16
ฤดูสอบใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที ผมเร่งอ่านหนังสือเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เลิกเรียนก็ไปสิงห้องสมุดกับพวกเนิร์ดบ้าง กลับมาอ่านหนังสือเองที่หอบ้าง วนเป็นกิจวัตรประจำวันแสนน่าเบื่อ ส่วนไอ้ฉางก็เอาแต่ขลุกอยู่ในคณะ ตอนมันจะนอนคือช่วงที่ผมออกไปเรียน ตอนมันตื่นคือช่วงค่ำๆ ที่ผมอ่านหนังสืออยู่ห้องสมุด
เลยไม่ได้เจอมันเท่าไหร่ อย่างดีก็แค่เห็นมันแวบ ไปแวบมา ต่างคนต่างมีอะไรต้องทำ เป็นอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้เจอมันจริงๆ จังๆ สักที ทั้งที่ตกลงคบกับมันแล้วแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่เลย ผมไม่รู้ต้องรู้สึกยังไงดี
เรื่องดีก็คือไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจมันเหมือนกับผู้หญิงคนก่อนๆ ที่เคยคบ ไม่ต้องคอยบอกว่าอยู่ไหนไปไหนเจอใคร มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่
แล้วอย่างนั้นมันต่างจากไม่คบกันยังไงวะ
ถ้าเป็นอย่างนี้ ปล่อยไปให้เหมือนอย่างเคยไม่ดีกว่าเหรอ ทั้งที่มันเคยบอกว่าชอบผม และจะทำให้ดู จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนไปตรงไหนเลย สิ่งที่มันทำ ไม่ได้ต่างจากที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก จนผมเริ่มสงสัยว่ามันชอบจริงๆ หรือแค่พูดเอาตัวรอด เห็นว่าผมมีประโยชน์ดีเลยอยากเกาะผมไว้เฉยๆ
ไม่ได้อยากมาคิดเล็กคิดน้อยเลยให้ตาย แต่เป็นมันทั้งนั้นที่ทำให้ผมคิดอย่างนี้
คำพูดใครๆ มันก็พูดได้ แล้วไอ้คนที่บอกจะทำให้ดูแม่งก็ไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่ผลุบโผล่เหมือนทุกที ไม่รู้งานมันจะเยอะอะไรขนาดนั้น บอกอีกครั้งว่าไม่อยากมาคิดเรื่องจุกจิกแบบนี้เลยจริงๆ
ถ้าไม่รู้สึกกับมัน ก็คงไม่ต้องมาคิดมากไร้สาระขนาดนี้
ผมถอนหายใจ เตรียมเข้านอน ตีสองแล้ว ไอ้ฉางยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ผมที่อ่านหนังสือเสร็จแล้วจึงไม่คิดจะอยู่รอมันต่อ มุดตัวเข้าผ้าห่มก่อนหลับไป…
วันนี้วันศุกร์ ผมมีเรียนเช้า หลังจากที่ตื่นมาอย่างสะลึมสะลือ เตรียมตัวออกไปเรียนเสร็จ ทว่าระหว่างทางลงบันไดหอ ผมกลับเจอใบหน้าคนคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า
เป็นไอ้ฉาง…
มันเดินหน้าง่วงสวนบันไดขึ้นมา เงยหน้าสบตากันพอดี เพิ่งบ่นมันไปไม่ทันไรก็เจอตัว ผมอ้าปากเตรียมจะต่อว่า
ราวกับไอ้ฉางมันจะรู้ตัว มันรีบพุ่งเข้ามาคว้าตัวผมไว้ ยังไม่ทันได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ริมฝีปากผมก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นหยุ่นๆ ที่ประกบเข้ามา
จุ๊บ
“อะ…!”
“ข้าวอย่าเพิ่งดุผมนะ ยังไม่ได้นอนเลย ขอนอนก่อนนะ” มันว่า หลังจากที่กระชากตัวผมไปประกบจูบเบาๆ ไอ้บ้า นี่มันใช่ที่มั้ย ผมพูดไม่ออก ได้แต่ยืนหน้าแดงปล่อยให้มันกอดเอาคางเกยกับไหล่ผม ซุกหัวคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอ ก่อนมันจะค่อยๆ ปล่อยตัวผมออก พยุงตัวเองเดินสะโหลสะเหล เข้าห้องไป
ไอ้บ้าเอ๊ย
ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้ หน้าร้อนถึงขนาดที่รู้เลยว่าจะต้องแดงมากแน่ๆ เมื่อวานเพิ่งบ่นไป ยังกะมันรู้ตัว พอเจอหน้ากันก็เล่นงี้เลยนะ แล้วกูก็ใจสั่นง่ายไปมั้ย
มึงเป็นเอามากนะข้าว
ผมตั้งสติ ไปเรียนตามปกติ พยายามใช้ชีวิตตามเดิม แต่พอเลิกเรียน ผมไม่ไปห้องสมุดกับชาวแก๊งค์เนิร์ดเหมือนทุกครั้ง ขอตัวตรงกลับหอทันที คิดว่าถึงอยู่อ่านหนังสือกับพวกนี้ต่อก็มีแต่ฟุ้งซ่านเรื่องตอนเช้า ไม่ได้อะไรขึ้นมา เกรงว่าจะแสดงอาการอะไรแปลกๆ ออกไปต่อหน้าพวกนี้ ต้องหาคำแก้ตัวอีก ไม่เอาดีกว่า หนีมาอยู่ในถ้ำเงียบๆ เถอะ
ผมกินข้าวแถวหอก่อนกลับขึ้นห้อง ในห้องมืดสนิท ผมเดาว่าไอ้ฉางนอนตายอยู่ พัดลมก็ไม่เปิด แต่พอกดสวิตช์ให้แสงไฟในห้องได้ทำงาน เตียงที่คิดว่าจะมีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่กลับโล่งว่างเปล่า ผมไม่เจอคนที่คิดว่าจะได้เจอ...
มันไปไหนของมันอีกวะ
ในใจกลับมาว้าวุ่นสับสนอีกครั้ง
หัวใจโล่งว่างเปล่าไปพร้อมๆ กับเตียงที่โล่งร้าง
สุดท้ายก็จบลงที่การถอนหายใจ เอาเถอะ...ก็แบบนี้ทุกที ตอนนี้ทำตามหน้าที่ของตัวเองไปก่อนดีกว่า ผมเข้าไปอาบน้ำ ออกมาอ่านหนังสือ ก่อนเข้านอน ด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจมันโล่งแปลกกว่าเดิม
ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนปกติอย่างไม่ปกติ ผมทำตามตารางชีวิตน่าเบื่อเดิมๆ ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวทานข้าว ออกไปอ่านหนังสือที่หอสมุดกับเพื่อน ก่อนหน้านี้บางวันก็ไปเรียน กลับหอมาอาบน้ำอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อ มารทอนต่อเนื่องกันไป ทว่าที่ไม่ปกติเห็นจะเป็นสภาพจิตใจ ไอ้ฉางหายไปแล้วหายไปลับ ไม่โผล่มาหน้ามาสักนิด
ข้อความมือถือก็ว่างเปล่า แต่ก็เป็นผมเองด้วยที่ไม่ได้ส่งอะไรออกไป ผมไม่รู้ต้องส่งว่าอะไรนี่ ไอ้ฉางเป็นผู้ชาย ผมไม่รู้ว่าใช้ชุดข้อความเดียวกับผู้หญิงที่ผมเคยคบได้ไหม
แต่ที่สำคัญกว่าเนื้อหาในข้อความคือ ผมกลัวว่ามันจะไม่ตอบ...
นับวันยิ่งเป็นเอามากนะ ผมหวังอะไรจากมันอยู่เหรอ
ก็แค่คิดว่าถ้าใจตรงกันจริง ก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หายหน้าไปมา ผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย กลับมาคิดวนแต่เรื่องนี้ซ้ำๆ จนเบื่อตัวเองเหมือนกัน
ผมอ่านหนังสือด้วยความคิดสงสัยว่าไอ้ฉางไปไหนทำอะไร ตบตีกับเนื้อหาสอบ ไปจนเช้าวันจันทร์
อาทิตย์หน้าเป็นช่วงสอบแล้ว ช่วงนี้อาจารย์ก็เริ่มทยอยปิดเซคกันไปบ้าง เพราะอย่างนั้นจึงทำให้วันนี้ผมไม่มีเรียน ทว่าเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์กลับดังขึ้นมา ผมตื่นมาสักพักแล้วก็จริง แต่วันนี้ไม่คิดจะออกไปไหนจึงได้แต่นั่งโง่ทำแบบฝึกหัดอยู่ในห้อง ไม่คิดว่าจะมีใครมารบกวน จึงค่อนข้างแปลกใจกับการแจ้งเตือนครั้งนี้ ทว่าระหว่างที่คิดเช่นนี้ มือกลับทำงานเร็วกว่าสมอง เอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ก่อนพบว่าเป็นเบอร์แปลกโทรมา...
ใจผมแป้วเล็กน้อย แต่ก็กดรับสายไป
“ข้าว!?”
“ครับ...? นั่นใคร”
“ข้าว ข้าว ช่วยด้วย เราอัลฟ่า ข้าวช่วยด้วย”
“อะไร อัลฟ่า พูดดีๆ”
“ข้าว ว่างมั้ย ตอนนี้”
“ก็...ไม่ได้ออกไปไหนนะ”
“อยู่หอใช่มั้ย ลงมาเลยตอนนี้ได้มั้ย เรารออยู่หน้าหอข้าว”
“ห้ะ!”
ผมร้องเสียงดัง ไม่เข้าใจอัลฟ่า มาหาผมถึงหน้าหอทำไม แต่ดูเหมือนไอ้คนร้อนรนนี่จะรู้ถึงความสงสัยของผม อัลฟ่ารีบอธิบายต่อ
“ฉางมันไม่ตื่นเลยข้าว เสาร์อาทิตย์พวกเราทำงานโต้รุ่งมาสองคืน แต่วันนี้ฉางมันต้องพรีเซนท์งานตัวเองตอนบ่าย แต่นี่มันยังไม่ตื่นเลย”
ผมมองเวลา...เกือบเที่ยง
“ห้ะ!!”
“นั่นแหละข้าว ข้าวลงมากับเราหน่อย จะพาไปหาฉาง ไปช่วยปลุกมันหน่อยนะข้าว ถ้ามันขาดพรีเซนท์ได้ติดเอฟแน่เลย”
ไอ้ฟ่าร้องครางผ่านมาทางโทรศัพท์ ส่วนผมพุ่งออกนอกห้องไปทันที นึกด่าไอ้ฉางในใจ ไอ้บ้า พรีเซนท์งานบ่าย นี่จะเที่ยงแล้ว แล้วมันไปอยู่ที่ไหน
ผมมาเจออัลฟ่ารออยู่หน้าหอผมอย่างที่มันว่าจริงๆ ไม่รอช้า อัลฟ่าให้ผมขึ้นรถบีเอ็มสีดำ คงจะตื่นเต้นกว่านี้ที่ได้นั่งรถหรู ถ้าหากไม่มีเรื่องไอ้ฉางมาติดพันให้กังวลล่ะก็นะ
ระหว่างทาง อัลฟ่าเล่าความเป็นมา อันที่จริงโปรเจคมิดเทอมที่เป็นงานในคณะพวกมันจบตั้งแต่วันศุกร์แล้ว คงเป็นตอนที่ผมเห็นไอ้ฉางเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องไปนั่นแหละ และใช่ มันควรจะจบตั้งแต่ตอนนั้น เสียแต่พวกมันเสือกไปจับกลุ่มประกวดแบบอะไรสักอย่าง ที่ต้องส่งภายในวันอาทิตย์ ดังนั้นเลยกลายเป็นว่าหลังจากส่งโปรเจคตัวเองเสร็จก็ต้องมานั่งทำงานประกวดต่อติดๆ กันไป ปั่นงานกันไฟไหม้ ไอ้ฉางเป็นมือคอม ต้องทำงานมารทอนเลยไม่ได้นอน
อันที่จริงพวกมันตั้งใจส่งงานตอนวันอาทิตย์ห้าทุ่มเสร็จก็จะไปทำแผ่นสรุปงานตัวเองเพื่อแจกให้อาจารย์ คงเสร็จประมาณเช้า แล้วจะออกไปคณะเลย ผลัดกันเฝ้าไม่ให้ไอ้ฉางมันนอน เพราะรู้ว่าถ้าได้นอนมันนอนยาวแน่
ทั้งที่พวกมันตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น ทว่าหลังจากทำไอ้ใบแผ่นสรุปเสร็จ เพียวกับฟิวเจอร์ต่างก็ไปล้างหน้าล้างตาต่อจากฉาง ส่วนอัลฟ่าลงไปซื้อข้าวมาให้ หลังจากอดอยากมาเกือบวัน และพอแต่ละคนต่างมีอะไรให้ต้องทำ เป็นบทสรุปให้ไอ้ฉางอยู่คนเดียวและ เผลอหลับ...ไม่ตื่นในที่สุด
เป็นเดือดเป็นร้อนให้ผมต้องไปปลุกมันถึงที่ เพราะช่วยกันปลุกตั้งแต่เช้าแล้ว จนตอนนี้มันก็ยังไม่ขยับ
สุดยอดเลยจริงๆ
หลังจากฟังไอ้ฟ่าเล่าจบ ผมก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งเหตุผลที่มันหายตัวไปบ่อยๆ ผลุบๆ โผล่ๆ หายหน้าหายตา ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกองงานขนาดนรกนี่ พอรู้มาว่าสถาปัตย์ทำงานหนักจริง แต่ไม่คิดว่ามันจะนรกขนาดนี้
“จริงๆ ถ้าไม่รับงานประกวดแบบก็คงสบายไปแล้ว”
ไอ้ฟ่าบ่นขึ้นมา แต่ก็บนพึมพำต่อท้ายว่ายังไงก็รับไปแล้ว ช่วยไม่ได้ ก็จริง คนเรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว
นึกงี้แล้วก็โล่งใจที่ไม่โทรไปหาหรือส่งข้อความงี่เง่ารบกวนมัน
คิดว่ายังมีเรื่องที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับมันอีกเยอะ ยังต้องทำความรู้จักมันให้มากกว่านี้ ถึงจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมดก็เถอะ แต่ค่อยๆ เรียนรู้กันไปคงไม่สาย พลันคิดได้อีกเรื่อง
“แล้วทำไมไม่เอาไอ้ฉางไปคณะก่อนล่ะ” ผมว่าเมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้น คิดว่าถ้าช่วยกันแบกไอ้ฉางไปคณะน่าจะทำให้ไม่ต้องเสี่ยงขนาดนี้ อย่างน้อยก็เอาตัวมาถึงที่แล้ว ถึงตอนนั้น จะเรียกให้ผมไปปลุกมันก็คงใช้เวลาน้อยกว่าต้องขับรถไปมาเช่นนี้ แถมหากผมไม่อยู่หอขึ้นมาก็ยุ่งเลยไม่ใช่หรือ
“หรืออันที่จริง...ลองโทรมาให้ปลุก...ไอ้ฉางได้ยินเสียงกูน่าจะพอตื่นอยู่มั้ง...” ผมเสนออีกทางเลือกเมื่อไอ้ฟ่านั่งเงียบ
“...ข้าว...พวกเราไม่ได้นอนมาน่ะ...”
คำตอบของอัลฟ่าทำให้ผมปิดปาก ไม่คิดจะพูดอะไรเสนออะไรออกไปอีก...
“...แล้วขับรถจะรอดมั้ย” ได้แต่บ่นงึมงำอย่างกังวล
“ข้าวก็ต้องชวนผมคุยนะ”
เดือดร้อนกูอีกแล้ว...
อัลฟ่าเร่งความเร็วรถจนมาถึงคอนโดเพียวกับฟิวเจอร์ ที่ที่พวกนั้นใช้กบดาน เป็นฐานทัพสำหรับปั่นงานสองวันที่ผ่านมา แม้จะรู้ว่าความสัมพันธ์ของเพียวกับฟิวเจอร์ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามไม่แสดงอาการสงสัยอะไร พอมาถึงประตูห้อง ผมเจอหน้าเพียวเป็นคนแรก
“ข้าว มาพอดีเลย” เสียงหวานว่า
ก่อนส่ายหน้าตอบอัลฟ่าที่ถามหาฉาง เป็นการบอกเงียบๆ ว่า ไอ้ฉางไม่ตื่น
ผมเดินเข้าไปในห้องนอน ระหว่างทางเดินหลบเศษซากขยะ กระดาษ กาว และอะไรอีกมากมายที่เกลื่อนห้องราวกับระเบิดลง เดินกระย่องกระแย่งจนมาถึงห้องนอนในที่สุด
มีฟิวเจอร์ยืนจ้องไอ้ฉางอยู่ ส่วนคนสร้างเรื่องวุ่นกลับหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราว ทว่าใส่ชุดนักศึกษาเสร็จสรรพ
“ไม่ไหว ขนาดเปลี่ยนเสื้อให้ขนาดนี้ก็ยังไม่ตื่น” เสียงเพียวดังขึ้นจากข้างหลัง “ข้าว ช่วยหน่อยนะ”
“อืม...” ผมหันไปครางตอบเพียว
ก่อนนั่งลงข้างๆ ไอ้ฉาง ไม่รู้จะช่วยได้ไหม แต่ก็เอ่ยคำประจำที่ใช้ปลุกมันทุกที
“ฉางตื่น”
มันไม่ขยับ
“ฉางตื่นได้แล้ว” ว่าพร้อมตบหน้ามันเบาๆ สองแปะ ไอ้ฉางขยับตัว
จนเปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับ ก่อนเปิดออก
“ตื่นแล้วโว้ยยยย!!!” ไอ้ฟ่าร้องลั่นเมื่อเห็นไอ้ฉางเปิดตาเต็มสองตา “มือปลุกฉางอันดับหนึ่งไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ”
“ฟ่า...คุณพูดไม่เพราะ”
ผมไม่สนใจอัลฟ่า นั่งจ้องไอ้ฉางที่กำลังสะลึมสะลือ ทว่าคำแรกของมันคือคำต่อว่าอัลฟ่าเสียอย่างนั้น
“ เอ้อ...’โทษที คุณก็รีบได้แล้ว จะบ่ายแล้ว ต้องรีบไปพรีเซนท์อีกนะ!”
จบคำของอัลฟ่า ไอ้ฉางสะดุ้งสุดตัว ลุกขึ้นยืนเต็มสองขาก่อนพยายามวิ่งฝ่ากองขยะมรณะ
“ฉาง!” ผมเรียกมัน หวังให้มันตั้งสติก่อน ยังไงก็คงต้องไปรถอัลฟ่า มันวิ่งออกไปอย่างนี้มีแต่จะทำให้เจ็บตัวและเหนื่อยเปล่า
“อ๊ะ ข้าว ขอบคุณนะ” ทว่าสิ่งที่มันตอบแทนคือวิ่งกลับมาหาผมก่อนประกบจูบลงที่ปากเบาๆ
ให้ผมยืนค้างหน้าแดงอยู่กลางห้องนอน
ก่อนที่จะถูกเพียวดึงสติแทน “ข้าว รีบไปกันเถอะ” ไม่ว่าเปล่า มือนุ่มเกินชายคว้าข้อมือผมให้ออกไปจากห้องพร้อมกัน
อัลฟ่าเร่งสปีดสุดชีวิตจนผมหวาดเสียว เสียงคุยในรถมีแต่เสียงอัลฟ่าเป็นส่วนใหญ่ ผมรู้ว่าฟ่าพยายามคุยเพื่อให้ไอ้ฉางมีสติมากขึ้น รวมถึงพยายามให้บทสนทนาเป็นการดึงสติของตัวอัลฟ่าเอง ไอ้ฉางเองก็พยายามให้ความร่วมมือดี
“ฉาง less is more”
“ของแวนเดอโร”
“เพลงผิงไฟ”
“ของอภิรมย์”
“เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
“สุโขทัย เขมร”
“อัตราส่วนคอนกรีตหยาบ”
“1:3:5”
“สองคูณสี่”
“หก”
“แปด!” ผมเถียง มีเพียวนั่งหัวเราะขำอยู่ข้างๆ ส่วนฟิวเจอร์ที่ไม่เคยสนโลกก็นั่งเหม่อมองออกนอกกระจกรถ
นี่พวกมึงติวข้อสอบกันหรอ แม้จะมีเรื่องไร้สาระบ้างมีสาระบ้าง แล้วทำไมไอ้ฉางมันเสือกตอบได้ แต่ตอบสองคูณสี่ไม่ถูกวะ...
เสียงอัลฟ่ากับไอ้ฉางดังสลับกันมาเป็นระยะจนปวดหัว รถเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ จนถึงคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่เป็นจุดหมายปลายทาง ไอ้ฉางเปิดประตูรถก่อนพุ่งออกไป ไม่ทันได้ปิดประตูด้วยซ้ำ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้รีบเท่าไหร่ กลับใช้การเดินไวแทนการวิ่งไม่คิดชีวิตแบบไอ้ฉาง
“เอ่อ...งั้นเรากลับก่อนนะ” ผมว่าหลังจากที่เดินตามน้ำไปเกือบจะถึงทางเข้าตึก จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ากูจะเข้าไปทำไมวะ หมดหน้าที่แล้ว...
“ข้าวไม่อยู่ดูฉางหน่อยล่ะ” น้ำเสียงทุ้มเย็นของเพียวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ไม่นานหรอก”
เพียวจ้องหน้าผมเสียใหญ่จนต้องพยักหน้าไปอย่างไม่กล้าปฏิเสธคนตรงหน้า ราวกับมีอำนาจมืดสั่งการให้ผมตอบตกลง อันที่จริง ผมไม่มีปัญหาอะไรนักหรอก แค่เกร็งถ้าจะต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางนักศึกษาสถาปัตย์ และคงจะดีกว่าถ้าได้กลับไปอ่านหนังสือต่อ...
แต่สุดท้าย ผมก็มายืนตัวลีบหลบอยู่หลังเสาท่ามกลางห้องพรีเซนท์งานในบรรยากาศแสนกดดัน...
XVI
พรีเซนท์ผ่านไปได้ด้วยความทุลักทุเล ไม่ได้แย่มากแต่คิดว่าถ้าไม่หลับจนเกือบมาสายน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ถึงอย่างนั้นถ้าไม่ได้ข้าวมาปลุก ผมคงไม่มีโอกาสได้มายืนพรีเซนท์อย่างนี้ อาจารย์ตัดเอฟผมแน่ เพราะอย่างนั้น ผมต้องขอบคุณข้าวเป็นที่สุด ข้าวช่วยผมไว้อีกแล้ว แถมยังมายืนฟังผมพรีเซนท์ด้วย กำลังใจดีแบบนี้ทำให้ผมโดนอาจารย์ดุไม่มาก
ผมชอบข้าวจนแทบคลั่งแล้ว
หลังพรีเซนท์เสร็จผมอยากจะพุ่งไปกอดข้าวแล้วอุ้ม ฟัดให้หายเหนื่อย แต่ความจริงคือต้องยกโมเดลกับเพลทไปเก็บมีพวกอัลฟ่ามาช่วย ทำให้เวลาที่ผมจะได้กอดข้าวช้ากว่าเดิม ผมร้อนใจ แทบจะโยนโมเดลที่พรีเซ้นท์เสร็จแล้วไว้ในห้อง พร้อมขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยขนเพลทพรีเซนท์มาเก็บให้
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จผมวิ่งเข้าไปห้องพรีเซนท์งานอีกครั้ง แต่ไม่เจอข้าวเสียแล้ว...
สบตากับเพียว ไม่รอช้า เพียวเดินมาหาผมทันทีเหมือนรู้ว่าผมมองหาใคร เพราะในห้องใช้เสียงไม่ได้ เพื่อนคนอื่นกำลังพรีเซ้นท์งานอยู่ ทำให้เพียวเดินมาบอกใกล้ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวน
“ข้าวออกไปแล้วน่ะ เมื่อกี้นี้เอง” เพียวบอก ผมพยักหน้ารับรู้ เอ่ยขอบคุณเขาก่อนวิ่งออกห้องไป ข้าวน่าจะไปได้ไม่ไกล และบิงโก ข้าวเพิ่งออกจากตึกไปได้นิดเดียว ร่างโปร่งผอมเดินตัวปลิวลัดเลาะไปตามฟุตบาทของคณะ
ผมวิ่งไปรวบข้าวไว้ในอ้อมกอดจนข้าวร้องเสียงหลง เพราะแรงโถมตัวใส่ข้าวทำให้ข้าวเซเกือบล้ม อยากอุ้มแล้วโยนด้วยซ้ำ แต่ทำไม่ได้ ข้าวไม่ใช่แมว
“ขอบคุณนะข้าว ข้าวช่วยผมอีกแล้ว” กล่าวพร้อมกอดเขาแน่น ซบลงตรงไหล่ สูดดมกลิ่นข้าวให้ชื่นใจ
“เออ รู้แล้ว ปล่อยโว้ย”
ผมตอบแทนเขาโดยการกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เอาหน้าไปถูไถแก้มนิ่มๆ อย่างกล้าหาญ
“ไอ้ฉาง!”
แน่นอนว่าข้าวต้องบ่น ผมเลยหยุดเอาหน้าถูเขา เปลี่ยนเป็นกอดไว้หลวมๆ แทน พอได้กลิ่นข้าวแล้ว ผมไม่อยากปล่อยแขนเลยจริงๆ
“ฉาง ปล่อยเลย นี่คณะมึงนะ”
“ไม่มีใครผ่านมานี่” ผมว่าตามความจริง คณะผมเงียบพอๆ กับป่าช้า ต้องเข้าไปข้างในถึงจะรู้ว่ามีคนอยู่
ถึงอย่างนั้นก็ยอมปล่อยเมื่อข้าวร้องโวยวายกับคำตอบของผม พร้อมดิ้นไม่หยุด
“ข้าวจะไปไหนต่อเหรอ” ผมถามเมื่อข้าวหลุดจากอ้อมกอดผมแล้วก็แทบวิ่งฉิว ผมเดินตามแทบไม่ทัน
“กลับหอ”
“ผมไปด้วย”
“แล้ว...พรีเซนท์?”
“ก็เสร็จไปแล้วไง ข้าวก็เห็น”
“แล้วก็กลับไปได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเนี่ยนะ”
“อ่าห้ะ”
“...”
“ก็หมดแล้วจริงๆ ผมไม่มีเรียนแล้ว แถมวันนี้ถ้าใครไม่ต้องพรีเซนท์ก็ไม่มากันด้วยซ้ำ อย่างพวกอัลฟ่าก็ไม่ได้พรีฯวันนี้”
“มิน่า ถึงไม่รีบกัน...เสื้อนักศึกษาก็ไม่ใส่...”
“อือ ผมซวยเอง ดันสุ่มโดนเป็นคนพรีเซนท์วันแรก คนแรกๆ”
“ก็ดีแล้วหน่า จะได้จบไวๆ ไง” ข้าวว่า ผมฉีกยิ้มให้กับคำตอบ
“อื้อ ก็จริง จะได้อยู่กับข้าวนานๆ”
♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦ ♦
ทางยังสะดวก
ยาวไป ยาวไป~~