Part 19
“แม่หมายความว่ายังไง?” ไอ้ซันบีบไหล่ผมเหมือนจะรู้เท่าทัน แล้วออกตัวถามแทน
“อ่าว ก็คุณพลเป็นคนบอกแม่เองแหล่ะตอนแรก แต่แม่ไม่เชื่อ ใครจะไปคิดล่ะว่าอยู่ๆ ลูกตัวเองจะมีแฟนเป็นผู้ชาย” แม่ตอบกลับมา เสียงกลั้วหัวเราะในตอนแรกกลายเป็นนิ่งขรึมเมื่อเห็นว่าผมและไอ้ซันไม่ได้หัวเราะด้วย
“พ่อผมบอกแม่ว่ายังไงบ้างครับ?” ผมหลุดจากมือไอ้ซันแล้วรีบมานั่งใกล้แม่
“เอ่อ…”
“บอกมาเถอะครับ”
ผมเร่งหญิงสูงอายุให้บอกเมื่อเห็นว่าเธอทำท่าทางอึกอักๆ …คงจะเกรงใจหรือไม่ก็ไม่กล้าอะไรสักอย่าง
“แล้วลูกมาร์ชรู้อะไรมาบ้างล่ะจ๊ะ” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แม่…แม่ไปคุยกับพ่อมาร์ชตอนไหนเรื่องนี้?” ไอ้ซันเองก็งงแหล่ะครับ เพราะมันไม่เคยรู้เรื่องแม่มันกับพ่อผมมาก่อนเลยสักนิด
“ก็นานมาแล้วล่ะ…แม่จำไม่ได้หรอกว่าตอนไหน หลังๆ นี่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไหร่ เพราะแม่เองก็ไม่ได้ไปใช้บริการเขาเท่าไหร่แล้ว” เธอตอบอย่างใจเย็น ตรงข้ามกับผมที่แทบจะนั่งไม่ติดพื้นแล้ว
เมื่อเห็นว่าจี้ให้แม่พูดอะไรออกมาไม่ได้แล้ว ผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่ถามต่อ… ความจริงผมก็ไม่อยากจะติดใจอะไรมากมาย เพราะยังไงเสียความสัมพันธ์ของผมกับพ่อมันก็เลวร้ายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่พ่อทำนี้มันไม่ทำให้เพียงแค่ผมเสียใจ แต่บุคคลเหล่านี้…บุคคลที่ไม่เคยรู้จักผมมาก่อน แต่กลับให้ความรักและความเข้าใจมากมายต้องมาเจ็บปวดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่พ่อเป็นคนก่อไว้
ผมเอง…ก็คงให้อภัยไม่ได้เหมือนกัน
“แม่ครับ…พอดีผมมีธุระด่วน ขอตัวก่อนนะครับ” ผมรีบลุกขึ้น แล้วยกมือไหว้ลาคุณแม่โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของใครๆ แม้แต่ไอ้ซันเอง
“อ่าว ไม่อยู่กินข้าวกินปลาด้วยกันก่อนเหรอ?” แม่เอ่ยถาม พร้อมกับลุกตามผม
“ขอโทษด้วยครับแม่ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ เอาไว้วันหลังผมจะมารบกวนทั้งวันเลยนะครับ” ผมว่า ยิ้มและยกมือไหว้คุณแม่อีกที แล้วจึงค่อยหันไปมองไอ้ซันที่ยืนเงียบ ไม่มีปากมีเสียงอยู่ข้างๆ
แม่พยักหน้าเข้าใจ และเดินเข้ามากอดผมอีกที แม้ว่าผมจะไม่อยากผละจากอ้อมกอดอบอุ่นนี้ไปเลย แต่เห็นทีงานนี้ต้องมีเคลียร์ และผมก็เป็นประเภทที่ไม่ชอบให้อะไรมันมาคาใจอยู่นานเสียด้วย ผมเดินเข้าไปบอกลาแนทและเธอก็เข้าใจดี… จนกระทั่งเราเดินออกมานอกตัวบ้าน
“นี่มันอะไรกัน?” ไอ้ซันรีบเดินมาถามผม ทันทีที่เราเดินมาขึ้นรถ
“ไปส่งที่โรงแรมหน่อย” ผมว่าแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหลังจากที่ขึ้นรถนั่งรอฝั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวๆ คุยกันก่อน”
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเสียงไอ้คนข้างๆ เท่าไหร่นัก เมื่อปลายสายมีคนรับโทรศัพท์แล้วผมก็ถามทันทีว่า พ่ออยู่ไหม? และคำตอบก็เป็นที่พึงพอใจว่า ‘ท่านอยู่ห้องทำงานค่ะ กำลังจะมีประชุมในอีก 1 ชั่วโมง’
“มาร์ช อธิบายมาก่อน กูไม่เห็นเข้าใจอะไรซักอย่าง” ไอ้ซันยังคงไม่ออกรถ แต่สตาร์ทและเปิดแอร์ทิ้งไว้อย่างนั้น มันหันมามองผมด้วยสายตาว้าวุ่น
“เฮ้อออ…กูไม่อยากจะบอกเลย ค่อยเล่าตอนเสร็จหมดทุกอย่างแล้วได้มั้ย” ผมพิงหลังเข้ากับเบาะแข็งของรถ แล้วยกมือขึ้นปิดตา
“ไม่ เล่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้” ผมหันหน้ามาดึงแขนผมลง แลวฉุดตัวผมเข้าไปใกล้
“เหวออ เออๆ ไม่ต้องรุนแรงก็ได้” ก็จากแรงฉุดเมื่อกี้ทำให้หน้าผมกับมันใกล้กันจนแทบชิด…
จากสถานการณ์ที่ตรึงเครียดเมื่อกี้กลับตาลปัตรเป็นพวกเราจูบกันตอนไหนก็ไม่รู้ครับ…คือใจนึงมันก็โล่งที่ว่าแม่รับได้ แต่ก็นะ…พายุลูกใหญ่กว่ากำลังโหมกระหน่ำเข้ามา แต่ไม่ว่าจะตอนไหน เมื่อไหร่ก็ตาม เพียงแค่เราอยู่ใกล้กัน บางครั้งก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปเสียง่ายๆ …ผมว่าไอ้ซันเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน
“ด..เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนซัน อืมม ฮ่าา” เมื่อปากเราผละจากกันได้เล็กน้อย ผมต้องรีบตั้งสติและดันปากอีกฝ่ายที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงและรวดเร็วออกก่อน
“อีกนิดนะ…”
“ไม่ได้ อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอะไร” มันต่อรองและผมก็รีบปิดการเจรจาลงเสีย ไม่งั้นได้ยืดเยื้อแน่
“ก็ได้…” มันทำหน้าเซ็ง หรือ หงอยกันแน่ ผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ยอมไปนั่งที่เบาะตัวเองอย่างโดยดี และเริ่มออกรถ
“เรื่องก็คือ…ตอนก่อนที่กูจะไปเมกาฯ พ่อมาบอกกูว่าแม่มึงไม่อยากให้กูคบกับมึง จบ” ตั้งต้นมาเหมือนจะยาว แต่เท่าที่ผมทวนความจำตัวเองได้ มันมีแต่เรื่องนี้ ประโยคนี้วนซ้ำเป็นลูปอยู่ในหัว
….เอี๊ยดดดดดดดดดดดด….
“ห๊ะ!?” ผมแทบจะหน้าทิ่มคอนโซลรถครับ แมร่ง ก็ไอ้ซันดันเล่นเบรกซะกะทันหันจนผมคิดว่ารู้งี้น่าจะคุยกันก่อนขับรถดีกว่า =__=’’
“โอ๊ยย เบรกทำไมเนี่ยยย” ผมโวยวายเอามือกุมหน้าผากตัวเอง มันเกือบหรือชนไปแล้ววะ!?
“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ??”
“เฮ้อออ จะให้พูดอีกทำไม ก็ฟังถูกแล้ว…พ่อกูบอกว่า แม่มึงไม่อยากให้มึงคบกับกู ได้ยินเต็มสองรูหูรึยัง??” ผมว่า พร้อมกับเอื้อมมือไปปิดปาดไอ้ซันที่อ้าค้างอยู่ด้วย เห็นแล้วตลกดี (ยังจะมีอารมณ์)
“แต่ก็เห็นแล้วว่าแม่กูไม่ได้ว่าอะไรนี่…”
ผมพยักหน้า…
“งั้น…อย่าบอกนะว่าที่มึงไปเมกาฯ ก็เพราะเรื่องนี้”
ผมพยักหน้าอีกที…
“ปัดโธ่เว้ย!” ไอ้ซันยกมือขึ้นทุบกับพวงมาลัยรถอย่างแรงจนผมสะดุ้ง มันไม่ฟังเสียงผมอีกเลยได้แต่ออกรถอย่างเร็วและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ต้องการในตอนแรก…
…………………………………………..
“ขอโทษค่ะ เข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะคะ!” เสียงหญิงสาวเลขาฯ ที่ผมจำชื่อไม่ได้เพราะเปลี่ยนมาหลายรายทักท้วงไม่ให้ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของคนเป็นพ่อ
“หลีก!”
ในที่สุดผมก็มาถึงหน้าห้องทำงานที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก…สองมือเปิดประตูเข้าไปอย่างอาจหาญ ห้องกว้างที่มีกระจกบานสูงล้อมรอบ สามารถมองเห็นไปได้แทบทุกมุม โต๊ะสีดำมะเมื่อมตัวยาวตั้งอยู่กลางห้อง เสียงเปิดประตูอย่างแรงส่งผลให้คนที่นั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้เลื่อนหันหน้ามามอง
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” ผมเอ่ยเสียงแข็ง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“…เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับคุณรวิชต์ บังเอิญมีธุระด่วนเดี๋ยวผมจะติดต่อกลับไปทีหลัง” ชายวัยกลางคนผู้นั้นบอกลาปลายสายที่น่าจะเป็นลูกค้า แล้ววางโทรศัพท์ลงตามเดิม เขาเงยหน้าขึ้นมามองผม และมองเลยหลังผมไป นั่นคือไอ้ซัน…
“สวัสดีครับ” ไอ้ซันยกมือขึ้นไหว้
“เจอกันอีกแล้วนะ อยู่ห่างกันไม่ได้สักวินาทีเดียวเลยใช่มั้ย…” เสียงประชัดประชันนั่นยิ่งทำให้ผมอารมณ์พุ่งขึ้นปรี๊ด
“ใช่! และมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของคุณ!”
“หึ…นั่นสินะ แล้วมีอะไรถึงมาที่นี่ได้” อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ยังคงโต้ตอบกลับมาอย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ แต่เมื่อพบว่ามันว่างเปล่าก็กดอินเตอร์โฟนเรียกเลขาฯ ให้มาเติมกาแฟอีกแก้ว
“เรื่องคุณนั่นแหล่ะ!” ผมเดินเข้าไปใกล้อย่างอารมณ์เสีย แล้วเอามือทุบโต๊ะ
“หืม?” อากัปชายตามองนั่นยิ่งทำให้ผมอยากจะพุ่งเข้าไปจัดการอะไรสักอย่างกับคนตรงหน้าเสียให้ได้
“อย่ามาทำไขสือ ผมไปหาแม่ซันมาแล้ว และแม่ซันก็รู้เรื่องของเราแล้ว!”
คำพูดของผมท่าทางจะเล่นงานอีกฝ่ายได้ไม่น้อย… เพราะจากอาการที่ดูใจเย็นเหลือเกินกลับกลายมาเป็นร้อนรน ตาลุกวาวด้วยความโกรธและร้อนตัว ไอ้ซันต้องรีบเข้ามายึดแขนผมไว้เพราะดูเหมือนพ่อเองก็กำลังจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้าเช่นเดียวกัน มันคงกลัวว่าจะมีศึกสายเลือดเกิดขึ้นในห้องนี้แน่ๆ
“ทำไมล่ะ ตกใจล่ะสิ! งั้นก็ช่วยอธิบายเรื่องที่คุณพูดกับผมตอนนั้นเสียด้วยนะ!” แรงที่ดึงแขนผมไว้ตอนนี้มันช่วยให้ผมใจเย็นลงได้นิดนึง…ย้ำ ว่าเพียงแค่นิดนึงเท่านั้น
“เรื่องอะไร?”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ! คนอย่างคุณนี้มันน่า…!”
ในที่สุดแรงที่เหนี่ยวตัวผมไว้ก็ไม่อาจต้านทานแรงโมโหได้ ทันทีที่หลุดจากมือไอ้ซัน ผมก็วิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อสูทราคาเหยียบแสนของคนตรงหน้าเข้ามาไว้ในมือ ฟันกันกันจนสันกรามนูน…
“เอาสิ แกจะทำอะไร? ต่อยพ่อตัวเองงั้นเรอะ? หึ” หน้าตายียวนและน้ำเสียงนี้…ถึงจะโมโห แต่พอมองหน้าคนที่เรียกว่า ‘พ่อ’ ตัวเองแล้วผมก็ทำไม่ลงหรอกครับ
“ฮึ่ยย” ผมสะบัดมือออกจากปกเสื้ออีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด
“กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวชั้นมีประชุม”
“ไม่! ไม่กลับจนกว่าคุณจะบอกทุกอย่างมา…คุณโกหกผมทำไม!”
ความเงียบเข้าครอบงำบทสนทนาทั้งหมด… ผมยืนกั้นไม่ให้พ่อเดินออกไปไหน เขาเองก็ไม่ได้ดื้อด้านแต่อย่างไร ได้แต่ยืนนิ่งแล้วยกมือขึ้นจัดเสื้อสูทและเนคไทตัวเองให้เข้าที่ ผมกับเขาสบตากัน…แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไรอยู่ในใจ
“แกก็น่าจะรู้เหตุผลดีอยู่แล้วนะ” ในที่สุดพ่อก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบงันนี้ลง
“เหตุผล? …เหตุผลอะไร” ผมยืนงงกับคำตอบของอีกฝ่าย
“ใช่…ชั้นเองแหล่ะที่เป็นคนไม่อยากให้แกสองคนคบกัน”
“คุณ!...”
“ก็เลยไปปรักปรำ ป้ายความผิดให้แม่ผมงั้นสิ?” ไอ้ซันเดินเข้ามาใกล้ และเปิดปากพูดเมื่อเห็นโอกาส เพราะมันเองก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันที่เห็นแม่ของมันกลายเป็นหมากรุกชิ้นหนึ่งในเกมส์ของชายคนนี้
“มันจำเป็น…” เขายังคงปัดเสื้อสูทราคาแพงไปมา…อย่างไม่สนใจเราสองคน
“จำเป็น? มันจำเป็นตรงไหนไม่ทราบ” ผมหัวเราะให้กับความบ้าบอของชีวิต..มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย!
“ก็ตรงที่เพื่อให้แกเลิกกับมัน และมาสืบทอดกิจการชั้นยังไงล่ะ”
ในที่สุดหลังจากที่โง่มานาน…ผมก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดทั้งปวง ถ้าเขาเอ่ยปากบอกให้ผมเลิกกับซัน แน่นอนว่าผมไม่ทำตามหัวเด็ดตีนขาด แต่แค่เพียงรู้จุดอ่อนผม แล้วนำส่วนนั้นมาหลอกล่อโดยอาศัยช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอหลังจากเสียแม่ไป…ก็แค่เท่านี้ เขาเองก็ได้ทุกอย่างมาไว้ในกำมือโดยที่ไม่ต้อลงทุนลงแรงอะไรให้เสียหาย แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเปิดเผยและยากที่จะปิดต่อไปแล้ว ความจริง…ยังไงเสียก็เป็นความจริงวันยังค่ำ เช่นเดียวกับหมาจิ้งจอก…ไม่ว่ายังไงก็เก็บหางตัวเองไม่พ้น
“หึ อย่างนี้นี่เอง…” ผมหัวเราะให้กับความโง่ของตัวเอง ที่ผ่านมาคนที่เหมือนจะไม่แยแส ไม่สนใจเรื่องของผม ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ซัน…กลับกลายเป็นคนที่ทำให้ผมปวดใจมากที่สุด คนใกล้ตัว…แต่ไกลหัวใจคนนี้นี่เอง
“ผมเคยบอกคุณมานานแล้วไม่ใช่เหรอเรื่องนี้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงเสียผมก็ไม่สืบทอดกิจการเน่าๆ ของคุณหรอก!” ผมยังคงขึ้นเสียงอย่างรุนแรง ไอ้ซันที่ตอนแรกอึ้งไปก็เข้ามาจับตัวผมไว้เมื่อสติกลับมา
“กิจการเน่าๆ งั้นเรอะ! แกมาบอกว่ากิจการที่ตระกูลเราบริหารมาแต่รากเหง้าหัวหงอกนี่มันเน่างั้นเรอะ ถ้าไม่ใช่เพราะกิจการนี้แกก็ไม่ได้อยู่สบาย ใช้เงินมือเติบแบบนี้หรอก ไอ้ลูกทรพี!”
“ผมเป็นลูกทรพี เพราะได้คนอย่างคุณเป็นพ่อนั่นแหล่ะ!”
นี่เป็นการระเบิดอารมณ์ครั้งแรกระหว่างผมกับคนที่เรียกว่า ‘พ่อ’ ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่จะดุเดือดจากเชื้อเพลิงที่สะสมมานาน 20 กว่าปี ตั้งแต่เด็กแล้วที่คนๆ นี้บังคับให้ผมต้องทำตามความต้องการของเขา ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องเล่น เรื่องรัก…ทุกอย่างต้องไปเป็นตามทำนองคลองธรรม หรือ พูดง่ายๆ คือ ‘เป็นไปตามแบบที่เค้าต้องการให้เป็น’
การศึกษาที่ไทยไม่ดีพอ ก็ต้องส่งไปเรียนนอก ไม่ได้เกียรตินิยมก็ขู่อย่างเดียวว่าจะไล่ออกจากบ้าน มีครั้งหนึ่งที่ผมอยู่กับกลุ่มเพื่อน แล้วเห็นว่าทุกคนต่างมีความฝัน…มีความทะเยอทะยานเพื่อบางสิ่งบางอย่าง และที่สำคัญ…เพื่อตัวเอง ผมจึงหันกลับมาถามตัวเองบ้างว่า ‘ผมต้องการอะไร’
สิ่งที่แย่ที่สุดคือ …ผมไม่รู้… เส้นทางที่ถูกกำหนดมาอย่างตายตัวตั้งแต่เกิดไม่ได้ช่วยปิดกั้นโอกาสหลายๆ อย่าง เช่น การศึกษา หรือ หน้าที่การงาน แต่มันปิดกั้นเพียงสิ่งเดียว…. และสิ่งเดียวนั้นมันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด… ‘อิสรภาพ’
ผมจึงกลับไปบ้าน และพูดกับพ่อว่า… ผมไม่อยากเรียนต่ออีกต่อไปแล้ว… และอยากเริ่มทำงานของตัวเอง เพียงแค่นั้น ไฟที่โหมกระหน่ำก็แทบจะแผดเผาบ้านหลังใหญ่ให้วอดลงในพริบตา สิ่งที่ผมจำได้ต่อมา คือ ผมนอนอยู่ในตักนุ่มของแม่… ใบหน้าครึ่งด้านชาไปทั้งแถบ กลิ่นคาวคละคลุ้งอยู่ในปาก
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการกลายเป็นเด็กใจแตกของผม…ไม่สิ ผู้ใหญ่แล้วตอนนั้น แต่ก็ยังคงเที่ยวผับ เข้าบาร์ไม่เว้นวัน ไม่เพียงแต่เลิกล้มความฝันของตัวเอง แต่ก็ทำลายความฝันของคนในบ้านด้วยเช่นกัน เรื่องอะไรจะยอมโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ…
ผมรู้ตัวว่าเป็นคนเอาแต่ใจ เพราะโดนสปอยด์เรื่องการกินการใช้มาตั้งแต่เด็ก และพ่อก็ยังตัดผมไม่ขาด… ทั้งๆ จะตัดสายเลือดกันเลยก็ได้ แต่เค้าก็ยังสนับสนุนเรื่องเงินผมมาเสมอ เครดิตการ์ดที่ไม่จำกัดวงเงินและสามารถใช้ได้ทั่วโลกทำให้ผมใช้เงินอย่างคนบ้า
หลายครั้งที่พ่อพยายามจะฝืนบังคับให้ผมกลับไปเรียนหรือเริ่มต้นทำงาน… แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับก็ไม่ใช่ไอ้มาร์ชลูกชายที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้ชักใยอีกต่อไปแล้ว ผมเริ่มขึ้นเสียง เริ่มต่อต้าน… และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อแย่ลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย ผมคิดว่าเค้าคงอ่อนใจและอ่อนแรง จึงเลิกที่จะทนตื้อให้คนที่เค้าปั้นมากลับเป็นเป็นตุ๊กตาตัวโปรดเช่นเดิม
ผมเห็นพ่อมีลูกน้องหลายคนที่เป็นคนโปรด… ผมจึงคิดว่าเค้าคงเลิกล้มให้ผมสืบทอดกิจการแล้วแน่ๆ เพราะหลังจากนั้นมาหลายปี ก่อนที่ผมจะเจอกับไอ้ซัน… เค้าไม่เคยคิดจะคุยเรื่องนี้กับผมอีกเลย
แต่ใครจะไปรู้… ว่าคนอย่างเค้า จะคิดกลับมาแก้แค้นผมด้วยเรื่องอะไรแบบนี้…
***TBC