14
“กูร้อน”
“...”
“ไอ้ฉาง ถ้ามึงยังพยายามจะกอดกูอยู่ กูจะไล่มึงออกไปจริงๆ แล้วนะ”
คำตอบคือไอ้ฉางขยับตัวออกจากผม ก่อนเอื้อมมือมาลูบหัวผม
“ฉาง!”
“ผมไม่ได้กอดข้าวแล้วสักหน่อย”
“...”
“ข้าวอย่าใจร้ายนักเลย ผมแค่อยากสัมผัสข้าวแค่นั้นเอง”
มันว่า ก่อนทิ้งทุกอย่างให้ตกอยู่ในความเงียบ ฉางค่อยๆ สอดมือตัวเองเข้ามากุมมือผมไว้... เมื่อความร้อนที่ฝ่ามือผมปรากฏ ถอนหายใจ ปล่อยไปแบบนี้ก็แล้วกัน
ผมกลับมาจากร้านนั้นโดยมอเตอร์ไซค์ไอ้ฉาง อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่ามันมีมอเตอร์ไซค์ด้วย เอาจริงๆ ผมเจอมันก็แค่ในห้องกับคณะเท่านั้น ไม่เคยเห็นไอ้ฉางระหว่างทาง คงไม่แปลกที่ผมจะไม่รู้ล่ะมั้ง แถมที่จอดรถของหออยู่หลังหอ ต้องวนไปจอด ถึงจะค่อยอ้อมมาเข้าประตูหน้า ผมถึงไม่เห็นว่าไอ้ฉางมีพาหนะ
อันที่จริงผมคิดว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยด้วยซ้ำ...
กลับถึงห้อง ไอ้แมวควายเอาแต่กอดผมไม่หยุด รัดแน่นไม่ปล่อยจนผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดในชีวิตเพื่อผละออกจากมัน หนีไปอาบน้ำจนได้ พร้อมไล่มันไปอาบน้ำทันทีที่ไอ้ฉางทำท่าจะพุ่งเข้ามากอดผมใหม่
จนกระทั่งมาจบแบบนี้
ผมไม่ชอบนอนเปิดแอร์เท่าไหร่ ถ้ามันไม่ร้อนจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะนอนตากพัดลมเอา ปกติก็นอนได้ไม่มีปัญหา เสียแต่ตอนนี้ไอ้ฉางมันมาพันแข้งพันขาไม่หยุด...สุดท้าย ก็เลยต้องยอมให้มันนอนจับมือ
ตลกเป็นบ้า
โตเป็นควายขนาดนี้ นอนกับคนใจตรงกันขนาดนี้ ผมกลับเป็นเหมือนไอ้ไก่อ่อนที่เพิ่งริเริ่มมีรัก นอนจับมือ...รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่ถ้าให้ทำอะไรไปมากกว่านี้...ผมก็อายไม่แพ้กัน
เรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาถูกส่งผ่านความคิด ในความมืดผมมองเห็นความคิดตัวเองชัดขึ้น คิดทบทวนตัวเอง คิดวนเรื่องเดิมๆ อยู่เป็นล้านรอบ จนต้องบอกกับหัวใจว่า มันใช่แล้วล่ะ...การที่มีไอ้ฉางอยู่ข้างๆ แล้วผมมีความรู้สึกที่ล้นจนทะลักออกมานี้ คงเป็นอื่นไม่ได้แล้ว
ผมชอบมันจริงๆ
เหมือนก่อนหน้านี้ผมกำลังมองหลุมลึกที่ไอ้ฉางเป็นคนขุด จ้องหลุมพิลึกนั่นอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน ชั่งใจว่าจะกระโดดลงไปดีไหมทั้งๆ ที่ขาทั้งสองข้างก็ห้อยอยู่ตรงปากหลุม พร้อมกระโจนลงทุกเวลาอยู่แล้ว พอได้ฟังคำพูดไอ้ฉางที่ตอบเขียนไปในวันนั้น ที่มันบอกว่าแค่ถูกใจ ราวกับมีอะไรมาดลใจ เลือกที่จะตกหลุม รับรู้ใจตัวเอง
คำตอบมันชัดมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ไม่ได้เจอมันจนถึงตอนที่ผมรอไอ้ฉางในร้านเหล้าทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด ทว่าในช่วงก่อนหน้าที่จะมาเจอมัน ผมเอาแต่ปัดความคิดว่าไม่ได้ชอบมัน ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ที่รู้สึกกับมันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ไม่ก็เพราะไอ้ฉางตัวติดผมมากเกินไปทำให้ผมหวั่นไหว คิดไปเองว่าชอบ
แต่ยิ่งไม่เจอมัน ความรู้สึกก็ยิ่งชัด
มีผู้หญิงข้างตัวแท้ๆ แต่กลับคิดถึงใบหน้าของอีกคนอย่างไม่น่าให้อภัย รสจูบของหญิงสาวไม่ทำให้ติดใจเท่าจูบเบาๆ ของฉาง แม้กระทั่งตอนร่วมหลับนอนกับหล่อน ผมก็ยังสลัดมันออกจากหัวไม่พ้น
คำพูดที่มันเอ่ยตอนนั้นทำร้ายผมอย่างเจ็บปวด อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
มันน่านัก มาทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ยังไง
รู้ตัวอีกที ก็ถอนตัวขึ้นไม่ไหว ยอมตกลงไปในหลุมที่มันขุด หลุมกับดักที่มีชื่อว่าความรู้สึก หลุมที่ไม่มีก้นหลุม ราวกับให้ผมตกหล่นลงไปเรื่อยๆ จมดิ่งกับความรู้สึกนี้ไปเรื่อยๆ
ผมอาจจะออกมาจากหลุมนี้ไม่ได้ แต่ช่วยไม่ได้ ผมเลือกเดินตกลงมาเอง
จบความคิด ผมหลับตาลง ย้ายตัวเองไปสู่โลกในนิทรา
.
XIV
คิดว่าผมยอมหรอ ผมห่างข้าวมาตั้งหลายวัน แค่นอนจับมือมันจะไปเติมเต็มความรู้สึกของผมได้ยังไง
ข้าวหลับไปแล้ว นอนนิ่งจนผมแน่ใจว่าคงไม่ตื่นมาแน่ๆ ผมขยับตัว คลายฝ่ามือที่กุมมือข้าวออกช้าๆ เคลื่อนตัวไปหาเจ้าของห้อง จ้องมองเชยชมข้าวของผมจนพอใจ สองแขนวาดรอบกาย โอบกอดข้าวไว้ให้จมไปในอ้อมแขน ผลัดกันแลกไออุ่น
ขยับอ้อมกอดให้แนบชิดยิ่งขึ้น สูดกลิ่นแป้งหอมจางๆ ของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ข้าวอาจจะคิดว่าผมหลับง่าย อันที่จริง ใครๆ ก็คงคิดเช่นนั้น เพียงแต่น้อยคนนักที่รู้ ว่าผมหลับไม่ได้ถ้ามีคนอยู่รอบตัว ทุกที่ที่ผมหลับได้นั้นต้องสำรวจดีแล้วว่าไม่มีใคร แม้ว่าบางครั้งการสำรวจจะใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็ตาม และหลังจากนั้นผมจะสามารถปิดสวิตช์ตัวเองได้รวดเร็วราวกับคอมพิวเตอร์…
แต่ข้าวเป็นข้อยกเว้น
เวลาทำงานที่คณะ ในสตูดิโอมีพวกเพื่อนๆ อยู่เต็มไปหมด ผมอยู่โต้รุ่งทุกทีเพราะนอนไม่ได้ เว้นเสียแต่จะถึงขีดจำกัดจริงๆ อย่างตอนไปงานวันเกิดเติมเต็ม พวกอัลฟ่าถึงได้ตกใจที่รู้ว่าผมนอนร่วมห้องกับเขาได้
ถึงบอกว่าเจอแล้ว...
เจอแล้ว คนที่อยากนอนด้วย
ถ้าข้าวรู้ ต้องคิดว่าผมเป็นโรคจิตแน่ๆ
นอกจากข้าวจะเป็นคนที่ผมสามารถหลับด้วยได้อย่างสบายๆ แล้ว เสียงข้าวยังเป็นเสียงเดียวที่สามารถปลุกผมได้อีก ไม่รู้สาเหตุ แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ที่คนที่ผมสามารถนอนด้วยได้กับคนที่สามารถปลุกผมได้เป็นคนๆ เดียวกัน ถึงได้บอกว่ากว่าจะเจอคนอย่างข้าวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผมไม่ได้รักข้าวเพราะเหตุผลนี้หรอก นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ผมอยากอยู่กับข้าว
แต่ที่ผมชอบข้าวเพราะนิสัยของข้าว ความใจดีแบบนี้หายากมากในสังคมแบบนี้ ผมหาเจอแล้วทั้งที จะปล่อยไปได้ยังไงกัน พอนานเข้าก็อยากให้ข้าวใจดีกับผมแค่คนเดียว หวงความใจดีเรี่ยราดของข้าวเสียอย่างนั้น ไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าข้าวของผมน่ารักแค่ไหน
ผมซบลงหลังคอของเขา ประทับจูบลงจนเกิดรอยจางๆ อยากกอดข้าวให้จมหายไปในอกเลยจริงๆ
ขยับตัวแนบชิดกับเขายิ่งขึ้น ข้าวบอกว่าร้อน แต่ผมว่าไม่เห็นร้อนตรงไหน อากาศแบบนี้นอนกอดกันกำลังดี ผมไม่ทำอะไรข้าวไปมากกว่านี้หรอก ถึงร่างกายผมจะเรียกร้องอยู่อย่างลับๆ ก็ตาม
แต่ผมขอไปศึกษาเรื่องนี้ให้ดีๆ ก่อนนะ ผมไม่อยากให้ข้าวเจ็บ...
.
“วันนี้เอาไง”
“...ไม่ไป”
ไอ้เขียนส่งสายตาเป็นคำถามให้ผม “ไมวะ”
“ใกล้สอบแล้ว...” ผมอ้าง ข้ออ้างที่ดีที่สุดในตอนนี้ ใกล้สอบอย่างที่ว่าจริง เดือนหน้าก็สอบกลางภาคแล้ว ถึงเวลาเตรียมตัวอ่านหนังสือ ข้ออ้างนี้ไอ้เขียนก็ขัดไม่ได้ แถมไม่มีพิรุธใดๆ ให้จับผิด
เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องอ่านหนังสือกันก่อนสอบ ส่วนใหญ่อ่านกันหนึ่งเดือนหรือสามอาทิตย์ก่อนสอบ บ้างก็อาทิตย์สองอาทิตย์ ส่วนพวกเนิร์ดๆ หน่อยก็อ่านทุกวันตั้งแต่เปิดเทอม ผมอยู่ระหว่างพวกเนิร์ดกับคนส่วนใหญ่ ไม่แปลกอะไรที่จะเริ่มอ่านหนังสือเตรียมตัว
เรื่องผู้หญิงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายก่อนสอบ
ผมบอกไอ้เขียนไปเมื่อมันยังเซ้าซี้ งงว่าทำไมจู่ๆ ผมถึงกลับมาเที่ยวผู้หญิง และจู่ๆ ก็เลิกกะทันหัน... บอกมันไม่ได้หรอกว่าเหตุผลจริงๆ คืออะไร
ผมกำลังคบกับผู้ชาย
ราวกับเป็นเรื่องตลกร้าย ที่ผ่านมาผมรักชอบผู้หญิงมาตลอด แม้ไม่ได้ป็อปในหมู่สาวๆ เท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยขาดแคลน ช่วงหลังๆ เป็นผมเองที่เหนื่อยหน่ายกับรักฉาบฉวยจึงเลิกพฤติกรรมน่าเบื่อนี่เสีย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาลงเอยกับผู้ชายเช่นนี้
แถมยังเป็นผู้ชายสติไม่สมประกอบอีก
ผมชอบมันเข้าไปได้ไงวะ
คำถามที่ติดอยู่ในใจตลอดเวลา แต่เมื่อใจมันไปแล้ว ผมก็แย้งอะไรไม่ได้ ช่วยไม่ได้นี่ พอมีมันอยู่ใกล้ๆ แล้วสบายใจอย่างประหลาด ทั้งที่มันไม่เคยทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่หือไม่อือ ไม่วอแววุ่นวาย จะมีก็แต่โผล่มาแบบไม่เป็นเวลากับช่วงหลังๆ ที่เริ่มคุกคาม...
รู้ตัวอีกทีก็เคยชินกับการมีแปรงสีฟันสองอันวางข้างอ่างล้างหน้า เคยชินกับสมุดเล่มใหญ่แปลกตาวางเกะกะตามห้อง ชินเสื้อผ้าสีเรียบที่ยัดไว้ข้างตู้ พอๆ กับชินกับการเลี้ยงแมวส้มที่มาบ้างไม่มาบ้าง เคยชินกับการมีมันอยู่รอบๆ ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แค่ชิน ไม่ได้เรียกว่าหลงรักเสียหน่อย ใช่ว่าไม่เคยคิดอย่างนี้ แต่พอมันหายไปก็เหลือบมองประตูห้องกับจับโทรศัพท์บ่อยๆ อย่างรู้ตัว พอมันมาก็เผลอเหลือบไปมองมันบ่อยๆ จนลองห่างจากมัน ผลลัพธ์ก็ปรากฏ ผมคิดถึงมัน
ได้เป็นคำตอบแล้ว
ผมอมยิ้มให้ตัวเอง ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความไม่น่าจะเกิดขึ้น ยังจำช่วงที่พยายามไล่เฉดหัวมันออกจากห้องได้อยู่เลย นานเข้ากลายเป็นปล่อยมันตามสบายเสียอย่างนั้น
ผมเลิกเรียนก็ขอตัวกลับหอ ไม่ไปเร่ร่อนเที่ยวที่ไหนกับไอ้เขียนอีก ซี้สนิทก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นว่าเป็นปกติของผมเลยไม่ได้ทักท้วง ผมเดินกลับหอพลางฮัมเพลง ขากลับเจอร้านไก่ทอดเปิดขายอยู่หน้าซอย ผมลังเลก่อนซื้อปริมาณสำหรับสองคน ส่งข้อความบอกไอ้ฉาง
‘กูซื้อข้าวเย็นมาให้แล้ว’
เพื่อที่จะได้ให้มันกลับมากินข้าวด้วยกัน แต่ที่ผมลืมไป ตารางชีวิตไอ้ฉางไม่เหมือนชาวบ้าน ใช่ว่าเวลาทานข้าวเย็นของมันจะตรงกับคนปกติ ผมลืมคิดถึงข้อนี้...ในตอนนั้น ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ความรู้สึกที่มีเหมือนกับที่ทำกับแฟนคนก่อนๆ คืออยากดูแล ใครจะไปรู้ว่ามันกลับมาอีกทีก็เกือบเที่ยงคืน
“...”
“ข้าว...ผมขอโทษนะ...ทำงานกลุ่มอ่ะ”
“...เออ”
กัดฟันตอบ รู้ทั้งรู้ว่ามันก็เป็นอย่างนี้ ผลุบโผล่ไม่เป็นเวลา เสียแต่เผลอตัวไปหน่อย ปฏิบัติกับมันเยี่ยงคนธรรมดาคงไม่ได้ ผมไม่ได้โกรธ มันเป็นของมันอย่างนี้อยู่แล้ว แค่หงุดหงิดตัวเองที่ลืมคิดไป
“ข้าว...”
“รู้แล้ว”
ผมบอก ไล่มันไปอาบน้ำเข้านอน ไอ้ฉางส่ายหน้า ขอทำงานก่อน ครั้งนี้เป็นงานเดี่ยว ว่าพลางเปิดแล็ปท็อปคู่ใจของมันขึ้นมา จมอยู่ในโปรแกรมที่ผมไม่คุ้นชิน
ข้าวเย็นสำหรับสองคนผมกินหมดไปตั้งแต่สองทุ่มแล้ว ผมไม่มีตู้เย็น จะทิ้งก็เสียดาย เลยแดกแม่ง
ผมอ่านหนังสืออีกสักพักก่อนได้เวลาเข้านอน เหลือบมองเห็นไอ้ฉางนั่งพิงผนังห้องคลิกเมาส์ทำงานอยู่หน้าจอ ผมมองมันแค่แวบเดียวก่อนปีนขึ้นเตียง ไอ้ฉาง...วันแรกก็เล่นกูซะแล้ว
ผมมั่นใจว่าผมชอบมันนะ แต่เริ่มไม่ค่อยมั่นใจว่ามันชอบผมจริงๆ แล้ว
“ข้าวจะนอนแล้วหรือ”
“อืม” ครางตอบ คุมโทนเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากดูเป็นผู้ชายขี้น้อยใจ ทำตัวน่าเบื่อตั้งแต่วันแรกที่คบกัน
พลันเตียงข้างๆ ก็ยุบตัวลง บ่งบอกว่าอีกคนกำลังคืบคลานเข้ามา ผมพลิกตัวหันไปสบตากับไอ้ฉางอย่างจัง ใบหน้าห่างกันไม่กี่คืบ ตกใจจนพูดไม่ออก
ฉางผงะเล็กน้อยก่อนขยับตัวมาหาผมช้าๆ ซุกหน้ามันเข้ากับไหล่ของผม ร้องงึมงำ
“ขอโทษนะข้าว...”
“กูรู้แล้ว ไม่ได้โกรธ”
“แต่ผมเสียใจอ่ะ”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เสร็จงานเมื่อไหร่ก็ค่อยไปกินด้วยกันก็ได้”
“ผมไม่เคยได้กินข้าวเย็นพร้อมข้าวเลย...”
“...ต้องมีสักวันแหละ”
“กินข้าวแทนได้มั้ย”
“กินตีนกูแทนมั้ย”
“...”
“ไม่ไปทำงานล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน กอดข้าวก่อน...”
“แล้วมากอดอะไรตอนกูจะหลับ ถอยเลย หนัก”
“ผมไม่อยากกวนข้าวตอนอ่านหนังสือนี่... ขอเวลาแปบเดียวนะข้าว”
มันว่า ขยับตัวมาก่ายตัวทับผมก่อนซุกหน้ามันเข้ากับซอกคอ พอมันมาพูดใกล้ๆ หูอย่างนี้แล้วจั๊กจี้ชะมัด ไม่เคยรู้ว่าที่มันนั่งนิ่งๆ หลบอยู่ซอกหลืบของห้องเพราะไม่อยากกวนผม แต่เพราะผมเลิกอ่านแล้วไอ้ฉางถึงกล้าเข้ามานัวเนียใส่ ไม่คิดว่ามันจะคิดเยอะขนาดนี้... ผมปล่อยให้มันกอด ดิ้นเล็กน้อย เป็นเชิงบอกว่าไม่สบายตัว แต่ไม่ได้ดิ้นแรง...ก็ไม่ได้อยากให้มันปล่อยนักหรอก
แบบนี้ก็สบายดี เหมือนมีแมวตัวโตๆ มานอนทับ
“ข้าว...”
“อะไร”
“ไม่ร้อนแล้วเหรอ”
“...”
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
ให้ค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะ
เจอกันหลังวันที่16 ค่ะ
