(ต่อตรงนี้)อินคิวบัสหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบมาจนถึงบ้านหลังเดิมที่เคยพำนักอยู่ยาวนาน มันก้าวข้ามรั้วบ้านเข้าไปอย่างไม่ลังเล และไม่ได้รู้เลยว่า
ความตายรอท่ามันอยู่ภายใน
ฝุ่นผงขมุกขมัวคลุ้งออกมาเมื่อมันเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่กระทบสายตาคือโซฟาสีแดงตัวยาวที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางโถง แสงจากถนนเบื้องนอกทอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย รูม่านตาของปีศาจฝันขยายกว้างเพื่อง่ายต่อการมองในความมืด มันกวาดสายตาไปรอบๆเมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติก็เริ่มวางใจว่าจะไม่ถูกตาม เพราะที่นี่เป็นรังเก่าของบรรดาบุตร-ธิดาแห่งลิลิธ มันนึกขอบคุณมารดาแห่งโลกขึ้นมาอย่างท่วมท้นที่ตนเองหนีจากสัตว์ร้ายนั่นมาได้ มันนึกภาพไม่ออกเลยว่าตนจะเป็นเช่นไรหากถูกจับได้
ขาเรียวยาวพาตัวเองไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟายาวตัวนั้น ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อนการควบคุมพลังในร่างมนุษย์ทำให้มันเสียพลังไปมากทั้งวิ่งมาที่นี่และคืนนี้มันก็พึ่งกินไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้มันไม่รู้สึกหิวเลยจนบัดนี้ที่พลังงานถูกใช้ไปกับการกลบร่องรอยมันถึงรู้สึกว่าตนเองต้องการพลังงาน โบสถ์ใหญ่เก่าแก่ที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนักที่นั่นคงมี
อาหารให้มันแน่ แต่ตอนนี้มันยังนอนใจไม่ได้ว่าผีดิบตนนั้นจะยังตามมาหรือไม่ พวกผีดิบเป็นพวกยึดติดมากเสียด้วยและจากการสัมผัสพลังของคนผู้นั้นมันรู้ได้เลยว่าตนเองไม่สามารถต่อกรได้ด้วยแน่ หากตนเองกำลังถูกล่าอยู่ มันก็ไม่อยากเสี่ยงนัก พรุ่งนี้ค่อยกินก็ได้
จากคราแรกที่ว่าเมื่อมาถึงจะแปลงร่างแล้วหายตัวไปซะแต่ตอนนี้มันกลับไม่มีแรงพอจะทำเช่นนั้น
“คงต้องนอนที่นี่สักคืนสองคืน แล้วค่อยกลับป่าละกัน” มันพึมพำออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน
ห้องนอนเดิมของมันอยู่ชั้นบน
ทว่ายังไม่ทันได้เขยื้อนกาย กลิ่นอายความตายหนักหน่วงก็ประชิดกาย พริบตาเดียวใบหน้าเรียวสวยก็ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ ร่างกายสูงใหญ่เย็นเฉียบของ
อะไรบางอย่างประชิดแผ่นหลัง
มือใหญ่แข็งแกร่งนั้นบังคับให้มันแหงนเงยใบหน้าขึ้น แก้มขาวของอินคิวบัสแนบชิดกับใบหน้าขาวซีดเย็นเฉียบของบุตรแห่งความมืด ความกลัวแล่นเข้าครอบงำจิตใจแบบที่เหยื่อมักจะเป็นเสมอเมื่อพบนักล่า
มันหอบหายใจหนักหน่วง ในอากาศที่คละคลุ้งด้วยไอฝุ่นบัดนี้เต็มไปด้วยกลิ่นของความตาย
“หิวหรือ หนูน้อย” เสียงเย็นเยียบกระซิบติดใบหู
กลิ่นหอมบางอย่างกำจายออกมาจากกายของแวมไพร์ มันตกอยู่ในความลุ่มหลงชั่วขณะจนความเจ็บแปลบฝังลงที่ลำคอขาว พลันนั้นมันออกแรงต้านสุดฤทธิ์หากทว่าไร้ผล เสียงดื่มกินยังดำเนินไปจนผู้ล่าพึงพอใจถึงถอดคมเขี้ยวออกจากลำคอขาว เผยหยดเลือดให้ไหลลงมาจากรอยแผลถูกกัด ร่างกายอ่อนแรงทรุดลงในอ้อมกอดของบุตรแห่งรัตติกาล
อ้อมแขนเย็นเยียบรับร่างนั้นไว้ด้วยความเต็มใจกลิ่นอายหอมหวนเย้ายวนของอินคิวบัสกำลังมอมเมาเขา แวมไพร์หนุ่มรู้ดีว่าร่างโปร่งในอ้อมกอดต้องการอาหาร
อืม...ป้อนอาหารให้เจ้าหนูนี่หน่อยก็แล้วกัน
“ว่าไงล่ะ หิวใช่ไหม” แวมไพร์เอ่ยถามชิดใบหู น้ำเสียงแหบพร่าชวนหลงใหลนั้นกำลังมอมเมาอินคิวบัสหนุ่มอีกครา
มันพยักหน้าตอบรับอย่างไม่รู้ตัว ประสาทสัมผัสที่เคยเฉียบคมบัดนี้พร่าเลือนเพราะถูกสูบเอาพลังงานไป
ใช่มันหิว หิวมากเสียด้วย ร่างกายปวกเปียกของอินคิวบัสถูกพลิกให้หันมาเผชิญหน้ากับผู้ที่ดื่มกินเลือดของมันไปเมื่อครู่ ใบหน้าหล่อเหลาขาวจัดอย่างที่แวมไพร์เป็นเสมอ ทรงพลังและทรงเสน่ห์อยู่ชิดใบหน้าเรียวของปีศาจฝัน ริมฝีปากแดงสดที่บัดนี้ยังมีเลือดติดอยู่ช่างน่าลุ่มหลง
บุตรแห่งความมืดจ้องมองปีศาจฝันด้วยความเริงใจ เมื่อเจ้าของนัยน์ตาชวนหลงใหลนั้นกำลังจ้องมองเขาราวกับลุ่มหลงเสียเต็มประดา นอกจากฝันดีที่เหล่าบุตร-ธิดาแห่งมารดาโลกกินเป็นอาหารแล้วก็มีพลังงานชีวิตของมนุษย์และราคะที่เป็นอาหารชั้นเลิศของปีศาจเหล่านี้
สองนักล่าที่มีกลิ่นอายที่ชวนลุ่มหลงทั้งคู่สบตากันชั่วหนึ่ง ความรู้สึกรุนแรงก็ถาโถม แวมไพร์ประทับปากสีสดนั้นเข้ากับริมฝีปากบางชวนสัมผัส
ทั้งคู่ตอบสนองความต้องการด้วยความรู้สึกที่เร่าร้อนรุนแรงไม่ต่างกัน ไม่นานอาภรณ์ของอินคิวบัสก็หลุดออกจนหมดเหลือเพียงร่างกายเปล่าเปลือยขาวผุดผาด อยู่ในอ้อมกอดเย็นเยียบของบุตรแห่งรัตกาล
แวมไพร์ผลักให้ร่างในอ้อมกอดล้มหงายลงบนโซฟาที่เป็นเฟอร์นิเจอร์เพียงหนึ่งเดียวในโถงของบ้าน โซฟาสีแดงกำมะหยี่กับร่างกายขาวนวลยั่วยวนของอินคิวบัสช่างเป็นภาพที่งดงามราวกับฝัน แม้แต่แกนิมีดสนมแห่งซุสยังต้องสยบแก่ความงามเบื้องหน้านี้ ขาเรียวข้างหนึ่งตั้งชันขึ้นเผยให้เห็นช่องทางสีสวยที่เต้นตุบตับเชิญชวน
เจ้าชายแห่งราตรีปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนก่อนจะเข้าทาบทับไปบนร่างของอินคิวบัสหนุ่ม มือเย็นเฉียบข้างหนึ่งเข้ากอบกุมความปรารถนาของคนใต้ร่างเอาไว้ขยับรูดรั้งแผ่วเบา
“อ่าส์” เสียงครางกระเส่าดังจากคนเบื้องล่างสร้างความพึงใจให้ผู้กระทำ
เนื้อตัวของอินคิวบัสสะท้านน้อยๆด้วยความต้องการที่มากล้น ทั้งราคะและความหิวกระหายกำลังหลอกล่อมันให้ตกลงไปในหลุมดำมืดแห่งความต้องการ จนเอ่ยร้องขออย่างที่ไม่เคยต้องกระทำ
“ใส่เข้ามาซะที” เสียงหวานกระเส่าเรียกร้องดังขึ้นชิดใบหูของผู้ล่า
เรียวขาขาวแยกออกกว้าง สะโพกบดเบียดกับความปรารถนาแข็งขืนของบุตรแห่งความมืดยั่วยวนอย่างลืมอาย
“เธอชื่ออะไร” แวมไพร์หนุ่มไม่ตอบสนองคำร้องทั้งยังเอ่ยถามชื่อของปีศาจราคะ แลบเลียรอยแผลที่ตนเป็นผู้กระทำแผ่วเบาให้กายน้อยๆในอ้อมกอดสะท้านด้วยความต้องการมากขึ้น
“.....” ปีศาจฝันเอ่ยตอบ
“ชื่อเล่นสิครับ” น้ำเสียงแหบพร่ายังยั่วเย้าไม่เลิกทั้งยังเพิ่มแรงขยับรูดรั้งจนสติของอินคิวบัสหนุ่มกระเจิดกระเจิง
“ห่ะ...ชื่อ...” มันเอ่ยตอบกระท่อนกระแท่น
“แล้วเธอรู้จักฉันไหม” เมื่อเอ่ยถามคำถามนั้นแวมไพร์หนุ่มหยุดการกระทำทุกอย่าง แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของปีศาจฝัน
“เจ้าชาย...” แรงบีบที่ความปรารถนากลางกายทำให้มันผวาเฮือก
“ชื่อของฉัน เด็กน้อย”
“.....”
เมื่อสิ้นสุดการขานนามนั้น ความต้องการเย็นเยียบก็แทรกเข้ามาในกายของอินคิวบัส มันเงยหน้าเริดขึ้นด้วยความเสียดเจ็บปะปนไปกับความต้องการที่มากล้น
ความรุ่มร้อนที่ตอดรับร่างกายที่กำลังสอดลึกทำให้บุตรแห่งรัตติกาลหมดความอดทน เขากระแทกกายเข้าไปจนสุด
“อ๊า” เรียกเสียงครางแว่วหวานจากปีศาจฝัน
ทั้งคู่สบตากันเสี้ยวหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ราวกับไร้กาลเวลาเมื่อร่างสองร่างต่างถาโถมความต้องการใส่กันไม่หยุดยั้ง เสียงหอบกระเส่าประสานกันเพิ่มความระอุในทุกอนูอากาศ เมื่อฝ่ายหนึ่งร้องขออีกฝ่ายก็ไม่รั้งรอจะตอบรับ ทุกท่วงท่าเต็มเปี่ยมด้วยความร้อนแรง ทุกการสอดใส่เปี่ยมล้นด้วยความต้องการ
จนเมื่อแวมไพร์พลิกร่างของปีศาจฝันให้ขยับควบเคลื่อนกายอยู่ด้านบน ส่วนตัวเองก็นอนมองร่างกายตนเองที่ผลุบเข้าออกช่องทางหฤหรรษ์นั้น หยาดเหงื่อพร่างพรายจากร่างของปีศาจฝันหยดลงบนร่างกายเย็นเยียบ หยดเลือดจากปากแผลที่ตนเองสร้างไหลระเรื่อยปะปนกับเหงื่อ กลิ่นอายแห่งกามารมย์กรุ่นกลิ่นกำจายสร้างความลุ่มหลงให้หนาหนักขึ้นฉุดให้สัตว์ร้ายเผยเขี้ยวเล็บและร่างจริงออกมา
ดวงตาแดงก่ำโลหิตจ้องมองร่างขาวเนียนด้านบนด้วยความกระหายเลือด ไม่ต่างกันกับปีศาจราคะที่เผยร่างจริงเมื่อความต้องการใกล้ถึงขีดสุด พวงหางสีดำสนิทปรากฏขึ้นพร้อมกับเขาเล็กๆบนศีรษะ
กลิ่นหอมที่แสนยวนเย้าจากร่างของปีศาจทั้งสองส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้องหนึ่งคือความเย็นเยียบราวธารน้ำแข็งอีกหนึ่งร้อนแรงดุจเปลวเพลิง ประสานกันเกี่ยวพันรัดแน่น จนในที่สุดขมวดเกร็งก่อนจะแตกละเอียดพร่างพราย
เรือนร่างขาวเนียนด้านบนกระตุกเฮือกแล้วทรุดลงในอ้อมกอดของแวมไพร์หนุ่มเมื่อความสุขสมมาเยือน
เกิดความเงียบขึ้นในบรรยากาศที่ยังคละคลุ้งด้วยกลิ่นโสมมของตัณหา มือเย็นเยียบข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังขาวเนียนแผ่วเบาระเรื่อยจนถึงโคนหางเป็นพวงนั้น
“อือ อย่าสิ” เสียงห้ามอู้อี้ดังมาจากปีศาจฝันที่ซุกซบอยู่ที่อกของแวมไพร์
ความต้องการที่ยังฝังลึกอยู่ในกายรุ่มร้อนตื่นขึ้นอีกครา เรียกเสียงครางแผ่วเบาจากปีศาจฝัน ทั้งที่พึ่งจะ
กินไปแท้ๆ
“แบบนี้ใครกินใครกันแน่” แวมไพร์เอ่ยถามน้ำเสียกระเซ้าเย้าแหย่ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร
เจ้าของพวงหางสีดำน่ารักนั้นผงกหัวขึ้นจากแผ่นอก ใช้คางเกยไว้สายตาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาแดงก่ำที่เจ้าของมันมิได้พยายามซ่อนไว้เช่นที่ผ่านมา หางนั้นปัดไปมาน้อยๆอย่างสบายอารมณ์ราวกับไม่สนใจ
เจ้านั่นที่กำลังแข็งขืนขึ้นในร่างกายของตน
“ทำไมถึงรู้จักที่นี่ เจ้าชาย”
เจ้าของนามจ้องมองคนที่ใช้อกเขาเป็นที่วางคางด้วยแววตาอ่านยาก พวงหาที่ปัดไปมานั่นสร้างความเพลิดเพลินดีไม่น้อย
“ให้กินอีกรอบแล้วจะบอก” บุตรแห่งความมืดเอ่ยต่อรอง
“แลกกัน” บุตรแห่งลิลิธวางเดิมพัน
ก่อนจะยันตัวแล้วถอนตัวขึ้นให้ส่วนนั้นหลุดออกจากร่างกายตน มันยืนขึ้นก่อนจะเอ่ยคำชวนที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธ
“ไปบนห้องดีกว่า ตรงนี้เมื่อยกินไม่สนุกหรอก”
แล้วทั้งคู่ก็หายไปด้านบนของบ้าน
เสียงครางหวานผสมกับเสียงคำรามต่ำของสัตว์ร้ายบางชนิดดังลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ
ราตรีดำมืดไร้แสงจันทร์ยังดำเนินต่อไปจวบจนรุ่งสาง
ร่างกายสองร่างยังนอนกกกอดกัน สภาพภายในห้องนอนยับเยินเครื่องเรือนบางชนิดหักพังก็อย่าง...โต๊ะเครื่องแป้ง ที่ถูกใช้เป็นสมรภูมิแลกเปลี่ยนจนสาสมใจ
แสงแดดยามสายไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้เพราะผ้าม่านกำมะหยี่หนาหนักสีแดงเลือดปิดคลุมไว้มิด ให้ห้องนอนนี้มีสีแดงเรื่อๆ
มือเย็นเฉียบข้างหนึ่งของแวมไพร์หนุ่มเกลี่ยแผ่วเบาบนไหล่นวลเนียนของอินคิวบัสที่บัดนี้ยังไม่คืนร่างมนุษย์
ไม่จำเป็น นี่คือคำพูดของคนที่ใช้แขนคนอื่นเป็นหมอนอยู่ตอนนี้
“อือ..ขอนอนก่อน” เสียงอู้อี้ดังขึ้นจากเจ้าของพวงหางสีดำที่โผล่พ้นผ้าห่มที่คลุมร่างทั้งสองไว้อย่างหมิ่นเหม่
แวมไพร์หนุ่มก้มลงมองคนที่ยอมให้เขาดื่มเลือดตลอดทั้งคืนแลกเปลี่ยนกับความสุขสมทางร่างกายที่อีกคนใช้ดื่มกิน เรียกได้ว่าอิ่มเอมกันทั้งสองฝ่าย เลือดของปีศาจอย่างอินคิวบัสนั้นให้พลังงานมากกว่าเลือดมนุษย์หรือเลือดของพวกแวร์วูฟ
“นี่” เรียกปลุกปีศาจขี้เซาแผ่วเบา
“หือ” เสียงตอบรับงัวเงียดังขึ้น เจ้าตัวซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดเย็นๆนั้นอีก
“ไปอยู่ด้วยกันไหม” บุตรแห่งความมืดเอ่ยชวน
แวมไพร์หนุ่มรู้ดีว่าปีศาจฝันตนนี้นั้นเร่ร่อนไปทั่วในป่าที่ห่างออกไปจากเมืองนี้ เพราะไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อได้แล้วเขาก็อยากได้อีกอยากได้เรื่อยๆ รู้แค่ว่าตนเองติดใจเจ้าปีศาจฝันอายุน้อยนี่เข้าเสียแล้ว
“ไม่ไปหรอก” ปีศาจฝันเอ่ยตอบแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในที บัดนี้มันเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอดเต็มตา
“ทำไม”
“ไม่อยากยุ่ง ไปอยู่รวมๆกันมีแต่เรื่องยุ่งๆ”
“ก็ถ้าทำให้ไม่ยุ่ง”
“ทำได้?”
“นี่ใคร”
เสียงหัวเราะน้อยๆดังมาจากอินคิวบัส
“พูดน่ะง่ายนะเจ้าชาย ผมน่ะมันแปลกแยกมาตั้งนานแล้วจะให้ปุบปับไปอยู่รวมกลุ่มเลยมันก็คงไม่ไหว”
“แล้วให้ทำไง”
“ไม่ต้องทำไง”
“...”
“ก็ถ้าคุณอยากเจอผม คุณก็มีวิธีตามหาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“จริงสินะ”
บทสนทนาทั้งหมดจบลงเท่านั้น จนเมื่อตะวันตกดินอีกครั้งปีศาจฝันก็หายไปจากบ้านหลังนั้นและเช่นกันบุตรแห่งรัตติกาลผู้นั้นก็กลับคฤหาสน์ของตน ทิ้งให้ค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นดุจความฝัน...เป็นฝันดีเสียด้วย
ปีศาจฝันเข้าใจว่าหยดเลือดที่ตนสัมผัสเป็นเครื่องพันธนาการที่แวมไพร์หนุ่มได้ทำไว้กับตนนั้นเป็นสิ่งเดียวเกิดขึ้นเจ้าตัวก็เข้าใจผิดมหันต์ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่มันยังไม่รู้คือเมื่อบุตรแห่งความมืด
ผู้นี้ได้พันธนาการคำพูดใดกับใครด้วยชื่อแล้วคนผู้นั้นจะมิสามารถหลุดพ้นจากเขาไปได้
2 สัปดาห์ถัดมา
“เจ้าชาย มีคนมาหาครับเอ่อ...เป็นอินคิวบัส...” ข้ารับใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยจบร่างของปีศาจฝันแสนดื้อดึงตนนั้นก็ปรากฏขึ้นที่ห้องโถงของคฤหาสน์หลังงาม
ดวงตาเรียวรีนั้นเริงโรจน์ไปด้วยโทสะและความต้องการ กลิ่มหอมเฉพาะตัวของปีศาจราคะกำจายอยู่ในอากาศและไม่ได้มีแค่เขาแน่ที่ได้กลิ่น หากใครจะกล้าหาญเข้าใกล้ปีศาจตนนั้นเมื่อรังสีแห่งความโกรธเกรี้ยวห้อมล้อมถึงเพียงนี้ จะมีเพียงเจ้าของบ้านเท่านั้นกระมังที่เดินเอื่อยๆลงบันไดมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“คุณทำอะไรกับผม” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและยังปนไปด้วยความโหยหาในบางอย่าง
“กินก่อนไหม...แล้วจะเล่าให้ฟัง”
จบคำนั้นร่างของทั้งคู่ก็หายวับไปจากบริเวณนั้น และเพียงครู่เดียวเสียงกระเส่าปะปนกับเสียงครางหวานก็ลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่ของบ้าน จวบจนรุ่งสาง...
END
------------------------------------------------------
Talk W ChabaSri
ศรีไม่รู้ศรีทำอะไรลงไป...สั้นกุดแล้วยังไม่มีแก่นอะไรนอกจาก...ให้เขาเล่นไล่จับกัน ฮ่าๆๆๆ นิยายก็คือนิยายเนอะอย่าไปคิดมาก อ่านแล้วสนุกอ่านแล้วผ่อนคลาย แค่นั้นคนเขียนก็ดีใจแล้ว
เป็นเรื่องที่พล็อตมันปุบปับขึ้นมาในหัวแล้วก็อดทนไม่ไหวจนต้องเขียนออกมาสนองความต้องการของตัวเอง แค่อยากเห็นอินคิวบัสXแวมไพร์ก็เท่านั้น
ถึงจะเป็นเรื่องสั้น(มากๆ)แต่ก็ใช้เวลาในการหาข้อมูลเกี่ยวกับทั้งสองเผ่าพันธุ์ในตำนานนี้ค่อนข้างมากโดยเฉพาะฝั่งอินคิวบัสเพราะไม่อยากให้มันเป็นนิยายที่คนอ่านไม่ได้อะไร...ถึงจะไม่ได้อะไรจริงๆก็ตามฮี่ๆๆ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ครับทุกๆคอมเม้นทุกๆยอดวิวคือกำลังใจและแรงบันดานใจที่ดีเสมอมา^^
แล้วพบกันใหม่ครับ
ปล.อ่าส์ อยากเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายด้วยจัง
ปล2.จริงๆนิยายเรื่องนี้สีพาสเทล หุหุ