ ไม่เอาแค่ปากแตะกันเหมือนเด็กน้อย จึงเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นไปรั้งลำคอของพอร์ชให้โน้มลงต่ำ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างแนบแน่น ผมขบกัดและดูดดึงกลีบปากของเขาจนเกิดเสียงหยาบโลนแล้วสอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปท้าทายลิ้นของอีกฝ่าย พอร์ชนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังอดกลั้นต่ออารมณ์ที่ถูกจุดให้พลุ่งพล่าน ก่อนจะเริ่มขยับลิ้นตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอย่างเร่าร้อน เขาปล่อยให้ผมกวาดสำรวจโพรงปากของเขาอย่างจาบจ้วงจนกว่าจะพอใจ จึงเป็นฝ่ายผละออกมาเอง
“พอหรือยัง”
เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ซึ่งผมโคตรจะอยากขย้ำเขาเดี๋ยวนี้เลย ติดแต่ว่างานวันเกิดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในเร็วๆ นี้
“ก็ได้”
สถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของประธานดีแมคซ์ ไฮส์อยู่บนชั้นที่เก้า ซึ่งเป็นส่วนของห้องโถงรับรองขนาดใหญ่ พอร์ชส่งบัตรเชิญให้พนักงานด้านนอกห้องโถง เซ็นชื่อเขียนคำอวยพรและมอบของขวัญให้พนักงานที่ทำหน้าที่ดูแล ก่อนจะพาผมเข้าไปด้านใน
ห้องโถงได้รับการประดับประดาหรูหรา สามารถรองรับแขกในงานได้ถึงห้าร้อยคน แต่ในความจริงแล้ว คนที่เดินไปเดินมา รวมทั้งพนักงานก็มีแค่ประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น นับว่าเลือกสถานที่ได้ใหญ่โตกว่าจำนวนคนเยอะเลย บนโต๊ะซึ่งจัดเรียงรายชิดผนัง จัดวางอาหารและเครื่องดื่มแบบบุฟเฟต์ไว้อย่างล้นหลาม พนักงานชายในชุดสูทสีขาวจำนวนมาก เดินไปมาเพื่อเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่แขกที่ยืนสังสรรค์กัน
“ผมต้องไปทักทายคุณคมธรรม” พอร์ชกระซิบบอกผม เขาเลือกใช้ภาษาที่สุภาพและเป็นทางการในที่สาธารณะ เพื่อความเหมาะสม เพราะหากถูกใครได้ยินจะได้ไม่ไปเล่าลือกันว่าประธานแห่งยูเนียนเป็นคนหยาบคาย
ผมกวาดตามองไปรอบๆ งานเลี้ยงเพื่อมองหาประธานดีแมคซ์ ไฮส์ รู้สึกตาพร่าเล็กน้อยเมื่อโดนแสงวิบวับจากชุดราตรีหรูหรากับแสงของเพชรบนตัวภรรยาคนใหญ่คนโตส่องเข้าตา กว่าจะมองหาเป้าหมายพบก็ทำเอาแสบตาอยู่เหมือนกัน
“ทางขวามือ ที่สามนาฬิกา ผู้ชายที่ยืนควงแขนกับผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีน้ำเงิน” ผมกระซิบบอกพอร์ช
ประธานดีแมคซ์ ไฮซ์เป็นชายวัยหกสิบปีที่เริ่มมีผมสีขาวเกือบครึ่งศีรษะ ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงร่องรอยของความใจดีทุกครั้งที่ขยับยิ้ม เจ้าตัวกำลังสนทนากับประธานแห่งบริษัท X ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา
“นั่นคุณปวีณา?” พอร์ชถามถึงผู้หญิงที่ยืนควงแขนกับคุณคมธรรม
“ไม่ใช่ เธอคือคุณเอมิกา เป้าหมายใหม่ของคุณ อย่าลืมอ่อยให้เต็มที่ล่ะ”
ผมล้อเลียนด้วยเสียงที่พยายามลดให้เบาที่สุด ซึ่งก็ถูกอีกฝ่ายปลายตามองมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ผมได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเกิดมามีใบหน้าแบบพอร์ชแล้วไม่ใช่ให้เกิดประโยชน์ก็ดูจะเป็นการเสียเปล่าแย่เลย อีกอย่างคุณเอมิกา ลูกสาวคนโตของคุณคมธรรมและคุณปวีณาก็สวยไม่หยอก ถ้าพอร์ชสามารถมองเห็นใบหน้าของเธอ อาจจะรีบกระโจนใส่เลยก็ได้
“ส่วนคุณปวีณากำลังยืนเม้าส์อยู่กับคุณหญิงหน้าโบท็อกซ์ตรงนั้น”
ผมกระซิบบอกแล้วแอบชี้นิ้วไปทางกลุ่มคุณหญิงในชุดราตรียาวที่กำลังอวดเครื่องเพชรบนลำคอของตัวเอง พอร์ชตวัดสายตามามองผมดุๆ แต่ผมแค่ยักไหล่ อดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อแอบหัวเราะ
พวกรอเราให้เพื่อนของคุณคมธรรมปลีกตัวจากไปจึงค่อยเดินเข้าไปทักทายเจ้าของงานตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณคมธรรม”
พอร์ชเอ่ยทักทายแล้วยกมือขึ้นไหว้ ซึ่งผมในฐานะผู้ติดตามก็รีบยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมเช่นกัน
“อา เจ้าพอร์ชเองหรือ”
คุณคมธรรมหันมามองพอร์ชด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู ก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ของเขาเบาๆ
“โตขึ้นจนจำแทบไม่ได้เลย หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะ”
“สบายดีหรือครับ”
“มีปวดเมื่อยตามประสาคนแก่นั่นแหละ”
คุณคมธรรมตอบ แต่ผมกลับคิดว่าเขาดูเป็นคนมีอายุที่แข็งแรงและดูดีมากคนหนึ่ง เรียกว่าแม้ใบหน้าจะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา แต่ยังคงเคล้าของความหล่อเหลาไว้ไม่เปลี่ยน
“นี่ลูกสาวฉัน มารู้จักกันไว้สิ”
คุณคมธรรมแนะนำให้พอร์ชรู้จักกับคุณเอมิกา จากประวัติที่คุณภุมราสืบมาให้ บอกว่าเธออายุ 27 ปี เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ ตอนนี้โสด ไม่มีแฟนหรือคนรู้ใจ เป็นผู้หญิงเก่งและมั่นใจในตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าเธอดูสวยแบบฉลาดๆ นะ มีสไตล์เป็นของตัวเองชัดเจนดี
“สวัสดีค่ะ ฉันเอมมี่ ยินดีที่รู้จัก”
เธอทักทายแล้วยื่นมือไปเขย่ากับมือของพอร์ชตามมารยาทตะวันตก เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพแต่จากสายตาอันกว้างไกล ผมคิดว่าเธอชอบพอร์ช คือหน้าอย่างหมอนี่ ผู้หญิงคนไหนเห็นก็ต้องชอบ รวมกับบุคลิกและการแต่งการของเขายิ่งทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่น่าพึ่งพาอาศัยมากคนหนึ่ง ซึ่งต่อให้ผมจะห่วงและหวง พอร์ชมากแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาของเขาเรียกลูกค้าเก่า ให้กลับมาใช้บริการยูเนียนได้อีก ผมก็ถือว่าคุ้มค่า
“ฉัตรชนกครับ ยินดีที่รู้จักเช่นกัน”
“ตอนนี้เอมมี่เข้ามาเรียนรู้งานที่ดีแมคซ์ ไฮส์ อีกไม่นานฉันจะให้เธอมารับตำแหน่งประธานบริษัท มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง หวังว่าพวกเธอจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะ” คุณคมธรรมกล่าว ผมคิดว่าเขากำลังเปิดทางให้พอร์ชเจรจาธุรกิจกับคุณเอมมี่ แต่การพูดแบบนี้สามารถคิดได้อีกนัยหนึ่งว่า หลังหมดสัญญากับโอเมก้า ออยล์ เขาจะยุติการซื้อขายกับทางนั้นก็เป็นได้
“ท่านประธาน”
เสียงที่ดังขัดจังหวะ ทำให้ทุกคนหยุดการสนทนาแล้วหันไปมองชายหนุ่มในชุดทักซิโด้หรูหรา
“เธอ…”
ยังไม่ทันที่คุณคมธรรมจะได้เอ่ยปากทักทายก็ถูกคนที่มาใหม่กระโดดกอดแบบแนบแน่น โคตรจะเป็นการประจบผู้ใหญ่ที่ไร้ชั้นเชิงสิ้นดี
“สวัสดีครับ ผมชนะเทพไงครับ”
หมอนี่ชื่อแทน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช หรือก็คือลูกชายคนเดียวของอาหญิง ผมเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าหมอนี่ชอบแข่งขันกับพอร์ชในทุกๆ เรื่อง แต่ความโง่บวกกับความหลงตัวเองทำให้สูญเสียยูเนียนคืนมาให้พอร์ชซึ่งผมไม่แปลกใจเลย
“อา ใช่ๆ ฉันจำเธอได้ หลานชายของฉัตรบรรณ”
รอยยิ้มของแทนเจื่อนลงเล็กน้อย หมอนี่ไม่ชอบการถูกจดจำในฐานะ หลานของฉัตรบรรณ (คุณพ่อของพอร์ช) หรือลูกพี่ลูกน้องของพอร์ช
“ใช่ครับ”
คุณคมธรรมพูดคุยกับแทนและพอร์ชอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นที่มาร่วมงานเลี้ยง
“ฉันต้องขอตัวก่อนนะ เอมมี่ดูแลพวกเขาด้วย”
หลังจากคุณคมธรรมเดินจากไป คุณเอมมี่ก็หันมายิ้มหวานให้พอร์ช รวมถึงเล่นหูเล่นตาแบบพองาม ผมเริ่มจะชอบเธอแล้วสิ เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ กรณีที่ผมชอบผู้หญิงได้อ่ะนะ
“คุณพอร์ชอยากดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ เดี๋ยวฉันขอบริการคุณเอง”
ผมรีบสะกิดเตือนพอร์ชให้หันไปสนใจคนสวย แทนที่จะยืนจ้องตากับน้องชายหน้าโง่ของเขา
“รู้สึกเป็นเกียรติมากที่มีคุณเอมมี่คอยดูแล”
พอร์ชหันไปเอาใจคุณเอมมี่ แม่ง โคตรขนลุกเลยว่ะ ผมเป็นแฟนแท้ๆ ยังไม่เคยได้ยินคำพูดเลี่ยนๆ แบบนี้เลย มีแต่คำด่าว่า แรดบ้าง บ้าบอบ้าง คิดเยอะบ้าง แล้วก่อนหน้านี้ใครหนอใคร ที่บอกว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเพราะรำคาญความยุ่งยากที่อาจจะตามมาในอนาคต ตอแหลสุดๆ อ่ะ
“ขอไวน์สักแก้วละกันครับ”
“ได้ค่ะ”
“เสียใจจังครับ เวลาที่ผมยืนคู่กับพอร์ชทีไร ต้องถูกคนสวยเมินโดยไม่ตั้งใจตลอดเลย” คุณแทนขัดขึ้น แต่ผมคิดว่าคุณเอมมี่อาจจะเมินแบบตั้งใจจริงๆ ก็ได้ ก็หมอนี่นอกจากหน้าตาดีแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง
“ใครเมินกันคะ ฉันกำลังจะถามคุณแทนเลยว่าอยากดื่มอะไร” คุณเอมมี่หันไปถามหมอนั่นแบบมืออาชีพสุดๆ นี่แหละสังคมไฮโซของนักธุรกิจ ต่อให้ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องวางตัวให้ดี
“ขอไวน์ละกันครับ”
“ได้ค่ะ เชิญพี่น้องคุยกันตามสบายนะคะ”
หลังจากที่คุณเอมมี่เดินจากไปไกลกว่าระยะที่จะได้ยิน คุณแทนก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
“เธอเป็นของฉัน” หมอนั่นบอกกับพอร์ชด้วยท่าทางหยิ่งยโส ซึ่งผมแม่งคันปากอยากถามออกไปจริงๆ ว่า…โรคมโนกำเริบเหรอครับ!
“ได้ข่าวว่าเธอโสด”
พอร์ชเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แฟนของผมไม่ใช่พวกยอมใครง่ายๆ นะครับ ขอแค่ปั่นประสาทลูกชายอาหญิงได้ หมอนี่ยินดีทำหมดนั่นแหละ
“แต่เธอต้องเป็นของฉัน”
“นายเป็นเด็กปัญญาอ่อนเหรอ แค่ประกาศว่าเธอเป็นของใครก่อนก็ชนะหรือไง” พอร์ชย้อนถาม ซึ่งใบหน้าเหวอๆ กับปากที่อ้าๆ หุบๆ ของไอ้คุณแทนทำให้ผมรีบยกมืออุดปากไม่ให้พ่นเสียงหัวเราะ ให้ตายเถอะ พอร์ชแม่งก็พูดตรงเกิ๊น ต่อให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาทำตัวเหมือนเด็กก็น่าจะด่าอ้อมๆ น้า
“นายคิดจะแย่งกับฉัน”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถ” พอร์ชแสยะยิ้มท้าทาย
ไอ้คุณแทนกำหมัดแน่น หมอนี่กำลังโมโหจนตัวสั่นกึกๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ คุณเอมมี่ก็เดินกลับมาพร้อมกับไวน์ในแก้วทรงสูง
“ลองชิมดูนะคะว่าถูกปากหรือเปล่า”
พอร์ชกับแทนยื่นมือไปรับแก้วไวน์มาจิบราวกับเมื่อครู่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน
“รสชาติดีมากเลย ไวน์จากที่ไหนเหรอครับ” ไอ้คุณแทนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฝรั่งเศสค่ะ อยากลองเดาดูมั้ยคะว่านี่คือไวน์อะไร”
ไอ้คุณแทนยิ้มค้างไปครู่หนึ่ง ผมเดาว่าหมอนี่แค่ถามไปงั้น แต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องไวน์เลย
“ปิโนต์ นัวร์”
“ซาโต ลาฟิต-รอทส์ชิลด์” พอร์ชแย้ง สายตาของหมอนี่ตอนหันไปยักคิ้วให้ลูกพี่ลูกน้องดูกวนประสาทสุดๆ แค่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องเอาให้ได้สินะ
“ใช่ค่ะ คุณพอร์ชสนใจเรื่องไวน์แดงเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ โอกาสหน้าต้องขอให้ช่วยแนะนำแล้ว”
คุณเอมมี่ที่เจตนาเมินคำตอบของไอ้คุณแทน หันมายิ้มอ่อยให้พอร์ชของผม แต่ยังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาต่อก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งโดยผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาลแตะตา
“เจ้าพอร์ช”
“คุณวีรชัย” ผมรีบกระซิบบอกพอร์ช ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณอา”
คุณวีรชัยเป็นอาเขยของพอร์ช ผมเพิ่งได้เจอตัวจริงเป็นครั้งแรก เขาค่อนข้างทำให้ผมประหลาดใจด้วยออร่าความเยอะ อย่างการแต่งกายของคนส่วนใหญ่ในงานจะเน้นไปที่ชุดสูทที่ดำ เทาและขาว แต่เฮียแก่กลับโดดเด่นในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนกับเนคไทลายเกล็ดงูสีเงินสะดุดตา ผมของเขาถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลคาราเมลจนไม่เหลือผมงอกให้เห็นสักเส้น เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีและดูหนุ่มกว่าวัยมาก ถ้ามองผ่านๆ ก็สามารถเป็นพี่ชายของไอ้คุณแทนได้เลย
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” คุณวีรชัยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ย ก่อนจะเหลือบตาไปมองลูกชายของตัวเอง
“เจ้าแทน ทำไมไม่ชวนหนูเอมมี่ไปเต้นรำล่ะ”
ประโยคนั้นทำให้คุณเอมมี่หน้าตึงทันที เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ประโยคแนะนำจากผู้ใหญ่ แต่มันคือประโยคคำสั่งให้เธอต้องไปเต้นรำกับลูกชายของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก
“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ”
คุณเอมมี่ก้มศีรษะให้ไอ้คุณแทนเล็กน้อยเป็นการยินยอม ก่อนจะวางมือลงบนมือของหมอนั่น แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปกลางฟลอร์เต้นรํา ผมชะโงกศีรษะ พยายามมองผ่านกลุ่มคนมากมายไปที่คุณเอมมี่ที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่าย ขณะที่คู่เต้นรำของเธอกำลังขยับปากพล่ามอะไรสักอย่าง เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและมีสมอง…น่าเสียดายที่ต้องเสียเวลากับคนแบบไอ้คุณแทน
“คุณอามีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“แม่ของเธอสบายดีหรือ”
คุณวีรชัยเอ่ยถาม ซึ่งผมรู้สึกรำคาญพวกไฮโซที่ต้องเกริ่นเรื่องอื่นตามมารยาทก่อนที่จะวกเข้าจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ผมคิดว่าเขาไม่ได้มีธุระอะไรกับพอร์ชหรอก มันเห็นกันชัดๆ เลยว่าเขาแค่อยากจะแยกพอร์ชออกจากคุณเอมมี่ก็เท่านั้น
“สบายดีครับ” พอร์ชตอบสั้นๆ และไม่ได้มีท่าทีว่าจะสานบทสนทนาต่อ อีกฝ่ายจึงต้องรีบเข้าประเด็นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เด็กหนุ่มรุ่นใหม่จะพาบริษัทมาได้ไกลถึงขนาดนี้ พ่อกับแม่ของเธอสั่งสอนมาดีจริงๆ แต่ยังไงฉันกับพลอยปภัสก็อยู่ในวงการธุรกิจมานาน อยากให้ช่วยเหลือหรือแนะนำตรงไหนก็บอกกันได้ ไม่ต้องเกรงใจ หลานของพลอยก็คือหลานของฉัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผมกำหมัดแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อคิดว่าประโยคเมื่อครู่ฟังผ่านๆ แล้วเหมือนครอบครัวสุขสันให้ความห่วงใย แต่ถ้าลองคิดให้ลึกลงไปอีกนิด จะได้ประโยคประมาณนี้เลย
‘ฉันได้ข่าวว่ายอดขายจาระบีของยูเนียนตกลงนะ ต่อให้พ่อกับแม่เธอสอนมาดียังไง เด็กหนุ่มอย่างเธอก็ไม่มีทางทำให้ยูเนียนกลับมาเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนแต่ก่อน แต่ฉันกับเมียทำธุรกิจอยู่ในวงการนี้มานาน ย่อมเก่งกว่าเธออยู่แล้ว ถ้าฉันอยากบี้เธอ เธอก็มีแต่จบกับจบ แต่ถ้าเธอจนตรอกก็ลองขอร้องฉันสิ เห็นแก่ที่เป็นหลายชายของเมีย ฉันอาจปราณีเธอ’
“ขอบคุณครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งมาก”
ผมรีบหันไปมองหน้าของพอร์ช โชคดีที่อีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ คุณวีรชัยแสยะยิ้มก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบมามองที่ผมซึ่งอยู่อยู่ด้านหลังของพอร์ช
“นี่เลขาคนใหม่หรือ แล้วภุมราไปไหนซะล่ะ”
“ลาป่วยน่ะครับ คนนี้คือผู้ช่วยเลขาของผม ชื่อปัฐวี”
พอร์ชหันมาแนะนำผมอย่างเป็นทางการ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องยกมือขึ้นไหว้อาเขยของเขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับท่าน”
“ยังเด็กอยู่เลยนะ”
คุณวีรชัยเอ่ยเสียงเนิบนาบ ผมอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายทิ้งสายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ใบหน้าของผม ดวงตาของเขามีประกายวูบวาบแบบที่ผมคุ้นเคยสุดๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรเลอะเทอะมากไปกว่านี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนซะก่อน
“ท่านครับ”
ผมตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้างมองผู้ชายที่ก้าวเข้ามาโค้งให้คุณวีรชัย ฝ่ายนั้นเหลือบตามามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปแตะหลังมือของคุณวีรชัยอย่างรวดเร็วราวกับเป็นการสะกิด แล้ววินาทีต่อมาคุณอาเขยก็หันไปกล่าวของตัวกับพอร์ช
“ฉันต้องไปทักทายเพื่อนๆ สักคนหน่อย ขอตัวก่อนล่ะ”
ผมยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังเห็นภาพหลอน ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนสองคนที่เดินจากไป
ไม่ว่าผมจะมองยังไงคนเมื่อครู่ก็คือ…บุคคลที่ผมไม่อยากพบเจอมากที่สุดในชีวิต ต่อให้เป็นชาติหน้าก็ไม่ขอเจอเด็ดขาด
‘โจเซฟ’


TBC.




หนังสือ Agnosia - (แอคโนเซีย) ภาค 1 เหลืออยู่ประมาณ 20 เล่มนะคะ หมดเเล้วหมดเลย เรื่องนี้ตีพิมพ์หนึ่งครั้งไม่รีปริ้นนะคะ

- ราคา 330 บาท
- หนังสือจำนวน 360+ หน้า
- ที่คั่นหนังสือ 1 อัน/โปสการ์ด 1 ใบ (ในเล่ม)

- ตอนพิเศษที่ไม่ได้ลงเว็บไซต์ จำนวน 3 ตอน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องเล่าของพอร์ช (เป็นพาร์ทของพอร์ช ที่เล่าความรู้สึกของการป่วยเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้)
ตอนพิเศษ 2 ในห้องทำงานที่เร่าร้อน (NC กรุบกริบในที่ทำงาน)
ตอนพิเศษ 3 คนขี้หึง (ช่วยกันเลี้ยงหลานชายของวิน)

- สั่งซื้อผ่านสนพ. >> http://darin-novel.lnwshop.com/
- สั่งซื้ออีบุ๊ค >> https://www.mebmarket.com/ebook-96119-Agnosia




ออฟไลน์ Willhammin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

บทที่ 6 การทุริต


(เกื้อกูล)

“จาระบี Lot UN23 เสร็จหรือยังครับ”

ผมเอ่ยถามหัวหน้าเวรประจำวัน ที่กำลังสั่งการให้พนักงานตรวจเช็คปริมาณการผลิตจาระบีในถังพักใบใหญ่

“พร้อมบรรจุลงถังหนึ่งพันใบแล้วครับ”

ผมพยักหน้า รับคลิปบอร์ดพลาสติกจากหัวหน้าเวรมาตรวจเช็คเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเซ็นชื่อกำกับ

“ควบคุมอุณหภูมิให้ดี รอหัวหน้ามาเช็คคุณภาพวันพรุ่งนี้ครับ”

ผมบอกลาอีกฝ่ายก่อนจะปลีกตัวจากมา ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ได้เวลาลงจาก Plant แล้วกลับบ้านไปพักผ่อนเสียที

ผมทำงานที่โรงงานผลิตจาระบีของบริษัทยูเนียนได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว หน้าที่ของวิศวกรระดับล่างสุดอย่างผมมีไม่มาก เพื่อนร่วมแผนกมีทั้งหมดสิบสองชีวิตรวมหัวหน้างาน พวกเรามีหน้าที่ตรวจเช็ควัตถุดิบที่ถูกส่งมาทำจาระบี อย่างพวก BaseOil+FattyAcid+Additives = Grease และบางครั้งยังรับออเดอร์จากลูกค้าประจำรายใหญ่ในการผลิตน้ำมันเครื่องและน้ำมันใสอีกด้วย ส่วนใหญ่จะส่งออกไปต่างประเทศเพราะฐานลูกค้าแน่นกว่าในประเทศไทยที่ไม่นิยมใช้เพราะราคาแพง

เหนือหัวหน้าของผมยังมีหัวหน้าอีกระดับที่มาจากสำนักงานใหญ่ วิศวกรกลุ่มนี้จะถูกส่งมาตรวจเช็คคุณภาพของสินค้าก่อนทำการบรรจุลงถัง ซึ่งจาระบี Lot UN23 ที่ผมดูแลอยู่นี้จะถูกลำเลียงลงเรือและนำจัดส่งไปยังประเทศสิงคโปร์ในสัปดาห์หน้า แน่นอนว่าถ้าหัวหน้าที่จะมาตรวจสอบคุณภาพในวันพรุ่งนี้นำส่งแลปเทสแล้วผลปรากฎว่าไม่ผ่าน นอกจากผมจะโดนด่าแล้วยังจะโดนหักเงินเดือน เพราะการทำให้การขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า เกิดความล่าช้าคือการทำให้บริษัทขาดความเชื่อมั่นและยังสูญเสียผลกำไรเป็นจำนวนมาก

เมื่อก่อนแผนกของผมรับหน้าที่ตรวจสอบสินค้าทั้งหมด แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ยูเนียนเปลี่ยนคณะผู้บริหารใหม่ก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแผนก และจัดส่งทีมวิศวกรจากสำนักงานใหญ่เข้ามาดูแล หรือเรียกง่ายๆ ว่าสอดส่องพนักงานที่อาจทุจริต ผมรู้มาว่าแผนกของผมติดอันดับเสี่ยงเกิดการทุจริตได้ง่ายและบ่อยมากที่สุดของยูเนียน ส่วนจะทุจริตยังไงนั้น? ตอนนี้ผมไม่ค่อยเก็ตอ่ะครับ แล้วก็ไม่อยากเก็ตด้วย ผมพอใจกับวันหยุดและเงินเดือนของผมแล้ว ไม่อยากรีบเสี่ยงตกงานและหมดอนาคตที่สดใส

Trrrrrrrrrrrrrr

ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงชุดหมีส่งเสียงร้องระหว่างที่ผมเดินอยู่บน Plant ผมรีบหยุดเท้าทันที บน Plant มีทางเดินกับเครื่องจักรรอบด้านที่หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมด ทำให้บ่อยครั้งที่ผมเดินหลงทางอยู่ในนี้ กว่าจะหาบันไดลงจาก Plant เจอ เพื่อนร่วมแผนกก็สแกนลายนิ้วมือกลับบ้านกันหมดแล้ว ดังนั้นผมขอหยุดรับโทรศัพท์แล้วคุยให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า

“สวัสดีครับ”

ผมรับสายด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ เพราะเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ได้ถูกบันทึกชื่อของคู่สนทนาเอาไว้

“ไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหู

“ใครครับ?”

“ฌอห์ณ”

ช-อ-น?

“ชอนไหน?” ผมถามด้วยความงุนงง เดี๋ยวขอคิดก่อนนะ

เพื่อนร่วมงาน? ไม่มีชื่อนี้แน่นอน

เพื่อนที่มหาลัย? ไม่คุ้นมาก่อน ไม่น่ามี

งั้นย้อนกลับไปอีกหน่อย หรือจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยม? ก็ไม่เคยมีเพื่อนชื่อแปลกๆ แบบนี้อีกนั่นแหละ

แต่ถ้าเป็นเพื่อนสมัยอนุบาลหมีน้อย…?

“เธอรู้จักคนชื่อฌอห์ณหลายคน?”

“ไม่รู้จักสักคน”

ผมตอบ แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะที่ออกไปทางเยอะเย้ย…เหอะๆ มารยาทของคนๆ นี้มีปัญญานิดหน่อยนะ

“โทรผิดหรือเปล่าครับ”

“ไม่ผิดหรอก เมื่อต้นเดือนก่อนเราเคยเจอกันที่ Manly”

Manly? ผมชะงักเมื่อสมองเริ่มฉายภาพของผู้ชายแปลกหน้า ที่ผมมีสัมพันธ์สวาททางกายด้วยเป็นครั้งแรก

“คุณ…”

ร่างกายของผมสั่นเทาเล็กน้อย ความรู้สึกร้อนวูบวาบแล่นจากปลายเท้ามาสู่สมอง พร้อมกับเสียงหวี่หว่อๆ ให้ตายสิ อุตส่าห์ไม่ไปคิดถึงบทรักในครั้งนั้นได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วแท้ๆ หมอนี่จะโทรมาหาผมทำไมกัน

“รู้เบอร์โทรผมได้ยังไง”

“เธอชื่ออะไร?” ปลายสายเอ่ยถาม เขารู้เบอร์โทรแต่ไม่รู้ชื่อของผมเนี่ยนะ?

“เกื้อกูลครับ”

“คืนพรุ่งนี้อยากมาเจอกันมั้ย”

“ทำไมต้องอยากไปเจอคุณด้วย ไม่ใช่ว่านอนด้วยกันครั้งเดียวแล้วแยกย้ายเหรอ” นั่นคือกฎของ One Night Stands ไม่ใช่หรือไงกัน?

“หึ” ผมได้ยินปลายสายเค้นเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ

“หลังจากคืนนั้นเธอได้คู่นอนคนใหม่แล้วหรือ”

ผมขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาสร้างความประทับใจให้ผมแบบสุดๆ ขนาดนั้นแล้ว ยังคิดว่าผมจะมีความสามารถหาคู่นอนดีๆ ได้อีกหรือ และต่อให้ผมจะไม่ใช่วัตถุดิบชั้นยอด แต่ยังไงผมก็เลือกกินนะครับ หาคู่นอนงานดีได้ไม่เท่าคุณผมก็ไม่อยากได้หรอกครับ

“ยังครับ ที่จริงแล้วผมไม่ได้โชคดีเจอคนแบบคุณบ่อยๆ”

ผมยอมรับ บางครั้งผมรู้สึกคิดถึงสัมผัสอ่อนโยนของเขา ราวกับมันคือฝันดีคืนหนึ่ง ที่เมื่อตื่นนอนตอนเช้าแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ต่อให้พยายามจินตนาการถึงมันอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถซึมซับได้เหมือนของจริง

“ในเมื่อเธอรู้ว่าการเจอฉันคือโชคดี แล้วเธอจะปฎิเสธทำไม หรือเธอไม่ต้องการฉันล่ะ”

ผมสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ คงจะอารมณ์ดีล่ะสิ

“กี่โมงดีครับ”

ผมถาม ในเมื่อเขามาเสนอตัวเองถึงที่ ผมก็ต้องรีบรับไว้อยู่แล้ว ยอมรับว่ากำลังอดอยากปากแห้งอยู่พอดี

“หนึ่งทุ่ม”

“ที่ไหนครับ”

“ส่งโลเคชั่นที่พักของเธอมา พรุ่งนี้ฉันไปรับเอง”

บริการมารับถึงที่ด้วย…ผมนี่โชคดีสุดๆ ไปเลย

“ครับ” หลังจากวางสายแล้ว ผมก็เดินมึนๆ ไปเรื่อยเปื่อย สมองกำลังคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก…

ผมคิดถูกหรือเปล่านะที่นัดพบกับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนแรกแค่ตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์กลางคืนไม่ใช่หรือ แล้วหลังจากนั้นค่อยเริ่มมองคนรักอย่างจริงจัง แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในตอนนี้ มันเหมือนว่าผมกำลังจะหาคู่นอนมาสนองความต้องการของตัวเองซะมากกว่า…

หว่า!!

โครม!!

ผมสะดุ้งเมื่อเท้าเตะเข้าที่วัตถุบางอย่างจนเกิดเสียงดังโครมคราม ดวงตาเบิกกว้างมองความพินาศเล็กๆ ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ กว่าจะรู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ก็เป็นตอนที่ผมสะดุดถังว่างเปล่าใบหนึ่งที่ตั้งเรียงรายอยู่บนพื้น ทำให้ถังอีกหลายสิบใบที่อยู่ข้างเคียงล้มลงพร้อมกันราวกับโดมิโน่

ให้ตายสิ โรคซุ่มซ่ามของผมมันรักษาไม่หายจริงๆ ด้วย

ในโกดังแห่งนี้เป็นที่เก็บถังพลาสติกสีน้ำเงินสำหรับบรรจุจาระบีส่งออกต่างประเทศ ถังส่วนใหญ่จะถูกเรียงอยู่บนชั้นไม้คุมด้วยตาข่ายเพื่อประหยัดพื้นที่ และอีกส่วนที่เรียงกันอยู่บนพื้น ผมรีบมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์น่าขายหน้า จึงรีบลงมือเก็บถังพลาสติกที่ล้มเกลื่อนพื้นมาตั้งให้เป็นระเบียบเหมือนเดิม

เอ๊ะ?

ผมขมวดคิ้วเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับพลาสติก…มันบางเกินไปหรือเปล่านะ? เมื่อยกถังขึ้นตั้งก็รู้สึกว่าน้ำหนักของถังค่อนข้างเบากว่าที่คิดไว้

ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…

ผมลองใช้หลังมือเคาะถังพลาสติก จับหมุนไปหมุนมา ก่อนจะตัดสินใจเปิดฝาถังออกดูแล้วสำรวจด้านในจนละเอียด ต่อให้ผมไม่ได้จบด้านวิศวกรรมวัสดุโดยตรง แต่ผมแน่ใจว่าถังแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับนำมาใช้ขนส่งจาระบีระหว่างประเทศ เพราะหากเกิดการกระแทกระหว่างการขนส่งเพียงเล็กน้อยก็ไม่รอดแล้ว ถังต้องแตกแน่ๆ เลย แล้วถ้าจะบอกว่าบริษัทยูเนียนขี้งก ถึงขั้นใช้วัสดุไร้คุณภาพมาทำถังบรรจุก็ไม่น่าใช่ ยูเนียนคงไม่อยากเสียลูกค้าเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอกจริงมั้ย?

วันต่อมา…

“off-spec”

ผมหน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยินผลแลปจากหัวหน้าวิศวกรที่มาจากสำนักงานใหญ่ ทำไงดีล่ะ…ผลแลปเทสของจาระบี Lot UN23 ที่ออกมาปรากฏว่า ‘ไม่ผ่าน’ นั่นหมายความว่าจาระบีทั้ง Lot ที่อยู่ในถังพักไม่ตรงตามสเปคที่ลูกค้ากำหนดไว้ แล้วสัปดาห์หน้ายูเนียนก็ต้องเริ่มทำการขนส่งสินค้าแล้วด้วย ถ้าล่าช้ากว่านั้นผมจะต้องถูกหักเงินเดือนแน่ๆ หรืออาจจะถูกเรียกไปตักเตือน แต่เอาที่แย่ที่สุดก่อน ตอนนี้ผมอาจถูกด่าจนหูชา

“ผะ ผม…ขอโทษครับ”

ผมยืนสงบเสงี่ยมก้มหน้ามองพื้นด้วยใจที่เต้นตึกตักๆ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ผมทำงานพลาดเลยก็ว่าได้ ทั้งที่เฝ้าควบคุมอุณหภูมิและส่วนผสมการผลิตเป็นอย่างดีแล้วยังเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ยังไงนะ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธ ทำให้ผมแอบเหลือบตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายแบบกล้าๆ กลัวๆ

“มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดนั่นแหละ ผลิตจาระบีปริมาณเยอะขนาดนั้นถ้าออกมา on-spec ทั้งหมดสิถึงจะแปลก”

เขาชื่อ ‘ปฐวี’ แต่ผมเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานเรียกเขาว่า ‘พี่วิน’ เขาเคยมาตรวจงานที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับเขาโดยตรง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับเขา

“ปัญหามันเกิดขึ้นได้ทุกวัน ยูเนียนต้องการวิศวกรที่เรียนรู้และแก้ไขปัญหาได้ ไม่ได้ต้องการยอดมนุษย์ที่ไม่เคยทำงานพลาด เข้าใจหรือเปล่า?” น้ำเสียงลื่นหูที่เอ่ยถาม ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวหัวหน้าคนนี้มากๆ

อีกฝ่ายเป็นผู้ชายร่างสูงผอมที่หล่อเหลาแบบดวงตะวัน มีบุคลิกบางอย่างที่ให้ความรู้สึกว่า เขาสามารถสาดแสงอบอุ่นชวนให้คนรอบข้างสบายใจได้ รอยยิ้มมุมปากที่ขยันส่งมาดูเจ้าเล่ห์อยู่ในที แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือเสน่ห์ที่เย้ายวน พี่เขาคงเป็นประเภทอ่อยไปทั่วแบบไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ เลย ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าเข่าแทบจะทรุด น่ารักชะมัดอ่ะ

“เข้าใจแล้วครับ”

ผมรีบตอบรับอย่างแข็งขัน โชคดีที่พี่วินมาตรวจงาน Lot ของผม เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นหัวหน้าคนอื่นมาเอง ผมอาจไม่ได้มายืนยิ้มอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้

“บอกฉันสิว่าต้องแก้ไขยังไง”

“ต้องปรับสูตรใหม่ครับ เริ่มจากเทสก่อนว่าสินค้าใน Lot ขาดอะไรไป จึงค่อยเติม Base oil หรือสารเติมแต่งเพิ่ม”

ที่จริงแล้ว Base oil หรือสารเติมแต่งสามารถเติมมากเท่าใดก็ได้ แต่ผมก็ควรเช็คให้ชัดเจนดีกว่าการเติมลงไปมั่วๆ เพราะการเติม Base oil หรือสารเติมแต่ง ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียอะไร นอกจากทำให้บริษัทสูญเสียกำไรก็เท่านั้นเอง ซึ่งวิศวกรที่ซื่อสัตย์และจริงใจอย่างผม ล้วนแต่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้บริษัทอย่างสูงสุดอยู่แล้ว

“ดี งั้นนายก็รีบแก้ไขซะ แล้วฉันจะมาตรวจอีกครั้ง”

พี่วินสั่งงานอีกสองสามอย่างแล้วให้คำแนะนำเพิ่มเติมก่อนจะปลีกตัวไปพักผ่อนในห้องรับรองติดแอร์เย็นฉ่ำ ผมใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายในการวิเคราะห์และแก้ไขสเปคของจาระบีใน Lot UN23 กว่าจะเรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมยกมือลูบท้องปอยๆ เมื่อกระเพาะอาหารส่งเสียงร้องโครกคราก คิดว่าจะไปตามพี่วินมาตรวจงานก่อนแล้วค่อยชวนฝ่ายนั้นไปกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร

ผมเดินลงจาก Plant มาที่ชั้นล่างสุดซึ่งเป็นห้องรับรองติดแอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ครบครันในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนใหญ่แล้ววิศวกรที่ทำโอทีในวันหยุดมักจะเข้ามาใช้ห้องนี้ ส่วนในวันธรรมดาจะไม่มีใครกล้าเข้ามาใช้นอกจากหัวหน้าวิศวกรจากสำนักงานใหญ่

ผมผลักประตูกระจกติดผ้าม่านสีฟ้าอ่อนให้เปิดออก ยื่นหน้าเข้าไปมองจึงเห็นว่าพี่วินกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาตัวยาว รองเท้าหนังราคาแพงถูกถอดทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

“พี่วินครับ”

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องรับรองแล้วยื่นมือไปสะกิดร่างที่กำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข นึกอิจฉาตำแหน่งงานของหัวหน้าที่มีหน้าที่สั่งงานเล็กน้อยแล้วหนีมานอนหลับ แถมเงินเดือนของพี่เขายังมากกว่าผมถึงหนึ่งเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ

“หื้ม” พี่วินครางงึมงำในลำคอ ยกมือขยี้ตาก่อนจะเหลือบมามองผมด้วยความงุนงง

“งานเสร็จแล้วครับ ช่วยไปตรวจรับสินค้าให้ผมหน่อย”

“อา ไปสิ”

พี่วินใช้ปลายเท้าเขี่ยรองเท้าหนังที่ถอดทิ้งไว้มาใกล้ๆ ก่อนจะสอดเท้าเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสบายๆ การที่พี่เขาไม่ได้สร้างภาพลักษณ์หรือวางท่าของหัวหน้าทำให้ดูน่าคบหามากจริงๆ

“พี่วินทำงานที่นี่มานานหรือยังครับ” ผมเอ่ยถามระหว่างก้าวเท้าขึ้นบันไดเหล็กไปบน plant การผลิต

“ครึ่งปี”

พี่วินตอบด้วยท่าทางสบายๆ พวกเราพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ผมจึงคิดจะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งที่ติดใจสงสัยมาตั้งแต่เมื่อวาน

“พี่ครับ”

“ว่า?”

“ถังที่บรรจุจาระบี บริษัทเอามาจากไหนเหรอครับ” ผมถาม พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยมากที่สุด ผมไม่อยากถามเรื่องนี้กับหัวหน้าแผนกหรือเพื่อนร่วมแผนกเพราะมันเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการทุจริตของคนหลายคนที่สมรู้ร่วมคิด แล้วพนักงานใหม่อย่างผมที่เข้าไปสู่รู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้ อาจจะโดนดีดกระเด็นได้ง่ายๆ เลย

“ทำไมอ่ะ”

พี่วินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แน่ล่ะ การตรวจเช็คบรรจุภัณฑ์ย่อมไม่ใช่หน้าที่ของผม

“ผมอยากรู้เฉยๆ อ่ะครับ”

ผมตอบเสียงแล้วหัวเราะแหะๆ เมื่อถูกย้อนถามกลับแบบนี้ผมก็ปั้นเรื่องโกหกต่อไม่ทันนะครับ

“ดีๆ ต่อให้ไม่ใช่หน้าที่ของนาย แต่การรอบรู้ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

พี่วินส่งยิ้มให้ผมแล้วยื่นมือมาตบไหล่ป้าบๆ จนเข่าของผมแทบทรุด

มือหนักชะมัดเลย ฮืออออ

“ยูเนียนสั่งผลิตถังจากไฟเบอร์เทค ถังแต่ละแบบที่โรงงานของเราใช้จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งาน” พี่วินให้คำตอบแก่ผมอย่างไม่ลังเล

“แล้วใครมีหน้าที่ตรวจเช็คคุณภาพของถังว่าตรงกับสเปคที่เรากำหนดไว้หรือเปล่าอ่ะครับ” ผมรีบถามต่อทันที พี่วินทำงานที่นี่มาครึ่งปีแล้ว คงจะรู้อะไรๆ ไม่น้อย

“แน่นอนว่าต้องเป็นวิศวกรวัสดุ แผนกตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ไงล่ะ” พี่วินแยกตัวไปใช้แลปเทสเพื่อตรวจสอบคุณภาพของจาระบีก่อนการบรรจุลงถัง ทิ้งให้ผมยืนจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ

จากคำบอกเล่าของพี่วิน ผมคงสันนิษฐานได้เพียงอย่างเดียวว่ามีวิศวกรวัสดุ ‘บางคน’ หรือ ‘อาจจะหลายคน’ ทำการทุจริตร่วมกับ ‘Supplier’ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทไฟเบอร์เทคจะส่งถังไร้คุณภาพมาเก็บไว้ในโกงดังของยูเนียนได้โดยที่ทีมวิศวกรวัสดุไม่รู้เรื่อง

ถ้าหากคิดว่ามีวิศวกรของยูเนียนรับสินบนจาก Supplier แล้วส่งรายงานต่อหัวหน้าแผนกว่าถังดังกล่าวได้มาตรฐานล่ะ? อืม…เป็นไปได้ วิศวกรย่อมต้องได้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่า จึงจะกล้าหักหลังบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่

แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดกันได้นานเพราะทีมตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่ถ้าคิดว่าทุกคนในทีมร่วมกันทุจริตล่ะ?

…การได้รับผลประโยชร์ร่วมกันจากคนหลายๆ ฝ่าย จะช่วยลดความเสี่ยงในการตรวจพบการทุจริต…

แต่อีกเรื่องที่ผมยังสงสัยคือ พวกเขาต้องตบตาวิศวกรในแผนกการผลิตอีกด้วย ถึงผมจะไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์โดยตรง แต่ในตอนบรรจุสินค้าลงถัง วิศกรแผนกการผลิตยังต้องสุ่มตรวจสอบการบรรจุอีกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลำเลียงลงเรือ ตั้งแต่ทำงานมาเกือบหนึ่งเดือน ผมเคยสุ่มตรวจสินค้าทั้งหมด 75 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งผ่านมาตรฐานสากลทั้งหมด

…เป็นไปไม่ได้…

แต่ถ้าลองคิดว่าถังบรรจุมีส่วนหนึ่งได้มาตรฐานและอีกส่วนหนึ่งมีขนาดบางกว่าปกติล่ะ? การที่ผมจะสุ่มเจอแต่ถังที่มีมาตรฐานทั้งหมดแปลว่าต้องมี ‘คนใน’ ช่วยเหลือวิศวกรฝ่ายตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์แน่นอน

แต่จะเป็นใครล่ะ?

เพื่อนร่วมแผนกของผม?

หัวหน้าแผนก?

ผู้ต้องสงสัยในแผนกมีมากถึง 11 ชีวิต ยังไม่นับรวมแผนกตรวจสอบคุณภาพของบรรจุภัณฑ์อีกหลายสิบคน

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมไม่สามารถปิดหูปิดตาปล่อยผ่านไปได้จริงๆ ต้องสืบดูให้รู้เรื่อง!



ติดตามข่าวสารจากนักเขียนได้ที่เเฟนเพจค่ะ เป็ดก๊าบก๊าบ






CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ติดใจน้องล่ะสิ

เรื่องน่าสนุก

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43

ออฟไลน์ _SHINE_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากเลย เราชอบการใช้ภาษาของนักเขียนนะ
รอติดตามต่อไป :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด