^
^
^
เดี๊ยะๆๆๆๆ
***
Round 12.... ความในใจ“ขอบใจ” มันหันมาพูดกับผมโดยที่ไม่ยอมสบตา
“อืม…” ผมตอบเบาๆ ในลำคอ ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายที่กำลังหันหน้ามอง…ทำไมวะ ทำไม ทำไมหาคำตอบไม่ได้ รู้สึกเหมือนใจมันหวิวๆ หัวก็มึนตึ๊บๆ แม่ม ปวดชิบหาย…ผมยกมือขึ้นกำขมับแต่นิ้วดันไปเฉียดแผลที่คิ้ว
“โอ๊ย แม่งเอ้ย..” เอานิ้วแตะมาดู ปรากฏว่าแผลเปิด เลือดไหลอีกแล้ว ผมถอนหายใจแบบเซ็งๆ เอนหลังเอาหัวพิงเบาะแล้วหลับตา คิ้วชนกัน
“ไหน ดูซิ” ผมสะดุ้งลืมตาตื่นเพราะนึกว่าหมอนั่นลงรถไปแล้ว ไอ้มาร์ชโน้มตัวมาจับหน้าผมให้หันฝั่งที่เป็นแผลไปหามัน
“เละเลยมึง ต้องเย็บป่ะนะเนี่ย”
“ช่างมันเถอะ” ผมปัดมือมันออก
“เลือดไหลไม่หยุดเลยว่ะ”
ไอ้มาร์ชยังดื้อไม่เลิก เอามือนุ่มอุ่นๆ มาปาดเลือดที่กำลังไหลเข้าตาผมให้ สายตาก็จ้องสูงมาที่บาดแผลทำให้จมูกและริมฝีปากมันอยู่ในระดับสายตาผมพอดี กลิ่นไอตัวหอมอ่อนๆ จากต้นคอลอยมาแตะจมูกผม…ให้ตายเหอะ
“กูบอกว่าช่างมันเถอะ!” ผมผลักตัวมันออกอย่างรุนแรงจนกระเด็นไปติดประตูรถอีกฝั่ง
“อึ่กก!...ห่าเอ้ย! คนอุตส่าห์เป็นห่วง จะไปตายที่ไหนก็ไปเลยมึง!”
มันหน้าดำหน้าแดงกำหมัดแน่น แล้วเปิดประตูรถออกไป ปิดตามดังปังจนพนักงานต้อนรับและแขกคนอื่นๆ หันมามอง ตัวผมเองมือก็กำพวงมาลัยแน่นเช่นกัน ฟันกัดกันกรอดๆ จนสันกรามนูน
“โธ่เว้ย!” ผมกำหมัดฟาดลงคอนโซลหน้ารถอย่างแรง ก้มหน้าลงกับพวงมาลัยกุมขมับกับแผล ปวดหัวชะมัดให้ตายสิ คิดผิดคิดถูกวะเนี่ยที่มาพัวพันกับมัน รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันดูวุ่นวายยุ่งยากไปเสียหมด ทั้งๆ ที่ตอนแรกต้องการแค่จะทำเพื่อความสะใจเท่านั้น ….ดีใจสิวะไอ้ซันเอ้ยยยย สะใจ สาแก่ใจ สมน้ำหน้ามัน…เอาสิวะไอ้ควายซัน
…ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
“ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นพนักงานโรงแรม คลับคล้ายคลับคลาน่าจะเป็นพวกเซคิวริตี้มากกว่า มาเคาะกระจก
“คุณครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ” ผมตอบไปแบบมึนๆ
“ตรงนี้จอดไม่ได้นะครับ กีดขวางการเข้าออก ถ้าจะจอด…”
“ไม่ครับ ผมจะออกแล้ว โทษที”
ผมมองกระจกหลัง มีรถมาจ่ออยู่ตรงตูด เบลอๆ สงสัยจะจมอยู่กับความคิดตัวเองมากเกินไปเลยลืมว่าตรงนี้มันหน้าทางเข้าโรงแรมพอดี ผมรีบขับรถเลียบทางลาดชันออกมาทันทีโดยมีเซคิวริตี้คนนั้นยืนหลบ ตะเบ๊ะให้เป็นเชิงขอบคุณ
ผมขับรถกลับมาที่บ้าน ไม่ใช่คอนโดเพราะคืนนี้มันรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ อยากกลับไปเล่นกับเจ้าแฮปปี้ด้วย เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ก็บีบแตรเรียกให้คนข้างในมาเปิดให้ …ไม่นานก็มีเด็กสาวคนนึงวิ่งมาเปิดประตูรั้ว สงสัยจะคนใหม่แหะ ไม่เคยเห็นหน้า…นี่เราไม่ได้กลับบ้านนานขนาดนี้แล้วเหรอ
เด็กสาวคนนั้นยิ้มรับผมหน้าบาน ผมก็ยิ้มตอบ เปิดกระจกลง
“แม่นอนแล้วเหรอ”
“ค่ะ คุณหนู ท่านอาการกำเริบ เข้านอนแต่หัวค่ำแล้วค่ะ”
ผมคิดในใจ…เฮ้ออ เอาอีกแล้วเหรอ…แล้วก็ขับรถเข้าโรงจอด แป๊ปเดียวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงวิ่ง แกร่กๆ ดังถี่มาจากข้างหลังบ้าน (เสียงเล็บขูดกับปูนซีเมนต์อ่ะครับ)
“แฮปปี้!” ผมอ้าแขนรับแรงกระโดดที่โถมเข้ามาใส่ตัวอย่างแรงจนเกือบหงายหลัง แฮปปี้เป็นสุนัขพันธุ์คอลลี่สีน้ำตาลครับ อายุก็เกือบสองขวบได้แล้ว วัยกำลังโตเลยล่ะ
“แฮ่กๆๆ งี้ดๆ โบร๋วววววว”
“เออๆ รู้แล้วว่าคิดถึง... โทษทีน้าที่ไม่ได้มาหานานเลย” เอาแล้ววุ้ย คุยกับหมาก็รู้เรื่อง สงสัยคิดมากใกล้บ้าละตู - -
ผมนั่งเล่นกับแฮปปี้พักนึงจนสังเกตเห็นว่าน้องผู้หญิงคนนั้นยังยืนรอเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างหลัง คงไม่กล้าเข้าบ้านก่อนผม ท่าทางจะยังไม่ชินงานเท่าไหร่ ผมเลยบอกให้เธอเข้าไปในบ้านก่อน เดี๋ยวผมปิดบ้านเอง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหนู เดี๋ยวหว้าปิดเอง”
“ชื่อหว้าเหรอเรา มาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” ผมยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ คือหนูเป็นญาติกับป้าหน่อย....” อ๋ออ ป้าหน่อยคือแม่นมผมเองครับ แกเลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเล็กแต่พอแกแก่ตัวไป เลยเหมือนขอเกษียณกลับไปดูแลลูกๆ หลานๆ ที่ต่างจังหวัด แล้วก็ขาดการติดต่อไปเลย นี่คงอยากให้หลานแกเข้ามาทำงานที่นี่ ไม่แปลกหรอกครับ เพราะครอบครัวผมรักแกเหมือนญาติคนนึงเลยทีเดียว
“อืม...เข้าบ้านป่ะเรา”
ผมลูบหัวไอ้แฮปปี้อีกสองสามที จึงเดินนำหน้าหว้าเข้าไปในบ้าน บ้านผมแบ่งเป็นสองส่วนครับ ข้างล่างก็เหมือนบ้านทั่วไป ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องหนังสือ ห้องครัว และโซนหลังบ้านคือห้องพักของแม่บ้านและคนสวน แต่ทางเข้าบ้านจะต้องเข้าทางประตูหน้าทางเดียว เพราะกันคนในบ้านขโมยของออก ถึงจะไว้ใจกันแค่ไหน แต่เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร....ส่วนชั้นสองก็เป็นห้องนอนของพ่อแม่ ผม และห้องหนังสือ ห้องดนตรี ประมาณนี้ครับ
“คุณหนูเอาน้ำมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร...ไปนอนเถอะเราดึกแล้ว” ผมบอกหว้าหลังจากมองดูนาฬิกา จะตี 3 แล้ว
“ละ...แล้วแผลนั่น...” เธอทำหน้ากล้าๆ กลัวๆ ชี้มาที่คิ้วผม ตอนแรกก็งงๆ ..อ้อ ลืมไปเลยว่าคิ้วแตก
“เราทำแผลเป็นมั้ย”
“เป็นค่ะ คุณหนูรอสักครู่ค่ะ”
หว้ายิ้มกว้างแล้วเดินหายไปหลังบ้าน สักพักก็เดินมาพร้อมกล่องพยาบาล ผมเดินถอนหายใจไปนั่งลงบนโซฟาสีน้ำตาลตัวยาวในห้องนั่งเล่น ยกมือขึ้นแตะแผลตัวเองลงมาดู ปรากฏว่ายังมีเลือดซึมอยู่นิดหน่อย แต่ท่าทางแผลจะปิดแล้ว หว้านั่งคุกเข่าข้างหน้าผม จนผมต้องบอกให้มานั่งบนโซฟาด้วยกันจะได้ทำถนัดๆ เธอจึงยอม ระหว่างการทำแผลทำให้ผมได้สังเกตรูปร่างหน้าตาของเด็กใหม่คนนี้ได้อย่างถี่ถ้วนชัดเจนมากขึ้น หว้าเป็นเด็กสาวอายุน่าจะไม่เกิน 17...ผิวสีน้ำผึ้งแต่เนียนสวย ตาโต จมูกเล็กๆ(หรือไม่มีดั้งนั่นเอง) ปากหนาอวบอิ่ม รูปร่างผอมแต่อวบอัดในส่วนที่เป็นผู้หญิง รวมกันแล้วทำให้เธอดูน่ารักและมีเสน่ห์สาวเกินไว
“ทำไมเราถึงมาทำงานที่นี่ล่ะ” ผมพูดขณะที่หว้ากำลังแปะผ้ากอซลงบนคิ้ว
“คือ...แม่ของหว้าไม่สบาย...หว้าเลยอยากมาหางานทำที่กรุงเทพค่ะ”
“เหรอ แล้วป้าหน่อยล่ะ เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ติดต่อแกนานเลย”
“แกสบายดีค่ะ ตอนแรกแกเสนอตัวว่าจะขอกลับมาทำงานที่นี่ แต่หว้าสงสารแก แกเดินไม่ค่อยจะได้แล้ว หว้าเลยตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนและเดินทางเข้ามาขอร้องคุณนายใหญ่ให้รับหว้าทำงานน่ะค่ะ เพราะความเมตตาอันล้นพ้นของท่านทำให้หว้ามีงานทำ หว้าดีใจเหลือเกิน”
เธอยิ้มน้อยๆ พองาม...คำพูดคำจาเรียบง่าย แต่กลับดูจริงใจและซื่อบริสุทธิ์ แถมยังเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเสียขนาดนี้ แต่ที่น่าแปลกคือแววตา....แววตาใสของเธอส่อความใคร่รู้และฉลาดเกินกว่าเด็กสาวโดยทั่วไปมาก ผมลอบยิ้มในที ท่าทางจะถูกชะตากับหว้าซะแล้วสิ พอเธอทำแผลเสร็จแล้วยังมีการกำชับว่าไม่ให้ถูกน้ำ ไม่อย่างงั้นแผลจะเน่า ผมถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังจนเธองง ทำหน้าหงอกลัวผมโกรธ....เลยลูบหัวไปทีสองทีแล้วบอกให้ไปนอนซะ เธอทำท่าลังเลเล็กน้อยจนผมต้องทำเสียงแข็งจึงค่อยๆ ก้มหน้าหงึกๆ เดินตัวงอไปหลังบ้าน ก่อนไปยังมีการยื่นยามาให้สองเม็ด ผมขี้เกียจถามก็เลยกลืนๆ ลงไปโดยไม่ดื่มน้ำ เธอถึงยอมไปนอนซะที
ผมล้มตัวลงนอนกับโซฟา....ลืมตามองเพดานบ้านที่ไฟยังเปิดสว่างโร่อยู่ พร้อมกับคิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้....ตอนนี้ยอมรับครับว่าสับสนพอสมควร ตอนแรกเนี่ยโกรธมันมากมายเพราะเรื่องแก้ว....ต่อมาก็อยากจะแก้แค้นมัน แต่ไปๆ มาๆ ไหงคำว่า อยาก “แก้แค้น” ถึงกลายเป็น อยาก “แกล้ง” ก็ไม่รู้....พอแกล้งแล้วก็สนุก...สนุกแล้วก็รู้สึกว่าอยากแกล้งอีก....อยากแกล้งอีกเพราะมันน่ารัก....เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“เป็นเหี้ยไรวะกู!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว เอาหัวตัวเองโขกกับพนักพิง(เบาๆ ...กลัวเจ็บ)
ไปชมมันว่าน่ารักได้ไงวะ สงสัยสมองจะกลับซะแล้ว....มันมีอะไรน่ารักตรงไหน ก็ไอ้แค่หน้าขาวเรียวๆ ตาเยิ้มๆ จมูกโด่ง ปากบางสีชมพู....ตัวเนียนนิ่ม น่าสัมผัส ลูบแล้วลูบอีกก็คงไม่เบื่อ....แถมหน้าตายังแสดงหลายอารมณ์ได้อีก
ตอนโกรธนี่หัวฟัดหัวเหวี่ยงใครห้ามก็ไม่อยู่ แถมยังดุเอาเรื่อง มือหนักก็ใช่ย่อย...
ตอนอารมณ์ดี ก็ยิ้มกว้างเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากซะแทบละลาย....เล่นอะไรปัญญาอ่อน กวนตีนก็ที่หนึ่ง
ส่วนตอน....มีอารมณ์ หน้าตาโคตรเซ็กซ์...นอนดิ้นพล่านๆ ตัวขาวกลายเป็นแดงระเรื่อ กลิ่นตัวหอมอ่อนๆ ปนเหงื่อโคตรเร้าอารมณ์ แล้วก็จูบนั่นอีก....จะยั่วไปถึงไหน ถ้าหน้าอกนูนขึ้นมา แล้วไอ้ท่อนล่างยุบเข้าไป กูจับทำเมียไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก...แม่งเอ้ยยยยยยยย ปัญหาคือมันไม่มีไงเล่า! (แถมยังมีส่วนยื่นออกมาเหมือนๆ กันอีก เวรกรรม...)
ผมล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม แล้วหลับตา พยายามบังคับสมองไม่ให้คิดมากเพราะอาการปวดหัวมันเริ่มกลับมาเยือนอีกครั้ง....สงสัยเพราะฤทธิ์ยาที่หว้าให้มา ทำให้เปลือกตาหนักเหลือเกิน...
“.....คุณหนูๆ ตื่นเถอะค่ะ” ผมโดนเขย่าเบาๆ ....ลืมตาขึ้นก็เห็นหน้าหว้าเต็มๆ เลยครับ นี่ตูหลับไปตอนไหนฟะ ฟ้าสว่างแล้ว แสงแดดส่องรำไรลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
“.....อือ.....กี่โมงแล้ว” ผมพูดเสียงแหบ ตายังลืมไม่ค่อยขึ้น
“เที่ยงแล้วค่ะคุณหนู...คุณนายใหญ่บอกไม่ให้ปลุกคุณหนู แต่หว้าเห็นว่าเที่ยงแล้ว คุณหนูควรจะตื่นมาทานอะไรสักหน่อยก่อนดีกว่านะคะ” เธอพยุงผมให้ลุกขึ้น.....มึนหัวจนต้องสะบัดหน้าแรงๆ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปในครัว
“แล้วแม่ล่ะ....” ผมนั่งลงบนโต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีจานข้าวสวยร้อนและกับข้าวสองสามอย่างหอมกรุ่นตั้งอยู่
“ยังไม่กลับมาจากวัดเลยค่ะ” หว้าพูดพร้อมกับตั้งท่าจะขอตัวเดินออกไปนอกห้อง
“อ่าวๆ...ไปไหนล่ะเรา กินไรยัง มากินด้วยกันสิ”
“ม...ไม่ได้หรอกค่ะ! จะให้หว้าร่วมโต๊ะกับคุณหนูได้ยังไง”
“เถอะน่า.... เร็ว! นั่งไม่นั่ง!” ผมทำตาดุ เสียงดุ จนอีกฝ่ายหน้าหงอ ยอมนั่งเป็นเพื่อน แต่ไม่ยอมกินอะไรเพราะบอกว่าอิ่มแล้ว ผมหัวเราะหึหึในลำคอจนหว้ารู้ว่าผมแกล้งเล่นจึงทำปากยื่นหน้างอซะน่ารักเชียว
หลักจากนั้นผมกับหว้าก็คุยอะไรสัพเพเหระไปเรื่อย....เธอเป็นคนน่ารักและเฮฮามากครับ ทำให้ผมเผลอลืมเรื่องของคนๆ นึงไปได้ชั่วขณะ....
“คุณหนูมีธุระที่ไหนรึเปล่าคะ”
“หา...ทำไม?” ผมเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นถามแบบงงๆ
“ก็หว้าเห็นมองนาฬิกาอยู่บ่อยๆ.....” เธอพูดแล้วก้มหัวงุดๆ กลัวผมดุที่สอดเรื่องส่วนตัว
“ก็...ไม่ได้มีธุระอะไร....เรื่องไร้สาระ” เอาอีกแล้วครับ อุตส่าห์(แกล้ง)ลืมไปแล้วนะ ดันนึกถึงมันอีกจนได้ ไอ้นาย ม.
“ไม่มีเรื่องอะไรไม่มีสาระหรอก....เว้นเพียงแต่ว่าเราจะมองข้ามสาระของมันไป…”
หว้าพูดลอยเบาๆ ขึ้นมาเหมือนไม่ใส่ใจให้ใครฟัง...แต่ผมกลับแปลกใจ....
“หมายความว่าไง”
“อ่ะ...เอ่อ...คือ ในความคิดหว้าน่ะค่ะ...ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดไร้สาระหรอก....ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่มีสิ่งใดบังเอิญ...และไม่มีสาระ สิ่งที่เราคิดว่าไร้สาระ อาจมีสาระสำหรับอีกคนนึงก็ได้....ถ้าเราเอาความคิดเราเป็นใหญ่ โดยการคิดว่าสิ่งนี้มันไร้สาระ เราอาจละเลยความรู้สึกของคนอื่น...คนที่อาจคิดว่าสิ่งนี้มันมีสาระสำหรับเค้าก็เป็นได้....”
ผมนั่งฟังเธออธิบายอย่างอึ้งๆ.... ถ้าเรามองในมุมกลับกัน มันก็จริงแหะ ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้ข้อคิดดีๆ จากเด็กผู้หญิงบ้านนอกตัวเล็กๆ ที่ไม่แม้กระทั่งจบการศึกษาอย่างเป็นทางการ ผมหันไปมองเธอตาโต...
“ขะ..ขอโทษค่ะคุณหนู....หว้าไม่ได้ตั้งใจ” เธอเลิ่กลั่กก้มหน้าก้มตายกมือไหว้ขอโทษขอโพยผม
“หว้า”
“....หว้าขอโ..”
“ถ้าพี่เกิดไปชอบคนๆ นึงล่ะ”
“คะ??” หว้าเงยหน้าหันมามองผม ทำตาโตบ้าง...
“คือ...ถ้าเกิดพี่....สมมติว่า....ชอบ...คนๆ นึง....คือแบบ ก็ยังไม่แน่ใจว่าชอบรึเปล่านะ แต่แบบก็รู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้ๆ ...แถมยังสลัดเรื่องของเค้าไม่หลุด...จนพี่รู้สึกว่ามัน..เอ่อ...ไร้สาระที่จะมานั่งคิดเรื่องแบบนี้...หว้าว่าพี่ควรจะทำยังไง” ผมพูดเสร็จแบบตะกุกตะกัก แล้วก็คิดว่า ทำไมกูมาถามเรื่องอะไรแบบนี้กับเด็กอายุ 17 วะ...!
“หว้าบอกแล้ว...สิ่งที่พี่รู้สึกตอนนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นความบังเอิญหรือพี่คิดไปเองคนเดียว แต่มันต้องมีเหตุให้เกิด...ใช่มั้ยล่ะคะ”
“แต่...เค้าเป็นคนที่....ไม่ควรไปชอบน่ะสิ....มันผิด มันไม่ใช่ มันไม่ควรจะเกิดขึ้น และที่สำคัญ เค้าคงไม่....”
“ไม่มีใครตัดสินได้หรอกค่ะว่าสิ่งใดควรเกิดไม่ควรเกิด....ตัวเราเท่านั้นเป็นคนตัดสิน....เช่นเดียวกับคนๆ นั้นของคุณหนู...เค้าเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินว่าเค้าคิดอย่างไร....ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนอื่น”
หว้ายิ้มให้ผมอย่างเท่าทัน...จนอดอายไม่ได้กับสิ่งที่ผมสับสนมาตลอดทั้งคืน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับให้คำตอบได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ และเธอ....ทำให้ผมคิดได้ว่าควรทำเช่นไร นี่รึเปล่านะที่เค้าเรียกว่าเส้นผมบังภูเขา อยากจะรู้จังเล้ยยยยย แม่แอบไปจ้างนักปรัชญามาทำงานแม่บ้านเปล่าฟะเนี่ย!?
………………………………..
“อยู่ไหน” ผมกรอกเสียงลงไปตามสาย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์
“.....เรื่องของกู”
“บอกมา อยู่ไหน”
“..........”
“....อยู่ไ..”
“........ไอ้เลว ไอ้เชี้ย โอ๊ยยยย ให้ตายเหอะวะ! พวกมึงจะเอาอะไรกะกูกันนักกันหนา! กูทนไม่ไหวแล้วนะโว้ยยย! ฮืออออออ จะเอาอะไรกับกู......กูทนไม่ไหวแล้วนะ ไอ้ซัน ไอ้เลว กูเกลียดมึง กูเกลียดพวกมึง....กูเกลียดทุกคน....อย่ามายุ่งกับกู ปล่อยกูซักทีเถอะ.....ปล่อยกูไป...ฮึก....”
“ม...มาร์ช เป็นอะไร....เกิดอะไรขึ้น” ผมตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนโวยวายพร้อมกับสะอึกสะอื้น และเสียงทำลายข้างของตามมาไม่หยุด
“พาผมไปที...ไปให้พ้นๆ จากที่นี่....ฮึก....อย่าทิ้งผมไป”
ตอนนี้เสียงไอ้มาร์ชค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อย คาดว่าคงไม่ได้สนใจโทรศัพท์แล้ว ราวกับคนกำลังอยู่ในภวังค์ เพ้อกับตัวเอง....
ผมพยายามตะโกนถามว่าอยู่ที่ไหน แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงร้องไห้และประโยค
“ช่วยด้วย” ......วนไปมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
***TBC
ทำไม่ได้อีกละ มาลงซะวันใหม่ โทษทีจ้า

เอารูปแฮปปี้มาให้ดู
อะไรเกิดขึ้นน้า อยากรู้ว่ะ แม่ม
