Part 15ผมนั่งนิ่ง ตาประสานกับผู้หญิงใบหน้าซีดขาวตรงหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ… ครั้งที่สองแล้ว ที่เห็นเธอคนนี้ แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เพราะครั้งแรกที่เห็น ใบหน้าเธอประดับประดาไปด้วยเครื่องสำอางที่ทำให้ดูสวยสดใสและใบหน้าที่อิ่มเอิบจากความสุขทั้งหลายทั้งมวลในวันงาน …แต่ตอนนี้ ถึงแม้จะไร้เครื่องประทินโฉม เธอก็ยังดูสวยแบบธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แอบติดใจเล็กน้อยคืออาการตกใจปนประหม่าเมื่อเธอเห็นใบหน้าผม…
“เอาล่ะ แนทมานั่งนี่สิลูก ตาซันเค้ามีอะไรจะคุยก็ไม่รู้ ถึงกับต้องให้แม่ไปปลุกเราลงมา เฮ้ออ” คุณแม่กวักมือเรียกแนทที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นหิน เธอสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนรู้ตัวเมื่อมือเย็นชืดของแม่ยื่นมาแตะที่ข้อมือ และค่อยๆ นั่งลงที่โซฟาข้างๆ ตามคำขอ
“มีอะไรเหรอคะ…” แนทหันไปถามแม่ และปรายตามองมาที่ซันในภายหลัง
“ถามเจ้าตัวดูสิ”
หัวใจผมเริ่มเต้นแรงเมื่อคิดว่าใกล้ถึงจุดสำคัญในการสนทนาแล้ว… ในใจก็คิดว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จะเริ่มต้นอย่างไร จะบอกไปตามตรงเลยมั้ย… หรือจะอ้อมค้อม เกริ่นอะไรก่อน และเราต้องทำตัวอย่างไรถึงจะไม่ให้ทุกอย่างมันล่ม โอยยย ใครก็ได้ช่วยที..
“ซัน ขอแนทคุยกับซันหน่อยสิ” ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้น…จู่ๆ แนทก็แทรกขึ้นมากลางวง เล่นเอาผมตกใจจนเหวอ
“แนท เราคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตาดีกว่านะ…” อีกฝ่ายยิ้มอย่างใจเย็นและอ่อนโยน พร้อมกับแววตาที่มั่นคงไม่แปรเปลี่ยน
“ซัน…แนทขอล่ะ แค่ไม่กี่นาทีก็พอ”
“เอ๊ะ! พวกเธอสองคนนี่มันอะไรกัน?” ท่าทางแม่คงจะทนไม่ไหว ที่เดี๋ยวจะเรียกให้มาคุย เดี๋ยวจะขอแยกไปคุยกันสองคน
“ไม่มีอะไรค่ะคุณน้า แนทขอคุยกับซันครู่เดียวจริงๆ นะคะ”
เธอยื่นมือมาแตะที่มือของว่าที่แม่ยายเบาๆ เป็นสัญญาณขออนุญาต คุณแม่พยักหน้าตอบรับ แต่ก็ยังไม่คลายเผยสีหน้ากังวลออกมาอย่างเด่นชัด
ส่วนผม… ก็หันไปมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้เปลี่ยนสายตาจากที่มองแนทอย่างไม่ค่อยพอใจมาที่ผม คิ้วขมวดนั่นคลายออก รอยยิ้มคุ้นเคยส่งมาให้เพื่อคลายความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก รอแป๊บนึงนะ คุยกับแม่ไปก่อนก็ได้” ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่ได้เครียดอะไรมากมายหรอกครับ แต่พอมันบอกว่าให้คุยกับแม่รอไปก่อนเท่านั้นแหล่ะ เหมือนโลกทั้งโลกหมุนช้าลงทันที …. ให้คุย? คุยอะไรล่ะ? ไม่เอานะ…
“ซัน… อย่าไป” ผมพูดเบาจนเกือบกลายเป็นกระซิบ มือรั้งข้อแขนอีกฝ่ายไว้เบาๆ
“ไม่เป็นไร… แป๊บเดียวจริงๆ จะรีบกลับมานะ…นะครับ”
ไอ้ซันกุมมือผมแน่น พร้อมกับตบเบาๆที่ฝ่ามือผม ทำให้จำใจต้องคลายมือที่กุมแขนของมันอยู่ ไม่อยากให้ไปเลย ไม่อยากอยู่ตรงนี้คนเดียว… ผมหันกลับมามองที่คุณแม่ เธอจ้องมาที่ผมอย่างไม่ลดละเล่นเอาผมเหงื่อแตกหนักกว่าเดิม เมื่อกี้ไม่น่าเลย จะเห็นรึเปล่า แม่จะคิดอะไรรึเปล่านะ… ****
ซันและแนทเดินมาที่โรงรถติดกับสนามหญ้าหน้าบ้าน… เจ้าแฮปปี้เดินมาทักทายเจ้าของมันอีกรอบด้วยอาการสดชื่น แตกต่างกับผู้หญิงที่เดินมาข้างๆ… ใบหน้าเธอช่างซีดหมองเหลือเกิน
“คนนี้เหรอ?” นั่นคือคำถามแรกที่เธอเอ่ยกับคู่หมั้นคนหมาดๆ
“อืม” เขาพยักหน้า ใบหน้าเรียบเฉย
“ทำไม…ไหนบอกไม่มีหวัง แล้วทำไม…”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยู่ๆ เค้าก็กลับมา…และ… และเรารักกัน” ฝ่ายชายตอบแบบลำบากใจเล็กน้อย แต่แนทเองกลับสังเกตได้ว่าคนๆ นี้กำลังมีความสุขถึงขีดสุด แม้จะพยายามกลั้นใบหน้าให้นิ่งขนาดไหนก็ตาม
“แล้วจะทำยังไง?...ซัน ซันอย่าทิ้งแนทนะ”
เธอพูดพร้อมกับเสียงที่สั่นเครือ กังวล…กังวลกับอนาคต กับเรื่องที่เคยสัญญาเอาไว้ เธอเคยคิดว่าไม่อยากจะฝากความหวังไว้กับคนๆ นี้ แต่ก็ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว…หลังการหมั้นเพียงไม่กี่วัน ทำไม…ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วย
“ผมไม่ทิ้งแนทหรอก ก็เอาตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกนั่นแหล่ะ… เราจะยกเลิกงานหมั้น แต่เรื่องเงิน ผมจะยังช่วยคุณจนถึงที่สุด”
“อะ…อืม” เธอพยักหน้าตอบตกลง และกล่าวคำว่าขอบคุณอย่างแผ่วเบาในภายหลัง
เมื่อช่วงก่อนที่ซันเพิ่งสามารถทำใจกับการจากลาของคนรักได้สำเร็จอย่างทุลักทุเล… ก็ได้เจอกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคนนั้นกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ…ร้านที่เขาและคนที่เลือกจะเดินจากไปอย่างไร้เหตุผลได้เจอกันครั้งแรก
ในตอนแรกหญิงสาวคนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่สงสัยว่า ทำไมนะ?... ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ดูเศร้ามากมาย ทั้งๆ ที่ดูจากของใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกรอบกายก็น่าจะเป็นคนมีฐานะ ไม่ขัดสนเงินทอง… แตกต่างกับเธอ ที่ฐานะปานกลาง ต้องทำงานหาเลี้ยงตนเองและน้องสาวที่อยู่ในวัยเรียนอย่างเหน็ดเหนื่อย งานหนักก็เอา งานเบาก็สู้…ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังมีความสุขกับชีวิตเรื่อยๆ แบบนี้
เธอพยายามมีปฏิสัมพันธ์กับชายแปลกหน้าที่มานั่งร้านกาแฟเป็นประจำ… หวังว่ารอยยิ้มของเธอจะสามารถทำให้เค้าเลิกเศร้า และหันมามองเธอบ้าง …เธอไม่รู้ ไม่รู้มาก่อนเลยว่ารู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และไม่เคยรู้เลยว่า… นี่ คือความรัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
เมื่อเธอกำลังทำงาน อยู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าน้องสาวถูกรถชน เป็นตายเท่ากัน…เธอถึงกับปล่อยโฮออกมากลางร้าน มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างเหมือนตกอยู่ในภวังค์ รอบกายไม่มีใครไหวติง ได้แต่อึ้งและเงียบ มีเพียงเจ้าของร้านที่เดินเข้ามาพยายามพาเธอออกไปข้างนอกเพื่อสงบสติอารมณ์
และชายคนนั้น… เขาเดินเข้ามา อาสาพาเธอไปโรงพยาบาล เธอยอมทำตามทุกอย่างโดยที่ไม่ได้รู้จักและดูด้วยซ้ำว่าเป็นใคร และเมื่อถึงโรงพยาบาล… ปรากฏว่าน้องสาวต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน เนื่องจากเกิดอาการเลือดคั่งในสมอง หมอถามถึงค่าใช้จ่ายที่แพงเกือบถึงหกหลัก เธอหมดอาลัยตายอยากกับทุกสิ่ง ทำไม…ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับเธอด้วย คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตธรรมดา ไม่เคยเบียดเบียนและเครียดแค้นใคร ทำไม…เธอทำอะไรผิดหรือ?
และมือแกร่งคู่นั้น ได้ช่วยฉุดเธอออกมาจากวงวนความมืดมิด…
‘ถ้าคุณยอมเป็นภรรยาผม ผมจะช่วยเหลือทุกอย่าง’
เพียงประโยคๆ เดียว….จากคนๆ เดียว ทำให้แนท…หญิงสาวอาภัพไม่ต้องใช้แม้แต่เศษเสี้ยวของสมองในการพิจารณาคำตอบเลยสักนิด เธอตอบตกลง…
เขาบอกต่ออีกว่า จะให้เป็นเพียงทางนิตินัยเท่านั้น… จะไม่มีการล่วงเกิน ไม่มีการเอาเปรียบใดๆ ทั้งสิ้น และเขายินดีที่จะช่วยเหลือเธอทั้งเรื่องค่ารักษาพยาบาล ที่อยู่ใหม่ และเรื่องความสะดวกอื่นๆ อีกมากมายอย่างที่ภรรยาคนหนึ่งควรได้รับจากสามี…เว้นก็เพียงแต่ “ความรัก”
ไม่เป็นไร…แนทคิด สิ่งที่เธอได้รับ ดูเหมือนจะมากมายเกินกว่าที่เธอตอบแทนเขาเสียอีก หลังจากนั้น เธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเตรียมตัวเป็นภรรยาที่ดี แลกกับค่าใช้จ่ายในทุกเดือน แมนชั่นระดับห้าดาว และการดูแลอย่างครบครัน… แต่ทว่า ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไร เขาคนนั้นก็ไม่เคยจะชายตามามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลยสักนิด มีบ้างที่ยิ้มและจับมือเธอในบางโอกาส แต่นั่น…ไม่ได้สื่อถึงอะไรเลย
มันคือหน้าที่…
และความว่างเปล่า…
ทำไมนะ ทั้งๆ มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่ก็ยังหดหู่และเหงาได้ถึงเพียงนี้
สุดท้าย เธอจึงได้รู้ใจตัวเองว่า…เธอรักเขา
ซัน…แนทรักซันได้ยินบ้างไหม?
***TBC
เจอกันหลังปีใหม่ครับ Happy New Year ทุกคน มีความสุขมากๆ
เที่ยวก็ขับรถระมัดระวังนะครับ ดูและตัวเองด้วย เพื่อคนที่คุณรัก
ปล. เข้าสู่วันใหม่พอดี วันเกิดผู้มีพระคุณที่คลอดผมมา สุขสันต์วันเกิดนะครับแม่ รักแม่มากๆ 