THE END
สุดท้าย…ผมกับมาร์ชก็มาลงเอยกันที่คอนโด เรากอดก่ายนัวเนียหลายรอบจนแทบจะหมดแรง แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า แต่ภายในใจ…กลับรู้สึกว่าเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ผมอยากกอด อยากจูบ อยากสัมผัสเรือนร่างนี้ อยากจะอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาไม่ห่างไปไหน…
จึงอยากจะกักเก็บความรู้สึกที่แสนพิเศษนี้เอาไว้ให้มากที่สุด ผมนอนให้อีกฝ่ายหนุนแขน…เฝ้ามองใบหน้าขาวชื้นเหงื่อที่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ดูไม่รู้จักเบื่อ ขนตาหนาเป็นแพชื้น จมูกโด่ง และริมฝีปากสีสดที่มักจะเชิดรั้นตลอดเวลา หน้าอกผายหายใจหอบขึ้นลงเป็นจังหวะ
“…มองทำไม อยากโดนอีกรอบรึไง” คำพูดท้าทายนั่นทำเอาผมถึงกับหัวเราะออกมา ใครกันแน่ที่อยากโดนอีกรอบ พูดมาไม่รู้จักอายเลยนะหมอนี่ หึหึ
“มองคนน่ารัก รักคนน่ามอง” ผมแซวไป ยิ้มไป แล้วดึงเป้าหมายเข้ามาหอมแก้มแรงๆ จนมันหน้าแหย รีบยกมือผลักหน้าผมออก
“ไอ้บ้า”
และแล้วก็ต้องหัวเราะยกใหญ่อีกรอบด้วยความชอบใจเมื่อเห็นไอ้มาร์ชมันอายแบบโหดๆ นี่แหล่ะครับคนน่ารักของผม อายแล้วต้องทำร้ายร่างกายแฟนตัวเอง แต่ผมไม่ถือหรอก…แบบนี้ยอมให้ทำร้ายบ่อยๆ เลยก็ได้
“มาร์ช….” ผมกระซิบเรียกเบาๆ หลังจากที่เราเงียบไปสักพักจนเกือบจะผล็อยหลับไป
“…อะไร”
“ขอบคุณนะ” หลังจากที่ผมพูดออกไป มาร์ชก็หันหน้ามามองอย่างงุนงง
“ขอบคุณเรื่อง?”
“ทุกๆ อย่าง…ขอบคุณที่เชื่อใจ ขอบคุณที่ยอมรับ ขอบคุณที่…รัก”
ผมนอนลูบหัวมันอยู่อย่างนั้น…ท่ามกลางความเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาจากอีกฝ่าย แต่ผมก็รู้…รู้ว่ามาร์ชเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากกัน เพราะมันเองก็ลูบมือผมตอบ
แต่อยู่ๆ มันก็ค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้น…นั่งชันเข่าอยู่พักใหญ่ และหันมาทางผม
“ซัน…มานี่สิ” ไอ้ตัวแสบดึงแขนผมให้ลุกขึ้นตามโดยที่ไม่บอกว่าจะให้ทำอะไร แต่ก็ไม่ได้ถาม เพียงแค่รู้สึกว่า ณ ตอนนั้น… วินาทีนั้น เหมือนราวกับต้องมนต์สะกด มือสากแต่ไม่ถึงกับหยาบกร้านจูงมือผมให้เดินตามเข้าไปในมุมห้องนั่งเล่นที่ติดกับห้องแต่งตัว
เราทั้งสองเนื้อตัวเปลือยเปล่า หยุดยืนอยู่ที่ผ้าผืนใหญ่คลุมเครื่องเรือนชิ้นหนึ่งเอาไว้… ผมสังเกตมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามันอยู่ตรงนี้ของห้อง แต่เพราะมันอยู่มุมในมากและถูกคลุมไว้ด้วยผ้าผืนขาวตลอดเวลา ด้วยความที่ไม่ได้สนใจจึงไม่เคยถามว่าคืออะไร
แต่ดูจากรูปร่างแล้ว… พอเดาได้ไม่ยาก ว่านั่นคือ ‘เปียโน’
และก็ไม่ผิด…เมื่อมาร์ชเข้าไปดึงผ้าคลุมออก ฝุ่นละอองที่เคลือบด้านบนจากการไม่ได้ทำความสะอาดมานานทำเอาแอบสำลักเล็กน้อย ถึงอย่างนั้น..สภาพข้างในยังแทบจะเรียกได้ว่าดีมากๆ ราวกับถูกดูแลอย่างดีมาตลอด
มันเป็นเปียโนติดผนังขนาดพอดี เรือนไม่เล็ก และไม่ใหญ่ ลายไม้ทั้งหลัง…เรียบ แต่กลับรู้สึกว่ามีพลังอย่างประหลาด
“รู้มั้ย…เมื่อก่อนกูอยากเรียนเปียโนมาก” ไอ้มาร์ชพูด ก่อนที่จะก้มลงไปปัดเก้าอี้เปียโนตัวเกลี้ยงสองสามที และนั่งลง ส่วนผมก็ยืนชันแขนกับตัวเปียโนเพื่อฟังมัน
“…จริงน่ะ”
“อือหึ ตอนเด็กจำได้ว่าทุกๆ 5 โมงเย็น จะได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงมาจากข้างบ้าน ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าดังมาจากไหน กูกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่…ทันทีที่ได้ยินก็รู้สึกชอบมากๆ มันทำให้ใจกูสงบได้”
ผมท้าวคางตัวเอง ฟังไปด้วย มองดูนิ้วมือขาวๆ ของมาร์ชไล้ไปตามเนื้อไม้และคอร์ดสีขาวนั่น…
“มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเค้า แอบมองเข้าไปตรงหน้าต่าง เห็นเด็กผู้หญิงคนนึงกำลังเล่นเปียโนอยู่ เธอใส่ชุดสีขาวยาวถึงเข่า สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข เธอเล่นไปยิ้มไป จนอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้เครื่องดนตรีนี้มันมีดีอะไรนักนะ”
“…หึหึ แล้วก็แอบชอบเค้าล่ะสิ” ผมอดเอ่ยแซวไม่ได้ ยิ่งมองหน้ามันตอนเล่าแล้วท่าทางอิ่มเอมซะเหลือเกิน
“อืม ใช่” อีกฝ่ายตอบรับอย่างไม่อายและไม่เกรงใจผม “กูชอบเค้ามาก แต่ก็เป็นความชอบแบบเด็กๆ อ่ะนะ ไม่ได้อะไร…ตอนนั้นเลยรีบกลับไปบ้าน ขอแม่เรียนเปียโนกับเค้าบ้าง เผื่อจะได้เอามาเล่นกับผู้หญิงคนนั้น”
ผมลอบยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูในวัยเด็กของไอ้มาร์ช…เป็นเรื่องปกติที่เราทุกคนจะมีความรักใสๆ ที่บางครั้งพอย้อนกลับไปดูก็รู้สึกน่าอาย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหลังอันน่าจดจำ
“แม่หัวเราะ…ถามว่าจะเรียนไปทำไม เลยบอกไปตามตรงว่า จะเล่นให้ผู้หญิงคนนั้น แม่ยิ่งชอบใจใหญ่…บอกว่าตัวแค่นี้ริอาจจะจีบผู้หญิงแล้วเหรอ” มาร์ชเล่าไป เม้มปากแน่นไป…เมื่อย้อนนึกถึงอดีตอันแสนสวยงาม
“…แล้วตกลงก็เลยได้เรียนเปียโน?”
“เปล่า พ่อไม่ให้ เพราะบอกว่ามันเป็นเครื่องดนตรีผู้หญิง ผู้ชายที่ไหนเค้าเล่นกัน หึหึ”
คนเล่ายิ้มอย่างขมขื่น…แต่ผมก็รู้ว่ามันคงไม่ได้รู้สึกเศร้าเหมือนครั้งแรกที่โดนพ่อตัวเองปฏิเสธ เพียงแต่รู้สึกผิดหวังเท่านั้น
“แต่รู้เปล่า…กูแอบไปเรียนมาล่ะ โดดเรียนพิเศษทุกวันพุธตอนเย็น แล้วเจียดเงินเดือนตัวเองไปซื้อคอร์สเรียนเปียโน ทุกวันนี้พ่อก็ยังไม่รู้ คิดว่าไปเรียนเลขกับไอ้จารย์สุดโหดจริงๆ ฮ่าๆๆ” เจ้าตัวยิ้มจนตาหยีเมื่อเล่าจนจบ นิ้วมือก็กดลงบนเส้นเสียงเปียโนนั่นดังเป็นตัวโน้ตเสียงต่ำไล่ไปเรื่อยๆ
“…ให้ตายเถอะ ดื้อแต่เด็กเลยวุ้ย” ผมหัวเราะแล้วส่ายหัวอย่างระอา
“ไม่ได้ดื้อ เค้าเรียกทะเยอะทะยานเว้ย” อีกฝ่ายเถียง ยักคิ้วกวนๆ ใส่
“เออๆ แล้วตกลงเป็นไง จีบติดมั้ย?”
“…กูเรียนไม่ถึงเดือน เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ย้ายบ้านไป”
ผมถอนหายใจเล็กน้อยให้กับจุดจบของความรักในวัยเยาว์ของไอ้มาร์ช…สุดท้ายก็ไม่ได้แม้แต่จะบอกรัก ไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้น ทุกอย่างก็จบลงซะแล้ว แต่ในขณะที่ผมกำลังไว้อาลัยให้ความทรงจำส่วนลึกของอีกฝ่ายอยู่นั้น …เจ้าของเรื่องกับนั่งจ้องหน้าผมตาแป๋ว ปากสีชมพูดสดขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้าต่อ…
“แต่ถึงยังไงกูก็ยังเรียนเปียโนต่อ และ…สัญญากับตัวเองว่า จะไม่เล่นเปียโนให้ใครอีกเพราะหวังว่าสักวันกูจะได้เล่นให้กับผู้หญิงคนนั้น… คนที่เป็นรักแรก”
“แต่ในเมื่อไม่มีโอกาสได้เล่นให้กับรักแรกแล้ว….เลยอยากจะเล่นให้รักครั้งสุดท้ายแทน”
ผมยืนนิ่ง…จังงังไปชั่วขณะ
“ซัน…ฟังกูนะ”
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2AECD7PD&Autoplay=0You Raise Me up
When I am down and, oh my soul, so weary;
When troubles come and my heart burdened be;
Then, I am still and wait here in the silence,
Until you come and sit a while with me.
You raise me up, so I can stand on mountains;
You raise me up, to walk on stormy seas;
I am strong, when I am on your shoulders;
You raise me up: To more than I can be.
You raise me up, so I can stand on mountains;
You raise me up, to walk on stormy seas;
I am strong, when I am on your shoulders;
You raise me up: To more than I can be.
You raise me up, so I can stand on mountains;
You raise me up, to walk on stormy seas;
I am strong, when I am on your shoulders;
You raise me up: To more than I can be.
You raise me up, so I can stand on mountains;
You raise me up, to walk on stormy seas;
I am strong, when I am on your shoulders;
You raise me up: To more than I can be.
You raise me up: To more than I can be.เพียงแค่ครึ่งเพลง…ไม่รู้ทำไม ถึงได้รู้สึกว่าดวงตาร้อนผ่าว น้ำอุ่นไหลลงอาบข้างแก้ม…ไม่มาก แต่เพียงพอที่ทำให้อุ่นวาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
ผมไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา… กลัว กลัวว่าจะพลาดทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกตัวโน้ต ทุกเสียงดนตรี ทุกจังหวะการหายใจของอีกฝ่าย เสียงเปียโนนั่นเล่นไปเรื่อยอย่างไม่ติดขัดราวกับฝึกหัดเป็นประจำ บวกกับเสียงนุ่มทุ้มที่แสนคุ้นเคย
แต่ในวันนี้… ตอนนี้ มันกลับไพเราะอย่างประหลาด เพราะกว่าทุกเพลงที่ผมเคยฟัง จับใจกว่าทุกเสียงที่เคยได้ยินบนโลกใบนี้ จนไม่อยากจะให้จบลง
สิ่งเดียวที่ทำได้… คือการยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังกดปลายนิ้วเข้ากับแป้นเปียโน ผมเห็นว่ามาร์ชเองก็ยิ้มไปร้องไปเช่นกัน ปากน้อยนั่นสั่นนิดๆ เหมือนพยายามกลั้นความรู้สึกท่วมท้นภายใน
ในที่สุด…โน้ตตัวสุดท้ายก็จบลง พร้อมกับความเงียบ แต่ภายในหัวผมบทเพลงนั้นยังคงก้องกังวาน
“ซัน…ขอบคุณเหมือนกันนะ” ไอ้มาร์ชเงยหน้าขึ้นมายิ้ม มันลุกขึ้นมาพร้อมกับหยิบของบางอย่างที่วางไว้บนหัวเปียโนมาด้วย
“อืม…” ผมตอบกลับ ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ และเอาหน้าผากชนกัน
“ถ้ากูไม่มีมึง ก็ไม่มีกูในวันนี้…คงเป็นไอ้บ้าที่ไม่ได้เรื่อง เอาแต่เมา เที่ยว แดรกเหล้า ใช้ชีวิตห่าเหวไปวันๆ”
ผมได้แต่หัวเราะเสียงแหบเป็นการตอบรับรู้…และลูบแก้มมันเบาๆ
“เพราะมึงนะซัน…เพราะมึงดึงกูขึ้นมาจากนรกนั่น เพราะมึงทำให้ชีวิตกูเปลี่ยนไป เพราะมึง…” มันเงียบไปชั่วขณะเพราะต้องกลั้นเสียงสะอื้นที่แอบเอาไว้
“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนนึงในชีวิต… ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในเวลาที่ไม่มีใคร…ขอบคุณอยู่ข้างกันเสมอมา…ขอบคุณ ขอบคุณ”
“ขอบคุณที่รักกัน…”
ผมไม่ทันให้มันได้พูดไปมากกว่านี้ มือรีบคว้าท้ายทอยสั่นระริกนั่นเข้ามาใกล้ และบรรจงมอบจูบอ่อนหวานให้แทน มันไม่หวือหวา ไม่เร่าร้อน…แต่เป็นการจูบที่ค่อยเป็นค่อยไป ริมฝีปากเราแนบเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำเล่าซ้ำเล่า…จนแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียว
และแล้ว…มันก็ทำผมประหลาดใจอีกครั้ง
“ซัน…..
แต่งงานกับกูนะ”
ในที่สุดผมก็ไม่ได้เห็นเจ้าของที่มาร์ชแอบหยิบมาเมื่อครู่ มันเป็นแหวนทองคำขาวเกลี้ยงเกลาเล็กๆ เพียงแค่นั้นผมก็ต้องระเบิดหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศหวานๆ ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาเมื่อครู่นี้เสียสนิท เลยโดนไอ้มาร์ชมันเขม่นดุๆ จึงค่อยเงียบเสียงลง แต่รอยยิ้มยังคงเด่นหลาอยู่บนใบหน้า
“คุณจะแต่งงานกับผมมั้ยครับ คุณสหรัฐ…อย่ามัวแต่ขำ เดี๋ยวเจ้าบ่าวจับโบก” ไม่ให้ขำได้ไงล่ะ ขนาดคำขอแต่งงานยังฮาได้ขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกครับ เรื่องอะไรล่ะ…ในเมื่อรอคำๆ นี้มานาน
“หึหึ ไหงมันกลับตาลปัตรแบบนี้ล่ะ…”
“รับไม่รับ” คนถือแหวนเก้อเริ่มมองผมตาเขียว ไอ้คราบน้ำตาเมื่อสักครู่นี้เหือดหายไปไหนหมดแล้วไม่รู้
“…ใจเย็นๆ รับสิครับ ไม่รับก็โง่แล้ว”
ไอ้มาร์ชทำหน้าทำตาหมั่นไส้ใส่ผมเล็กน้อย ก่อนที่จะบรรจงสวมแหวนนั่นเข้าที่นิ้วนาง…ไม่รู้ว่าแอบไปวัดขนาดมาตอนไหนถึงได้ใส่พอดีขนาดนี้ แม้จะว่าแอบหลวมไปนิดนึงก็ตาม
ผมชื่นชมแหวนแต่งงานของตัวเองเล็กน้อย…ก่อนที่จะรีบถอยหน้าออก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยื่นเข้ามาเหมือนจะจูบสาบาน
“จุ๊ๆ เดี๋ยวก่อนสิครับคุณเจ้าบ่าว เจ้าสาวยังไม่ได้สวมแหวนให้เลย” ผมเล่นไปตามบท ตอนนี้ให้เป็นเจ้าสาวก็ยอมแหล่ะวะ
ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองท่ามกลางความงุนงงของไอ้มาร์ช…มือเปิดลิ้นชักดึงของข้างในออกมาโกยทิ้งอย่างไม่ใยดี และล้วงเค้าไปส่วนลึกด้านในสุด…เพื่อหากล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน
ผมรีบเดินกลับมาหาไอ้มาร์ช…ที่กำลังมองผมแบบทึ่งๆ อึ้งๆ
“แย่เลยเนอะ…ดันใจตรงกันซะได้” ผมค่อยๆ เปิดฝากล่องนั่นขึ้น ข้างในเป็นแหวนทองคำขาวเกลี้ยงที่ใหญ่กว่าวงที่สวมอยู่บนนิ้วผมเล็กน้อย
สองเข่าลดลงต่ำ…ตั้งชันกับพื้น และเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนที่ผมกำลังจะขอแต่งงาน มันยืนมองนิ่งด้วยความตะลึงงัน
“ที่รักครับ…คุณจะรับผมเป็นเจ้าสาวมั้ย?” ทันที่ที่ผมพูดจบ ไอ้มาร์ชก็ยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาตัวเอง ไม่ใช่เพราะความเขินอาย…แต่เป็นเพราะหัวเราะออกมาจนหน้าแดงหูแดงต่างหาก
“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยยย…ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ หึหึ ไม่รับไม่ได้แล้วล่ะ…เจ้าสาวพิลึกขนาดนี้” มันพูดไปหัวเราะไปจนผมอยากจะทำหน้างอนบ้าง แต่มาคิดดูแล้วมันคงไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ -*-
“…งั้นแต่งงานกับผมนะ”
เมื่อพูดประโยคนี้…บรรยากาศเฮฮาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นทางการทันที ไอ้มาร์ชเม้มปากแน่นเมื่อเห็นผมลุกขึ้นยืน หน้าตาจริงจัง แหวนทองคำขาววงนั้นถูกดึงออกจากกล่อง และบรรจงสวมเข้ากับนิ้วนางอีกฝ่ายอย่างบางเบา
“…เหมือนกันเลย” ที่รักของผมพึมพำเสียงเบาเมื่อก้มลงมองดูแหวนในนิ้วมือตัวเอง
“ใครว่า…”
“หืม?”
“ดูดีๆ สิ….” ผมกระซิบบอก และดึงมือมันขึ้นมาจูบ นั่นทำให้แหวนเข้ามาในระยะสายตา และเมื่อมองใกล้ๆ แล้วจึงได้เห็นว่ารอบแหวนวงนั้นมีรอยสลักจางๆ อยู่ด้านหน้า
และรอยนั้นถูกสลักเป็นภาษาอังกฤษตัวเขียน ลายมือตวัด…
‘I’m your Sun’
มือที่สวมแหวนนั้นสั่นระริก…มันรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่น พร่ำกระซิบคำว่า ‘รัก’ เป็นล้านๆ ครั้ง แม้ว่าจะได้ยินบ่อยแล้วแต่ผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ฟัง เพราะเราต่างรู้ว่ามันไม่ใช่คำลอยๆ ที่พูดเพื่อจะปลอบประโลมหรือหลอกลวง แต่ออกมาจากข้างในอย่างแท้จริง
เรายืนกอดกันอยู่อย่างนั้น…ปากก็นัวเนียไม่ห่าง จนกระทั่งมาร์ชค่อยๆ ผละออกมา
“ซัน…กูไม่รู้ว่าอนาคตของเราจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเราจะรักกันไปอีกนานแค่ไหน แต่กูสัญญา…สัญญาว่าจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด และจะรักมึงให้มากที่สุด” ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากมาร์ช…ผมได้แต่ยืนยิ้มไม่หุบอยู่อย่างนั้น
“เหมือนกันครับ…รักมากๆ และจะรักมากขึ้นทุกวัน แต่…”
“หืม?” อีกฝ่ายขึ้นเสียงสูงในลำคอเป็นเชิงถาม
“แต่ทำไมกูนึกอนาคตออกวะ” ผมยิ้มกว้าง
“หา ยังไง?”
“ก็พอแก่ตัวลง เราสองคนก็จะไปหาบ้านเล็กๆ อยู่ด้วยกัน อาจจะเป็นในชนบท ภูเขา ไม่ก็ริมทะเล…ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ตอนเช้าก็ลุกขึ้นมาทำสวน ทำอาหารง่ายๆ กิน ตกบ่ายก็นั่งอ่านหนังสือข้างกันที่โซฟาตัวยาว มองดูหลานตัวน้อยเล่นของเล่นที่ซื้อมาให้ในวันเกิด พอตกเย็นก็ออกมานั่งม้าโยกริมระเบียงคู่กัน มองดูวิวรับลมเย็น…และจับมือกัน เป็นคุณปู่ กับ คุณปู่ แก่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดไป…” ผมอธิบายความฝันสูงสุดในชีวิตให้ไอ้มาร์ชฟังอย่างตั้งใจ
“…ฮะๆ คุณปู่ กับ คุณปู่งั้นเรอะ…ไหนเมื่อกี้บอกว่าเป็นเจ้าสาว จะเป็นคุณปู่ได้ยังไง”
“เอาน่า…เจ้าสาวเจอจุมพิตของเจ้าบ่าว เลยกลายเป็นเจ้าชายกบไงล่ะ”
ไม่ได้พูดเปล่า..แต่ยื่นหน้ายื่นปากเข้าไปราวกับจะขอจุมพิตจากเจ้าชายตรงหน้านี่จริงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากไอ้มาร์ชได้เยอะทีเดียว
“งั้นสัญญานะ…ว่าจะเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า และจะรักกันตลอดไป” ผมรีบแย้ง ก่อนจะจุ๊บลงที่ปากนิ่มของอีกฝ่าย
“อืม…สัญญา…”
เราสองคนกอดกันแนบแน่นท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงของดวงจันทร์วันเพ็ญส่องแสงลอดผ่านบานกระจกผืนใหญ่เข้ามาในห้อง แม้ว่าลมเย็นจะโชยพัดเข้ามาจากช่องเล็กที่เปิดทิ้งไว้ แต่ภายในหัวใจสองดวงนี้…กลับอบอุ่น เร่าร้อนจนแทบจะกลืนเป็นดวงเดียวกัน
ผมรักมัน… และมันรักผม เพียงเท่านี้
ขอเพียงเท่านี้…
ก็พอแล้ว
***