[เรื่องสั้น] วันของบ๊วย - all at once - ตอนที่ 3 22/08/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] วันของบ๊วย - all at once - ตอนที่ 3 22/08/17  (อ่าน 1624 ครั้ง)

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************

วันของบ๊วย
[all at once]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2017 15:45:48 โดย sunnandsky »

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
[เรื่องสั้น] วันของบ๊วย - all at once -
ตอนที่ 1


'ในคำว่ารัก ไม่มีคำว่าความบังเอิญ'



"อึก จะไม่ไหวแล้ว"

"อ่าาาาาาา"


นั่นคือเสียงสุดท้ายที่จำได้เมื่อคืนก่อนจะเพลียและหลับไป รู้สึกตัวลืมตาอีกทีตอนนี้ ร่างกายของผมเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศ ส่วนล่างของร่างกายผมชาหนึบจนขยับลำบาก รับรู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนผมโดนทำลายความบริสุทธิ์ไปแล้วอย่างแน่นอน ก้มลงดูร่างกายตัวเองยังมีรอยคิสมาร์คตามแผ่นอกที่ไร้เสื้อผ้าเป็นเครื่องยืนยันได้อีกอย่าง ได้แต่หลับตาภาวนาก่อนจะหันไปมองด้านข้าง อกเปลือยเปล่าแบบผู้ชายอยู่ตรงสายตาผมพอดี กลั้นใจเงยหน้าขึ้นไปมองให้ชัดๆ ผมเบิกตาโตทันทีที่รู้ว่าคนที่พิชิตประตูหลังของผมเป็นใคร

'หมอคิว ปกฎ' เพื่อนสนิทของไอ้อินที่เป็นเพื่อนสนิทในคณะผมอีกที

"ห่าเอ๊ย ทำไมมานอนกับมันได้วะ"

เมื่อคืนเป็นวันศุกร์ จำได้ว่าไปกินเหล้ากับเพื่อนในคณะแล้วมีเพื่อนๆของไอ้อินตามมากินด้วย ไม่เห็นว่าจะมีไอ้หมอคิวอยู่ด้วยเลยนี่หว่า แต่ก็ช่างแม่งเหอะ ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมานอนคิดอะไรแบบนี้ รีบเผ่นจากที่นี่ดีกว่า ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่ห้องผมแน่ๆ จะใช่ได้ไง ผมอยู่บ้านพ่อแม่ แต่มองออกไปข้างนอกนั่น อย่างน้อยห้องนี้อยู่ไม่ต่ำกว่าชั้นสิบแน่ๆ

"ตื่นแล้วหรอ" ผมหลับตาแน่น กว่าจะขยับแต่ละทีว่ายากแล้ว พอลงมายืนที่พื้นได้สำเร็จ ไอ้คนบนเตียงดันตื่นมาอีก โคตรของความซวย

"เออะ เอ้อ ขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ" ผมกัดฟันยืนให้ตัวตรง เอ่ยปากจะไปอาบน้ำ หยิบเสื้อผ้าที่ตกกระจายอยู่ข้างเตียงก่อนจะตีนหมาหนีหน้าหมอคิว

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยใช้เวลาในห้องน้ำมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ เข้ามาทำใจเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่รู้จะออกไปเผชิญหน้าไอ้คนข้างนอกนั่นยังไงดี ถึงจะรู้จักหมอคิวอยู่บ้าง  แต่ก็แค่ในฐานะเพื่อนของเพื่อนเท่านั้น หน้าตากับหุ่นของมันดีและเป็นที่หมายปองของทั้งสาวทั้งหนุ่ม ใครๆก็รู้จักมันทั้งมหาวิทยาลัย ส่วนผมกับมันน่ะหรอ เจอหน้ากัน ถ้าไม่มีไอ้อินอยู่ด้วย แค่ยักหน้าทักกันนั่นก็ถือว่าเต็มที่แล้ว นี่เมื่อคืนผมกับมันมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งไปไกลกว่าคนเป็นแฟนกันซะอีก จะให้มาร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเสียพรหมจรรย์ครั้งแรกมันตุ๊ดเกินไป แต่จะให้เดินออกไปแล้วทำเป็นว่าไม่มีอะไรความเจ็บที่สะโพกแม่งยังคอยตอกย้ำว่าเมื่อคืนผมกับมันเกินเลยไปจนทะลุทะลวงกลวงโบ๋แล้ว โอย พอเถอะครับ ยิ่งนึกถึงภาพเมื่อคืนยิ่งวนกลับเข้ามาในหัวชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องจบปัญหานี้ เอาล่ะ

"เฮ้ย! มึงมาทำอะไรตรงนี้วะ ตกใจหมด" โคตรตกใจ ที่ทำใจอยู่ตั้งนานขวัญหนีกลับลงส้วมไปเลย ไอ้หล่อมันดันมายืนอยู่หน้าห้องน้ำทำห่าอะไรกันครับ

"เห็นบ๊วยอยู่ในห้องน้ำนานผิดปกติ เลยจะมาถามดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า" คร้าบบบ พ่อคนดี นี่ถ้าผมเอากล้องมาถ่ายรูปมันตอนนี้ที่ท่อนบนเปลือยเปล่าโชว์กล้ามอกขาวๆ (ที่มีรอยเล็บและ เอ่อ...ของผม นั่นแหละครับ) ...กับบอกเซอร์แค่ตัวเดียวไปเร่ขายในเฟซบุค คงจะได้เงินพอซื้อขาตั้งเฟรมวาดรูปแทนอันที่ขาหักอยู่ตอนนี้ได้สบายๆ

"กูไม่เป็นไร ถอยไปก่อนดิ๊" ดันมันให้พ้นทางเพื่อเดินออกมานอกห้อง ทำไมเสียงผมสั่นๆตอนพูดกับมันวะ

"เอ่อ บ๊วยจะกลับเลยหรอ คุยกันก่อนได้มั้ย" กำลังหยิบกระเป๋าของตัวเองเพื่อหนีคนตรงหน้าให้พ้นๆซะที มาชะงักตอนมันเรียกเนี่ยแหละ

"คือ…อยากให้รับผิดชอบอะไรมั้ยกับเรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้อะไรนะ..."

"เฮ่ย พอๆ กูไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาทำดีรับผิดชอบอะไรกูเว่ย ลืมๆไปเหอะ ถือว่าแล้วกันไปละกัน ยังไงกูกับมึงก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย คงไม่มีเรื่องที่ต้องมาเจอกันบ่อยๆ" จะมารับผิดชอบอะไรวะ มันคิดว่ามีอะไรกันครั้งเดียวแล้วผมจะท้องหรือไงกัน มันลืมหรือเปล่า อะไรที่มันมีผมก็มีเหมือนกัน เมื่อคืนน่าจะเป็นเครื่องยืนยันให้มันได้อยู่แล้ว

"คือถ้า...ถ้าบ๊วยมีอะไรบอกผมได้เลยนะ ผมยินดี" ฟังมันพูดแล้วผมก็แปลกใจเอง ยินดีอะไรของมัน มันต้องทำดีกับทุกคนที่มันมีอะไรด้วยหรือไง โคตรพระเอก พูดให้มันดูหล่อไปอย่างนั้นล่ะว๊า น้ำหน้าอย่างมัน ผมว่าคงผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน

"คิดซะว่าสนุกด้วยกันละกัน กูไปละ" สนุกหรอ...ถ้าความรู้สึกไม่ได้หลอกกัน ผมว่าเมื่อคืนมันคงไม่แย่นัก ไม่นับความเจ็บที่ผมยังรวดร้าวทุกจังหวะการเดินตอนนี้นะ

'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ'

ตั้งแต่ลากสังขารกลับถึงบ้าน จัดการซัดอาหารทุกอย่างที่แม่เตรียมไว้จนพุงกาง พร้อมยัดยาแก้ปวดตามไป จนเที่ยงวันอาทิตย์วิญญาณถึงกลับเข้าร่าง เพราะเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ติดกันหลายครั้งจนต้องคว้ามากดรับ ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ไอ้อิน เพื่อนในกลุ่มที่คณะของผมเอง

"ว่างายยยย" ยานคานสุดขีดให้มันรู้ว่าการโทรมาของมันรบกวนการนอนของผมเป็นที่สุด

((ไอ้ห่าบ๊วย กว่าจะติดต่อมึงได้ เมื่อวานหายไปไหนมาวะ)) อ้อ เมื่อวานหลังจากกลับจากห้องของหมอคิว มือถือคงแบตหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพิ่งจะนึกได้และหยิบมาชาร์จเอาเมื่อคืนตอนแม่เรียกลงไปกินข้าวเย็น พออิ่มก็ขึ้นมานอนต่อ

"แบตหมด" ตอบมันไปแค่นั้น ดีตรงไอ้อินไม่ใช่คนช่างซัก ถึงมันจะพูดมาก แต่นิสัยขี้เสือกไม่อยู่ในกมลสันดาน

((ควาย งานโฟโต้มึงเสร็จยัง พรุ่งนี้ไม่มีส่งมึงซวยแน่ ปีสามแล้วนะเว่ย อย่าเล่นให้มันมาก)) ชีวิตผมมีเพื่อนแสนดีที่แสนน่ารำคาญก็มันนี่แหละครับ

"เออ เออ เออ เออ อัดเสร็จเรียบร้อย เหลือแค่เม้าท์กระดาษครับพ่อ" เทิดทูนบูชามันเหลือเกิน กว่าจะผ่านขึ้นมาปีสามได้ ถ้าไม่มีมันให้ลอกเลกเชอร์วิชาทฤษฎีอย่างประวัติศาสตร์ศิลปะ ผมคงเอฟแล้วเอฟอีก เรื่องอื่นเถียงมันได้ เว้นเรื่องเรียนในกลุ่มไม่มีใครกล้าเถียงมันเด็ดขาด ไอ้อินมันฉลาดจนทุกคนลงความเห็นว่ามันเรียนหมอเหมือนเพื่อนมันได้สบายๆ ด้วยความติสท์แดกมันกลับบอกว่า หมอง่ายไป ไม่ได้ใช้จิตวิญญาณ เรียนศิลปะนี่แหละดีที่สุด ได้ใช้ทุกศาสตร์ เอากับมันเถอะครับ

((อย่านอนต่อนะเว่ย ทำให้เสร็จนะมึง เออ เมื่อวันศุกร์ หมอคิวมันไปส่งมึงถึงบ้านเรียบร้อยดีใช่ป่ะ)) ช่ายเลยเพื่อน กูเนี่ยแหละเสร็จเพื่อนมึงเป็นที่เรียบร้อย

"ทำไมเพื่อนมึงมาส่งกูได้วะ ไอ้ฟ่างมันไปไหน ทำไมปล่อยกูกลับกับเพื่อนมึงได้" ไหนๆเข้าเรื่องแล้วครับ ถามให้หายข้องใจ ทำไมผมถึงไปอยู่กับหมอคิวเพื่อนมันได้ ทั้งๆที่ปกติข้าวฟ่างต้องมาส่งผมเพราะบ้านอยู่ถัดจากผมไปแค่สามซอย

((สงเคราะห์ที่มึงคงไม่ได้อ่านไลน์กรุ๊ป คืนนั้นพี่ข้าวฟ่างมันได้สาวไปคั่วครับ แล้วมึงก็เมาชิบหาย เลื้อยไปเรื่อย กูจะพากลับ คิวมันบอกจะกลับพอดี คอนโดมันอยู่ทางเดียวกับบ้านมึง กูเลยวานให้มันแวะส่งมึงด้วย ห่า นี่มึงจำอะไรไม่ได้เลยหรือไงวะ ถ้าโดนไปปู้ยี่ปู้ยำป่านนี้ไม่ตายแล้วหรอวะ แดกเข้าไป เหล้าเนี่ย)) ถุยยยยย ไอ้วัวอิน คนอย่างมึงไม่กินเหล้าเล๊ยยยยยยย แม่งมันดื่มหนักกว่าผมอีกครับ แค่มันคอแข็งกว่าผมเยอะ แดกโคตรเปลือง ไม่เมาซักที ที่สำคัญถึงโดนอย่างที่มันว่าแล้วผมก็ยังไม่ตาย ยังนอนคุยกับมันได้ แม้บาดแผลจะยังเตือนอยู่ก็ตาม กระซิกกกกกกก

"พูดมาได้นะว่ากูแดกเยอะ ควายยย มึงแหละแดกเปลือง ถึงกูเมากูก็เอาตัวรอดได้ละกัน ทีมึงยังฝากกูไปกับใครก็ไม่รู้เลย ไอ้เพื่อนเวร" ถึงจะเป็นเพื่อนมัน แต่ผมกับไอ้หล่อนั่นไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย ยัดให้ผมไปกับมันง่ายๆได้ยังไง

((เพื่อนกูไว้ใจได้เว่ย มันไม่ทำอะไรมึงอยู่แล้ว มันมีมาให้เลือกดีๆกว่ามึงอีก โด่ ไอ้หมาเอ๊ย ตัวก็เตี้ย หน้าก็ทู่ ใครเขาจะทำอะไรมึ๊งงง" เออ หมอคิวเพื่อนมึงโคตรไว้ใจได้ เป็นคนดีเหลือเกิน งั้นคงเป็นหน้าหมาๆของผมเองที่ไปสะกิดต่อมอยากของมันจนอดใจไม่ไหว ต้องพ่นน้ำใส่เพื่อระบายสินะ

"ขี้เกียจจะคุยกับมึง ไปไหนก็ไปเลยไป กูจะนอน" ทำไมมันไม่เข้าข้างผม ผมเป็นเพื่อนมันนะ พูดว่าหมอคิวมันดี งั้นแปลว่าเมื่อคืนก่อนผมเป็นคนข่มขืนเพื่อนมัน ขึ้นขย่มจนสะโพกตัวเองแทบครากทั้งนั้นน่ะสิ

กระฟัดกระเฟียดบนเตียงจนสาแก่ใจ ลุกมาอาบน้ำแล้วถึงมานั่งทำงาน แอบแว่บเข้าไปเช็คหน้าเฟซบุคของตัวเองที่ไม่ค่อยได้อัพอะไร นอกจากมีคนแทกมา กับเอาไว้เสือกเรื่องชาวบ้านให้ไม่ตกเทรนด์

การคิดก่อนทำมันค่อนข้างยากอยู่ ดูอย่างผมตอนนี้สิมือมันดันพิมพ์หาชื่อคิว ปกฏ ลงไปในช่องค้นหา คนห่านไรชื่อสั้นแต่สะกดยากสัส พอหน้าเฟซบุคของมันมาปรากฏตรงหน้าเท่านั้นแหละ ผมถึงได้ถามตัวเองว่าผมกำลังทำอะไรอยู่...ไม่ได้คำตอบครับ แถมไหนๆเข้ามาแล้วส่องสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร รูปโปรไฟล์เป็นรูปภาพด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นตัวมันเอง ในฐานะเรียนศิลปกรรมผูกพันและคร่ำหวอดกับศิลปะมาตั้งแต่ไข่ยังไม่ตั้ง ภาพพอทเทรตสีน้ำรูปนี้ ฝีแปรงเรียกว่าไม่ธรรมดา กดขยายมาดูรูปใหญ่ยิ่งเห็นชัดว่าฝึมือดีมากจนต้องเอ่ยปากชม ผมไม่ถนัดพวกรูปพอตเทรตหรือภาพเหมือนบุคคลเท่าไหร่ ผมมันเป็นคนอยู่ไม่สุข หลุกหลิกจนโดนด่านับครั้งไม่ถ้วน วาดแบบเป็นคนไม่มีสมาธิทุกที ถ้าเป็นแลนด์สเคปธรรมชาติ หรือพวกการ์ตูนในจินตนาการอันนั้นสะกดคนอย่างผมอยู่หมัดเลยเชียว ผมเลยมักจะอดชื่นชมเวลาเห็นภาพวาดคนสวยๆไม่ได้ หยุดดูอยู่นานไม่ใช่เพราะคนในรูปมันหล่อแต่อย่างใด ชอบในฝีแปรงงานนี่ต่างหากที่ทำให้ผมหลงใหล

เฟซบุคมันก็คล้ายๆของผมนั่นแหละ ไม่มีการอัพเดทอะไรมาก ฟีดที่ขึ้นเป็นของคนอื่นมาแทกหรือทิ้งข้อความไว้ ส่วนใหญ่เป็นสาวๆทั้งนั้น

'พี่หมอคะ คิดถึงนะคะ ไม่เห็นหน้าเลยเรียนหนักหรอคะ สู้ๆนะ'

'น้องคิวใส่กราวด์แล้วดูดีจัง'

และอื่นๆๆๆๆ อีกเยอะแยะ ไล่ดูยังไงก็ไม่หมด ส่วนรูปที่แทกส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้อินที่มาจากโรงเรียนเก่า โรงเรียนอะไรวะปั้นแต่เด็กหัวกะทิ กะเหมาเกียรตินิยมครบกลุ่ม ผมรู้แค่กลุ่มมันสี่คนสนิทกันมาตั้งแต่โรงเรียนเก่า พอเข้ามหาวิทยาลัย คนฉลาดๆอย่างพวกมันสอบติดเข้าที่เดียวกันได้สบายๆไม่ต้องลุ้นทึ้งกบาลให้เครียดแบบผม นอกจากไอ้อินเพื่อนผมกับหมอคิว มีโยเรียนวิศวะไฟฟ้า ตัวเล็กๆ หน้าตาท่าทางจิ้มลิ้มแต่ไอ้อินมันบอกว่าคนนี้สายดาร์กตัวจริง คนสุดท้ายจุน เห็นหน้ามันบ่อยสุด ว่างๆแวะมานั่งที่โต๊ะคณะประจำ สถาปัตย์อยู่ติดศิลปกรรมเห็นมันบ่อยก็ไม่แปลก ในกลุ่มนี้รองจากอินผมเลยเหมือนสนิทกับจุนไปด้วย กินเหล้าด้วยกันบ่อยจนแซวมันว่าเพื่อนในคณะไม่มีคบ นั่นแหละครับกลุ่มไอ้อิน ต่อมเสือกผมยังไม่หยุดทำงาน เลื่อนลงไปเรื่อยๆจนเจอรูปที่ถ่ายรวมน่าจะตอนปีหนึ่ง ในรูปมีผมอยู่ด้วย แปลก ผมเคยถ่ายรูปกลุ่มพร้อมกับหมอคิวด้วย ยืนข้างกันแถมผมยังเกาะไหล่ไอ้โย่งนั่นด้วยสิ ทำไมผมจำไม่เห็นได้ว่ารูปนี้มันตอนไหนเมื่อไหร่ ไอ้อินเป็นคนแทกรูปนี้ แทกแค่เจ้าของเฟซบุคคนเดียว ไม่มีแคปชั่นใดๆทั้งสิ้น มือผมมันไม่รักดีอีกแล้วครับ ไม่รอให้สมองสั่งดันกดเซฟรูปนี้ไว้ในคอมซะงั้น เริ่มสำนึกได้ว่าเสียเวลามากพอแล้วสมองถึงสั่งให้มือกดปิดหน้าเฟซบุคกลับมานั่งทำงานต่อไปอย่างสงบสุข ปล่อยให้ ‘หมอคิว’ เป็นเรื่องไร้สาระที่วนอยู่ในหัว เอาเถอะครับ เดี๋ยวเบื่อก็หายไปเอง

'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ'

วันจันทร์มีเรียนแค่คาบเช้า กินข้าวเสร็จก็มานั่งแผ่ร่างตั้งตัวเป็นสามแยกปากหมาตามสันดานเด็กศิลปกรรมที่ควรได้รับการรักษาผ่าหมาออกจากปาก

"ไอ้บ๊วย เมื่อเช้ากูเห็นน้องไอซ์จังถามหามึงแน่ะ มึงนี่ยังงัย มีมาประเคนถึงที่ไม่คิดจะรับทานหน่อยหรอว๊าาาา น้องเขาเป็นรองดาวบัญชีเลยนะเว่ย" ข้าวฟ่างมันแซวผมตลอดกับเรื่องน้องคนนี้ ดูเชียร์แต่บางทีฟังดูหมั่นไส้น้องเขาซะมากกว่า

ผมหน้าตาไม่ได้หล่อมากหรอกครับ ถ้าเอาผมไปเทียบกับกลุ่มเทวดาพวกเพื่อนไอ้อิน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใครๆถึงบอกว่าคารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง คงด้วยความอารมณ์ดีที่เพื่อนๆในคณะบอกว่าลูกบ้าผมเยอะ เลยมีคนมาหลงชอบของแปลกตกมาถึงมือผมบ้าง อย่างน้องไอซ์สาวน้อยน่ารักแห่งบัญชีเป็นอีกคนที่คงชอบความแปลกแบบผม จริงๆผมไม่เคยตอบรับความชื่นชอบจากน้อง แต่ก็ไม่เคยปฎิเสธอย่างจริงจังเหมือนกัน เล่าแล้วจะดูเยินยอตัวเอง นอกจากน้องไอซ์ ในเฟซบุคผมไม่ต่างจากหมอคิวมันเท่าไหร่หรอกครับ มีคนมาหยอดตลอดเวลา คนอื่นพอผมเฉยก็ค่อยๆหายไป ผมยอมรับครับ น้องไอซ์น่ารัก นิสัยดี แต่เชื่อเถะครับ หลังจากเป็นแฟนกัน น้องจะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งสวยงาม อาจจะงี่เง่าหนักจนน้องรับไม่ได้เข้าสักวัน และอีกอย่างที่คงฟังดูตลก ผมเชื่อว่าคนที่คู่กันจะมีบางอย่างสัมผัสได้ตั้งแต่แรกที่เจอ

"ปล่อยน้องเขาไปดีเหอะว๊า มาเป็นแฟนกับไอ้หมายบ๊วย ชีวิตจะเหมือนตกอยู่ในมรสุม เขายังไม่เคยเจอมันเหวี่ยงไง วันไหนเจอคงจะหนีแทบไม่ทัน" ขอบคุณครับพี่เบียร์ พี่รหัสผมเองครับ แต่ที่มันนั่งอยู่ตรงนี้เพราะนอกจากมันเป็นพี่รหัสผมแล้ว มันยังเป็นสุดที่รักของไอ้อินมันด้วย

"ว่างัยมึง เออๆ ยังอยู่คณะ ใครนะ ไอ้บ๊วยอ่ะนะ? เออ มันก็อยู่กับกูนี่แหละ เออๆ เจอกัน" ไอ้อินมันรับโทรศัพท์ในขณะที่ผมกำลังตบตีกับพี่รหัสอยู่ด้วยวาจาและกำลัง จนได้ยินชื่อตัวเองถึงหันมาสนใจ

"ใครโทรมาวะ" ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนะครับ นี่มีชื่อผมในบทสนทนา แสดงว่ามีสิทธิ์จะเสือกได้

"ไอ้หมอ" …แล้วงัย ถามว่าใครก็ตอบแค่ซะงั้น

"หมอ? หมอไหน? แล้วเกี่ยวอะไรกับกู ถามถึงกูทำไม" เสือกอย่างเต็มขั้นครับ

"มันบอกจะเอาของมาคืนมึง" ของ? ของไรวะ

"ของไรวะ" คิดและพูดไปเร็วพร้อมกันครับคราวนี้

"พวกมึงเล่น 20 คำถามกันหรอ อิน มึงก็เล่าๆมาให้จบ ไอ้หมาบ๊วยนี่แม่งก็ทำตัวดีค่อยๆเสือก วันนี้จะรู้เรื่องป่ะ ไอ้หมอคิวเพื่อนมึงแม่งมาถึงโต๊ะ ไม่ต้องเล่าพอดี" พี่ข้าวฟ่างช่างรู้ใจ ว่าแต่ ไอ้หมอคิวจะมาที่นี่หรอ แล้วมันรู้ได้งัยวะว่าหมอที่ไอ้อินมันพูดถึงคือหมอคิว

"หมอคิวมันถามว่ากูอยู่กับมึงมั้ย จะเอาของมาคืน มึงไปลืมของไว้กับมัน" ผมลืมของ? ลืมเมื่อไร แปลว่าเพื่อนมันที่ชื่อคิวจะเดินมานี่หรอ ไม่ ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ามันตอนนี้  สมองรีบประมวลผลหาทางหนีทีไล่อย่างรวดเร็ว ทำไมเสือกมาหัวทึบตอนนี้ไม่รู้ โอยยย

"มึงไปลืมอะไรไว้ไอ้หมาบ๊วย" นั่นสิวะครับ ผมไปลืมอะไรไว้...ตอนนี้นึกออกแค่ลืมทิ้งพรหมจรรย์ลูกผู้ชายของตัวเองไว้ที่ห้องมันเท่านั้นแหละ

"ไม่รู้เหมือนกันครับพี่เบียร์ กูไม่เห็นว่าจะมีอะไรหายไป" …นอกจากความบริสุทธิ์ เอาไงดีวะ

"เฮ้ย ไอ้หมาบ๊วย กูมีทางเลือกให้มีงตอนนี้สองทาง นั่งอยู่ตรงนี้รอให้น้องไอซ์มาลากจูงไปดินเนอร์เย็นนี้ หรือจะตีนหมาไปซะ ตอนนี้น้องไอซ์อยู่ในระยะห้าเมตรซึ่งน้องน่าจะเห็นมึงและตรงเข้ามาเป็นที่แน่นอนแล้ว ถ้าจะเผ่นมึงมีเวลาไม่เกินสองนาที" เสียเวลาฟังมันพูดก็หมดไปนาทีนึงแล้วครับ  เตรียมเผ่น พูดกันอย่างแมนๆคราวนี้ไม่ได้หนีน้องไอซ์นะครับ คนที่ผมหนีคือไอ้นักศึกษาแพทย์ที่มันว่าจะเอาของมาคืนผมต่างหากครับ

"งั้นกูเลือกไป จะอยู่ทำไม" ผมยิ้มหน้าบานทันที ไม่เคยรู้สึกอยากจูบขมับน้องไอซ์มากเท่าวันนี้มาก่อน ถึงอย่างนั้นผมไม่เลือกจะเจอน้องหรอกนะครับ กวาดข้าวของทั้งหมด

"เฮ้ยๆ แล้วของที่คิวมันจะเอามาคืนมึงล่ะ" อย่ามารั้งกูครับอิน เพื่อนมึงเป็นประเด็นในการหลบของกูเลยครับ

"มึงเก็บไว้เลย พรุ่งนี้ค่อยเอามาให้กู กูไปห้องสมุดก่อนล่ะ" ผมเตรียมวิ่งครับ ดันมีมือมารั้งชายเสื้อผมไว้อีก ไอ้พี่รหัสเวร ไอ้แฟนไม่สั่งสอน

"บ๊วย กูพูดจริงๆเลยนะ มึงคิดว่าหน้าอย่างมึง ยังจะหาใครดีกว่าน้องไอซ์อีกหรอวะ รับรักน้องไปเหอะ สงสารว่ะ จีบมึงมาจะสองปีแล้ว" ผมอยากจะตีแสกหน้าพี่เบียร์มากครับตอนนี้ ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นพี่และแฟนเพื่อน มันโดนแน่ หน้าอย่างผมเบ้าดีขนาดนี้ จะไม่มีให้มันรู้ไป

"พี่! เลิกกับไอ้หน้าหมีเพื่อนผมมาเป็นแฟนน้องเขาเองมั้ย แล้วกูประกาศไว้ตรงนี้เลยเว่ย แฟนกู กูต้องจีบเอง เลือกเองเว่ย ปล่อยโว้ยยยยย" กระชากเสื้อหลุดจากมือมันได้ ผมวิ่งไปฝั่งตรงข้ามที่เห็นว่าน้องไอซ์เดินมาทันทีครับ ตั้งใจว่าจะแวะไปห้องสมุดหาข้อมูลกลับไปทำงานก่อนแล้วค่อยกลับ เผ่นมาก่อนแบบนี้มีเวลาอยู่ห้องสมุดนานอีกหน่อย


'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ' 'ㅅ'

เคยได้ยินคำว่าหนีเสือปะจระเข้มั้ยครับ หากเราคิดว่าเรารอดพ้นจากอันตรายอย่างหนึ่งแล้วอย่าคิดว่าเราจะโชคดีอีกเป็นครั้งที่สอง เส้นทางจากคณะไปยังห้องสมุดไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผมที่กำลังเพลิดเพลินกับเพลงในเฮดโฟน ร้องแหกปากอย่างไม่สนใจใคร ก้มหน้าก้มตาเลือกเพลงถัดไป ชนเข้าให้กับใครซักคนที่เดินมาขวางข้างหน้า จะเงยหน้าไปหาเรื่องดันเจอว่ามันคือ หมอคิว มนุษย์ผู้ชายผู้เป็นอีกเหตุให้ผมรีบเดินหนีออกมาจากเพื่อนๆ หน้าตี๋ๆของผมตอนนี้คงฝืดเฝื่อนมาก แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง สมองผมพยายามประมวลผล มันโทรบอกอินว่าจะไปหาผมที่คณะ ทำไมมันมายืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ตรงนี้

"บ๊วย หนีผมหรอ" คณะแพทย์มีเอกหมอดูแล้วหรอครับเดี๋ยวนี้ มันถึงพูดออกมาแม่นเชียว

"หนีอะไร จะไปห้องสมุด" ผมตอบตามความจริง ไม่ได้หนีครับ แค่เปลี่ยนใจมาห้องสมุดไวขึ้น ไม่ได้มีเหตุผลในการหนีหรืออะไรทั้งสิ้นเลย

"ผมโทรบอกอินว่าจะไปหา ทำไมถึงไม่อยู่รอ" บอกอินไม่ได้บอกกูนี่หว่า...ครับ ผมแถ ให้สีข้างถลอกได้เพียงในใจเท่านั้น

"ก็บอกแล้วว่าต้องไปห้องสมุด มีงานต้องทำ มีอะไรจะคืนเอามาๆ จะไปแล้ว" แบมือยื่นออกไปข้างหน้า รอรับของจากคนตรงหน้าครับ ผมเพิ่งสังเกตุข้อมือตัวเองตอนนี้นี่เอง ผมรู้แล้วว่าอะไรหายไป...หวังว่าของที่คิวบอกว่าผมลืมไว้จะเป็นเลทเงินที่ผมใส่ติดมือตลอดตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งของมีค่าในชีวิต ถ้าหายไปผมคงเสียดายมาก ตั้งแต่กลับจากบ้านมัน ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันหายไป อยากจะเขกหัวตัวเองนัก

"เลทเงินใช่มั้ย กูลืมเลทเงินไว้ที่ห้องมึงใช่มั้ย ขอคืนด้วย" ผมขอของมันคืน มือยังยื่นไปข้างหน้ารอว่าเมื่อไหร่มันจะเอาของวางลงมาสักที มันกลับฉีกยิ้มให้ผม ล้วงมือเข้ากางเกงและกำมือตัวเองวางบนมือผมแล้วค่อยๆแบมือ ความหวังจะได้สัมผัสเนื้อเย็นของสร้อยเงินกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มือใหญ่กางเต็มมือผม จับแน่นก่อนจะเอาลงข้างตัวตัวเอง

"ไปกินข้าวเป็นเพื่อนก่อน แล้วจะคืนให้" ไอ้หมอห่า!!! มันลากผมให้เดินจากมือที่ยังจับกันอยู่ เลยเหมือนผมโดนถูลู่ถูกังจากพ่อหนุ่มเนื้อหอมอนาคตหมอกลางมหาวิทยาลัย

"ไม่ไปโว้ย เอาของคืนมา กูมีงานต้องทำปล่อยกู" โวยวายออกมาเสียงดัง มันยังไม่ยอมหยุดเดิน ขาแม่งก็ยาว แรงก็เยอะ ผมจะไปสู้อะไรแรงยักษ์อย่างมันได้

"ยังไม่ได้กินข้าวเลย เรียนตั้งแต่แปดโมง บ่ายก็ขึ้นทำเคส เพิ่งได้ออกมาเนี่ย ไปกินข้าวด้วยกันหน่อย ไม่อยากนั่งกินคนเดียว เดี๋ยวมาช่วยทำงานทดแทนการเสียเวลาก็ได้" หึ หมออย่างมันจะมาช่วยอะไรตลก พูดเป็นนิยายตลก ศิลปะนะครับ เด็กวิทย์อย่างมันจะมาเข้าใจอะไร

ในที่สุดมันก็ลากผมสำเร็จ มานั่งอยู่ตรงข้ามกับหมอคิวในร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัย โดยไม่ถามสักคำว่าผมจะกินอะไรมั้ย แต่ตอนนี้หน้าโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่กินได้สามคนอิ่มๆ มันบอกผมให้เริ่มกิน ไม่รอฟังอะไรทั้งนั้น ขณะที่ยักษ์มันเขมือบทุกอย่าง

"ทำไมไม่กินล่ะ สั่งมาเผื่อ บอกว่ามากินข้าวเป็นเพื่อนนะ ไม่ได้ให้มานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ ดังนั้น กินซะครับ" คงเห็นผมนิ่งไม่ลงมือแย่งมันกินซักที ถึงออกปากพูด

"ร้านนี้ร้านโปรดผมเลยนะ บ๊วยได้รับสิทธิ์พิเศษเลย ปกติมาร้านนี้ตัองกินคนเดียวเท่านั้น ไม่อยากแย่งใคร" มันพูดไปเรื่อยๆและไม่หยุดกิน ส่วนผมได้แต่มองมันกิน ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องน้อยนิดระหว่างผมกับคิว

แปลกมั้ยครับ อยู่ดีๆทำไมผมมานั่งกินข้าวตรงนี้กับมันได้ทั้งที่(คิดว่า)ไม่สนิทกัน มันเป็นแค่เพื่อนสนิทของเพื่อนกลุ่มผมที่คณะ ถ้ามันหิว ไอ้อินก็ว่างทำไมมันไม่ชวนมากินด้วย ชวนผมทำไม หรือมันรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน จริงๆแล้วผมยังไม่พร้อมเจอหน้ามัน ไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่รู้จะทำหน้ายังไงความสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนด์ระหว่างผมกับมันที่ดูผิดที่ผิดทาง ผมยังไม่พร้อมจะตั้งรับ แต่คิวกลับรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี กล้าเดินเข้ามาหาผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ผมพูดกับมัน สนุกด้วยกันแล้วจบไป การเจอหน้ากันระหว่างเราสองคนไม่เคยง่ายดายเหมือนวันนี้มาก่อน

"คิว ถ้ามึงกำลังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นคืนก่อน กูขอย้ำให้เข้าใจอีกทีว่ากูไม่ได้ติดใจอะไร กูก็ผิดที่เมาไม่รู้เรื่องจนเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น ปล่อยมันผ่านไปเหอะ กูยอมรับว่าตั้งใจหลบหน้ามึงจริงๆ แต่มาคิดดูแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องหลบมึง ยังไงซะกูกับมึงก็รู้จักกันแค่เพื่อนของเพื่อนอยู่แล้ว นับจากนี้ ถือว่ากูขอ กลับไปเป็นเหมือนเดิมเหอะ เคยทักกันยังไงก็ทำแบบนั้นแหละ ไม่ต้องทำว่าเรารู้จักสนิทสนมเหมือนที่มึงทำตอนนี้หรอก กูว่าเรื่องมันจะไม่จบซะเปล่าๆ มันคงแปลกถ้าจะมาสนิทกันด้วยเรื่องที่เรานอนด้วยกันแค่คืนเดียว ไม่งั้นป่านนี้คนอย่างมึงคงต้องสนิทกับคนหลายสิบด้วยเรื่องนี้ กูไปทำงานล่ะ ยังไงก็ขอบใจมาก" ผมว่าผมเห็นแววตาไหววูบนิดนึงของคิวเมื่อผมพูดเรื่องความสนิทเกิดจากนอนด้วยกัน มันอาจจะโกรธที่ผมเอาความจริงของคนหล่อที่มักเจ้าชู้แบบมันมาพูด ผมลุกจากโต๊ะ เพื่อเดินออกจากร้าน ข้อมือผมถูกรั้งเอาไว้ตอนเดินผ่านมัน

"บ๊วยควรฟังผมพูดบ้าง" ผมมีสิทธ์เลือกจะไม่ฟังใช่มั้ยครับ ผมเลือกดึงมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของคิว เดินออกจากร้านไป

ความรู้สึกผมแปลกออกไป จากตอนพูดในร้านผมมั่นใจว่าคิดถูกแล้ว แต่เมื่อมาอยู่หน้าร้าน ผมกลับปั่นป่วนกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ที่ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

ความรักเกิดขึ้นในคืนเดียวได้มั้ยครับ ในแว่บหนึ่งของความคิด ผมก็นึกอยากรู้....


=
ฝากพี่บ๊วยไว้ในอ้อมใจด้วยค่า
=

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ท่าทางหมอคิวจะชอบบ๊วยอยู่ก่อนแล้ว

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หมอคิวแสนสุภาพ ในขณะที่น้องบ๊วยน้าน..นนนนนน  (กรุณานึกถึงเสียงพี่พุดเดิล)   :t2: :t2: :t2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดว่าหมอคิว ต้องชอบบ๊วยมาก่อนแล้ว  :L2:
อยากอ่านพาร์ทหมอคิว  :ling1:

นี่ขนาดบ๊วยไม่หล่อ เตี้ย ทำม้ายไอซ์ดาวบัญชีตามติดไม่เลิก
แต่ดีนะ ที่บ๊วยรู้ตัวตนตัวเองว่า จบไม่สวย เลยไม่อะไรๆกับไอซ์
แล้วไม่รู้สึกชอบด้วย บ๊วย แมนมาก  :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
[เรื่องสั้น] วันของบ๊วย - all at once -
ตอนที่ 2

'อะไรที่เป็นของเรา ไม่ว่าผ่านไปแค่ไหน มันจะกลับมาเป็นของเรา'


ไอ้บ๊วย!!! มึงควรไปล้างซวย

ผมกำลังบอกตัวเอง หลังจากเดินคอตกออกจากคลาสเช้่าที่อาจารย์เพิ่งปล่อยพักเที่ยง ผมคงไปเหยียบอะไรเข้าแน่ๆ ช่วงนี้ถึงซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนี้ เอานิ้วมือนับรวมนิ้วเท้าแล้วอาจจะยังไม่พอเรื่องร้ายๆที่เข้ามา ล่าสุดที่คิดว่าซวยชิบหาย อาจารย์อิงคทัต เพิ่งสั่งงานเพื่อเป็นคะแนนชิ้นสุดท้ายปลายเทอมในวิชาทฤษฎีศิลป์ วิธีการสั่งงานไม่เหมือนใครของอาจารย์เลื่องลือมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากสั่งงานแต่ละคนจะไม่เหมือนกันแล้ว ว่ากันว่าพี่แกมีญาณทิพย์มองทะลุว่าใครอ่อนงานประเภทไหน และในที่สุดมันจะกลายมาเป็นโปรเจ็คปลายภาคของแต่ละคน แม้แต่นักศึกษาที่ได้ชื่อว่าเกิดมาเพื่อเป็นศิลปินทำได้ทุกอย่างยังแทบอ้วกกับงานที่ได้ เรียกว่าปราบเซียนมานักต่อนัก ขนาดคนที่เก่งยังเอาตัวไม่รอด ไอ้บ๊วยคนนี้ ผู้มีจุดอ่อนรูใหญ่เท่าแบลคโฮลไม่มีทางรอดญาณของอาจารย์อิงค์ได้ แน่นอน...

"เฮ้ย ไอ้ลูกหมา อย่าคิดมากน่า ฝีมือมึงไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย ก็แค่ชอบวาดผิดสัดส่วน อ้วนเป็นผอม จมูกโด่งวาดให้แฟ่บ แขนขาไม่เท่ากันเท่านั้นเอง เครียดไรมากวะ ฮ่าๆๆ" ไอ้ห่าข้าวฟ่าง ผมหันไปเขวี้ยงค้อนและเบ้ปากให้เพื่อนที่เพิ่งพูดจบ ใช่สิ ข้าวฟ่างมันโชคดีครับไม่รู้ทำอีท่าไหน อาจารย์อิงค์แม่งโคตรโปรดปรานไอ้ตี๋นี่ มันได้งานสีน้ำมันในสเกลยิ่งใหญ่ ถึงจะไม่ถนัดสีน้ำมันที่สุด แต่ยังทำได้ค่อนข้างดี จะลำบากคงแค่สเกลงานที่ใหญ่เท่าฝาผนังหอประชุมคณะ เดือนหน้านอนคณะคนเดียวไปเลยมึง

"มึงก็อย่าไปแกล้งบ๊วยมันดิวะ แค่นี้มันแทบจะคลั่งตายแล้ว ไม่เป็นไรนะเว่ย หึ หึ" ฟังแล้วซึ้งใจครับ ถ้าไม่รู้จักกันมาเป็นปีที่สาม น้ำตาคงไหลกับคำปลอบใจของไอ้อินอยู่หรอก อย่าสนใจคำสวยงาม มันคือน้ำผึ้งอาบยาพิษ มันปลอมสร้างภาพหล่อแม้กระทั่งกับเพื่อน

"เออ พูดได้ดิพวกมึง ยิ่งมึงนะอิน อาจารย์แม่งลำเอียง ให้งานปั้นมึง ควายยยยย รู้ทั้งรู้ว่ามึงถนัดปั้นชิบหาย โดยเฉพาะปั้นน้ำเป็นตัวนะมึง A ลอยมาตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำเลย มึงแขวนพระไรวะ ‘จารย์อิงค์ถึงมองไม่เห็นจุดอ่อนของมึง สัส โอ๊ยยยย ทำไมกูซวยอย่างนี้วะ" ผมรู้ดีถึงโวยวายไปก็ไม่ใช่ทางออก แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วครับ ขยี้หัวตั้งแต่ได้รับโจทย์จนตอนนี้ผมที่จัดทรงมาเมื่อเช้า แทบไม่เหลือเค้าเดิมอยู่อีกแล้ว

ผมเรียนศิลปกรรมครับ แต่เกลียดการวาด Portrait หรือภาพเหมือนบุคคลมาก อนาโตมีห่าเหวอะไร ไม่เคยเข้าใจ ตอนเรียนชีวะสมัยมัธยมเสือกไม่เคยสนใจคิดว่าคงไม่มีผลอะไรกับการเรียนศิลปะ ไบเซพ ไตรเซพ จะจำไปเพื่ออะไรรู้ซึ้งตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง ถ้าไม่ได้อินกับข้าวฟ่างช่วยผมคงเอาชีวิตไม่รอด โดนรีไทร์ไปทำสวนยางของย่าที่ภาคใต้นู่นแล้ว อาการเลวร้ายขนาดอาจารย์เรียกไปเทศน์นอกรอบหลังจากส่งงาน ไม่เคยเข้าใจตัวเองเหมือนกันครับ ทำไมไม่เคยวาดให้มันได้อย่างตาเห็นสักที มือมันยอมไปอย่างที่ใจอยากให้มันไป ทั้งๆที่พอให้วาดภาพล้อ การ์ตูน หรือภาพคนที่ไม่ใช่ภาพเหมือนกลับทำได้ดี เคยหารายได้จากงานเขียนการ์ตูนและภาพประกอบอยู่หลายต่อหลายที ปัญหาอยู่ตรงไหน ผมไม่เคยหาคำตอบได้ ยิ่งทำยิ่งห่วย พวกชอบหนีปัญหาอย่างผมเลยขยาดไม่จับงานแบบนี้อีก บอกทุกครั้งเมื่อมีคนบอกให้วาดว่ามันไม่ใช่ทาง...อยากได้ภาพเหมือนก็ไปถ่ายรูปเอาแล้วกัน ไม่ใช่แค่วาดหรอกครับ ผมมีปัญหากับร่างกายมนุษย์ วิชาถ่ายภาพในหัวข้อ Portrait ภาพออกมาเลวร้ายจนอาจารย์ไม่เชื่อว่าผมถ่ายเอง ผมเป็นที่รักของอาจารย์วิชาถ่ายภาพแทบทุกคน เรียกใช้กันคล่องปากเหลือเกิน แต่ถ้าเรื่องถ่ายรูปคน บายครับ ไม่ได้จริงๆ ถ่ายคนหล่อออกมาเป็นเอ๊ดดี้ ผีน่ารัก ผมทำมาแล้ว เชื่อเถอะว่าคนหล่อไม่ได้เก่งไปทุกอย่างครับ (ถุย) มาถึงหัวข้อที่ผมได้รับเมื่อเช้านี้ 'คอลเลคชั่นภาพวาดคนหนึ่งคน ในอารมณ์และท่าทางหลากหลายมากกว่า 50 ภาพ' คำเดียวสำหรับวันนี้ เหี้ยครับ ชีวิตมันเหี้ยจริงๆ แค่รูปเดียวผมยังจะตาย 50 รูป อารมณ์ต่างกัน สีหน้าต่างกัน ท่าทางต่างกัน คนเรามันจะมีสีหน้ากี่แบบกันวะครับ 50 นี่ต้องนับรวมหน้าตาตอนปวดขี้ เบ่งขี้ ขี้ไม่ออกได้ด้วยมั้ย เฮ่อ…ฟ้าผ่าตอนฝนไม่ตกเป็นยังไงผมเพิ่งเข้าใจเมื่อเช้านี้

"ใจเย็นๆ มึง ฝีมือมึงไม่ได้ห่วยขนาดนั้น แค่มีงไม่ชอบ ทำได้แหละ แค่ตั้งใจอีกหน่อย ไปให้สุดของมึงนั่นแหละ ได้ไม่ครบจารย์อิงค์ก็ไม่ว่าอะไรหรอก เค้าดูผลงานมากกว่า" อินใช้มือตบหลังคอผมสองสามที รู้ได้จริงๆว่ามันกำลังปลอบให้ผมไม่คิดมากกับงานหัวข้อที่ได้รับมา

"กูจะทำยังไงดีวะอิน มึงช่วยกูไม่ได้แล้วด้วย รอบนี้มึงก็เจอหนักชิบหายถึงจะเป็นงานที่ถนัดแต่จำนวนชิ้นแม่งอย่างกับจะทำแจกคนทั้งประเทศให้ครบทุกครัวเรือน โอยยยย กูไม่รอดแน่ ถ้ายังไงพวกมึงจบไปก่อนเลยนะปีหน้า เดี๋ยวก็รอจบพร้อมไอ้เคน น้องรหัสกูก็ได้ ฮึ้ยยยยยย" ถ้าอินไม่มีงาน ผมมั่นใจว่ามันช่วยผมได้แน่ อย่างน้อยช่วยร่าง หรือเป็นแบบเหมือนตอนปีหนึ่งที่เรียนพื้นฐานจิตรกรรมด้วยกัน แต่คราวนี้มันโดนสั่งปั้นภาชนะสำหรับภัตตาคารในโรงแรมห้าดาว กว่าจะหาข้อมูล ร่างแบบ ปั้น เข้าอบ เจอหน้ายังยาก จะหวังให้มันมาช่วยความเป็นไปได้เป็นศูนย์ เออ แล้วที่สำคัญ ใครจะมาเป็นแบบให้กูวะเนี่ย โอ๊ยยยยยยย คนหล่ออยากจะบ้าตาย

"มึง…เรื่องแบบอีก ใครมันจะยอมเป็นแบบให้กูวาดวะตั้ง 50 รูป เสียเวลาชิบหาย ต้องมาปั้นหน้าวางท่าทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆอีก ถ้าจะเอา 50 รูป อย่างน้อยๆคงต้องวาดสัก 500 กูไม่รอดแน่แล้วว่ะงานนี้" จิกกบาลตัวเอง ขยี้จนผมจะหลุดมาหมดหัวแล้วครับ เริ่มบอกตัวเองว่าปลงเถอะ ความหวังริบหรี่มาก เพื่อนพี่น้องในคณะถ้าจะให้พวกมันมาช่วยงานตอนนี้ ฝันเอายังจะง่ายเสียกว่า โปรเจ็คปลายเทอมโหดร้ายกันทุกชั้นปี อย่าเรียกว่าไม่มีน้ำใจ เรียกว่าทุกคนเอาตัวให้รอดก่อนดีที่สุด

"บ๊วย เลทข้อมือมึงไปไหนวะ" ผมเงยหน้ามองข้าวฟ่าง กับคำถามที่ไม่เกี่ยวอะไรกับที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย นี่มันฟังเรื่องเครียดของผมอยู่หรือเปล่าวะ แต่ผมก็ยังก้มมองข้อมือที่ว่างเปล่าของตัวเอง แล้วส่ายหน้า

"ไม่รู้ว่ะ กูเพิ่งรู้ว่ามันหายไปหลังจากที่ไปกินเหล้าอาทิตย์ก่อนนู้น ที่กลับไปกับหมอเพื่อนไอ้อิน หาแล้วแต่ไม่เจอ คงหล่นหายที่ไหนสักที่แหละ คืนนั้นเมาไม่รู้เรื่องด้วย มีแต่เรื่องซวยๆว่ะพักนี้" แล้วตั้งแต่คืนที่เมาแม่งความซวยก็กระหน่ำเป็นพายุใส่ผมเลย

"ของลางมึงเลยนี่หว่า ไม่เคยเห็นมึงถอด มิน่าช่วงนี้มึงถึงซวยหนัก ไอ้หมาเอ๊ยยยยย" ผมจับข้อมือว่าเปล่าที่เคยมีเลทเงินใส่อยู่ เครื่องประดับชิ้นเดียวใส่ติดตัวไม่เคยถอดตั้งแต่ได้มา ของที่ระลึกจากบัดดี้เมื่องานรับน้องตอนปีหนึ่งเพื่อสานสัมพันธ์เด็กใหม่ให้ได้รู้จักเพื่อนต่างคณะ ผมคงเป็นคนเดียวในชั้นปีที่ไม่รู้ว่าใครเป็นบัดดี้ตัวเอง เมื่อถึงเวลาเฉลยมีเพียงถุงกระดาษใบเล็กเป็นของขวัญจากคนที่ไม่ได้เป็นบัดดี้ พร้อมบอกว่าบัดดี้ของผมมีภารกิจบางอย่างทำให้อยู่เฉลยบัดดี้ไม่ได้ ผมจำหน้าคนเอามาให้แทบไม่ได้ด้วยซ้ำ มัวแต่เสียดายไม่ได้เจอบัดดี้ที่คอยเทคแคร์กันมาทั้งอาทิตย์ ยื่นของขวัญของตัวเองให้ฝ่ายฝากไปให้บัดดี้แล้วเดินกลับมานั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ พอเปิดออกดูเป็นเลทเงินสำหรับผู้ชาย พร้อมข้อความในกระดาษใบเล็ก ผมไม่ใส่เครื่องประดับ แม้แต่นาฬิกา แต่ผมแกะของขวัญในถุงกระดาษและใส่ที่ข้อมือตัวเองติดตัวมาตั้งแต่คืน นั้น...หรือความโชคดีของผมจะหายไปกับเลทเงินเส้นนั้นเหมือนที่บัดดี้เขียน ไว้

ผมไม่เคยคิดตามหาบัดดี้คนนั้น หลังจากคืนรับน้องของมหาวิทยาลัยจบไป ปริศนาที่ไม่ได้รับการเฉลย กลายเป็นความลับที่โดนละเลย แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยรู้ ตอนใส่มันครั้งแรกคิดว่า ถ้าใส่ไว้คนให้อาจจะเข้ามาทักผมในสักวัน เหมือนเป็นสัญลักษณ์บอกให้รู้ว่า 'เฮ้! เรางัยที่เป็นบัดดี้ของนาย' ความคิดเด็กๆ เมื่อตอนนั้นหายไปตั้งแต่หมดเทอมแรกของชั้นปีที่1 ผมเลิกสนใจเรื่องนี้ แต่ไม่คิดจะเอาเลทเส้นนั้นออกจากข้อมือ อาจเพราะใส่จนชินกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว เชื่ออยู่ลึกๆว่ามันคือเครื่องนำโชคของตัวเอง เพื่อนทุกคนรู้ว่ามันเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวในร่างกายของผมและเห็นจนชินตา แต่เอาเถอะ ไหนๆก็หายไปแล้ว ต่อไปนี้ผมคงต้องรับกรรมแต่เพียงผู้เดียว ในฐานะไม่รู้จักรักษาของให้ดี เคยเดาว่าคิวคงเก็บได้คืนที่ไปนอนกับมัน แต่หลังจากวันนั้นที่ผมพูดจาไม่ดีไปมันก็หายไปเลย สงสัยของที่มันจะเอามาคืนคงไม่ใช่เลทเงินอย่างที่หวัง

"บ๊วย" กำลังเหม่ออยู่ดีๆ อินก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเครียด จนต้องยักคิ้วตอบมัน หน้าตาบ่งบอกครับว่าตอนนี้อย่าเพิ่งกวนตีน

"กูว่ากูหาคนช่วยงานมึงได้ละ กูจะนัดให้ แล้วมึงไปคุยกับเค้าเอง" ห๊ะ! คนช่วยกูมันหาง่ายยิ่งกว่าไปหาซื้อมาม่าคัพในเซเว่นอีกหรอวะ แค่เหม่อแป๊บเดียวมันถึงหาคนช่วยงานได้เร็วขนาดนี้

"ใครวะมึง บอกก่อนนะเว่ย กูไม่มีเงินจ่าย" อุทาหรณ์สำหรับเด็กๆ ที่อยากเรียนศิลปะนะครับ เงินค่าขนมมีเท่าไหร่อย่าคิดว่าจะได้เอาไปซื้อไอเท่มในเกม แค่จ่ายค่าผ้าใบ ค่ากระดาษ สีสารพัดสี อุปกรณ์ทำงานแต่ละเดือนไม่เหลือพอ แทบจะแดกของพวกนี้แทนข้าวแล้วครับ จนกรอบอย่างกับอะไรดี ให้มาจ้างคนมาเป็นแบบนี่อย่าหวังได้กินเงินบ๊วย ส่องกระจกวาดตัวเองน่าจะดีที่สุด

"ไอ้ลูกหมา ทีเสียเงินแดกเหล้าเปิดเรด เปิดแบลคนี่มีปัญญานะมึง พอให้เสียเงินเพื่อการศึกษาปากเปราะบอกไม่มีเชียวนะมึง" แน่สิครับ กินเหล้าเคล้านารีเป็นความสุขที่ได้ผลทันที ทั้งสดชื่นและสบายตัว ลงทุนกับค่าอุปกรณ์ศิลปะเมื่อไหร่จะได้คืนยังไม่เห็นวี่แวว แถมต้องเหนื่อยหลังขดหลังแข็งเบิกพระเนตรอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน

"หยุดเทศน์ครับ พี่ศศินทร์สุดหล่อ กูต้องทำยังไงครับ ตอนนี้ผมมีแต่พี่ที่ช่วยผมได้ ให้ทำอะไรผมก็ยอมครับ" เพื่อนอินพูดไรเราต้องฟังครับ เทคนิคเอาตัวรอดเป็นอีกหนึ่งหลักสูตรที่เด็กศิลปกรรมควรมีไว้ประจำกายนอกจากวิชาปากหมาศาสตร์นะครับ

"เออ กูจัดการให้ พร้อมเมื่อไหร่มึงค่อยติดต่อเค้าไปละกัน แดกข้าวเหอะ พี่เบียร์ตามแล้ว ไปๆมึง เชื่อกูช่วยมึงให้รอดได้เหมือนทุกทีนั่นแหละ กราบกูเช้าเย็นช่วยได้นะลูกหมานะ" พูดจบมันก็ล็อคคอลากไปหาแฟนมันที่โรงอาหาร อย่างที่บอกครับ อินรักผมมากกกกกกกก ไม่ว่าอะไรมันก็ช่วยผมได้ เรียนรอดมาทุกวันนี้ได้มันนี่แหละครับ พูดแล้วน้ำตาคลอต้องเงยหน้าสูงเข้าไว้สำนึกบุญคุณท่วมหัว นี่ถ้าไม่ติดว่ามันมีผัวเป็นพี่รหัส ผมจับมันทำเมียไปแล้วนะครับ ประเสริฐขนาดนี้ไม่ปล่อยให้หลุดมือ ฮ่าๆๆๆ

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

((ติดต่อ คนที่จะช่วยมึงให้เรียบร้อยแล้ว มันโอเค เดี๋ยวกูส่งเบอร์ไปให้ ลองโทรคุยอีกทีละกัน จะนัดกันยังไง สะดวกวันไหนลองถามมันดู)) มัน? ทำไมไอ้อินถึงขึ้นสรรพนามคนแสนดีที่จะมาช่วยผมด้วยคำว่า ‘มัน’ แบบนี้ล่ะไม่ดีเลย มีน้ำใจขนาดนี้ต้องเรียกคุณสิครับ

"คุณเค้าชื่ออะไรวะ โทรไปจะได้เรียกถูก" โทรไปหาใครไม่รู้จัก ไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามจะหาว่าบ๊วยไม่มีมารยาท

((ตอนโทรไปบอกแค่ชื่อมึงพอ มันรู้ กูบอกชื่อมึงไปแล้ว เดี๋ยวเจอกันค่อยแนะนำตัวอีกที มันเก่งมากนะ ช่วยมึงได้ทั้งเป็นแบบแล้วก็เรื่องเทคนิควาดพอร์ตเทรต ฝีมือมันไม่ย่อย)) ผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันรู้จักคนจะมาช่วยผมจริงๆหรือเปล่าวะ ไม่ใช่หยิบมาจากสต๊อกคนงานที่โรงงานขนมปังของที่บ้านแล้วบังคับเอามาทำงานให้หรอกนะ แต่มันบอกว่ามีฝีมือ ใครวะ ทำไมมันรู้จักคนเก่งไม่เคยแนะนำให้รู้จัก

"เออๆ ยังไงก็ขอบใจมากนะเว่ยมึง แล้วไว้จะเลี้ยงเหล้า" เลี้ยงมัน ก็ได้กินด้วย พูดแล้วเปรี้ยวปากจริงๆ

((เก็บเงินไว้เลี้ยงคนที่จะมาช่วยมึงเถอะ แค่นี้นะ ทำงานด้วยล่ะมึง)) ครับพ่อ~~ วางสายจากอิน มีเสียงข้อความเตือนแมสเสจเข้ากดเปิดดูว่ามาจากไอ้คนที่เพิ่งวางสายไป มันส่งเบอร์คนใจดีที่จะช่วยผมมาให้วันเสาร์เย็นๆ คงโทรหาได้ไม่รบกวนหรอกมั้งครับ ผมกดโทรหาคนที่อินหามาให้ในทันที เพื่อไม่ให้งานล่าช้าไปอีก

"สวัสดีครับ เอ่อ บ๊วยนะครับ" ผมรอสายไม่นานปลายสายก็รับ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดจนต้องเป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน

((ครับ ทราบครับ)) อ่าว ผู้ชายหรอวะ อุตส่าห์ฝันหวานว่าจะได้วาดสาวสวยอกโต ให้ชุ่มชื่นหัวใจ อยู่ด้วยกันสองต่อสองสานสัมพันธ์รักยาวนานสักหน่อย ช่างแม่งวะ ดีกว่าไม่มีงานส่ง

"เอ่อ...อินบอกว่าคุณจะมาช่วยผม เรื่องวาดรูป เอ่อ..สะดวกคุยตอนนี้มั้ยครับ" จริงๆผมเป็นคนสุภาพนะครับ พ่อแม่ปู่ย่าสอนมาอย่างดี ขี้เกรงใจเป็นที่หนึ่ง การจะไปขอร้องให้ใครมาช่วยงาน เป็นเรื่องที่ผมลำบากใจมาก ยิ่งนี่เป็นคนไม่รู้จักยิ่งเข้าไปอีก

((ครับ บ๊วย พอดีตอนนี้ผมไม่สะดวกคุยโทรศัพท์เท่าไหร่ เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ช่วงสายว่างมั้ยครับ บ๊วยมาที่ห้องผม เอาอุปกรณ์มาเลยก็ได้นะครับถ้าไม่ลำบาก หรือจะมาใช้ของผมก็ได้ ไม่มีปัญหา)) คนห่าไรวะ โคตรใจดี ไม่รู้จักกันยังมีน้ำใจจะช่วยกันแถมอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์ได้อีก เทวดาของบ๊วย

"ได้ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ เอ้อๆ คุณครับ แล้วไม่ทราบว่าคุณพักอยู่แถวไหนครับ" บอกแล้วครับว่าเป็นคนขี้เกรงใจ คนหยิบยื่นน้ำใจมาให้เราต้องรีบน้อมรับไม่งั้นเค้าจะเสียน้ำใจมันไม่ดีครับ แฮ่

((เดี๋ยวผมส่งแผนที่ให้นะครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ)) นายแบบของผมวางสายไปแล้วครับ อีกแป๊บเดียวมี MMS  แจ้งเตือนในมือถือ ผมคิดว่าเขาจะส่งมาทางไลน์ กลับเป็นMMS สมัยนี้ยังมีคนใช้อยู่อีกด้วยครับ ผมศึกษาแผนที่ดูแล้วว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก เป็นทางระหว่างไปมหาวิทยาลัยด้วย ผมรีบเตรียมของจำเป็นสำหรับการวาดรูปทั้งหมดให้เรียบร้อย ถึงเจ้าของบ้านจะยินดีให้ใช้อุปกรณ์ได้ อย่างที่บอกครับพ่อแม่สอนมาดี ความเกรงใจต้องมาก่อน อุตส่าห์ช่วยแล้วไม่ควรรบกวนมากไปกว่านี้ เหมือนว่าโชคของผมกำลังจะกลับมาแล้วมั้งครับ ต้องยกความดีความชอบให้ไอ้อินครับงานนี้ ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆเพื่อนคนนี้

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

(มีต่อ)


ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สิบโมงสิบห้า ผมมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ตามแผนที่ที่ได้มา เมื่อวานตอนคุยกันอีกฝ่ายบอกว่าเจอกันตอนสายๆ ดันลืมถามเวลาแน่ชัด คิดว่าตอนนี้น่าจะกำลังดีไม่เช้าหรือสายจนเกินไป ตึกตรงหน้าคุ้นตามากแต่นึกไม่ออกว่าเคยมาทำอะไรแถวนี้ ถึงจะเป็นทางผ่านจากบ้านผมไปมหาวิทยาลัยแต่คนอย่างผมไม่เคยสังเกตหรอกครับ

"สวัสดีครับ บ๊วยนะครับ ตอนนี้อยู่หน้าอพาร์ทเมนท์แล้ว สะดวกให้ผมเข้าไปตอนนี้มั้ยครับ" กดโทรศัพท์หาเจ้าของห้องที่มาหาถามพอเป็นมารยาท ถึงจะรู้ชั้นและเลขห้องแล้วก็เถอะ

((ขึ้นมาได้เลยครับ ผมแจ้งคนดูแลไว้แล้ว ชั้น 8 ห้อง 8014 นะครับ)) ครับ พยักหน้าไปทำไมไม่รู้เหมือนกันครับ ยังไงปลายสายก็ไม่เห็นผมตอบรับด้วยอวรรจนภาษานี้อยู่ดี ผมสูดหายใจลึกก่อนเดินเข้าในตึกบอกชั้นและห้องกับพนักงานดูแลอาคารก่อนขึ้นลิฟท์ไป

ติ๊ง ต่อง

"บ๊วยครับ" ผมกดเครื่องตอบรับหน้าห้องพร้อมบอกชื่อตัวเองมองเข้าไปที่กล้องให้คนด้านในได้เห็นหน้าชัดเจน

"ครับ" ได้ยินเสียงตอบมาจากเครื่องตอบรับหน้าประตูห้องก่อนประตูจะเปิดออกมา นั่นทำให้ผมตกใจมาก ไอ้ห่าอิน มึงเอาคำขอบคุณความซาบซึ้งใจทั้งหลายทั้งปวงที่กูพร่ำบอกมึงคืนมา ไอ้เพื่อนสารเลว!

"มึง...ทำไม เป็นมึง" ภาวนาขอให้คนตรงหน้าคงไม่ใช่คนที่ไอ้อินมันบอกว่าจะมาเป็นแบบให้ผม แล้วก็ช่วยผมในเรื่องวาดรูปหรอกนะ มันอาจจะให้เบอร์ผิด

"บ๊วยเข้ามาก่อน ไม่ได้มาผิดห้องหรอก" มันรู้ความคิดผมได้ยังไงครับ ไอ้อินมึงหาเรื่องให้กูแล้วงัย! ผมว่าอยู่แล้ว...ตอนได้ยินเสียงครั้งแรกในโทรศัพท์คิดอยู่ว่าเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เมื่อเช้าตอนยืนอยู่หน้าตึกยิ่งคุ้นหนักเข้าไปใหญ่ ตอนนี้หมดข้อสงสัยแล้วครับ ห้องนี้ผมเพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนู้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ห้องของคิว และคนที่เปิดประตูตรงนี้ก็คือคิว ไม่ผิดคนแน่ๆ

"ไม่เป็นไรดีกว่าว่ะ กูไม่รบกวนมึงแล้วกัน ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา" ถีงงานจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้ยุ่งกับมันอีก ผมยังไม่พร้อม ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกันไปอย่างที่เคยพูดไว้กับมันเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่น แหละครับ จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ผมไม่เอาทั้งนั้น

"เดี๋ยวฟังก่อน ผมไม่ได้จะหลอกอะไรบ๊วยเลย ผมตั้งใจช่วยงานจริง เข้ามาคุยกันก่อนเถอะ แค่เรื่องงานก็ได้ อย่างน้อยก็เพื่อตัวบ๊วยเองนะ" มันจับมือผมไว้ทันในจังหวะที่ผมหันหลังกลับและจะออกเดินไปยังลิฟท์ที่เพิ่ง อาศัยขึ้นมายังห้องนี้ เล่นทำเอาผมชะงักกับสิ่งที่มันพูดออกมา ฟังมันสักหน่อยก่อนคงไม่เป็นไร อย่างน้อยอินมันคงไม่แนะนำในเรื่องไม่ดีให้แน่ๆ ผมสะบัดแขนมันออกก่อนเดินเข้าไปในห้อง ห้องที่ผมเคยมาเพียงหนึ่งครั้ง แต่ดันจำเรื่องราวกับเจ้าของห้องได้ดี ยกเว้นเลขห้องมันนะครับ

"น้ำครับ" เจ้าของห้องมันยังเอาน้ำมาเสิร์ฟโดยไม่ต้องร้องขอ แล้วย้ายตัวยักษ์ของมันมานั่งโซฟาอีกตัวข้างๆ

"อินบอกว่าบ๊วยอยากได้แบบวาด Portrait ผมเองก็วาดรูปเป็นงานอดิเรก อินมันเลยเห็นว่าน่าจะช่วยได้ ผมยินดีเป็นแบบให้ได้บ๊วยวาด อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องเสียเวลาหาคนอื่น" คิวมันพูดเรื่องที่อินบอกมันมาครับ รวมถึงหัวข้องานของผมที่ได้รับมอบหมายมา ถ้าถามผม ผมว่าคนตรงหน้าเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนคนได้ดีอยู่แล้ว หน้าหล่อของมัน ตากลมโต จมูกเป็นสัน แขนขาสมส่วน ร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่ามันเป็นแบบที่ดี...ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นมากกว่าการเป็นคนรู้จักของเพื่อนอีกที เคยเจอหน้าในมหาวิทยาลัยหรือแก๊งก๊งเหล้าทั่วไป ผมคงตอบรับความช่วยเหลือของไอ้หมอด้วยความยินดีและน้อมรับความมีน้ำใจของมัน อย่างไม่อิดออด หากตอนนี้ระหว่างมันกับผมไม่ใช่แค่นั้น ความสัมพันธ์ข้ามคืนทำให้ผมกระอักกระอ่วนในยื่นมือมาช่วยของคิว ไหนจะความรู้สึกแปลกๆของตัวเองในสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอีก ผมควบคุมความคิดตัวเองช่วงนี้ในการนึกถึงคนตรงหน้าได้ยากเหลือเกิน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม คิดหาคำตอบจนเหนื่อยและเลิกไป...

"ผมเต็มใจช่วย จริงๆ ถ้าคิดว่าผมทำเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องเกิดขึ้นระหว่างเรานั่น เลิกคิดไปได้เลย ถ้าบ๊วยไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นอย่างที่พูด อย่างน้อยเราสองคนน่าจะเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกันได้ไม่ใช่หรอ" เพื่อนหรอ?...ผมกับคิวเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วหรือเปล่า? เพื่อนของเพื่อนเรียกว่าเป็นเพื่อนกันด้วยหรือเปล่าครับ

"ที่บ๊วยพูดคราวก่อน ผมเข้าใจ แต่ถ้าบ๊วยยังคงเป็นเพื่อนกับอินอยู่ ยังไงเราสองคนก็ต้องวนเวียนมาเจอกันอยู่ดี งั้นก็คิดซะว่าเพื่อนช่วยเพื่อนแล้วกัน คราวหน้าถ้าผมต้องการความช่วยเหลือ จะได้รบกวนบ๊วยบ้าง" จริงอย่างที่คิวพูด ผมมีทางเลือกไม่มาก ถ้ายังคบอินอยู่ยังไงซะต้องเจอไอ้หมอนี่อยู่ดี นอกเสียจากจะเลิกคบมันตั้งแต่วันนี้โทษฐานแนะนำติวเตอร์และนายแบบได้ไม่ถูกใจ

"กูกลับก่อนแล้วกัน" หลังจากคิวมันพูดจบ ผมกับมันอยู่ในภาวะเดดแอร์อีกสักพักก่อนจะรู้สึกว่าการอยู่ในห้องนี้ต่อไปคงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ขอเวลาตั้งหลักไปคิดอีกทีก่อนแล้วกัน ถ้าหาทางออกอื่นได้ จะได้ไม่ต้องช่วยเหลือกันให้เป็นบุญคุณกันอีก

คิวไม่ได้เดินตามมารั้งผมอีกเป็นครั้งที่ 2 มันปล่อยให้ผมเปิดประตูออกจากห้องเดินมาถึงลิฟท์และลงมาที่ชั้นล่างอย่างเป็นอิสระ ยอมรับแบบลูกผู้ชายเลยครับ ผมหวังให้มันรั้งผมอีกสักครั้ง แสดงความตั้งใจในการช่วยเหลือผมให้มากกว่านี้ แต่ลืมไปครับ ผมต่างหากมาขอความช่วยเหลือจากมันมีเหตุผลอะไรจะต้องมาตื๊อผมให้ลำบากมัน เฮ่อ

"ไอ้อิน! ทำไมมึงไม่บอกว่าคนที่หามาให้กู คือไอ้หมอเพื่อนมึง ถ้ารู้ว่าเป็นมันกูจะได้ไม่...ฮึ่ย" ผมถ่อมาหาอินถึงบ้าน ด้วยความอึดอัดคับข้องใจเหลือเกินกับเรื่องที่เพิ่งเผชิญมา ทักทายแม่เสร็จก็พรวดพราดเข้าห้องไปเท้าเอวด่ามัน

"ทำไมคิวมันเป็นอะไร มันเก่งนะมึง เทียบกันกับกู กูว่าคิววาดรูปเก่งกว่ากูอีก แต่มันเลือกศิลปะเป็นงานอดิเรก ส่วนหมอเป็นอาชีพที่อยากทำ ตอนสอบเข้าเข้ามหา'ลัย กูได้มันนี่แหละช่วยดูงานให้" อินดูไม่ตื่นเต้นกับความโมโหของผมสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเดาได้อยู่แล้วว่าผมต้องมาโวยวายใส่มันในเรื่องนี้

"มึงมาดูนี่มา ทั้งหมดนี่คืองานของคิวกับกู มึงดูแล้วคงรู้ว่างานไหนของกู นอกนั้นของมันทั้งหมด" อินเปิดหน้าเว็บบลอกของใครสักคนมีไว้เพื่อโชว์ผลงานภาพวาด ผมเดินเข้าไปใกล้คอมพิวเตอร์ อินเลยลุกขึ้นยืนให้ผมนั่งบนเก้าอี้แทนมัน ดูแว้บเดียวก็รู้แล้วครับว่าผลงานแต่ละชิ้นที่อยู่ตรงหน้าเรียกว่าฝีมือไม่ธรรมดา ถ้าจะขายคงมีหลายคนอยากได้ อยู่กับอินมาสามปี ผมรู้สไตล์งานมันดี ถึงไม่โหดและนามธรรมเท่างานผม แต่งานมันไม่นุ่มนวล พริ้วไหวเหมือนกับงานตรงหน้านี่ ยิ่งเลื่อนดูเรื่อยๆ ผมยิ่งรู้สึกหลงใหลในงานตรงหน้าขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะงาน Portrait ถึงมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกชิ้นถือเป็นงานเด่นทีเดียว ผมนึกออกอย่างหนึ่งครับ...รูปโปรไฟล์ในเฟซบุคของคิว นั่นคงเป็นฝีมือของมันเองเหมือนกัน self portrait…ตั้งแต่รู้ตัวว่าชีวิตต้องอยู่กับงานศิลปะ ผมยังไม่เคยได้วาดตัวเองสักทีเลย

"ดูแล้วเป็นยังไง...กูว่ามึงไม่ควรปฎิเสธคิว ถ้าอยากจะจบพร้อมกูกับข้าวฟ่าง แต่ก็โอเคนะ ถ้ามึงหาคนมาช่วยมึงได้ดีกว่านี้กูก็ไม่ว่าอะไรมึงอยู่แล้ว งานของมึง มึงต้องตัดสินใจเอง นอกซะจากมึงมีปัญหาอะไรกับคิวมัน..." ผมหันไปมองหน้าอินทันทีตอนมันพูดประโยคนี้จบ คิวจะเล่าให้เพื่อนแก๊งเทวดาฟังเรื่องความสัมพันธ์ข้ามคืนของผมกับมันมั้ยวะ

"ก็เปล่า..." ไม่อยากโกหกครับ แต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะเล่าความจริงใดๆที่เกิดขึ้น

"ถึงกูกับคิวจะสนิทกันมานาน แต่มึงก็เป็นเพื่อนที่กูรักและสนิทมากเหมือนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูไม่มีทางทำร้ายมึงอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ด้วย อย่าคิดให้มันมากเลยวะ ปล่อยๆมันให้เป็นเรื่องของแรงโน้มถ่วงโลกบ้างเถอะ อะไรมันจะเกิดให้อารมณ์พาไป เหมือนศิลปะที่เราทำไง สร้างมันออกมาด้วยอารมณ์จนในที่สุดยังไงซะ เราก็ต้องหาเหตุและผลให้กับงานศิลปะที่เราสร้างขึ้นเสมอ" แรงบีบที่บ่า ทำให้ผมมั่นใจว่าที่อินกำลังพูดไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องงานของผมอีกแล้ว...คงเป็นสักเรื่องที่มันอยากบอกผม


'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

ครั้งที่3 ในรอบสองอาทิตย์ที่บ๊วยยืนอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์ของคิว สูดหายใจลึกและพ่นออกจนเหมือนปอดจะหลุดออกมาจากปอดเสียให้ได้ เอาวะครับ คิดว่ามันเป็นเพื่อนของเพื่อน ถ้าอย่างนั้น...ผมรับน้ำใจเพื่อนคนนี้ได้ใช่มั้ยครับ

"หมอ กูเอง บ๊วย" เดจาวูในช่วงเวลาไม่เกินครึ่งวัน ผมกลับมายืนหน้าห้องไอ้คนที่ผมจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือมัน อย่างไม่มีข้อโต้แย้งในความสามารถมันแต่อย่างใด หลังจากกินมื้อเที่ยงที่บ้านอิน และโอ้เอ้ถ่วงเวลาให้สมองได้คิดเรื่องสารพัดและให้เม็ดข้าวได้เรียงตัวอย่างดีในกระเพาะ ผมจึงบรรลุด้วยความเอาตัวรอดว่า นอกเหนือจากอารมณ์ผมควรใช้เหตุผลด้วย งานที่อาจารย์สั่งชิ้นสุดท้ายก่อนจบปีสาม เหลือเวลาอีกเดือนเดียว ผมจะโอ้เอ้ไม่ได้อีกต่อไป

"บ๊วย..." เจ้าของห้องเปิดประตูพร้อมรอยยิ้มกว้างยิ้มทั้งปากและตา แม่งสดใสซะจนผมต้องเลื่อนสายตาไปมองที่ประตูแทน สัสครับ! ไอ้คนตรงหน้ามันจะเพอร์เฟคไปเพื่อให้กูดูด้อยทำไมกัน

"ขอเข้าไปคุยข้างในห้องได้ป่ะ" คำตอบคือประตูที่เปิดกว้างสุด คนเปิดหลบทางให้ผมเดินเข้า ทั้งที่หน้ายังไม่หยุดยิ้มน่าหมั่นไส้จนอยากจะเอาประตูห้องหนีบหน้าดูสักที เผื่อจะหล่อลดลงซักนิดนึง

"กูมาคิดดูแล้ว...เรื่องงานกู...คงต้อง รบกวนมึงด้วย" ยังไม่กล้ามองหน้ามันเลยครับ แน่ใจว่าเพื่อนมันต้องเสนอหน้าส่งข่าวให้ไอ้หมอแล้วแน่ๆว่าผมจะกลับมาหามัน อีกรอบ

"นี่คือบ๊วยขอร้องผมอยู่ใช่ป่ะครับ"

"ก็เออดิวะ" อุ๊บ หลุดปากครับ ลืมตัวว่าตอนนี้ผมอยู่ในฐานะร้องขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้านี่

"ขอร้องคนอื่นทั้งที พูดให้มันดีๆหน่อยก็ไม่ได้ ชื่อผมยังไม่เรียกสักคำ" มันเดินมาทิ้งตัวบนโซฟาตัวเมื่อเช้าที่นั่งคุยกัน

"มึงจะเอายังไง..." อันนี้ไม่ได้ลืมตัวครับ เห็นหน้าแมร่งแล้วคันตีน ถึงมันหล่อไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผมมีขีดจำกัดความอดทนเพิ่มขึ้นหรอก ผมเห็นคนหล่อกว่านี้ในกระจกทุกวันตอนเช้าเย็น ยังไม่ใจอ่อนชมมันง่ายๆเลย

"จะ 'เอา' แล้วบ๊วยจะให้หรอ" กวนส้นตีนครับหมอ ไม่ได้โง่ขนาดจะไม่เข้าใจมันพูด แค่ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะครับ

"คิว กูฝากตัวด้วย คราวนี้คงรบกวนจริงๆ มึงสะดวกเมื่อไหร่ จะให้กูเริ่มงานได้ บอกกูแล้วกัน" ผมเดินไปที่ประตูเตรียมตัวกลับก่อนจะพูดขอบอกขอบใจมันอีกครั้ง ใจจริงอยากขอมันดูสตูดิโอมากครับ อินสปอยมาว่าในห้องคิวมีสตูดิโอที่พวกมันใช้กันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่มันไม่เอ่ยปาก ผมก็ไม่อยากรบกวนมันไปมากกว่านี้ เลยได้แต่เก็บความอยากอยู่ในใจ

"บ๊วย อยากลองดูสตูดิโอผมก่อนมั้ย" มันกำลังรั้งผมใช่มั้ยครับ คำพูดของมันเล่นเอาผมหยุดการใส่รองเท้าหันมาพยักหน้าตอบมัน ครับ และไม่ต้องเดาให้ยาก หน้าตาเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มทำให้ผมรู้สึกว่าเสียรู้มันอีกแล้ว...

ถ้าผมความจำไม่บกพร่อง ห้องที่มันเรียกว่าสตูดิโอ ใหญ่กว่าห้องนอนของไอ้หมอมันเสียอีก กลิ่นสีสารพัดชนิดลอยแตะจมูกตั้งแต่แรกที่เปิดประตูเข้าไปถึงแม้จะเปิด หน้าต่างบานใหญ่ทิ้งไว้ระบายกลิ่น ยังพอรู้ได้ว่าห้องนี้เพิ่งถูกใช้งาน เฟรมผ้าใบที่ยังวาดไฝค้างอยู่ ถังสีและกองแปรงกับพู่กันระบายสียังชื้นอยู่

"รูปนี้วาดมาสองอาทิตย์แล้ว ยังไม่เสร็จสักที ยิ่งปีสูง ยิ่งเรียนหนักไม่มีเวลาจับพู่กัน" เจ้าของห้องบ่น เคยได้ยินมาบ้างว่าหมอเรียนหนักจะตายห่า ยังมีอารมณ์มาสุนทรีย์มันเก่งมากแล้วครับ

"กำลังวาดอะไร" ผมหยุดยืนตรงเฟรมผ้าใบที่มีงานค้างอยู่ เหมือนจะมีแค่ร่าง เห็นข้างหลังของคนกับผืนฟ้ากว้างๆ

"ยังไม่แน่ใจ ตอนแรกอยากวาดท้องฟ้าสีดำ แต่ตอนนี้คิดว่าจะเปลี่ยนใจ บางทีอะไรๆก็ไม่ได้มืดมิดจนเกินไป" ก็ถ้าไม่รู้มาก่อนมันเรียนหมอนะครับ ที่มันพูดผมคงคิดว่ามันน่าจะเป็นกวีหรือนักแต่งเพลงมากกว่า

"งานที่เสร็จแล้วเหลืออยู่ที่นี่ไม่เยอะ เก็บไว้แค่ที่ชอบมากๆ อันอื่นเอากลับบ้านบ้าง ยกให้คนรู้จักบ้าง ห้องมันแคบเก็บไม่หมด" คิวคงเห็นผมรื้อภาพดู มีไม่เยอะจริงๆครับ ประมาณจากสายตาน่าจะสัก10รูปอยู่ในห้องนี้

"ฝีมือมึงดีมาก เสียดายน่าจะเรียนศิลปะ" รู้สึกสงสารตัวเองจับใจ ถ้ามันเรียนแล้วตัดจากมาตรฐานอย่างมันกับอิน ชีวิตการเรียนผมจะเป็นอย่างไร นับว่าเป็นบุญของบ๊วยที่มันเรียนหมอไปซะ มันไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มใส่ตาผม

"งานของบ๊วยที่จะทำ ขนมาทำห้องนี้เลยก็ได้ สะดวกดี ขอจัดห้องอีกหน่อย อยู่สองคนสบายๆจะได้ไม่ต้องหาที่อื่นให้ยุ่งยาก" จริงๆแล้วผมคิดว่ามันเป็นคนดีแหละ อินก็พูด ไม่อย่างนั้นพวกแก๊งเทวดาคงไม่คบกันมาจนป่านนี้

"อืม ค่อยว่ากัน มึงบอกวันว่างของมึงมาก่อนแล้วกัน งั้นกูกลับก่อนละกันวันนี้" ผมวางภาพเหมือนผู้หญิงหน้าตาสวยที่วาดร่างด้วยดินสอบนกระดาษลงที่เดิม หมอมันไม่ใช่คนงก อันนี้ผมคิดว่ารู้ ขนาดจับงานมันก็ไม่หวงอะไร ถ้าเป็นข้าวฟ่างป่านนี้ผมโดนตีนไปแล้ว

"ไหนๆก็เย็นแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ย" รอบที่สามของวันที่คิวทำให้ผมชะงักที่หน้าประตูห้องพัก

"ไปเถอะ ไหนๆบ๊วยมาขอให้ผมช่วยแล้ว ทำความคุ้นเคยกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าไม่หิวก็ไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมละกัน" ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนค่าจ้างในการใช้มันมาเป็นแบบ และช่วยติวงานผมไปด้วย ผมหันไปพยักหน้าตอบรับคำชวน

"กูไม่เคยเป็นเพื่อนกับคนที่เคย 'นอน' ด้วยกัน" ก็ไม่รู้ว่าพูดออกไปทำไมเหมือนกัน แต่ผมพูดจริงจากความรู้สึกและหมายความแบบนั้นจริงๆครับ ถึงจะนอนและมีอะไรกับใครมาก่อนหน้ามัน แต่ไม่มีคนไหนที่เป็นเพื่อนกันได้ต่อ ผมถือคติว่าเพื่อนจะไม่ก้าวผ่านความสัมพันธ์ข้ามคืน มันเป็นเส้นขนานที่ไปด้วยกันไม่ได้

"งั้นมาเป็นมากกว่าเพื่อนก็ได้ ถ้าบ๊วยจะโอเค" เสียงตอบกลั้วหัวเราะของไอ้หมอคิว ถึงจะเบาแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี ไอ้หมอ ไอ้กวนตีน!

มากกว่าเพื่อนหรอครับ แล้วความสัมพันธ์ของคนสองคนเป็นอะไรได้อีกบ้างครับ ความน่าจะเป็นของแฟคเตอร์นี้เท่ากับกี่วิธี เด็กตกเลขอย่างไอ้บ๊วยคนนี้อยากรู้...

=
ถถถถถถถถถ
นังหนูบ๊วยย
วงวารละเกิลลลล
=


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หมอคิวใช่บัดดี้ที่พลัดพรากจากกันของน้องบ๊วยรึเปล่า???  :m28: :m28: :m28:

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่หล่อแล้วยังเล่นตัว เราชอบบบบบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
[เรื่องสั้น] วันของบ๊วย - all at once -
ตอนที่ 3

'รักก็คือรัก'

ชีวิตมันไม่มีอะไรง่ายหรอกครับ บ๊วยกล่าว...

ตั้งแต่ตกลงว่าจะให้นักศึกษาแพทย์ปกฎมาเป็นแบบในการเขียนภาพสำหรับโปรเจคปลายภาค ชีวิตผมก็เริ่มป่วนปั่น ทำไมน่ะหรอครับ? อีกนิดนึงไอ้บ๊วยคนนี้คงเป็นแฝดสยามกับไอ้หมอแล้วล่ะครับ!!!

ตารางเรียนของนศพ.ยุ่งมาก ไหนจะเรียน ทำรายงาน ขึ้นวอร์ด เข้าเวร อ่านหนังสือ เขียนรายงานแพทย์ ทุกครั้งที่ได้ยินศัพท์แสงห่าเหวอะไรจากมัน ผมไม่เข้าใจหรอกครับ แค่ฟังๆไว้และจำแค่วันไหนว่างไม่ว่าง ถ้าถามว่ามันมีเรียนอะไรหรือประจำวอร์ดไหน ตอบไม่ได้ครับ ผมไม่มีสมองมาจำคำยากๆทางการแพทย์อะไรแบบนั้น สมองด้านหลักวิทยาศาสตร์ของผมเสียไปตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย เคยรู้มาว่าเรียนหมอหนัก เพิ่งมารู้ว่ามันหนักจริงๆตอนได้ตารางเรียนจากมัน มันว่างให้ผมได้ทุกเย็นหลังหนึ่งทุ่ม และวันอาทิตย์ทั้งวัน ส่วนวันเสาร์ไอ้หมอต้องเข้าเวรตั้งแต่เช้ายันสองทุ่ม ด้วยความสงสาร (จริงๆคือความขี้เกียจของผมเอง) ผมเลยถือเป็นวันพักผ่อนตามอัธยาศัยหนึ่งวัน ส่วนตารางเรียนในช่วงหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนปลายภาค ทุกชั้นปีแทบจะไม่มีเรียน ให้นักศึกษากลายร่างเป็นวัวถึกทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อนำมาเสนอตามตารางนัด มีเพียงวิชาพื้นฐานไม่กี่ตัวยังจำเป็นต้องเข้าเรียน อาทิตย์ที่ผ่านมาผมย้ายมวลสารของตัวเองมารอมันที่คณะแพทย์หลังหกโมง ถ้าเป็นวันอังคารกับพฤหัสต้องไปรอที่โรงพยาบาล มีชีวิตราวกลับกลางวันเป็นนักศึกษาศิลปกรรม ส่วนเย็นเป็นนักศึกษาแพทย์

การได้ทำงานร่วมกับหมอคิว ต้องยอมรับครับว่ามันเก่ง นอกจากเป็นแบบแล้ว มันยังคอยบอกเทคนิคในการวาด นึกๆดูแล้วก็อดเสียดายฝีมือดีๆของมันไม่ได้ ถ้าถ่ายโอนความสามารถตรงนี้ได้ จะขอซื้อต่อแบบขายไร่นาของยายมาซื้อเลยครับ เห็นมันแล้วทำให้ผมต้องพยายามมากขึ้นด้วยความเกรงใจที่รบกวนเวลาอันมีค่าของมัน  ทั้งที่จริงๆเป็นคนขี้เกียจจนแม่และเพื่อนต้องลากลงจากเตียงในวันหยุดและตอนเช้าที่มีเรียน ตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนตัวเอง วันไหนถ้าไม่มีเรียนผมจะเข้าห้องสมุดขนหนังสือเทคนิคการวาดพรอทเทรตทั้งหมดมานั่งฝึกมือ วาดทีละส่วนให้คล่องมือ พอไปวาดไอ้หมอจะได้ไม่เสียเวลามาก ถึงความเป็นจริงจะเสียเวลามาก มาก มากกกกกกกก จนผมเริ่มรำคาญตัวเอง นี่แหละครับ เพราะความเกรงใจไอ้หมอ ผมถึงต้องพยายามขนาดนี้ เห็นมันต้องเอาหนังสือมาอ่านพร้อมจดช็อตโน้ต เขียนรายงานระหว่างที่ผมเก็บรายละเอียดภาพวาดที่มันนั่งเป็นแบบให้ แถมพอเกือบเที่ยงคืนต้องเก็บของกลับบ้าน หมอจะอาสาไปส่งครับ จนผมด่าไปนั่นแหละถึงเป็นอันตกลงกันว่าโตแล้ว แมนๆเลยกลับเองได้ ส่วนสมบัติอย่างอื่นที่เอาไว้ทำงาน กองทิ้งไว้สตูดิโอมันนั่นแหละครับ

- บ๊วย อยู่ไหนครับ -

: ห้องสมุดคณะ :

- อาจารย์แคนเซิลคลาสบ่าย จะกลับห้องเลยมั้ย -

: เอาที่มีงสะดวก :

- งั้นเจอกันที่จอดรถ -

พอได้รับข้อความผมรีบเก็บของที่เกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะใส่กระเป๋า แวะยืมหนังสือสามเล่มที่เอามาอ่านแต่อ่านยังไม่จบ ก่อนจะรีบเดินไปที่จอดรถคณะแพทย์อยู่คนละฝั่งโลกกับศิลปกรรม ไม่ลืมส่งข้อความบอกอินว่าไม่อยู่กินข้าวกลางวันด้วยแล้ว มันไม่ได้ตอบอะไรมา แค่ส่งรูปคู่มันกับพี่รหัสผมมาให้ แปลว่า 'ไม่มีมึงกูก็มีคนกินข้าวด้วย'  เหอะ อินกับผม แค่หายใจก็รู้ไส้รู้พุงแล้วครับว่ามันเลวแค่ไหน ถึงผมจะรีบเดินก็คาดการณ์ไว้แล้วว่ายังไงก็คงช้ากว่าคิวที่ยืนรออยู่ตรงด้านหน้าที่จอดรถแล้วอยู่ดี ความยาวของขาผมถึงจะเดินเร็วขนาดไหนจะไปเทียบอะไรกับไอ้ยักษ์ช่วงก้าวขามันเทียบอัตราส่วนได้เท่าครึ่ง ช่างเถอะครับพ่อกับแม่ผมให้มาเท่านี้ ถึงอย่างนั้นก็หล่ออยู่ดีนะครับ

"หิวมั้ย" คนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ตรงทางเข้าลานจอดรถ เอ่ยถามพร้อมเอื้อมมือมาจะคว้าหนังสือสามเล่มในมือผมที่ดูจะพะรุงพะรังไปหมดทั้งหนังสือ สมุดสเก็ตซ์ กล่องเครื่องเขียน กระเป๋าและกระบอกกระดาษที่สะพายอยู่ข้างหลัง แต่ผมเอื้อมตัวหลบไม่ให้มันสามารถเอาอะไรจากผมไปได้

"ถือเองได้ เดินนำไปดิ" ยังจะมาทำหน้าระรื่นอีก หิวจนจะกินมันได้อยู่แล้ว ตึกแพทย์แม่งไกลชิบหาย ของก็หนัก ดีที่อากาศยังสบายๆพอให้การเดินไกลๆไม่เลวร้ายมาก

"ช่วยถือก็ไม่เอา" ไอ้หมอมันหันมาพูด คงหันมาเห็นผมขยับตัวให้สายกระเป๋าไม่หล่นจากไหล่ ไม่พูดเปล่า เอามือว่างๆของมันที่เพิ่งว่างจากการเอาเสื้อกราวน์สีขาวพาดบ่าแล้วมาช้อนใต้กระเป๋าด้านหลังของผม

"ปล่อยเลยมึง แล้วรีบๆเดิน ชักช้าอยู่ได้ กูหนัก" พยายามจะสะบัดตัวจากมือมัน ยิ่งทำให้ความหนักเพิ่มขึ้นไปอีก วุ่นวายเป็นบ้าคนห่าอะไรวะพูดอะไรไม่เคยจะฟัง

"บ๊วยก็ปล่อยดิ ให้ผมช่วยถือจะได้เดินไวขึ้น แค่ตัวเองเดินช้าจะแย่แล้วยังจะเอาของหนักไปถ่วงอีกยิ่งช้าเข้าไปใหญ่" อยากเตะปากหมอ! มันยังคงดึงกระเป๋าที่หลังจนผมต้องยอมถอดกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้มันไปถือสมใจ

"ก็แค่เนี้ย ให้ช่วยถือตั้งแต่แรกป่านนี้ก็ถึงรถไปแล้ว ดื้อมากนะ รู้ตัวป่ะ...ถึงมันจะดูน่ารักก็เหอะ" แม้ไอ้หมอมันพูดประโยคหลังจะเบา และไอ้คนพูดจะรีบเดินนำผมไปด้วยช่วงขายาวๆ ประโยคนั้นยังเข้าหูผมอยู่ดี

"น่ารักพ่องสิ!" ผมด่ามันด้วยเสียงเบาครับ แต่เชื่อเถอะว่าคนข้างหน้าได้ยินผมพูด เพราะมันหัวเราะพร้อมหันมายักคิ้วได้กวนเบื้องล่างของผมมากจนอยากจะประเคนตีนให้มันสักป้าบ ถ้าไม่เห็นว่างานยังไม่เสร็จมึงโดนแน่ไอ้หมอ

คิวเป็นคนกินง่ายครับ กินง่ายในที่นี้หมายถึง มันไม่เคยเปลี่ยนร้านกินข้าวเลยตั้งแต่กินข้าวด้วยกันมา มันพาผมมาร้านนี้ทุกครั้งที่ต้องมากินข้าว ที่สำคัญมันสั่งแต่เมนูเดิมๆ ทั้งๆที่ร้านมีเมนูอีกเยอะแยะให้ผมสั่งไม่เคยซ้ำ

"ไม่เบื่อบ้างหรอวะ กูเห็นมึงมาร้านนี้ทีไรสั่งเหมือนเดิมตลอด" ผมยืนยันตลอดมาว่าผมไม่ใช่คนขี้เสือก เห็นว่ารู้จักกันมาระยะหนึ่ง น่าจะถามอะไรได้บ้าง อยากรู้ว่ามันเป็นคนน่าเบื่อได้ขนาดนี้เลยเหรอ ซ้ำซากจำเจเป็นที่สุด

"หึ ไม่เบื่อ ชอบก็คือชอบ ถ้าเจอสิ่งที่ชอบแล้ว ทำไมต้องไปวุ่นวายหาลองอย่างอื่นอีก อยู่กับสิ่งที่เราชอบ ดีที่สุดแล้ว บ๊วยว่ามั้ย" ติสท์ตัวพ่อมาเอง ในระยะเวลาอาทิตย์นึงได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ไอ้หมอมักมีคำพูดทำให้ผมฉุกคิดอยู่บ่อยๆ จากคำถามหรือคำพูดง่ายๆของผมเอง

คำตอบครั้งนี้คงเป็นอย่างที่คิวพูดมั้งครับ ผมเห็นด้วยในบางส่วน แต่มีอีกบางส่วนที่ใจผมค้านคำพูดมัน พยายามไตร่ตรองจากคำพูดคนตรงหน้าว่าเรากำลังพูดถึงอาหารที่ชอบ หรืออย่างอื่นที่ชอบกันแน่ ที่เราอยากจะอยู่ด้วย ผมไม่ได้ตอบอะไรคิวไป ก้มหน้ากินอาหารที่ตัวเองสั่ง ของในจานมีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่อยากกิน ถึงจานนี้ไม่ได้ชอบที่สุด ก็ยังอยากลองสั่งมากินอยู่ดี...แล้วอาหารที่ชอบที่สุดล่ะ ถ้าเป็นผม จะกินมันได้บ่อยที่สุดแค่ไหนกัน

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

เศษกระดาษกับแท่งดินสอวางเกลื่อนเต็มสตูดิโอของคิว ด้วยเป็นคนทำห้องมันรก ผมจึงบอกมันไปว่าทุกวันอาทิตย์ตอนเช้าจะมาทำความสะอาดห้องนี้ให้ แต่เจ้าของห้องกลับบอกว่ามีคนมาทำประจำอยู่แล้วไม่ต้องลำบาก งั้นก็แล้วแต่มึงเลยจ้ะ หล่อแล้วยังอวดรวยใส่กูถ้างั้นก็ตามสบายเลยจ้ะ!  แทบทุกที่ในห้องจะเจอเศษไม้จากการเหลาดินสอถึงเจ้าของห้องเตรียมถังขยะไว้ให้แล้ว บางทีไม่ทันใจก็เอากระดาษมารองไว้แล้วรีบๆเหลา ตอนนี้แทบไม่ต้องมองแบบตรงหน้าเพื่อวาดแล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมค่อยๆเก็บรายละเอียดทีละส่วนจนจำได้ในสมองแทบจะทุกส่วน ตอนนี้นายแบบมีหน้าที่เต๊ะท่าไว้เพื่อให้ผมได้จับท่าทางเพื่อร่างเป็นแบบในครั้งแรกแล้วมาเก็บรายละเอียดอีกที

วันนี้มีนัดเอาความคืบหน้าไปคุยกับอาจารย์อิงคทัต เมื่อคืนกว่าจะได้นอนปาเข้าไปหกโมงเช้า เพราะมัวนั่งเก็บเส้นต่างๆให้เรียบร้อย พร้อมลองลงสีบางส่วน เก้าโมงแหกขี้ตารีบเลือกเอางานเฉพาะชิ้นที่คิดว่ารอดแน่ๆไปให้พิจารณา ใส่กระเป๋าเก็บสเก็ตซ์ใบใหญ่ทิ้งความสงสัยว่าทำไมย้ายมานอนบนเตียงนอนเจ้าของห้องไว้ก่อน จัดการอาบน้ำใส่ชุดเดิมเรียบร้อยพร้อมออก เห็นกุญแจห้องที่เจ้าของห้องวางไว้ให้พร้อมเขียนโน้ตบอกให้เก็บไว้ก่อนเย็นนี้ค่อยเจอกัน บึ่งขึ้นแทกซี่ไปมหาวิทยาลัยให้ทันสิบโมง อาจารย์ยังดูไม่พอใจกับงานเท่าไหร่นัก แต่ยังมีคำให้ใจชื้นว่าดีกว่าที่คิดไว้ และขยี้หัวใจที่เพิ่งชื้นด้วยคำพูดต่อไปว่า...แต่ยังไม่ถึงมาตรฐานที่ควรจะเป็น บอกให้ผมพยายามมากขึ้นและนัดมาดูงานใหม่ต้นอาทิตย์หน้าเป็นซับจูรี่ ออกมาจากห้องด้วยสภาพไม่สู้ดี พอเจอข้าวฟ่างกับอินสภาพไม่ต่างกัน ทำเอาใจชื้นขึ้นมาหน่อย สองคนนั้นขนาดเป็นลูกรักยังโดนท่านอาจารย์อิงค์กระซวกซะยับเยิน ลูกชังอย่างผมโดนเท่านี้ถือว่ายังเหลือแต้มบุญพอให้ได้ใช้บ้าง ภาคบ่ายผมย้ายตัวเองไปสตูดิโอของคณะ ปกติพวกเพื่อนๆจะเต็มไปหมด ตอนนี้เหลือแค่ข้าวฟ่างที่อยู่ เพราะโปรเจคงานชิ้นใหญ่มากเลยไม่สามารถแบกกลับบ้านได้ กินนอนมันที่นี่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์  แต่หลังจากโดนเล่นงานจากจารย์อิงค์ไปเมื่อเช้าอย่างสาสม มันเลยหนีกลับไปซุกอกสาวๆ งดทำงานหนึ่งวัน ผมโม่งานตัวเองฝึกมือไปเรื่อยไม่หยุดจนมีคนส่งสัญญาณให้เดินไปยังคณะแพทย์ ถึงรู้ว่าปาเข้าไปทุ่มนึงแล้ว

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

'ถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่ชอบ
ซักวันเราจะรับสิ่งๆนั้นได้มั้ย
สิ่งที่เคยไม่ชอบจะเปลี่ยนเป็นรักได้มั้ยครับ'

คำถามที่เคยมีเพื่อนในคณะถามขึ้นมากับอาจารย์ในคลาสคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เด็กที่เรียนศิลปะบางคนก็มีปัญหากับเทคโนโลยีจนคิดไม่ถึงเลยล่ะครับ อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาในหัวขณะผมกำลังเงยหน้ามองหน้าของคิวที่กำลังนั่งเป็นแบบให้ผม

"... บ๊วย บ๊วย" เสียงเรียกชื่อดังจนผมต้องดึงสติกลับมาตรงหน้า

"ง่วงหรอ พักก่อนมั้ย เดี๋ยวค่อยมาวาดต่อ" นายแบบตรงหน้าบอก มันคงเรียกผมมาสักพัก ขณะที่ผมล่องลอยอีกนิดจะถึงดาวอังคารแล้ว

"เฮ้ย กูโอเค แต่มึงพักก่อนได้ ร่างไว้ใกล้เรียบร้อยแล้วเหลือแค่นิดหน่อย มึงตามสบายเลย" ผมก้มหน้าวาดรูปในมือต่อ ไม่ได้สนใจว่าอีกคนในห้องยังนั่งอยู่ที่เดิมหรือลุกไปไหนแล้ว

"เหนื่อยก็พักก่อน ฝืนไปจะไม่ไหวเอา" สัมผัสอุ่นๆจากมือใหญ่ลูบอยู่บนหัว ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของมือที่ย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนของไอ้หมอทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้อย่างประหลาด แต่ผมเลือกหลบสายตาที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยนั้นก้มลงมองภาพที่เหมือนกันกับคนยืนอยู่ อย่างน้อยสายตาคงไม่ทำเอาใจสั่นได้เท่าของจริง

"อื้อ" ส่งเสียงตอบรับและพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนที่สัมผัสบนหัวจะถูกยกขึ้น และเดินออกไปจากห้อง

ผมรับรู้ได้ว่ามันไม่ได้อยากพักตามผมบอกหรอก แต่ถ้ามันยังนั่งเป็นแบบอยู่ที่เดิมผมก็จะไม่ลุกไปไหน ยังนั่งวาดรูปแบบตรงหน้าอยู่ดี ถึงมันลุกไปข้างนอกแล้ว ยังมีงานอีกเยอะที่ต้องทำให้เสร็จ นายแบบไม่ต้องนั่งอยู่ตรงนี้แต่แค่หลับตาก็สามารถเห็นถึงท่าทางและหน้าตาของมันได้แล้ว ไม่นั่งอยู่ก็ไม่เป็นไร

"อ่ะ ดื่มซะ ผมมีเรื่องจะคุยกับบ๊วยด้วย" เจ้าของห้องบริการทุกระดับน่าประทับใจ ยกโกโก้ร้อนมายื่นตรงหน้า และย้ายตัวเองมานั่งชันเข่าที่พื้นข้างเก้าอี้ผม

"มีอะไร ห่า อย่าทำหน้าซีเรียสดิ กูเริ่มสยอง ฮ่าๆ" อยู่ดีๆมันก็ทำหน้าเครียด กอดเข่าแล้วเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาที่เล่นเอาผมไปไม่เป็น รู้สึกว่ามันให้บรรยากาศดูหวานแหววยังไงไม่รู้

"ย้ายมาอยู่ด้วยกันมั้ย...เดี๋ยว ค่อยๆฟังก่อน" โกโก้ในปากผมแทบพุ่งเมื่อได้ยินคำชวนของมัน กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ เหมือนมันจะรู้ยังไม่ทันพูดเลยรีบห้ามไว้ก่อน

"ไม่โว้ย บ้านกูมี จะย้ายมาอยู่กับมึงทำไม" ขอพูดหน่อยเถอะครับ อยู่ดีๆชวนมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะเป็นประโยคคำถามที่เชื่อว่าผู้หญิงครึ่งมหา'ลัยน่าจะปลื้มปริ่มรีบพยักหน้าเซย์เยสกับไอ้คนตรงหน้าในการมาอยู่ร่วมชายคาในอพาร์ทเมนต์แสนสบายหลังนี้ สำหรับผมมันทำให้รู้สึกประดักประเดิดอยู่ดี

"ฟังก่อนสิ ที่ชวนมาอยู่ด้วยกันเนี่ย เพราะเห็นว่าช่วงนี้บ๊วยดูเหนื่อยมาก กว่าจะวาดรูปเสร็จปาเข้าไปเที่ยงคืนทุกคืน ต้องรีบไปให้ทันรถไฟขบวนสุดท้ายเพื่อกลับบ้าน เมื่อคืนเล่นทำงานถึงหกโมงหลับไปคาพู่กัน ทำไปได้ยังไง..." ใช่สิ เมื่อคืนหลับไปตอนไหนไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ไล่เจ้าของห้องให้ไปนอนก่อนเพราะเจ้าตัวมีเรียนเช้าเจ็ดโมงครึ่ง บอกว่าจะเก็บงานสักพักแล้วนั่งแทกซี่กลับบ้าน เพลินไปเรื่อยๆมองรู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว คิดว่าคงวูบไปตอนเกือบๆหกโมงเช้านั่นแหละ คิวพูดบ่นเรื่องของผมเหมือนเป็นมันแย่มากในการหลับไปพร้อมพู่กันในมือ สำหรับมันอาจจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่กับนี่ถือเป็นเรื่องธรรมดามากครับ ปลายภาคทีไรไม่ว่าอยู่ไหน ผมก็เป็นแบบนี้ทุกทีหลับคาเฟรมงาน คาผ้าใบ ยิ่งถ้าทำงานปั้นก็หลับหน้าจุ่มดินเหนียว ทุกอุปกรณ์ได้นอนกับผมมาหมดแล้วทุกอย่าง

"ถ้าบ๊วยย้ายมาอยู่ด้วยกัน กลางคืนจะทำงานถึงกี่โมงก็ได้ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะนอนเมื่อไหร่ค่อยไปนอน เช้าถ้าไม่มีเรียนไม่ไปมหา'ลัย ก็นั่งทำงานในห้องนี้อยู่นานเท่าไหร่ไม่มีใครว่าเลย วันไหนจะไปมหา'ลัยก็ตื่นเช้าหน่อยไปพร้อมผม ค่อยไปหลับที่สตูดิโอเอา แบบนี้ดีกว่ามั้ย" พยายามคิดตามที่ไอ้หมอมันพูด แน่ล่ะทุกอย่างดีเหมือนที่มันพูดนั่นแหละ อย่างแรกคือไม่เหนื่อยเดินทาง ไหนจะต้องแบกของไปมา บางทีต้องเอาไปทำต่อที่บ้าน ถ้าอยู่นี่ก็ประหยัดไปอีก แต่มันจะทะแม่งๆป่าววะ มาอยู่กับมัน...

"เห็นเมื่อคืนแล้ว ผมห่วงว่าจะไม่ไหวเอาสักวัน ถ้ายังต้องไปกลับที่นี่กับบ้านบ๊วยเอง ถ้ามีปัญหาเรื่องที่บ้าน ลองกลับไปคุยก่อนก็ได้ คุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง" ห่วง ที่มันพูดว่าห่วงเมื่อกี้ หมายความว่ามันห่วงผมใช่ป่ะครับ...

ความไม่สบายใจในการจะย้ายมาอยู่ที่นี่มันอยู่ตรงไหนกัน ผมพยายามค้นหาอยู่ เรื่องพ่อกับแม่ลืมไปได้เลย ปกติถึงผมไม่มาอยู่นี่ บ้านช่องก็ไม่ค่อยได้กลับอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ใช่ปัญหา...มาลองคิดว่าถ้าคนที่เอ่ยปากเป็นอิน ข้าวฟ่าง หรือเพื่อนในคณะสักคน ความลำบากใจน่าจะไม่มี ความเกรงใจไม่ต้องพูดถึง เรื่องมารยาทข้ามมันไปเถอะ พอเป็นไอ้หมอ ผมกลับรู้สึกอะไรไม่รู้บอกไม่ถูก ในขณะที่คิวยังคงพูดเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้ผมทำตามข้อเสนอ เอาจริงๆมันไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเรื่องนี้เลยก็ได้ ผมต่างหากควรเดือดร้อนกับเรื่องทั้งหมดเอง งานก็งานผม เหนื่อยก็เหนื่อยผม แต่กลับเป็นมันต้องคอยมาสนใจในเรื่องที่ผมมองข้ามทั้งๆที่เป็นเรื่องของตัวผมเอง

"เมื่อคืนกูเข้าไปนอนในห้องมึงได้ยังไงวะ" ไม่รู้อะไรทำให้ถามคำถามนั้นออกไป ทั้งๆผมควรตอบคำถามของมันเรื่องการย้ายมาอยู่ที่นี่

"ผมพาไปนอนก่อนจะออกไปเรียน" สายตาที่แน่วแน่กับคำตอบของไอ้หมอ เล่นเอาผมร้อนวูบขึ้นมาที่หน้า ทั้งๆก็รู้ว่าผมไม่มีทางจะเดินเข้าไปนอนบนเตียงในห้องได้ด้วยตัวเองแน่ๆ

"อะไรคือปัญหาของบ๊วยกันแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเหรอ" แค่ประโยคเดียวเหมือนเป็นกุญแจสำคัญ ไขข้อสงสัยทุกอย่างที่สมองและหัวใจของผมกำลังตั้งคำถามและต่อสู้กันอยู่อย่างหาทางออกไม่ได้ ผมอดจะหันมาสบตาคนเอ่ยคีย์เวิร์ดสำคัญออกมาไม่ได้ คิวไม่หลบตา มันไม่เคยหลบตาผมทุกครั้งในการเผชิญหน้าระหว่างกัน เป็นผมเสียอีกที่ต้องยอมล่าถอยจากความมั่นคงในสายตามันเสไปมองทางอื่นเองทุกครั้ง

"แล้วมันคืออะไรวะ" ไม่รู้เหมือนกันว่า 'มัน' ถามออกไปหมายถึงอะไร แล้วมันจะเป็นอะไรได้บ้าง ตั้งแต่คืนนั้นความสัมพันธ์ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวระหว่างผมกับคิวเป็นเรื่องหาคำตอบไม่ได้สำหรับผมเอง อาจจะแค่ผมเองคนเดียว มันอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย เห็นเป็นเรื่องธรรมดา และกลับมาเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ช่วยเหลือกันได้ปกติ มีแค่ผมคิดวุ่นวายไปเอง

"บ๊วยแน่ใจว่าอยากได้คำตอบจากผมจริงๆ" ผมพยักหน้า ถึงไม่อยากยอมรับในส่วนของตัวเอง แต่ความรู้สึกผมตอนนี้ยอมรับตรงๆแบบลูกผู้ชายก็ต้องบอกว่ามันไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนของเพื่อน แต่มันไม่ใช้คำว่าเพื่อนหรือเพื่อนสนิทหรอก อันนั้นผมรู้ ถ้าได้รู้จักมัน อยู่ใกล้มัน สัมผัสความเป็นตัวตนของมัน ไม่มีใครห้ามตัวเองไว้ไม่ให้รักมันได้หรอก ร้กได้โดยไม่มีเหตุผล หรือถ้าจะเอาเหตุผลจริงๆก็มีซักล้านแปดข้อ...นั่นแหละ

"ไม่ใช่แค่เพื่อนแน่ๆ ความรู้สึกผมมันมากกว่าบ๊วยจะต้องการมันไปเยอะมาก จนบ๊วยอาจรับมันไม่ไหวถ้ารู้ว่ามันคืออะไร" ใจเต้นเหมือนกลอง ไม่ใช่แค่คำพูดแววตาจริงจังของมันส่งมาและครั้งนี้ผมไม่หลบตามันอีก ลึกๆแล้วผมอยากให้มันคิดเหมือนกัน มีความรู้สึกในทางเดียวกัน แต่พอมาคิดว่าถ้ามันเกิดจากต้องการรับผิดชอบจากการกระทำที่พลาดพลั้งของเราทั้งสองคนแค่คืนเดียว มันกลับทำให้หัวใจห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก

"นั่นไม่ใช่คำตอบ" เรายังคงจ้องตากัน ผมจะต้องรู้ให้ได้วันนี้ว่าระหว่างกันมันคืออะไร วันนี้มันต้องนิยามได้

"คบกันมั้ยบ๊วย คบกันแบบคนรัก ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนรู้จัก ศึกษาดูใจกัน พัฒนาต่อไปเป็นคนรู้ใจกัน อยู่ข้างๆกัน ลองคบกันมั้ย" ทำไมมันต้องตอบคำถามด้วยคำถาม วันนี้มันถามผมไปกี่คำถามแล้ว ผมยังไม่ได้ตอบมันสักคำถาม และมันยังคงไม่หยุดถาม ผมควรเลือกตอบสักอัน ตอบในขณะที่รู้สึกว่าหัวใจมันพองโต คับอกจนส่งให้ใบหน้าที่พยายามห้ามรอยยิ้มทำได้ยากเหลือเกิน แต่ต้องพยายามอย่างมากไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจว่า อยากจะตอบคำถามนี้ใจจะขาด

"พรุ่งนี้กูไม่มีเรียน ตอนเช้าเดี๋ยวกูออกไปพร้อมมึง จะกลับบ้านไปเอาของใช้จำเป็นเอามาไว้ที่นี่ คงต้องรบกวนมึงไปก่อน อย่างน้อยๆคงต้องอยู่ที่นี่ไปจนกว่าส่งโปรเจคนี้เสร็จ" เสียงถอนหายใจหนักๆทำให้ผมรู้ว่าคำตอบของคำถามไม่ค่อยถูกใจมันเท่าไหร่ แต่ผมตอบครอบคลุมทุกคำถามของมันแล้วไม่ใช่หรอครับ

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

บ๊วยต้องการนอนเป็นที่สุด สองวันแล้วได้แค่งีบเป็นห้วงๆ ต้องปั่นงานให้ทันเสนอความคืบหน้างานตามวันนัดของอาจารย์ ก่อนจะถึงวันจูรี่จริงๆ เหลืออีกแค่สองอาทิตย์งานควรกระเตื้องเกินตามคำสั่งจริงไปมากกว่า 50% เผื่อไว้กันเหนียวให้โดนคัดออกก่อนผ่านเข้ารอบสุดท้าย เพื่อจัดการให้เรียบร้อยพร้อมส่งจริง ผมเอามาส่งร้อยกว่าชิ้น นายแบบส่วนตัวของผมช่วยเลือกชิ้นไหนคิดว่ามันโอเคเพื่อเอามาส่งวันนี้ ถึงมันจะพูดปลอบใจว่าจำนวนที่ได้เยอะมากแล้วจนต้องช่วยผมแบกมาส่งอาจารย์ ในความเป็นจริงผมรู้อยู่แก่ใจว่ามันน้อยนิดในความคิดของอาจารย์ ถึงเนื้องานจะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจแต่ปริมาณที่ใช้ได้เล่นเอาผมกุมขมับ

"ไหวมั้ยวะมึง" สภาพคนถามไม่ได้ดีขนาดจะมีหน้ามาถามผมเลยจริงๆ อินปั้นไปได้แค่ครึ่งเดียวจากคำสั่งของอาจารย์ แต่ด้วยความพิศวาสจากครึ่งนึง มีไม่ผ่านนับชิ้นได้ โครงงานมันดีตั้งแต่แรก ผมไม่แปลกใจที่งานมันจะรอดเยอะขนาดนี้ ถึงยังไงอีกสองอาทิตย์ที่เหลือมันต้องปั่นสุดชีวิตแบบหืดขึ้นคอไม่ต่างจากผม

"ก็ต้องไหวป่ะวะมึง ไอ้ข้าวฟ่างตายไปยังวะ เมื่อเช้าเข้าไปดูงานมันแม่งเล่นใหญ่ชิปหาย โคตรสยอง" ตั้งแต่เช้าไม่เห็นหน้าข้าวฟ่าง แวะเข้าไปในสตูมันก็เห็นแต่งงานชิ้นมหึมา ที่เดาว่าผ่านฉลุยแน่ๆ

"กลับบ้าน มันโดนฟอลโล่วงานไปตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เลยพัก กูเจอมันเมื่อวานตอนออกมาจากห้องอาจารย์ สภาพไม่เหลือชิ้นดีเหมือนกัน" ไอ้อินนั่งลงตรงกันข้าม พอมันวางแก้วกาแฟ ได้โอกาสผมก็หยิบมาดูดต่อ

"ปีสามยังขนาดนี้ ปีสุดท้ายทำทีสีสจะขนาดไหนวะ กูจะเอาชีวิตรอดจนเรียนจบใช่มั้ยวะมึง" รู้สึกทดท้อเหลือเกินแค่คิดว่าต้องกลับไปนั่งวาดให้เสร็จอีกกว่าร้อยรูป และเหลืออาทิตย์สุดท้ายไว้ลงสีเรื่องถนัดที่สุดสำหรับผม ไม่น่าใช้เวลามากเท่าไหร่

"จบเด้ ตอนนี้มีคนช่วยทำงานอยู่ด้วยตลอดเวลา ยังไงก็เสร็จป่ะ" ไอ้ห่าอิน น้ำเสียงนิ่งๆติดจะล้อของมันทำให้รู้สึกว่า กูสิที่จะเสร็จมัน ไม่ใช่งาน! ผมหันไปค้อนกับคำพูดแซวกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจของอิน ผมไม่ได้บอกมันว่าย้ายไปอยู่กินห้องคิวราวกับเป็นห้องตัวเองมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ไม่แปลกใจ ไอ้แก๊งเทวดามันสนิทกันมาก ไอ้หมอมันต้องเล่าให้เพื่อนกลุ่มมันแน่ๆว่ามีคนบุคคลแปลกปลอมเข้ามาอยู่ในห้องมัน แถมวันๆก็ไม่ทำอะไร วาดรูป นอน วาดรูป กิน วาดรูป วาดรูป และวาดรูป ชีวิตช่วงนี้ของบ๊วยมีเท่านี้

"พ่อง! หุบปากซะ" คนอย่างไอ้อินหรอมันจะทำตามผมบอก ฝันไปซะเถอะ

"ไอ้หมาเอ๊ย ไปอยู่กับมันดีแล้ว อย่างน้อยๆมันเป็นหมอ มึงยิ่งสมองไม่ค่อยจะสมประกอบ เครียดทีไรอ้วกพุ่งทุกที มีอะไรไอ้หมอมันจะได้ดูแล กูยืนยันเหมือนเดิม เพื่อนกูเป็นคนดีไว้ใจได้ ส่วนเรื่องความรู้สึก มันต้องเป็นคนบอกมึงเองว่ะ กูไม่อยากเสือก ฮ่าๆๆๆ" ความรู้สึกห่าไรอีก แค่นี้แม่งก็บอกจนวันๆกูแทบจะตั้งรับไม่ทันแล้ว

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับมัน ผมอย่างกับเป็นคุณชาย ข้าวปลาไม่ต้องลำบากหารับประทาน วันไหนไม่มีเรียนก็อยู่ทำงานในที่ห้อง เที่ยงๆก็มีข้อความบอกว่าสั่งข้าวให้แล้ว ไม่เกินบ่ายโมงอาหารมาส่งถึงห้อง ตอนเย็นถ้าขยันเจ้าของห้องจะพาไปหาอะไรกินข้างนอก ถ้าขี้เกียจก็มีของติดมือกลับมาตอนเข้าบ้าน สบายแค่ไหนคิดดูแล้วกันครับ เรื่องนอนสบายพอๆกับเรื่องกิน ที่นอนปิกนิคถูกนำมาไว้ในสตูดิโอ พร้อมคำสั่งว่าถ้าง่วงให้กางที่นอนไม่ใช่นอนขดตัวกลางกองเศษกระดาษกับงานกองพะเนิน เป็นคำสั่งที่ผมไม่เคยได้ทำตามเลยสักครั้งครับ เพราะทุกเช้าผมก็ตื่นมาบนเตียงนุ่ม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามานอนในห้องได้ยังไง สัมผัสเบาๆบนหน้าผากทุกเช้าก่อนมันออกจากห้อง เป็นนาฬิกาปลุกชั้นยอดบอกเวลาให้ผมมีวินัยในการตื่นขึ้นมาทำงานต่อ ไม่รู้ว่าไอ้หมอมันจะรู้มั้ยว่าทุกเช้าที่มันมอบความรู้สึกดีๆนั้นให้ ผมรู้สึกตัวทุกครั้ง ไอ้หมอมันร้ายครับ! การอยู่กับมันสบายทุกอย่าง ผมลำบากอยู่อย่างเดียว คือลำบากต้องมาควบคุมหัวใจไม่ให้ตัวเองถลำลึกไปกับความรู้สึกที่มีให้มัน นับวันจะเยอะขึ้นจนผมเองยังประหลาดใจ

"เฮ้อ อยากแดกเหล้าว่ะมึง เปรี้ยวปากชิบ ตับแม่งโคตรเรียกร้องหา โทรหาข้าวฟ่างดิ๊ ร้านเดิม บอกมันว่ากูขอร้อง มึงด้วยนะ เบี้ยวเลิกคบ กูกลับบ้านก่อน เย็นนี้เจอกัน" ไม่รอฟังคำตอบหรอกครับ ไหนๆก็เสนองานเสร็จไปอีกรอบแล้ว เหลือแค่อีกรอบสุดท้าย ขอปลดปล่อยหน่อยแล้วกัน

ผมกลับไปที่ห้องคิวเพื่อเก็บเสื้อผ้าบางส่วนกลับไปซักที่บ้าน ถึงที่นี่จะมีเครื่องซักผ้าแต่ไม่ได้เจอแม่มาเป็นอาทิตย์เอากลับไปให้แม่ซักแก้คิดถึงน่าจะดีกว่า ไหนๆวันนี้วันศุกร์ ขอพักงานสองวันใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่บ้านนอนให้มันเต็มคราบสักวันก่อนจะกลับมาสู้งานต่อละกันวะ ผมทำความสะอาดสตูดิโอให้เรียบร้อยหลังจากเก็บเสื้อผ้าตัวเองเสร็จ ที่รกอยู่ทั้งหมดฝีมือผมทั้งนั้น ไม่ทำเลยสักวันมันคงตะเพิดผมออกจากห้องก่อนจะส่งโปรเจค


: มึง อาทิตย์นี้กูกลับบ้านนะ :

ผมส่งข้อความไปบอกให้เข้าของห้องรับรู้ตอนเดินออกมาจากอพาร์ทเม้นต์ รออยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้คำตอบกลับมา ผมเดินมาถึงบ้านพอดี

- ครับ แล้วงานเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีใช่มั้ย -

: ไม่แย่ แต่ไม่ดี ขอพักหน่อย วันจันทร์ค่อยว่ากัน :

- ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะครับ -

: ถึงพอดีเลย เรียนไปเถอะ แล้วไว้ค่อยคุยกัน :

'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ'   'ㅅ' 

(มีต่อ)

ออฟไลน์ sunnandsky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ผมไม่ได้บอกคิวว่าคืนนี้จะไปกินเหล้ากับเพื่อนๆที่คณะ คิด(เอาเอง)ว่าไม่จำเป็นถึงยังไงคืนนี้ไม่ได้กลับห้องมันอยู่แล้วคงไม่เป็นไร ตอนมาถึงร้าน อิน ข้าวฟ่างกับเพื่อนคนอื่นๆอยู่ในร้านกันเกือบหมด ผมดันเผลอหลับ ตื่นมาอีกทีทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว เล่นเอามาช้าไปจากที่นัดไว้

"ไรวะคนชวนเสือกมาช้า" ข้าวฟ่างแหกปากแล้วเดินมาลากคอผมเข้าไปยังที่โต๊ะ มีกันอยู่ประมาณเกือบสิบคนแต่เสียงดังชิบหาย ปกติร้านนี้คนเยอะทุกวันอยู่แล้ว ยิ่งวันนี้วันศุกร์ไม่ต้องพูดถึงแทบไม่มีที่ยืน

ผมพยักหน้าให้อินที่ยืนกอดคอพี่เบียร์อยู่ด้านในสุดของโต๊ะ ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลาเปล่าครับ ด้วยความเปรี้ยวปากห่างหายใจน้ำสีอำพันมากว่าสองอาทิตย์ ผมซัดแหลกไม่ว่าใครส่งแก้วอะไรมาให้ผมรับกระดกลงคอหมดทุกอย่าง พอเริ่มกรึ่มๆใครลากไปไหนไปหมดครับ ใครชนมาชนตอบไปเรื่อย จนสติเริ่มเหลือน้อยลงทุกที หันไปมองข้าวฟ่างเห็นมันยืนสีหญิงอยู่ไม่ไกล แล้วผมก็โดนลากไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังไม่ทันไรข้อมือผมถูกคว้าไว้ไม่ให้ผมโดนลากไป

"มึง กลับมั้ย เมามากแล้ว เดี๋ยวกูไปส่ง" อินมันชวนกลับ หน้าตาดูซีเรียส ผมที่มึนมากแล้วแต่ยังไม่อยากกลับ ไหนๆได้ออกมาทั้งทีโดยไม่ต้องสนใจงาน รีบกลับไปทำไมกัน

"กี่โมงแล้ววะ มึงกลับก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวกูกลับพร้อมข้าวฟ่าง" ยกข้อมืออินที่ใส่นาฬิกาเห็นว่าเกือบจะตีหนึ่งแล้ว เลยไล่ให้มันกลับไปก่อนได้เลย จำได้ลางๆว่าวันเสาร์พี่เบียร์ต้องมีงานที่บ้าน อินผู้เป็นสารถีเลยต้องพาองค์ชายเบียร์กลับวังภายในเวลาที่กำหนด

"ห่าเอ๊ย มึงสองคนจะรอดมั้ยวะ ไอ้ห่าฟ่างนั่นดูเมาไม่ต่างจากมึงเลย" โบกมือใส่หน้ามันบอกว่าไม่เมาแล้วดันหลังให้กลับไปสักที ขี้บ่นชิบหายคนห่าอะไรวะ

หลังจากอินกลับไปผมรับแก้วมาดื่มอีกหลายแก้ว โดนลากไปทางนั้นทีตรงนี้ที รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง จากตอนยังไม่เมาเท่าไหร่ มีสาวคนนึงทำท่าทางสนใจผม แถมเพื่อนตัวดีแม่งก็ชงกันซะเหลือเกิน ถึงจะไม่ได้คิดอะไร แต่สัญชาตญานกับสติที่ไม่สมบูรณ์ของผมมันสั่งการแบบผิดแผก ตอนนี้ผมเลยอยู่ในสภาพยืนนัวเนียอยู่กับสาวน้อยที่แนะนำตัวเองว่าชื่อน้องมีนา โปรเจคที่หนักหนาสาหัสเล่นเอาผมห่างหายจากความสนุกประเภทนี้ไปนาน พอได้กลับมาสัมผัสกับรสความใคร่อีกทีเล่นเอาเตลิดไปได้ง่ายๆ มุมที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ค่อนข้างมืดและลึกเข้ามาจากโต๊ะที่นั่งในตอนแรก ปากที่ประกบกันอยู่ของผมและมีนาเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือที่ปัดป่ายบนตัวกันและกัน เนื้อที่แนบเนื้อชิดกันเข้ามากขึ้น ทำเอาบางอย่างของร่างกายผมเริ่มตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ ผมลืมตาและกำลังจะถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากอีกฝ่ายเพื่อบอกให้ไปต่อกันที่อื่น ผมกลับต้องกลืนคำพูดทั้งหมดทิ้ง รู้สึกชาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงหัว เมื่อสบกับสายตาของคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ ผมสะบัดหน้าแรงๆก่อนที่จะจับแขนผู้หญิงตรงหน้าให้ห่างออกจากตัวเอง และหันกลับไปมองอีกทีให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด คิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองผมด้วยสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยสิ่งที่ผมอ่านไม่ออก ผมสร่างเมาแทบจะทันที สมองประมวลผลการกระทำของตัวเองและประเมินช่วงเวลาในการมาของมันว่าจะเห็นผมทำอะไรอยู่กับมีนามากน้อยเท่าไหร่ ไม่ทันคิดอะไรออกเจ้าตัวมายืนอยู่ข้างตัวผมพร้อมวางมือลงบนบ่า แรงบีบที่เบาเหลือเกินทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจทั้งๆมันยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ

"บ๊วย กลับเถอะเมามากแล้ว" น้ำเสียงเรียบเสียจนเดาอารมณ์ไม่ได้ทำเอาผมตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับอีก กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดไปมากกว่านี้ แค่พยักหน้าตอบมันว่ากลับยังลำบาก

"ขอตัวบ๊วยก่อนนะครับ ขอโทษที่มาขัดจังหวะความสุข แต่ได้เวลาต้องกลับแล้ว เมามากด้วย ลาก่อนครับ" เสียงคิวที่หันไปบอกลาอีกฝ่ายและจับข้อมือผมให้เดินตามออกมาจนถึงรถ ระยะทางจากร้านจนรถมาจอดอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ จนลงจากรถผมเดินตามมันต้อยๆเรื่อยมาถึงห้อง ไอ้หมอร้กษาความเงียบได้อย่างคงเส้นคงวา เล่นเอาผมใจฝ่อไม่กล้าจะอ้าปากพูดอะไรไปก่อนกลัวจะยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปกว่าเดิม มันจัดการถอดรองเท้าและเดินเข้าห้องตัวเองพร้อมปิดประตูเสร็จสรรพ ทิ้งผมให้ยืนเคว้งกลางห้อง ให้ความรู้สึกเหมือนโดนเอามาปล่อยที่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน หลังจากไปสงบสติรอให้สร่างเมาอยู่ที่สตูดิโอเกือบที่เต็มไปด้วยรูปวาดของเจ้าของห้องอยู่เป็นชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอน คนบนเตียงทำท่าว่าจะหลับไปแล้ว ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ รู้สึกสร่างเต็มที่หลังจากผ่านน้ำเย็น นั่งลงบนเตียงอีกฝั่งที่ว่าง ถ้าคืนนี้ไม่ได้คุยกันผมคงนอนไม่หลับแน่

"มีง หลับยัง คุยกันก่อนดิ" คนที่นอนอยู่ยังไม่หลับ เสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายบอกได้ดี

"ฟังแล้วก็คงเหมือนจะแก้ตัว แต่กูไม่ได้ตั้งใจจะมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น กูไม่อยากอ้างว่ามันเกิดขึ้นเพราะเมา ทั้งที่จริงๆแล้วกูไม่รู้จักห้ามใจตัวเอง มันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนมึงมาเห็น" ผมพูดต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจว่าไอ้หมอมันจะฟังผมพูดอยู่หรือเปล่า เสียงผ้าซวบซาบทำให้ผมใจชื้นและมั่นใจว่าคนที่พูดด้วยยังคงฟังผมอยู่

"ถ้าผมไม่ไปเห็น บ๊วยจะทำอะไรต่อ" เสียงมันคือสิ่งที่ผมโหยหาจะได้ยินในคืนนี้จริงๆ เพียงแค่คำถามของมันทำเอาปากผมแข็งไปหมดจนไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะความจริงมันไม่คงไม่อยากฟัง

"ไปต่อ..." ผมเลือกตอบความจริงหลังจากเงียบอยู่สักพัก และมันกลายเป็นความเงียบอีกครั้งหลังจากผมตอบออกไป

"เราคบกันอยู่รึเปล่าบ๊วย ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน...ถ้าเราคบกันทำไมทำแบบนี้ หรือจริงๆแล้วมีแค่ผมคิดไปเองว่าเรากำลังเรียนรู้กัน เป็นผมเองที่คิดว่าเราคบกันและมันกำลังไปได้ดี" น้ำเสียงโคตรจะตัดพ้อทำเอาผมรู้สึกว่าร่างกายหนักอี้งแม้แต่จะหันไปมองหน้าคนพูดยังลำบาก ไม่ใช่แค่ร่างกาย หัวใจผมหนักไปหมด มันอึดอัดเหมือนมีคีมอันใหญ่มาบีบไว้จนเจ็บ ผมยังเจ็บขนาดนี้กับคำพูดของไอ้หมอ แล้วมันล่ะ ตอนเห็นผมจูบกับมินอาจะเจ็บแค่ไหน

"กูขอโทษ..." ผมรู้สึกขอโทษมันจริงๆ สิ่งที่ทำผิดต่อมันผมยอมรับ เป็นความผิดในการไม่รู้จักหักห้ามใจ ทำอะไรไม่คิดปล่อยให้เหล้ามามีอิทธิพลมากกว่าความคิดไตร่ตรองที่สมควร

"ขอโทษทำไม บ๊วยไม่ได้ทำผิดอะไรจะขอโทษผมทำไม บ๊วยแค่ใจไม่ตรงกับผมก็เท่านั้น มันไม่ใช่ความผิด" เฮ้ย! ผมร้องเสียงหลงในใจก่อนจะหันไปมองมันด้วยความตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

"มึงเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว กูขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างมึงคิด กูขอโทษมึงในส่ิงที่กูทำโดยไม่ได้คิดถึงจิตใจมึงว่าจะเสียใจมากแค่ไหนถ้ามึงมาเห็น เข้าใจป่ะ" คนฉลาดๆเวลาจะโง่ก็ตลกดีนะครับ มันทำหน้าเหวอกับคำพูดของผม จนต้องพูดขยายความให้มันเข้าใจ

"ทำไมอยู่ดีๆมึงก็โง่วะไอ้หมอ ต้องให้กูพูดชัดๆให้ได้เลยใช่มั้ยว่ากูรู้สึกกับมึงแบบเดียวกับมึง กูย้ายมาอยู่กับมึงขนาดนี้ไม่ได้หมายความว่ากูคบกับมึงอยู่เหรอวะ" ผมยื่นมือสองข้างไปจับหน้าไอ้หมอก่อนจะเขย่าๆสองสามทีหลังพูดจบ หน้าเหวอของมันยิ้มให้ผม ยิ้มทั้งปากทั้งตา ก่อนจะเอามือมาวางทับมือผม

"อย่าทำแบบนี้อีกนะบ๊วย อย่าทำแบบนี้อีก บางอย่างผมก็รับมันไม่ได้ทั้งหมดถ้าเป็นเรื่องของบ๊วย ถ้าผมไปช้ากว่านี้ หรือถ้าอินไม่โทรให้ผมไปรับบ๊วย อะไรจะเกิดขึ้น ถึงจะยังไม่รักผม ขอร้องล่ะอย่าทำร้ายกันแบบนี้" ตาที่จ้องกัน สายตามันบอกผมถึงความเจ็บปวดกับการกระทำผมวันนี้

"เออ จะไม่ทำอีก เรื่องวันนี้กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ คราวหลังกูจะคิดถึงมึงให้มากขึ้นก่อนจะทำอะไรลงไป" ผมเลื่อนมือจากหน้ามันไปยังคอและโน้มหัวมาวางบนไหล่ตัวเองเป็นการปลอบและขอโทษในเรื่องวันนี้ทั้งหมด

"ขอบคุณครับ" เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นและเลื่อนหน้ามาจนจมูกของเราสองคนชนกันก่อนกระซิบคำขอบคุณชิดริมฝีัปาก และแนบริมฝีปากตัวเองลงมา นุ่มนวล เบาบางแต่อบอุ่น และยังคอยเรียกร้องให้ตอบรับความอบอุ่นนั้นกลับไปให้เท่าเทียมกัน

"อื้อ พอแล้วมึงงง" ผมจับหน้ามันดึงออกมา สายตามันเล่นเอาเขินจนต้องก้มหน้าหลบ แถมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันอีก อยากจะจับหัวมันมาตีเข่าสักที ไอ้หมอไม่ยอมหยุดลากผมลงไปนอนกอดใต้ผ้าห่มอุ่น เอาหน้าซุกบ่า แขนที่พาดดึงเข้าไปใกล้จนดิ้นไม่หลุด ดิ้นไปดิ้นมาผมก็ยอมแพ้และหลับไปจนได้

แสงที่รอดเข้ามาบอกเวลาว่านี่น่าจะเลยเวลาเข้าเรียนของไอ้หมอมาสักชั่วโมงแล้ว แต่แขนที่พาดอยู่บนตัวผมบ่งบอกว่าเจ้าตัวยังคงนอนอยู่ไม่ขยับไปไหน

"มึง มึง คิว! สายแล้วนะเว่ย ไม่ไปเรียนวะ" ไม่ยอมลืมตาแถมยังรัดแขนกับตัวผมแน่นขึ้น ซุกหน้าตัวเองกับซอกคอผมจนเริ่มน่ารำคาญ

"ฮื้อออ ไม่ไปครับ วันนี้ขี้เกียจ อยากนอนกอดบ๊วยทั้งวัน" ดีครับ อนาคตแพทย์ของชาติ เห็นแก่เรื่องเล็กน้อยขนาดหยุดเรียน

"เจริญครับ หมอไร้จรรยาบรรณแบบนี้จะรักษาใครได้วะ ไปมึงลุก กูจะกลับบ้านด้วย เร็ว ไปส่งหน่อย" บิดตัวไปมาอีกสองสามทีพร้อมฟัดตัวผมซ้ายทีขวาทีอยู่อีกหลายรอบจนพอใจจึงยอมลืมตาและคลายอ้อมแขนให้ผมได้ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างหน้าในห้องน้ำพร้อมกับลูบคลำส่ิงที่อยู่บนข้อมือตัวเอง เมื่อกี้ถึงกับตกใจพอล้างหน้าแล้วมีอะไรเย็นกระทบแก้ม พอลืมตาถึงเห็นว่าเลทเงินที่หายไปสักพักกลับมาอยู่ที่ข้อมือตัวเองเหมือนเดิม จนนึกขึ้นได้นั่นแหละครับ รีบพุ่งตัวออกมาถามอีกคนในห้อง

"มึง เอามาใส่ให้กูใช่มั้ย" ถามพร้อมยกข้อมือให้เห็นเลทเงิน คนบนเตียงพยักหน้าสบายๆตอบคำถาม

"แต่ไม่ใช่อันเก่าของบ๊วยนะ อันนั้นมันขาด ผมเจอมันตกอยู่ในห้องครั้งแรกที่บ๊วยที่นี่ เลยเอาไปซ่อมให้ เส้นนี้ของผม ผมยกให้ก่อน ไว้เส้นที่ซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ค่อยเอาอันนี้มาคืนผม" เจ้าของเลทอธิบายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น

"ทำไมมึงมีเลทเหมือนกู" คำถามตรงประเด็นผมใส่ไปที่คิวเต็มที่

"ก็ผมเป็นคนให้ บ๊วยมีอันนึง ผมมีอันนึง ใส่เหมือนกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว บ๊วยไม่สังเกตเองต่างหาก เครื่องลางสำคัญยังจะทำหายได้ ไม่ได้เรื่องเลย เราได้เจอกันเหมือนที่ผมเขียนแล้วนะ" คิวลุกขึ้นจากเตียง เดินมาหาผมก่อนจะก้มลงมาจุ๊บปากหนึ่งทีก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

'ใส่ติดตัวไว้ มันจะนำโชคให้นายไม่ว่าทำอะไร และทำให้เราได้เจอกันสักวัน'

ในการ์ดแผ่นเล็กติดมากับของขวัญเขียนไว้แบบนี้ คนให้จำผมได้ตั้งนานแล้ว ผมเองต่างหากที่ซื่อบื้อไม่เคยสังเกตว่าอีกคนมีเหมือนกัน เลทเงินเส้นนี้ไม่ได้นำแค่โชคดีมาให้บ๊วยหรอก สิ่งที่ดีที่สุดคือพาเจ้าของเลทจริงๆมาให้บ๊วยต่างหาก

ขอบคุณนะครับ ;)

"ขอบคุณนะเว่ย ที่พยายามหากูจนเจอ ถึงมึงจะบอกช้าไปหน่อยก็เถอะ" ผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปเพราะแน่ใจว่าคิวไม่ได้ล็อก เล่นเอามันหน้าเหวอไปเลย ต่อไปนี้คือการเริ่มต้นแก้แค้นที่มันให้ผมรอเจออยู่สามปี...โดนแก้แค้นไปตลอดชีวิตแน่มึง!

=
หมดเวลาของบ๊วย
ตอนหน้าพี่หมอมา ฮริ๊ง
=


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารัก  :hao6:

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด