บทที่ 9
ปัญญามองหน้าจอโทรศัพท์ขณะที่นั่งอยู่ในรถสองแถวที่จะพาเขาไปส่งหน้าปากซอยของโรงเรียน แรงสะเทือนน่าเวียนหัวไม่เป็นอุปสรรคกับเขาเท่าไรนัก เพราะตอนนี้เขากำลังจมดิ่งลงไปในห้องความคิดหลังจากอ่านคอมเม้นท์ในเชิงลบใต้รูปคู่ของเขากับโดนัทที่ถูกแอบถ่าย
'เดี๋ยวนี้เป็นเกย์แม่งเป็นกระแสไปแล้วเหรอวะ กูไม่เห็นจะเข้าใจว่าน่าชื่นชมตรงไหน'
แน่นอนว่าคอมเม้นท์ในแง่ลบแบบนี้เป็นส่วนน้อย และส่วนมากก็จะโดนสาววายทั้งหลายด่าและรุมประณามแบบเสียลูกเสียคนไปข้าง แต่ก็บางส่วนที่เข้ามาแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ และถ้าให้พูดกันตามตรง ปัญญาไม่แปลกใจหรอกถ้าจะมีคนไม่ชอบใจ ดูคนใกล้ตัวอย่างพ่อเขาเป็นไง ถ้าพ่อเข้ามาร่วมวงตรงนี้ เขาเชื่อว่าพ่อเขาจะต้องอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่ชอบใจด้วยแน่
อืม... มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะมั้ง เขาเองก็ทำใจไว้ก่อนแล้วกับเรื่องแบบนี้ จะเก็บมาคิดมากไปก็ใช่เรื่อง
ปัญญาเดินลากเท้าไปตามพื้นคอนกรีต เดินผ่านรั้วโรงเรียนและยกมือไหว้ครูที่ประจำอยู่ตรงจุดนั้น เดินผ่านเข้าไปมีศาลาที่วางพระพุทธรูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เขายกมือไหว้พระอย่างที่ทำเป็นประจำแล้วจึงเดินตัดพื้นที่จอดรถสำหรับบรรดาอาจารย์และบุคลากรในโรงเรียน ก้าวเท้าลงเดินทางที่ทอดยาวไปถึงตึกเรียนขนาดใหญ่ตรงหน้าก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อใครบางคนกระแทกตัวพร้อมกับฉุดแขนเขาไป จากนั้นจึงมาด้วยเสียงทักทายอย่างร่าเริง
"สวัสดีครับ พี่ปัน วันนี้มาเช้าจังนะฮะ"
"โด!" ปันพูดขึ้นอย่างแปลกใจระคนโล่งอก "ตกใจหมดเลย อยู่ๆ โผล่มางี้ เดี๋ยวพี่หัวใจวายไปจะทำไง"
"โธ่ เรื่องแค่นี้เอง พี่ปันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกน่า" พูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานหยดให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตมองเขานิ่ง "ขนาดเมื่อวันเสาร์ เมาขนาดนั้นยังผ่านมาได้"
คำพูดนั้นทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งตัวเฮือก นึกถึงริมฝีปากนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายเขาที่เขาก้มลงไปจูบอย่างถือวิสาสะ ผนวกกับสายตาวิบวับของโดนัทแล้ว ยิ่งทำเอาปัญญาเหงื่อตก
จูบแรกของเขา... และอาจจะเป็นจูบแรกของอีกฝ่ายด้วย เขากลับทำมันตอนที่เมาจนสติแทบไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนั้น... บ้าเอ๊ย! เขาทำลงไปได้ยังไงเนี่ย จะฉวยโอกาสคนอื่นเขายังไม่พอ ยังจะทำลงไปในสถานการณ์ที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดอีก
“พี่คงไม่ได้กำลังจะบอกผมหรอกใช่ไหมครับว่าลืมเรื่องวันเสาร์ไปหมดแล้ว” โดนัทที่ปล่อยมือออกจากแขนไปตั้งแต่ตอนไม่รู้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงท้าทายเล็กน้อย อันที่จริงก็คือเด็กหนุ่มรู้ดีว่าปัญญาไม่ชอบให้แตะเนื้อต้องตัวในที่สาธารณะมากเกินไป และเขาก็ระมัดระวังตัวมากพอที่จะไม่ทำอะไรก็ตามที่อีกฝ่ายจะไม่ชอบ
“เปล่า พี่… พี่ไม่ได้ลืม” เจ้าตัวก้มหน้างุดๆ ตอบในตอนแรก แต่เมื่อรู้สึกถึงสายตากลมโตที่จับจ้องอยู่ เขาก็เงยหน้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ รู้สึกได้ถึงความคาดหวังและการรอคอยจากเด็กหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงของปัญญาจึงหนักแน่นขึ้นขณะว่า “พี่จำได้ทุกอย่าง… จำได้ละเอียดด้วย”
น้ำเสียงมั่นคงนั่นทำเอาโดนัทที่ตั้งใจจะคาดคั้นอีกฝ่ายจนถึงที่สุดหน้าร้อนวูบขึ้นมา สังเกตเห็นว่าใบหน้าของรุ่นพี่เองก็แดงระเรื่อเล็กน้อยเหมือนกัน และมันทำให้ใจเขาฟูฟ่องอย่างเป็นสุขและมีความหวัง
เรื่องของพวกเขาสองคนมันชัดเจน… ชัดเจนมาตั้งแต่วันแรกที่ปัญญาเข้ามาถามเขาในวันรับน้องแล้ว
เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้คืออะไร และเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาแบบไหน แต่ไม่รู้ทำไมทุกอย่างมันถึงได้เชื่องช้าและไม่ไปต่อข้างหน้าสักที
‘พี่ปันกำลังรอโอกาส…’ โดนัทลอบคิดในใจอย่างเข้ารู้ดี ‘เขาอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคง เขาคงอยากจะสารภาพและขอคบเป็นในบรรยากาศโรแมนติกหรืออะไรแบบนั้น แต่ผมรออะไรแบบนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว’
“พี่ปัน…” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอขณะรวบรวมความกล้า มือกำหมัดแน่นขึ้นและรู้สึกถึงเหงื่อที่ชื้นเต็มฝ่ามือ เขาไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด เวลาจะมีเรื่องกับใครเขาก็ไม่เคยหวั่นเกรง กับคิตตี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรื่องที่หล่อนหยิบยกขึ้นมาพูดไม่ใช่เรื่องของปัญญาแล้ว เขาเองก็คงไม่ยอมลงให้หล่อนง่ายๆ ขนาดนั้น
แต่พอเป็นเรื่องของรุ่นพี่คนนี้ทีไร… ทุกอย่างมันไม่เคยง่ายเลยจริงๆ
“หือ? อะไรเหรอครับ โดนัท”
“เมื่อไหร่พี่ปัน… จะบอกชอบผมเหรอครับ”
หลุดคำถามออกมาแล้วเสียงทุกอย่างรวบตัวก็เหมือนจะถูกความมืดกลืนกินไป ปัญญาอ้าปากค้าง มองใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ของรุ่นน้องแล้วรู้สึกว่าหน้าร้อนตามไปด้วย
ทีแรกโดนัทหลุบตาต่ำมองพื้น หากเจ้าตัวค่อยๆ ช้อนสายตากลมโตที่เต็มไปด้วยร่องรอยน้อยใจและตัดพ้อที่เขาไม่ยอมทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนเสียที ท่าทางแบบนั้นทำเอาปันทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกอยากจะกดอีกฝ่ายเข้าฝาผนังของโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน ไม่สิ ความรู้สึกอยากฟัดเจ้าตัวน่าจะรุนแรงกว่า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดหรือทำอะไร โดนัทก็กลับมายืนหลังตรง หันหน้าหนีเขานิดหนึ่งเหมือนจะสื่อให้คนเป็นรุ่นพี่เห็นว่า เขากำลัง ‘งอน’
“งั้น… ผมพูดเรื่องที่ผมอยากจะพูดจบแล้ว ขอขึ้นห้องเรียนก่อนนะครับพี่ นัดเพื่อนไว้จะลอกการบ้าน”
ถ้าเป็นตามปกติ ปันคงเอ็ดรุ่นน้องไปแล้วว่าไม่ควรลอก แต่นี่เขายังอึ้งเกินกว่าจะทำแบบนั้น
โดนัทหยุดฝีเท้าลงหลังจากเดินต่อไปได้สามก้าว หันหน้ากลับมา แก้มเนียนยังคงแดงระเรื่อค้างจากเมื่อครู่
“ผมรออยู่นะครับ พี่ปัน และผมไม่ชอบรอนาน”
ทิ้งท้ายเสร็จเด็กหนุ่มก็หมุนตัวแล้ววิ่งแจ้นขึ้นตึกเรียนไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ปัญญายืนมองแผ่นหลังของร่างเล็กค้างอยู่อย่างนั้น
ให้ตายสิ… รู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนหลุดออกมาจากอกได้เลย!
…
“เหย จริงเหรอ โดนัทพูดกับแกแบบนั้นเลยเหรอ” เบนซ์กระซิบถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่ปัญญาเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอสดๆ เมื่อเช้าให้อีกฝ่ายฟัง “ไอ้ห่านจิก สุดยอดเลยว่ะ น้องเขาแม่งแมนกว่ามึงอีก”
“อ้าว ไอ้สัส พูดแบบนี้อยากมีเรื่องเหรอ”
“เฮ้ย ใจเย็นเพื่อน กูแค่พูดตามความจริง ถึงยังไงกูก็เพื่อนมึง”
“ให้มันจริงเหอะ”
เบนซ์ดึงเก้าอี้ฝั่งที่มีพนักพิงให้อยู่ตรงหน้าปันแล้วยกขาขึ้นพาดไปอีกฝั่ง วางคางลงบนขอบพนักเก้าอี้ที่ควรจะหันไปอีกทางหากเทียบกับทิศทางที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ เจ้าตัวมีใบหน้ายิ้มกริ่มอย่างคนนึกสนุก
“แล้วมึงจะว่าไง”
“ว่าอะไร”
“ที่น้องเขาพูดมานี่ก็เท่ากับสารภาพรักกลายๆ แล้วนะ”
“ไม่มีการบอกรักสักคำ”
“ขอทีเหอะน่า ไอ้ปัน เอ็งไม่ใช่คนโง่นะ”
ปัญญานิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนไม่ยอมรับ แต่แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เออ กูก็รู้หรอกว่าน้องเขาคิดยังไงกับกู”
“และมึงก็คิดแบบนั้นกับน้องเขา”
“ใช่”
เบนซ์แบมือสองข้างออกข้างลำตัว “แล้วปัญหาอยู่ตรงไหนครับ?”
“ปัญหาอะไร”
“เลิกแกล้งโง่เหอะน่ะ ก็ปัญหาที่มึงไม่ขอน้องเขาคบเป็นเรื่องเป็นราวอยู่นี่ไง”
“กู…” พูดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่ง พูดอุบอิบ “กูแค่อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป”
“บางทีนี่ก็ค่อยไป… สปีดเต่าทากอาจจะเร็วกว่านี้ มึงคั่วน้องเขามาเป็นเดือนๆ แล้วนะ”
“มึงจะพูดว่าหอยทากรึเปล่า”
“เปล่า กูจะพูดเต่าทากนั่นแหละ เป็นส่วนผสมของเต่าและหอยทาก แถมยังช้ากว่าไอ้สองตัวนี้รวมกันซะอีก”
“สร้างสรรค์ดี”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” ตีโต๊ะปันดังปัง! “มึงจะเอายังไง ขอน้องเขาคบหรือปล่อยไว้เป็นแบบนี้ต่อไป”
“ทำไมมึงขี้เสือกอะ เบนซ์”
“สัส ไหนใครบอกเป็นเพื่อนกูวะ”
“เออๆๆ” ปันว่าพร้อมกับมองขึ้นบนเพดานอย่างครุ่นคิด “กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ”
“อะไรคือปัญหาของมึงกันแน่วะเนี่ย”
“คืออย่างนี้” ปัญญาโน้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อนมากขึ้นขณะอธิบาย “มึงก็รู้ว่าเดี๋ยวกูก็ต้องไปแลกเปลี่ยนอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่แล้ว ถูกไหม”
“อ่าฮะ”
“แล้วกูจะไม่อยู่ไทยตั้งสิบเดือน แถมพอกลับมา กูก็ต้องเริ่มเตรียมเข้ามหาลัย แล้วพอเข้ามหาลัย--”
“โอเค กูเข้าใจล่ะ มึงเป็นห่วงเรื่องอนาคต”
เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก
“มึงไม่คิดมากไปหน่อยเหรอวะ บางทีคบกันระยะไกลมันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้นก็ได้นะเว้ย ญาติกูก็มีแฟนที่ไปเรียนมหาลัยที่ญี่ปุ่นตั้งสี่ปี เขาก็ยังรักกันดี”
“กูไม่อยากปิดโอกาสน้องโด”
“และตัวมึงด้วย?”
“กูไม่ห่วงตัวเองหรอก กูไม่ใช่คนที่จะชอบใครง่ายๆ”
เรื่องนั้นเบนซ์ไม่เถียงเลย เขาคบกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชั้นประถมตอนปลายและรู้จักเจ้าตัวดีว่าเป็นคนยังไง
“แต่กูอยากให้เวลาที่มันต้องห่างกันแบบนี้ปล่อยๆ กันไปก่อน ถ้าเขาอยากจะไปมีคนใหม่จะได้ไม่ต้องอึดอัดใจเพราะมีกูเป็นบ่วงรัดคอไว้ กูก็ไม่ต้องคิดมากตอนอยู่นู่นด้วยเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ต้องคาดหวัง แบบนั้นมันสบายกว่าอีก”
“และถ้ามึงกลับมาแล้วน้องเขามีแฟน?”
เบนซ์สังเกตเห็นร่องรอยความเจ็บปวดเบาๆ ที่พาดผ่านลงบนนัยน์ตาของเพื่อน
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ กูก็ได้แต่ร่วมยินดีด้วย”
“กูว่ามึงแม่งดูหนังมากไปว่ะ ปัน” ส่ายหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยกับความเป็นพระเอกไม่เข้าเรื่องของอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มสั่งสอนด้วยความคิดของตัวเอง “คนเราเนี่ยนะ ถ้ารักกันมันก็รักกันปะวะ รักกันก็คบกัน ก็แค่นั้นเอง ละถ้าเขาจะไปมีคนใหม่อะไรก็ให้เขามาบอกเลิกมึงไปตอนนั้น จบ แบบนั้นแม่งไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยก็ได้ลองพยายามแล้ว จะไปรอดหรือไม่รอดก็จะได้รู้กันไป ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย”
“กูไม่เห็นด้วยกับมึงว่ะ”
“ก็ตามใจ” เพื่อนรักเขาว่าพร้อมกับหันกลับไปนั่งดีๆ เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน “แต่มึงลองคิดดูดีๆ ว่าปล่อยให้น้องเขารอมานานแค่ไหนแล้ว ถึงขนาดต้องมาพูดแบบนั้น… กูไม่รู้ล่ะ มึงเป็นคนฉลาดนี่ ไปคิดเอาเองแล้วกัน”
ขุดหลุมฝังระเบิดเสร็จก็หยิบสมุดปากกาขึ้นมา… ไม่ใช่เตรียมจดเนื้อหาการเรียนนะ เตรียมมาวาดรูปเล่นนี่แหละ
ที่เหลือก็แค่… รอเวลาให้ระระเบิดที่เขาฝังไว้ทำงานก็เท่านั้น
…
“ฟู่ว… ให้ตายสิ ร้อนชะมัด” ผมพูดหลังจากที่รื้อสารพัดกล่องซึ่งหมกตัวอยู่ในห้องเก็บของมายาวนานเป็นสิบๆ ปีมาวางเรียงอยู่ที่หน้าบ้านเพื่อเตรียมทำ “5ส” ในบ้านที่ตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่าจะทำมาเป็นตลอดระยะเวลา… เอ่อ หลายปีแล้วล่ะ แต่เหมือนวันนี้จะเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดี ท้องฟ้าเป็นใจ อากาศแจ่มใส ผมถึงได้ปัดเป่าตัวขี้เกียจออกจากร่างและลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ได้
“อ้าว พ่อ” ไอ้ปันที่เดินถือกระเป๋าสำหรับนอนค้างคืนที่อื่นออกมาด้วยหันมามองอย่างงุนงง “ทำอะไรน่ะ จะทิ้งของเหรอ? ห้ามทิ้งพวกกันดั้มแล้วก็ฟิกเกอร์เก่าๆ ของผมนะ หนังสือการ์ตูนด้วย”
“ถ้าไม่อยากให้ทิ้งเอ็งก็มาช่วยแยก… แล้วนี่จะไปไหน ไม่เห็นบอกเลยนี่ว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะออกไปค้างที่ไหน?”
“เฮ้ย” ปัญญาสะดุ้งตัว สีหน้าเหลอหลาไม่แพ้ผมเช่นกัน “ผมบอกแล้วไงพ่อว่าลุงจุ้ยพ่อไอ้เบนซ์ชวนไปตีกอล์ฟด้วยกันที่บ้านตากอากาศของแก ไหนจะยังเทนนิสกับว่ายน้ำอีก ผมสัญญากับไอ้เบนซ์ไว้แล้วนะ”
จริงๆ ที่ไอ้ปันจะไปค้างบ้านตากอากาศแล้วก็ทำกิจกรรมมากมายแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ปันสนิทกับบ้านของเบนซ์จนเหมือนเป็นลูกชายอีกคนของบ้านนั้นไปแล้ว ผมแค่งงๆ เพราะจำไม่ได้ว่ามันบอกผมตอนไหนว่าจะไปก็เท่านั้นเอง
“แล้วเรียนพิเศษวันอาทิตย์ล่ะ?”
“เดี๋ยวไปชดเชยเอาวันอื่นครับ ยังไงมันก็เป็นเทปอยู่แล้ว”
“แล้ววันอาทิตย์จะกลับมากี่โมง” ไม่ได้ครับ ต้องนัดแนะกันให้ดี ขืนกลับมาดึกมากแล้ววันจันทร์ไปเรียนไม่ไหวนี่ผมไม่ยอมแน่ๆ
“อืม... คงสักห้าโมงมั้งพ่อ คงกลับมากินข้าวเย็นบ้าน”
“โอเค แล้วนี่แกจะไปยังไง”
“พ่อไอ้เบนซ์บอกจะขับรถมารับที่หน้าปากซอย… นี่ว่าใกล้จะถึงแล้ว ผมไปก่อนนะพ่อ ไม่อยากให้ลุงจุ้ยรอนาน”
“เออๆ เดี๋ยว ไอ้ปัน แกไปรบกวนเขาแล้วมีอะไรติดไม้ติดมือไปด้วยรึเปล่า รบกวนพ่อเบนซ์ทุกรอบ”
ปัญญาชูถุงขนมไทยที่ผมซื้อมาวางแหมะไว้เมื่อวันก่อนขึ้นมา แหม รู้หน้าที่นะ ถึงนั่นจะเป็นของที่ผมอยากกินก็เถอะ แต่เอาวะ ค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้
“ผมรู้อยู่แล้วล่ะน่า ไปก่อนนะครับพ่อ ขอโทษนะที่อยู่ช่วยไม่ได้”
“เดินทางดีๆ แล้วกัน แล้วอย่าไปรบกวนเขามาก รู้ไหม รู้จักเกรงใจบ้าง”
“รู้แล้วคร้าบ” ปัญญาเดินมาประชิดตัวพร้อมกับก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมทีหนึ่ง เป็นอีกอย่างที่ไอ้ตัวแสบชอบทำเวลาอยากให้ผมเลิกบ่นมัน
...นี่โตเป็นควายขนาดนี้แล้วยังจะ…
“ไปแล้วนะครับ พ่อ หวัดดีครับ” ไอ้ตัวแสบยิ้มเผล่อย่างได้ใจก่อนจะโบกมือหยอยๆ แล้วก้าวเท้าออกจากรั้วบ้านไป
เออ… ก็ได้ คือต่อให้ลูกผมโตจนเท่าหมีควายขนาดนี้อยู่ แต่ผมก็ยังอดคิดว่ามันน่ารักไม่ได้ โอเคไหม? มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ใช่รึไง!?
แต่… อ๊าก! เด็กผู้ชายวัยมัธยมธรรมดาที่ไหนเขายังหอมแก้มพ่อแม่แบบนี้กันอยู่อีก!? นี่คงไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มันเป็นเกย์ด้วยหรอกใช่ไหม!?
วันนั้นทั้งวันผมเฝ้าแต่นั่งเคลียร์สิ่งของ เริ่มจากการแยกประเภทว่าอันไหนเอาอันไหนทิ้ง เคล็ดลับของมันอยู่ที่คุณจะต้องตัดสินใจภายใน 3 วินาทีแรกว่าจะโยนมันใส่ถุงไหน ถ้าช้ากว่านั้นถือว่าไม่ผ่าน และคุณจะต้องทำใจแข็งให้ได้มากกว่าในของชิ้นต่อไป แต่เรื่องแบบนี้มักไม่ค่อยเป็นปัญหากับผู้ชายแบบเราหรอกครับ ถ้าเป็นผู้หญิงแบบมิ้นต์… รายนั้นต้องทำใจแล้วทำใจอีก คิดแล้วคิดอีกกว่าจะโยนแต่ละชิ้นลงในถุงขยะได้ แต่ส่วนมากข้าวของมากมายของเจ้าหล่อนก็จะกลับไปกองอยู่ที่เดิมแทบทั้งหมดเสียมากกว่า คือพวกหล่อนจะไม่สามารถตัดใจจากของที่ตัวเองเคยรักมาก่อนได้ แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ จากมันแล้วก็ตาม
นึกถึงเรื่องมิ้นต์ขึ้นมา ผมก็อดยิ้มที่มุมปากน้อยๆ ไปด้วยไม่ได้
มิ้นต์เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและอ่อนหวาน แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่หล่อนแทบไม่เคยทำตัวเหมือนเป็นโรคร้ายแรงใดๆ เลย
ผมคิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่มีค่า… และปัญญาก็เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เจ้าหล่อนมอบมาให้
ลูกของพวกเรา… สัญลักษณ์ของพวกเราสองคน
ผมนึกถึงคำพูดของเกรซที่คุยด้วยเมื่อสัปดาห์ก่อน เจ้าหล่อนบอกผมว่าผมควรจะเลิกอาวรณ์และหาผู้หญิงใหม่มาอยู่เคียงข้าง อันที่จริงแล้วยัยนั่นพูดผิด ผมไม่ได้อาวรณ์อะไร ความเสียใจพวกนั้นมันหายไปตามกาลเวลา แต่ผมคิดว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาใครเข้ามาให้ปวดหัวเพิ่มอีก หรือไม่... อาจจะเป็นเพราะผมแก่เกินไปจนไม่นึกอยากคบหาใครแล้ว
ผมพักยกจากการแยกของเก็บกับของทิ้งเมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน สั่งข่าวจากร้านอาหารหน้าปากซอยให้เอามาส่งแล้วลงมือนั่งกินข้าวพร้อมกับดูข่าวในทีวีไปด้วย ในรายการข่าวบันเทิง ผมได้เห็นนักแสดงชั้นนำสองคนที่ไอ้ปันเคยเอามาเล่าให้ผมฟัง อย่างบูม บดิศรกับดี ศศิกรที่ถึงแม้จะเป็นคนละข่าวกันแต่ผมก็อดนึกถึงสิ่งที่ไอ้ตัวแสบเคยเล่าให้ฟังไม่ได้
'ผมเอารูปที่ถ่ายคู่กับพ่อให้ดูแล้วเพื่อนมันทักว่าผมหล่อเหมือนบูมส่วนพ่อหล่อเหมือนดี' ไอ้ตัวแสบเล่ายิ้มๆ ในขณะที่ผมหันไปมองหน้ามันเหมือนไม่อยากเชื่อ 'จริงๆ นะพ่อ แต่ผมว่าผมหล่อกว่าบูมอะไรนี่อีก ส่วนพ่อกับดี... เอ่อ ถ้าพ่ออ่อนกว่านี้สักสิบปีน่าจะพอสูสีได้'
นั่นทำเอาผมแทบจะประเคนฝ่าเท้ากลางหลังคนพูดมาก หนอย กล้าพูดมาได้ นี่พ่อนะเว้ย ถ้าผมไม่หล่อกว่ามันจะเป็นพ่อมันได้ไง (อ้าว ไม่ใช่เหรอ)
จัดการมื้อกลางวันเสร็จผมก็กลับไปทำงานต่อ แยกของที่เอาออกมาจากห้องเก็บของได้แล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง เซ็งจริงๆ ที่วันนี้ไอ้ปันดันไม่อยู่ช่วยทำ ไม่งั้นคงเสร็จเร็วกว่านี้ กล่องที่อยู่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เริ่มเต็มไปด้วยข้าวของของมิ้นต์ที่ทำให้ผมนึกถึงความหลังและโหวงๆ ในหัวใจเล็กน้อย สร้อยคอที่ผมเคยซื้อให้เจ้าหล่อนตอนที่เราเดทกันครั้งแรก จากนั้นก็มีนาฬิกาข้อมือ เสื้อผ้า กระเป๋า แน่นอนว่าผมไม่ได้ซื้อให้มิ้นต์เองทั้งหมดนี่เพราะตัวเองไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น และบ้านมิ้นต์เองก็ไม่ได้ขัดสนอะไร
ผมเริ่มขุดเจอไดอารี่ของเจ้าหล่อน พลิกมันขึ้นมาอ่าน เนื้อความด้านในไม่ได้มีข้อความซึ้งกินใจหรือบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตอะไรมากนัก หล่อนเขียนไปได้จริงๆ จังๆ แค่สามวันเกี่ยวกับการไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมชั้น ไปเดทกับผม แล้วก็เรื่องครอบครัวอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ดูเหมือนจะเบื่อจนเลิกเขียนไปแล้ว หน้าหลังๆ เต็มไปด้วยรูปที่มิ้นต์วาดเอาไว้จากนั้นก็รูปถ่ายเก่าๆ ที่ชวนให้คะนึงหา
ผมยกยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก หล่อนจากไปอย่างไม่ทรมานมากก็จริง แต่กว่าจะถึงจุดนั้นหล่อนต้องพบเจอกับความยากลำบากของโรคแทรกซ้อนพวกนั้นแค่ไหน ทำไมผมจะไม่รู้ ผมกรีดนิ้วลงบนหน้าสมุดเก่าๆ เล่มนั้นราวกับกลัวว่ามันจะเสียหายหากผมสัมผัสแรงเกินไป แม้ไม่มีอะไรเขียนอยู่ในนี้มากเท่าไร แต่ผมก็รู้สึกอัดแน่นไปด้วยความคิดถึงและโหยหาอีกฝ่ายอย่างท่วมท้น
เศษกระดาษเก่าๆ แผ่นหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากไดอารี่เล่มนั้น ตกลงกับพื้น
ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจขณะก้มลงไปหยิบมันขึ้นดู มีข้อความสั้นๆ ประโยคเดียวเขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้น
'เราหนีไปด้วยกันเถอะ'
ไม่มีการลงชื่อ ไม่ได้ถูกลงวันที่ หนำซ้ำมันยังเก่าซีดแห้งกรอบจนเหมือนจะหลุดออกจากกันได้ตลอดเวลา หนำซ้ำยังมีร่องรอยยับย่นราวกับว่ามันถูกขยำทิ้งไปแล้วและถูกเก็บขึ้นมาคลี่ใหม่อีกครั้ง
เราหนีไปด้วยกันเถอะ…
สิ่งที่ทำให้ผมตัวชาและเย็นวาบไปทั่วทั้งสันหลังก็คือ... นั่นไม่ใช่ลายมือผม ไม่ใช่ลายมือมิ้นต์ ไม่ใช่ลายมือของใครที่ผมพอจะคุ้นเลย
แล้ว... ทำไมมิ้นต์ถึงได้มีกระดาษแผ่นนี้อยู่ในไดอารี่ของตัวเองล่ะ?
…
“กลับมาแล้วครับ” เสียงสดใสของลูกชายผมดังขึ้นตามมาด้วยร่างของเจ้าตัวที่ผ่านประตูบ้านมา
ผมหลุดออกจากห้วงภวังค์ของตัวเองเพราะเสียงนั้น ปัญญาหอบหิ้วของฝากที่มักจะติดมาด้วยเสมอเวลาไปเที่ยวกับครอบครัวเบนซ์แบบนี้ พวกเบเกอร์รี่ทำมือ ข้าวโพด นมสารพัดรส แล้วก็อะไรต่อมิอะไรที่เจ้าตัวเห็นว่าผมชอบ ผมรู้ดีว่าปันคิดถึงผมเสมอ และผมก็รู้ดีด้วยว่าหมอนี่น่ารักแค่ไหน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างด้านในมันแปลกไปเมื่อได้เห็นหน้ามันวันนี้
“ปัน” ผมรีบยิ้มให้มันแม้ว่าจะเป็นยิ้มที่ฝืนก็ตาม กลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายจับได้ “พ่อทำไข่พะโล้ไว้ให้ในหม้อน่ะ แล้วก็กับข้าวที่ซื้อมาจากหน้าปากซอย 2-3 อย่าง”
“พ่อทำไข่พะโล้เหรอ” ปัญญาว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ของโปรดตลอดกาลของมัน “เยี่ยมเลยฮะ ผมไม่ได้กินฝีมือมานานล่ะ แล้วก็นี่ ของฝาก เอามาแบ่งกันนะ แต่โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี่นี่ของผมนะพ่อ อย่างอื่นพออนุโลมได้”
“เออๆ ไปจัดการเก็บของอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเย็นได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าอีก”
“คร้าบ พ่อ แหม บ่นสมเป็นพ่อจริงๆ เลย”
ทิ้งระเบิดไว้จากนั้นก็เผ่นขึ้นห้องไป แต่ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะเฉ่งมันสักนิดในรอบนี้
ความคิดที่น่ากลัวบางอย่างมันรบกวนจิตใจผมจนไม่มีแก่ใจจะนึกถึงอะไรอย่างอื่นแม้แต่นิดเดียว
---------------------------------------------------
Talk: ขอพื้นที่โฆษณาให้นิยายที่เรากำลังเปิดจองอยู่นิสนึงนะคะ ตอนนี้เราเปิดจองนิยายเรื่อง 'Twinless Twin แฝดหนึ่งร่าง' อยู่ค่ะ พรุ่งนี้ (24 ก.ย.) ก็ปิดจองแล้ว แต่ยังโอนได้ถึงวันที่ 30 ก.ย. นะ! เผื่อใครสนใจก็เข้าไปจับจองกันได้ ตามลิงนี้เลยนะคะ >>
https://goo.gl/aSaJzvขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านมากค่า^^ ทุกคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เราเสมอน้า <3