บทที่ 16
“อืม… พูดยากจังแฮะ” ชายหนุ่มทำท่าคิดหนักหลังจากเจอคำถามน็อกเอ๊าท์เข้าไป “ถ้าถามพ่อ พ่อก็คิดว่ามิ้นต์รักพ่อนะ เพียงแต่เขาแคร์เรื่องอาชีพการงานของพ่อมากไปนิดนึง… อ้าว ทำไมมองพ่อแบบนั้นล่ะ ก็ลูกถามพ่อ พ่อก็ต้องตอบตามที่คิดสิ”
ปันลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะว่าด้วยสีหน้าหม่นลง
“ผมน่ะนะ… เชื่อมาตลอดว่าพ่อกับแม่รักกันมาก เพราะขนาดแม่เสียไปแล้ว พ่อของผมก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่นเลย แถมเวลาที่พ่อมองรูปแม่ สายตาของพ่อน่ะ อ่อนโยนมาก ตอนนั้นผมก็เลยคิดว่า… ดีจังเลยนะ ความรักที่มั่นคงแล้วก็ลึกซึ้งขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้พ่อมีใครใหม่เลย เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าพ่อมีแม่ในใจแค่คนเดียวจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกดีนะ เพราะถึงผมจะไม่มีแม่แล้ว แต่ผมก็มีพ่อที่รักผมแล้วก็รักแม่ที่จากไปแล้วขนาดนั้น… เหมือนมันเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในรูปแบบหนึ่งเลยล่ะ”
“ปัน…” บูมถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
“แต่… พอมารู้เรื่องทุกอย่างแบบนี้ ผมเลยนึกสงสัยขึ้นมาว่าตกลงแล้วแม่รักใครกันแน่ ถ้าเขารักพ่อดล แล้วทำไมแม่ต้องไปมีความสัมพันธ์กับพ่อบูมด้วย แต่ถ้าแม่รักพ่อบูม ทำไมถึงยอมแต่งงานกับพ่อดล”
“ปัน” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ชีวิตจริงน่ะ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะลูก”
“เหรอครับ แล้วมันต้องยากขนาดไหน ยากขนาดที่เราไม่สามารถเลือกคนที่เรารักได้จริงๆ เพียงคนเดียวเหรอ ยากขนาดที่เราต้องทรยศคนรักของตัวเองเพื่อความสุขของตัวเองหรือใครอีกคนงั้นเหรอ”
“...” บูมพูดไม่ออกเลย และวินาทีนั้นเขาก็ตระหนักว่าความจริงเหล่านี้กำลังสร้างบาดแผลและทำลายความศรัทธาบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มไป
“ผมคิดถึงแม่นะ ถึงผมจะไม่เคยเจอท่านเลยก็ตาม แล้วผมก็รักแม่ด้วย แต่ผมไม่เข้าใจว่า… ท่านทำให้พ่อเจ็บปวดขนาดนั้น…” น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากแก้มเขา ทำเอาบูมเลิ่กลั่กขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาไม่ได้เช็ดน้ำตาให้ใครมานานมากแล้ว นับตั้งแต่คบกับแฟนคนล่าสุดและให้เข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในบ้านของตัวเองอีก นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนที่สนิทเท่านั้น
ชายหนุ่มตัดสินใจดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องที่วางอยู่ชั้นวางข้างยื่นให้ปันแทน ปัญญารับมันมาถือแต่ไม่ได้เช็ดน้ำตาออก
“แม่… แม่ทำให้พ่อเจ็บปวดขนาดนั้น แล้ว… แล้วก็คงทำให้พ่อบูมเจ็บปวดด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย ทั้งๆ ที่พ่อดลก็… รัก… รักแม่คนเดียว แล้ว… พ่อบูมก็บอกว่ารักแม่เหมือนกัน”
“ปัน อย่าร้องไห้เลยลูก” เขาโอบบ่าของเด็กหนุ่มที่ถึงแม้สูงแล้วก็ตัวโย่งขนาดไหนแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าขนาดตัวเขาลงมาปลอบ ลึกๆ ก็ดีใจที่ปันยอมแชร์ความรู้สึกลึกซึ้งแบบนี้กับเขา แต่อีกใจหนึ่งก็คือเขาไม่อยากเห็นลูกชายต้องเจ็บปวดกับอดีตที่ผ่านไปนานมากแล้วของพวกเขา
“ผม… ฮึก ผมจะทำยังไงดี พ่อ… พ่อดล พ่อต้องเกลียดผมแน่ๆ เพราะผมแท้ๆ ที่ทำให้เขาต้องลำบากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ ฮึก… ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ลูกเขาแท้ๆ แต่ผมก็ยังเป็นภาระเขา พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเขาโดนที่บ้านด่าหนักมากตอนที่รู้ว่าพ่อทำแม่ท้อง แล้วพอผมคลอด เขาก็ต้องมาคอยดูแลผมอีก ผมมัน… ผมมัน…”
“ปัน ชู่ ไม่เอา ไม่คิดแบบนั้น หยุดร้องไห้เถอะนะ”
แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าระรัว ความรู้สึก พอมันทะลักออกมาแล้วก็ไม่มีอะไรหยุดได้ เขายกหลังมือปาดน้ำตาป้อยๆ ลืมทิชชู่ในมือไปสนิท
“ผมรู้แล้วว่าทำไมพ่อถึงต่อยผมคืนนั้น เพราะว่าผมไม่ใช่ลูกของเขา เขาคงโกรธผม… โกรธที่ผมทำลายอนาคตที่ควรจะไปได้ไกลกว่านี้ของเขา พ่อต้องเกลียดผมแน่ๆ ที่ผมทำทุกอย่างในชีวิตเขาพัง แล้วผมก็ไม่ใช่ลูกชายของเขาจริงๆ ”
ปัญญาระเบิดโฮออกมาลั่นอย่างไม่อาย บูมลูบเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายเงียบๆ อย่างนึกสะท้อนในอก แค่เสียงสะอื้นเบาๆ ของลูกชายก็ทำเอาเขาปวดหนึบในใจไปหมดแล้ว
จากที่คอยติดตามดูปันมาตลอด บูมรู้ดีว่าอีกฝ่ายเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นภูมิใจในตัวเอง แน่นอนว่าเขาก็ภูมิใจในตัวปันมากจากความพยายามทั้งหมดนั่นของเจ้าตัว และมันเป็นความรู้สึกที่เอิบอิ่มมาก เขาเชื่อว่านพดลเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาหรอก แล้วก็ไม่มีทางที่หมอนั่นจะเกลียดเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนเขาคนนี้ด้วย
“ใจเย็นๆ ก่อน ลูก ลองคิดดูดีๆ สิ ปันน่ะ เป็นของขวัญที่แสนวิเศษของพ่อกับแม่ แน่นอนว่าเราสองคนผูกพันกันทางสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ของปันกับนพดลน่ะ มันเป็นความผูกพันที่พิเศษกว่านั้น”
“พิเศษกว่ายังไงครับ” เจ้าตัวหายใจฟืดฟาด ยังไม่คล้อยตามสิ่งที่คนข้างตัวพูดเท่าไรนัก
“มันพิเศษตรงช่วงเวลาที่เขากับลูกได้ใช้ร่วมกันมาด้วยกันยังไงล่ะ ยอมรับเถอะปัน พ่อรู้ดีว่าลูกผ่านอะไรด้วยกันกับเขามาเยอะ ช่วงเวลาสิบเจ็ดปีที่ลูกอยู่ด้วยกันมากับเขา มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะลูก มันเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน และคนที่อยู่กับลูกมานานขนาดนั้นในฐานะพ่อ… มันไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ ไม่มีใครมาแทนที่ได้ เชื่อพ่อเถอะปันว่าดลเขารักปันไม่ต่างจากที่พ่อรักลูก แถมยังผูกพันมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเขาคอยดูแลปันมาตลอด”
“พ่อคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ” เจ้าตัวถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น เลิกร้องไห้ไปแล้ว ตายังแดง ปลายจมูกยังแดงๆ อยู่บ้าง “พ่อบูมคิดว่า… พ่อจะไม่เกลียดผมจริงๆ เหรอ”
“ไม่มีทางหรอก” ก็ลองมันบอกว่าเกลียดดูสิ เขาจะไปซัดมันต่ออีกสักยกสองยก
“ผม… ผมควรจะเริ่มพูดกับพ่อว่ายังไงดี” เด็กหนุ่มอึกอัก “ผมทะเลาะกับพ่อก่อนมานี่ พ่อต้องโกรธผมแน่”
“เลิกคิดว่าเขาจะโกรธปันได้แล้วน่า เชื่อสิ ต่อให้โกรธยังไงเขาก็โกรธไม่จริงหรอก ไว้กลับไปอาทิตย์หน้าลองค่อยๆ ปรับความเข้าใจกับเขาดู โอเคนะลูก? ไม่ร้องไห้แล้วนะ”
ปันพยักหน้าเบาๆ ขณะยกทิชชู่ซับมือที่ชื้นไปด้วยน้ำตาแทน “ขอบคุณนะครับพ่อ แล้วก็ขอโทษที่รบกวนตอนดูหนัง”
“รบกวนอะไรกัน ไป นี่ก็ดึกมากแล้ว ขึ้นนอนกันดีกว่า พ่อก็ว่าจะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
“พ่อบูม เอ่อ… ตอนนี้พ่อไม่ได้กำลังคบใครอยู่ใช่ไหมครับ” ปันถามขณะที่พวกเขากำลังเดินขึ้นบันไดบ้าน อีกฝ่ายพยักหน้าทีหนึ่ง
“อืม ใช่ครับ ตอนนี้พ่อโสด อยากใช้เวลากับตัวเองมากกว่าน่ะ แล้วปันล่ะลูก มีแฟนรึยัง หรือว่าคนที่แอบชอบ? ”
ถึงตรงนี้ ปัญญาก็อดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน คนคนนี้ตามสืบเรื่องเขามากพอสมควรแท้ๆ แต่กลับไม่เคยเห็นเรื่องแฮชแท็กในเฟซบุ๊คเรื่องเขากับโดนัทบ้างเลยหรือ? หรือว่าเห็นแล้วแต่ไม่ได้คิดอะไร?
แต่ช่างเถอะ เขามีบทเรียนจากคราวก่อนมาแล้ว เพราะงั้นเขาคงไม่บอกเรื่องรสนิยมทางเพศให้ชายคนนี้รู้… อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้
“ก็… เรื่อยๆ ครับ แต่ผมจะไปแลกเปลี่ยนอีกไม่กี่เดือนอยู่แล้ว แถม… เท่าที่คุยกับพ่อมาก็ตั้งใจจะไปหามหาลัยเรียนต่อที่นู่นเลยด้วย เพราะงั้นคงยังไม่มีเร็วๆ นี้หรอกมั้งครับ”
ฉิบหาย! พูดโกหกออกไปแล้วก็นึกขึ้นมาได้… เขายังไม่ได้คุยกับโดนัทเรื่องที่ตั้งใจว่าจะไปต่อป. ตรีที่เมกาเลยนี่หว่า!
“นั่นสินะ ไว้ไปอยู่นู่นแล้วค่อยหาก็ยังไม่สาย งั้นก็หลับฝันดีนะลูก พ่อไปนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ระ… ราตรีสวัสดิ์ครับผม”
ตายๆ ๆ งานเข้าแล้วไหมล่ะไอ้ปัน แล้วนี่เขาจะบอกโดนัทเรื่องนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย!?
…
ปัญญาชวนโดนัทให้มากินข้าวกับเขาที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในละแวกที่พวกเขาอยู่ โดนัทเป็นคนที่ชอบกินของหวานมาก เพราะงั้นหลังจากเสร็จของคาวแล้ว เจ้าตัวจะต้องอ้อนให้เขาพาไปกินน้ำแข็งไสสัญชาติเกาหลีตบท้ายทุกที แต่เขาก็ไม่ได้ขัดอะไร เพราะเจ้าตัวก็เปลี่ยนวนไปหลายๆ รส ก็อร่อยดี แต่วันนี้เขารู้สึกรสชาติมันฝืดคอกว่าทุกครั้งชอบกล
"เออ นี่ โด" เขาพูดเกริ่นขณะที่รุ่นน้องของเขาละเลียดเกล็ดน้ำแข็งด้วยสีหน้าชื่นมื่นวันนี้เป็นวันเสาร์เวลาบ่ายกว่าๆ ทำให้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก โดนัทใส่ชุดไปรเวทที่ทำให้เจ้าตัวดูเด็กขึ้นกว่าเดิมทั้งที่แค่หน้าอย่างเดียวก็ดูเด็กมากอยู่แล้ว และปันไม่สงสัยเลยถ้าคนอื่นๆ จะมองมาที่โต๊ะเขาเพราะคนตรงหน้านี้ นี่ยังไม่รวมตัวเขาเองที่ใส่เสื้อผ้าที่บูมเป็นคนเลือกซื้อมาให้กับมือ แล้วรสนิยมอย่างดาราใหญ่คนนั้นธรรมดาเสียที่ไหน เอาเป็นว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีแต่ของแบรนด์เนมที่รวมๆ กันแล้วคงพอค่าขนมเขาไปได้สามเดือน
"หืม? มีอะไรเหรอครับ พี่ปัน" นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นมามองเขาพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ วันนี้โดนัทสวมรองเท้าที่ปันซื้อให้เมื่อวันเกิดที่ผ่านมา แน่นอนว่าเพื่อให้ปันดูแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะมาเที่ยวกับอีกฝ่ายล่ะก็ เขาจะไม่ใส่มันพร่ำเพรื่อเด็ดขาด ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเยินหมด ของรักเขาเขาต้องถนอมดีๆ "ว่าแต่วันนี้พี่ปันแต่งตัวดีจังเลยนะฮะ นี่น้าบูมซื้อให้เหรอ"
ตั้งแต่วันที่เขารู้ความจริงเรื่องพ่อ เขาก็เล่าให้แค่คนตรงหน้ากับเบนซ์ฟังแค่สองคนเท่านั้น แถมยังกำชับไม่ให้บอกใครอีกด้วย เพราะถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปคงเสียหายกันหลายฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นปันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะปิดเรื่องนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่ถ้าเป็นไปได้เขาก็ขอให้มันเป็นความลับแบบนี้ไปก่อน
"คือ... รู้ใช่ไหมว่าอีกแป๊บเดียวพี่ก็จะไปแลกเปลี่ยนแล้ว"
"รู้สิฮะ" พูดถึงตรงนี้เจ้าตัวก็เริ่มทำหน้าหงอยลงนิดหนึ่ง มือก็ยังตักของหวานตรงหน้าเข้าปากต่อ ปันชอบมองเวลาอีกฝ่ายเคี้ยวหงุบหงับในปากแบบนั้นมาก เห็นแล้วนึกถึงกระต่ายที่เคี้ยวอะไรในปากอย่างบอกไม่ถูก "ใจจริงน่ะผมไม่อยากให้พี่ไปเลย ตั้งปีหนึ่ง แต่ผมว่ามันก็เป็นโอกาสดีของพี่เหมือนกัน แต่พี่ต้องไม่ลืมสัญญานะว่าจะคอลคุยกับผมทุกวัน"
"เรื่องนั้นน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ เอ่อ" เด็กหนุ่มกลั้นหายใจเฮือกหนึ่ง "คือ พี่กำลังคิดว่าจะไปเรียนมหาลัยที่นั่นด้วย"
โดนัทเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยบิงซูพรวดทันที ดวงตาที่ว่าโตอยู่แล้วของเด็กหนุ่มแทบจะถลนออกมานอกเบ้าจนปันนึกเสียวแทน แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าแทนที่จะห่วงเรื่องนั้น เขาควรจะห่วงตัวเองต่อจากนี้ต่างหาก
"พี่ปัน... พี่คิดอะไรของพี่อยู่ แล้วนี่ทำไมถึงเพิ่งมาบอก"
แว้ก อยู่ๆ ก็รู้สึกบรรยากาศรอบตัวหนาวยะเยือกขึ้นมาชอบกลประมาณว่าบิงซูที่ละลายอยู่ก้นถ้วยแทบจะแข็งตัวขึ้นมาใหม่ได้
"เอ่อ คือ... พ่อๆ พี่เขาคุยกัน" เออ พอมีพ่อสองคนละต้องใช้พหูพจน์มาเรียกแบบนี้แล้วก็ตลกดี "เขาเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดี พี่เองก็อยากไปเรียนพวกกราฟิกอยู่แล้วด้วย ที่นั่นน่าจะมีโอกาสแล้วก็ตัวเลือกมากกว่า"
"พี่ปันอยากไปเอง..." คำพูดนั้นทำเอาอารมณ์ขุ่นมัวของโดนัทเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันที "แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะครับ ตอนนั้นยังบอกว่าจะเข้าจุฬาอยู่เลย"
"คือ มันก็มีอะไรหลายอย่าง" ปัญญาพูดเสียงอ่อย และโดนัทก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องการเงิน ในเมื่อตอนนี้เจ้าตัวมีคนคอยสนับสนุนเรื่องนั้นเต็มที่แล้วก็ไม่มีอะไรต้องห่วง นอกจากเรื่องของเขาเท่านั้นเอง…
"แต่พี่ก็น่าจะแย้บๆ บอกผมก่อนบ้าง" พูดพลางเริ่มสับน้ำแข็งที่ป่นอยู่แล้วให้เละไปกว่าเดิม เห็นแบบนี้แล้วไม่ต้องบอก ปันก็รู้ว่าแฟนหนุ่มของเขากำลังอารมณ์ไม่ดี "ต่อให้ไม่มีเรื่องของน้าบูมมา... ยังไงถ้าพี่อยากเรียนที่นู่นพี่ก็หาทุนเรียนได้อยู่แล้วแท้ๆ แต่นี่กลับอุบกันเงียบ"
"เอ่อ เปล่านะ โด พี่พูดจริงๆ คือตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเรียนมหาลัยที่เมืองนอกหรอกเพราะมันแพง นี่มันแบบ ไปๆ มาๆ มันก็กลายเป็นแบบนั้น"
โดนัทไม่พูดอะไรตอบ เจ้าตัวตักบิงซูเข้าปากเงียบๆ หานัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหม่นลงอย่างเห็ได้ชัด และแม้ทั้งคู่จะก้าวเท้าออกจากร้านแล้ว บรรยากาศมาคุที่ว่าก็ยังดำเนินต่อไป ปันเหลือบมองคนข้างตัวที่มีท่าทีหงอยลงแล้วรู้สึกผิดวูบขึ้นมา เขานี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ นั่นแหละที่คิดจะทำอะไรตามใจตัวเอง
"โด"
"...อะไรครับ"
อื้อหือ เสียงเย็นมาเชียว เสียวสันหลังวูบๆ เลย
"เราออกไปเดินข้างนอกตรงที่เป็นสวนกันไหม" ห้างนี้ตกแต่งสวนเอาด้านนอก ซึ่งเวลาแบบนี้คงไม่ค่อยมีคนเพราะแดดร้อนเปรี้ยง "อยู่แต่ในห้างชักเริ่มเบื่อล่ะ ออกไปสูดอากาศกัน"
ถามแล้วไม่รอคำตอบ ปัญญาเลื่อนมือไปกุมมือของรุ่นน้องพร้อมกับก้าวเท้านำไปอย่างรวดเร็ว โดนัทที่ถึงจะยังงอนอยู่ถึงกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นมานิดหนึ่ง ก็แฟนของเขาคนนี้ ปกติแล้วไม่จับมือเขาในที่สาธารณะนี่นา
เมื่อทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่บริเวณที่ไม่มีคน และยังพอมีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่บ้าง ปันก็หันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยความจริงใจที่ชวนให้คนมองใจเต้นรัวขึ้น
"พี่รู้ว่าคงขอมากไปถ้าจะพูดว่าอยากให้โดยอมรับการตัดสินใจของพี่"
"พี่ปัน..."
"แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็อยากขอ... พี่คิดเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนที่เราจะคบกันแล้ว อันที่จริงที่พี่ขอคบโดช้าก็เพราะพี่ลังเลเรื่องนี้แหละ เพราะเดี๋ยวพี่ก็จไปแลกเปลี่ยน และต่อให้พี่กลับมาพี่ก็ต้องไปมหาลัย ซึ่งก็จะทำให้เราห่างๆ กันไปอยู่ดี"
"แต่อย่างน้อยถ้าพี่เรียนมหาลัยที่ไทยเราก็มาเจอกันได้ไม่ยากนี่ครับ ผมไปหาพี่ที่มหาลัยยังได้ แต่ถ้าพี่ไปเมกา..."
"พี่รู้ๆ มันคงไม่ง่ายแน่ที่เราจะได้เจอกันเมื่อถึงตอนนั้น แต่เรายังติดต่อกันด้วยวิธีอื่นได้ไหม หรือตอนปิดเทอมพี่จะบินกลับมาหา หรือโดจะมาเที่ยวก็ได้ หรือถ้าแย่ที่สุดก็คือโดรอพี่ 5 ปี"
"5 ปี!? " เจ้าตัวรีบคำนวนในใจอย่างรวดเร็ว งั้นแปลว่ากว่าเขาจะได้เจอปันอีกก็... ก็ต้องเป็นตอนที่เขาอยู่ปี 3 แล้ว โอ๊ย... ไม่นะ
"พี่รู้ๆ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่นานขนาดนั้นหรอก บอกแล้วไงว่าปิดเทอมก็จะกลับมา สัญญาลูกผู้ชายเลยเอ้า"
"แล้ว... แล้วถ้าสมมติโอลิมปิกหน้าผมได้ไปแข่ง..." โดนัทอึกอัก ปัญญารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร
"พี่จะบินไปเชียร์ จะเกาะติดขอบสนามเลยเอ้า"
"พี่ปันพูดจริงเหรอครับ" เจ้าตัวถามเหมือนยังไม่แน่ใจ ปัญญาบีบบ่าของอีกฝ่ายราวกับจะย้ำคำพูดตัวเอง
"แน่ใจสิ แล้วโดจะหาว่าพี่ขอมากไปไหมถ้าพี่ขอให้โดรอ"
"พี่อยากให้ผมรอเหรอ"
"ใช่สิ โดคิดว่ารอพี่ไหวไหม"
"ก็ถ้าประมาณ 5 ปี..." เด็กหนุ่มเริ่มตีหน้ามุ่ย ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ "เดี๋ยวก่อน! แล้วถ้าพี่ไปอยู่นั่นตั้ง 5 ปี เกิดพี่ติดใจอยากอยู่ที่นั่น หางานทำที่นั่นขึ้นมา แบบนี้ผมไม่ต้องรอพี่ไปตลอดชีวิตเหรอ? "
"เอ้า" คิดไปไกลกว่าเขาอีก "เอางี้ ถ้าพี่ต้องทำงานที่นู่นจริงๆ พี่จะมารับโดไปอยู่ด้วย โอเคไหม"
"พี่พูดจริงนะ"
"จริงสิ แต่ว่าก็ว่าเถอะ พี่ว่าพี่คงไม่หางานทำที่นู่นหรอก คงกลับมาอยู่ไทยนี่แหละ" เพราะถึงยังไงเขาก็ยังมีพ่ออีกสองคนรองาบหัวอยู่ถ้าเขาไม่กลับมา รวมพ่อทูนหัวตรงหน้าเข้าไปด้วยก็เป็นพ่อสามคนพอดี
โดนัทยังคงเงียบ แต่สีหน้าท่าทางอ่อนลงจากเมื่อครู่มาก ปัญญาโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้น มือไล้ปอยผมนุ่มของเด็กหนุ่มเล่นขณะถาม
"ว่าไงครับ คนเก่ง หายงอนพี่รึยัง เชื่อใจพี่รึเปล่า"
"ไม่หายครับ ไม่เชื่อด้วย" อ้าว เห้ย คนอุตส่าห์พูดหว่านล้อมตั้งนาน "แต่... ผมรู้ว่าพี่อยากไป ถ้ามันเป็นความตั้งใจของพี่ ผมก็จะไม่อยากจะห้ามหรอกครับ แล้ว... แล้วผมก็อยากเชียร์พี่ทำในสิ่งที่ตัวเองฝันด้วย"
นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นมามองหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมาในรอบนี้ บ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มหมายความตามที่พูด
"เพราะงั้น... ถ้าพี่ปันอยากให้ผมรอ ผมก็จะรอครับ แต่พี่ต้องคอลหาผมทุกวันนะ ไม่งั้นผมจะบินไปกินหัวพี่"
"โห น่ากลัวจัง" พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ทำเอาโดนัทที่พูดขู่อย่างตั้งใจหน้ายู่ลงทันที
"ผมพูดจริงนะ พี่ปัน ห้ามผิดสัญญากับผม ไม่งั้นผมโกรธแน่ แล้วพี่ไม่อยากให้ผมโกรธหรอก เพราะถ้าผมโกรธผมจะ--"
ปัญญากลบเสียงนั้นด้วยการเบียดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย โดนัทสะดุ้งโหยงพร้อมกับหลับตาแน่นด้วยความตกใจ ใบหน้าร้อนวูบขึ้นอย่างรวดเร็ว มือหนาผลักเขาไปชิดกับต้นไม้ด้านหลังพร้อมกับกดจูบลงมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อริมฝีปากร้อนผละออก โดนัทก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่เขาชอบสุดใจส่งยิ้มยียวนมาให้
"จะทำอะไรพี่ครับ ทุ่มพี่ลงกับพื้นงี้เหรอ"
"..." อ๊าก พี่บ้า! เดี๋ยวปั๊ดทุ่มลงเสียเลยตอนนี้…
"ว่าไงครับ พ่อคนเก่ง อ้าว หน้าแดงเถือกเลย แถมมือไม้ดูอ่อนแรงขนาดนี้ จะทุ่มพี่ไหวเหรอ ตัวพี่ไม่เบาหรอกนะ" ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังแขนที่ตอนนี้ปวกเปียกสนิทไปเขย่าไปมาเพื่อชี้ให้เห็นตามที่พูด
"...พี่ปันบ้า"
"อ้าว อย่าพูดแบบนั้นสิครับ โดคงไม่อยากคบกับคนบ้าหรอก ถูกไหม"
"อยู่ๆ มาจูบกันแบบนี้ได้ไง! " ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบ... แต่นี่มันที่สาธารณะนะ!
“อ้าว โกรธพี่ซะแล้วเหรอ” ปัญญาแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “งั้นแบบนี้โดจะจับพี่ทุ่มกับพื้นเปล่าเนี่ย”
“ผมไม่โหดขนาดนั้นหรอกครับ”
คนเป็นรุ่นพี่ยิ้มแก้มแทบปริ มือเอื้อมไปหยิกแก้มโดนัทอย่างเอ็นดู
“จริงเหรอ? ”
“ผมมีวิธีดีกว่านั้น” เจ้าตัวยิ้มร่า เลื่อนแขนไปโอบรอบคอคนตัวสูงกว่า ดึงหน้าปันลงมาพร้อมกับประทับจูบแผ่วเบาที่กลีบปากอีกฝ่าย คนหน้าหวานยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเห็นว่าปัญญาหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา เจ้าตัวมีสีหน้าอึ้งๆ ครู่หนึ่งจากนั้นจึงส่งยิ้มกว้างมาให้
“ว่าแต่คนอื่นนะ”
“แหงสิครับ” โดนัทว่าขณะลดแขนลง ถอยห่างจากอีกฝ่ายมาหนึ่งก้าว หันหน้าหนีไปทางอื่นแก้เขิน “ผมจะว่าตัวเองทำไมล่ะ ก็ต้องว่าคนอื่นสิ”
ปัญญาหัวเราะร่วนออกมาพร้อมกับยีหัวอีกฝ่ายแรงๆ
“ไอ้ตัวแสบเอ๊ย”
…
บูมขอให้พงศ์ หนึ่งในลูกน้องของเขาขับรถมาส่งปันที่บ้านเดิมของเจ้าตัวเมื่อถึงวันที่เขาตกลงกับนพดลเอาไว้ว่าจะให้ปันมาค้างด้วยเนื่องจากตัวเองติดถ่ายละครเรื่องหนึ่งซึ่งกำลังออนแอร์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์
ปัญญาหันไปยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายหลังจากลงจากรถ เขามีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวที่ไม่ได้ใส่อะไรมากมาย พงศ์จึงไม่จำเป็นต้องเดินมาส่งเขาถึงในบ้าน
หลังจากที่ก้าวเท้าผ่านรั้วบ้านเข้ามา เขาเห็นร่างที่คุ้นเคยของพ่อกำลังนั่งดูทีวีอยู่ด้านใน อันเป็นภาพเดิมๆ ที่เขาเห็นเวลาประมาณนี้อยู่แล้วทุกเสาร์อาทิตย์
แต่ไม่รู้ทำไม… ครั้งนี้มันทำให้เขาใจสั่นแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือนทั้งดีใจและปั่นป่วนไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่เขาจะออกไปนอนค้างกับบูม เขากับพ่อทะเลาะกันมาครั้งหนึ่ง และถึงพ่อเขาจะไปเยี่ยมถึงบ้านใหญ่หลังนั้น เขาก็ยังรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี
ความอึดอัดในอกนี่ไม่ค่อยดีเท่าไร มันชอบทำให้เขาหายใจขัดๆ ตลอด และเขาหวังว่ามันจะหายไปก่อนที่เขาจะต้องไปอเมริกา
“เอ่อ พ่อครับ” เด็กหนุ่มว่าหลังจากที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาในตัวบ้าน “สวัสดีครับ” ยกมือไหว้อย่างสวยงาม แน่นอน เขาเคยมีบทเรียนเรื่องไม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่มาแล้ว โดนพ่อฟาดไปจนน้ำตาเล็ดเลยตอนเด็กๆ มันเลยติดเป็นนิสัย
“อือ” ชายหนุ่มรับไหว้พร้อมกับลุกขึ้นยืน “กลับมาแล้วเหรอ ปัน ไปนอนบ้านนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“ดีครับ” ปันพูดยิ้มๆ ขณะปลดเป้ลงจากหลัง “ทุกคนก็ใจดี ถึงจะงงๆ หน่อยตอนที่พ่อบูมเล่าให้ฟังว่าผมเป็นญาติเขาก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ดูติดใจอะไร”
“ดีแล้ว” เรื่องนี้นพดลรู้อยู่แล้วเพราะบูมเคยบอกว่ายังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องปันแม้แต่กับคนรับใช้ที่บ้าน เพราะมีโอกาสมากว่าข่าวจะหลุดรั่วไปตั้งแต่ตรงนั้น “แล้วตัวบูมเองล่ะ เขาดีกับลูกรึเปล่า”
“ดีครับ ดีขนาดให้ดีกว่านี้คงต้องปูพรมแดงให้ผมทุกที่ที่ผมจะไปแล้ว”
นพดลหัวเราะรับนิดหนึ่ง แต่ปันก็พอจะจับได้ว่ามันดูฝืดๆ
“ถ้าลูกไปอยู่นั่นแล้วสบายก็ดี”
ชายหนุ่มเลื่อนมือไปลูบหัวลูกชายสองสามทีด้วยความคิดถึง จากนั้นก็ไล้ฝ่ามือลงไปบนแก้มข้างที่เขาเคยต่อยตอนที่ขาดสติเพราะเมาเหล้าอย่างหนัก นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่แตะของมึนเมาอีกเลย ราคาที่ต้องจ่ายให้มันแพงเกินไป ถ้าต้องทำร้ายลูกชายแบบนั้น เขายอมทำร้ายตัวเองเสียยังจะดีกว่า
“ผมไม่เจ็บแล้วครับพ่อ” ปันรีบพูดราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
“งั้นเหรอ” งั้นก็ดีแล้วล่ะ
บรรยากาศของพวกเขาสองคนไม่ได้ดีขึ้นพรวดพราด หากดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ อ้อยอิ่ง เริ่มตั้งแต่ตอนที่นพดลสั่งให้ปันเอาข้าวของไปเตรียมใส่ตะกร้าซัก ถามว่าเย็นนี้อยากจะกินอะไร จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติสุขเหมือนที่ผ่านๆ มา
พวกเขาสองคนก็ยังพูดคุยกันเป็นปกติ แต่ปันเองก็รับรู้ว่าอะไรบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว มีความกระอักกระอ่วนเล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
ปันคิดว่ามันอาจจะค่อยๆ จางหายเมื่อเขาตามปกติไปเรื่อยๆ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นแม้ว่าจะผ่านมาเป็นสัปดาห์ๆ แล้วก็ตาม
ปัญญาได้เข้าร่วมวงสนทนากับนพดลและบดิศรในเวลาต่อมาเรื่องวันที่ปันจะไปนอนค้างที่บ้านนั้นได้ เรื่องรถรับส่งบูมจะเป็นคนจัดการให้เอง ปันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคุณชายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และเขาก็ไม่ขัดอะไรที่ต้องไปนอนคฤหาสน์หลังโตนั่นสัปดาห์ละสามวัน เพราะการได้ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หรูๆ และมีคนคอยเอาใจก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่อะไร ถูกไหม
เด็กหนุ่มใช้ชีวิตอย่างปกติมาเรื่อยๆ อ่านหนังสือหนักขึ้นเมื่อใกล้ถึงช่วงสอบ ออกไปเฮฮากับเพื่อนหลังสอบเสร็จ ไปเดทกับโดนัททุกเสาร์อาทิตย์หรือวันที่พอจะหาเวลาได้ รู้ตัวอีกที อาทิตย์หน้าเขาก็ต้องเตรียมขึ้นเครื่องไปอเมริกาแล้ว
“ปัน” บูมพูดขึ้นหลังจากที่มาส่งลูกชายที่อีกบ้าน “เสาร์อาทิตย์นี้ เราไปเที่ยวกันเถอะ อีกไม่นานลูกก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว น่าจะไปเที่ยวตุนไว้หน่อย”
“เที่ยวเหรอครับ” ปัญญากะพริบตาปริบๆ วินาทีแรก เขานึกถึงโดนัทก่อนตามประสาวัยรุ่นที่ต้องนึกถึงแฟนเวลาจะไปเที่ยวที่ไกลๆ แต่วินาทีถัดมาเขาก็รู้ว่าคไม่เหมาะแน่ถ้าจะชวนโดนัทไปด้วย… หมอนั่นมีซ้อมเทควันโดเยอะมากช่วงนี้ แถม… ขืนเขาเอาโดนัทไป เรื่องที่เขาคบกันอยู่อาจแตกได้ เขายังไม่อยากให้พ่อแท้ๆ ของเขารู้เรื่องนี้เท่าไรนัก
“ใช่สิ เที่ยวค้างคืนกัน แค่เราสองคน”
“อ้าว แล้วพ่อดลล่ะครับ” นึกถึงแฟนไม่ได้ก็นึกถึงพ่ออีกคน นพดลที่นั่งอยู่ในที่นั้นขมวดคิ้วฉับด้วยไม่พอใจทันที ก็เขาตั้งใจไว้แล้วว่าเสาร์อาทิตย์สุดท้ายนี้จะใช้เวลาอยู่กับลูก
“เสียใจครับ ปันคงไปไม่ได้ ผมมีแผนจะใช้เวลาอยู่กับลูกอยู่แล้ว”
“อ้าวๆ พูดแบบนี้ได้ไงดล” คนที่มักได้รับการเอาใจมาตลอด (เพราะเป็นดารา) เริ่มโวย “ปันก็ลูกฉันเหมือนกันนะ อีกอย่าง นายถามแกยังเถอะว่าแกอยากอยู่กับนายเปล่า”
“ปัน” ดลพูดเสียงเย็นมาทีเดียว งานเข้าลูกชายอย่างเขาอีกแล้วไหมล่ะ
“เอ่อ ก็” ปันกะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากทั้งสองฝ่าย “ไหนๆ พ่อบูมก็ชวนเที่ยวแล้ว ทำไมเราไม่ไปด้วยกันหมดสามคนเลยล่ะครับ”
อื้อหือ… มันช่างกล้าเสนอไอเดีย
“ไม่เอา” นพดลขมวดคิ้วฉับ หันหน้าหนีไปอีกทางทันที “ถ้าปันอยากไปขนาดนั้นก็ไปกับบูมแค่สองคนนั่นแหละ พ่อไม่อยากไปนอนที่อื่น”
อ้าว แล้วกัน
“แต่ผมอยากให้พ่อไปด้วยนะ”
อุก… ได้ยินคำนี้จากปากลูกนี่… เหมือนใจจะละลาย
“นะ พ่อ มาเหอะ เดี๋ยวผมก็จะไม่อยู่แล้ว ไปเที่ยวด้วยกันหน่อยจะเป็นไรไป ได้ใช่ไหมครับ พ่อบูม”
“อ่า อืม มาสิ มาเยอะๆ ก็น่าจะสนุกกว่าอยู่แล้วถูกไหม”
...ไอ้สองพ่อลูกคู่นี้นี่มัน…
จนแล้วจนรอดเขาก็ขัดใจไอ้ปันไม่ได้อยู่ดี
------------------------------------
Talk: เรื่องน่าเศร้าของนิยายเรื่องนี้ก็คือ ต่อให้คนอ่านจะไม่ฟินกับโดปัน แต่ยังไงเขาก็รักกันอยู่ดี...
