ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย/บทส่งท้าย: ธันวา(ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) - เมี๊ยว! [19/8/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย/บทส่งท้าย: ธันวา(ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) - เมี๊ยว! [19/8/60]  (อ่าน 16698 ครั้ง)

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Mr. SCROMAN ขอฝากผลงานเรื่องแรกไว้ ณ ที่นี้ หวังว่านายธันวา(ธัน)กับภาณุ(ไลท์) จะสามารถเล่าเรื่องราวให้ทุกคนที่ตามอ่านได้ประโยชน์กับมันไม่มากก็น้อย เรื่องราวความรักของทั้งคู่จะละมุนละไมขนาดไหน อุปสรรค์อะไรที่ทำให้การพบกันครั้งนี้ของทั้งคู่กลายเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย ช่วยคอมเม้นท์และติดตามกันด้วยนะครับ.....ขอให้เอนจอย /ห้ามม็อกนะครับ



---ปีหนึ่งสำหรับบางคนคือการเริ่มต้นใหม่---
---ปีหนึ่งสำหรับอีกหลายคนมันคือความผิดพลาด---
---ปีหนึ่งสำหรับทุกคนอาจเป็นครั้งสุดท้าย---
---ปีหนึ่งขอให้คิดไว้ว่าเวลาไม่อาจเรียกคืน---
---ปีหนึ่งจงหยัดยืนด้วยความฝันและใจจริง---


---ปีสุดท้ายไม่ท้ายสุดหรือหยุดเดิน---
---ปีสุดท้ายน่าสรรเสริญในความเพียร---
---ปีสุดท้ายอาจหมดทางให้หวนเวียน---
---ปีสุดท้ายอย่าเปลี่ยนเป็นความเสียดาย---
---โปรดจำไว้ ใจสั่งไป อย่าได้คอย---


# ด้วยความหวังดีที่สุดจากผู้เขียน ขอให้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ อย่าได้กระทำในสิ่งที่อีกสิบปีข้างหน้าคุณจะเสียใจและเสียดาย


               ***************************************************************

ธันวา-ภาณุ

ไลท์
“ในที่สุด พระเอกเอ็มวีก็แสดงตัวจนได้”
ผมไม่พูดอะไรแล้ว วิ่งเข้าไปกอดไลท์แน่น กอดอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่คิดจะปล่อยด้วย

                                                     
----------------------

ตะวัน-รวี

“ขอโทษนะทุกคน ขอบคุณมากจริงๆ แต่ผมอยู่ไม่ได้ เปิดประตูให้ผมเถอะ”
“ตกลงมึงจะรีบไปไหน ตะวัน” น้องไลท์ถามซ้ำ
ตะวันมองไลท์อยู่อึดใจหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“วันนี้เป็นวันสำคัญของวี ยังไงกูก็ต้องไป มึงน่าจะเข้าใจกูไม่ใช่หรอ ไลท์”

----------------------

วิว-ลิตเติ้ล

ผมเห็นข้อความถูกอ่าน ยิ้มรับแล้วก้มหน้าทำรายงาน ยังไม่ทันจะเริ่มพิมพ์ต่อก็มีเมสเสสเข้า ลิตเติ้ลนั่นแหละ เขาส่งรูปภาพมาให้ เป็นรูป..................รูป-ผม-กับ-น้อง-ขวัญ

Shit! Shit! Shit! Shit!!!!!!!

เวรแล้วไง ไปได้มาจากไหนวะ ผมกำลังจะพิมพ์ข้อความอธิบาย แต่ลิตเติ้ลออฟไลน์เสียแล้ว
เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย

----------------------


ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย

บทนำ
บทที่ 1 : ไลท์ - ภาณุ สิริโยธากุล
บทที่ 2 : ไลท์ - ปฐมนิเทศ
บทที่ 3 : รวี - ปริศนาครั้งแรก
บทที่ 4 : ไลท์ - กังฟู
บทที่ 5 : ไลท์ - ประลองตะเกียบ
บทที่ 6 : ลิตเติ้ล - ลิตเติ้ลพยากร
บทที่ 7 : ไลท์ - Mini Convertible สุดเท่
บทที่ 8 : ธันวา - ลังเล
บทที่ 9 : ลิตเติ้ล - พอกันที
บทที่ 10 : ไลท์ - โต๊ะอาหารสีชมพู
บทที่ 11 : ไลท์ - ของเล่น
บทที่ 12 : ไลท์ - สองทางเลือก
บทที่ 13 : ลิตเติ้ล - สักขีพยาน
บทที่ 14 : รวี - วันแข่งบาส
บทที่ 15 : วันสบายของเหล่าสามนรก Part 1 - ธันวา
บทที่ 16 : วันสบายของเหล่าสามนรก Part 2 - วิว
บทที่ 17 : วันสบายของเหล่าสามนรก Part 3 - รวี
บทที่ 18 : ไลท์ - ประชุมเชียร์
บทที่ 19 : ธันวา - นรกเปิด
บทที่ 20 : รวี - Last Sheer!!
บทที่ 21 : ไลท์ - ก่อนเดินทาง
บทที่ 22 : ไลท์ - รีสอร์ท
บทที่ 23 : ธันวา - "มันสำคัญมากจริงๆ"
บทที่ 24 : ไลท์ - แคมป์รัก
บทที่ 25 : ธันวา - อีกพันปีนับจากนี้
บทที่ 26 : ไลท์ - เทวทูตผู้ถูกจองจำ
บทส่งท้าย : ไลท์(หกปีก่อน) - ตุ๊กตาไม้ปริศนา
บทส่งท้าย : ธันวา (ไปบ้านไลท์ครั้งแรก) -  ‘เมี๊ยว!!!’


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2017 20:47:42 โดย SCRO.Y.K. »

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #1 เมื่อ21-08-2017 16:32:12 »

                                                                           


ปีสุดท้าย

          นายพีรดลใช้วัยคะนองของตัวเองสร้างสถานภาพจ่าฝูงขึ้นมา ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะจบหลักสูตรการศึกษาสามัญ สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างเดียวคือชายที่ชื่อธันวา หมอนั่นเป็นเหมือนดาราไอดอล ถูกยกให้เป็นยอดชายอันดับหนึ่ง  พีรดลจึงไม่อาจทนมองหน้าธันวาคนนี้ได้ เป็นเหตุให้ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน สองคนนี้มีเรื่องให้ต้องทะเลาะต่อยตีกันบ่อยครั้ง แต่พีรดลมีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือจำนวนผู้ติดตามของเขามีมากกว่า ในขณะที่ธันวามีเพียงเพื่อนข้างกายเพียงสองคนเท่านั้น
         ความได้เปรียบและการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้คือความยินดีที่หล่อเลี้ยงเป้าหมายของพีรดลเสมอมา ในจุดหนึ่งนั้น เขาต้องการอยู่เหนือทุกคนในโรงเรียน อยู่ในจุดที่ทุกคนต้องรู้จักว่าเขาเป็นใคร มีตัวตนให้น่าจดจำมากกว่าธันวา ผู้มีหน้าตาและฐานะเพียบพร้อม พีรดลไม่เคยสนเรื่องผู้หญิง ย่ามใจตัวเองอยู่เพราะตนก็มีเข้ามาไม่ขาด แต่ในใจลึกๆเขารู้สึกเจ็บใจตัวเองที่ดันเกิดมาหล่อน้อยกว่าศัตรู ผู้ที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้ เขาจึงคิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรถึงสอยคู่อาฆาตตลอดกาลลงมาจากหอคอยงาช้างได้ เขาคิดแผนนี้อยู่นานทีเดียว
          แต่แล้ว...ความฝันของพีรดลกลับมีอันต้องดับลงเสียดื้อๆ เมื่อจู่ๆ ศัตรูของตัวเองหายไปจากระบบสาธารณะ ธันวาลาออกจากสภานักศึกษา ละตำแหน่งประธานเชียร์ ปลีกตัวออกจากกิจกรรมโรงเรียนทุกอย่าง เหมือนอยู่ๆก็หายไปจากโลก พีรดลไม่ได้ยินดีแม้แต่น้อย เขากลับรู้สึกโกรธ จนนานวัน ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย และในที่สุดก็ทำให้เขาเริ่มห่วง อะไรกันเล่าที่จะทำให้คนเพียบพร้อมอย่างนายธันวาต้องยอมจำนน
          เป็นเรื่องน่าตลกสำหรับพีรดล เมื่อไร้ซึ่งคู่แข่งขันก็ไร้ซึ่งแรงผลักดัน เขาเปลี่ยนไปจนตัวเองรู้สึกได้ คนรอบกาย เมื่อเห็นเขาไม่แยแสต่ออำนาจ หลายคนจึงปลีกหนี เขาถูกอดีตลูกน้องแย่งตำแหน่งหัวหน้าไปในที่สุด และสิ่งที่เขาคิดได้หลังจากนั้นเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนแท้ คนแรกที่ยอมเปิดใจคุยกับเขาก็คือคนที่ตัวเขาเคยประทับตีนใส่หน้ามาก่อน   พีรดลดักรอเจอคนๆนี้ตอนเย็นที่ศาลาหน้าโรงเรียน ในหัวมีสารพัดคำพูดตีกันยุ่ง
          “กูขอโทษ” พีรดลเอ่ยคำพูดที่เขาไม่เคยพูดมาก่อน มันออกมาโดยที่เขาไม่ได้เตรียมใจหรือจดสคริปใดๆ แต่เขารู้สึกดีกับมัน
          “เรื่องอะไรล่ะ” นายรวีเพื่อนสนิทธันวาไม่เคยจำเรื่องราวพวกนั้นไว้ด้วยซ้ำ เขายิ้มรับการมาของผมได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มคุยกันดีๆ
          “ก็เรื่องที่กูเคยอัดมึงไง”
          “อยากให้กูอัดคืนมั๊ยล่ะ” น้ำเสียงและสายตาบาดเฉือนทำเอาพีรดลทำสีหน้าไม่ถูก “กูล้อเล่น...ว่าไง มีอะไรรึเปล่า”
พีรดลไม่ใช่คนอ้อมค้อม เขาจึงตัดสินใจพูดตามตรง “เพื่อนมึงไปไหนซะล่ะ” เขาอดแปลกใจกับความรู้สึกนี้ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่า ห่วง ได้หรือไม่ “กูหมายถึงไอ้ธันน่ะ”
          รวีตีสีหน้าสงสัยปนประหลาดใจ “ทำไมวะ...จู่ๆก็—“
          “กูไม่เห็นมันดีๆมาหลายอาทิตย์แล้วนะเว้ย เกิดอะไรขึ้น”
          เสียงถอนหายใจอันหนักหน่วงพร้อมหันหน้าหนีของรวีพิสูจน์ว่าสิ่งที่   พีรดลคิดมีส่วนถูก คงเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดีเสียแล้ว สายตารวีเศร้าสร้อย ราวกับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีทางแก้ไข “ไอ้ธันมันเพิ่งจะเสียโอกาสไป”
          “โอกาสอะไรวะ?”
          “ก็....” รวีอึกอักในคำพูด พีรดลเห็นอาการนี้แล้วตีความว่าเขาไม่มีสิทธิ์รับรู้เรื่องของคนอื่น สร้างความอับอายแก่เขามาก ทว่าอารมณ์บางอย่างกลับผลักให้เดินไปข้างหน้า ไม่สนใจคำครหาจากใจตัวเอง
          “หรือว่ามันสอบตก” พีรดลคิดจะสร้างเรื่องตลกกลบเกลื่อน
          “บ้าหรอ...ระดับไอ้ธัน ตกก็ปาติหาริย์แล้ว”
          “แล้วอะไรล่ะ”
          “เรื่องหัวใจไง” รวีเผยออกมาในที่สุด แต่พีรดลกลับรู้สึกขบขันอยากหัวเราะ ไม่คิดฝันว่านายธันวาผู้สมบูรณ์แบบจะมาตกม้าตายในเรื่องเบๆแบบนี้
          “ตลกแล้ว ไอ้ธันเนี่ยนะมีปัญหาเรื่องผู้หญิง กูไม่อยากจะเชื่อว่ะ”
          “เอ่อ...อันที่จริงก็ไม่ใช่ผู้หญิงหรอก”
          “อะไรนะ?” รวีหมายความว่ายังไง
          “เอาเถอะ เรื่องของเรื่องก็คือ...ไอ้ธันแอบชอบคนๆหนึ่งอยู่ แต่มันไม่กล้าเข้าไปหา จนสุดท้ายคนๆนั้นย้ายโรงเรียนไป...แล้ว”
          “แล้วยังไง เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเศร้าด้วยล่ะ หาใหม่ก็ได้นี่หว่า”
          “มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ” น้ำเสียงและท่าทางติดตลกเสมอของพีรดลไม่อาจระแคะระคายอารมณ์ของเพื่อนใหม่คนนี้ได้เลย หน้าตาคนตรงหน้าบ่งชัดว่าหนักใจกับเรื่องบางอย่าง และอาจเป็นเรื่องเดียวที่เป็นหัวใจของทั้งหมด
          “แล้วมันเป็นยังไง คนอย่างไอ้ธันมีแต่คนรอต่อคิวคบด้วย จู่ๆจะให้เชื่อว่ามันมีความรักอย่างงั้นหรอ? เชื่อยากหน่อยนะ”
          สิ้นเสียงคนสนุก สายตารวีก็เหลือบมองอย่างดุร้าย ราวกับคำพูดเมื่อครู่คือถุงใข่เน่าที่เจ้าตัวปาใส่ฝั่งตรงข้าม แล้วรวีก็เอ่ยปากถาม “มึงเคยรักใครมั๊ยเนี่ย”
          มันเป็นคำถามที่ทำให้คนผยองกลายเป็นใบ้ไปเสีย คนตรงหน้าหมายความว่าอย่างไรนะ รัก งั้นหรอ มันคืออะไรล่ะ
          “มึงต้องเข้าใจว่าคนอย่างไอ้ธัน ถูกเลี้ยงดูมาเป็นเส้นตรง ทุกอย่างมีเส้นทางกำหนดให้เดินอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องหัวใจ ตัวมันก็ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ” รวีเล่าออกมาเรื่อยๆ “ที่จริงมันไม่เคยแยแสหรอก ถึงมันจะต้องแต่งงานกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ มันก็ไม่เคยสนใจ จนล่าสุดเนี่ยแหละที่ทำให้มันเปลี่ยนความคิด”
          พีรดลไม่คิดจะแทรกปากเข้าไป
          “มันเพิ่งจะมารู้ตัวว่ามันรักคนๆนั้น” รวีทำสีหน้าครุ่นคิด “กูไม่รู้ว่าถึงขั้นไหนนะ แต่ดูจากอาการแล้วคงจะมากกว่าที่เคยผ่านมาชนิดเทียบกันไม่ได้เลยแหละ” รวีปิดหนังสือเก็บใส่กระเป๋าเตรียมรอรถเมล์มา แล้วเงยหน้ามองคู่สนทนาร่างสูงตรงหน้า “ไอ้ธันมันพยายามหนีการจับคู่ของที่บ้านมาตลอด พอเจอสิ่งที่ตามหาก็เหมือนกับเจอเป้าหมายชีวิตไง จู่ๆความหวังก็มาพังแบบนี้ จะให้รู้สึกไงยังไงได้ล่ะวะ”
          “เฮ้อ แบบนี้จะไปโทษใครเขาได้” พีรดลออกความเห็นอย่างเข้าใจ
          “นั่นสิ แม่งมีโอกาสตั้งเยอะก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้เนิ่นนาน แล้วเป็นไง...น้องเขาย้ายโรงเรียนไปแล้ว ติดต่อก็ไม่ได้ เฟสบุ๊ค ไลท์ ไอจี ...ไม่มีสักอย่าง จะตามหาก็ไม่ได้ซะแล้ว”
          “แล้วทำไงวะแบบนี้” เป็นการคุยที่สบายๆจนพีรดลรู้สึกแปลกใจ คู่สนทนาไม่ได้มีทีท่าอยากประจบประแจงหรือหวาดกลัวดังเช่นที่เขาเจอมาตลอด ทั้งยังไม่อึดอัดหรืออับอาย เขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ตามหาอยู่...ความหมายของคำว่า...เพื่อน
          “ทำไงได้วะ ตอนนี้แม่งคงคิดว่า ตัวเองเสียโอกาสสุดท้ายไปแล้ว นี่ปีสุดท้ายแล้วด้วย พอเข้ามหาลัยได้ก็อีกสังคมนึง ตัดขาดจากกันโดยถาวร แล้วก็กลับบ้านไปโดนคลุมถุงชนกับใครสักคนละมั้ง”
          “เป็นครอบครัวที่น่ากลัวดีเนอะ...แต่กูคงชอบ เพราะรับประกันได้ว่าเมียกูสวยแน่ๆ”
          “คิดแต่เรื่องอะไรน่ะ...” รวีดุคนพูดเสียแล้ว “กูจะรอดูคนอย่างมึงเจอคนรักแล้วโดนหักอก”
          “เออ...กูก็จะรอเหมือนกัน”
          “มึงนี่ก็ดื้อเหมือนกันนะ จะเอาชนะกูให้ได้ว่างั้น”
          พีรดลยิ้มด้วยอารมณ์ผ่อนคลายเป็นครั้งแรก นับแต่วินาทีนี้ไปเขาจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับครอบครัวและชีวิตภายภาคหน้าของตัวเอง เขารู้สึกขอบคุณมากกับช่วงเวลาทั้งหมดที่ผ่านมา แม้จะช้าไปสักหน่อย แต่ในที่สุดเขาก็ได้เจอกับมัน ความปรารถนาของชายที่ทำตัวเกเร...


          “มีอะไรจะให้กูช่วยก็บอกมาได้นะเว้ย...เพื่อน”

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #2 เมื่อ21-08-2017 16:45:45 »




1

ไลท์ : ภาณุ สิริโยธากุล

          ป๊าอ่ะ บ้า โตเป็นควายยังจะให้มีคนติดตาม...บ้า
          ผมชื่อไลท์ เด็กแว่นโตเชื้อสายญี่ปุ่น(ลูกครึ่ง) มีพ่อเป็นเป็นทหารชั้นสัญญาบัติระดับสูง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้รับอิสรภาพ ฮ่ะฮ่า
          กว่าจะไขว้กับป๊าให้ได้มาพักหอพักส่วนตัวได้เล่นเอาเหงื่อตก ตั้งแต่ม๊าผมจากไป ป๊ากลายเป็นพวกจงอางหวงไข่ หวงลูกอย่างกับเป็นรถเบ๊นซ์โรสเตอร์สีเงินของตัวเอง(แอบน้อยใจพ่อเห็นลูกเป็นรถ) จะทำอะไรทีต้องรายงาน ไปไหนไกลๆก็ต้องบอก ไปเที่ยวยังจะให้การ์ดตามไปด้วยอีก บ้ารึเปล่า นี่ลูกชายนะครับ ถึงจะไม่ได้เป็นทหารเหมือนป๊า(ไม่ยอมเป็น) แต่ก็ฝึกร่างกายมาบ้างนะเฟ้ย(โดนพ่อบังคับ) ไม่เสร็จใครง่ายๆแน่
เว้นไว้คนหนึ่ง
          ผมขนของทั้งหมดมาที่หอหลายอาทิตย์แล้ว เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในคณะที่อุตส่าห์บากบั่นติวจนสอบได้ ซ้ำยังเป็นมหาลัยชั้นนำเสียด้วย ภูมิใจโคตรๆ ตอนประกาศผลสอบตรงก็อยากจะเซอร์ไพรส์ป๊าเหมือนกัน แต่ดันไปรู้มาก่อนจากไหนก็ไม่รู้ เซ็ง จากวันนั้นสู่วันนี้ ก่อนเข้าเรียนหนึ่งสัปดาห์ ทางคณะจะมีกิจกรรมหลากหลายให้เด็กใหม่ได้ปรับตัวเข้ากับคนและวิถีชีวิตของเด็กสถาปัตย์ ถึงจะเซ็งแต่ก็รู้สึกไม่เสียหายอะไร ได้ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ ดีซะอีก
เมื่อวานเป็นวันปฐมนิเทศรวมทั้งมหาวิทยาลัยซึ่งผมไปสาย  มันจะไม่เด่นหรอกหากไม่ใช่เพราะเป็นคนเดียวที่เข้าหอประชุมทีหลังเพื่อน หลายคนเลยดูเหมือนจะจำผมได้ทันที ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า พรุ่งนี้ก็ต้องไปปฐมนิเทศสาขาที่คณะอีก หวังว่ามันจะสนุก  และเพื่อเป็นการไม่อยากให้เวลาเสียเปล่า วันนี้จึงเป็นวันฟรีเดย์(ที่โคตรเหงา) ผมเลยจัดการไปเที่ยวเสียเลย สำรวจพื้นที่ใหม่ๆ(ที่ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่) ตกบ่ายก็ออกไปดูหนัง เดินตลาด ซื้อเสื้อผ้าของใช้จำเป็นสำหรับใช้ชีวิตคนเดียว โดยเฉพาะสำหรับของใช้ดูแลตัวเองสารพัดสารเพที่ดูจะมากขึ้นมากหลังจากที่ไปตกหลุมรักไอ้ห่านั่น แม่ง คนเหี้ยอะไร เอาแต่วนเวียนเข้าออกในหัวผมมาหกปีแล้ว ไอ้ผมก็แปลก ไม่ลืมแม่งไปสักที ป่านนี้แม่งมีลูกเป็นโหลแล้วมั้ง
พี่ธัน... ธันวา สวัสดิพงษ์ ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก(สำหรับตัวเอง)
          ไอ้ไลท์ กูบอกว่าอย่าคิด
          ...ว่าแล้วก็คิดถึงซะเลยแล้วกัน ตอนนั้นผมยังเด็กๆใสๆ ร่างกายกำลังแตกเนื้อหนุ่มได้ที่ ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้หญิงมากนัก พี่ธันปรากฏตัวต่อสายตาผมครั้งแรกในเทศกาลกีฬาสีโรงเรียน เขาเป็นถึงประธานสภานักเรียน ประธานเชียร์ ประธานสี แถมยังหล่อเว่อร์ อยู่แค่มอหกก็หล่อขนาดวัวตายความล้ม กรามชัด ผิวเนียนขาว สูงล่ำขายาว ตอนนั้นแค่เล่นบาสอย่างเดียวก็เล่นเอาหูผมจะแตกเพราะเหล่าชะนี หลังจากนั้นผมก็แอบมองพี่เขาตลอด ใช้ระบบแอบมอง หลงรัก มีหวัง ผิดหวัง ซ้ำไปมาไม่หยุดหย่อน เฝ้าฝันและหวั่นไหวอยู่คนเดียว แอบหวังให้พี่เขามองกลับมาบ้าง
          แต่ก็ได้แค่มองเท่านั้นแหละ
          เฮ้ออออ บอกแล้วว่าอย่าคิด
          เพราะมัวแต่เหม่อ ผมเลยเดินชนเข้ากับบางอย่างที่สูง ล่ำ ขาว.....
          สัด... หล่อ สัด สัด... ขอย้ำ หล่อสัดสัด ผมนี่ถึงกับอึ้ง ยืนเป็นตอไม้แหงนมองรูปปั้นเดวิด คอปเปอร์ฟิว... ถุย
          “เฮ้ย หลบดิ”
          ผมกระชากสติกลับเข้าร่าง กระพริบตาปริบๆแล้วแหงนมองผู้ที่อยู่ข้างหน้าผมด้วยการพินิจพิจารณา ไอ้หล่อนี่ใส่เสื้อกล้ามสีฟ้า แขนขวาหนีบลูกบาส ข้างหลังยังมีเพื่อนตามมาอีกสอง แต่ที่ทำหน้ายวนยีคิ้วขมวดอวดตัวเป็นนักเลงมาเฟียก็มีแค่ไอ้หล่อนี่เท่านั้นแหละ
          เมื่อผมละสายตามามองฟุตบาทก็ถึงกับฉุน อะไรของแม่ง ทางเดินมีตั้งเยอะทำไมต้องให้กูหลบ ใหญ่มาจากไหนวะ คิดว่าหล่อลากไส้ทำอะไรก็ไม่ผิดหรอ ไม่รู้ซะแล้วว่าผมเป็นใคร
          “ขอโทษครับ” นั่นคือที่ผมตอบ ก็... มันหล่ออ่ะ ไม่กล้าด่า อีกอย่างแม่งมีตั้งหลายตีน
          “มึงนี่หาเรื่องเขาไปทั่วเลยนะไอ้ธัน แกล้งเด็กมัน  ไปได้แล้วกูหิวข้าว” เพื่อนไอ้หล่อว่าเข้าให้ โคตรเป็นคนดี
          แล้วก็เดินผ่านไป ผมมองจนกระทั่งแผ่นหลังทั้งสามอ้อมมุมถนนหายไปในที่สุด ในใจก็ยังหงุดหงิดเล็กน้อย เสียเหลี่ยม เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายต้องยอม(แต่ก็ยอมล่ะแบบนั้น) ดีนะที่พี่อีกคนดูใจดี เขาจะไปกินข้าวกันก็ปล่อยไปเถอะเนอะ...

          แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้ไลท์

          เมื่อกี้พี่เขาพูดว่า ‘นี่มึงหาเรื่องคนอื่นไปทั่วเลยนะไอ้ธัน’  ไอ้ธัน... ไอ้หล่อสัดนั่นชื่อธันหรอ หรือว่า....
ชื่อเหมือนกันเฉยๆรึเปล่าวะ หน้าพี่ธันเขาจะหล่อขึ้นขนาดนี้เลยหรอ ถ้าเป็นคนเดียวกันผมไม่กลายเป็นหมามองเครื่องบินรึไง ไหนจะอยู่กับเพื่อนสนิทสองคนเหมือนกัน แต่ผมดันจำเพื่อนเขาไม่ได้ด้วยสิ นิสัยนั่นก็ดูจะไม่เหมือนซะทีเดียว รึจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว รึเป็นคนละคนจริงๆ
ว่าแล้วก็ต้อง ตาม...

                                ---------------------------------------------------------------------------------

           เดินจนเหนื่อยก็ไม่เจอ คงจะคลาดกันแล้ว วาสนาผมคงมาได้แค่นี้แหละครับ ได้แค่เฉียด แค่แอบมองแล้วก็แห้ว แต่บอกตามตรง ถ้าชีวิตนี้ผมไม่ได้คบกับเขา ก็ไม่รู้ว่าหัวใจจะเปิดรับใครได้อีกไหม
เมื่อเหงาแล้วคิดมากจนฟุ้งซ่าน ผมจึงจัดการคอลลิ่งไปหาป๊า ได้รับคำบ่นกับคำสั่งมากระบุงหนึ่ง สงสัยจะหงุดหงิดจากที่ค่าย รึโดนผบ.กองทัพด่าซะก็ไม่รู้ ผมกับป๊าทะเลาะกันแบบนี้แหละ มันทำให้เราสบายใจขึ้น เมื่อป๊าผมรักเดียวใจเดียวไม่ยอมหารักใหม่ ผมจึงต้องรับหน้าที่ดูแลป๊าแทนม๊า ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวเดียวป๊าผมก็ได้กลายเป็นหุ่นยนต์ไร้หัวใจแน่ๆ นั่นคงไม่ดีต่อการงานและสุขภาพ
           หลังจากนั้นคือความเซ็ง ไม่มีอะไรทำ เลยนั่งดูหมายกำหนดการกิจกรรมคณะ อ่านการ์ตูน(ขนมาจากบ้าน) เล่นกีต้าร์ นอนกลิ้งไปมาบนเตียง เปิดตู้เย็นคุ้ยหาของกินแล้วเปลี่ยนใจ(เดี๋ยวอ้วน) หยิบตุ๊กตาไม้แกะสลักมาเล่น จนกระทั่งตัดสินใจว่าจะนอนนั่นแหละจึงได้ยินเสียงคนเคาะประตูเป็นจังหวะห้าครั้ง และคนที่เคาะแบบนี้มีเพียง มัน คนเดียว
ผมกระโดดลงจากเตียงไปที่ประตูแล้วกระชากเปิดออกแต่ติดขอเกี่ยว(เกือบหัก) ผู้ที่อยู่ที่ประตูทำผมชะงักไปนิด ผู้ชาย สูงเข้ม ไว้ผมเซอร์ครอบด้วยหมวกไหมพรมแล้วตบไปข้างหลัง คิ้วเข้มตั้งอยู่บนแว่นตาดำมียี่ห้อ เคราบางๆแปะอยู่บนกรอบหน้าสี่เหลี่ยม กล้ามเนื้อทุกส่วนห่อหุ้มอย่างพอดีด้วยชุดแจ๊กเก็ตหนัง กางเกงยีนส์เข้ารูปที่ขาดแบบมีศิลปะเข้าคู่กับรองเท้าผ้าใบส้นหนา มือซ้ายจับสายกระเป๋าเป้พาดไหล่ มือขวาที่ข้อมือมีกำไลและสร้อยหินหายากกำลังล้วงกระเป๋าอยู่ เชดดด นี่มันนายแบบแฟชั่นแนวสตรีทสไตล์
           “ไง”
           ผมมองหัวจรดเท้ามันอีกครั้ง “กูว่ามึงไปเป็นนายแบบท่าจะรุ่งนะ”
           ชายคนนี้ชื่อตะวัน เพื่อนซี้และการ์ดส่วนตัวผม มันดันตัวเข้ามาในห้อง มองซ้ายขวาแล้วทิ้งตัวนั่งบนเตียง โยนกระเป๋าเป้ไปแขวนบนพนักเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมฯอย่างแม่นยำ
           “ทำไมมาถึงนี่วะ ป๊ากูสั่งมาหรอ” ผมถาม
           “หื่อ เปล่า กูมาเรียน” มันถอดแว่นออก เผยดวงตาเรียวสวยน่าอิจฉา แม่งไม่เจอแค่เดือนเดียวหล่อขึ้นเป็นกอง(ว่าไปนั่น)
           “เรียนอะไรวะ มึงติดที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่บอกกู”
           “เปล่า ไม่ได้มาเรียนที่นี่” ผมกำลังจะดีใจเชียว “กูมาเรียนทำอาหาร ใกล้ๆนี่แหละ เลยมาอยู่กับมึงไง”
           “เชดดด เจ๋งว่ะ ดีเลยกูกำลังเหงา เดินไปเดินมาตั้งแต่เมื่อเย็นไม่รู้จะทำอะไรดี ไม่มีคนคุยด้วย”
           “เชี่ยไรละ ทำเป็นเด็กๆไปได้ เข้ามหาลัยแล้วนะเว้ย”
           ด่าผมอีกและ ด่าเป็นงานประจำแล้วรึไง
           “เอ้าแล้ว...นี่ใครดูบ้านให้มึงล่ะ”
           “ปิดไปก่อน อาจจะแวะเข้าไปเดือนละครั้ง นี่ก็เพิ่งมาจากบ้านมึง”
           “เรื่องเรียนนี่ได้บอกใครบ้างวะ” ผมถามให้แน่ใจ
           “จะให้กูบอกใครล่ะ” ผมลืมไป มันเป็นกำพร้าแต่เด็ก “แต่กูบอกป๊ามึงแล้วนะว่ากูจะมาอยู่กับมึง”
           “ป๊าหรอ??” ผมเริ่มแปลกใจ “นี่มึงไม่ได้รับคำสั่งป๊ากูมาใช่ไหมหือ”
           “ไม่เชิงว่ะ แค่บอกว่าจะมาเรียนและดูแลมึงด้วย ป๊ามึงก็สนับสนุนแล้ว” มันนอนแผ่บนเตียง เอาเจ้าอบอุ่น...หมอนอิงรูปหมาไปกอดด้วยแม่ง
           “ไอ้ตะวัน บอกมาว่าป๊าสั่งอะไรมึง” ผมหวาดๆ ขอให้ไม่เป็นอย่างที่คิด
           “ตามติด” มันพูดด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำ ผมนี่แทบจะเป็นลม ตามติด คือคำสั่งที่ให้การ์ดตามไปทุกที่ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตาม ตอนมอปลายผมรำคาญกับคำสั่งพวกนี้มาก พ่อผมจึงลดจำนวนการ์ดเหลือเพียงไอ้ตะวันคนเดียว ซึ่งดี มันเป็นคนที่ผมคุยด้วยได้ทุกอย่าง รู้เรื่องผมทุกเรื่อง แถมยังรู้ใจด้วย มันยังพูดต่อ... “ไม่ต้องเครียดโว้ยเชี่ย กูไม่ว่างมาเดินตามมึงตลอดหรอก กูบอกแล้วกูมาเรียน อาจจะได้ตามตอนเลิกเรียนแล้วนั่นแหละ”
           “อืม หรอ”
           “มึงก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว โตเป็นควายแล้วก็รับผิดชอบตัวเองมั่ง ป๊ามึงนี่ก็เลี้ยงลูกประหลาด ตามใจลูกมากจนไม่เอาอ่าวอะไรแล้ว”
           อ้าว เชี่ยนี่ แล้วที่กูขยันติวจนสอบติดนี่ไม่เอาอ่าวเลยสิ
           “แล้วนี่มึงจะมาอยู่กับกูเลยใช่มั๊ย” ผมถาม เห็นว่าจะมาตามติด จะอยู่เป็นเมทเลยก็ไม่ว่า
           “ไม่อ่ะ ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวดีแล้ว รับผิดชอบตัวเอง กูพักห้องตรงข้ามห้องมึงนี่แหละ”
           เฮ้ย เพิ่งมาแต่ได้ห้องตรงข้ามผม “มึงทำได้ไงวะ ห้องมันไม่น่าจะเหลือแล้วนี่หว่า”
           “ถามโง่ๆ มึงคิดว่ามาทีหลังจะมีห้องให้เช่ามั๊ย ห้องนี้กูก็ล็อกไว้ให้มึง รู้ไว้ซะด้วย” ไอ้ตะวันเริ่มเสียงแข็ง ไม่นานมันคงด่าผมเป็นเพลงแน่ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่อง “แต่วันนี้มึงต้องนอนกับกู”
           “อ้าว ทำไมอ่ะ?”
           “กูรู้นะว่ามึงวางแผนจะโดดปรับพื้นกับปฐมนิเทศคณะ”
           เวร มันรู้...
           “อะไร เปล่าซะหน่อย ใครจะโดด” ตอแหลไว้ก่อน “มึงไปนอนห้องมึงเหอะ ป่ะ ชิ่วชิ่ว”
           ไอ้ตะวันไม่ฟัง มันเริ่มถอดแจ๊กเก็ตออกแล้วเข้าไปอาบน้ำ
           กลางคืนมันนอนกรนด้วย...เยี่ยมจริงๆ

              ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

           ผมจำใจให้เพื่อนสนิทนอนด้วย จำใจให้มันปลุกแต่เช้าตรู่(มันตื่นเช้าเสมอ) ยอมให้มันพาผมไปถึงในคณะเพื่อไม่ให้ผมหนี แต่ผมก็ไม่ได้อยากหนีอะไรขนาดนั้นป่ะวะครับ ผมเป็นเด็กนิสัยดีนะ... ลึกๆน่ะ
“กินข้าวก่อนค่อยเข้าไปได้มะ” ผมเสนอเพราะหิวจริงๆ ไอ้ตะวันเลยจอดแวะทานข้าวต้มข้างทาง ส่วนผมฟาดโจ๊กหมูใส่เครื่องในไปสองชามรวด
           “เบาๆหน่อยมึง กินเยอะไม่กลัวอ้วนรึไง”
คำเตือนทำผมสะดุดกึก ช้อนค้างอยู่ในปากไม่กล้ามูมมามอีก ใช่แล้วผมต้องรักษาหุ่น ต้องดูแลตัวเองให้ดูดีไว้ก่อน โทษไอ้พี่ธันนั่นแหละ
           “เออ ตะวัน เมื่อวานกูเจอเรื่องแปลกๆด้วยเว้ย” ผมเล่า มันเหลือบตามามองทว่ายังกินต่อ “...กูเจอคนหน้าคล้ายพี่ธัน”
           “คล้าย??” ตะวันมันแปลกใจจริงๆ แต่ปากยังเคี้ยวหยับๆ ไอ้นี่มันเคี้ยวแต่ละคำนานมาก มันเคยบอกให้ผมทำบ้าง ท้องไส้จะได้ไม่เสีย
           “เออ คล้ายมาก หล่อกว่าหน่อยแต่เหมือนจริงๆ กูนี่ช็อกไปเลย” ผมจ้วงตักกินต่อ “ชื่อยังเหมือนกันอีก”
ไอ้ตะวันถอนหายใจยืดยาวแล้วกลืนข้าวลงไป “นี่มึงยังไม่ลืมพี่ธันมึงอีกหรอ นานแล้วนะเว้ย”
           “ไม่รู้ว่ะ ก็แม่งไม่ลืมซักทีอ่ะ กูพยายามไม่คิดแล้วนะ”
           “ชาตินี้มึงได้โสดทั้งชาติแน่ไอ้ไลท์”
           “ยอม...” เพราะชอบพี่ธันไง จะว่าไปไอ้ตะวันมันก็ยังไม่เห็นจะมีใครเข้ามาในชีวิตมันจริงๆสักคน “มึงนั่นแหละไอ้ตะวัน ทำเป็นว่ากู มึงก็ยังไม่มีใครเหมือนกันละวะ”
           “ยังไม่อยากมีว่ะ ขอทำงานก่อนดีกว่า” มันว่า
           “เออ พ่อคนขยัน เดี๋ยวก็โดนเขาหาว่าชีวิตไม่มีรสชาติ”
           “รสชาติชีวิตแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอกนะโว้ยไอ้ไลท์” มันตอบด้วยความมั่นใจมาก “มึงชอบรสหวาน กูอาจจะชอบรสจืดก็ได้ แค่เดินตามทางแห่งการตัดสินใจ เรื่องภายภาคหน้าก็ไม่มีใครรู้ จะมานั่งแคร์ทำครกอะไร”
เชดดดดด นักปราชญ์มาเอง แต่ก็จริง เรื่องที่ยังไม่เกิดคิดไปก็เท่านั้น
           กินเสร็จผมก็ลุกทันที ปล่อยให้ไอ้ตะวันมันจ่ายค่าข้าวไป แล้วขับรถเข้าไปในคณะ วนอยู่สองรอบก็ไม่เจอที่จอดเพราะนักศึกษามารวมกันเกือบหมด โดยเฉพาะพวกรุ่นพี่ที่มาช่วยจัดการดูแลงาน สงสัยจะเห่อน้องใหม่ ไอ้ปีหนึ่งอย่างผมก็ตื่นเต้นเข้าไปสิ เห็นผู้คนเดินขวักไขว่ในชุดนักศึกษา พูดคุยกันอย่างเมามัน บ้างก็หอบหนังสือเดินลิ่วเข้าตึกใหญ่ที่น่าจะเป็นตึกเรียนรวม มีเสียงประกาศตามสายแว่วมาเป็นระยะเพื่อบอกกำหนดการในวันปฐมนิเทศที่จะเกิดขึ้นในอีกยี่สิบนาที
           ตะวันจอดรถเทียบฟุตบาทหลังหอประชุม พอลงจากรถไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เริ่มได้ยินเสียงซุบซิบและสายตาหลายคู่มากที่มองมาทางผม อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ คนมันหล่อนี่... ที่ไหนได้ เพราะไอ้ตะวันมันลงมาด้วยหรอก ลุคการแต่งตัวชิลๆ เสื้อยีนส์แขนยาวกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบสีขาวทำให้มันเด่นโคตร ไหนจะเซตผมสบายๆ ปล่อยปลายผมด้านหน้าปรกมาถึงหางคิ้วและแว่นตาดำเท่ๆ ไม่ต้องถึงมือชะนีหรอก เป็นผมๆก็กรี๊ด อิจฉาด้วย แม่งแย่งซีนหมด
          “กลับเลยป่ะเนี่ยมึง” ผมถามมัน “เรียนกี่โมง...”
          “จะเข้าไปเลยมั๊ยล่ะ รึจะให้กูรอเป็นเพื่อน”
          “ถ้าไม่รีบก็อยู่กับกูก่อน โน่น กินกาแฟกัน” ผมเสนอเพราะไม่อยากเป็นเด็กเห่อที่เข้าหอประชุมแต่ไก่โห่ อีกทั้งร้านกาแฟที่ปรับปรุงจากบ้านเก่าๆแม่งโคตรชิก ต้องประเดิมสักหน่อย
           ปรากฏว่ารอนานอยู่เพราะคนต่อคิวเยอะ ผมกับตะวันนั่งรอที่โต๊ะไม้ใต้เงาของกลุ่มต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศสบายโคตร มองดูเด็กปีหนึ่งเวียนเข้าออกร้านกาแฟ หลายคนก็เริ่มทำความรู้จักกันแล้ว บางกลุ่มก็น่าจะเป็นรุ่นพี่ เดาจากการใส่ชุดไปรเวทคีบแตะ ไม่ก็มัดจุกใส่แว่น บางคนยังเป็นชุดนอน หลากหลายชะมัด เป็นคณะที่ดูน่าสนใจดีนะ ผมชอบ
          “น้องธันวา... คาปูชิโนสามที่ได้แล้วค่ะ” เสียงลำโพงเล็กๆ ประกาศชื่อออร์เดอร์ที่เสร็จแล้ว มันไม่ดังมากหรอก แต่ชื่อที่เขาเรียกนี่สิทำเอาผมสะดุ้ง คำๆนั้นทำให้หวนนึกถึงอดีต ทั้งเมื่อวานแล้วก็ก่อนนู่น ไอ้ตะวันได้ยินเหมือนกัน ผมตกใจอีกรอบเมื่อเจ้าของออร์เดอร์ลุกพรวดขึ้นถัดจากผมไปโต๊ะเดียวเท่านั้น เขาหันหลังให้ ตอนแรกจึงไม่ทันสังเกต ผมใช้โอกาสนี้เหลือบมองไม่วางตาเพื่อยืนยันว่าใช่พี่ธันวาของผมรึเปล่า ตัวสูงขาวในชุดนักศึกษาครึ่งเดียว(กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบไม่ผูกไทด์)เดินเข้าไปในร้านแล้วหอบแก้วกาแฟออกมา กระทั่งกลับมาที่เดิมแล้ววางลงบนโต๊ะ ตัวเขายังยืนอยู่ มองนาฬิกาข้อมือแล้วเงยหน้ากวาดตาไปทั่ว จนหยุดกึกอยู่ที่... หน้าผม!
           เวร ไอ้หล่อเมื่อวานจริงๆด้วย เป็นรุ่นพี่คณะนี้หรอวะ มีกระเป๋าแม๊คบุ๊คกับม้วนกระดาษยาว รึจะอยู่สาขาเดียวกันด้วย ตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกยังไง ตื่นเต้น สงสัย หวั่นๆ ที่แน่ๆคือใจผมเต้นแรงมาก บวกกับความหล่อไบรท์ของพี่แก หน้าผมจึงเริ่มร้อนผ่าว ไม่รู้ตอนนี้มันแดงอยู่รึเปล่า
           “เฮ้ย มึงน่ะ” ไอ้หล่อทัก มันมองหน้าผมอยู่ ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วเหลือบไปมองด้านหลังให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่น “มึงนั่นแหละไอ้แว่น”
           ชัดเลย มันเรียกผมเพราะผมใส่แว่นเป็นปกติ นานครั้งจะใส่คอนแท็กเลนส์เพราะตาแห้งง่าย
           “ผมหรอ??”
           “มึงใช่มั๊ยที่เดินชนกูเมื่อวาน” ทำไมน้ำเสียงแม่งหาเรื่องจังวะ ไปแค้นเคืองใครมามิทราบครับไอ้คุณพี่
           “อะไรวะธัน” เพื่อนเขาหันมา คนที่ผมเห็นเมื่อวานอีกแหละ แต่ไม่เห็นอีกคน “อ้าว น้องคนเมื่อวาน อยู่คณะนี้ด้วยหรอ ชื่ออะไรน่ะเรา”
           “สวัสดีครับพี่ ผมชื่อไลท์ครับ” ยกมือไหว้พี่อีกคนปะเหลาะ ก็หล่อขาวคิ้วเข้ม มีจิวที่หูเล็กๆ ทั้งยังนิสัยดี ดีกว่าไอ้หล่อนี่ตั้งเยอะ ถึงจะเตี้ยไปหน่อย...
           “ไม่ต้องไหว้ก็ได้เว้ย กูชื่อรวี เรียกกูวีก็ได้ มึงปีหนึ่งใช่ป่ะ สาขาไหนวะ?”
           “ครับ ผมอยู่ถาปัตย์หลักพี่”
           “เชด...สถ.  รุ่นน้องนี่หว่า รหัสอะไร...”
           รหัสรึ หมายถึงเลขที่หรอ จำไม่ได้อ่ะ
           “โทษนะพี่ จำไม่ได้ ไม่ได้เข้าไปเช็คเลย”
           “ไม่เป็นไร พวกกูไปลุ้นเอาเองดีกว่า มึงแม่งหน้าตาดีดูมีสมอง ได้มาเป็นน้องรหัสน่าจะดีนะ”
           ...ดูมีสมองนี่คำชมอ๊ะเปล่า
           “มึงเอาไปเลยก็ได้นะไอ้วี กูว่าหน้าตาแบบนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ซิ่ว” ไอ้พี่ธันดูถูกซึ่งหน้า มีอย่างที่ไหนมาดูถูกคนอื่นแบบนี้ห๊ะ
           “หน้าตาแบบนี้มันทำไมวะ” ผมหลุดออกไปเฉย ปกติไม่ปากร้ายนะเออ แต่เรื่องอะไรจะยอมโดนดูถูก.. ไม่ยอมเว้ย แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ คำยียวนผมคงหน่อมแน้ม เพราะไอ้สูงนี่ยืนค้ำหัวในขณะที่ผมนั่งอยู่ สายตาพิฆาตของมันจึงกดผมจมดินได้ไม่ยากเลย
           “หน่อมแน้มไง ดูก็รู้ว่าเป็นลูกเทวดา จะไปทนอะไรได้”
แม่งเอ๊ย เจ็บชิบ ถึงกระผมจะลูกเทวดาแต่ก็มีความสามารถเว้ย ไอ้หมอนี่ชอบตัดสินคนจริงๆ ไม่รู้จักนายภาณุคนนี้เสียแล้ว ว่าแล้วก็ยืนประจันหน้าแม่ง
           “แล้วพี่ล่ะ เป็นลูกจ้าวลูกนายมาจากไหนถึงมาคอยตัดสินคนอื่นแบบนี้” รอรับตีนเต็มที่ คนในร้านที่ได้ยินเริ่มหันมามองกันแล้ว ไม่รู้ว่าผมเดินหมากถูกรึเปล่า ถึงยังไงก็ยังเป็นแค่รุ่นน้อง ไม่มีพรรคมีพวก
           “กวนตีนหรอมึงอ่ะ” พี่ธันพูดด้วยเสียงธรรมดา สีหน้าก็เฉยเมยดูไม่มีอารมณ์โกรธ ผมเดาไม่ออกเลยว่าใต้ใบหน้าอันหล่อเหลานี่เป็นยังไง จะว่าไปหน้าพี่เขากับพี่ธันของผมก็คล้ายกันซะจริง และตอนนี้มันกำลังลอยเข้ามาใกล้มากๆ
           เชี่ย อย่าใกล้ขนาดนั้น เดี๋ยวได้ยินเสียงหัวใจผม “ก็.. แล้วแต่จะคิดดิ”
           “แบบนี้เขาเรียกยียวน”
           “แบบพี่เขาก็เรียกหาเรื่องเหมือนกัน”
           “อ้อนี่มึงจะไม่ยอมแพ้กูใช่มั๊ย” เขายื่นหน้ามาใกล้กว่าเดิมอีก คราวนี้เล่นเอาเห็นผิวใสๆกับรูขุมขนกระชับ มีกลิ่นโคโลญอ่อนๆด้วย โอ๊ย...เชี่ย
           “กูชักจะอยากรู้แล้วล่ะสิว่ามึงแม่งรหัสใคร มึงลำบากแน่ไอ้หน้าใส”
           “พอเหอะไอ้ธัน แม่งสนุกนักหรอแกล้งปีหนึ่งเนี่ย รีบแดกรีบไปไอ้สัด กูจะไปทำแบบต่อ ยังไม่เสร็จเลยนะโว้ย”
           พี่ธันหันกลับไปคุยกับเพื่อนแล้ว “ทำเชี่ยไร แค่นี้มึงยังไม่เยอะอีกหรอ”
           “เชี่ย กูจริงจัง อนาคตกูไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบแบบมึงนะ”
           ผมยังคงยืนสงบสติอารมณ์ ไอ้บ้า นี่แค่ฉากหาเรื่องนะ ถ้าเป็นฉากบอกรักจะขนาดไหนว้า แต่เปลี่ยนจากพี่ธันคนนี้เป็นพี่ธันวาของผม... แล้วถ้าใช่คนๆเดียวกันล่ะ มีทางเดียวที่จะแน่ใจได้ในตอนนี้ เขากำลังจะลุกออกไปแล้ว ไอ้ไลท์ อย่าปล่อยโอกาสนะเว้ย
           “พี่....” ผมดันตะโกนซะดังลั่น หันมามองกันทั้งแถบ
           “อะไรวะ ไม่จบหรอไอ้แว่น” คราวนี้คิ้วพี่ธันขมวด น่าจะเคืองจริง แต่ช่างมันสิ
           “เปล่า ...ผมแค่...” เอาสิเว้ย แค่ถามมันจะยากอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เสียหายอะไร ผมเค้นพลังทั้งหมด.. “พี่ชื่ออะไร”
           “กูหรอ?” พี่ธันถาม ผมพยักหน้าน้อยๆแบบไว้เชิง ไม่อยากอ่อนน้อมกับไอ้พี่นี่มาก “กูชื่อธันไง”
           “แล้วชื่อจริงล่ะ”
           “มึงจะรู้ไปทำไม”
           “น่า...บอกหน่อย แค่อยากรู้ ...นามสกุลด้วยนะ”
           ไอ้พี่ธันมองหน้ากับเพื่อน หน้างงสองหน้าปะทะกันก่อนจะหันกลับมา
           “มันชื่อ ธันวา สวัสดิพงษ์” พี่ที่ชื่อวีเป็นคนตอบ แต่...
เชี่ยยยยย เหมือนค้นพบสมบัติที่หายไป เหมือนถึงจุดหมายที่ไฝ่ฝัน เหมือนได้ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าที่มีลูกโป่งนับพัน นี่ผมฝันไปหรือเปล่า เป็นไปได้หรอว่าคนที่หายไปหลายปีมากจะมาเจอกันอีกครั้ง นี่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ย่อมๆได้เลยนะ ผมดีใจเต้นเย้กเย้กอยู่หน้าร้านจนไอ้ตะวันมันขำ ตลอดเวลาแม่งนั่งเงียบไม่พูดไม่จา พี่ธันส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินออกไป
           “มึงเห็นมั๊ยตะวัน เชี่ยยยย” ผมเขย่าตัวมัน “กูเจอพี่เขาอีกแล้วมึงเห็นมั๊ย นี่เรียกว่าพรหมลิขิต”
           “เออ กูดีใจด้วย”
           “เอ็กส์เพรสโซ่คะ น้อง เอ่อ...น้องไลท์..ค่ะ” พนักงานประกาศอย่างไม่แน่ใจ คงจะแปลกใจกับชื่อผม แต่ช่างปะไร ผมรีบวิ่งไปรับออร์เดอร์ ตบเงินลงบนโต๊ะ(ไม่รอรับเงินทอนด้วย) แล้วจึงคว้าแก้วกาแฟปั่นมานั่งดูดที่โต๊ะ มันเป็นกาแฟที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลย
           “หุบยิ้มมั่งก็ดีนะ เจอตัวจริงแล้วก็เลิกหว่านเสน่ห์ ไอ้สัด” ไอ้ตะวันด่าผม เลยฉีกยิ้มใส่แม่งเลย ก็มันหุบไม่ได้นี่ครับ ตอนนี้แม้แต่เสียงเรียกเข้าหอประชุมก็ไม่สนใจแล้ว

           นี่เป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอยมานานจนเกือบจะหมดหวังอยู่แล้ว ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปอีก เพราะมันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับชีวิตของผม โอกาสที่จะรักใครคนหนึ่งอย่างหมดหัวใจ


“น้องคนเมื่อกี้ยังจ่ายเงินไม่ครบค่ะ” เสียงประกาศจากลำโพงตัวเล็กๆดูโกรธเกรี้ยวมาก และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมา


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Mr.SCRO Man : จากนี้ไปไลท์กับธันวาจะแวะเวียนมาวันละหนึ่งตอน อยากจะบอกว่าสิ่งที่ไลท์กำลังตื่นเต้นนั้นเริ่มจะไม่เป็นไปดั่งหวัง เมื่อหกปีที่ไม่ได้เจอกัน ต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนไป นั่นทำให้ทั้งสองไม่อาจคุยกันแบบปกติได้เลย...เป็นเรื่องที่ไลท์ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #3 เมื่อ22-08-2017 00:11:59 »

น่าสนุกมากๆครับ เป็นชื่อเรื่องที่เห็นแล้วชวนให้กดมากเลย
แต่แอบงงว่าพีรดนเป็นใคร ไม่ใช่พระเอกหรอ กลายเป็นธันไลท์
แต่ Intro ให้ความรู้สึก พีรดนธัน มากๆเลย แต่ก็ชอบครับ จะคอยติดตามนะ
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #4 เมื่อ22-08-2017 06:34:07 »

หลังจากบทนำ ชื่อของพีรดลจะหายไป แต่เขาจะเป็นตัวขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของรวีและสิบโทในอนาคต...อ่ะ งงอะดิ รอติดตามต่อไปนะ :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #5 เมื่อ22-08-2017 07:47:13 »

หลังจากบทนำ ชื่อของพีรดลจะหายไป แต่เขาจะเป็นตัวขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของรวีและสิบโทในอนาคต...อ่ะ งงอะดิ รอติดตามต่อไปนะ :hao5:

คิดเหมือน
แต่ธันวา ทำไมเปลี่ยนไป
เดิมก็ดูนิ่งๆ ไม่เถื่อน พอเข้าสถาปัตย์  ทำไมดูก้าวร้าว

แล้วไลท์ ใช่น้องคนที่ธันชอบหรือเปล่า
แต่ไลท์ น่ะชอบพี่ธันแน่ๆ
ถ้าไลท์ ใช่น้องคนที่ธันชอบ
แล้วที่เข้ามา พูดหาเรื่อง  นี่เป็นวิธีเข้าหาใช่ป่ะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

2

ไลท์ : ปฐมนิเทศ



               สายไปครึ่งชั่วโมงจึงได้กระดึ๊บไปเข้าหอประชุม ผมลงชื่อและทักทายรุ่นพี่ที่เป็นประชาสัมพันธ์ พวกเธอกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ สงสัยผมจะหล่อมาก ไม่ก็เพราะรอยยิ้มที่ตอนนี้หุบไม่ลงสักที
               ไอ้ตะวันมันรู้ว่าพี่ธันอยู่ที่นี่ครับเพื่อนๆ มันบอกว่ามันคอยสืบให้ผมตลอดและรู้ว่าพี่ธันมาเรียนที่นี่ แต่มันบอกว่าตอนแรกไม่บอกเพราะอยากให้ผมตัดใจซะจะได้ไม่เจ็บ พอตอนหลังผมมาเรียนที่เดียวกับพี่ธันมันก็อุบเงียบอีก บอกอยากให้ผมเซอร์ไพรส์ อยากจะเขกหัวมันจริงๆ แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์โกรธใครหรอก
               ผมค่อยๆเลียบเคียงย่องเข้าห้อง บนเวทีมีอาจารย์ผู้ชายอ้วนตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนถึงสิ่งสำคัญที่ต้องมีในการเรียนสาขาที่ผมสอบมาได้ หนึ่งในนั้นคือการตรงต่อเวลา ดูเหมือนจะย้ำเป็นพิเศษตอนที่ผมเดินเข้ามาพอดี ทำให้มีคนหันมามองไม่น้อย
               เก้าอี้จัดเรียงกันเป็นบล๊อกสี่เหลี่ยม มีรุ่นพี่ถือป้ายประจำสาขานั่งบอกตำแหน่ง ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ไกลเวทีมากที่สุด เลือกเอาที่นั่งแถวหลังสุดของกลุ่มสถาปัตยกรรมหลัก ข้างขวามีเหล่าปีหนึ่งนั่งกันอยู่สี่ห้าคน ซ้ายผมมีเก้าอี้ว่างอยู่หนึ่งตัว
               “นาย” คนทางขวาเอ่ย
               “ว่าไง”
               “เราชื่อเบียร์นะ” มันบอก
               “เรามีน” อีกคนยื่นหน้ามาเสนอ แต่คนถัดไปยังฟังอาจารย์พูดอย่างตั้งอกตั้งใจ
               “ไง เราชื่อไลท์” ผมขนลุกแปลกๆที่ใช้คำสุภาพขนาดนี้ ก็เข้าใจว่าเจอกันใหม่ๆไม่ควรหยาบคายใส่กัน แต่ไม่ชินแหะ “มากันนานแล้วหรอ”
               “เออสิ นี่อาจารย์คนที่สองแล้ว โชคดีนะเนี่ยที่เข้ามาทีหลัง คนก่อนเข้ามาสายสิบนาทีแม่งโดนด่าหูชาเลย” ไอ้เบียร์บอก
               “จริงจังขนาดนั้นเชียว” ผมว่า
               “นายมาจากโรงเรียนไร” มีนถาม ผมก็ตอบไป แต่มันกลับทำท่าตกใจ
               “ตกใจไรวะ??” ผมถาม
               ความจริงคือมันไม่ได้ตกใจที่ผมบอก แต่มันกำลังตกใจคนที่ตามมานั่งข้างซ้ายผมนั่นเอง
               ไอ้พี่ธัน…
               ผมกำลังจะบ้าตาย มันเหมือนมีกรดร้อนแผ่ขยายแน่นอยู่ในช่องอก กำลังคิดอยู่ว่าไอ้พี่ธันมันจะมานั่งทำไม่ตรงนี้ ก็พอดีกับที่เขาเอาแขนขวาพาดไปที่พนักเก้าอี้ด้านหลังผม คล้ายกับโอบผมอยู่กลายๆ เท่านั้นแหละไอ้ไลท์เอ้ย งานมโนมาเต็ม
               "เป็นอะไรวะไลท์" ไอ้เบียร์กระซิบถามผม “รู้จักพี่คนนี้หรอ แล้วมึงทำหน้าอะไร”
               มันคงหวังดีเพราะเห็นอาการแปลกๆของผมตอนนี้ ไม่รู้ว่าท่าทางที่แสดงออกไปเป็นแบบไหน ไอ้ตัวการมันก็ยังทำท่าทางสบายใจมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย
               “หวัดดีพี่ธัน” เสียงพี่สตาฟด้านหลังทัก
               “ไงเมฆ”
               “มาทำไรพี่ จีบเด็กหรอ?” พี่เขาถามแกมหยอก แต่ผมกลับตั้งใจฟังสุดฤทธิ์(เผือกไง)
               “มั้ง” ไอ้นี่ก็เล่นด้วยเนอะ พี่สตาฟแกล้งทำเสียงล้อ “เออไอ้เมฆ ปีหนึ่งปีนี้เป็นไง”
               “ก็ยังทรงๆอยู่นะ ยังเรียบร้อยดี ลายยังไม่ออก”
               พี่ธันทำเสียง หึ... “กูว่าไม่เป็นแบบนั้นหรอก”
               ผมนี่ขนคอตั้ง รู้สึกหนาววาบ มันหมายถึงผมใช่หรือไม่
               “ทำไมพี่... มีคนกล้าชนกับพี่ด้วยหรอ”
               “มีคนหนึ่ง แม่งคุณหนูหน่อมแน้ม แต่แม่งกวนตีน”
               ไอ้เหี้ยพี่ธัน หาว่าเป็นคุณหนูหน่อมแน้ม ผมอยากจะหันกลับไปด่าเสียนี่กระไร ถ้าไม่ติดว่ากำลังเขินหูดำหูแดงอยู่ละก็นะ
               “นี่กูก็หาอยู่เนี่ย มึงเห็นมั๊ย” ม่ายๆ ไม่ต้องมาหาตอนนี้
               “ชื่อไรล่ะพี่” จะถามทำไมฟระ
               “อืม... ชื่อไลท์”
               เหมือนโดนไม้เรียวหวด ผมที่ทำตัวประดุจรูปปั้นหิน เห็นไอ้สองตัวด้านขวาที่ฟังอยู่หันขวับมามองอย่างกับในการ์ตูน ผมรีบใช้สายตาบอกมันว่า อย่า-นะ-โว้ย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามปกติจนกว่าไอ้พี่ธันจะลุกไป แต่มันไม่ยอมลุกครับ
               “พวกมึงคุยไรกันไม่ตั้งใจฟัง”
               ฟังจากเสียงก็รู้ว่ามันกำลังด่าผมเพราะไม่มีเสียงใครคุย มีแต่ผมที่หันไปด้านข้างหนีพี่แก มันเลยใช้มือใหญ่ๆจับหัวผมหันไปหา ผมนั้นมัวแต่ตกใจกับการแตะเนื้อต้องตัวโดยที่ไม่ได้ตระเตรียมหัวใจ
               “เอ๊ะ...” พอเห็นหน้าผมก็จำได้ทันที “ไอ้คุณหนูหน่อมแน้ม” พี่ธันเรียกเสียงดังมากจนหลายคนหันมามอง
               “คนเนี่ยนะพี่ธัน” พี่สตาฟถามแบบงงๆ
               “เออ แม่งกวนตีนกู เป็นคุณหนูเสร่อยังไม่เจียม” เอะอะก็คุณหนูเอย หน่อมแน้มเอย ถึงมึงจะหล่อเหลาก็อย่าได้มากล่าวหาไอ้ไลท์คนนี้นะเว้ย ผมมันปากไวอยู่แล้วด้วย
               “คุณหนูพ่องดิ อย่าเรียกแบบนั้นได้มั๊ย” ผมสะบัด(แบบเบาๆ)ให้มือพี่ธันเลิกจับหัวผม
               ผู้หญิงหลายคนเริ่มซุบซิบเมื่อเห็นไอ้พี่ธัน ก็ออร่าขนาดนั้น แต่ช่างมันก่อนนะ ตอนนี้มึงเอาแขนที่รัดคอกูออกก๊อน
               “เจ็บ ทำอะไรเนี่ย” ใกล้ชิดแบบนี้ผมเขินนะเว้ย
               “ปากดีนะมึงน่ะ เอาความกล้านี้มาจากไหนวะ” พี่ธันไม่เลิก ไม่รู้ว่าหาเรื่องจริงๆหรือว่ากำลังแกล้งผมเล่นๆ
               ในที่สุดผมก็ดิ้นหลุด กำลังจะหนีไปเข้าห้องน้ำแต่ไอ้พี่ธันมันก็ดันขวางไว้อีก “จะหนีไปไหน”
               “จะไปเข้าห้องน้ำ หลบไป” ผมจ้องหน้าพี่ธัน แต่อีกฝ่ายยังนิ่ง  ได้... ไปอีกทางก็ได้
               ผมกำลังจะเดินออกไปทางเพื่อนใหม่ แต่ไอ้พี่ธันดันคว้าแขนแล้วดึงลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า
               “กูไม่ให้ไป”
               “เฮ้ย ไอ้พี่ธัน” ผมชักเสียงใส่ เริ่มระรำคาญจริงๆแล้ว คนบ้าอะไร จะขอเวลานั่งฟินเงียบๆแป๊บนุงไม่ได้หยอ
               “นักศึกษาธันวา นักศึกษาธันวา ทำส้นตีนอะไรอยู่” เสียงนี้เป็นเสียงจากลำโพงและเด่นชัดมาก
               ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบกับสายตาเกือบทุกคู่หันมาทางเดียวกันหมด อารมณ์นั้นก็ไม่รู้จะอายยังไงแล้ว ไอ้พี่ธันเปลี่ยนไปยิ้มเหยเกมองไปที่อาจารย์บนเวที(แต่ยังคงความหล่อลากไส้ไว้ไม่เสื่อมคลาย)
               “คร้าบอาจารย์” เสียงหวานหยาดเยิ้ม
               “มึงไม่ตรวจแบบใช่มั๊ยไอ้ธัน” อาจารย์ถามออกลำโพงดังมาก
               “ตรวจคร้าบ รออาจารย์อยู่ไง”
               “แล้วนั่นมึงจีบเด็กปีหนึ่งอยู่หรอ?” อ้าวอาจารย์ ถามอะไรเนี่ย บ้าหรอ ไอ้พี่ธันมันยิ่งกวนตีน ถ้ามันตอบว่าใช่ ผมไม่หัวใจวายหรอ
               “คร้าบบบ ใช่แล้ว” พี่ธันตอบหน้าตาเฉย อาจารย์ก็ยังอุตส่าห์หัวเราะชอบอกชอบใจ
               “ไปรอที่ห้อง อย่ามารบกวน แล้วจะจีบก็ไปจีบกันเวลาอื่น ไอ้นรก” ตอนนี้เป็นคำด่าละ พี่ธันลุกออกไป ขำใส่ผมสองที
               “หนีไม่พ้นหรอกไอ้หน่อมแน้ม” พี่ธันยังยิ้มกวนตีนให้อีก ผมก็ไม่น้อยหน้า ทำหน้ายักษ์ใส่แผ่นหลังด้วยความหมั่นไส้ทั้งหมดที่มี
               “เงียบได้สักทีนะ” อาจารย์บอก “ปีหนึ่งเมื่อกี้ชื่ออะไรวะ
อาจารย์เหมือนจะถามจริงๆ ผมไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา แต่เรื่องก็ยังไม่จบ อาจารย์คนนี้บ้าจี้มาก ขยี้ไม่จบไม่สิ้น
               “เมื่อกี้แม่งนัวเนีย ไอ้ธันแม่งนัวเนียน้อง กูเห็นแล้วขำ” เออ ขำจริงๆด้วย ขำแบบสะใจมาก “ถึงไหนแล้ววะ เชี่ย ลืม...”  เน้นย้ำว่าคำพูดที่อาจารย์พูดทั้งหมดนี้ ออกสาธารณะ
               ผมยังคงเป็นที่สนใจจากหลายคนอยู่ บ้างสงสัย หัวเราะ เหล่าอาจารย์ข้างบนก็มีความสุขกันเหลือเกิน ได้ยินเหมือนว่าจะนินทาพี่ธันด้วย คงจะโด่งดังมากที่นี่สิท่า ทันทีที่อาจารย์บรรยายต่อ คนที่อยู่ใกล้ๆผมก็เริ่มโจมตี
               “ยังไงไอ้ไลท์ สรุปมึงรู้จักพี่เขาใช่มั๊ย”
               “จีบกันจริงๆหรอ”
               “มึงเป็นเกย์หรอ”
               “เชี่ยย...” ผมโวย
               “น่ารักดีนะ”
               “อดีตเดือนมหาลัยเลยนะ ฉันตามข่าวอยู่”
               “หรอวะ” จริงหรอเนี่ย...เช๊ดดด...ผมนี่แอบปลื้มมากกว่าเดิม
               “ว้า เราอุตส่าห์จะจีบนายนะเนี่ย” อ้าวไอ้นี่ยังไง
               “อย่าเลยเธอ เราเสียดายพี่คนนั้น” อีดก
               “มาวันแรกก็มีเรื่องให้เผือกเลยเว้ยเฮ้ย”
               “เชี่ย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ พอเลยพวกมึง...” กูเขิน

               โคตรเขินอ่ะ

                             -------------------------------------------------------------------------------------------

                อาจารย์บรรยายจะจบอยู่แล้วก็จริง แต่หน้าผมยังไม่หายแดงเลย สาเหตุมาจากกล้ามเนื้อแน่นๆกับกลิ่นโคโลญอ่อนๆของไอ้พี่ธันนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะเซ็กซี่ไปไหน คนหล่อทำอะไรยังไงก็น่าฟัดไปหมด บนเวทีก็พูดไปเรื่อยเรื่องระเบียบการลงทะเบียนต่างๆนาๆ เรื่องเงินบ้าง หลักสูตรที่ต้องเรียนบ้าง ผมเข้าใจว่าเรื่องกิจกรรมคงจะเป็นธุระของนักศึกษาเท่านั้น ไม่นานก็เบื่อขึ้นมาอีก ทนนั่งอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้พักเที่ยงกินข้าว ที่จริงก่อนออกจากหอประชุมจะมีรุ่นพี่มาประกาศกิจกรรม ผมหนีออกมาก่อน บอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆก็คือโรงอาหาร รอจนเพื่อนๆมาสมทบ           
               นับจากเหตุการณ์สุดแปลกบนหอประชุม ผมก็กลายเป็นเป้าสายตาของหลายๆคนทันที ผมรู้จักเพื่อนเยอะมากจากในสาขาเดียวกัน มีสาขาอื่นบ้างแต่บางคนก็แค่มาทักทายแลกชื่อ พักเดียวก็ลืมแล้ว(ไอ้ชั่วไลท์) ที่สนิทมากที่สุดก็เห็นจะเป็นไอ้เบียร์กับไอ้มีน เพราะมันใช้คำไพเราะได้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขึ้นมึงขึ้นกูเป็นที่เรียบร้อย จริงใจเปิดเผยดี ในกลุ่มผมยังมีผู้หญิงอีกคนมาสนิทกับผมด้วย ไม่ได้มาจีบหรอก เพราะคุณเธอแมนมากจนผู้ชายยังอาย สวยนะ ชอบรวบผมหางม้า หุ่นก็ดีมาก แต่ตอนนี้ก็ขึ้นมึงกูกับผมเรียบร้อย ผมก็ไม่เกรงใจมอบความสนิทสนมให้เช่นกัน
               “รีบเลือกสิไอ้ไลท์ คนรอเยอะนะเว้ย” เพื่อนหญิงคนนี้แหละ เธอชื่อ อุ้ม (ที่ไม่มีใครกล้าอุ้มแน่)
               ”รีบไปไหนวะ รอแป๊บ” ผมเลือกข้าวราดแกงสองอย่างพอ ไม่อยากอ้วน จ่ายเงินและยกข้าวไปนั่งโต๊ะที่ไอ้เบียร์กับไอ้มีนนั่งอยู่ ไม่นานอุ้มก็ตามมานั่ง ผมเห็นจานข้าวของเธอแล้วถึงกับสำลัก ข้าวราดแกงสามอย่าง โปะด้วยใข่ดาวอีกสามฟองเน้นๆ
               “นี่มึงกินเชี่ยไรขนาดนี้เนี่ยอุ้ม”
               “เรื่องของกู” อ้าวอีนี่ กวนตีนทั้งแก๊ง เข้าตำราฝนตกขี้หมูไหลชัดๆ
               “กินเป็นหมูก็ยังดูดีได้เนอะ ถามเคล็ดลับลดหุ่นหน่อยดิครับอุ้ม” ไอ้เบียร์นี่ก็ยังไง จะจีบอุ้มหรอ
               “เล่นกีฬาไง” อุ้มยิ้มให้แบบหวานมาก “คาราเต้น่ะ จะมาเล่นกับกูมั๊ย”
               อูย สลดเลย ผมนี่ขำซะเสียงดัง ไอ้เบียร์ดูเป็นนักกีฬาเหมือนกัน แต่มันคงไม่เคยเจอผู้หญิงเล่นคาราเต้ ผมยังสองจิตสองใจจะเชื่อ แต่เรื่องนี้ไม่ควรพิสูจน์นะครับคุณผู้อ่าน
               “บ่ายเราทำอะไรมั่งวะ” ผมถามไอ้มีนที่นั่งเล่นโทรศัพท์ยิกๆ
               “ก็คงเตรียมสตูดิโอ โต๊ะเขียนแบบอะไรพวกนั้นมั้ง ต้องไปรวมกันใต้ถุนตึกก่อน”
               พูดถึงเรื่องนี้ก็ดี เพราะผมยังไม่ได้เตรียมตัวใดๆ อุปกรณ์ก็ไม่มีสักอย่าง “พวกมึงซื้ออุปกรณ์กันที่ไหนวะ”
               “โน่นเลย ร้านข้างหน้าถนนนั่น มีทุกอย่างที่ต้องการ” อุ้มชี้มือทะลุโรงอาหารออกไปยังถนนที่ตัดเข้าอาคารหอประชุม ผมก็จำทางไว้แค่นั้นแหละ ยังไม่อยากซื้อมาก่อน เดี๋ยวค่อยดูว่าใช้อะไรบ้าง
               “ทำไม มึงยังไม่ได้ซื้อของเลยหรอ” เบียร์ถาม
               “เออดิ ไม่มีเชี่ยไรเลยเนี่ย ตอนแรกกะจะมาซื้อที่คณะไว้ก่อนนั่นแหละ นานเข้าเลยลืม นี่ก็ไม่รู้จะต้องมีอะไรบ้าง”
               “เดี๋ยวตอนเข้าสตูค่อยดูว่าขาดอะไรไม่ดีกว่าหรอ ซื้อแต่ที่จำเป็นไง ไม่เปลืองตังค์ด้วย” มีนเสนอ ความคิดมันเข้าท่า แบบนี้เรียกคนฉลาด เหมือนผมไง

               ใช้เวลาในการกินข้าวกับเม้าท์มอยร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินไปใต้ถุนตึกที่จะเป็นที่เรียนในอนาคต ผมแวะซื้อชาเย็นปั่นแก้วหนึ่งแล้วตั้งหน้าตั้งตาดูดจ๊วบจั๊บ
               ใต้ตึกตอนนี้เต็มไปด้วยปีหนึ่งสาขาเดียวกับผม(สาขาอื่นแยกย้ายไปตามที่ของตัวเอง) เกาะกลุ่มคุยกันโช้งเช้ง ผมนับถือความสามารถด้านสังคมของมนุษย์จริงๆ แค่วันเดียวก็สามารถรู้จักกันได้ แต่จะให้สนิทแค่ไหนคงจะต้องกะเทาะเปลือกนอกกันไปเรื่อยๆละนะ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงเข้าไปนั่งคุยกับใครก็ตามที่อยู่แถวนั้นอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ และค้นพบว่าแต่ละคนมาจากหลายที่หลายถิ่น มีแต่เรื่องเล่าน่าฟังทั้งนั้นเลย
               “นาย...” ผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเข้ามาทัก น่าจะปีหนึ่งเหมือนกันแต่คนละสาขา มีเพื่อนมาด้วยคนหนึ่งแยกไปคุยกับเพื่อนผมที่อยู่โต๊ะถัดไป
               “ครับ  ว่าไง” ตอบรับซะสุภาพ ก็เขามาดีนี่นา ไม่ใช่เพราะน่ารักหรอกนะคร้าบ
               “คนที่ชื่อไลท์ใช่รึเปล่า เราเห็นในหอประชุม” ในหอประชุมหรอ เอ็งเห็นอะไรล่ะ มีอยู่เรื่องเดียวแหละ
               “ก็ ใช่ เราเอง นายชื่ออะไรล่ะ” ผมยังคงสงสัยว่าทำไมมันสุภาพจัง
               “เราชื่อ เบส มาจากโรงเรียนเดียวกับนายนั่นแหละ พอดีตอนรับใบประกาศเราเห็นนาย ไม่ได้เข้าไปทัก ไม่นึกว่าจะได้เจออีกนะเนี่ย”
               “เฮ้ยจริงปะเนี่ย นึกว่าจะไม่เจอใครซะแล้ว เอ้า... นั่งนี่ก่อนมะ” ผมชวนมันนั่ง ตื่นเต้นจริงๆที่มีคนจากที่เดียวกันมาเรียน เพราะผมไม่ค่อยได้สนใจอะไรจึงไม่รู้ว่ามีใครพ่วงมาเรียนที่นี่บ้าง “นายเรียนอะไรล่ะ”
               “ติดนิเทศ เราอยากเป็นช่างภาพ ที่จริงรุ่นเรามาสอบติดที่นี่เยอะนะ อยู่ในคณะเราก็หลายคนแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะไปรวมกันที่คณะวิทยาศาสตร์”
               “แหม อย่างนี้ต้องจัดเลี้ยงโรงเรียนสักรอบแล้วมั้ง”
               “ไม่ต้องกลัวหรอก พี่โรงเรียนก็เยอะ เดี๋ยวก็มีโอกาสแหละ” เบสเหมือนอยากเลี่ยงประเด็น “ว่าแต่...”
               ไม่ทันได้ฟังตอนต่อไปเมื่อมีการประกาศรวมตัว ผมตบไหล่เบาๆ ยิ้มให้ แล้วบอกไว้คุยกันใหม่ อันที่จริงก็อยากจะรู้จริงๆว่าเขาจะเข้ามาจีบหรือเปล่า ชีวิตมีอะไรให้มุ้งมิ้งบ้างก็ดีแหละ แต่เหตุการณ์แบบนี้ของผมมักจะลงเอยด้วยความเสียใจของฝ่ายตรงข้าม จนผมกลัวที่จะให้คนเข้ามามีสถานะแบบพิเศษเกินไป
               ปีหนึ่งนั่งกันหน้าสลอนเป็นแถวเป็นแนว มีพี่ๆในชุดไปรเวทและนักศึกษาครึ่งท่อนเดินไปมาอยู่รอบนอก แผ่รังสีความเห่อน้องใหม่ออกมาเต็มที่ ผมได้ยินที่พี่ๆคุยกันเรื่องน้องรหัสใครเป็นคนไหน บ้างชี้นิ้วชี้ไม้จับจองกันทั่วหน้า บรรยากาศเหมือนการคัดตัวดูตัวยังไงไม่รู้ แต่ยังไงก็ยังผ่อนคลายกว่าเข้าแถวเรียงคิวแบบทหารแหละวะ
               เมื่อไม่เครียดผมจึงเริ่มเบื่อขั้นรุนแรง ใจจึงเริ่มลอยไปหาพี่ธัน เห็นว่าจะตรวจแบบ ผมคำนวณจากช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันร่วมห้าหกปี พี่ธันก็น่าจะอยู่ปีห้า เป็นปีสุดท้ายของเขาและเป็นปีสุดท้ายของผมที่จะได้ใกล้ชิดแบบนี้ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน อาจจะกำลังมีแฟนอยู่แล้วก็ได้ วันนี้เจอกันก็ด่ากันไฟแลบ  อนาคตคงต้องต่อยกันแทนจีบ ยิ่งนึกถึงตอนในหอประชุมแล้วยิ่งหมั่นไส้ คนอะไร เจ้าชู้ประตูดิน ถึงเนื้อถึงตัว
               รุ่นพี่พากันขึ้นไปแนะนำตัวและเตรียมการเรื่องกิจกรรมในวันเสาร์อาทิตย์ก่อนเปิดภาคเรียน แนะนำเรื่องการใช้ชีวิตในช่วงที่เรียนคณะนี้ มีเรื่องการทักทายเคารพรุ่นพี่ทุกคน และอีกสารพัดสารเพ เบื่อจะฟัง ในที่สุดก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปเตรียมสตูดิโอ ทุกคนต่างแย่งกันไปหาโต๊ะเขียนแบบประจำตัว จับกลุ่มเพื่อนั่งใกล้กับคนที่ตัวเองสนิท ผมบอกให้อุ้มไปจองเผื่อไว้ให้ด้วย(ดูน่าได้เรื่องได้ราวสุด) ส่วนตัวผมนั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ด้านนอกเตรียมตัวจะไปซื้อของ
               “น้องไลท์” มีคนเรียก
               ผมเงยหน้ามองผู้ทักทาย ปรากฏว่าเป็นพี่วีเพื่อนพี่ธัน เจ้าตัวยิ้มร่าให้จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ               “เฮ้ยพี่ เจอกันอีกแล้ว ไม่ตรวจแบบหรอครับ”
               “ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนอย่างพี่ไม่ต้องพยายามอะไรมากเหมือนบางคน” เขาพาดพิง ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงคนที่กำลังเดินมาสมทบด้วยสีหน้าหงุดหงิด
               “มึงมานั่งเชี่ยไรตรงนี้ เพื่อนเขาทำงานหัวหมุน” นั่นคือคำทักทายที่พี่ธันพูดกับผม เพราะป่ะล่ะ
               “เรื่องของผมดิ ไม่ยุ่งได้ป่ะ” ผมไม่ยอมหรอก ถึงมึงจะน่ารักก็เถอะ
               “นั่นไงไอ้วี ดูมันดิ”
               “ก็มึงไปกวนตีนน้องเขา มึงจะบ่นหาอะไร” พี่วีด่า สองคนพูดเหมือนกับผมเป็นหนึ่งในเรื่องสนทนาที่พูดกันประจำ เรียกง่ายๆว่านินทานั่นแหละ แอบดีใจนะเนี่ย
               พี่ธันย่างเท้ามาหยุดยืนเท้าเอวด้านหน้าผมที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน ใกล้ซะจนผมได้กลิ่นตัวหอมๆ ผมต้องคอยแหงนมองหน้าพี่แกตลอดเวลา เพราะถ้าก้มหลบลงมาระดับสายตาก็จะเจอกับ....
               ไม่ไหว ลุกดีกว่า เดี๋ยวหัวใจวาย
               “เฮ้ย จะไปไหน” พี่ธันคว้าต้นแขนผมไว้อีกแล้ว... ไม่ ไม่นะ เอามือออกไป อย่ามาแตะเนื้อต้องตัว
               “ปล่อย....”  ผมร้อง  “...จะไป ซื้อของ”
               “ของอะไร”
               “เครื่องเขียนไง ยังไม่มีอะไรเลย” ผมแกะมือพี่ธันที่เหนียวยังกะตุ๊กแกไม่ออกสักที
               และแล้วพี่ธัน ก็ยื่นถุงพลาสติกถุงเบ้อเร่อให้ ข้างในประกอบไปด้วยอุปกรณ์เครื่องเขียนครบชุด
               “อะไรเนี่ย???” ผมถาม
               “ตาบอดหรอ”
               “รับไปเถอะไลท์” พี่วีพยักเพยิด ประมาณว่า ยอมๆเถอะ
               เรื่องอะไรล่ะ...
               ...แล้วผมก็รับมาซะงั้น
               “เท่าไหร่อ่ะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นแหละ ไม่อยากมโนเก้อ
               “....”
               “เท่าไหร่เล่า บอกมาสิ” อย่าให้ผมต้องรอสิครับที่รัก
               “กูให้” เชดดดดดเข้ จีบป่ะเนี่ย “แต่ไม่ฟรีนะ”
               เฟลได้อีก ไม่มีอะไรจะพูดเลย “ถึงถามไงว่าเท่าไหร่ เดี๋ยวจ่ายให้”
               “กูไม่เอาตังค์”
               เอาใจกูมั๊ยสราด เรื่องเยอะจริง...
               “มึงต้องทำตามคำสั่งกูสามข้อโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เมื่อไหร่ที่กูพูดว่า ‘นี่เป็นคำสั่ง’ มึงต้องทำตาม”
               “โห มากไปป่ะเนี่ย แค่ซื้อของให้เนี่ยนะ” เอาเปรียบกันชัดๆ
               “มึงรับของกูไปแล้วนะเว้ย”
               แม่ง อย่างนี้เขาเรียกมัดมือชก ไอ้พี่ธันบ้า ยังจะมาทำหน้าตาทะเล้นมีความสุข ไอ้คนชอบกดขี่ชาวบ้าน
               “เออ ...ก็ได้วะ”
               “ก็แค่เนี้ยะ” พี่ธันปล่อยมือจากแขนผม ดูพออกพอใจกับการกระทำอันแสนป่าเถื่อนของตัวเอง น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกโกรธอะไรมากมาย จะโกรธลงได้ยังไง ดูซิเนี่ย เขียนชื่อผมแปะติดไว้กับเครื่องเขียนทุกชิ้นเลย ทำตัวโหดสัดแต่ก็มีมุมมุ้งมิ้งกับเขาบ้างเหมือนกันนี่นา
               “ดีใจหรอน้องไลท์”
               “เฮ้ย  ...ยังไม่ไปอีกหรอพี่” ผมพูดกับพี่วี อาจจะเสียมารยาทเพราะไม่ได้ตั้งใจ อารามตกใจนิดหน่อย เมื่อกี้คงเผลอยิ้มไปเยอะแน่เลย
               “ไล่เลยหรอ จะแอบไปฟินละสิ”
               “ไม่ใช่แล้วพี่ ผมแค่...”
               “ช่างเถอะ ดีใจด้วยนะ แล้วก็...” พี่วีลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง “เอ็งชื่อจริงชื่ออะไรนะไลท์”
               “ผมหรอ??” ถามชื่อจริงผมทำไม “ผมชื่อภาณุครับ”
               พี่วีดูอึ้งปนดีใจ เขายิ้มกว้างขึ้นมาก “ภาณุหรอ อื้ม...พี่รู้และ ขอบใจ”
               “เอ้อ....” ผมรั้งไว้ ทั้งสองคนหันมาช้าๆ แต่สิ่งที่ผมจะพูดต้องการให้พี่ธันรับไปคนเดียว
               “...ขอบคุณนะ”
               พี่วียิ้มรับให้เหมือนเดิม ไอ้พี่ธันนี่สิ จ้องผมอยู่นานสองนานกว่าจะหันหลังเดินออกไป ปล่อยให้ผมมองตามจนสุดสายตา

                         ----------------------------------------------------------------------------------------------

               
               เย็นนั้นผมเตรียมโต๊ะ ติดอุปกรณ์ ทำทุกอย่างด้วยความเพลิดเพลินที่สุด ถึงกับร้องเพลงคลอเบาๆ(ผมร้องเพลงเพราะนะเออ) ไอ้มีนกับไอ้เบียร์มันหาว่าผมบ้า แต่ดูเหมือนยัยอุ้มจะเห็นเหตุการณ์ด้านนอกสตูดิโอ คอยแซวผมไม่หยุด เลยปล่อยเลยตามเลย ไอ้ผมก็อาการหนักถึงขั้นไปซื้อกล่องอย่างดีไว้ใส่ของทั้งหมดที่พี่ธันซื้อมาให้
               กว่าจะเตรียมการนัดแนะกิจกรรมต่างๆก็ล่อไปหนึ่งทุ่ม ตลอดเวลาผมก็ยิ้มจนเพื่อนหลายคนสงสัยว่าผมสติดีหรือเปล่า ไอ้ตะวันขับรถมารอรับอยู่แล้ว(มีคนกรี๊ดมันเยอะอยู่) พอเห็นผมทำตัวแปลกๆก็คอยแต่จะพาผมไปหาหมอเรื่อย
               มันเห็นผมหน้าแดงไง คงนึกว่าเป็นไข้


               อย่างที่ตะวันมันบอกแหละ ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่วันนี้ผมมีความสุขที่สุด




---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Mr.SCROMAN : นายธันวาแสบกว่าที่ไลท์คิดไว้ อาการถึงเนื้อแตะตัวเขาไม่เคยโดนมาก่อน นั่นเป็นสัญญาณ
                          บางอย่างหรือไม่ หรือว่าทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากการรับน้องสายรหัส เอ....รึว่าจะมีอย่างอื่น
                          ตอนหน้า เพื่อนสนิทธันวาจะมาให้ความกระจ่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2017 18:51:29 โดย SCRO.Y.K. »

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #7 เมื่อ22-08-2017 21:54:25 »

 :ling3:

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ปีหนึ่ง ปีสุดท้าย โดย SCRO
«ตอบ #8 เมื่อ23-08-2017 00:07:01 »

 :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

3

รวี : ปริศนาครั้งแรก



               "มึงจะเอายังไงไอ้ธัน"
              “ถามได้ จีบดิครับ”
               “ไม่อ้อมค้อมเลยนะ เคลียร์ไอ้ที่มึงเป็นตอนนี้ก่อนดีกว่าไหม”
               “เคลียร์อะไร”
               “ควงไว้กี่คนล่ะ”
               “.....”
               “นิสัยแบบน้องคนนี้ถ้างอนเมื่อไหร่มึงเหงื่อตกแน่ เพราะฉะนั้นหากไม่อยากมีปัญหา มึงก็ต้องชัดเจน”
               “ฮื่อ...” เสียงเพื่อนผมรับคำแกนๆ “มึงว่าไอ้วิวมันจะช่วยกูรึเปล่าวะ”
               “เรื่องของมึงเอง จัดการเองดิวะ มันแม่งก็หัวหมุนตายห่า พอกันเลยมึงกับมันอ่ะ”
               แล้วผมก็วางสายใส่ จะจีบเด็กปีหนึ่งยังต้องลำบากผมอีก เชี่ยธัน

               ตั้งแต่วันแรกที่ไอ้ธันเพื่อนผมเจอกับน้องไลท์อีกครั้ง ฉายาราชานรกน้ำแข็งของมันก็พังยับเยิน ผมไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนได้อีกครั้ง เปลี่ยนกลับมาเป็นไอ้ธันที่มีความรู้สึก แต่จะว่าไปแล้วน้องเขาก็เปลี่ยนไปมาก หลายปีที่ไม่เจอกันผมก็ลืมหน้าน้องไปแล้ว มานึกย้อนดูอีกทีก็แปลกใจ อะไรทำให้น้องกลายเป็นคนหล่อขาวน่ารักได้ขนาดนี้วะ
               ไอ้ธันเป็นคนที่ทักขึ้นก่อนว่าน้องคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวกับที่มันเคยแอบชอบ แต่ผมยังไม่เชื่อ จนกระทั่งน้องเขาถามชื่อนามสกุลมันนั่นแหละ วันนั้นผมมองหน้าน้องอย่างพินิจพิจารณาแล้วว่าเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ สุดท้ายจึงทำการยืนยันได้เสียที ไอ้ธันงี้ยิ้มย่องเชียว บอกผมว่ามันมองไม่ผิด ถึงจะหายไปนานแต่มันจำได้ไม่เคยลืม เรารึก็อยากจะอ้วก
               แต่ที่ไม่เข้าใจจริงๆเห็นจะเป็นเรื่องที่เพื่อนผมมันชอบกวนตีนน้องเขาทุกทีที่เจอ ทำตัวเหมือนนักเลงจ้องจะหาเรื่องชาวบ้าน น้องไลท์นี่ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน ผ่านไปหลายปีดูห่ามขึ้นตั้งเยอะ ผมแอบดีใจแทนเพื่อนน้องมันดูชอบไอ้ธันอยู่ ซึ่งอาจจะชอบมานานแล้วหรือไม่ก็คงถูกชะตากัน ผมจะรอดูทางเดินของคู่นี้ว่าจะไปในทางไหน ส่งเสริมคนให้รักกันมันมีอานิสงมากแค่ไหนกันนะ
               วนปากกาอยู่นานจนรู้ว่าตัวเองไม่มีสมาธิทำอะไร ในเมื่อความคิดไม่เคลื่อนไหวก็ขอทำตามใจดูบ้าง ผมจัดแจงเก็บของ ปิดแม๊กบุ๊คแล้วออกจากหอ ขับรถไปที่คณะ ก่อนเข้าไปผมแวะร้านกาแฟร้านโปรดเพื่อหาคาเฟอีนเข้าร่างเสียหน่อย ในร้านคนยังน้อยเพราะปิดเทอมอยู่ ตอนนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมของเด็กเก่าๆที่มานั่งถกประเด็นน่าสนใจกัน ส่วนใหญ่ก็เรื่องเรียน เรื่องผู้ชาย คอนเสิร์ตและอีกต่างๆนาๆ ผมเข้าไปสั่งกาแฟของตัวเอง นึกขึ้นได้ว่าจะเข้าไปไหนเลยสั่งเพิ่มเผื่อไอ้ธันกับน้องไลท์(คิดไปเสียแล้วว่าสองคนนี้ต้องคบกันแน่ๆ)
               จากที่บาร์ ผมหันไปเห็นชายดูดีคนหนึ่งที่โต๊ะในสุดของร้าน ใส่ชุดไหมพรมสีดำร่นแขนไปถึงข้อศอกกับกางเกงยีนส์ขาสั้น สวมแว่นตากรอบดำอันใหญ่และเซตผมสบายๆ กำลังนั่งไขว้ขาขีดเขียนบางอย่างลงในสมุดที่กางอยู่บนหน้าตัก มือหนึ่งกดโทรศัพท์ไปมาไม่หยุด แป๊บๆก็ต้องรับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาไม่ว่างเว้น สักพักใหญ่จึงเลิกทำทั้งหมด โยนสมุดและโทรศัพท์เข้ากระเป๋าบนโต๊ะอย่างไม่ใยดี ก่อนจะถอนหายใจยาวและหันหน้ามองทะลุกระจกร้านออกไป
               ทว่าเขาไม่ได้มองออกไปข้างนอก ผมรู้ดีว่าสายตาแบบนั้นคืออะไร เขากำลังมองออกไปไกลมาก ไปยังอีกที่หนึ่ง ที่ๆมีความสำคัญกับเขา แต่ความเย็นชาภายใต้ใบหน้านั้นทำให้ผมสงสัย มันต่างกับความเย็นชาแบบไอ้ธันที่ดูก็รู้ว่าเบื่อ แต่นี่... มันเหมือนกับว่า ใต้ดวงตาไร้อารมณ์ของเขา มีความลับและเรื่องมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย  และมันส่งผลต่อการแสดงอารมณ์  ไม่ใช่ว่าผมเห็นว่าเขาเป็นคนหล่อนะ แต่เพราะผมจำได้ว่าน้องคนนี้เป็นคนที่มารับน้องไลท์กลับเมื่อวาน ผมอยากรู้ว่าเป็นอะไรกับน้องไลท์(อยากช่วยเผือกเรื่องไอ้ธัน) จึงตัดสินใจรับกาแฟ จ่ายเงิน แล้วเดินไปนั่งด้วย
               เขาหันมามองทันที จ้องอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ตกใจอะไร “สวัสดีครับ”
               “เอ่อ อื้ม สวัสดีครับ นาย...” เสียหลักนิดหน่อยเมื่ออีกคนเป็นฝ่ายทัก
               “ผมชื่อตะวันครับ เป็นเพื่อนของไลท์” เขาคงจำผมได้เหมือนกัน
               “จำเราได้ด้วยหรอ” เป็นคำถามแก้เก้อ ท่าทางที่น้องคุยกับผม ไม่ได้รู้สึกว่าคุยกับเด็กเลยสักนิด คนๆนี้เปี่ยมด้วยความมั่นใจดุจขุนเขา มีสายตาที่แข็งแกร่งไร้ความกลัวเกรง ผมทำใจเรียกว่าน้องไม่ได้จริงๆ
               “พี่เด่นจะตาย เห็นรอบเดียวผมก็จำได้แล้ว”
               “เรียกเราว่าวีเฉยๆก็ได้...ว่าแต่ เราเนี่ยนะเด่น”
               ตะวันยิ้มออกมาน้อยๆ ถอดแว่นออกเพื่อโชว์รูปตาสวยๆ เอาแขนกอดอกเท้ามาที่โต๊ะ หน้าเขาจึงใกล้ผมมาก ผมเห็นความเนียนของผิวแล้วยังแอบอิจฉาเลย “ยังไม่รู้หรอว่าตัวเองดูดี” ผมรู้สึกแปลกๆที่ตะวันชมผม เหมือนจะทำให้ผมโหวงๆโคลงเคลงในช่องท้อง “ลองยิ้มสิครับ”
               ไม่รู้ว่าคนๆนี้นิสัยเป็นอย่างไร แต่รอยยิ้มที่ออกจะทะเล้นนั้นทำให้ผมกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้เหมือนกัน “อะไรเนี่ย??”
               “ตะวันจำวีได้เพราะรอยยิ้มนะครับ วียิ้มแล้วทำให้โลกนี้ดูดีขึ้น”
               ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าการสนทนานี้จะไปต่อในรูปแบบไหน หัวใจมันก็ดูเหมือนจะเต้นเร็วขึ้นนิดหน่อย เพราะอะไรกันนะ
               “ตะวันไม่คิดว่าจะเจอวีที่นี่นะ จะไปไหนหรอครับ” ตะวันมันถาม กลับไปทำท่าทางปกติ ไม่ได้ส่งสายตาหวานปานน้ำผึ้งอีก ผมนี่สิยังคงรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าไอ้ที่กำลังแตกเปร๊ยะๆในอกตอนนี้มันคืออะไร กำลังพยายามพิจารณาอยู่ “ให้ผมไปส่งมั๊ย”
               คำถามนั้นของตะวันดูสบายๆ แต่ผมก็แอบดีใจ...”ไม่เป็นไร วีเอารถมา... กำลังจะเข้าไปที่มอน่ะ ตะวันล่ะ ทำไมมาอยู่แถวนี้”
               “มาส่งไอ้ไลท์ คอยดูด้วย... ไม่ให้มันหนี นี่ผมก็รอไปเรียนอยู่”
               “หนีหรอ?..หนีอะไร?”
               “เพื่อนผมคนนี้มันเป็นเด็กเอาแต่ใจ เบื่อง่ายมาก ผมต้องคอยดูมันไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
               “ฟังดูเหมือนเป็นพี่เลี้ยงนะ” ตะวันยิ้มให้ผม ไม่รู้ว่าชอบหรือตลกที่ผมเป็นคนชอบเผือก ผมทำเป็นดูดกาแฟอึกหนึ่ง ผิดแก้วด้วย
               “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ไอ้ไลท์มันเป็นลูกคนเดียวของนายพลตำแหน่งใหญ่ของกองทัพบก พ่อมันเลยหวงมากๆ ผมก็เป็นเพื่อนของมันมาตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็คอยเป็นการ์ดให้มันด้วย มันไม่ชอบให้มีการ์ดเยอะแล้วพ่อมันขัดไม่ได้ ผมเองก็ติดบุญคุณตระกูลนี้อยู่เลยอาสามาดูแล มีผมคนเดียวที่เอามันอยู่” ตะวันร่ายยาว ผมก็ฟังอย่างตั้งใจ เขาชะงักอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “...แต่ผมว่าตอนนี้คงมีคนจัดการมันอยู่อีกคนแล้วล่ะ”
               “หมายถึงไอ้ธันหรอ?” ผมเสนอความเห็นบ้าง
               “อื้ม วีรู้ด้วยหรอ”
               “น้องไลท์ชอบไอ้ธันหรอ?”
               ตะวันลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูด “...ผมว่ามันอาจจะรักเลยก็ได้นะ แอบชอบมาตั้งหลายปีแล้วนี่” ตะวันยื่นหน้ามาหาอีกครั้ง “พี่ธันก็เป็นเหมือนกันหรือเปล่า”
               ผมแอบตะลึงในความบังเอิญของคู่นี้มาก คนเป็นล้าน เหตุฉะไหนจึงทำให้คนสองคนมาแอบรักกันได้นะ “ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น วีว่าสองคนนี้คงจะมีข่าวดีแน่ๆแหละมั้ง” ผมบอกข้อสันนิษฐานขอองผมให้ฟัง แต่เมื่อตะกี้พูดว่าเรียน... ตอนนี้อยากรู้เรื่องของเขามากกว่า  “เอ้อ...ตะวันก็เรียนที่นี่ด้วยหรอ” ผมถาม
               “เปล่าหรอก ตะวันเรียนทำอาหารอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ พอดีอยากเป็นเชฟน่ะ”
               โห คนอะไรมีหลายมิติฉิบหาย ด้านหนึ่งเป็นการ์ด ผมก็จินตนาการว่าต้องเป็นคนแข็งกร้าว แต่กลับอยากเป็นเชฟที่ต้องอาศัยความละเอียดใส่ใจ คนๆนี้แค่คุยกันไม่ถึงชั่วโมงก็ทำให้ผมรู้สึกสนใจมากๆได้ มันปลุกความอยากผจญภัย อยากค้นหาสิ่งแปลกใหม่น่าทึ่ง ทั้งหมดที่ผมต้องการมาจากหมอนี่ “ตะวันนี่มีชีวิตน่าสนใจดีนะ” ผมหมายความตามนั้นจริงๆ
               ตะวันยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆที่เรียงตัวสวยงาม ผมเองก็ยิ้มตามไปนั่นแหละ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกผ่อนคลายเมื่อต้องคุยกับคนที่ไม่สนิทสนม คงจะมีอะไรบางอย่างในตัวของตะวัน ที่ทำให้ผมไว้ใจและเปิดอกคุยด้วย
               ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไร
               “นี่จะไปเรียนกี่โมงล่ะ”
               ตะวันดูนาฬิกาที่ข้อมือ “อีกครึ่งชั่วโมง ขับรถไปสิบห้านาทีก็ทันมั้ง”
               “มารับน้องไลท์ทุกวันรึเปล่า”
               ตะวันยิ้มอีกแล้ว แจกยิ้มไปทั่วเลยนะ  “วีอยากเห็นตะวันทุกวันใช่มั๊ยล่ะครับ”

               เฮ้ย ถามอะไรอย่างนั้น

                          ----------------------------------------------------------------------------------

               ไม่น่าเชื่อว่าการคุยกับคนแปลกหน้าจะทำให้ผมรู้สึกดีได้ขนาดนี้ เราสองคนใช้เวลาคุยกันร่วมชั่วโมง ตะวันที่ว่าจะไม่ไปสายก็สายจนได้ แต่ดูไม่ได้เครียดอะไร ทั้งยังไม่เร่งรีบ ไม่ยอมตัดบทสนทนาเลยด้วย ทว่าในท้ายที่สุดก็ต้องแยกกัน ผมกับตะวันเดินออกมาจากร้านแล้วตรงไปที่รถซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาท ยืนมองเขาเปิดประตูรถแล้วโบกมือลา
               “เอ้อ วี”  ตะวันทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
               “ว่าไง?”
               “เรื่องพี่ธันวากับไอ้ไลท์น่ะ อย่าเพิ่งไปบอกพวกเขาล่ะ”
               “ไม่บอกก็ทำอยู่แล้วมั้ง” ผมล้อเขา
               ตะวันหัวเราะและขับรถออกไป ผมจึงเดินไปที่รถตัวเอง เปิดประตูเข้าไปนั่ง คาดเข็มขัดนิรภัย สตาร์ทเครื่องแล้วนั่งรอให้เครื่องร้อนสักนิด สายตาเหลือบมองตามแอคคอร์ดสีขาวไปจนสุดสายตา ในใจยังรู้สึกแช่มชื่นกับช่วงเวลาที่เพิ่งเกิดขึ้นมาราวกับดอกไม้กลางทะเลทรายที่เจอกับสายฝนพรำ ตอนนี้ยังไม่เข้าใจมันดีว่าคืออะไร ผมจะค่อยๆคิดไป


               แต่...   มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะ


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mr.SCROMAN : เอ๊ะ! ทำไมตอนนี้เรื่องราวของสองตัวเอกถึงดูไม่สำคัญล่ะ ความรู้สึกของสองคนนี้คือ
                           อะไรกันนะ แต่ช่างเถอะ ยังไงเสีย...เราก็ได้รู้ว่าสองคนนั้นรักกัน แต่เรื่องราวมันจะ
                           ง่ายดายปานนั้นเชียวหรอ...


                           ตอนนี้มีเรืออีกลำมาให้ขึ้นล่ะเน้อ...แต่จะล่มหรือเปล่าน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2017 15:02:14 โดย SCRO.Y.K. »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ว่าแล้ว ธันจำไลท์ได้
แล้วแทนที่จะพูดจาดีๆ กลับทำเถื่อนห่ามใส่

วี กับตะวัน ดูเข้ากันดี๊ดี
เหมือนตะวันอ่อยวี อยู่นะ
ส่วนวี ก็ เหมือนใจเต้นกับตะวันไปแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

4

ไลท์ : กังฟู


               ผมโดนอีอุ้มโบกหัวเสี่ยงดังลั่น ทำเอาสมองสั่นมึนไปพักใหญ่ นี่แค่วันที่สองนะ สนิทเกินไปม๊ายยยย
               “เชี่ยอะไรเนี่ยอุ้ม” ผมโวย
               “เหม่ออะไรวะ เขาให้มึงดูเพื่อนแนะนำตัว ไอ้นี่นิ”
               “ก็แม่งน่าเบื่อชิบเป๋ง เรื่องแค่นี้ถามชื่อเอาทีหลังก็ได้ไม่ใช่หรอ”
                “อย่ามาขบถ ชอบขวางโลกหรอ”
               “ชิ”
               ก็ไม่ได้อะไรมากหรอกครับ รุ่นพี่ปีสองเป็นสตาฟและพิธีกร บอกให้น้องๆปีหนึ่งออกไปแสดงความสามารถที่ตัวเองถนัด ไม่ต้องเป็นความสามารถก็ได้ และนั่นแหละที่ทำให้ผมอยากหนีไปจากตรงนี้ ก็มันไม่รู้ว่าจะแสดงอะไรนี่หว่า
               คนแล้วคนเล่าที่ออกไปยืนหน้ากลุ่มใหญ่ๆ คนๆหนึ่งต้องแนะนำตัวต่อคนเกือบร้อย บางคนก็เห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้หลายคนจดจำ บ้างก็ร้องเพลง แสดงตลก(ส่วนใหญ่จะเล่นตลกเป็นนะ) มีบ้างที่ยังขลาดอายจนทำอะไรไม่ถูก บางครั้งผมก็ขำบ้างอะไรบ้าง โดยเฉพาะมุขโง่ๆที่เรียกเสียงจิ้งหรีดได้นี่โคตรขำเลย
               แล้วก็ถึงตาอุ้มครับ มันออกไปแนะนำตัวอย่างมั่นใจ
               “สวัสดีเพื่อนๆ ..พี่ๆด้วยค่ะ เราชื่อนางสาวมยุเรศ อ่อนแก้ว” (ผมแอบขำคิกๆ) “ชื่อเล่นชื่ออุ้ม”
               ผมอยากรู้ว่ามันจะแสดงอะไร พอดีกับที่มันประกาศออกมาว่า “...จะมาแสดงคู่กับนายภาณุ สิริโยธากุล หรือไอ้ไลท์นั่นเอง”
               ตอนแรกผมยังรู้สึกวิ้งอยู่ จนกระทั่งรู้ตัวว่านั่นมันชื่อตัวเอง  “เฮ้ย......เชี่ยไร???”  เรื่องอะไรต้องแสดงกับผู้หญิง ไม่เอ๊าไม่เอา
               “ออกไปดิเฮ้ยไลท์”
               “เชี่ย โชคดีว่ะ”
               เพื่อนๆก็เชียร์กันใหญ่นะ โชคดีตรงไหนวะ
               “น้องไลท์คะ ออกมาเลยค่ะ ไม่เป็นไรไม่ต้องอาย”
               ผมเดินออกไปอย่างหวาดๆ ถึงจะบอกว่าอย่างนั้นแต่ก็ไม่ทำให้ยางอายหดหายได้หรอก นี่ก็กำลังคิดว่าจะแสดงอะไรให้พวกชอบซุบซิบนินทาได้หัวเราะหน้าหงายก็เผอิญต้องช็อก เมื่ออีอุ้มมันประกาศออกมาอย่างมั่นใจอีกแล้วว่า....
               “เราสองคนจะมาแสดงศิลปะการต่อสู้ ‘คาราเต้’ กันค่ะ”
               “เชี่ย มึงบ้าเปล่า กูเล่นไม่เป็น”
               ไอ้พวกที่นั่งคงเห็นโมเม้นนี้เป็นเรื่องตลกมาก ขำกันพรืด
               “ไม่ต้องมาปฏิเสธ กูรู้ว่ามึงเป็น ท่าทางมึงเคยฝึกมา อย่ามาทำหน่อมแน้มใจมด”
               โอ๊ย คำนี้แม่งเจ็บ ตั้งแต่ไอ้พี่ธันใช้คำนี้เรียกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คำว่าหน่อมแน้มก็กลายเป็นเหมือนการดูถูกในสนามโครอสเซียม โดนฆ่าได้แต่ไม่ยอมโดนหักธง ไอ้พวกที่นั่งก็ส่งเสียงโห่ส่งเสริมกันเข้าไป
               มันจะหยามกันเกินไปแล้ว...
               “ไปเอาเบาะมา” ผมตะโกนเสียงดังบอกเพื่อน ทุกคนอึ้ง
               ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แม้ไม่ใช่เบาะจริงๆ แต่ที่นอนบางๆก็คงใช้ได้ อย่างน้อยก็กันหัวร้างข้างแตก ทั้งพี่ทั้งน้องวิ่งวุ่นหาอุปกรณ์แล้วย้ายเวทีไปใต้ถุนตึกที่เป็นพื้นเรียบ (ที่เดิมเป็นอิฐหนอน อันตรายไปหน่อย) เมื่อเตรียมเสร็จทั้งผมและอุ้มก็ยืนประจันหน้าโดยมีผู้ชมล้อมรอบ ล้วนต่างซุบซิบพูดคุย
               แม้จะใจสู้แต่ก็แอบเหงื่อตกไม่ได้ อุ้มมันไม่ได้ล้อเล่น ท่าทางที่ยืนมั่นคง การรวบผมม้าไว้ด้านหลังเพื่อไม่ให้เกะกะสายตาก็เป็นลักษณะของคนที่เป็นมวย และมันกำลังยิ้มย่องเหมือนกับได้ชัยชนะเรียบร้อย ช่างกล้าเนอะ ผมยิ้มออกมาท้าทายมันบ้าง ซึ่งๆหน้านี่แหละ อย่าคิดว่าจะล้มผมง่ายๆ เพราะอย่างที่อุ้มมันบอก ผมก็ฝึกมาไม่น้อย แม้ยังไม่ได้ครึ่งขี้ตีนของไอ้ตะวัน ผมก็ยังไม่เคยแพ้ดวลเดี่ยวกับใคร
               แล้วมันก็เริ่มโจมตี ผมที่ตั้งใจเพียงแค่หลบให้ได้(ไม่อยากทำร้ายผู้หญิง)ยืนการ์ดหลวมด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว หลบหลีกอย่างว่องไวได้หลายครั้งหลายท่า แต่อุ้มมันเก่งจริงๆ เคลื่อนไหวติดต่อกันไม่นาน เท้าหนักๆก็พุ่งอัดเข้าท้องผมจังๆจนเซล้ม จุกฉิบหาย เชี่ยแม่งเอาจริงหรอวะ
               “เฮ้ยอุ้ม มึงจริงจังไปป่ะเนี่ย” ผมโวยวาย
               “นี่คือสิ่งที่กูรอคอย” มันกระหยิ่มยิ้มย่อง อ้อ ที่มันเคยบอกอยากอัดผม มันพูดจริงหรือนี่ “ลุกขึ้นมาไอ้ไลท์ นี่กูยังออมแรงอยู่เลยนะ”
               ผมหอบหายใจอยู่ซักพัก สายวัดชีพจรที่ข้อมือซ้ายก็ยังไม่ร้อง ไม่อยากยื้อมากเดี๋ยวจะเลยเถิด ยังไงก็ต้องทำอะไรบ้าง เมื่อกี้ที่อุ้มเตะมาก็ยังพอมีช่องโหว่อยู่ สงสัยต้องงัดเอามวยไอ้ตะวันมาใช้แหะ ไม่ตอบโต้บ้างคงไม่จบ
               แล้วผมก็ลุกขึ้น สูดหายใจยาวแล้วเริ่มตั้งท่าให้มั่นคงด้วยความสงบนิ่ง
               “อ่าฮ่า เอาจริงได้แล้วหรอ”
               “มาเลย”
               พวกที่ยืนดูอยู่คงกำลังงงว่าเราเอาจริงกันยังไง เรื่องแบบนี้คนที่ฝึกต่อสู้มาจะเข้าใจ ผมจ้องด้วยลมหายใจสงบ เพ่งสมาธิมองดูเท้าที่ยกขึ้นมาจากพื้น นั่นเป็นจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมพุ่งเข้าไปในช่วงต้นขาเพื่อหลบแรงเตะ พร้อมกันนั้นก็อัดสองฝ่ามือเข้าที่ลิ้นปี่ ผลักอุ้มให้หงายหลัง แต่เชื่อหรือไม่ก็ตาม อุ้มมันหลักดีอย่างที่สุด เพียงเซไปนิดเท่านั้น ทั้งยังถีบสวนมาได้อย่างรวดเร็วจนผมต้องใช้สองแขนกัน มันตามด้วย หวดก้านคอ ผมก้มหลบเสร็จก็ต้องกระโดดหลบเตะตัดขาอีกระลอก อุ้มบังคับให้ผมต้องม้วนตัวหนีไปตั้งหลัก
               “มวยจีนหรอวะ น่าสนุก” ดูอุ้มมันสนุกจริงเว้ย ซาดิส
               “สนุกเชี่ยอะไรล่ะ พอแล้ว” ผมเริ่มเหนื่อยจริงๆแล้วคราวนี้
               มันไม่หยุดเว้ย ส่งเท้าตรงมาที่หน้าพร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่น ผมเอียงหน้าหลบได้หวุดหวิด นั่นทำให้มีช่องว่างสวนกลับ ผมจับขา งัดขึ้นบนส่งหลังมันกระแทกลงเบาะดังพลั่ก
               “ไง ยอมยัง”
               อุ้มเหมือนตกใจไปวูบหนึ่งที่ผมทุ่มเธอได้ สิ่งที่เกิดถัดมาคือ... ผมคิดนะ คิดว่าอุ้มมันต้องการชนะผมให้ได้อะไรประมาณเนี้ย และจริงดังนั้น มันดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
               “ยอมก็ตุ๊ดดิวะ”
               “ถ้ากูยอมตุ๊ดล่ะ” ผมยอมแพ้ พอเถอะ เหนื่อย
               “อ๋อนี่มึงจะหนีกูหรอ” เวรเอ๊ย มันไม่เลิกแน่นอน ทำไรไม่ได้แล้ว นอกจาก....หนี
การแสดงของผมกับอุ้มใช้เวลากว่ายี่สิบนาที(ซึ่งนานที่สุดในประวัติศาสตร์คณะ ภายหลังผมมารู้ว่าวันนี้มีคนถ่ายคลิปแล้วเผยแพร่ทั่วมหาลัย ดูอย่างกับหนังแอ๊คชั่น จะเป็นคอมมานดีก็ตอนที่ผมวิ่งหนีไอ้อุ้มนั่นแหละ อับอ๊ายอับอาย)
 
               ...แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ได้มีแค่นี้...
               เรื่องผมมันยังไม่จบน่ะสิ หลังจากที่รู้ว่าอุ้มมันไม่เลิก ผมก็วิ่งหนีมันหางจุกตูด เรียกเสียงฮาถล่มทลายจากผู้ชมนับร้อย จนกระทั่ง....ชนกับคนๆหนึ่งจนล้มโครม               
               เพราะผมวิ่งตามทางเดินหน้าสตูดิโอจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครโผล่มาจากทางเดินใต้ถุนสตูดิโอรึเปล่า จึงเกิดฉากแบบนี้ขึ้น กล่าวคือ...
               คนที่ผมชนล้มเกาะผมลงไปด้วย คนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นครับ
               “พี่ธัน??...” ผมพูดชื่อเขาออกมาด้วยอารามตกใจมาก
               “อะไรเนี่ย” พี่ธันถามผม แต่ไม่ยักแสดงอาการโกรธอะไร เพียงแต่ตกใจเล็กน้อย
เหมือนละครเลยครับ ผมล้มแล้วพี่ธันกอดตัวไว้แน่น สองคนนอนกอดกันนิ่งตรงทางเดิน(ไม่กลัวเลอะด้วย) ผมนั้นได้มองหน้าพี่ธันใกล้ๆ ใกล้มากจนจมูกจะชนปากพี่เขาอยู่แล้ว ไอ้พี่ธันก็จ้องตาผมไม่กระพริบ ไม่รู้ว่ามันสังเกตรึเปล่าว่าหัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกได้ ผมอยากจะฟรีซโมเมนท์นี้ไว้ตลอดกาล รับไออุ่นจากร่างของชายคนนี้และกลิ่นตัวที่หอมหวาน...
               “ฮิ้วววววววววววววว.....”
               เหล่าไทยมุงไม่ปล่อยให้ผมอึ้งอยู่ได้นานนัก สายรัดวัดชีพจรที่ข้อมือก็ร้องดังขึ้นมา ผมจึงได้สติ
               “ปล่อย...” ผมบอกพี่ธัน และมันยังกอดผมแน่น “ปล่อยดิเว้ย”             
               “อะไรวะ มาชนคนอื่นแล้วยังไม่สำนึกอีกนะ” พี่ธันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนิ่ม เชี่ย อย่ามาหวานกะผมนะ ปล่อยก่อนเถอะ ไม่ดีกับสุขภาพหัวใจจริงๆ
               ผมดิ้นขลุกขลักจนหลุดอ้อมแขนอันแข็งแรงน่าฟัดออกมาได้แล้วยันตัวลุกขึ้น ปัดฝุ่นจัดชุดตามประสาคนเขินแล้วค่อยๆหายใจช้าๆจนเสียงเตือนที่ข้อมือซ้ายดับไป ไอ้พี่ธันก็ค่อยลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นเล็กน้อย แต่สายตาพี่เขามองมาที่ผมตลอด ตอนผมเงยหน้าพี่เขาหุบยิ้มอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่สาบานเลย เห็นจริงๆนะว่ามันยิ้ม ยิ่งคิดยิ่งเขินจนต้องรีบหันหนีไม่ยอมสบสื่อสายตา
               “เล่นอะไรกันวะ” พี่ธันถามผมกับอุ้มที่กำลังยิ้มล้อเลียนผมโดยสมัครใจ
               “ขอโทษนะคะพี่...”
               “ยุ่งอะไรด้วยล่ะ” นั่น ผมปากเสียอีกแล้ว
               พี่ธันไม่ว่าอะไร ก้มลงมองที่ข้อมือผมแล้วจับขึ้นดู ผมสบัดทิ้ง เรื่องสุขภาพตัวผมไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น ไม่อยากให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ พี่ธันถอนหายใจและคว้าข้อมือไปอีกครั้ง คราวนี้แน่นจนสะบัดไม่หลุด ถึงผมจะแข็งแรงในระดับหนึ่งก็ยังคงสู้แรง(เสน่ห์)ของเขาไม่ได้อยู่ดี
               “นี่อะไร” เขาถาม
               “ไม่มีอะไรหรอก ปล่อยได้แล้ว”
               “ฮาร์ตเรตหรอวะไลท์ ใส่ไว้ทำไมวะ” อุ้มถามขึ้นด้วยความตกใจ “มึงเป็นนักวิ่งมาราธอนหรอ”
               “ก็...เออ ใส่เก๋ๆ ไม่มีไรหรอก ใครเขาก็ใส่กัน” ผมจะไม่บอกแน่ๆว่าเป็นอะไรไม่ว่ายังไงก็ตาม และดูเหมือนอุ้มก็ไม่แปลกใจ พี่ธันกลับเอาแต่เงียบ เขาปล่อยมือผมแล้วย้ายมาจับที่บ่าแทน ฝ่ามือเขาทาบอยู่ใกล้คอมากซะจนสามารถล็อกหน้าเพื่อจูบผมได้เลยทีเดียว(มโนเข้าไปมึง ไอ้ไลท์)
               “ไปนั่งนิ่งๆกับเพื่อนไปมึงนะ อย่ามาวิ่งเล่น” พี่ธันสั่งผมด้วยเสียงธรรมดามากไม่แข็งกร้าวเหมือนตอนแรก นั่นทำให้ใจอ่อนยวบเป็นมาชเมลโล่ รับคำทำตามแต่โดยดี แถมยังใจอ่อนได้ง่ายกว่าตอนโดนด่าเยอะ ก็นะ... ผมแพ้ความอ่อนโยนไง
               ผมกลับเข้าไปนั่งในแถวพร้อมกับอุ้ม แต่ก็ยังมิวายหันกลับไปหาพี่ธันที่กำลังเดินตรงไปโรงอาหารกับเพื่อนของเขาที่นั่งรออยู่ใต้ถุนตึก ก่อนจะลับสายตาเขาเหลียวกลับมามองผมครู่หนึ่ง เราสบตากัน จู่ๆเกิดความคิดว่าอยากตามเขาไป ไม่ก็ให้เขามายืนข้างๆ คอยดูแลตอนผมทำกิจกรรม แต่คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆหรอกมั้ง ในเมื่อเรื่องของผมไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมาสนใจ
             
               ว่าจะไม่นอยก็นอยจนได้ รู้สึกแย่กับการมโนไปเองก็เป็นเนอะไลท์


                                          -----------------------------------------------------------------------------


               เฮ้อออ กว่าจะเสร็จ กว่าจะเลิก เช็ดแหม่ม
               มีผมคนเดียวแหละที่ไม่สนุก คนอื่นเขาตื่นเต้น ดีใจ ขำขันสนุกสนานที่ได้ทำกิจกรรมทั้งหลายนั่น อาจเป็นเพราะสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือการทำอะไรก็ได้ที่มีไอ้พี่ธันอยู่ด้วย คิดไปก็ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ในเมื่อหลายปีมานี่ก็ไม่เห็นต้องมองพี่ธันตลอดเวลานี่นา แล้วมันเพราะอะไรล่ะ
               “ไลท์ นั่งเหม่อไรวะ ไปทักพี่กัน” ไอ้มีนมาฉุดผมในที่สุด การทักพี่ที่พูดหมายถึง ผม และเหล่าปีหนึ่งต้องบากหน้าไปทักทายถามชื่อกับใครก็ตามที่อยู่ปีสูงกว่า ทำไมต้องรู้จักทุกคนด้วยวะ ขอรู้จักเท่าที่อยากรู้ไม่ได้รึ
               ไอ้อุ้มโบกหัวมีนทีหนึ่ง “ไม่รู้ก็อย่าพูดมาก ไปกับกูนี่ไลท์”
               “ไปไหนล่ะ”
               “แนะนำ”
               “เฮ้ย ..ไม่ไป” ผมขัดขืน แต่อุ้มลากไปจนได้
               หลังจากเวียนวนจนทักพี่ๆไปได้หลายโหล ในที่สุดก็มายืนต่อหน้าพี่ๆที่นั่งกันเป็นกลุ่ม แต่ไม่รู้รู้สึกไปเองรึเปล่าว่าหลายหัวตรงนี้มีออร่าที่บ่งบอกว่าเป็นขาใหญ่ ใครเป็นใครปีไหนบ้าง ทักไม่ค่อยจะถูก
               “สวัสดีพี่” ทักไปก่อน “...ผมชื่อไลท์ สถ.หนึ่งครับ”
               ผู้ที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้นก่อน หน้าตามีริ้วรอยประสบการณ์โขอยู่ น่าจะปีสูงๆ “เอ็งนี่เอง หาตั้งนาน”
               หืม หาทำไม “มีอะไรรึเปล่าครับ??”
               “น้องน่ารักดีนี่หว่า” พี่อีกคนข้างหลังพูดแทรกขึ้นมา เป็นอาตี๋ผิวขาวตาชั้นเดียว
               “กูได้ข่าวว่าเอ็งปีนเกลียวหรอ”
               “ห๊ะ...” เอาแล้วไง ผมรู้สึกได้ถึงการคุกคามบางอย่าง รู้สึกไม่ปลอดภัย นี่กูกำลังจะโดนแดกเพราะเรื่องไอ้พี่ธันอะเปล่าเนี่ย เจ้าตัวไม่อยู่แล้วใครจะปกป้องผม เอ๊ะ แล้วทำไมเขาต้องมาปกป้องด้วยล่ะ
               “ปีนเกลียวยังไงครับ...ไม่เข้าใจ” ผมว่าผมพูดธรรมดานะ แต่เสียงที่ออกไปไหงมันฟังแล้วนึกถึงตีนก็ไม่รู้ อุ้มแอบกระซิบขอโทษเป็นการใหญ่ เหมือนมันรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้จะจบแบบไหน แน่นอนแหละ ตัวผมไม่ได้อยากจะทำตัวกวนตีนเท่าไหร่หรอก แต่การที่จะมานั่งชี้หน้าว่าคนอื่นว่าไม่ให้การเคารพตัวเอง มันก็เหมือนกับมาบอกว่า ‘มึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรต่อหน้าคนอย่างกู’  เมื่อเจอแบบนี้จะให้ผมทำเสียงปกติก็ยังไงอยู่ ถึงจะจนตรอกแค่ไหนผมก็เลือกคนที่อยากเคารพ ผมทำตามเสียงหัวใจเสมอ อีกอย่าง ผมมีประวัติไม่ค่อยดีกับพวกที่ชอบตั้งแก๊งตั้งกลุ่ม คนเหล่านี้มักคิดว่าตัวเองมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งผมไม่ชอบ แม้ว่าหลายคนจะเคยบอกให้เลิกคิดแบบนี้แล้วก็เถอะ
               “มันกวนตีนจริงด้วยว่ะ เหมือนที่มึงบอกเลยไอ้เมฆ” พี่คนเดิมหันไปพูดกับเพื่อน
               “มึงรู้มั๊ย...”  ผมรอฟังอยู่  “มึงยังมีเวลาให้ปรับตัวนะ อยู่ที่นี่เรานับถือกันเป็นพี่น้อง มึงเป็นน้องมึงเจอพี่ก็ต้องเคารพ อย่าไปทำตัวห่ามให้ใครเขาเห็น ไม่งั้นมึงลำบากแน่”
               รอตั้งนาน นึกว่าอะไร “ขอโทษครับพี่ ...ผมก็เป็นของผมอย่างนี้แหละ ถึงผมจะเข้ามาช้ากว่าแต่ผมก็แยกแยะดีชั่วเป็น ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีกฎอะไรยังไงบ้าง แต่เรื่องการเคารพคนน่ะ ขอเหอะ ผมจะเคารพใครก็ต่อเมื่อคนนั้นทำตัวสมควรให้น่าเคารพเท่านั้น”
               “ไอ้เชี่ยนี่...” รุ่นพี่บางคนหลุดพึมพำออกมาเบาๆ
               “เข้าใจนะครับ  ...ผมขอตัว”
               แล้วผมก็เดินหนีออกมา จะตรงไปที่สตูดิโอ อุ้มไม่รอช้า รีบกุลีกุจอตามออกมาด้วย มันไล่ทันผมในที่สุด
               “เฮ้ยไลท์ มึงพูดแบบนั้นมึงไม่กลัวหรอวะ” อุ้มถาม มันดูตื่นตกใจพอสมควร
               “กลัวอะไร??”
               “สัด มึงเพิ่งมาอยู่ ถิ่นตัวเองก็ไม่ใช่ พวกก็ไม่มี มึงไม่กลัวพวกเขาตามมากระทืบหรือไง”
               “ขอโทษนะ แต่กูไม่กลัว...” ผมหยุดเดินแล้วหันไปหาอุ้ม “อุ้มก็เถอะ ต่อไปนี้ก็คบไลท์ให้น้อยหน่อยแล้วกัน เราไม่อยากทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วยนะ”
               อุ้มทำหน้าเหมือนระอาผมเต็มทน “มึงเห็นกูเป็นคนยังไงไอ้ไลท์ รักตัวกลัวตายหรอ เชื่อกูเถอะ กูดูคนเป็น มึงไม่ใช่คนที่กูจะทิ้งให้อยู่คนเดียวหรอกนะ ยังไงกูก็อยู่ข้างมึง”
               “มาเป็นชุดเชียวนะมึงอ่ะ ซึ้งว่ะ โชคดีฉิบหายเจอเพื่อนแบบมึง” ผมหมายความแบบนั้นแหละ “รู้มั๊ยมึงเป็นเพื่อนคนที่สองที่กูคิดว่ากูจะคบได้ตลอดไปนะ”
               “ไม่ต้องมาหวาน กูจะอ้วก” อุ้มมันกอดคอผมแน่น รักมันจัง แต่...
               “ถามจริงนะอุ้ม มึงเป็นผู้หญิงจริงๆหรอ”
               มันโบกหัวผมทีหนึ่ง “เสียมารยาทที่สุด”
               “น้องไลท์” เสียงตะโกนดังมาแต่ไกล
               วันนี้แม่งมีแต่คนเรียก ....แต่คนนี้คงไม่เป็นไร พี่วี เพื่อนพี่ธัน
               “อ้าว หวัดดีพี่วี มาทำอะไรครับเนี่ย” พี่วีดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ตอนนี้เดินก้าวยาวยิ้มแฉ่งเข้ามาหา
               “พี่มาหาไอ้ธันมัน เลยแวะเข้ามาดูน้องๆด้วย” แล้วพี่วีก็ยื่นแก้วกาแฟให้ ผมสังเกตว่าสีมันซีดแล้ว “เอ้า ซื้อมาฝาก เป็นไงกันบ้างล่ะ”
               “ก็...สบายดีพี่ มีติดขัดเล็กๆน้อยๆแหละ” ผมยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องเมื่อตะกี้  “ชีวิตมันไม่ราบรื่นตลอดหรอกครับ” เหมือนกาแฟแก้วนี้ไง นึกว่าน้ำเปล่า...
               “หรอ มีอะไรจะปรึกษาก็มาบอกพี่ได้นะ  ...เออ--” พี่วีล้วงโทรศัพท์ออกมา “ขอเบอร์ไลท์หน่อย เผื่อจะติดต่อไปหา”
               แอ่ะ จะขอเองหรือขอให้ใครครับพี่วี(ต่อมมโนทำงาน)  “...ได้เลยพี่”  ผมรับโทรศัพท์มากดเบอร์แล้วเมมให้ด้วยเลย ชื่อหรอ ไลเทนนิ่งไง ฮ่า               
               “ฮ่าฮ่า เออ เมมชื่อจำง่ายดีนะมึง แล้ว...นี่เดี๋ยว ทำอะไรกันต่อ”
               ผมมองซ้ายขวา ทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ถ้าจำไม่ผิดรุ่นพี่ประกาศเลิกแล้วนี่นา ผมหันไปถามอุ้มเพื่อความแน่ใจ “เราต้องทำอะไรอีกป่ะวะอุ้ม”
               “ไม่มีแล้ว.. แยกย้าย.. เห็นบอกว่าปล่อยฟรีสไตล์จะทำอะไรก็ได้”
               “อืมมมม ก็ดีนะ จะได้ไม่เย็นมากไป”
               “อะไรหรอพี่วี”
               “กูจะพามึงไปเลี้ยงข้าว”
               “ห๊ะ”
               “พี่วี.....” เสียงตะโกนมาจากอีกทางแล้ว วุ้ย ช่วงนี้วุ่นวายดีแท้ ผมหันไปหันมาจนคอจะเบี้ยวแล้วนะ อุ้มก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สะบัดหางม้าเป็นว่าเล่น  ที่เดินเข้ามาคราวนี้เป็นชายหนุ่มที่... หล่อจริงจังมาก ผิวเนียนขาว คิ้วเข้ม ตากลมโตที่หยีเสมอเมื่อยิ้มอย่างเต็มที่ ไหนจะลักยิ้มทรงเสน่ห์และฟันเขี้ยวที่ทำให้รอยยิ้มน่ามองขึ้นสิบเท่า เขาไม่สูงมากแต่หุ่นล่ำ คงจะดูแลตัวเอง เข้ายิมเข้าฟิตเนสเป็นประจำแน่ๆ
               “นี่ไลท์...” อุ้มกระซิบ “ใครวะเนี่ย”
               ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า “ไม่รู้... ทำไม? มึงจะจีบหรอ” โดนอุ้มโบกอีกแล้ว
               “หวัดดีพี่ ไม่เจอกันตั้งหลายอาทิตย์” โผเข้ากอดกับพี่วีเรียบร้อย
               “ไอ้ลิตเติ้ล คิดถึงว่ะ เชี่ยไปเที่ยวไม่เคยชวน”
               “แหม อย่าน้อยใจสิพี่ ครั้งหน้าว่าจะชวนอยู่ ไม่รู้จะไปได้รึเปล่า” ผมรู้สึกแฮปปี้ เห็นพี่ทั้งสองรักกันดี แล้วตกลงพี่เป็นใครกันละหวา “พี่มาทำอะไรในคณะล่ะ แก่แล้วไม่ต้องลงมาดูก็ได้”
               “แก่พ่อง” พี่ที่ชื่อลิตเติ้ลหัวเราะร่วน ส่วนพี่วีทำท่าจะเขกหัวคืน “กูมาหาไอ้ธัน”
               “พี่ธันก็อยู่นี่หรอ”
               “เออ มันบอกว่าจะมาคณะ แต่กูยังไม่เจอมันเลย”
               “แล้วนี่ น้องปีหนึ่งนี่นา” พี่ลิตเติ้ลหันมาทางผม ไอ้ผมก็เกรงใจรอยยิ้มพี่แกจัง ไม่เมื่อยหรือไง ยิ้มตลอดเวลาแบบนั้น “หวัดดีครับน้องๆ พี่ชื่อลิตเติ้ลครับ อยู่ปีสาม”
               “หวัดดีพี่ ผมไลท์ครับ”
               “หนูชื่ออุ้มค่ะ” ผมหันขวับไปหาคนที่ใช้คำขึ้นต้นว่า หนู แบบตกใจสุดๆจนโดนมันโบกกบาลอีกรอบ
               “น้องอุ้ม น้องไลท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ มีอะไรสงสัยก็มาถามพี่ได้ทุกเมื่อ พี่ก็วนเวียนอยู่ในคณะนี่แหละ” ครับพี่ ผมไม่อยากให้พี่ยิ้มคนเดียวอีกต่อไป ช่วยยิ้มให้ด้วยเอ้า..
               “ขอบคุณครับพี่ โคตรเป็นคนดีอ่ะ”
               “น้องแม่งน่ารักดีนะพี่” เขาบอกพี่วีที่พยักหน้ารับ “รหัสอะไรวะ”
               “ยังไม่รู้เลยพี่” ผมตอบเหมือนเดิม ยังไม่ได้ดูสักทีจริงๆ
               “ก็ดูเลยสิ ตอนนี้ก็ได้ พี่อยากรู้”
               “ดูได้ด้วยหรอ” ผมนึกว่าต้องมีใบรายชื่อออกมาก่อน อุ้มก็หวังดี ด่าผมง่าวคำนึงแล้วกดโทรศัพท์ รอสักพักมันก็ยื่นมาให้ดู ผมไล่รายชื่อลงมาเรื่อยๆจนเจอ ข้างหน้าเป็นช่องของเลขที่ ซึ่งเดาว่าเป็นรหัสที่พูดถึงกันนั่นแหละ...
               “ผม เลข..ที่  หกสิบหก...ครับ” ผมดูเสร็จแล้วเงยหน้ามองพี่ทั้งสองที่กำลังมองหน้าและยิ้มให้กันแบบมีนัยยะ
               “แล้วน้องผู้หญิงล่ะ น้องอุ้มใช่มั๊ยคะ”
               “ค่ะพี่ลิตเติ้ล หนูอยู่ใกล้มันนี่แหละค่ะ หกสิบห้า” คราวนี้ผมต้องจ้องมันบ้างแล้ว รหัสโคตรใกล้จนเกินกว่าคำว่าบังเอิญ
               “อุวะ ให้มันได้อย่างนี้สิ” พี่ลิตเติ้ลดูดีใจมาก
               “อะไรหรอพี่?”
               “เอาล่ะ พอได้แล้วไอ้ลิตเติ้ล ...ไลท์” พี่วีหันมาย้ำกับผม “เย็นนี้นะ กูจะเลี้ยงข้าวมึง... มึงด้วยลิตเติ้ล น้องอุ้มจะไปด้วยกันมั๊ยคะ”
               “อ๋อ ไม่ดีกว่าค่ะพี่ หนูต้องรีบกลับบ้าน”
               “แล้วพี่ธันล่ะพี่วี” พี่ลิตเติ้ลถาม
               “ก็กูจะลากมันไปเลี้ยงพวกมึงเนี่ยแหละ”
               ตอนนี้พี่ลิตเติ้ลทำหน้าแปลกใจมาก “อะไรทำให้พี่คิดว่าเขาจะไป”
               พี่วียิ้มอย่างมีเลศนัยอีกแล้ว “ไม่ต้องห่วงเว้ยไอ้ลิตเติ้ล  ...กูมีไม้ตาย”
               จากคำพูดพี่วี มีเขาคนเดียวแหละที่ไม่งง อะไรล่ะคือไม้ตายที่จะทำให้พี่ธันเลี้ยงข้าวผมได้ แต่แค่ได้คิดว่าจะได้กินข้าวกับพี่ธันใจมันก็กระโดดโลดเต้นแล้ว ถึงจะไม่ได้ไปกันสองต่อสองก็เถอะ
               “ถ้างั้นก็...เย็นนี้เจอกัน เดี๋ยวกูโทรหา”

               “เอ้อ แล้วก็ พาตะวันมาด้วยนะไลท์ บอกว่าพี่อยากเจอ”



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mr.SCROMAN : ลางไม่ดีอีกแล้ววววว......น้องไลท์ไหงทำตัวล่อตีนแบบนั้นล่ะลูก สงสัยว่าธันวาต้องรีบมาดูแลแล้วล่ะ รวีก็ช่วยเป็นพ่อสื่อที่ดีนะคร้าบ (แต่น้องอุ้มนี่สวยเนอะ หุ่นดีมากด้วย)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไม่น่เชื่อไลท์  จะเป็นตัวของตัวเองขนาดนี้
นึกว่าจะอ่อนโยน เรียบๆร้อยๆ
ที่ไหนได้ คำพูดคำจา ไม่กลัวใคร แม้ต่อหน้ารุ่นพี่

ไลท์ มีดวงสมพงศ์กับพี่ธันนะ
เดี๋ยวชนกัน นี่วิ่งหนีอุ้มก็มาชนพี่ธันอีก

ลิตเติ้ล คนใหม่หน้ายิ้มตลอดโผล่มา
รอตอนใหม่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบอุ้ม สวยๆ ขอบทให้อุ้มเยอะกว่านี้นะครับ5555 :katai2-1:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

5

ไลท์ : ประลองตะเกียบ




               “ตะวัน ออกมายัง?”
               “เออ กำลังขับรถไป มึงใจเย็นดิ”
               “เร็ว กูไม่อยากรอแล้ว”
               “ไอ้สัด ไม่ใช่ไปกันสองต่อสอง มึงจะรีบไปทำไม?”
               “ก็กูตื่นเต้น... จะได้กินข้าวโต๊ะเดียวกับพี่ธันแล้ว”
               “พอเลย อย่าฟุ้งซ่าน แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเลย”
               “เสร็จแล้ว”
               “เฮ้อ ไอ้ไลท์เอ้ย มึงอย่าเพิ่งคิดไปเองไกลนะเว้ย เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน”
               “.....”
               “แค่นี้ก่อนกูขับรถอยู่ เดี๋ยวเจอกัน”

               ไอ้ตะวันนี่นะ จะช่วยให้คิดบวกหน่อยก็ไม่ได้  กำลังใจก็ไม่ให้
               ผมแต่งตัวโก้เก๋ตามสไตล์ตัวเอง เสื้อยืดสีครีมตัวโปรดกับกางเกงชิโนขายาวเข้ารูป เปลี่ยนแว่นออกแล้วใส่คอนแทกเลนส์แทน พอเสร็จก็นั่งรอนอนรอเพื่อนสนิทที่มาช้าเสียเหลือเกิน ผมกำลังจะโทรตามมันอีกรอบ ก็พอดีมีสายเข้า
               “ฮัลโหล่พี่วี ว่าไงครับ”
               “น้องไลท์ พร้อมแล้วก็ออกมาได้เลยนะ เดี๋ยวพี่ออกไปจองโต๊ะให้ก่อน”
               “ครับพี่วี เดี๋ยวตามไป”
               พี่วีบอกว่าจะเลี้ยงปิ้งย่าง ผมไม่ได้ชื่นชอบมากแต่ก็ยอมรับของฟรีได้ เราตกลงกันว่าจะขับรถไปคนละคันเพราะพี่วีจะมีเพื่อนไปอีกคน(เยอะจังวะ) นังอุ้มก็ไม่ปล่อยโอกาสเผือกไป โทรมาถามว่าเข้าด้ายเข้าเข็มกันรึยัง ทำเอาผมหน้าแดงหูแดงไปหมด ด่ากราดไปหลายช็อต(แล้วก็โดนด่ากลับตามระเบียบ) แต่มันบอกว่าเรื่องเลี้ยงน้องรหัสเป็นเรื่องปกติ นั่นทำให้ผมหายตื่นเต้นไปเยอะ ก่อนจะคิดได้ว่าผมไม่ได้เป็นน้องรหัสพี่เขานี่นา...รึว่าจะใช่? ถ้าใช่แล้วจะยังดีใจมั๊ยนะ
               ตะวันขึ้นมาเคาะห้องในอีกสิบนาทีต่อมา มันเปลี่ยนจากชุดเชฟเป็นเสื้อยืดสีฟ้ากางเกงขาสั้น ทุกอย่างคือธรรมดาๆ แต่สำหรับตัวมันคือได้โชว์ดวงหน้าและผิวกายขาวผ่องให้ชาวบ้านได้เห็นอย่างเต็มที่ ทั้งยังทำให้ดูเป็นผู้ชายสดใสอีกต่างหาก ไอ้หมอนี่มันแต่งตัวเป็น
              เราขับรถมาจอดในลานจอดรถของห้างด้านนอกอาคาร ไอ้ตะวันทำให้เขินสายตาประชาชีได้เสมอเมื่อต้องเดินไปไหนมาไหนกับมันในที่สาธารณะ เหล่าชะนีอีแอบทั้งหลายรวมถึงกระทั่งชายชาตรียังต้องอึ้ง ทึ่ง หมั่นไส้ในความหล่อ ผมบอกให้มันไปเป็นนายแบบมันก็ไม่เอา บอกว่าไม่อยากเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเหตุผลที่แท้จริงหรือเปล่า นี่ถ้าไอ้พี่ธันกับไอ้ตะวันประกวดความหล่อแข่งกันไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชนะ
               ผมได้คำตอบทันทีที่เดินมาถึงหน้าร้านปิ้งย่างชั้นห้า แม้ผู้คนจะมากหน้าหลายตาแต่ก็มีอาจดึงดูดสายตาของผมมไปได้ ที่ริมระเบียง พี่ธันยืนเกาะราวเหล็กมองลงไปด้านล่าง แต่งชุดอย่างกับเพิ่งออกมาจากบ้าน เสื้อยืดสีขาวที่ร่นแขนยาวๆถึงข้อศอก กางเกงสีน้ำเงินขาสามส่วนพับขึ้นมาเหนือเข่าและรองเท้าแตะแบบสอด(น่าจะตราช้างดาว) จะชิลไปไหน ผมเพิ่งสังเกตอีกอย่างว่าพี่ธันใส่ตุ้มหูสีดำที่ติ่งหูข้างซ้าย เฟี๊ยวเงาะ
               “น้องไลท์” พี่วีทักขึ้นมา ลุกเดินออกมาจากม้านั่งหน้าร้าน(ผมไม่ทันมองคนอื่นๆอ่ะ)
               “แว่น!!” คำทักของคนหล่อสำหรับผมโดยเฉพาะ
               “ตะวัน เรียนเสร็จแล้วหรอ” มีการทักผมแล้วปล่อยเบลอด้วย
               “ใช่ครับ เพิ่งเลิกเลยเนี่ย ไม่รู้กลิ่นยังอยู่มั๊ย”
               “ไม่ใส่ชุดเชฟมาให้ดูเลยล่ะ วีอยากเห็น”
               “อืม พอดีมีแค่สองชุดเลยไม่อยากให้เปื้อน เอาเป็นว่าวันหลังตะวันจะถ่ายรูปตอนทำอาหารมาให้ดูแล้วกัน ตลกมากเลย วันนี้โดนเชฟใหญ่ดึงหูยานด้วย”
               “ทำไม เกเรรึไง”
               “เปล่า ไม่ใช่หรอก แค่จำเครื่องปรุงผิดน่ะ เครื่องปรุงมันแพง ผิดไปสองครั้งโดนไล่ไปปอกมันฝรั่ง โคตรอาย...”
               ผมช็อกสิครับ ไม่เคยเห็นไอ้ตะวันมันคุยกับใครแบบนั้นมาก่อน บทสนทนากับใบหน้าเจือรอยยิ้มที่สดใส… นี่มันเรื่องอะหยังก่ะ? ไปรู้จักกันดีแบบนี้ตอนไหนนะ ให้ตายเหอะ ผมต้องรู้ให้ได้
               “ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านหรอ”
               “อะไรนะ?”
               “กูถามว่ามึงชอบเสือกเรื่องชาวบ้านหรอครับ” อื้อหือ ไอ้พี่ธัน ด่าเจ็บมากอ่ะ เรื่องชาวบ้านที่ไหน เรื่องเพื่อนต่างหาก
               เจ้าตัวยืนพูดกับผมธรรมดา หน้าตาออกจะนิ่งๆไม่รู้เซ็งหรือนี่เป็นหน้าปกติของพี่แกอยู่แล้ว “ไม่อยากมาจะมาทำไมเนี่ย” ผมถามออกไปโต้งๆ และเป็นคำถามที่ทำร้ายใจตัวเองมาก หากเขาตอบว่าไม่อยากมา ผมคงลงไปนอนดิ้นตาย “ให้พี่วีเลี้ยงคนเดียวก็ได้”
               “มึงไม่อยากให้กูมาหรอ”
               อืม!  บ้า...ทำไมถามแบบนี้ละครับพี่ธัน จะให้ตอบว่าอยากก็จะดูอ่อยไปหน่อย “ก็...ไมใช่อย่างนั้น”
               “แล้วเป็นแบบไหนล่ะ อยากให้มา?.. หรือยังไง... หรืออยากให้มาใจจะขาด”
               เฮ้ย! นี่มันคำถามอะไรวะ “ก็อยากให้มาแหละ”
               “คิดถึงพี่หรอ”
               ...อึ้งสิครับ... คำๆนี้หลุดปากพี่แกออกมาให้ผมได้ยังไง นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ แกล้งผมเล่นอีกหรอ “ต้องการอะไรเนี่ย” ผมถามเขา
               “...คำว่าคิดถึง”
               และแล้วผมก็กำลังยืนอยู่บนยอดเขากับพี่ธัน ลมแรงๆพัดผ่านกายเราทั้งคู่ กลิ่นหอมของมวลดอกไม้และต้นหญ้าลอยคว้างอบอวล ทันใดนั้น... พี่ธันเดินเข้ามาชิดประชิดติดกาย สัมผัสอันอ่อนโยนของสองมือประคองใบหน้าผมช้าๆแล้วบรรจงประกบริมฝีปากอวบอิ่มของเขา...
               “เชี่ยยยยยย”
               “เป็นอะไรเนี่ย”พี่ธันดูตกใจมาก แต่ผมทนไม่ได้แล้ว ต้องหาที่สงบสติอารมณ์ ก่อนหัวใจ
จะวายเพราะสมองตัวเอง
               “พี่วี ได้โต๊ะแล้วบอกนะ ผมจะไปเข้าห้องน้ำ”
               ไม่รอคำตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น ผมวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันที

                           ---------------------------------------------------------------------------------------

                                                      [ต่อด้านล่างเน้อ]

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
                                                 [มาต่อกันทุกคน]


               หลังจากรอมาครึ่งชั่วโมง พวกเราจึงได้โต๊ะสำหรับแปดที่ ผู้ที่มาเพิ่มคือเพื่อนพี่ธัน ผมเพิ่งมานึกออกว่าสามคนนี้เป็นแก๊งเดียวกันกับเมื่อตอนเขาอยู่ม.ปลาย พี่คนนี้ชื่อพี่วิว หนุ่มเจ้าสำราญที่มีแววตาทะเล้นทะลึ่ง มีใบหน้าและบุคลิกราวนายแบบ ทว่ากริยาอาการโดยรวมคล้ายลิงมาก  ทั้งสามคนนั่งฝั่งหนึ่ง ผม พี่ลิตเติ้ลและไอ้ตะวันนั่งอีกฝั่งหนึ่ง ผมให้เป็นฝ่ายน้ำเงิน พี่ธันเอาสีแดงไป ระหว่างนั้นผมไม่กล้ามองหน้าพี่ธันตรงๆจึงกวาดตามองบรรยากาศในร้านแทน ก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าร้านอาหารในห้างทั่วไป จะแปลกก็ตรงคนในร้าน มีจำนวนหนึ่งลอบมองมาที่โต๊ะของเราไม่วางตากันเลยทีเดียว ก็ดูแล้วนะ คนที่มากับผมวันนี้ทั้งหมดรวมกันก็ตั้งทีมเคป๊อบดังๆได้เลย(รวมตัวเองเข้าไปด้วย ฮ่าฮ่า) แต่ดูเหมือนทุกคนเคยชินกับมันหมดแล้วนะ ยกเว้นผม
               เพราะต้องมานั่งตรงข้ามกับพี่ธัน ตลอดเวลาที่นั่งรอชุดเนื้อมาปิ้ง ผมไม่ได้มองหน้าเขาเลย ในขณะที่ตัวเขาเอาแต่จ้องผมไม่วางสายตา ผมไม่เข้าใจอาการนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ที่เคยเจอคือตอนโดนจิ๊กโก๋หาเรื่อง แต่กรณีนี้คงไม่ใช่ มั้ง
               “เป็นอะไรน้องไลท์” พี่ลิตเติ้ลนั่งข้างผม ส่วนเพื่อนผมหรอ...โน่น มันนั่งริมนอกสุด กำลังคุยกับพี่วีอย่างออกรส รู้ตัวอีกทีผมก็แอบฟังเสียแล้ว แต่เพราะตั้งใจฟังมากเลยยื่นหน้าไปใกล้พี่ลิตเติ้ลเกินไปหน่อย “แอบอะไรวะ???”
               “อย่าเบี่ยงตัวหลบสิพี่ ผมแอบฟังอยู่”
               “น้องมึงหรอลิตเติ้ล”
               “ช่ายยยย น้องรหัส....” พี่ลิตเติ้ลกำลังเล่นโทรศัพท์เพลินๆ คงจะตอบออกมาโดยไม่ได้คิด สะดุ้งตกใจเล็กน้อยหลังสิ้นเสียงคำตอบตัวเอง “เฮ้ย ฉิบหาย!”
               อ้อ พี่รหัสผมนี่เอง “จริงหรอพี่... พี่เป็นพี่รหัสผมหรอ” ไก่หลุดออกมาแล้วตัวหนึ่ง หึหึ
               “เออ ใช่มั้ง” พี่ลิตเติ้ลดูเขิน...ขนาดอายยังน่ารัก
               “ผมดีใจนะเนี่ย พี่อยู่ปีสามใช่ป่ะ ปีห้าก็คงเป็นพี่วีรึเปล่า???” หลอกถามแม่งเลย
               “ทำไมคิดงั้นวะ”
               “ก็แหม่ พี่ลิตเติ้ลก็น่ารัก พี่วีก็โคตรดี ได้ทั้งคู่นี่ผมคงปิดซอยแถวบ้านฉลอง”
               “มึงไม่อยากได้กูเป็นพี่รหัสบ้างหรอ?” เสียงวิ้งๆหึ่งๆดังขึ้นใกล้ๆ ผมทำหน้าไม่สนใจแต่จริงๆโคตรดีใจ ถามแบบนี้คืออยากได้ไปดูแลใช่รึเปล่า
               “พี่วีครับ พี่วีเป็นพี่รหัสผมใช่ป่ะ”
               พี่วีคุยกับไอ้ตะวันอีกสองสามคำกว่าจะหันมาทำหน้าเหรอหราใส่ ได้ยินว่าเป็นเรื่องร้านอาหาร “อะไรนะ??” เขาไม่ได้ฟังเลย
               “พี่วีเป็นพี่รหัสผมใช่ป่ะ” ผมถามซ้ำ
               “ทำไมคิดงั้นวะ ไม่อยากได้ไอ้ธันเป็นพี่รหัสมึงบ้างหรอ”
               เวร อวยกันเข้าไป ผมต้องตอบว่า ‘ใช่’  ใช่หรือไม่
               “ว่าไง หน่อมแน้ม อยากได้กูเป็นพี่รหัสหรือเปล่า” ไอ้บ้า อย่าถามด้วยเสียงกึ่งอ้อนแบบนั้นสิ
               “ไม่” ผมตอบสั้นๆนี่แหละ ไม่รู้สิ ใจมันก็อยากอยู่นะ แต่ผมไม่อยากยอมมันอ่ะ
               พี่วิวที่มองดูฉากนี้แบบเงียบๆหัวเราะเสียงสั่น “ฮ่าฮ่า ไอ้ธัน กูเพิ่งเห็นมึงโดนคนเขาเมินก็คราวนี้แหละวะ ไม่น่าเชื่อว่าหล่อลากไส้แบบมึงจะมีวันแบบนี้ สะใจจริงๆ”
               “เงียบไปไอ้วิว ไอ้สัด” ถึงจะโดนขัดใจแต่พี่ธันก็ยังดูอารมณ์ปกติ
               ผมมองพี่ธันที่ตอนนี้กำลังทำตัวสบายใจ ท่าทางที่ผ่อนคลายของเขาสร้างความอ่อนโยนให้กับภาพลักษณ์พี่ธันวาในใจของผม พลันก็ปรากฏความรู้สึกอบอุ่น ไม่ต่างจากการเล่นเปียโนเพลงสบายๆใต้ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังไหวเอนเพราะสายลม ภาพนั้นมีพี่ธันนั่งพิงหลัง คอยติดตามฟังทุกจังหวะที่ผมกรีดกดลิ่มนิ้วบอกเล่าเสียงหัวใจออกมา แม้จะแค่ในฝัน แต่ก็ทำให้มีความสุขได้มากมายนัก
               แล้วกระบะสีแดงก็มาถึงโต๊ะโดยพนักงานสาวหน้าง่วง เนื้อแผ่นบางถูกจ้วงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะตั้งลงบนโต๊ะเสียอีก พี่วีด่าลั่นบอกพี่ธันกับพี่วิวว่าอย่าห่วงแต่แดก ส่วนผมก็ถือตะเกียบเฉยๆ ลังเลว่าจะเข้าไปร่วมวงอีแร้งตอนไหน ในเมื่อเตาฝั่งผมมีคนกินถึงสี่คน ปล่อยให้พี่วีกับไอ้ตะวันนั่งกินสบายใจกันสองต่อสอง
               แต่ความอยากกินของผมมันยังไม่บังเกิด เพราะความคิดเมื่อครู่ทำให้ผมรู้สึกบางอย่างกับพี่ธัน—มันเป็นคำถาม--ผมรู้ว่ามีโอกาสน้อยแค่ไหนที่เขาจะคิดแบบเดียวกัน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่ธันมีแฟนแล้วหรือเปล่า เขาอาจจะชอบคนอื่นอยู่ก่อนแล้วก็ได้... เอาง่ายๆอย่างเรื่องที่คนหล่อๆแมนๆอย่างพี่ธันจะมาชอบผู้ชายเหมือนกันมันก็เป็นไปได้ยากแล้ว บางครั้งก็คิดว่ามันถูกต้องแล้วหรือที่ต้องมานั่งรอให้เขามาสนใจ ทั้งที่สายตาที่มองมาอาจจะเป็นแค่คนที่รู้จักกันเฉยๆไปตลอด คิดแล้วก็เจ็บ
              “ไม่กินหรอไลท์” พี่ลิเติ้ลกระทุ้งศอก คงเพราะเห็นผมนิ่งไป
               ผมสบัดหัวเอาความคิดที่ควบคุมไม่ได้ทิ้งไปให้หมดแล้วจ้วงเนื้อแผ่นลงไปย่างบ้าง เนื้อสีชมพูสดเมื่อเจอกับไฟแรงก็อ่อนยวบ น้ำมันเยิ้มๆเริ่มซึมออกมา หยดลงบนเตาส่งเสียงดัง ฉ่า “หอมจัง...”
               “ใครหอม” ไอ้พี่ธันยังไม่เลิก ยังไม่เลิกหลงตัวเอง
               “กินไป อย่าพล่าม” ผมบอก
               เนื้อที่เปลี่ยนสีและไหม้ขอบนิดๆ ส่งกลิ่นหอมจนผมอดใจไม่ไหว ผมซึ่งอุตส่าห์วางเรียงชิ้นเนื้อซะสวยงามเพื่อให้เวลาสุกจะได้ไม่พร้อมกัน ตอนนี้คีบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง หย่อนลงน้ำจิ้มและลิ้มรสความหวานมันที่แผ่ซ่านอยู่ในปาก(นี่คิดว่าตัวเองเป็นดารารึไง)
               อารมณ์ดับวูบทันทีที่ลืมตา ผมกำลังเผชิญกับฝูงไฮยีน่าจากแอฟริกาใต้ ไม่รู้ตายอดตายอยากกันมาจากไหน
               แล้วพี่ธันมันก็ใช้ตะเกียบคว้าหมับที่ชิ้นเนื้อบนเตาที่ผมบรรจงเรียงไว้ เส้นประสาทขึงตึงทันที เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องกินผมไม่ยอม “เฮ้ย  พี่ธัน นั่นของไลท์นะ” พี่ธันทำหน้าหาเรื่อง ยักคิ้วให้หนึ่งจึ้ก
               “ขอนะ...”
               ฝันไปเหอะ
               ฝีมือตะเกียบผมไม่ใช่กระจอก ตะปบจับแย่งคืนได้ทัน พี่ธันจ้องตาโต ใช้แรงนิ้วหนีบตะเกียบของผมแน่นจนดึงไม่ออก แต่กลับปล่อยกะทันหัน มือที่ออกแรงดึงอย่างเดียวของผมจึงปล่อยชิ้นเนื้อตกลงเตาอีกครั้ง...
               “ทำอะไรกันวะพวกมึง” พี่วิวทำหน้างงใส่ผมสองคน ตอนนี้ทุกสายตาหันมามองกันหมดแล้ว
               ...ต่อไปนี้คือการประลองตะเกียบแห่งเขาหัวซานอันลือลั่น...
               ผมขยับก่อน พุ่งตะเกียบปานสายฟ้าแลบลงไปคีบอย่างแม่นยำ พี่ธันช้ากว่าแต่หนีบเนื้อไว้กับตะแกรงย่างแน่นทำให้ลื่นหลุดจากตะเกียบ ฝ่ายพี่ธันก็ตวัดเข้าตัวอย่างรวดเร็วจนผมต้องคีบตะเกียบพี่เขาแทน ใช้แรงรูดเนื้อติดมาได้  แต่พี่ธันก็ไวมาก ทิ่มตะเกียบเข้าช่องตะเกียบผมถ่างออก แรงมากจนเนื้อตกลงบนเตาอีกครั้ง ตะเกียบพี่ธันตามลงไปคีบไว้แล้วดึงเข้าหาตัวพี่เขาในลักษณะคว่ำมือ แย่แน่ ผมจำใจต้องใช้ตะเกียบเกี่ยวตะเกียบเขาไว้ ตอนนี้พี่ธันกับผมจึงประลองกำลังกันอยู่เหนือเตา ผมรู้ทันทีว่าสู้แรงเขาไม่ได้และรู้อีกด้วยว่าถ้าเขาหงายฝ่ามือขึ้นผมจะแพ้ ผมจึงใช้มืออีกข้างจับมือแม่งเลย
               “เฮ้ย ขี้โกงหรอเรา” พี่ธันตกใจเล็กน้อย หลุดจะขำออกมาด้วย ผมยักคิ้วให้จึ้กหนึ่ง
               แล้วพี่ธันก็ปล่อยชิ้นเนื้อ ผมไม่ยอมเสียท่าปล่อยมือพี่แกแน่ จากนั้นก็ใช้ตะเกียบตัวเองคีบเนื้อบนเตาเพื่อที่จะเอาเข้าปากอย่างคนได้รับชัยชนะ
               แต่ทันใดนั้น....
               มือข้างที่ว่างอยู่ของพี่ธันพุ่งมาคว้ามือผมไว้แล้วดึง ป้อนเนื้อใส่ปากตัวเอง
               “ไอ้พี่ธัน” ผมอึ้งสิ อึ้งหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเขาจับมือผมป้อนเนื้อเข้าปากตัวเอง หนำซ้ำยังไม่ยอมปล่อยมือผมอีก สัมผัสอุ่นๆในอุ้งมือใหญ่หนากำลังสะกดใจผม จึงไม่รู้จะโมโหหรือเขินดี
               “เฮ้ย จบแล้วหรอ สั้นจังวะ” พี่วีถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่ที่ผมกับพี่ธัน คงกำลังถ่ายคลิป
               “ไอ้พี่วี ถ่ายคลิปหรอ” ทุกคนหัวเราะกันคิกคัก
               “พวกมึงตลกดีว่ะ” พี่วิวพูด “มึงก็แปลกๆนะไอ้ไลท์”
               ผมมองหน้าพี่วิวแบบงงๆ กำลังคิดอยู่ว่าเขาหมายความว่ายังไง
               “แล้วนั่นจะปล่อยมือกันได้รึยัง” ไอ้ตะวันทักขึ้นมา พี่ธันจึงค่อยๆปล่อยมือในขณะที่ผมยังไม่ได้ออกแรงดึงสักนิด
               ใช่สินะ คงไม่อยากจับมือผมเท่าไหร่หรอก
               หลังจากนั้นผมก็ก้มหน้ากินตามปกติ พี่วิวนี่สิ มีโทรศัพท์เข้ามาไม่หยุดหย่อน ชุมสายพี่แกคงจะมีสาวๆเพียบ ดูจากที่เป็นหนุ่มวิศวะหน้าตาดีกับความทะเล้น น่าจะเจ้าชู้ไก่แจ้ ช่างผิดกับพี่วีดีแท้ แล้วนายธันวาคนนี้จะเหมือนพี่วีแค่ไหนนะ แต่ผมว่าคงไม่ต่างจากพี่วิวหรอกมั้ง
               “สายไหม้แล้วมั้ง อีหนูคนไหนอีกล่ะ” พี่ลิตเติ้ลพูด น้ำเสียงเหมือนประชดชอบกล
               “อีหนูอะไร ไม่มี๊”
               “อย่ามาแก้ตัว อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว นี่เวลาสำหรับพี่น้อง โปรดให้เกียรติด้วยครับ” นี่ไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ พี่ลิตเติ้ลด่าจริงจัง
               “เผือกอีกแล้วหรอ” พี่ธันถาม ผมมองหน้าพี่เขาแวบเดียวก็ก้มหน้ากินของตัวเองต่อ ตอนนี้ในใจผมมันหงุดหงิดแปลกๆ  อาการเหมือนคนที่อารมณ์เสียเพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้ ยิ่งคิดเรื่องพี่ธันมันเจ้าชู้ก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก
               “มึงจะรีบกินไปไหน หิวหรอ”
               “ยุ่ง...”
               เมื่อกินเนื้อในถ้วยหมดผมก็เริ่มย่างอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังมีชิ้นเนื้อที่เคี้ยวไม่ทันเต็มปากเต็มแก้มไปหมด ถ้าส่องกระจกดูคงจะเห็นตัวเองฝึกวิชาคางคกพองลมแน่ๆ ไอ้พี่ธันจู่ๆก็เลิกกินแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น สงสัยจะลืมบอกสาวๆว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ผมก็ดันลืมตัวหยุดการกระทำทั้งหมด มองนิ่งด้วยความอยากรู้ แล้วในที่สุดก็รู้ว่าไอ้พี่ธันถ่ายรูปผม
               “พี่ธัน แอบถ่ายหรอ” ผมพยามจะแย่งโทรศัพท์ เพราะรูปเมื่อกี้ต้องเหี้ยมากแน่ๆ
               “เดี๋ยวดิ ฮ่าฮ่าฮ่า”
               “เอามานี่เลย พี่ธันนนน”
               “แม่ง เหมือนหมูตัวน้อยๆ ดูดิ แก้มตุ่ยเลย”
               “ไอ้พี่ธัน” มันยังไม่พอ ยื่นรูปให้ทุกคนในโต๊ะดู
               “เชี่ย เล่นอะไรกันเนี่ย” พี่วิวโวย พี่ลิตเติ้ลก็พลอยลำบากไปด้วย เพราะผมกำลังกระโดดแย่งมือถือจากพี่ธันจนจะข้ามโต๊ะอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขามีรูปอันทุเรศของผมอยู่ในโทรศัพท์อย่างไม่เต็มใจยิ่ง
               “พี่ดูสนิทกับไอ้ไลท์มันดีนะ เคยเจอกันมาก่อนหรอครับ” ลิตเติ้ลถาม ผมหันไปมองพี่ธันที่ดูเหมือนจะมองมาที่ผมเหมือนกัน
               “กูก็ว่างั้นแหละ... แต่เอ...” พี่วิวพาดแขนบนไหล่พี่ธันแพ่งมองผมอึดใจหนึ่ง “...ปกติเอ็งใส่แว่นป่ะ”
               “ใส่ครับ?” ถามเรื่องแว่นทำไม รึว่าพี่วิวจะจำตอนใส่แว่นได้ แต่เขาไม่เคยเจอผมตรงๆจะจำได้ยังไง
               พี่วิวไม่ได้ถามต่อ หันไปหาพี่ธันที่พยักหน้าให้ช้าๆแล้วหันกลับมาทำหน้าประหนึ่งนกกระจอกเทศตกใจ
               “อะไรหรอพี่?”
               “อ้อ..เปล่าหรอก ไม่มีอะไร จำหน้าคนผิดน่ะ” โกหก แก๊งนี้โกหกไม่เนียนเลยนะครับ มันต้องมีอะไรแน่ๆ
               ผมเลิกสนใจ หันมาตั้งใจกินก่อน ขณะที่กำลังคีบชิ้นเนื้อสุกจากเตาย่าง มันก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ไอ้พี่ธันนั่นแหละครับ มันไม่จบ จกเนื้อหนีทุกครั้งที่ผมจะคีบ ดูก็รู้ว่ากวนตีนอยู่ ผมไม่ได้มองหน้าพี่แกหรอก แต่เล่นแบบนี้สามสี่ครั้งผมจึงตบตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอันแสนจะยียวน....
               ผิดคาดครับ พี่ธันกำลังคีบชิ้นเนื้อนั้นแล้วยื่นมาใกล้กับหน้าผม
               “อ้าปาก...” คำนี้ไม่ได้ตะคอก ไม่ได้แกล้ง พี่ธันใช้เสียงทุ้มลึกพูด ผมก็อึ้งสิครับ เขาคงเดาว่าการเผยอปากแบบเหวอๆคือการยินยอม ป้อนเนื้อย่างให้อย่างเบามือ
               “มึงจะเหวออะไรขนาดนั้น” พี่ธันพูด เนื่องจากอึ้ง เขิน และมีอาหารอยู่ในปากจึงไม่ได้ตอบว่าอะไรทั้งนั้น
               “สองคนนี้ยังไงเนี่ย จีบกันหรอ” พี่ลิตเติ้ลแซว ผมมองหน้าพี่ลิตเติ้ลแบบงงๆแล้วหันกลับไปหาพี่ธันที่ตอนนี้กำลังยิ้มน้อยๆที่มุมปาก น่ารักเชี่ยๆ
               ประเด็นก็คือ ถ้าผมไม่ได้ชอบไอ้พี่ธัน เรื่องแค่ป้อนอาหารคงไม่ถึงกับทำให้รู้สึกร้อนผ่าวอะไรขนาดนี้ เอาง่ายๆนะ สมมุติว่าคุณเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ณเดชมาก คุณตามไปดูเขา รู้หลายๆเรื่องเกี่ยวกับเขา อยากให้เขามาสนใจ แต่ลึกๆคุณจะรู้ตัวเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งจู่ๆวันหนึ่งคุณได้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับเขาสองคน แล้วณเดชที่คุณแสนรักก็กำลังป้อนคุณ ใช้น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน แค่คิดก็ฟินตายห่าไปแล้ว และตอนนี้ผมก็รู้สึกคล้ายๆแบบนั้นเลยแหละ
               ...ในโมเมนท์เล็กๆนี้ ผมได้แอบคิดไปเองแล้วว่าตัวเองอาจมีความหวังอยู่บ้าง...
               เพราะอะไรน่ะหรอ  ก็เพราะผู้ชายที่ไหนเขาจะมาป้อนข้าวให้ผู้ชายด้วยกัน บ้ารึเปล่า
               ผมไม่มีอะไรจะทำแก้เขินสายตาของพี่ธันได้เลยในเวลานั้น เลยคิดจะลุกออกไปกดน้ำดื่ม แต่พี่ลิตเติ้ลขวางอยู่ เขาบอกขอเวลาสักครู่ เพราะกำลังกดโทรศัพท์ไม่วางมือเลย
               “พี่ลิตเติ้ล” ผมเซ้าซี้
               “เออๆๆ  ใจร้อนจริงเว้ย” ก็แน่ล่ะ ผมเขินอยู่นิพี่
               แล้วก็เห็นพี่วิวเอื้อมมือข้ามโต๊ะมา ตอนแรกนึกว่าจะเรียกผม ที่ไหนได้... เขาคว้าโทรศัพท์จากมือพี่ลิตเติ้ลไปเฉย
               “เฮ้ย เอาคืนมา” บางครั้งผมก็สงสัยว่าเสียงแข็งกร้าวที่เด็กสถาปัตย์ปีสามจะพูดกับเด็กวิศวะปีสี่ที่อายุเท่ากับปีห้านั้นฟังดูแปลกๆ แต่การไม่มีใครเอะใจนั่นอาจหมายถึงพวกเขาชินเสียแล้วก็ได้
               “ทำเป็นว่าคนอื่น ตัวเองก็แชตกับสาวไม่วางมือ สาด”
               “ไม่ใช่เว้ย นั่นเพื่อน เอาคืนมาก่อน”
               “เชี่ย เพื่อนแม่งน่ารักว่ะ ใช่เพื่อนจริงปะเนี่ย”
               “สัดวิว...”
               พี่วิวนี่ก็กวนตีนไม่แพ้พี่ธันสักนิด เผลอๆอาจจะขี้แกล้งมากกว่าเสียอีก เพราะตอนนี้ผมสังเกตได้ว่าพี่วิวพิมพ์อะไรก็ไม่รู้ลงไปบนจอ
               “เชี่ย อย่าแกล้งกันดิ” พี่ลิตเติ้ลโวยวาย
               “ไปเอาน้ำส้มให้ก่อน” พี่วิวยื่นเงื่อนไขมาซะละ แม่งร้าย พี่ลิตเติ้ลคงจะรู้ว่าพยายามแย่งกลับก็ไม่เป็นผลเลยยอมแพ้ ...ไม่เป็นไรพี่ ผมช่วย...
               “ผมไปเอาให้ก็ได้ครับ”
               “ไม่ได้ ห้ามใช้ตัวช่วย” พี่วิวปรามซะผมหัวหด สายตาโคตรดุ
               “ให้มันน้อยๆหน่อย” พี่ธันโบกหัวพี่วิวดังเพี๊ยะ น่าขำกับฉากตรงหน้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ธันแกจะดูเรื่องกาละเทสะเป็น
               “ก็ได้วะ” พี่ลิตเติ้ลลุกในที่สุด จังหวะนั้นผมหันไปหาพี่ธันแล้วทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ทำมาก่อน
               “พี่ธัน...” เป็นครั้งแรกที่ผมใช้น้ำเสียงปกติ เขินปากตังเองไม่น้อยเลย “เอาน้ำอะไรรึเปล่า”
               พี่ธันดูมึนไปเล็กน้อย “เอา..เอ่อ... เหมือนมึงแล้วกัน”
               “พั้นช์นะ”
               “...อื้ม”
               “......” พี่ธันยังคงจ้องผมนิ่ง นั่นยิ่งทำให้ใจเต้นเร็วเข้าไปอีก “แก้วล่ะ เอามาสิ”
               “อ๋อ เออเว้ย” หยิบส่งให้ได้สักที
               ผมกับพี่ลิตเติ้ลเดินผ่านหน้าไอ้ตะวันที่ ‘ลืมเพื่อนไปแล้ว’ ออกไป ผมหายเขินระดับหนึ่งแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องซึมเซา เวลาคุณแอบรักใครมานานคุณจะรู้เองว่าความหวังเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเผื่อใจว่ายังไงคุณก็ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอย่างอื่น แต่ก็เลิกคิดถึงเขาไม่ได้สักที เจอหน้าเมื่อไหร่ก็คิดขึ้นมาอีก บางทีก็อยากหายตัวไปซะ
               ผมมายืนเหม่ออยู่ตรงตู้กดน้ำนานมากจนมีคนเดินเข้ามาข้างๆ เป็นผู้หญิงแสนสวยที่มีผมยาวงาม จะไม่ชอบเธอก็ตรงกระโปรงสั้นเสมอ...นั่นแหละ ไม่หวงเนื้อหวงตัวกันหรือยังไงผู้หญิงสมัยนี้ ผู้ชายดีๆที่ไหนเขาจะมาเห็นค่า
               “สวัสดีค่ะ”
               ห๊ะ นี่ทักผมหรอ แต่รอบข้างก็ไม่มีใครแล้วนี่นา...อย่าบอกนะว่าผมเป็นเป้าหมายเธอ “ครับ สวัสดีครับ”
               “มาจากไหนกันหรอคะ เป็นแก๊งเชียว” เธอคงถามถึงโต๊ะผม ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก...
               “จากมหาลัยxxx ครับ มีอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงห้วนๆนี่ไม่ใช่หาเรื่องนะ ผมถามธรรมดา
               “ก็แหม...นานทีจะได้เจอคิ้วท์บอยตัวเป็นๆหลายคนขนาดนี้ พี่ก็อยากรู้จักไว้” อุวะ แสดงว่าไอ้ที่มากับผมนี่ ถ้าไม่นับไอ้ตะวันก็คงขึ้นคิ้วท์บอยกันทุกคนแน่ๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะเธอจ๋า.. เธอบอกว่ารู้จักคิ้วท์บอยบนโต๊ะนั่น แต่ไม่รู้ว่ากรูมาจากไหนเนี่ยนะ!!!...
               เอาเหอะ อย่าคิดมากเลยไอ้ไลท์ มึงไม่ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครต้องคบใคร แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครเข้าไปจีบพี่ธันอยู่ดี
               “จะเข้าไปทักก็ได้นะครับ” ผมบอกเธอไปอย่างนั้น แต่ตัวเองรอดูอยู่ที่เดิม เห็นเธอเดินนวยนาดเข้าไปหาพวกพี่ธัน เธอก็ใจกล้าจริงๆ ยื่นมือให้ทุกคนสัมผัส ไอ้คนที่โต๊ะก็ดูจะกระตือรือร้นเกินหน้าเกินตา ผมละสายตามาที่เครื่องกดน้ำอีกครั้ง ไม่อยากมองอีก จนกระทั่งคุณเธอผละออกไปแล้วถึงได้เดินกลับไป
               พอถึงโต๊ะก็เริ่มเลย จากที่ตั้งใจจะไม่คิด ไม่พูดอะไร แต่ด้วยความปากไวเป็นทุนเดิม แสร้งยิ้มได้นิดหนึ่ง สูดหายใจเข้า และ...
               “มีความสุขกันใหญ่เลยนะ ชอบล่ะสิ อวบอึ๋ม สเปคคิ้วท์บอย” นี่กูพูดอะไรออกไปวะ ฟังแล้วเหมือนกับผมกำลังหึงผู้ชายทุกคนบนโต๊ะ บ้ามาก
               “มึงพูดถึงใครวะ” ไอ้ตะวันเงยหน้ามอง
               “นั่นดิ มึงหมายถึงใคร?” พี่วีก็ช่วยสร้างความอับอายเข้าไปสิ
               “จะใครล่ะ...” คำนี้พี่ลิตเติ้ลเป็นคนพูดนะครับ ตอนแรกนึกว่าเขารู้เรื่องที่ผมชอบพี่ธัน แต่ไม่ใช่ เขากำลังมองหน้าพี่วิวอยู่ “คิ้วท์บอยเพลบอยในนี้ก็มีมันคนเดียวนี่แหละ”
               “อ้าว ไอ้คุณน้อง ก็เค้าอยากให้มอง คุณกูก็ต้องมองสิครับ” พี่วิวเถียงพี่ลิตเติ้ลด้วยท่าทางจริงจัง “คุณมึงก็เถอะไอ้ลิตเติ้ล มองตาเป็นเผือกจนเขี้ยวมึงจะเฉาะนมเขาอยู่แล้ว กูเห็นนะเว้ย”
               “แต่...ยังไงผมก็ไม่ได้ออกนอกหน้าเหมือนพี่ล่ะวะ” พี่ลิตเติ้ลเถียงเสียงแข็ง
               “ทำเป็นพูดดี ไอ้พวกนิ่งๆไม่แสดงออกนี่แหละ ลับหลังฟาดเรียบนะครับคุณผู้ชม”
               นี่มันกลายเป็นแบบนี้ได้เยี่ยงไรเล่าครับ ผมนี่กลายเป็นบาร์บิกอนหน้าร้านบาร์บีคิวเลย ทุกคนเฮฮามากขึ้นสิบจุดจนผมอดขำตามไม่ได้ ทว่ารอยยิ้มผมเจื่อนลงบ้างก็ตอนมองไอ้พี่ธันเนี่ยแหละ นั่งนิ่งๆยิ้มเรียบๆแบบนั้น คงฟาดเรียบมาเยอะแล้วสินะ
               “อย่าเพิ่งหลงประเด็นครับทุกคน...” พี่วีขัดขึ้นมา ทุกคนจึงตั้งใจฟัง “น้องไลท์ พี่คิดว่าเราต้องเคลียร์นะ สรุปเมื่อครู่น้องกำลังหมายถึงใครครับผม”
               ทุกคนทำหน้าเหมือนลุ้นมาก มีแต่ไอ้พี่ธันที่ไม่สนใจ ก็ถูกแล้วป่ะวะ งั้นก็ไม่ขอพูดถึง แต่อย่างน้อยสั่งสอนพวกโตแต่ตัวนี่หน่อย(ถุย ว่าตัวเอง)
               “ผมก็พูดเผื่อพวกพี่นั่นแหละ ทำเจ้าชู้หลายใจ ระวังพอเจอคนที่ใช่เครดิตมันจะตกนะ” อีกอย่าง ในเมื่อคนๆหนึ่งมีใจเดียวก็ควรจะรักเดียวป่ะวะ ในเมื่อป๊ายังมีม๊าแค่คนเดียว ทำไมผมจะเป็นแบบนั้นบ้างไม่ได้
               “โอ๊ยไอ้ไลท์” พี่วิวเถียง “มึงก็จริงจังไป กูก็ต้องลองคบหลายๆคนดูจะได้รู้ไงว่าใครคือคนที่ใช่ ฟาย” ด่ากลับอีก ผมรู้แล้วว่าคนแบบนี้ต้องพูดทำนองนี้ ฉะนั้น...
               “แล้วพี่ไม่คิดบ้างหรอว่าบางทีคนที่ใช่สำหรับพี่อาจจะกำลังดูพี่อยู่ แล้วพอเขามาเห็นพี่ทำตัวเสเพลเขาจะเปลี่ยนใจน่ะ”
                อึ้งสิ อึ้งกันไป สุดท้ายไอ้พี่วิวก็ทำหน้าเห็นด้วย และตอนนี้พี่ธันก็หันมาทำหน้านิ่งๆใส่ผม ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ พี่วีซะอีกที่ทำหน้าแปลกใจ กึ่งยิ้มกึ่งสงสัย
               “นี่น้องไลท์กำลังจะพูดว่า น้องไม่ชอบคนหลายใจใช่มั๊ย”
               “เอ่อ...ประมาณนั้นมั้งครับ” ผมชำเลืองมองหน้าพี่ธันที่มัวแต่ซุบซิบกับพี่วิว
               “ไอ้ไลท์มันรักเดียวใจเดียวครับวี...” ผมมองหน้ามัน รู้ว่ามันกำลังพูดให้ใครบางคนในนี้ที่ไม่ใช่พี่วีฟัง “ตะวันว่า ถ้ามันไม่ได้อยู่กับคนที่มันรักจริงๆ มันก็คงต้องโสดไปชั่วชีวิต”
               ทุกคนเงียบ
               “เอาใจพี่ไปเลยน้องรัก มึงแม่ง...” พี่ลิตเติ้ลชมผม(ด้วยความจริงใจหรือเปล่า)
               “ต้องซิงไปชั่วชีวิตด้วยหรอ??” อ้าว ไอ้พี่วิว
               “ก็....” ถึงตอนนี้ผมเริ่มไม่อยากสร้างกำแพงหรือข้อผูกมัดให้พี่ธันอีก ไม่รู้สิ ผมไม่ใช่คนที่ให้อภัยคนไม่ได้ “ไม่ขนาดนั้นพี่วิว ผมไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ผมรู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก ที่จะบอกคือตัวผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแค่นี้แหละ อย่าจริงจังกับคำพูดผมมากเลย”
               “ใครจะไปมักมากเหมือนมึงล่ะครับไอ้คุณพี่วิว สาดดด” พี่ลิตเติ้ลขว้างเศษผักใส่พี่วิว “ทำน้องผมเครียด มันใช่เรื่องมั๊ย”
               พี่สองคนนี้ตีกันอีกแล้ว แต่ในที่สุดพี่วีก็ประกาศ “เอาล่ะ เงินก็จ่ายแล้วนะ มีใครยังไม่อิ่มมั๊ย” ไม่มีใครเอ่ย “น้องไลท์ อิ่มมั๊ยครับ”
               จะพุงแตกตายแล้ว อ้วนแน่ๆ “อิ่มแล้วพี่ ขอบคุณมากนะครับ”
               “งั้นคุณมึงทั้งหลายไปรอข้างนอกกันก่อนนะ เดี่ยวรวีคนนี้จะรอใบเสร็จกับเงินทอน”
               “เป็นติ๊ปส์ไปไม่ได้หรอ ไหนๆวันนี้ไอ้ธันมันก็มีความสุขกว่าทุกวัน” พี่วิวกอดคอพี่ธันแล้วเอามือจิ้มแก้ม ฝ่ายถูกกระทำนี่ก็แปลก นิ่งยังกะรูปปั้น “ดูสิ นิ่งเลย ไม่หือไม่อือ เขินหรอจ๊ะตะเอง” คราวนี้ถึงตาพี่วิวต้องหลบหมัดสายฟ้าพี่ธันบ้าง ณ โมเมนท์นี้ทำผมยิ้มได้แหะ
               “นิ่งมากๆ ระวังกินแห้วนะมึงไอ้ธัน” พี่วีกระแซะ นี่พวกเขาพูดเรื่องอะไรกันรือ
               “ไม่ต้องห่วงครับ...” ไอ้ตะวันตามมากอดคอผมแน่น “ผมว่าพี่ธันไม่น่าจะแห้วหรอก”
               อะไรแห้ววะพวกเมิง พูดให้คุณกูเข้าใจหน่อยเด๊ะ “พี่วีครับ เงินทอนล่ะ” ผมเตือน
               
               “เออว่ะ...ลืม” ให้มันได้อย่างนี้สิน่า


                                ------------------------------------------------------------------------------------


               ที่ลานจอดรถ เราแยกกันเป็นสองกลุ่มเหมือนตอนมา ต่างคนโบกมือลาแยกย้ายกันปกติ
               “ไปแล้วนะน้องไลท์ แล้วเจอกัน” พี่วิวพูดแล้วคล้องคอพี่ลิตเติ้ลลากไปด้วย พี่วีวิ่งไปที่รถก่อนแล้วเช่นเดียวกับไอ้ตะวันที่ไปเปิดรถตัวเอง ผมกำลังจะเดินไปหามัน พอดีกับที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
               “เอ่อ... ไลท์”
               แวบแรกที่ผมค่อยๆหันไปก็ยังสงสัยอยู่ว่าใครใช้น้ำเสียงแบบนั้นเรียก เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ธันจะเอ่ยถ้อยคำใดที่แสนจะอบอุ่นออกมาได้
               “ครับ” และตอนนี้มันก็ทำให้ผมเผลอแสดงความรักของผมที่มีต่อเขาออกมา นั่นคือสายตาโหยหาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ
               “ไว้เจอกัน...ที่สตูฯนะ”
               นี่แสดงว่าอยากเจอกันอีกใช่รึเปล่า ผมคิดไปเองใช่มั๊ยว่าพี่ธันมีความรู้สึกดีๆต่อผม
               “พี่ธัน...ผม...”
               “ว่าไง?”
               “ขอบคุณนะ แล้วก็....” ตอนนี้ผมอยากจะมุดดินหนีแล้ว “...ผมจะรอ”
               แล้วผมก็วิ่งจู๊ดไปที่รถไอ้ตะวันทันทีโดยไม่หันกลับ พอขึ้นรถก็เอาแต่ปิดหน้าปิดตาซ่อนอาการขนลุกจากการสารภาพความรู้สึกออกไป ทว่าผมยังอยากรู้ปฏิกริยาของคนที่ผมชอบ ตอนที่แอบเหลือบมองกระจกข้างก่อนที่รถจะเลี้ยวออกถนนใหญ่นั้น พี่ธันยังคงยืนมองมา  เขายังอยู่ตรงนั้น กลางสนามบาสเมื่อหกปีก่อน เขามองมาที่ผมซึ่งยืนแยกตัวโดดเดี่ยวอยู่ใต้ร่มไม้นอกสนามทุกครั้งที่พี่ธันเล่นบาส


               และในครั้งนี้ เขาจะมองมาอีกครั้ง และรับรู้ว่าผมยังคงอยู่ที่เดิมเสมอ

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
               Mr.SCROMAN : อะไรกัน มาขนาดนี้แล้วจะยังวางฟอร์มอยู่ทำไม รึจะมีบางอย่างในใจที่ยังไม่เปิดเผย แต่ว่านะ                               
                                     เราอยากรู้จริงๆว่าธันวามีแฟนหรือยัง ....ส่วนไลท์เองน่าจะรุกมากกว่านี้นะ รึว่าหนูจะอยู่ในพวกที่จีบ
                                     คนอื่นไม่เป็นห๊ะลูก...อยากจะเพลียจริงๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มีวี กับตะวัน คอยชง ไม่แคล้วกันแน่
พี่ธัน ไลท์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รวีเป็นเพื่อนที่ดีของธันวานะ แต่ตะวันล่ะ...หนุ่มคนนี้หัวร้อนกว่าที่ใครๆคิด
 :katai4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อัพเดตชีวิตเด็กถาปัตย์


           "เฮ้ย ตื่นก่อน"
           วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่ธานินยังคงมิอยากขยับเขยื้อนเคลื่อนกายออกจากที่นอนนุ่มๆ เมื่อคืนเขาต้องหาข้อมมูลเพื่อประกอบการนำเสนอวิทยานิพนธ์ยันตีสี่ การรีบร้อนออกมารับแสงยามเช้าจึงยังมิใช่สิ่งที่เขาคิดจะทำ
           "เชี่ย วันนี้น้องๆปีหนึ่งมีปรับพื้นนะเว้ย ไม่อยากไปแอ่วหรอ"
           ในขณะที่สมองเริ่มเชื่อมส่งกระแสไฟฟ้า ความจำของธานินค่อยๆเคลื่อนเลื่อนไหลเข้า ภาพของคำพูดตัวเองที่ให้เป็นมั่นเหมาะว่าอยากไปดูหน้าน้องรหัส ทว่าเวลานี้ สิ่งนั้นหมดความสำคัญไปกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์เสียแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างพวกนั้นคอยย้ำเตือนความอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วละก็...เขาคงจะตัดความสัมพันธ์กับเหล่าน้องๆทันที
           เอาเถอะ...นอนได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่งั้นก็ต้องโดนปลุกอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดีจะโดนทิ้งซะอีก
           ธานินสั่งการกล้ามเนื้อลีบๆให้ยันตัวเองขึ้นนั่ง อาการหัวหนักพันชั่งที่คุ้นเคยยังคงเล่นงาน จากนั้นไม่นาน ความพยายามช่วยให้หนังตาเบาขึ้น เงาเลือนลางที่เคลื่อนไปมาผ่านหางตา บ่งบอกว่าแจ๊สเพื่อนสนิทกำลังทำอะไรสักอย่าง กลิ่นสบู่หอมหมายถึงอาบน้ำแล้ว ไม่รู้เพื่อนคนนี้จะรีบไปไหน? เมื่อคืนก็เห็นไปดริ้งกับเพื่อนโรงเรียนเก่า...
           คนขี้สงสัยเอียงหัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถาม "มึงกลับมาเมื่อไหร่วะ"
           "ตีสามก็เลิกแล้ว" แจ๊สตอบคำถาม ธานินเห็นสภาพห้องโดยรวมชัดแล้ว จึงรู้ว่าเพื่อนเขากำลังเล่นโทรศัพท์พร้อมกับขยี้หัวเปียกๆของตัวเองด้วยผ้าขนหนูสีครีม
           "ตีสาม?..." เขาคำนวนสั้นๆอยู่ในหัวแล้วเกิดความแปลกใจ "แล้วทำไมกูไม่เห็นมึงล่ะ กูนอนตั้งตีห้า"
           "กูไปอยู่ที่อื่นไง"
           "ที่อื่น...ที่ไหน?" คนถามนั่งหัวยุ่งยังไม่ยอมลุกออกจากเตียง เขาพูดกับแผ่นหลังขาวของอีกฝ่าย ในใจเกิดความรู้สึกด้อยค่า เพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมาสามปีทำทีเหมือนกับว่าตัวเขาไม่น่าอยู่ด้วย ในขณะที่ในหัวประมวลเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ฉากสิบแปดบวกบางอย่างก็พุ่งเข้ามาดั่งแสงแฟรช "เฮ้ย อย่าบอกนะว่า..."
           "ไปอาบน้ำไป กูหิวข้าวแล้ว"
           ธานินสะบัดหัวปัดเรื่องส่วนตัวของเพื่อนออกไปจากสมอง ระอากับอาการหวงเพื่อนโดยไร้เหตุผลมาก เขาหันไปใช้วิธีเดิมในการเบี่ยงเบนความสนใจ มันคือ...วิทยานิพนธ์ ไม่ว่าใครเจอคำๆนี้เข้าไปเป็นต้องสะดุ้ง โดยเฉพาะเด็กสถาปัตย์
           กางเกงวอร์มกับเสื้อยืดสีเทาคือคอสตูมประจำกาย มันทั้งคล่องแคล่วและสะดวกสบายในความเห็นของธานิน เขาแบกกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กแล้วเดินตามเพื่อนลงไปนั่งที่ร้านอาหารหน้าหอพัก สั่งโจ๊กทรงเครื่องเสร็จก็ลุกไปหอบน้ำกลับมาตั้งที่โต๊ะ มือซนๆของเขาคว้าหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านทันควัน ก่อนที่ผู้มาใหม่หน้ายักษ์จะแย่งมันไป ส่วนเพื่อนสนิทเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา ธานินรู้ว่าเพื่อนตัวเองติดโซเชียลขนาดไหน เขาคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะที่เจ้าตัวมีความสามารถในการแยกประสาทและทักษะด้านข่าวสาร ซึ่งมันทดแทนในส่วนที่ผมขาดได้ ดังนั้นในความเห็นธานินแล้ว ที่ต้องทำตัวติดกัน จึงเป็นเรื่องดีมากกว่าร้าย
           "เห็นรูปน้องมึงรึยัง" แจ๊สแทรกคลื่นเสียงเข้าหูธานิน
           "ยัง?"
           ฝ่ายหนึ่งยื่นโทรศัพท์มาให้ธานินดู ภาพที่เห็นคือหน้าเพจเฟสบุ๊คที่รูปโปรไฟล์เป็นหญิงสาวหุ่นดี ผมยาวสวยของนางสร้างมนตร์เสน่ห์บางอย่างแก่ธานิน สเตตัสแต่ละรูปคือรอยยิ้มสดใสและการใช้ชีวิตที่น่าอิจฉา นี่ถ้าบอกว่าน้องเป็นนางแบบ ธานินก็พร้อมจะเชื่อ เวลานี้เองที่เขาเห็นด้วยกับคำเล่าลือเหล่านั้นด้วยใจจริง
           "สวยมั๊ย" แจ๊สถาม
           "อืม...สวย" ธานินตอบ "ได้ผู้หญิงสักทีนะ ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องมั๊ย"
           "กูสืบมาแล้ว น้องเป็นคนดี เก่งด้วย จบโรงเรียนเก่ามาด้วยเกรดเฉลี่ยสามจุดแปดห้า"
           "เชี่ย" เมื่อได้ยินก็ตกใจ เทียบกับธานินแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว "แรร์ไอเทมหรอ"
           "ไม่รู้ว่ะ" เพื่อนสนิทดึงโทรศัพท์กลับไปแล้ว "แต่กูอิจฉาโครต รหัสกูแม่งมีแต่ผู้ชาย"
           "ก็ดีไม่ใช่หรอ ได้มีแรงงานถึกๆคอยช่วยไง" ธานินออกความเห็น
           แจ๊สถอนหายใจแล้วมองหน้าเพื่อน "มึงมองตากูแล้วบอกมาว่าตรรกะนั้นมันใช้ได้กับเด็กถาปัตย์"
           ธานินหัวเราะออกมา แตาการสนทนาต้องหยุดลงเพราะความหิว ต่างฝ่ายต่างจ้วงโจ๊กควันกรุ่นทานด้วยความเร่งรีบ
           
           เรื่องบันเทิงแม้เพียงเล็กน้อยก็จำเป็นสำหรับชีวิตอันขมขื่นของเด็กสถาปัตยกรรม หลังจากเปิดเทอมแล้วคือช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ผู้ที่เอาชีวิตรอดมาถึงปีห้าได้จะรู้โดยสัญชาตญาณถึงเส้นทางการใช้ชีวิตอยู่กับงานตัวเอง แต่ละคนต่างมีทางหนีทีไล่ที่แตกต่างกันไป สำหรับธานิน กิจกรรม คือทางออกที่ดี เขาจะได้เจอพี่น้องเพื่อนฝูง หาเรื่องไร้สาระเข้าสมองเสียบ้าง
           ขณะนี้ธานินและเพื่อนตัวแสบมานั่งรวมกับน้องๆปีสองปีสาม พูดคุยสัพเพเหระ และกวาดตามองหาเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนออกจากหอ แต่เขาหาไม่เจอ จำนวนน้องเยอะเกินไปที่จะหา เขาจึงหันความสนใจไปยังหน้าแถวปีหนึ่ง พื้นที่ซึ่งมีไว้ให้แสดงออก และตอนนี้มีสาวสวยคนหนึ่งกำลังเต้นลีดโชว์ด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมง สาวสวยคนนี้มีใบหน้าเดียวกับนางแบบที่เขาเห็นจากจอมือถือ
           "เฮ้ย...นั่น" ธานินชี้ไม้ชี้มือ
           "เออ เชี่ย หุ่นดีฉิบหาย" แจ๊สใช้น้ำเสียงหื่นกระหายจนธานินต้องศอกเข้าที่หน้า
           "ส่องสาวหรอวะ?"
           เสียงผู้มาใหม่คุ้นหูจนสองสหายต้องแหงนหน้ามอง หนุ่มหล่อผู้มาใหม่ทั้งสูงทั้งดูดี และเป็นคนคุ้นเคย
           "อ้าว! ไอ้ธัน มาด้วยหรอวะ" ธานินทักทายเพื่อนด้วยความแปลกใจ คนตรงหน้าเขานี้ไม่เคยปรากฏตัวในกิจกรรมคณะในยามปกติ หนำซ้ำ...สีหน้านั้นคือสีหน้าที่แตกต่างออกไปจากที่เขาเคยรู้จัก
           "ทำอะไรกันอยู่" ธันวาคงหมายถึงกิจกรรมน้องๆ
           "ก็มีแนะนำตัว รับชื่อคณะ..."
           ข้อสังเกตหนึ่งอย่างคือ นายธันวามิได้ถามเพราะอยากรู้เรื่องจริงๆ ทั้งสายตาและความสนใจทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่เด็กคนหนึ่ง ธานินมองตามสายตาเพื่อนไปตกที่หนุ่มแว่นหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง
           "นั่นน้องรหัสมึงหรอ?" เขาถาม
           และรอยยิ้มคือสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเพื่อนข้างรหัสแน่ๆ ธานินคิดว่า เรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำบางอย่าง "ใช่ น้องรหัส..."
           "นี่ไอ้ธัน ปกติมึงไม่เห็นเคยมาดู...นี่อะไรวะ" แจ๊สโพล่งออกไป เท่าที่ธานินรู้ สองคนนี้ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ ต่างคนต่างไม่ชอบอากับปกริยาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งไม่เกรงใจใคร คนหนึ่งไม่สนใจโลก "เกิดอะไรขึ้นกับมึง"
           ธานินแปลกใจขึ้นอีกสิบเท่า เมื่อคนถูกถามยิ้มกว้างขึ้นมากกว่าเดิม เขาคิดว่าบางทีเพื่อนคนนี้อาจจะเสียสติไปแล้ว
           

           "ไม่มีอะไรมากหรอก" ธันวาเอ่ย "แค่คนนี้พิเศษกว่าทุกคน"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2017 10:43:30 โดย SCRO.Y.K. »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
6

ลิตเติ้ล : ลิตติ้ลพยากร




               แม่งเอ๊ย กลับมาวันแรกก็เมาเสียนี่ เพิ่งจะลงจากเครื่องไม่ถึงสองวัน เจอเรื่องไม่เป็นเรื่องซะแล้ว ไอ้ที่ตอนแรกแค่วางแผนจะมาดูหน้าน้องรหัส กลายเป็นเปิดรหัสไปเสียฉิบ นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้คาดไว้สักนิด
               แต่ผมก็แอบดีใจไม่น้อยที่มีน้องรหัสอย่างน้องไลท์ นอกจากน่ารักน่าดูแลแล้วยังดูนิสัยดีอีกด้วย ผมไม่ค่อยได้เห็นคนกล้าที่ตรงไปตรงมาแบบนั้นมากนัก อย่างว่าแหละ ใครจะกล้าพูดกับแก๊งสามนรกแบบนั้นทั้งที่ได้เจอกันไม่กี่ครั้ง เห็นแล้วอยากจะขำ ดูน้องเขาน่าจะรับมือกับความยียวนของพี่ธันได้ในระดับหนึ่ง เพราะผมไม่เคยเห็นเขาสนใจใครแบบนั้นมาก่อนแม้แต่กับน้องรหัสแท้ๆอย่างพี่เสือ เอาเข้าจริง สองคนนี้อาจจะเคยรู้จักกันในระดับที่ลึกมากๆ ผมเดา
               ทีกับคนอื่นนี่อย่าให้บอก นรกน้ำแข็งเดินได้ ไม่ใช่ฉายาที่กล่าวเกินจริงเลยไอ้พี่ธัน
               ผมเป็นพี่รหัสน้องไลท์ปีสามที่ต้องดูแลน้องปีหนึ่งแทนไอ้กระแตที่อยู่ปีสองเพราะมันดันซิ่วไปเรียนที่อื่น เปิดรหัสไปก่อนก็คงไม่เป็นอะไร อาจจะหมดเซอร์ไพรส์ไปหนึ่งเรื่อง แต่นั่นเป็นเรื่องดี ที่จริงผมไม่ค่อยชอบเรื่องเหนือความคาดหมายนัก มันทำให้อะไรวุ่นวายไปหมด ไอ้ที่วางแผนก็จะผิดพลาด เหมือนกับเสียเวลาที่เอาไปคิดอย่างเปล่าประโยชน์
               อย่างไอ้เชี่ยพี่วิวเนี่ยล่ะ เรื่องตอนทานข้าวยังไม่ทันหมดก็เอาเรื่องตอนกินเหล้าเข้ามาเสริมอีกละ
               ผมส่ายหัวน้อยๆแล้วเปิดคอมเพื่อลงทะเบียนเรียน ใช้เวลาระหว่างรอไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ทยอยกันกลับมาอยู่หอจัดการธุระส่วนตัว หรืออาจจะเป็นการถ่วงเวลาที่ต้องออกไปข้างนอก เอาเข้าจริงผมเบื่อเสียแล้ว คนเราจะอยู่และแสร้งทำเป็นแฮปปี้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รักนานแค่ไหนกัน ดินที่จืดชืดนั้นไม่อาจเลี้ยงต้นไม้ให้เติบใหญ่ได้ ในวงเหล้านั้น ปุ๋ยสำหรับผมคือเสียงหัวเราะของเพื่อน แต่มันก็มีแค่ความสนุก หลังๆมานี่ ผมต้องการสิ่งอื่นเข้ามาอยู่ในชีวิตบ้าง คนที่ให้ความอบอุ่น คนที่ผมจะฝากหัวใจไว้ได้
               อดทนได้ไม่นานหรอก แม้จะอ่านการ์ตูน ฟังเพลง ดูหนัง แต่ในที่สุดก็เข้าเฟสบุ๊คจนได้  ก็นะ คนมันติดการเข้าสังคมในระดับหนึ่ง ผมทนไม่ได้นานเมื่อต้องอยู่ห่างเสียงพูดคุย อย่างน้อยขอให้ยังรู้ตัวว่ามีคนที่คิดถึงเราอยู่ เพื่อนบางคนบอกว่าผมอาจเป็นคนขี้เหงา แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็คงจะจริง บางทีแค่คนจีบกันให้เห็นก็ทำให้หงุดหงิดได้แล้ว
               กลายเป็นว่าผมเป็นเพลบอยจากนิสัยนี้ ไม่รู้ว่าเริ่มจีบสาวเป็นว่าเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่ สมัยก่อนก็แค่แค่อยากหาสักคนที่ใช่ไว้ประดับหัวใจ ครั้งแรกเจอกับสาวสวยมั่นทันสมัย ช่วงนั้นอะไรก็หวือหวาดูดีไปหมด ผมตามใจเอาใจใส่ทุกอย่าง ทว่านั่นไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในใจได้เลย นานวันจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำมันไร้ประโยชน์ กลายเป็นว่าคนต่อๆมาของผมใช้เวลาคบกันสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความชินชาและกลายเป็นความโล่งอกในที่สุดเมื่อต้องเลิกกับผู้หญิงที่เข้ามาเพราะแค่ผมหน้าตาดี ดังนั้นในสายตาของคนทั่วไป ผมได้กลายเป็นเพลบอยตัวพ่อไปเสียแล้ว
               นั่นทำให้เริ่มคิดถึงคำพูดน้องไลท์เมื่อวานนี้ บางที... ผมอาจจะเสียโอกาสไปแล้วก็ได้
               เรื่องนี้ไอ้พี่วิวน่าจะเข้าใจหัวอกผมดีที่สุด ความเสเพลของเขาอาจมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกอยากหาใครสักคนเคียงข้างเหมือนกัน มันจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า เรื่องนี้คาดเดาไม่ถูก
               โบราณว่าคิดถึงใครก็จะได้เจอ(ใช่รึ) ไอ้พี่วิวทักมาในเชต...รู้ว่ามันต้องทักมาก่อนแหละ แม้ผมออนไลน์ไม่บ่อย แต่ทุกครั้งที่เปิด มันจะมา...

                       Washi : เห็นรึยัง     ---(มันใช่ชื่อว่า Washi เพราะชื่อจริงมันชื่อวชิระ)
          
                เห็นอะไรวะ?

                       LittleBaby : เห็นอะไร?????

               แล้วมันก็ส่งภาพที่แคปมา เป็นรูปหน้าเฟสบุ๊คผมที่ขึ้นสเตตัสว่า ....เงี่ยนโว้ย...
               เชี่ยยยยยย แม่งพี่วิวทำพิษผมอีกแล้ว แล้วดูเวลาที่โพสต์... เมื่อวานด้วย สงสัยตอนที่นั่งกินปิ้งย่างกันอยู่แน่ๆ ผมรีบจัดแจงเปิดย้อนไปดูหน้าเฟสบุ๊คของตัวเองจนพบต้นตอ มีจริงๆ โอ้โห วันเดียวปาเข้าไปเจ็ดร้อยกว่าไลค์  พ่องตาย มากกว่าตอนโพสต์ปกติเป็นเท่าตัว อะไรจะชอบอกชอบใจกับความเงี่ยนผมขนาดนั้นวะครับ นี่เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อีกเรื่องแล้วนะที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้น แล้วดูจำนวนคอมเม้นนะ สองร้อยกว่า ผมไล่อ่านคอมเม้นเฉพาะที่โชว์ก็แทบลมจับแล้ว...

                        ArtitS : ใจเย็นว้อย!!!
                         Paweena : ทำไมน้องพี่ดูอัดอั้นจัง มาหาพี่สิ 089-xxxxxxx
                         Werat : เชี่ยเติ้ล...ออกสื่อเลยหรอวะ
                         Kongkeat : ป่ะไอ้ลิตเติ้ล คืนนี้นะ
                         Sara : พี่ลิตเติ้ลของหนูเป็นคนแบบนี้เองหรอคะ หื่นจัง
                         Montry : หมดเลยภาพลักษณ์คิ้วบอยมหาลัยของอิฉัน
                         Puttrawadee : ทำไมพี่ลิตเติ้ลเป็นคนแบบนี้ล่ะคะ หนูรับไม่ได้ เลิกกันเถอะ....


               หมดแล้ว ชื่อเสียงไอ้ลิตเติ้ล ผมไม่ได้เป็นคนแบบน้านนนนนน ขอเถอะ แล้วไอ้ที่บอกว่าเลิกกันเถอะนี่ใครฟะ นี่ก็ผ่านมาตั้งวัน แก้ตัวไปใครจะเห็นนนน ปัดโถ้
               ผมอยู่ในอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง โพสท์สเตตัสใหม่ว่าโดนแกล้ง เสร็จก็หันไปเล่นงานไอ้คนต้นเหตุทันที

                       LittleBaby : เชี่ยพี่วิว ทำห่าอะไรวะเนี่ย
                         Washi : กูไม่ได้ทำนะโว้ย กูแค่พูดแทนมึง
                         LittleBaby : แทนเชี่ยไร อย่าเอาความคิดมึงมาแปดเปื้อนกู
                         Washi : อะไร รังเกียจกูขนาดนั้นเลยหรอวะ งั้นเอานี่ไป
...

               ยังจะส่งมาอีก คราวนี้เป็นรูปผมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แอบถ่ายไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ซึ่งผมดูดีมาก กำลังยิ้มแฉ่งในชุดนักศึกษา ดูใสๆสไตล์หนุ่มดัชชี่ มีแสงธรรมชาติที่พอเหมาะพอดี ไม่ทำให้ขาววอก แต่มีความผ่องเป็นรัศมี ผมชื่นชมพรสวรรค์ในการถ่ายภาพของไอ้พี่วิวมาตลอด กำลังจะยิ้มอยู่เชียวถ้าไม่ได้เห็นคำอธิบายภาพเสียก่อน…

               มันเขียนว่า...  สวัสดีครับ ผมนายกันติทัต มหิทราวุฒิวงษ์ และผมเป็นเกย์

               แค่นั้นยังทำผมอึ้งไม่พอ เพราะรูปนี้แคปมาจากหน้าเพจคิ้วท์บอยของมหาลัยฯ ผมงี้หน้าชาระดับสิบ นั่งเอามือปิดหน้าปิดตาจากเหล่าคอมเม้นของประชาชีที่ติดตามผมอยู่ นี่ไม่ต่างกับการเตะตัดขาเลย จากที่สะดุดตอนนี้หน้าคะมำเป็นที่เรียบร้อย ไอ้เชี่ยพี่วิว สนุกนักนะมึงน่ะ
               ผมเข้าโหมดอิคคิวซังทันที เวลาแบบนี้ต้องใจเย็น ความแค้นครั้งนี้ต้องได้รับการชำระ แต่ตอนนี้แก้ตัวไปก็ไม่มีใครฟัง ผมไม่ได้จริงจังกับเรื่องแกล้งกันแบบนี้มากขนาดนั้น แต่มองเห็นว่าผลจากเรื่องนี้จะทำให้โดนเหล่านกกระจิบนกกระจอกตามกรอกสารพัดคำพูดใส่ไปอีกนาน แค่ที่เป็นคิ้วท์บอยก็เหนื่อยจะจัดการกับคนที่เข้ามาหาแล้ว คราวนี้อาจมีพวกผู้ชายมากกว่าเดิมอีก ผมนึกถึงที่บ้าน แต่พวกเขาเข้าใจตัวผมดีคงไม่มีปัญหาอะไร ก็แค่ต้องเก็บตัวสักระยะจากการงานสังสรรค์ เอาเข้าจริงปัญหานี้ รอได้
               เรื่องสำคัญคือ ตอบโต้พี่วิว
               อย่าคิดว่าแกล้งคนอื่นได้แล้วคนอื่นจะไม่ตอบโต้นะ ถึงมึงจะหล่อมากยากจะต่อกรแค่ไหนก็ไม่ระคายสันดานผมสักนิด ในเมื่อชอบสร้างเรื่องให้ชาวบ้านปวดหัว ลองรับมือกับเรื่องปวดหัวของชาวบ้านที่ตัวเองไปสร้างไว้บ้างแล้วกัน
               ผมเปิดกล้องโทรศัพท์ตัวเอง หารูปเพื่อนพี่ธันในอีเวนท์ต่างๆ(ผมชอบถ่ายรูป แต่พี่วิวมีพรสวรรค์เรื่องนี้มากกว่า) หานานหน่อยกว่าจะเจอที่เข้าท่าสักรูป เป็นรูปที่เขาเอากล้องไปเซลฟี่แกล้งด้วยหน้าตลกโดยมีผมนั่งอยู่ด้านหลัง จัดแจงแต่งภาพ ใส่อีโมจี้เศร้าๆบนใบหน้าตัวเอง(โดยที่ไม่กลบความหล่อ)....

                       Washi : ทำอะไรอยู่น่ะ โกรธหรอ
                         LittleBaby : โกรธพ่องดิสัด
                         Washi : โอ๋ๆไม่เป็นไรหรอก น่ารักๆไง เดี๋ยวนี้ใครก็ชอบจิ้น
                         LittleBaby : จิ้นไปคนเดียวเลย แม่งเสียเครดิตหมด
                         Washi : ดีแล้วไม่ใช่หรอ หน้าหวานแบบมึงไม่เหมาะเป็นเพล
                บอยหรอกสาดดด


                         Washi : ลองเป็นเกย์ดูน่าจะรุ่งนะ
                         LittleBaby : มึงมาเป็นกับกูมั๊ยเล่า มึงก็น่าจะรุ่งนะไอ้พี่วิว
                         Washi  : ไม่ได้หรอก กูไม่อยากทำร้ายผู้หญิงทั้งเมือง
                         LittleBaby : ยังไงวะ
                         Washi : เอ้า เดี๋ยวเขาเสียน้ำตาเพราะความเสียดายกูไง
                         LittleBaby : โอ๊ยยยยยยยยยยยยย อยากจะบ้า
                         Washi : 5555555


               ยิ่งคุยกับมันแล้วยิ่งหัวร้อน ทักมาแต่ละคำคือการกลั่นแกล้ง กวนตรีน หาเรื่อง   แม่งว่างหรือไงวะ

                        LittleBaby : มึงอยู่ไหนเนี่ย
                         Washi : คิดถึงกูหรอ
                         LittleBaby : .......  ( -  - )
                         Washi : กูอยู่ห้อง

   
               ทำไมวันนี้มันอยู่ห้องวะ เห็นกี่ทีๆก็หาได้ตามร้านเหล้า หรือจะนอนกกอีหนูอยู่ เดาว่าน่าจะอย่างหลัง ไม่รู้ ช่วงนี้เดาไม่ค่อยแม่นแฮะ
               ...แล้วผมจะมานั่งสงสัยทำไมเนี่ย...

                         LittleBaby : วันนี้เป็นฤาษีถือศีลหรือไง ปกติต้องร้านเหล้าไม่ก็อาบอบนวด
                         Washi : นี่ภาพลักษณ์ของกูกลายเป็นแบบนั้นไปแล้วหรอวะ
                         LittleBaby : เพิ่งรู้หรอครับพี่
                         Washi : ถึงว่า ช่วงนี้มีแต่ผู้หญิงแปลกๆเข้ามาหากู ไม่แนวเลยว่ะ
                         LittleBaby : เอาเรื่องที่น้องไลท์มันพูดเมื่อวานไปคิดบ้างก็ดีเหมือนกันนะ
                         Washi : คนที่ใช่น่ะหรอ
                         LittleBaby : อืม...


               จากนั้นก็เงียบไป ผมเห็นพี่วิวพิมพ์ๆลบๆอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะบอกอะไร ผมจึงตัดสินใจบอกในสิ่งที่อยากจะบอกเขามาสักพักแล้ว

                       LittleBaby : พี่วิว...
                         Washi : อะไร    ---(ตอบเร็วมาก)
                         LittleBaby : หลังจากนี้ผมอาจจะไปกับพี่ไม่ได้บ่อยๆแล้วนะ
                         Washi : ทำไมวะ มึงโกรธกูหรอ


               ผมลังเล...

                        LittleBaby : ไม่รู้ว่ะพี่ ผมว่าผมพอแล้ว
                         Washi : หมายความว่าไง
                         LittleBaby : เหนื่อยแล้วล่ะ ผมอาจอยากจริงจังแล้วก็ได้มั้ง ไปกี่งานกี่ปาร์ตี้ผมก็เหงาอยู่ดีแหละ
                         Washi : แต่มึงไปกับกูนะ


               หมายความว่าไงวะ?

                        Washi : ถ้ามึงไม่ไปด้วยแล้วกูจะทำไงล่ะ
                         LittleBaby : เพื่อนพี่มีตั้งเยอะแยะ
                         Washi : ก็พวกมันไม่เข้าใจกูเหมือนมึงไงลิตเติ้ล
                         Washi : ไอ้ธันกับไอ้วีมันก็คงไม่ไปกับกูอีกแล้วแหละ
                         LittleBaby : ทำไมวะพี่
                         Washi : ก็ เรื่องส่วนตัวพวกมันน่ะ


               เรื่องส่วนตัว?? ไอ้พี่ธันเนี่ยนะเลิกเที่ยว แปลก? เปิดเทอมครั้งนี้ผมคงจะคาดเดาอะไรยากขึ้นแน่ ในเมื่อแค่ไม่กี่วันก็มีเรื่องให้แปลกใจได้แบบนี้ ใจคนยากหยั่งถึงเหมือนโบราณว่าจริงๆ

                        LittleBaby : แล้วออกไปเที่ยวทุกวันนี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรอ
                         Washi : กูไปกับมึงจะรู้สึกไรวะ


               มันเข้าใจที่ผมจะบอกมั๊ยเนี่ย
                         

                         Washi : ถ้ามึงไม่ไปด้วยสิ กูเหงาแน่ๆ
                         LittleBaby : ทำไมมึงไม่ลองเปลี่ยนจากไปเที่ยวดึกแล้วตื่นสาย เป็นตั้งใจเรียนแล้วตื่นเช้าดูล่ะ มึงใกล้จะจบ
               แล้วนะ อายุก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว
                         Washi : โหยยยยยย
                         LittleBaby : โหยอะไร
                         Washi : ถ้างั้นมึงก็ต้องไปติวกับกู กูอยู่ดึกมึงก็ต้องอยู่ดึก กูไปอ่านหนังสือมึงก็ต้องไปด้วย


               ทำตัวเป็นเด็กจริงๆ

                        LittleBaby : สาดดดด มึงนี่ กูเรียนไรอยู่ ดูด้วย
                         Washi : ไม่รู้ มึงต้องรับผิดชอบ โทษฐานทำให้กูเหงา
                         Washi : กูไปนอนแล้วนะ


               เฮ้ย! พึ่งสี่ทุ่มจะรีบนอนไปไหนแว้...

                        LittleBaby : เดี๋ยวก่อนๆ ก่อเรื่องไว้แล้วจะหนีหรอวะครับ
                         Washi : เรื่องไรวะ
                         LittleBaby : ไม่ต้องมาทำเป็นลืมเลยมึง ไปเปิดดูเพจคิ้วท์บอยดูก็รู้...


               ผมโพสต์ภาพนั้นไปแล้ว ภาพที่เพิ่งจะตบแต่งนั่นแหละ พร้อมด้วยข้อความดังนี้...

             - ไม่ยอมช่วยดูแลลูกเลย เอาแต่แกล้งชาวบ้าน T T  # วชิระ สุภาสกุล

               ไม่นานเจ้าตัวก็ตอบกลับมา….

                        Washi : มึงทำอะไรน่ะ
                         LittleBaby : เขาเรียกการแก้แค้น 555+
                         Washi : 5555++ เชี่ย น่ารักว่ะ


               หืมมมมมม???

                        Washi : ทำไมกูไม่รู้สึกว่าถูกแก้แค้นเลยวะ
                         LittleBaby : อ้าวว ไหงงั้นวะ
   
 
               ผิดคาดเว้ย เดาไม่แม่นรึ ผมคิดว่าการสบประมาทสันดานเพลบอยมันแล้วจะทำให้มันหัวเสียซะอีก

                       Washi : เออดี พวกสาวๆจะได้มาหากูน้อยลง กูนอนล่ะ

               หลังจากพี่วิวออฟไลน์ ผมยังคงนั่งมึนอยู่ที่เดิมพักใหญ่ รู้สึกเหมือนโดนหมอนข้างฟาด หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ ทำไมมันไม่เดือดเนื้อร้อนใจบ้างวะ  อย่างว่าแหละ หมอนี่มันรักสนุก ผมอยากจะรอดูวันที่มันต้องสลดเสียใจจริง คงตลกน่าดูที่มันต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามคนอื่นบ้าง แต่ตอนนี้ผมคงต้องร้อนใจเสียเองเพราะเรื่องโพสต์รูปนั่น นอกจากมันยังไม่สะทกสะท้านกับสถานะที่ผมตั้งให้แล้ว มันกลับขำ แม่ง  โอ๊ยย เปิดเรียนมาจะต้องเจออะไรบ้างเนี่ย ไม่อยากเดาแม่งแล้ว
               สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ตัดสินใจออกไปสังสรรค์ที่ไหน ปิดคอมเสร็จก็อาบน้ำให้สบายตัว รอตัวแห้งผมแห้ง ตัดสินใจมาส์กหน้าด้วยเนื้อมาส์กแบบกลางคืน กระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆหอมๆที่เพิ่งซักใหม่เมื่อเช้า แล้วหยิบมือถือออกมาเล่นตามความเคยชิน
               ไม่รู้นึกบ้าอะไรเหมือนกันถึงได้เข้าเพจคิ้วท์บอยไปดาวน์โหลดรูปที่พี่วิวโพสต์ไว้ก่อนหน้า ผมเห็นว่ามันสวยมากจึงตั้งเป็นภาพหน้าจอแม่งเลย โคตรหล่อ(ไม่ได้หลงตัวเองนะ) เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมได้เข้านอนด้วยความสบายใจ ในเมื่อคิดจะเปลี่ยนวิถีชีวิตก็ควรจะเปลี่ยนวิธีคิดด้วย ผมจึงตั้งใจจะไม่พยายามคิดคำนวณเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นอีก ต้องขอบคุณพี่วิวในเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีที่ตัวเองยังมีคนอยู่ในความนึกคิดของเขา เป็นคนสำคัญของใครสักคน
               ผมวางโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ปิดไฟ แล้วเข้านอนทั้งๆที่ยังคิดเรื่องภาพๆนั้น แต่ไม่ได้สนใจมันจริงจังอย่างที่กังวล เป็นแค่เรื่องขำขันประจำวัน


               หมอพยากรและนักวางแผนคือสิ่งที่ลิตเติ้ลคิดว่าเขาเป็นมาตลอด แต่สิ่งที่เขาได้วางแผนไว้ให้กับตัวเองนั้นอยู่ในความสุ่มเสี่ยงเสมอมา อย่างที่เข้าใจกันในโลกสากล......อนาคตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mr.SCROMAN : ธันกับไลท์ไปไหนซะล่ะ...อ๋อ บ่มเพาะความคิดถึง พี่รหัสอย่างลิตเติ้ลจึงต้องทำหน้าที่เคลียร์ตัวเองหน่อย แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวรึเปล่า ตอนหน้าก็เปิดเทอมแล้ว...ทายซิ ใครไปเข้าเรียนสาย...ตามไปเอาใจช่วยไลท์ด้วยนะ

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


7

ไลท์ : MINI CONVERTIBLE สุดเท่



               "ตื่นเต้นฉิบหาย"
               “ถุย” ตะวันล้อผม “ใครวะที่บอก ‘ชิวๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ เบื่อว่ะ’ ห่าเอ๊ย”
               “ด่ากูทำไมคร้าบตะวัน” ผมทำท่ากระซิกๆ “เออนี่ บอกกูมาเดี๋ยวนี้...”
               ตะวันเอนหน้าหนีเพราะจู่ๆผมก็พุ่งหน้าเข้าไปหามัน “อะไรวะเฮ้ย??”
               “มึงชอบพี่วีหรอ?” ผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน
               “มาถามเหี้ยไรตอนนี้สัด ไปอาบน้ำ” ที่มันบอกให้ไปอาบน้ำเพราะว่าผมเพิ่งจะตื่น แล้วอีกสามสิบนาทีก็จะเริ่มเรียนแล้ว
               “แหม...เขินหรอ”
               “มึงจะไปอาบดีๆมั๊ย” มันลุกขึ้นทำท่าจะหวดก้นผมด้วยหน้าแข้งจนผมต้องรีบวิ่งหนีเข้าห้องน้ำ คนอะไรพอเขินแล้วชอบใช้กำลัง...
               ตะวันมีเรียนตอนสายๆ แต่มันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากตื่นตีห้า ไปวิ่งจ๊อกกิ้งซอยหน้าหอหลายสิบรอบ ซื้อโจ๊กและข้าวเหนียวหมูมาให้ อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาปลุก เพื่อให้ผมทันเข้าคลาสตอนแปดโมงเช้า รีบๆลนๆอยู่สิบห้านาทีผมก็ดูพร้อมไปเรียน แต่คงทานข้าวเช้าไม่ทัน จึงคว้าแต่ข้าวเหนียวหมูสองถุงบนโต๊ะในห้องมาแล้วแกะกิน รีบยัดจนแก้มตุ่ยสองข้างแล้วตามไอ้ตะวันลงไปหน้าหอ วิ่งกระหืดกระหอบจนไม่สนแล้วว่าใครจะขวางทาง ชนไหล่ชนแขนจนเขาด่าเปิง พอมาถึงหน้าหอก็ยังไม่เจอรถไอ้ตะวันจึงเดินออกไปรอหน้าถนน แต่เสือกไม่ได้มองว่ามีรถมาหรือเปล่า มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเบรกเอี๊ยดทางขวา แต่หยุดทันแบบพอดี๊พอดี
               “เฮ้ย ระวังหน่อยสิเว้ย เหี้ย” ปกตินี่ถ้าด่าแบบนี้เจอสวนไปแล้ว เห็นแก่ที่ผมเป็นคนผิดหรอกนะเลยยอมให้
               อย่างไรก็ตาม เมื่อนิสัยไทยมุงยังอยู่ในสายเลือด ไม่ว่าใครก็ต้องมองมาที่เหตุการณ์นี้ ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าเซ็งและมองหารถไอ้ตะวันต่อ ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดจริงๆก็คือ ที่ตรงข้ามหอผมเด๊ะ ระยะเดินจากกันไม่เกินสามสิบก้าว ไอ้พี่ธันมันเดินออกมา แถมยังมองมาที่ผมแล้วด้วย ผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่เขาจะอยู่ใกล้ขนาดนี้ ให้ตายสิ แบบนี้มันชี้โพรงให้กระรอกชัดๆ อิอิ
               และพี่ธันก็เดินมาหยุดตรงหน้าพอดีเป๊ะอีกเหมือนกัน แต่หนึ่งวัน(เมื่อวาน)ที่พี่ธันไม่โผล่ไปให้เจอตามคำพูด ทำให้ผมรู้สึกปั้นปึ่งเล็กน้อย  “ไงหมูน้อย อยู่หอนี้หรอ”
               ผมยังอึ้งกับความหล่อในคราบนักศึกษาและละเลียดคำพูดเมื่อครู่อย่างช้าๆ มันเรียกผมว่าอะไรนะ....
               “หมูน้อย??” มันย้ำ “เป็นอะไร ตะลึงในความหล่อกูรึไง” โอย รู้ดีอีก แม่ง...
               “ทำไมเรียกหมูน้อย” ผมถามบ้าง มันไปเอาชื่อนี้มาจากไหนฟร้า
               “วันก่อนไง ที่มึงแดกเหมือนกับหมู แก้มตุ่ยเหมือนตอนนี้เลย”
               ผมเพิ่งรู้ตัวว่ายังเคี้ยวข้าวเหนียวหมูแก้มตุ่ยอยู่เลยจึงพยายาม(อย่างหนัก)ในการกลืนที่เหลือลงไปทันที ไม่เคี้ยวด้วย... อาย
               “แล้วยังไง อยู่หอนี้???”
               “อืม...”
               “ห้องอะไร” มันจะถามทำไมวะ อยากเข้าห้องผมหรอ...
               “ไม่บอก”
               “ทำไม กลัวกูจะเข้าไปปล้ำมึงหรอ” เชดดด ดูพูดเข้า กล้าเข้ากูก็กล้าให้ปล้ำนะเว้ย.... เฮ้ย! ไม่ได้ดิวะ
               “ปล้ำพ่องดิ ไอ้สัด” ถึงปากจะด่า แต่ผมรู้ตัวเลยว่าแก้มยังแดงอยู่
               “แล้วนี่จะไปเรียนหรอ” พี่ธันถาม ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่ธันไม่ได้ใช้น้ำเสียงกวนตีนแล้วนะ บางที... ผมก็ควรจะอ่อนลงบ้าง จะได้ไม่ถูกหาว่าไม่เคารพผู้ใหญ่เกินไป
               “อืม สายแล้วเนี่ย” ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆครับ อีกห้านาทีเท่านั้น ไม่ทันแน่
               “กูไปส่ง ขึ้นรถดิ” พี่ธันพูด
               อะเหื้อออออะ นี่บุญกำลังตามมาหาในชาตินี้แล้ว ในที่สุดผมก็ได้นั่งรถกับพี่ธันสองต่อสองจนได้ มันคือสิ่งที่เคยเอาแต่จินตนาการ แต่......
               “พี่ธันวา...” ผู้หญิงเสียงสวยหน้าแจ่มเดินสบัดลอนลงมาจากหอพี่ธัน ความสวยของเธอเข้าขั้นหยางกุ้ยเฟยที่เดียว อืมมม(โอเวอร์เข้าไปนะ)
               “แนน ว่าไงครับ” ชื่อแนนด้วย เรียกง่าย ชื่อหวานเหมือนกับหน้า แถมยังมีหางเสียงว่า ‘ครับ’ นี่ผมกำลังมองสุภาพบุรุษสุดเท่ในชุดนักศึกษา ที่กำลังพาเจ้าหล่อนที่ไหนไม่รู้ขึ้นรถ
               คือผมหงุดหงิดคิดซะจนไม่ได้ฟังที่พวกเขาพูดกันเลยไง
               “หมูน้อย จะไปมั๊ย สายแล้วไม่ใช่หรอ” ยังอีก ยังจะชวนให้เจ็บกระดองใจ ไอ้พี่ธันมันคงคิดว่าผมเป็นแค่น้อง เป็นแค่เด็กใหม่ที่บังเอิญจะไปที่คณะเหมือนกัน แล้วไอ้คำพูดที่ชวนให้คิดไปเองทั้งหลายนั่นก็เป็นแค่การกลั่นแกล้งเล่นตลกสินะ เรื่องนี้ผมผิดเองที่มัวแต่หลงเข้าข้างตัวเองเกินไป ตอนนี้จึงมีทางเลือกว่าจะไปต่อ หรือว่าจะถอยออกมา
               “เออ...รู้แล้ว”  ไปต่ออีกหน่อยก็ได้ อย่างน้อยขอรู้หน่อยเถอะว่าสองคนนี้มีอะไรกันรึเปล่า
               ผมกำลังจะเปิดประตูเบาะหลังแล้วเข้าไปนั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารถพี่ธันเป็นมินิเปิดประทุนสีแดงแจ๊ด มันมีสี่ที่ก็จริงแต่มีแค่สองประตูและคุณแนนแสนสวยก็ขึ้นไปนั่งแล้ว ผมจะกระโดดขึ้นเบาะหลังเลยก็เกรงใจรถ มันสวยน่ะ
               “เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่า ผมไปกับไอ้ตะวันก็ได้”
               ดูเหมือนไอ้พี่ธันจะมองออกว่าผมเกรงใจรถเขา “ไม่เป็นไร กระโดดขึ้นเบาะหลังเลย กูไม่ว่า”
               “แต่ว่า....” ผมก็ยังเกรงใจอยู่ดี
               “รึจะให้กูอุ้ม หืม” มันจะเข้ามาอุ้มจริงๆครับ มือวาดมาจับต้นคอผมแล้ว กรี๊ดดด
               “เฮ้ย เออๆๆๆๆ กูขึ้นก็ได้” สาดดด ถึงเนื้อถึงตัวตลอด ด้วยความหมั่นไส้จึงแกล้งกระโดดลงไปนั่งด้วยความรุนแรง
               “ไม่พยศสักวันได้มั๊ย” 
               ไม่ได้เว้ย กับคุณมึงก็ต้องเจอแบบนี้แหละ โทษฐานที่ทำให้คนอื่นชอบแล้วไม่คิดจะสนใจ
               “ได้มั๊ย” พี่ธันยื่นหน้ามาใกล้แล้วววว มันกำลังจะเดินไปนั่งฝั่งคนขับนั่นแหละ แต่ยังมิวายล็อกไหล่ผมแล้วยื่นหน้าเข้ามา ท่าทางมันอยากได้อะไรก็ต้องได้ใช่มั๊ยเนี่ย
               “คร้าบบ ไม่พยศแล้วครับ” ผมรับคำอย่างจนใจ แต่ใส่ใจทำตามนะเออ
               “น้องปีหนึ่งหรอ หรือน้องพี่ธันละเนี่ย ทำไมดูสนิทกันจัง”
               “ผมชื่อไลท์ครับ” ไม่ต้องบอกชื่อคุณหรอกนะ ผมไม่อยากรู้จัก(อั่ยย่ะ)
               “อย่าไปเชื่อแนน มันชื่อหมูน้อย”
               “เฮ้ย ไอ้พี่ธัน...”
               “อย่าพยศ...” พี่ธันหันมาทำหน้าดุ “รับคำแล้วก็ต้องทำตามเด่ะ”
               ผมได้แต่ทำหน้าฟึดฟัดไม่มองหน้าพี่ธัน แต่กลับเลือกนั่งเบาะหลังฝั่งซ้าย เพื่อจะได้เห็นสีหน้าเขาเวลาคุยกับสาวคนนี้ในระหว่างทาง
               แต่แปลกครับเพื่อนๆ สองคนนี่นิ่งมาก ฝ่ายหญิงก็เอาแต่เปิดดูกระดาษที่เขียนลายเส้นขมุกขมัวเต็มแผ่นไปหมด พักหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนเธอที่ชื่อจ๊ะเอ๋(ผมอยากเห็นหน้าสหายพี่แนนคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้จะจ๊ะเอ๋สมชื่อหรือเปล่า) ส่วนพี่ธันนี่ก็ตั้งใจขับรถจริงๆ ไม่พูดไม่จา มองนานๆเข้าจะนึกว่าใส่หน้ากากไว้ซะอีก แต่เป็นหน้ากากที่หล่อลากไส้เสมอ ไม่รู้ทำบุญมาด้วยอะไรสิน้า
               “พี่ธันมีตรวจแบบกี่โมงหรอ” จู่ๆพี่แนนก็ทำลายความเงียบ
               “บ่าย...เช้าอาจารย์อ้วนต้องสอนปีหนึ่ง” หืมมมมม
               “แล้วเย็นว่างมั๊ยคะ แนนจะไปกินข้าวกับจ๊ะเอ๋ จะไปรึเปล่าเอ่ย” คำถามปลายเปิด แต่น้ำเสียงเธอนี่โคตรยั่วยวนแกมบังคับเลยนะ ดูซิไอ้พี่ธันจะตอบยังไง
               “อืมมม ไม่แน่ใจ แนนไม่ต้องรอพี่หรอก อาจจะลากยันมืดเลยก็ได้” อืมมม เด็กดีจัง ปลื้มมม
               “นั่นสินะ อาจารย์อ้วนด้วย” เอ...ทำไมรึ? ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ที่ชื่ออ้วนคนนี้คงจะต้องร้ายกาจ แล้วที่ผมเข้าเรียนสายจะมีชะตากรรมเช่นไร แต่ช่างมันก่อน ตอนนี้เรื่องสำคัญคือพี่ธัน...จากการปฏิเสธแบบสุภาพเมื่อตะกี้ ผมนี่แอบยิ้มมุมปากเลยครับ ดีใจที่อย่างน้อยพี่ธันก็ยังรู้จักวางตัว
               “ยิ้มอะไรหมูน้อย” เสือกเห็นอีก
               “ขับรถไปเลย...”
               แดง....แดงแป๊ดแน่เลย แก้มเนี่ย

                            --------------------------------------------------------------------------------------------

               สายอีกสิบนาที รถพี่ธันจอดหน้าร้านขายแม๊คบุ๊ค ผมก็กระโดดลงอย่างไว เมื่อทุกคนลงหมด จึงหันไปหาพี่เจ้าของรถมินิ
               “ขอบคุณนะ...ที่มาส่ง” ผมบอกแล้วก็เดินออกมาเลย แต่ยังไม่ทันพ้นระยะเสียงฝีเท้า คุณแนนเธอก็พูดขึ้นมาว่า...
               “พี่ธัน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนแนนหน่อยนะ” เสียงเธอชวนใจละลายมาก ผมไม่ได้หันกลับไปมองก็จริง แต่ชะงักเท้ารอฟัง ดูเหมือนฝ่ายหลังจะไม่ได้ปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องฟังอะไรอีก จึงรีบเดินออกมา
               ก่อนจะถึงห้องบรรยายไอ้ตะวันก็โทรมาด่าซะหูชา บอกว่าไปไหนมาไหนไม่บอก แถมยังขู่จะฟ้องป๊า.... แต่มันไม่ฟ้องหรอกครับ ผมรู้ เพราะมันพูดเสมอว่าถ้าผมเป็นอะไรไปความผิดคือมันไม่รอบคอบเอง มันโทษตัวเองประจำ ทว่าพอผมอธิบายเรื่องที่มากับพี่ธันให้ฟัง มันก็ดูจะอารมณ์เย็นขึ้นมาบ้าง
               สุดท้ายก็มายืนลังเลหน้าประตูห้องบรรยาย เจ้าประคุณเอ้ยยย โคตรกลัวโดนดุ เฟลไม่เท่าไหร่ แต่อายนี่หนักแน่ แม่งเรียนครั้งแรกก็สายซะแล้ว
               ขณะกำลังกล้าๆกลัวอยู่นั่นเอง พลันมีมือใหญ่ๆกดลงมาที่บ่า
               “เฮ้ย ไอ้พี่ธัน....”
               “ไม่เข้าไปล่ะ” ผมกำลังอึ้งอยู่
               “ไม่ไปกินข้าวกับสาวเจ้าหรอกหรอ” ผมพูดประชดก็จริงนะ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงซีเรียส ทุกคำที่ออกจากปากมันก็คือความจริงจากใจดีๆนี่เอง หวังว่าไอ้พี่ธันมันจะรับรู้ได้นะ ไม่บ่อยนะโว้ยที่จะทำให้ผมมีอารมณ์นี้ได้น่ะ
               “กูกินแล้ว” พี่ธันบอก
               “นี่ปล่อยให้เขาไปกินคนเดียวรึไง?” ไม่แมนเลยนะพี่ธัน
               “คนเดียวที่ไหน เพื่อนเขานั่งในโรงอาหารเพียบ แนนมันเรียนเก้าโมง” อ้อ นี่ผมคิดไปโน่น ดูก็รู้ว่านี่เป็นการปฏิบัติตัวของบุรุษที่ดี บุรุษที่ต้องคู่กับสตรี
               “พี่ธัน....”
               “อะไร?”
               “พี่กับพี่แนน.... เป็นอะไรกันรึเปล่า” ไม่รู้คิดอะไรอยู่นะ แต่มันไม่อยากปิดบังความรู้สึก อย่างน้อยก็ลองถามอ้อมๆให้คิดได้สองทาง บางคนอาจจะมองว่าผมแอบชอบพี่แนนก็ได้
               พี่ธันทำหน้านิ่งจ้องมองผมจนต้องหลบตา สภาพโอบไหล่อยู่แบบนี้ ใกล้จนจะได้ยินเสียงหัวใจแล้วมั้ง
               “กูยังโสด”
               ผม.... ไม่รู้ ดีใจมั้ง คือมันเหมือนตอนที่ป๊าบอกว่าจะไม่ยอมซื้อรถให้เด็ดขาด จนผมทำใจแล้วว่ายังไงก็ต้องหาเงินซื้อเอง กระทั่งวันเกิดปีล่าสุด ป๊าขับบีเอ็มสีขาวเข้ามาจอดในบ้านแล้วโยนกุญแจให้  แม่งโคตรดีใจ แม้จะมีเงื่อนไขว่าต้องสอบใบขับขี่ให้ผ่านถึงจะมีสิทธิ์ขับออกไปไหนคนเดียวได้ก็ตาม และครั้งนี้มันก็คล้ายๆแบบนั้น แต่ต่างกันในด้านขนาดของความรู้สีก ครั้งนั้นแค่ดีใจ ส่วนครั้งนี้หรอ...ผมเหมือนได้ไออุ่นของแสงอาทิตย์สีส้มอาบกาย ประกายความหวังเล็กๆค่อยๆประทุอย่างเงียบๆภายในใจ และมันกำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง แผ่ซ่านความอบอุ่นและยินดีออกมาทางสีหน้าท่าทาง ผมกำลังยิ้มอย่างมีความสุข
               “ไม่เข้าไปหรอ” วูบ ไอ้ตัวทำลายโมเมนท์ หายหมดเลย
               “ไลท์ไม่กล้าว่ะ” ผมพูดจริงนะ
               “ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิ” นั่น ไม่ช่วยกันเลย
               โดยไม่คาดคิดและตั้งตัว พี่ธันผลักประตูเข้าไป เสียงเอี๊ยดจากบานพับฝืดๆร้องดังลั่นห้อง
               เสียงจากลำโพงหยุด เสียงหึ่งๆของการพูดคุยหยุด มีแต่เสียงแอร์นั่นแหละที่ไม่หยุด สายตาทุกคู่(ย้ำว่าทุกคู่)หันมามองผมเหมือนนกเค้าแมวจ้องหนู
               “ไอ้ธัน...”อาจารย์ที่อยู่หน้าห้องทักออกลำโพง
               “เอาเด็กมาส่งครับ-จารย์”
               “เด็กอะไรวะ....” อาจารย์จ้องหน้าผม แกเป็นคนเดียวกับที่แซวผมในหอประชุมตอนปฐมนิเทศ “อ๋อ...ไอ้ปีหนึ่งที่มึงนัวเนียวันนั้นนี่หว่า... เชี่ย เป็นแฟนกันแล้วหรอ
               พี่ธันเอาแต่ยิ้ม
               “เฮ้ย...” ผมถองพี่ธันทีหนึ่ง “ปฏิเสธบ้างก็ได้นะ”
               “หมูน้อยไม่อยากเป็นแฟนกับพี่หรอ?”
               อึ้งสิ อึ้งได้อีก คืออะไร ทำไมถามแบบนั้นล่ะ หมายความว่าจะให้ผมเป็นแฟนพี่จริงๆหรอ
               “นิ่งทำไมน่ะเรา ปฏิเสธบ้างก็ดีนะ”
               ไอ้บ้า เสีย เสียโคตรๆ ผมไม่เคยต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยเขินใครแบบนี้ด้วย เห็นไอ้พี่ธันที่ยิ้มทะเล้นเลยเตะแข้งไปทีหนึ่งแล้วดันให้ออกไปข้างนอก จากนั้นก็ปิดประตูใส่หน้าเลย
               ผมได้ที่นั่งหลังห้อง เบียดๆกับพวกผู้ชายที่ยังไม่ค่อยรู้จัก หลังจากโดนอาจารย์เทศนาเรื่องการตรงต่อเวลาคือสมบัติที่ต้องมีของสถาปนิก เหมือนโดนด่าว่า ‘ถ้าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ’ ยังไงยังงั้น เวลาเดียวกัน ไอ้คนนั่งข้างๆก็สะกิดผมยิกๆ มันชื่อก้องครับ ชื่อจริงไม่รู้อ่ะ
               “ไลท์ เอ็งเป็นเกย์จริงๆหรอ” อ้าวสาดดด มันคงจะใช้เรื่องนี้ล้อผมแน่ แต่ฝันไปเถอะ
               “ทำไมวะก้อง มึงก็จะจีบกูด้วยหรอ”
               มันดูตกใจในระดับหนึ่ง “เฮ้ยเชี่ย ไม่ใช่”
               “เอาน่า กูรู้มึงชอบกู ดูสายตามึงดิ” แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นล้อมันไป โท๊ะ เล่นกับใครไม่เล่น
               แต่ความสนใจผมอยู่ที่หัวมัดหางม้าสลวยตรงเก้าอี้ยาวกลางห้องมากกว่าครับ ว่าแล้วก็ขยำกระดาษก้อนหนึ่ง(ก้อนโตๆ) อาศัยจังหวะอาจารย์หันไปหาสไลด์ เงื้อแขนเขวี้ยงก้อนกระดาษไป มันกระแทกหัวไอ้อุ้มดังปึก แต่ไม่หยุดครับ กระเด้งกระดอนโดนอีกสองสามคน ผมงี้ยกมือไหว้แทบไม่ทัน อุ้มมันก็ทำหน้ายักษ์ใส่ ผมพยายามกวักมือ(แบบไร้เสียง)ให้มันมาอยู่ด้วยกันข้างหลัง มันก็บอกให้ไปนั่งกับมัน สองคนยิกๆกันครู่เดียวเท่านั้น...
               “เฮ้ย ปีหนึ่ง แฟนไอ้ธันน่ะ ออกมาหน้าห้อง” ซวยแล้ว อาจารย์ทำหน้าดุเสียงดุ ผมโดนด่าชัวร์ อับอายแต่เริ่มต้น ลางไม่ดีเลย แต่เดี๋ยวก่อนนะ... นี่ถ้ายอมลุกออกไป ไม่เท่ากับว่าผมกลายเป็นแฟนไอ้พี่ธันจริงๆหรอครับ
               สุดท้ายก็ต้องออก ผมเดินทำหน้ารู้สึกผิดออกไปหาอาจารย์ที่มองอยู่สักพักก็อ้าปากจะพูด เกร็งตัวรอคำด่า ทว่า....
               “เป็นแฟนกับไอ้ธันตอนไหนวะ” อ้าวเฮ้ย ไหงเป็นคำถามนี้ล่ะ
               “ไม่ได้เป็นครับอาจารย์” ผมรีบตอบ
               “มึงชื่ออะไรนะ
               “ผมชื่อไลท์ครับ”
               “ไลท์....ไม่ได้เป็นหรือยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” บ้าหรอ เลิกถามเถอะครับ ไม่ใช่รายการทีวีโชว์นะ
               “เอ่อ....”
               “รู้จักไอ้ธันมานานแล้วหรอ
               “ครับอาจารย์” ผมตอบเสียงค่อยมาก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
               “ไอ้ธันบอกกูว่ามันชอบมึงอ่ะ” หืม ว่าไงนะ อาจารย์พูดจริงหรือเปล่าครับ  นี่อาจารย์พูดจริง—หรือ--เปล่า
               อาจารย์ยิ้มและหันไปหาเพื่อนๆผม “มึงดูหน้ามันดิ ดูดิต๊อด
               แกล้งใช่ไหม??   “อาจารย์....อย่าแกล้งผมดิ”
               “แกล้งไรว้า อ๋อ มึงไม่อยากให้กูแกล้งโกหกมึงว่า ไอ้ธันมันชอบมึงใช่มั๊ย แสดงว่าอยากให้เป็นเรื่องจริง ฮ่าฮ่า
               “อาจ๊านนนนนน” หมด คนที่นี่นี่ยังไง ทำไมเจ้าเล่ห์แสนกล วันนี้เสียเปรียบจนไม่รู้ว่าจะเสียเปรียบยังไงแล้ว เขินก็เขินหน้าร้อนหูชาไปหมดจนผมต้องยกมือขึ้นมาป้องหน้า เพื่อนผมก็ปล่อยฮาออกมาอย่างไม่นึกเกรงใจใครทั้งนั้น ไหนจะท่าทางขบขันออกนอกหน้าของอาจารย์คนนี้อีกล่ะ
               “เอาล่ะๆ พอ โจ๊กคลายเครียด มาดูหัวข้อเรื่องที่จะเรียนกันต่อนะเฟรชชี่...
               อาจารย์ปล่อยผมกลับเข้าที่ด้วยความอับอายยิ่ง ไม่รู้จะภูมิใจมั๊ยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่เริ่มก้าวย่างในมหาลัย แต่ทุกคนที่นี่ก็ดูยอมรับมันได้ไม่ใช่หรอ มันก็ต้องมีบ้างที่ยังไม่ยอมรับ เรื่องไอ้พี่ธันนี่สิ แม่งรู้กันทั่วแล้ว ปิดข่าวยังไงไหว ดีมิดีโดนแซวยันลูกบวช(จะมีเราะ) นี่เป็นเพราะเจ้าตัวมันหล่อและดังมากแท้ๆเชียว
               ผมชะงักอีกครั้ง เสียงหัวใจเต้นเร็วราวกับรัวกลองทันทีที่เห็นพี่ธันตรงประตูทางเข้า ท่ากอดอกสบายๆยืนพิงกรอบประตูแล้วจ้องมองมา เขายืนอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้เดินไปไหนตั้งแต่ผมปิดประตูใส่ ถ้าแต่ก่อนยังไม่รู้ ตอนนี้ก็คงรู้หมดแล้วว่าผมเอง... แอบชอบเขาอยู่


               แล้วรอยยิ้มกว้างๆแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง อยากให้ผมยิ้มตอบกลับไปหรือเปล่าครับ พี่ธัน...


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mr.SCROMAN : เดี๋ยวนะ ใครช่วยบอกเราทีว่าสองคนนี้...ใครจีบใครอยู่ แล้วยังไง อะไร? งงเด้ๆ 

ขำๆเนอะ....เรื่องนี้อาจจะไม่หวานหวือหวาเท่าไหร่ เน้นเบาๆนะเออ...ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากประสบการณ์ของไรท์เตอร์เองนั่นแหละ X)



ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

           "มีเรื่องมาเมาท์ค่ะทุกคน วันนี้นายธันวาเพื่อนอิฉันมีความดึงดูดเป็นพิเศษมาก เป็นอันว่าทุกคนมีอันต้องมองช่วงล่างนั้นโดยมิได้นัดหมาย เพราะมัน....ไม่ได้รูดซิบ"
           (เช็ดเลือดกำเดา)
           "ไม่รู้ว่ามีแต่อิฉันคนเดียวรึเปล่าที่ภาวนาด้วยศรัธาต่อพระเจ้าให้น้องชายมันออกมาทักทาย อิฉันถ่ายรูปไว้ด้วย แต่ไฮไลท์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นนนนค่ะ มันอยู่ตรงตอนที่เพื่อนอิฉันคนนี้ทราบในที่สุดว่าเป้าตัวเองมีลมโกรก แทนที่มันจะอายแล้วรีบเก็บ มันกลับหัวเราะด้วยความร่าเริงที่สุด..."
           (มีความล่องลอย)
           "เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเลย คือตั้งแต่อิฉันเรียนกับมันมา อิฉันไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะแบบนั้นจากมันมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นทำให้มันหล่อขึ้นสิบขั้น ฉากนั้นไม่ว่าใครก็อดไม่ได้แน่ที่จะใฝ่ฝันว่าอยากเป็นเมียมัน รึต่อให้เป็นแค่อนุระดับล่างสุดก็ยอม"
           (มีความเสียดาย)
           "อิฉันถ่ายวีดีโอไม่ทัน ไม่อย่างนั้นคงเรียกยอดไลท์ได้อีกหลายพัน มันคือปาฏิหาริย์จริงๆนะ ไม่นึกเลยว่าคนอย่างธันวาก็หัวเราะเป็นเหมือนกัน"

          #ถือเป็นเซอร์วิสเล็กน้อยน้า ชีวิตสีสันของเด็กถาปัตย์

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


8
ธันวา : ลังเล


           “ไอ้วี...” ผมดีใจมาก ตอนนี้กำลังกวนไอ้วีที่กำลังหาข้อมูลโครงการวิทยานิพนธ์ของมัน
           “อะไรวะ อย่ามากวนดิ”
           “น้องไลท์เขาชอบกูเว้ย” เป็นไปตามคาด ไอ้วีสนใจทันที มันบอกว่ามันชอบน้องไลท์เหมือนกัน(แต่ไม่ได้ชอบแบบนั้นนะ)
           “แล้วไง มึงรู้ได้ไงวะ”
           “เมื่อเช้าน้องเขาไม่ปฏิเสธตอนโดนถามว่าไม่อยากเป็นแฟนกู”
           “แค่เนี้ยะ...”
           “เออ”  ชักเริ่มเซ็งละนะ  “ทำไม รึมึงคิดว่าไม่ใช่”
           “แล้วน้องมันรู้ยังว่ามึงก็คิดแบบเดียวกัน” ไอ้วีพูดก็มีประเด็นนะ
           “ยังเลย”
           “...แล้วมึงรออะไร ระวังหมาตัวอื่นมันคาบน้องไลท์ไปแดกนะมึง”
           “หมายความว่าไงวะ”
           “ไม่มีใครอยากปล่อยน้องไลท์ให้โสดนานหรอก เชื่อกู มึงจะทำอะไรก็รีบๆเข้า แสดงออกมาบ้าง ไอ้ความรักที่มึงเคยบอกว่ารักเค้าน่ะ กูยังสัมผัสไม่ได้เลย”
           “แต่กูชอบน้องนะเว้ย” ผมเถียง
           ไอ้วิวส่ายหน้าแล้วหันไปทำงานต่อ มันทำผมหงุดหงิด นี่ไม่เห็นหรอว่าผมชอบน้องไลท์ น้องออกจะน่ารัก ไม่เจอตั้งหลายปีดูดีขึ้นเป็นกอง และถ้าเป็นอย่างที่ไอ้วีว่า ก่อนที่คนอื่นจะเข้ามาหา คงต้องรีบทำคะแนนหน่อย
           ตอนเที่ยงผมว่าจะพาไลท์ไปกินข้าว อยากจะเอาใจน้องบ้างหลังจากที่เจอหน้ากันทีไรก็เอาแต่ทะเลาะตลอด บางทีผมก็เผลอ อดไม่ได้ที่จะต่อปากต่อคำกับน้อง คนอะไรน่ารักแล้วยังยียวน มันน่าแกล้งเสียนี่กระไร ครั้งแรกที่เดินชนกันนั่นสายตาน้องเกือบวางมวยกับผมแล้ว เวลานั้นถ้าไม่ติดว่าหน้าเหมือนน้องภาณุของผมละก็... แล้วก็ใช่จริงๆ น้องยังกล้าถามชื่อผมอีกต่างหาก นั่นแสดงว่าต้องแอบชอบผมอยู่แน่ๆ แหงล่ะ ระดับนี้ใครได้รู้จักก็ต้องรักอยู่แล้ว
           แต่ผมไม่รู้ว่าจะเข้าหาน้องยังไงแบบไม่ยียวน ไม่เคยจีบผู้ชายมาก่อน ไม่แน่ใจว่าต่างจากผู้หญิงมากมั๊ย แต่ดูแล้วแม้แต่เป็นผู้ชายน้องไลท์ก็ดูแตกต่าง ก็ยังไม่เข้าใจอะไรมาก แต่จากที่สังเกตดูแล้ว ใครที่เข้ามาคุยกับน้องไลท์ก็ดูจะชอบน้องไปเสียหมด หากแต่ว่าน้องคงจะต้องมีศัตรูบ้างแน่ๆ ถ้าดูจากนิสัยปากกับเรื่องหัวรั้นนั่นน่ะ
           ผมนั่งกระดิกนิ้วนั่งนิ่งๆหน้าแม๊คบุ๊คตัวเอง มีกระดาษร่างที่ว่างเปล่าอยู่ทางขวามือ ในหัวก็ว่างเปล่าด้วยเหมือนกัน --อ้อ ไม่สิ... ผมกำลังนั่งมองใบหน้าของคนน่ารักที่เคี้ยวเนื้อย่างจนแก้มตุ่ย ภาพหมูน้อยของผม ถือวิสาสะตั้งเป็นพื้นหลังหน้าจอเรียบร้อย
           อะไรทำให้ผมรู้สึกรักเขามากกว่าคนอื่นๆนะ ทั้งที่เป็นผู้ชาย... ผมนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมเห็นเด็กแว่นคนหนึ่งที่ไม่ได้เนิร์ดเหมือนเด็กคนอื่นๆ คนที่ช่วยนู่นช่วยนี่ตอนทำเชียร์แปลอักษร ขันอาสาทำงานที่คนอื่นส่ายหน้าระอากับความยาก เด็กคนนี้ดูน่าจะชอบเรื่องท้าทายไม่น้อย
           หลังจากนั้นผมก็ตามดูน้องเขาห่างๆมาตลอด น้องชอบช่วยเพื่อน ชอบชวนเพื่อนโดดเรียน--ผมขำหนักมากตอนนั้น-- แอบเก็บขยะตามโต๊ะโดยไม่ให้ใครเห็น ช่วยลูกแมวที่ถูกทิ้งและหมาไล่กัด แต่กลับไม่ตีหมาสักครั้ง น้องค่อนข้างจะพยศนิดหน่อยกับพวกที่ชอบเกเรทำตัวนักเลง ตัวก็นิดเดียวแต่กล้ายืนขวางเด็กเหี้ยทั้งแก๊งเพื่อช่วยเพื่อนที่ถูกรังแก น้องต้องเคยฝึกศิลปะการต่อสู้แน่ๆ คนๆเดียวคว่ำรุ่นพี่ที่ตัวโตกว่าไปได้สามก่อนถูกอีกสี่คนรุม ตอนนั้นผมพุ่งออกไปช่วยไม่ทัน เพราะอาจารย์ปกครองเข้ามาเจอเสียก่อน ผมจึงแอบช่วยน้องเขาโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ ใช้ตำแหน่งประธานนักเรียนเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของเขา และนั่นเป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่ผมชื่นชมน้องมากเป็นพิเศษจนอยากจะดูแลเลยทีเดียว ผมไม่อยากให้เขาต้องสู้ลำพังอีก
แต่สายไป ผมไม่พบน้องเขาอีกเลยในเทอมหลังของปีสุดท้าย เพื่อนน้องบอกว่าน้องย้ายไปแล้วเพราะเกิดปัญหาทางบ้าน ผมสาปแช่งความอ่อนแอและความขี้ลังเลไม่เด็ดขาดของตัวเองมาโดยตลอด หลายปีมานี่เวลาผมเห็นใครใส่แว่นก็จะพลอยนึกถึงน้องไปเสียหมด จนเผลอแสดงความรู้สึกเล็กน้อยออกมา พาลให้คนเข้าใจผิดคิดว่าผมมีใจ และวันนี้ผมได้พบน้องเขาอีกครั้ง แม้จะเกือบสายไปอีกแล้วก็ตาม
           เมื่อคิดอะไรไม่ได้ก็เลิกพยายาม ผมพับจอแม๊คบุ๊คเก็บเข้ากระเป๋าแล้วเดินออกจาสตูปีห้าเพื่อไปที่ห้องบรรยายที่ปีหนึ่งกำลังเรียนอยู่ แอบมองผ่านกระจกเพื่อดูสภาพคนข้างใน กวาดตามองรอบเดียวก็เจอแล้ว ...น้องไลท์... กำลังแอบหลับอยู่หลังห้อง มีเพื่อนสองสามคนกำลังจะแกล้ง ผมหลุดขำออกมาเลย น้องเป็นเด็กที่--แค่ดูเนิร์ด จริงๆ ผมกดหน้าผากแนบกระจกจ้องมองใบหน้าสงบนิ่งตอนไลท์หลับ ช่างชวนฝันจริงๆ
           ไม่นานก็โดนแกล้งจนตื่น ลุกขึ้นมายังจะโวยวายเหวี่ยงเพื่อนอีก ไอ้หมูน้อยจอมพยศ ผมดูเวลาก็ใกล้จะพักเที่ยงแล้ว ปีอื่นๆก็ทยอยลงมาจากตึกเรียนใหญ่ จึงเดินเลี่ยงมานั่งม้านั่งไม้ใกล้กับห้องอาจารย์แทน(มองเห็นห้องบรรยายปีหนึ่ง) รอจนกระทั่งเด็กๆและอาจารย์เดินออกมาจากห้อง ผมเห็นหัวไวๆของไลท์ทันที แหม เวลาเลิกเรียนนี่ออกมาก่อนเพื่อนเลยนะ เฟี้ยวจริงๆ
           ผู้คนเริ่มเดินมาสมทบกันมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเลิกเรียนพร้อมกัน ตลอดทางก็เป็นไปตามคาด เกือบทุกคนเห็นผมแล้วต้องทัก โดยเฉพาะพวกสาวๆ เวลาปกติก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เพราะไม่เป็นปัญหา แต่เวลานี้กลับทำให้ผมรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
           “พี่ธันคะ ไปทานข้าวกัน”
           “พี่ธัน ตรวจแบบเป็นไงพี่”
           “ปิดเทอมไปไหนมาครับพี่ หรือว่ามัวแต่ฝึกงาน”
           และอีกมากมาย ก็ยิ้มบ้างตอบบ้างตามปกติ ไอ้คนที่ผมจะไปหานี่สิ พอเห็นผมก็ลื่นปรู๊ดออกจากฝูงชนไปนั่งซะไกล มีฝูงเพื่อนตามไปสองสามคน สงสัยจะเขินคนเยอะ กว่าผมจะปฏิเสธเหล่ามนุษย์น้องที่พยายามลากแขนไปกินข้าวด้วยหมด ตรงที่น้องไลท์นั่งอยู่ก็เหลือคนไม่กี่คน
           “ไม่ไปกินข้าวหรอ หมูน้อย”
           ไลท์หันมาทำหน้าแปลกๆใส่ผม “รอไอ้อุ้มอยู่ มันไปเข้าห้องน้ำ”
           มีสายเข้าผมพอดี เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดว่าผมมีใจให้แถมยังมีภาระผูกพันธ์ด้วยสัญญาบางอย่าง เธอชื่อเกด และผมตัดสายเธอทิ้ง
           “ไปกินข้าวกับพี่มั๊ยล่ะ กำลังจะไปกินพอดี”
           “เมื่อกี้คนชวนตั้งเยอะทำไมไม่ไป”  ก็พี่จะไปกับไลท์นี่นา
           ไลท์ก้มหน้าลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ไอ้ผมก็ลุ้นว่าไลท์จะว่ายังไง อย่างว่าแหละ ตอนนี้คนก็ยังคงเดินไปมากันอยู่ อึดใจก็มีเสียงเรียกมาอีกแล้ว
           “ไลท์ อยู่นี่เอง” เด็กปีหนึ่งหน้าตาดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา
           น้องไลท์หันไปหาที่มาของเสียงแล้วทำท่าดีใจ “เบส มาไงวะเนี่ย ตึกมึงอยู่ตั้งไกล”
           “มาชวนไปกินข้าวเนี่ยแหละ วันก่อนยังคุยค้างไว้อยู่เลย ไปกับเบสนะ”
           “เรื่องที่คุยค้างไว้?...อ๋อ ที่ว่ามีเรื่องจะบอกน่ะหรอ” ไลท์ดูประหลาดใจ ออกจะตื่นๆด้วยซ้ำ ไอ้น้องเบสนี่ก็ยังไง จะมาจีบไลท์งั้นหรอ เห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอซะด้วย
           “เอ็งอยู่สาขาไหนเนี่ย”
           “หวัดดีพี่ ผมเบสครับ อยู่นิเทศ พี่ใช่พี่ธันวารึเปล่า”
           “เออ...นิเทศไม่มีประชุมปีหนึ่งรึไง กูเห็นไอ้เชี่ยไกด์มันเรียกอยู่นี่” ไปไหนก็ไปไป๊
           “พี่ไกด์ปล่อยให้พักก่อนพี่ บ่ายค่อยเรียกอีกที” เวรเอ๊ย
           “ธันนนน...” ใครเรียกอีกวะ
           ชะงักงันเลยครับ เกดนั่นเอง กำลังเดินลงมาจากตึกอาจารย์ ท่าทางหงุดหงิดเสียด้วย ยุ่งแน่
           “ทำไมตัดสายเกด เกดโทรหาตั้งสองรอบ”  หรอวะ? ผมตัดไปรอบเดียวนะ มั่วรึเปล่า
           “ก็....” จะบอกว่ายุ่งอยู่ก็ไม่ได้
           “ไปกินข้าวกับเกดเดี๋ยวนี้เลย โทษฐานทำให้เสียน้ำใจ”
           “แต่ว่า...” ผมพยายามเค้นสมองคิดด้วยความเร็วเหนือแสงเพื่อหาทางเลี่ยง ทว่าคิดไม่ออก
           “อย่าลืมว่าเกดช่วยธันตั้งเยอะ” เช็ด....
           ผมไม่น่าขอให้เธอช่วยหลอกพ่อแม่เรื่องมีแฟนแล้วเลย เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอติดผมเป็นปลาหมึก แกะก็ไม่ได้เพราะสัญญากันไว้แล้วว่าต้องทำตามที่เธอขอทุกอย่าง แม้ผมไม่ได้อยากเป็นแต่เธอก็ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นแฟนผมเรียบร้อย
           ถึงตอนนี้ผมหันไปมองไลท์ เขาสวมใบหน้าเย็นชาปนน้อยใจไว้แล้ว แม้ไม่ได้มองใครแต่คงคิดไปไหนต่อไหนแล้วแน่ๆ เพราะจู่ๆเขาก็ลุกพรวด
           “ไปเบส ไปกินข้าวกัน” ไลท์พูดออกมาและลากแขนเด็กนิเทศออกไปจากสายตา ความรู้สึกตอนนี้ของผมคือเซ็ง เวลาที่ไม่ได้อะไรดั่งใจนี่แม่งเซ็ง ผมใช้หน้าเซ็งๆนี่แหละคุยกับเกด
           “จะไปกินที่ไหนล่ะ”
           “ไปโรงอาหารวิศวะกันเถอะ เกดอยากกินก๋วยเตี๋ยว”

           ที่โรงอาหารติดเครื่องปรับอากาศ ผมสั่งข้าวมันไก่ เกดกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ผมนั่งฟังเกดพูดนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยไดยไม่ได้ใส่ใจฟัง เอาแต่เฝ้าคิดว่าน้องไลท์จะกินข้าวกับหมอนั่นสนุกหรือเปล่า ตอนนี้น้องจะคิดอย่างไรกับผม คงจะคิดว่าผมเป็นเสือผู้หญิง คิดว่าผมกับเกดเป็นแฟนกัน หรือสรุปเอาเองว่าผมมีเจ้าของแล้ว ...แต่ข้อหลังไม่ปฏิเสธ ใจผมมีเจ้าของแล้ว เพียงแต่ยังรู้สึกสับสนบางอย่างเท่านั้น และผมไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
           “ธัน...”
           “หืม” 
           เกดทำหน้าหงิก “ธันไม่ฟังเกดเลยหรอ”
           “ขอโทษที เราคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะ”
           “ธัน...” เธอไม่ได้เรียก แค่กำลังหัวเสีย
           ผมมองเกดอยู่พักหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ปกติตามติดผมตลอดไม่ห่าง แม้เป็นเพื่อนก็ดูเกินปกติถ้าจะมาเกาะแกะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเธอตระหนักมั๊ยว่าผมไม่ได้คิดอะไรด้วย หรือจะแค่ควงผมให้ใครต่อใครเห็นก็ไม่แน่ใจ--อย่างที่ไอ้วีมันบอก หากผมต้องการจะจริงใจกับไลท์ ก็คงต้องชัดเจนกว่านี้
           “เกด.....”
           “อะไร?”
           “เกดรู้ใช่มั๊ยว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน...คือ--”  ผมวางช้อน  “เราไม่ได้คิดอะไรกับเกดนอกจากคำว่าเพื่อน”
           “ธัน...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” เป็นไปตามคาด เธอโกรธ
           “ธันคิดว่าเราสองคนน่าจะทำอะไรให้ชัดเจนนะ เราก็โตๆกันแล้ว”
           “แต่ธันไม่เคยปฏิเสธเกดนี่นา”
           “เราขอโทษ เราก็แค่เห็นเกดเป็นเพื่อน แล้วที่ผ่านมามันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มัน--”
           “ตอนนี้ทำไม? ธันมีคนอื่นหรอ?” เกดพูดสวนขึ้นกระทันหัน
           “ก็....ไม่ใช่คนอื่นซะทีเดียว เรารู้จักกันมานานแล้ว”
           “ใคร?” นั่นไม่ใช่คำถามที่อยากจะตอบ ผมถอนหายใจและเสมองไปทางอื่น
           “ขนาดพูดถึงเค้าธันยังไม่กล้าพูดเลย เราเชื่อว่าธันไม่ได้รักเค้าจริงๆหรอก ธันก็แค่อยากไปจากเกดใช่มั๊ย”
           ผมเบื่อการคุยกับผู้หญิงแบบนี้ที่สุด ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย “มันไม่เกี่ยวกันซักหน่อยเกด เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว ยังไงเราก็คิดแบบเกดเหมือนเดิมนั่นแหละ”
           เกดเลิกกินทั้งๆที่ยังไม่หมด ทิ่มตะเกียบลงชามราวกับตั้งใจจะให้มันทะลุ “ธันจะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ ยังไงที่ธันสัญญาไว้ธันก็ต้องทำตาม สำหรับคนที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกใครอย่างธัน ไม่มีใครเขาทนได้นานหรอก จำคำเกดไว้”
           แล้วเธอก็ลุกจากโต๊ะไป ปล่อยให้ผมนั่งพิจารณาคำที่เธอพูด ผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แต่เธอกล่าวหาอย่างร้ายกาจ ผมใส่ใจความรู้สึกของคนที่ผมรักเสมอ ผมพูดตรงๆกับเพื่อนตลอด สิ่งใดไม่ชอบก็จะพูดออกไป สิ่งที่ชอบก็จะบอก เพราะผมเชื่อว่าความจริงใจ คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราแคร์คนที่เราห่วงใยนะ
           ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมบอกกับตัวเองแล้วว่า จะไม่ปล่อยไลท์ไปเด็ดขาด

                     -------------------------------------------------------------------------------------------------------

           ในสตูดิโอเขียนแบบของปีหนึ่งยังโล่งอยู่ มีบ้างที่ทยอยเข้ามารอหรือเริ่มงานที่ถูกมอบหมายไว้เมื่อตอนเช้า เป็นเรื่องปกติ มีแต่ผมนี่แหละที่แปลกออกไป เพราะคงไม่มีปีสุดท้ายคนไหนต้องมารอปีหนึ่งแบบผมแน่
           วันนี้ไลท์จะเริ่มฝึกเขียนแบบวันแรก นิสัยแบบนั้นคงต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา กะจะมารอเจอเพื่อให้กำลังใจเสียหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มา ไม่รู้ไปอยู่ไหน มีแต่ปีสองเทียวไปเทียวมาเพื่อดูหน้าน้องรหัสแบบลับๆ บ้างก็ทำความรู้จักและให้ความช่วยเหลือ
           ผมเดินตามหา ถามเพื่อนๆของไลท์ ทุกคนรู้จักเขาจากตอนปรับพื้นและในห้องบรรยายเมื่อตอนเช้า แต่ก็ไม่มีใครเห็น กระทั่งแม่สาวผมยาวที่ชื่ออุ้มนั่นก็หายไปด้วย สุดท้ายจึงได้แค่ทำใจ เพราะผมเองก็มีตรวจแบบวิชาสำคัญอย่างสหวิทยาการเหมือนกัน เพราะเป็นงานกลุ่มจึงหนีไม่ได้ ผมโทรถามไอ้วีเลยรู้ว่าทุกคนขึ้นไปห้องฉายสไลด์กันเกือบหมดแล้วจึงขึ้นไปสมทบ พอมาถึงไอ้วีก็เล่นงานทันที
           “มึงหายไปไหนมาวะ หาตัวกันให้ขวัก”
           “ไปกินข้าวกับเกด” นึกถึงเธอขึ้นมาได้เลยหันไปหา เห็นกำลังนั่งอยู่กับเพื่อนกดโทรศัพท์เล่น ดูไม่ได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ เฮ้อ ผู้หญิง
           “แล้ว...น้องไลท์กูไปไหนซะล่ะ”
           เป็นไปได้ก็ยังไม่อยากคุยเรื่องนี้นะ “เห็นไปกินข้าวกับเด็กนิเทศ ชื่อเบสมั้ง”
           “พวกมึงทะเลาะกันอีกแล้วหรอ?”
           “ก็....ไม่ใช่หรอก” เข้าใจผิดต่างหาก
           “กูถามจริงๆนะ มึงได้เริ่มทำอะไรหรือยัง”
           “ยังไงวะ หมายความว่าไง”
           “ก็นี่มึงปีสุดท้ายแล้ว รีบทำอะไรให้มันจริงจังชัดเจนหน่อย มึงจบไปก็ไม่ได้มาดูแลใกล้ชิดแบบนี้แล้วนะ”
           “กูก็กำลังจะทำอยู่ป่ะ” ผมโวย ไอ้วีแม่งก็จริงจังเกินจริงตลอด
           ผมยังลังเล นั่นแหละที่ขัดขวางไม่ให้แสดงความรู้สึกออกไปตรงๆได้ ผมยังกลัวการครหา ครอบครัวผมมีชื่อเสียงและคนรู้จักมากมาย หากลูกชายคนโตต้องมามีข่าวแบบนี้ โดนตัดออกจากกองมรดกแน่ แผลอๆจะโดนไล่ออกจากบ้านด้วย หากจะคบกับไลท์จริงๆก็คงหนีไม่พ้นต้องเปลี่ยนสังคมกันเลยทีเดียว แม้การคบกันระหว่างผู้ชายจะเป็นเรื่องไม่แปลกสำหรับสมัยนี้ แต่เพื่อนพ่อแม่แต่ละคนที่ยังเห็นการคลุมถุงชนแต่งงานเพื่อสานต่อความสัมพันธ์เชิงธุรกิจเป็นเรื่องที่ควรทำ แล้วการต่อต้านครอบครัวกับหุ้นส่วนบริษัทไม่เท่ากับกบฏหรอ ผมพยายามจะขอแบ่งมรดกส่วนหนึ่งมาไว้ตั้งตัวก่อน แต่พ่อก็เอาแต่บอกว่าผมยังไม่พร้อม ไม่เข้าใจจริงๆ
           สามชั่วโมงผ่านไปด้วยความเบื่อหน่าย ผมกับเพื่อนต้องขึ้นไปบรรยายโครงการที่ตัวเองจะทำ กลุ่มผมทำโครงการรีสอร์ทเมืองเชียงใหม่ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ถ้าเทียบกับสถานีขนส่งกลางของกรุงเทพมหานคร โครงการผมก็กลายเป็นบ้านหลังเล็กๆไปเลย แต่ก็ดี ไม่เหนื่อย
           ปีห้าอย่างผมบรรยายกันทีเล่นเป็นวัน ถ้าเริ่มบ่ายก็คงไม่พ้นสองทุ่มอยู่ดี พอเสร็จสิ้นทุกกลุ่มแล้ว ผมกับไอ้วีก็รีบออกจากห้องบรรยาย เราสองคนมีจุดหมายเดียวกัน
           สตูปีหนึ่ง...
           แต่ใครจะอยู่วะ งานปีหนึ่งอ่อนด๋อยมาก ไม่เกินสี่โมงเย็นก็น่าจะเสร็จกันแล้ว และเป็นไปตามนั้นครับ ไฟทั่วสตูดิโอดับหมด มีเหลือเพียงดวงเดียว และไลท์นั่งเขียนแบบอยู่ นั่งอยู่คนเดียวจริงๆ ผมเห็นหน้าน้องที่ตั้งใจทำงานแล้วก็ให้ถอนใจ ภาพความทรงจำของเมื่อเก่าก่อนกลับมาอีกครั้ง น้องไลท์ที่นั่งทำภาพแปลอักษรคนเดียวดึกดื่นในขณะที่คนอื่นกลับบ้านพักผ่อน ครั้งนั้นผมแอบอยู่ด้วยแบบเงียบๆ ไม่กล้าเข้าไปหาน้อง แต่ตอนนี้ไม่...
           “หมูน้อย”
           ไลท์สะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันมามอง ทันใดนั้นก็ทำหน้าเครียดทันที ไม่พูดไม่จาด้วย
           “ทำไมมาอยู่คนเดียวล่ะ”
           “ตาบอดหรือไง” ยังยียวนเหมือนเดิม
           “ทำไมไม่กลับไปทำที่ห้อง...”
           ไลท์เหมือนไม่อยากตอบ คงจะงอนอยู่รึเปล่า?  “...ไม่มีโต๊ะ”
           อ้อ เข้าทาง “ไปที่ห้องกูดิ”
           น้องดูตกใจ มองหน้าผมแบบตื่นๆ แล้วหันกลับไปทำเสียงฟึดฟัด
           “วันนี้ไปกินอะไรมา ทำไมถึงมาพูดจาเป็นโมจิ”
           “ห๊ะ อะไรคือพูดเป็นโมจิวะ”
           “ก็....” น้องไลท์ดูเหมือนไม่อยากพูดความหมายออกมา “ช่างเถอะ ไปไหนก็ไป อย่ามากวน คนกำลังรีบ”
           อารมณ์เสียแบบนี้คงไม่ได้คุยดีแน่ ผมแกล้งเดินออกจากสตู ไอ้วีคุยโทรศัพท์อยู่ไกลๆ ผมเลยแอบที่ประตู เห็นน้องไลท์หันกลับมาแต่ไม่เห็นผมก็ถอนหายใจและทำงานต่อ ผมเลยแกล้งแอบย่องไปด้านหลัง
           “จ๊ะเอ๋” โผล่ไปอีกด้าน
           “เฮ้ย เล่นเชี่ยไรเนี่ย” ไลท์ดูตกใจจริงๆด้วย
           “งอนพี่หรอ”
           ไลท์นิ่งไปพักหนึ่ง ผมคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธอีกแต่กลับไม่ เขาค่อยๆพูดมันออกมา “ไอ้ที่บอกว่ายังโสดก็โกหกสินะ”
           “พี่ไม่ได้โกหก” แอบดีใจที่ไลท์งอน ชอบผมอยู่จริงๆด้วย
           “ใครๆเขาก็บอกว่าพี่เกดเป็นแฟนพี่ธัน ถามใครๆก็รู้ ถึงไม่ต้องรู้ก็ดูออก”
           “ไลท์ไม่เชื่อคำพูดพี่หรอ?”
           ผมนึกว่าคำพูดนี้จะทำให้ไลท์มั่นใจผม ทว่า...
           “อยากให้เขาเชื่อมั่น ก็ต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือ อย่างพี่น่ะ รอไปก่อน”
           แอบทอดถอนใจไม่ได้ ดูจากนิสัยแล้ว ไลท์คงเป็นคนใจแข็งถึงที่สุด ท่าจะต้องเหนื่อยกันอีกยาว ระหว่างนี้ไอ้วีก็เดินเข้ามาทำหน้าทำตาสดชื่นใส่ ไม่รู้เมื่อกี้คุยกับใคร... มันไม่มีสาวๆ
           “ไงไลท์ ทำอะไรอยู่วะไม่กลับหอกลับห้อง”
           “อะไรไม่รู้พี่ เขาบอกให้เขียนก็เขียนตามเขาไปเนี่ย ปวดตาจะแย่” ผมดูแระ นี่เป็นงานโปรเจคเส้นประกอบรูป เหมือนกับทำให้กล่องยาหม่องที่คลี่ออกกลับเป็นกล่องที่สมบูรณ์ดังเดิม(เป็นรูปภาพ) ทว่ารูปคลี่นั้นเป็นโจทย์และเราก็ไม่รู้ว่ารูปเต็มนั้นเป็นยังไง เป็นพื้นฐานสำหรับปีหนึง สำหรับฝึกสายตาการมองภาพผังพื้นกับรูปทรงอาคารและเป็นการฝึกใช้เครื่องมือเขียนแบบด้วย
           “มึงนี่มึนดีนะ แบบนี้จะไปรอดหรอวะ” ผมถาม
           “ไม่ยุ่งสักเรื่องดิ จะคุยกับพี่วี”
           “ทีกับไอ้วีล่ะเสียงอ่อนเสียงหวาน หมั่นไส้”
           “ก็พี่วีเขาเป็นคนดี คนดีๆก็ต้องได้อะไรดีๆดิวะ”
           “แล้วพี่ล่ะ”  ไลท์ไม่เห็นพี่เป็นคนดีเลยหรอ
           “เอาล่ะๆ พอเลยสองคนนี่ ทะเลาะกันอย่างกับเด็ก”  ไอ้วีหันขวับมามองผม  “มึงนี่นะไอ้ธัน ทำตัวดีๆหน่อย”
           คราวนี้ไลท์ทำหน้าสะใจ แกล้งพี่อยู่ใช่มั๊ยครับเนี่ยน้องไลท์ ผมแอบยิ้มนะ ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นแล้วนี่ แต่พอไลท์หันมาก็ต้องแกล้งเฉยไว้ก่อน ทำทีเป็นสำรวจอุปกรณ์เขียนแบบที่อยู่ในกล่องอย่างดี--ปลื้มแหะ ก็ของที่ผมให้ถูกหวงแหนเสียขนาดนี้
           “เออนี่น้องไลท์ ตะวันไม่มารับหรอ”  ไอ้วีถามถึงไอ้ตะวันอีกแล้ว ไอ้นี่ก็ยังไง เจอกันไม่เท่าไหร่ตัวติดกันยังกับปาท่องโก๋
           “มันไปซื้อข้าวให้ผมอยู่ครับ เดี๋ยวคงมา” ไลท์ตอบด้วยเสียงสุภาพ แต่แอบยิ้มน้อยๆ “คิดถึงนายตะวันหรอครับคุณรวี”
           แหน่ะ นอกจากจะทำตัวเกเรมาสายตอนเรียนแล้ว ยังเป็นพวกชอบเผือกอีก
           “อืม คิดถึง”
           “เฮ้ย มึงไม่ปฏิเสธเลยหรอวะ” แบบนี้เรียกมั่นคง ไม่สะท้านสะเทือน โคตรตรงเลยเพื่อนกู “ตกลงมึงชอบไอ้ตะวันหรอ”
           “ไม่มีอะไรมากหรอก กูชอบคุยกับมัน วันนี้ก็เห็นว่าจะเอาอาหารที่ทำตอนเรียนมาให้ลองชิม”
           “ไวไฟนะเนี่ย คู่เนี้ยะ”
           “บ้า.. ไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น พวกมึงอย่ามาเสี้ยมให้ผิดใจกัน”
           “อืม...ก็จริงนะ” ไลท์ทำหน้าแปลกๆ “ผมก็ไม่เคยเห็นว่าไอ้ตะวันมันจะมีใครเข้ามาในชีวิตมันสักครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามันชอบผู้ชายด้วย เรื่องนี้พี่ต้องลุยเองแล้วล่ะ”
           “ทำเป็นพูดดี ตัวเองก็เห็นด้วยกับมันใช่มั๊ยเล่า ไอ้หมูน้อย” ผมแหย่ ก็พูดคำว่าชายรักชายออกมาหน้าตาเฉย ตัวเองก็แอบชอบผมอยู่ ยังจะมาทำเป็นออกความเห็น แก่แดดแก่ลมจริง
           “เฮ้อ ขัดทุกเรื่องจริงๆ ไปไหนก็ไปป่ะ”
           “ไม่ไป จะอยู่กับไลท์ ไม่ยอมไปไหน”
           แล้วน้องไลท์ก็ดูอึ้งๆกับคำพูดผมแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนขีดต่อไป สักพักใหญ่ แสงไฟสว่างจ้าก็สาดทะลุหน้าต่างกระจกเข้ามาพร้อมเสียงเครื่องยนต์ สงสัยไอ้ตะวันมันจะกลับมาแล้ว ว่าจะชวนน้องไลท์ไปกินข้าวเสียหน่อย
           “ไลท์ เสร็จยังวะ นอนดึกไม่ได้นะมึงน่ะ....อ้าว พวกพี่ๆ มาได้ไงเนี่ย”
           “เรื่องของกู” ผมตอบ โดนไลท์ฟาดด้วยแอดจัดเทเบิ้ล เซต สแควร์(เป็นอุปกรณ์เขียนแบบรูปสามเหลี่ยมที่ปรับมุมองศาได้)
           “เอ้าไอ้ไลท์ กินซะก่อนจะได้กินยา” ไอ้ตะวันวางข้าวให้ไลท์บนโต๊ะ “ขอโทษนะพี่ ไม่รู้ว่าจะเจอเลยไม่ได้ซื้อมาเผื่อ”
           “ไม่เป็นไร พวกเรากินมาแล้ว” ไอ้วีโกหก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ...
           “กินยาอะไร ไลท์ป่วยหรอ”
           ไลท์ถอนหายใจมาหนึ่งเฮือก ผมไม่รู้หมายถึงอะไร  “ไม่มีอะไรหรอก โรคประจำตัวน่ะ ไม่ต้องสนใจก็ได้”
           “โรคอะไรต้องกินยาประจำแบบนี้....ไอ้ตะวัน” ผมหันไปบี้เพื่อนไลท์แทน
           “ก็...มันเป็น...” มันไม่กล้าพูดแล้ว ผมไม่เคยเห็นไลท์ทำหน้าดุแบบนั้นมานานแล้ว เหมือนตอนก่อนจะล้มจิ๊กโก๋รุ่นพี่
           “ไลท์ มีอะไรทำไมไม่บอกกัน...”
           “ผมขอนะพี่ธัน เรื่องนี้มันไม่มีอะไรหรอก”
           ไลท์ไม่ได้มองหน้าผมตรงๆ แต่สายตาใต้เงามืดจากแสงไฟทำให้ต้องเงียบ ผมถอดถอนใจแล้วคว้ามือซ้ายของไลท์ขึ้นมาจับไว้แน่น น้องทำท่าจะดึงออกแต่ผมยึดไว้ ที่บนข้อมือนั้นมีปลอกผ้าเท่ๆมัดอยู่ ผมรู้ว่าข้างใต้คือสายรัดที่วัดการเต้นหัวใจได้ เข้าใจว่านักกีฬาหรือพวกที่ชอบออกกำลังกายมักจะชอบใส่ของพวกนี้ แต่ถ้าถึงกับต้องใส่ไว้ตลอดเวลา ทั้งยังไม่อยากให้ใครเห็นอีก มันเดาได้ไม่ยากเลย และนั่นไม่ได้ทำให้หายกังวลเลยสักนิด
           “ปล่อยดิพี่ธัน ผมจะทำงาน”
           “ไม่ต้องทำแล้ว” ผมแกะข้าวให้ไลท์ “ไปนั่งกินข้าว...ไป ได้กินยาด้วย นี่จะสามทุ่มแล้ว”
           “แต่...”
           “ไปเร็ว”
           น้องไปกินข้าวจนได้ โต๊ะเล็กเชอร์ไม้ที่จิ๊กมาจากห้องเลคเชอร์ใหญ่ถูกวางเป็นเคาน์เตอร์ร้านอาหารชั้นดี ส่วนใหญ่ไว้ใช้นอน แต่มันก็สารพัดประโยชน์นั่นแหละ ผมมองจนไลท์ตักข้าวเข้าปากจึงเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะเขียนแบบแล้วลงมือลากเส้น ที่จริงก็เหลือไม่เยอะแล้ว ง่ายมาก
           “เฮ้ย ทำไรอ่ะ” ไลท์ถาม แต่ผมไม่ตอบ ยังคงทำต่อไป “เดี๋ยวไลท์ทำเอง”
           “ไม่ต้องพูดมาก กินข้าวให้อิ่ม แล้วกินยา” ผมสั่ง หันไปหาตรงๆ “ต้องกินยาเวลาไหนก็ต้องกินให้ตรง”
           “รู้หรอกน่า” ไลท์บ่นอุบอิบ แม้จะน่าตีแต่น่าเป็นห่วงมากกว่า จากนี้ไปเวลาในการพักผ่อนของไลท์จะน้อยลงเรื่อยๆ นั่นจะเลวร้ายมากสำหรับโรคแบบที่เขาเป็น
           “...และนี่เป็นคำสั่ง

                     ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
[ต่อด้านล่าง]
(จะลงไปทำไมถ้ามีต่อ 55+)


ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

[ต่อจากด้านบน](อ้าว...สรุปว่าข้างล่างมีต่อหรือต่ออยู่ข้างบน)(แต่ยังไม่มีต่อมานี่เนอะ ไม่ต้องกลัวไป)

          หลังกินข้าวเสร็จไลท์ก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์ แต่ผมเห็นว่าน้องแอบมองเป็นระยะๆ เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่นแต่ก็ไม่กล้าขอ จนมาตะหงิดๆว่าเขาหัวเราะอะไรคิกคักอยู่คนเดียว คิดสักพักก็ถึงบางอ้อ
           “ได้ไปกี่รูปแล้วครับหมูน้อย” ไลท์แอบถ่ายรูปผม
           “บ้า...” ยังจะปากแข็งเถียงคอเป็นเอ็นอยู่นั่น
           “เรารับปากแล้วว่าจะทำตามคำสั่งนะ อย่าลืมซะล่ะ”
           น้องรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง สามคำสั่งที่ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข และนี่เป็นคำสั่งแรก ดูแลตัวเอง
           ใครว่าผมไม่สนความรู้สึกคนอื่น เอาเข้าจริงที่เกดพูดมาก็ถูกนะ ผมไม่เคยสนใจความรู้สึกและใจของผู้อื่นมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมันเลย ไม่เคยได้สัมผัสหรือให้ความสำคัญ สิ่งที่คิดว่ารู้...ครั้งนี้มันต่างออกไป และผมเริ่มจะเข้าใจมันมากขึ้นแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดี ดีมากๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต สำหรับความรู้สึกดีกับหัวใจที่ถูกพัธนาการ เชือกที่ผูกไว้ ผมจะมัดมันให้แน่นที่สุด
           สี่ทุ่มแล้ว ในที่สุดผมก็เขียนเสร็จ ไลท์นั้นเพลียเพราะฤทธิ์ยาและหลับไป ผมเข้าไปนั่งตรงศีรษะ ลูบผมไลท์อยู่สักพักก็ตัดสินใจปลุก น้องตื่นมางัวเงีย เก็บของเสร็จก็พากันเดินออกจากสตู ที่หัวบันไดไอ้วีนอนหงายหลังแล้วเอามือหนุนหัวหลับตาพริ้ง แต่น่าจะยังไม่หลับ ข้างๆมีไอ้ตะวันนั่งสูบบุหรี่ควันฉุย ไลท์เห็นก็เดินปรี่เข้าไปโบกหัวเพื่อนทันที
           “กูบอกว่าอย่าสูบไง มึงบอกกูว่าจะเลิกจำได้มั๊ย”
           “เชี่ยยย กูก็เลิกมาตั้งนานแล้ว ขอหน่อยไม่ได้หรอ”
           “ไม่ต้องมาแถแก้ตัว ทิ้งไปเดี๋ยวนี้”
           แม้จะดูขัดใจ แต่เพื่อนไลท์คนนี้ไม่เคยขัดขืน เป็นลักษณะของเพื่อนที่ตามใจเพื่อนจนเพื่อนเสียคนจริงๆ
           ผมกับไลท์กลับรถคนละคัน ไอ้ตะวันขับนำหน้ากลับหอโดยมีรถผมตามติด พอถึงหอผมก็ลงจากรถแล้วเดินไปหาไลท์ที่กำลังลงจากรถมาเหมือนกัน
           “ขึ้นหอแล้วอาบน้ำนอนเลยล่ะ นี่ดึกมากแล้ว” ผมย้ำ น้องทำหน้าเหมือนเด็กที่โดนแม่ดุ
           “คร้าบบบ เข้าใจแล้วคร้าบ”
           “แล้วก็...”  ผมขยี้หัวไลท์อย่างเอ็นดู  “ฝันดีนะ หมูน้อย”
           วันนี้น้องไม่ขัดขืนที่ผมถูกเนื้อต้องตัว ทั้งยังแอบยิ้มให้น้อยๆก่อนจะเดินขึ้นหอไป ผมกำชับให้ตะวันดูแลแทนผมด้วย มันเอาแต่ส่ายหน้าแบบระอาหน่อยๆ คงจะคิดว่าจู้จี้จุกจิกไม่เป็นเรื่อง แต่ผมไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์ส่งท้ายที่ทำให้ผมแปลกใจ ไอ้ตะวันมันหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ออกมาแล้วยื่นให้ไอ้วี
           “วีลองเอาไปชิมดูนะ ดีไม่ดีก็คอมเมนท์ให้ตะวันด้วย”
           “หลังจากนี้วีคงต้องออกกำลังกายหนักขึ้นอีกแล้วใช่มั๊ย”
           “จะเอาแบบไขมันต่ำมั๊ยล่ะ ช่วงนี้คนฮิตดูแลสุขภาพ อาหารน้ำตาลน้อยน่าจะขายดี”
           “เปิดร้านเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวไปช่วยแต่งร้านให้”
           “ขอบใจนะ แล้วจะบอกอีกที” ตะวันโบกมือลา “ไปล่ะ”
           ฝ่ายหนึ่งยิ้มส่งอีกฝ่ายขึ้หอพัก สถานการณ์นี้ตีเข้าหน้า ทำเอางงเป็นไก่ตาแตก บทสนทนาเหมือนคนจีบกันมานานนม ไอ้วีคบกับใครไม่เคยพูดเกินสิบประโยค นี่เท่าที่เห็นหลายวันมานี่ปาเข้าไปเป็นพันแล้วมั้ง ไม่รู้จะถูกคออะไรกับเพื่อนไลท์คนนี้นักหนา แต่...นี่ผมเป็นคนหวงเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่วะครับ
           ก่อนจะแยกย้าย ผมมีสิ่งที่ต้องไปทำและไอ้วีต้องไปด้วย
           “มึงอย่าเพิ่งฟิน สัดวี ไปกับกูก่อน”
           “ฟินเชี่ยไรมึง ...ไปไหนวะ?”
           “หาไรกินเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ กูหิว ข้าวเย็นมึงก็ไม่ได้กินไม่ใช่หรอ”
           มันทำหน้าเห็นด้วย เพิ่งนึกได้หรอมึง  “กินกับกูมั๊ย นี่ไง” มันชูถุงที่ไอ้ตะวันเพิ่งให้มา
           “สัด ของมึงๆก็เก็บไว้ฟินคนเดียว แค่นั้นไม่พอแดกหรอก ป่ะ เซเว่นปากซอยก็ได้”
           “เออๆ”
           พวกผมสองคนจึงลงเอยด้วยอาหารสำเร็จจากเซเว่นหน้าปากซอย กับหมูย่างไม้ละสิบ นั่งกินกันสองคนตรงบันได
           “วันนี้มึงดูโอเคขึ้นนะธัน”
           “อะไรวะ?”
           “มึงเริ่มใส่ใจ กูไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้มาก่อน”
           ผมเงียบไป เรื่องนี้มันบอกอยู่เนืองๆ แต่ตอนนั้นผมปฏิเสธที่จะยอมรับ
           “อย่างน้อยกูก็รู้สึกว่ามึงเลิกลังเลสงสัย”
           “ลังเล....มึงคิดว่ากูลังเลเรื่องอะไร?”
           “อนาคตไง”
           “อนาคตหรอ?”
           “กูรู้มึงคิดอยู่นานว่าถ้ามึงคบน้องไลท์จริงๆ ชีวิตมึงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มึงอาจจะต้องกลายเป็นลูกอกตัญญูของพ่อแม่ มึงอาจจะทำให้ธุรกิจที่บ้านมึงมีปัญหา มึงอาจจะต้องรับมือกับเรื่องดีและเรื่องร้ายหลายอย่างที่มึงไม่เคยเจอมาก่อน แล้วมึงก็กลัว”
           ผมไม่มีอะไรจะเถียงมัน

           “แล้วตอนนี้มึงตัดสินใจได้หรือยัง” ไอ้วีถาม
           ตัดสินใจ...ว่าจะละทิ้งสิ่งที่ผมถูกวางแผนไว้ทั้งหมดในชีวิตเพื่อทำตามเสียงหัวใจตัวเองน่ะหรอ...

           “อืม...กูว่ากูตัดสินใจได้แล้วล่ะ”


********************************************************************************************
Mr.SCROMAN : มันจะเรียบๆหน่อยนะช่วงนี้ คลื่นสงบมักตามมาด้วยลมพายุที่รุนแรง อยากได้แรงๆ ก็อาจจะได้สมใจ ติดตามได้เรื่อยๆนะ


ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

การแสดง??


           หนุ่มสถาปัตย์ในชุดไปรเวทหลากสไตล์เกาะกลุ่มยืนอยู่ระหว่างทางเดินที่เชื่อมโรงอาหารกับสตูดิโอ ทั้งหกคนยืนนิ่ง สายตาพุ่งไปทางเดียวกัน ในบรรยากาศเงียบสงบอันเป็นผลมาจากวันหยุดสุดสัปดาห์ มีเพียงเสียงตะกุยกายแหวกกองใบไม้ คลุกเคล้าไปกับเสียงเนื้อหนังหนากระทบกันอย่างดุเดือด ที่มาของมันคือวรนุชสองตัวที่กำลังเล่นกีฬากันอยู่
           "มันอึ๊บกันหรอ" หนึ่งคนถาม
           "ไม่ใช่เว้ย มันสู้กัน แถวนี้คงมีตัวเมียอยู่" อีกคนตั้งข้อสันนิษฐาน
           ทั้งหมดยังคงชมกันอย่างตั้งใจ ระยะห่างจากเวทีแค่ราวห้าเมตรไม่ได้ทำให้ใครประหวั่นพรั่นพรึง ทว่ามีหนึ่งคนในนั้นเกิดรู้สึกบางอย่าง เขาพูดมันออกมาด้วยความสงสัย
           "คือ...พวกมึงดูตั้งใจดูกันมากเลยนะ" เพื่อนที่เหลือยังเงียบและเฝ้าดูอย่างตั้งใจต่อไป "ไม่รู้สึกอะไรกันบ้างหรอ"

           "นั่นมันเหี้ยนะ"


******จากประสบการณ์จริง และเป็นความสงสัยของไรท์เตอร์มาโดยตลอด  :really2:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

9

ลิตเติ้ล : พอกันที



            วันศุกร์นี้มีมหกรรมวางยาน้องปีหนึ่ง โดยการให้เสพบรรยากาศของวงเหล้า สำหรับบางคน นี่คือประสบการณ์ใหม่ ตอนผมได้เข้ามาอยู่ปีหนึ่งโคตรสนุกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่จะทำให้เด็กร้อยพ่อพันแม่ได้ปลดปล่อยสัญชาตญานดิบของตัวเองออกมาโดยไม่ต้องเขินอาย  แล้วตอนนี้ผมทำอะไรอยู่น่ะหรอ ก็เรียนหูดับตับไหม้ไงล่ะ หลังจากผ่านช่วงปรับตัวให้เข้ากับชีวิตรันทดของนักศึกษา    สถาปัตย์มาได้ เหล่าคณาจารย์ทั้งหลายก็ดูจะไม่ปราณีในการสั่งงานอีกต่อไปแล้ว เท่าที่สืบมาพอจะเดาได้ว่า ต่อจากนี้ไปคือสายวิชาชีพจริงๆ น่าจะเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสไม่ใช่น้อย แต่ถ้าพื้นฐานแน่นเสียอย่าง ต่อให้มีอะไรหนักเข้ามาก็คงช่วยทุ่นแรงทุ่นเวลาไปเยอะทีเดียว นี่เป็นสาเหตุให้ผมอยากเลิกเที่ยวดึก เลิกทำตัวเป็นเด็กเกเร เรื่องนี้ทำเอาเพื่อนๆไม่พอใจไปหลายคน ก็ผมเป็นตัวชูโรงประจำงานเลี้ยง ขาดผมพวกมันก็ต่างบอกว่าไม่มีสาวๆเข้ามาหา
            ไม่สนแล้ว อยากทำอะไรก็ทำกันไป...
มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่จบ ไอ้พี่วิว วันก่อนก็มาอ้อนให้ไปเป็นเพื่อน บอกเพื่อนเก่ามาหาต้องไปเจอ มันเกี่ยวอะไรก็ไม่ทราบ แต่สุดท้ายก็ลากผมไปนั่งเซ็งอยู่ข้างๆมันจนได้  วันนี้ก็ลากมาติวหนังสือกะมันอีก ผมต้องหิ้วแบบไปทำเป็นเพื่อนมัน  ทั้งๆที่มันติวอยู่กับเพื่อนมันในเอก อดส่องน้องไลท์ตอนเข้าเชียร์เลย น้องไลท์เป็นหัวข้อที่หลายคนพูดถึง มีทั้งแง่ดีแล้วก็แง่ลบ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่น้องปีนเกลียว...อย่างว่า คนเด่นก็ต้องดึงดูดเรื่องเป็นธรรมดา ครั้งล่าสุดในห้องเชียร์นี่น้องไลท์แอบหลับ ให้ตาย
            พี่ธันอีกคน นี่ก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยน้องรหัสคนนี้เหลือเกิน ขนาดยังไม่เปิดรหัสยังขนาดนี้ คอยตามดูแทบจะทุกฝีก้าว บางทีมันก็ผิดปกติไปหน่อย ตั้งแต่เปิดเทอมมาพี่ธันดูเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ไปเจอเรื่องอะไรเข้า ผมเห็นเค้าลางบางอย่างที่มันกำลังก่อตัว บางอย่างที่ในไม่ช้าต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งเรื่องซุบซิบนินทาในสาขาก็ดูจะเป็นเรื่องของพี่ธันและน้องใหม่ของเขา แต่ช่างมันก่อนเถอะ
            ผมอยู่ใต้ถุนตึกหอประชุมคณะวิศวะที่ทั้งใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งยังมีผู้คนหนาตา บ้างอ่านหนังสือ พูดคุยและเล่นเกม(ไวไฟฟรี) ผมกำลังตัดโมเดลจำลองจากกระดาษเพื่อออกแบบพื้นที่การใช้งานกับรูปทรงอาคารคอนโดและตึกแถว แปะเข้าดึงออกจนเศษกระดาษค่อยๆกองสูงขึ้นเรื่อยๆ พอได้ที่พอใจแล้วก็เขียนลงกระดาษร่าง ประกอบเป็นผังอาคารบนพื้นที่ก่อสร้างที่โจทย์ให้มา ขั้นต่อไปก็ต้องพิจารณากฏหมายและบัญญัติต่างๆที่ควบคุมความกว้างความสูง ระยะห่างจากถนน บลา บลา บลา นี่ยังต้อง
            คำนวนน้ำหนักโครงสร้าง คิดวัสดุประกอบตัวอาคารและดูเรื่องความงามอีก โอ๊ย...
            “เป็นอะไรที่รัก”
            “ที่รักพ่องดิ” ผมด่าไอ้พี่วิว ตั้งแต่ผมแกล้งมันในเพจน์คิ้วบอยมันก็ใช้ทุกโอกาสที่มีล้อผมเรื่องที่เป็นเมียมัน
            “ไปเซเว่นกัน” มันชวน
            “เฮ้ย รอบที่ห้าแล้วนะ หิวหรอ”
            “อยากกินกาแฟ”
            “ไม่นอนรึไงคืนนี้”
            “งั้นไอติม”
            “เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”
            “เกี๊ยวกุ้ง”
            “น่าจะหมดนะ”
            “น้ำเปล่าก็ได้เอ้า...”
            “ซื้อมาตั้งสองสามขวด หยิบไปดิ”
            “............”
            เห็นมันเงียบไปเลยหันไปดู ที่ไหนได้ กำลังปั้นหน้าหงิกหน้างอใส่
            “มึงนี่ขัดทุกอย่างเลย”
            เห็นมันเครียดจริง ผมรู้ว่าเรียนวิศวะโยธาไม่ใช่อะไรที่ง่ายๆ กำลังจะยอมไปกับมัน แต่ว่า...
            “ไปกับกู”
            “ห๊ะ”
            “ไม่ต้องมา ’หา’ ...ห้ามปฏิเสธ”

                                    ------------------------------------------------------------------------

           ผมพ่นลมหายใจแบบปรงตก ซื้อปลาเส้นมาเคี้ยว ยืนกันอยู่สองคนหน้าเซเว่น ไอ้พี่วีน่ะหรอ จัดหนักจัดเต็มกับ...มาม่าถ้วยร้อนๆ
           “ก็แค่เบื่อไม่ใช่หรอวะ ทำไมต้องลงกับของกิน”
           “ก็กูไม่อยากเอาไปลงกับอย่างอื่น”
           “หมายความว่าไงวะ???”
           “กูไม่อยากให้มึงได้ยินคำว่าเบื่อจากกูไง”
           เดี๋ยวนะ ผมสับสน แค่เบื่อวิชาเรียนมันเกี่ยวอะไรกับผมครับไอ้พี่วิว แล้วอะไรคือต้องรู้สึกว่าคำพูดแม่งซึ้งด้วยล่ะ
           “น้ำเน่า เป็นอะไรมากป่ะเนี่ย” โดนผมว่ามันเลยทำหน้าเซ็งสุดๆ
           “มึงนี่นะ หน้าตาก็ดี ไม่น่าตายด้าน รู้จักไหมคำว่าโรแมนติกน่ะ”
           “เลอะเทอะแล้ว”
           “วันนี้ไม่ซ้อมเป็นพี่ว้ากหรอ” ไอ้พี่วิวถาม
           “ไม่ได้ว้าก แค่พูดสอน ไม่อยากว้ากใครสักหน่อย”
           “เฮ้ย สนุกออก ได้แกล้งเด็ก” ไอ้โรคจิต... “ให้กูไปสอนมะ”
           ผมจำได้ว่าพี่วิวเป็นวิศวะขาว้ากที่ด่าได้เจ็บที่สุดแล้ว เพราะมันไม่เคยกลัวใครแม้แต่รุ่นพี่ “ไม่ต้องก็ได้มั้ง”
           ประเด็นเรื่องพี่ว้ากตกไปอย่างรวดเร็ว อาจเพราะยังไม่ถึงวันที่ต้องลงเชียร์ ผมไม่ได้อยากเข้าไปคลุกคลีมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นพวกลัทธิคลั่งคณะตามไอ้พวกกลุ่มที่เป็นประธานเชียร์ พวกเรื่องเยอะก็เงี้ยะ แถวบ้านเรียกจริงจังเกินเหตุ อ้อ...มีอีกเรื่อง
           “รู้ยังศุกร์นี้มีรับปีหนึ่งน่ะ”
           “อืม ไอ้ธันชวนแล้ว...” ไอ้พี่วิวหันมามองหน้า “นี่กำลังชวนอยู่ป่ะเนี่ย อยากให้ไปใช่ป่ะ” เอาอีกแล้ว
           “เอ้...มึงนี่ยังไง เล่นไม่เลิก”
           เจ้าตัวดูชอบอกชอบใจ ทะเล้นไม่มีขีดจำกัดจริงๆ “กูไม่เลิกง่ายๆหรอก”
           “อะไรนะ?” ผมฟังเมื่อกี้ไม่ถนัด
           “ไปกันเถอะ”

                         ---------------------------------------------------------------------------------------------


           เลิกติวสี่ทุ่ม ผมจัดแจงเก็บของเก็บงานเข้าหลังรถและขับพาไอ้วิวไปส่งที่หอ ส่วนผมก็กลับเข้าหอตัวเอง(อยู่คนละซอยนะ) มาถึงหอจึงเคลียร์ของลงจากเตียง(พวกกระดาษร่าง) เก็บของใส่กล่องให้เป็นที่เป็นทาง จัดห้องเรียบร้อยเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะนอน ใส่เพียงบ๊อกเซอร์ลายสก๊อตและเสื้อยืดสีขาวแขนยาว นั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนเตียง สักพักก็มีคนโทรเข้ามา
           ไอ้พี่วิว...
           “ฮัลโหล จะชวนไปไหนอีกล่ะ”
           “ร้านหน้าซอยไง” นั่นไง ต้องเดาที่ไหน ร้านเหล้าเหมือนเคย
           “ไม่ไปไง บอกตั้งกี่รอบ” จะรอดูว่าคราวนี้ต้องไปเจอใคร
           “วันนี้น้องเจิงมา...” น้องเจิงนางนั่นเองสินะ ไม่รู้โดนเจิมไปยัง(หยาบคาย) “มาอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย กูจะบอกเลิกเค้า”
           หืม... “เมื่อกี้มึงบอกว่าไงนะ?”
           “กูอยากทำตัวดีแบบที่มึงบอกไง ช่วยสนับสนุนหน่อยสิ” มันกระเซ้าซี้
           “แล้วกูต้องไปเป็นไม้กันหมาหรือไง ทำไมต้องไปบอกเลิกที่ร้านเหล้าด้วยวะ”
           “เอาน่า มาอยู่เป็นเพื่อนหน่อย” มันเริ่มอ้อนละ
           แล้วในที่สุดผมก็ต้องยอมตกลงก่อนที่มันจะยกสารพัดคำหว่านล้อมมาทุ่มใส่หู ผมรู้ตัวตั้งแต่มันโทรมาแล้วว่ายังไงก็ต้องไป ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมมันตลอด ทั้งที่ไม่เคยมองเป็นพี่เป็นน้องเลยสักนิด

           ไอ้พี่วิวคอยผมอยู่หน้าร้าน เรายืนดูดบุหรี่รอเวลาอยู่พักหนึ่ง
           “ไหนเมียพี่ล่ะ” ผมมองหาแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่บนร้านรึเปล่าเพราะไม่เห็น
           “ก็อยู่นี่ไง”
           ผมแปลกใจมองซ้ายมองขวาหาคนที่จะโดนเท แต่ไอ้พี่วิวจ้องผมอยู่ มันหมายถึงผมหรอ
           “เฮ้ย ไม่เล่นเว้ย” ผมโวย ไอ้นี่นิ ไม่เลิกจริงๆ
           “แหม ทำอารมณ์เสียไปได้ แต่ก็จริงนะ แม่งรอนานแล้วนะเนี่ย”
           ผมเห็นมันยืนหยุกหยิกเหมือนกำลังลน เลยคิดจะแกล้งสักหน่อย
           “ทำไม? ตื่นเต้น? ...ไม่เคยบอกเลิกสาวหรอ”
           “เออสิวะ คนอื่นแม่งเลิกไปเองนี่หว่า มึงก็รู้นี่” มันหันกลับมาหาผม “แต่คนนี้กูไม่อยากยื้อแล้ว  มึงเป็นคนบอกให้กูทำนะเว้ย”
           หืม ผมหรอ?  “กูไปบอกมึงตอนไหน”
           “ก็มึงบอกให้เลิกทำตัวเสเพล กูก็ต้องเลิกไง”
           เชี่ยยยยย จริงจังมาก นี่มันจริงจังกับคำพูดที่ผมบอกขนาดนี้เลยหรอวะครับ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมเป็นหนึ่งในตัวแปรในการตัดสินใจของเขา รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน
           ด้วยความที่ไม่อยากสารประเด็นต่อจึงหันไปสนใจเรื่องอื่น “พี่ธันไม่มาด้วยหรอ”
           “โอ๊ย ส้นตีนนั่นมันไม่ว่างหรอก ปีห้าแม่งทำแต่งาน”
           ผมแปลกใจ ปีห้าไม่มีงานมากแล้ว แต่ต้องรับผิดชอบตัวเองมากๆแค่นั้น เพราะเป็นการจัดการงานทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด ฉะนั้นการแบ่งเวลาให้เพื่อนคือหนึ่งในเรื่องที่พอจะบริหารได้ แล้วทำไม...
           “พี่แน่ใจนะว่าไม่ได้มีเรื่องอื่น เช่นว่า...” ผมลอบถามเรื่องที่สงสัยอยู่ “...พี่ธันกับน้องไลท์...”
           “อ๋อ สองคนนั้นเขาชอบกันอยู่ มึงไม่รู้หรอ”
           อะไรนะ?? ชอบกัน หมายถึงจะคบกันหรอ เป็นไปได้ยังไง พี่ธันเนี่ยนะชอบผู้ชาย โคตรเซอร์ไพรส์อ่ะ งั้นที่ไปวอแวไม่ห่างก็เพราะจีบอยู่หรอ ...เออ เรื่องนี้ทำผมเสียหลักจริงๆ แล้วไอ้พี่วิวนี่ก็อีกคน พูดเรื่องนี้ออกมาหน้าตาเฉย ถึงจะเป็นผู้ชายที่ไม่สนใจเรื่องคนอื่นเลยก็ไม่จำเป็นต้องยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆไม่ใช่หรอ แบบนี้ฉายาเสือผู้หญิงจะร้องไห้เอาได้นะ
           ใครจะไปนึกล่ะว่าหัวหน้าแก๊งสามนรกจะหันไปชอบผู้ชาย แต่คิดไปคิดมาพี่ธันเองก็ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้ว เหมือนกับไม่เคยชอบใครเสียด้วยซ้ำ พี่วีก็อีกคน โสดเสมอ หรือว่าพี่วีก็เป็นไปกับเขาด้วย ถ้าอย่างนั้น....ไอ้คนที่ยืนข้างๆผมนี่ล่ะ มันกำลังจะเลิกกับผู้หญิงทั้งหมด....
           คิดมากไปได้น้าไอ้ลิตเติ้ล อย่างไอ้พี่วิวเนี่ยนะ ไม่มีทางเป็นไปได้
           “มาแล้ว หลบเร็ว” ผมเห็นมันหลบจริงๆก็เลยขำ
           “มึงจะหลบทำไมคร้าบไอ้คุณพี่วิว มึงจะมาเคลียร์กับเขาไม่ใช่หรอ”
           “ก็กูไม่ได้โทรให้เธอมาน่ะสิ” อ้าว ไม่ได้โทร แล้วทำไมน้องเจิงมาอยู่นี่???? รึว่าพี่วิวจะรู้ว่าเธอมีกิ๊ก
           “แล้วรู้ได้ไงว่าเขาจะมา”
           “สายกูเยอะ”
           พวกผมเดินตามน้องเจิงขึ้นไปชั้นบน แต่ที่ผมคาดไว้กลับผิดพลาด เพราะเธอมากินเหล้ากับเพื่อนเธอครับ น่ารักๆทั้งนั้น ผมละห่วงไอ้ตัวต้นเหตุจริงๆ ถ้าบอกเลิกแล้วเขาโกรธมาก ไม่โดนยำส้นสูงหรอวะ
           สุดท้ายมันก็แทรกเข้าไปนั่งโต๊ะน้องเจิงจนได้ ผมรู้สาเหตุที่มันพามาด้วยทันที เพื่อให้สาวๆไม่คิดว่ามันจะมาหม้อสาวอื่น แบบนี้ก็เคืองสิ ด้วยความที่ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเหล่าสาวๆพวกนี้ จึงแยกไปนั่งที่เคาน์เตอร์ สั่งเบียร์คราฟท์แก้วหนึ่งแล้วนั่งจิบไปเรื่อย
           “พี่วิวนี่ก็นะ ไม่เคยห่างร้านเลย ไม่เปิดร้านเองเลยล่ะคะ”  เพื่อนน้องเจิงคนหนึ่งพูด อีกสองคนดูท่าจะเหนียมๆหน่อย
           “ตัวเอง จะสอบแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ไปอ่านหนังสือ เดี๋ยวก็สอบตกหรอก”  น้องเจิงบีบจมูกไอ้พี่วิวเล่น “เด็กดื้อจริงๆเลย”
           “ก็ไม่รู้ ใจพี่มันบอกว่าจะมีความรักมาหาแถวนี้เลยตามเสียงมาไง”
           “เนี่ย เจิงไปซื้อของขวัญมาให้พี่วิวด้วยนะ อยู่ที่ห้องเจิงเอง”
           บทสนทนาไหลลื่นดำเนินเดินไปแบบนี้เรื่อยๆ ไอ้พี่วิวก็ดูจะสนุกสนานอยู่ไม่น้อย ไม่มีที่ท่าจะบอกตัดสัมพันธ์ใดๆ ผมรู้ว่ามันไม่ได้จริงใจกับน้องเจิง สิ่งที่ทำให้เจ็บใจที่สุดคือคำพูดคุยโวโม้ไปเรื่อยของมัน และตอนนี้ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าที่มันลากมาด้วยเหตุผลเดียว เอาไว้แก้ตัวกับหญิงของมันเท่านั้น แบบนี้ให้มาคนเดียวยังจะรู้สึกดีซะกว่า
           เมื่อเหล้าเข้าปาก ไอ้ส้นตีนนั่นก็ดูจะหลงระเริงขึ้นอีกหลายขั้น พยายามหยอดคำหวานต่างๆนาๆกับเพื่อนน้องเจิงที่เหลือ นานวันเข้าก็คงจะงาบทั้งแก๊งเหมือนเคย ผมเพิ่งจะรู้จริงๆว่าสันดานมันแก้ไม่เคยหาย
           สองชั่วโมงกับการเป็นหมาหัวเน่า พอกันที
           ผมจ่ายเงิน ยกแก้วสุดท้ายดื่มจนหมดแล้วกระแทกลงบนเคาน์เตอร์จนหลายคนหันมามอง จากนั้นก็เดินออกจากร้านโดยไม่เหลียวหลังอีก เดินมาสักพักก็ไม่รู้จะปล่อยอารมณ์โกรธตัวเองลงที่ไหน ‘มัน’ ก็ไม่ได้ตามลงมา ณ ตอนนี้ตัวผมก็คงจะไม่จำเป็นแล้วในที่สุด ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามายืนหน้าตู้ขายน้ำในเซเว่นตอนไหน ยืนมองหน้าตัวเองในกระจกที่กำหมัดแน่น สุดท้ายจึงขึ้นไปลงเอยอยู่บนดาดฟ้าหอตัวเอง จุดที่ขึ้นมาบ่อยๆ เพื่อให้สายลมพัดพาเอาอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกไป มันได้ผลเสมอ
แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...
           มือผมยังกำแน่น มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ปวดมวนในช่องอก คอยถ่วงให้จมดิ่งสู่ต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องโกรธ จากที่เคยไว้ใจ คิดว่าตัวเองมีความสำคัญกับใครคนหนึ่ง บัดนี้สูญสลายแล้ว
           บนเตียง เวลาที่ค่อยๆเคลื่อนช่วยให้ผมคลายความโกรธได้เล็กน้อย เพื่อคอยให้สมองใช้อารมณ์ส่วนอื่นมาช่วยตัดสินใจ ค่อยๆนอนคิดอย่างถี่ถ้วนว่าทำไมตัวเองถึงต้องโกรธขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะผมให้ความสำคัญกับไอ้พี่วิวมากหรือเปล่า บางทีอาจเป็นเพราะผมน้อยใจ...
           ผมสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์เข้า นิ้วตวัดตัดสายเบอร์ที่เห็นบนจอทันที โทรศัพท์สั่นอยู่บนโต๊ะอีกกว่าสิบรอบจึงหายไป ณ ขณะนี้ก็ไม่รู้อีกว่าทำไมถึงไม่อยากรับสาย ได้แต่นอนถอนใจ คิดไปว่าไอ้พี่วิวยังคงอยู่ที่ร้านหรือเปล่า หรือกำลังตามหาผมอยู่ แวบหนึ่งผมเห็นภาพเขากำลังยืนมองหน้าต่างห้องอยู่หน้าหอ พลันถลันตัวลุกขึ้นไปแหวกม่านดู ผมถึงกับอึ้ง เพราะไอ้พี่วิวยืนอยู่จริงๆ และกำลังมองหน้าต่างห้องผมด้วยความร้อนรนจนเห็นได้ชัด
           ผมปิดม่านฉับ ตอนนี้ยังไม่อยากเผชิญหน้าเขาตรงๆ แต่กระนั้นทั่วร่างก็ยังคงยืนตรึงอยู่ที่หน้าต่าง มือจับขอบม่านอยู่อย่างนั้น ในหัวมีแต่เรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้
           ก๊อก ก๊อก
           ผมสะดุ้ง ประสาทที่ตึงเขม็งหดตัวกระทันหัน หัวใจเต้นรัวเร็ว ใครกัน? ผมไม่มีเพื่อนที่หอนี้ นอกจาก...
           “ไอ้ลิตเติ้ล หลับอยู่ป่ะวะ”
           “ใครครับ”
           “กูฟลุ๊คเว้ย”
           อ้อ พี่ฟลุ๊ค พี่ปีสี่รหัสก่อนหน้าผม ผู้มาเยือนขาประจำ ผมละจากหน้าต่างไปเปิดประตูให้
           “ไง” พี่ฟลุ๊คก้าวเข้าห้องผมมา ปิดเทอมแค่ไม่กี่เดือนก็ทำพี่เขาผิวหมองลงได้เหมือนกันนะ แต่คงไม่ระคายรูปหน้าหล่อเหลาเคราสวยแบบเยอรมันแน่ พี่ฟลุ๊คเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน แม่ตั้งชื่อลูกว่าฟลุ๊คเพราะตัวเองดันฟลุ๊คไปได้ผัวฝรั่งเนี่ยแหละ เล่าแล้วอยากจะขำ
           “ดึกดื่นไม่นอนหรอพี่”
           “มึงนี่ พูดอย่างกับไม่รู้ว่าชีวิตเด็กสถาปัตย์เป็นแบบไหน” ก็จริงนะ เด็กถาปัตย์น้อยคนมากจะได้นอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย กว่าจะจบหลักสูตรก็เล่นกันจนเป็นหมีแพนด้ากันหมด “แล้วนี่มึงทำอะไรอยู่ ทำแบบหรอ ปีสามทำอะไรวะ”
           เขาคงเห็นแมสบนโต๊ะ “ก็...คอนโดกับตึกแถวน่ะพี่ แล้ว...” เวิ่นตลอด บอกมาเถอะว่าต้องการอะไร “พี่มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”
           “กูว่าจะมายืมคอมมึงทำงานหน่อย คอมกูยังซ่อมไม่เสร็จเลย”
           “เอาเลยพี่ ตามสบาย ผมไม่ได้ใส่รหัสไว้”
           “ขอโทษนะ รบกวนหน่อย” พี่ฟลุ๊คทำท่าเกรงใจพอเป็นพิธี “เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์”
           พูดถึงเบียร์ก็นึกถึงไอ้พี่วิวอีก มันยังยืนอยู่ที่เดิมป่ะวะ ผมเดินไปที่หน้าต่างแล้วแหวกม่านดูก็พบว่ามันไม่อยู่แล้ว น่าจะกลับหอไปแล้ว แอบผิดหวังเล็กๆอยู่เหมือนกัน

           ปึง ปึง ปึง

           “เฮ้ย ใครวะแม่ง” พี่ฟลุ๊คบ่นเพราะเสียงทุบประตูดังมาก ผมก็สะดุ้งเหมือนกัน รีบเดินไปเปิดดู แต่เพียงแค่แง้มแล้วเห็นหน้าผู้มาเยือนก็รีบปิดทันที
           “เฮ้ย ลิตเติ้ล คุยกับกูก่อนดิ มึงหนีมาทำไม” หนีมาทำไมหรอ นี่มึงยังไม่เข้าใจอีกหรอวะ
           “กูพูดไป มึงก็แม่งไม่เข้าใจเชี่ยไรหรอก” ผมตวาดออกไป “กลับไปก่อนเถอะ...วันหลังค่อยคุยกัน”
           “เชี่ย เรื่องน้องเจิงกูขอโทษ แต่...”
           “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก มึงกลับไปเหอะ” ทำไมมันไม่เข้าใจวะ
           “ลิตเติ้ล....”
           ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ทำให้โกรธได้ขนาดนี้ แต่ก่อนผมไม่ใช่คนโกรธง่ายแบบนี้นี่หว่า
           “ใครวะลิตเติ้ล” พี่ฟลุ๊คถาม ผมไม่ตอบ
           “ลิตเติ้ล คุยกับใครอยู่น่ะ”
           “กูบอกให้กลับไปก่อนไง”
           “แต่กูไม่มีคีย์การ์ด นี่ก็อาศัยคนอื่นขึ้นมา ไปส่งกูหน่อย”
           เวรเอ๊ย ก็จริงของมัน ทำไงดีวะเนี่ย หันไปมองพี่ฟลุ๊คที่ทำหน้าเหวออยู่ก็เกรงใจไม่อยากกวน สุดท้ายจึงจำใจต้องเปิดประตู เผชิญหน้ากับคนที่ผมบอกว่าไม่อยากคุยด้วย แต่พอแง้มประตูได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าตัวก็ดันตัวพรวดเข้ามาซะอย่างนั้น
           “เชี่ยวิว”
           “มึงอยู่กับใครวะ ...อ้าว” ไอ้พี่วิวเห็นพี่ฟลุ๊คแล้ว “มึงคือ...”
           “ผมชื่อฟลุ๊ค พี่วิว”
           ไอ้พี่วิวทำหน้าแปลกใจ “มึงรู้จักกูด้วยหรอ แต่ว่ามึงก็หน้าคุ้นอยู่ กูว่ากูเคยเห็น...”
           “...แก๊งสามนรก ใครบ้างไม่รู้จัก พี่ก็คงเป็นนรกที่สอง ฉายาเจ้าพ่อฮาเร็ม”
           “เลิกพูดซะที กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวไปเปิดประตูให้” ถ้าไม่หยุดซะตรงนี้เดี๋ยวจะยาว
           “ไม่กลับ จะอยู่ห้องมึงเนี่ยแหละ”
           ผมรู้แล้วว่ามันต้องมาไม้นี้ แต่คราวนี้จะไม่ยอมให้มันสมหวังอีก
           “กูบอกให้กลับไป” คราวนี้เสียงผมจริงจัง
           “เชี่ย ลิตเติ้ล กูบอกจะเลิกน้องเขาจริงๆนะเว้ย แต่...” ไอ้พี่วิวมองป่ายซ้ายป่ายขวาเพื่อหาข้อแก้ตัว “กูบอกทันทีไม่ได้ กูต้องค่อยๆพูด กูไม่อยากให้น้องมันรู้สึกไม่ดี”
           “เอ่อลิตเติ้ล...พี่ว่าพี่ออก...”
           “...แล้วความรู้สึกกูล่ะ ไอ้ที่ลากกูไปเป็นหมาแบบนั้น ไม่คิดหรือว่ากูจะรู้สึกยังไง”
           “ก็มึงแยกตัวไปคนเดียวป่ะวะ กูไม่ได้ห้ามให้มานั่งกับกูซะหน่อย” ทำไมมันพูดแบบนี้วะ ผมโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้ว
           “กูบอกแล้วใช่มั๊ยว่ากูจะเลิกเรื่องแบบนี้ มึงจะให้กูไปเป็นสักขีพยานการหม้อของมึงหรอวะไอ้วิว” ตอนนี้ผมชี้หน้ามันแล้ว ไม่สนแล้วว่าจะพูดอะไรออกไป
           “แต่...” มันอึกอัก “แต่กูก็แคร์มึงนะเว้ย ไม่งั้นกูจะตามมึงมาหรอ กูจะมาขอโทษมึงเนี่ย ต่อไปกูจะไม่ทำอีกแล้ว”
           “มึงไม่ต้องมาสัญญาเชี่ยไรกับกู คำพูดมึงมันไม่เคยเชื่อถือได้หรอก กูอุตส่าห์เตือนมึง หวังดีกับมึง ทุกอย่างที่กูทำไปมันก็ไม่มีค่าอะไรในสายตามึง ถึงตอนนี้กูไม่มีอะไรจะให้มึงอีกแล้ว”
           “ลิตเติ้ล...กูแคร์มึงนะเว้ย”
           “กูไม่เชื่อ...”
           แล้วจู่มันก็ทำในสิ่งที่ผมต้องตกใจ มันกระชากคอเสื้อผมเข้าไปหา โอบแขนรอบคอผมแน่น แล้วจูบผม...
           หลายวินาทีที่ผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะผลักไอ้เชี่ยพี่วิวออกไปแล้วเงื้อหมัดซัดเข้าหน้ามันเต็มแรง มันปากแตกทันทีเพราะหมัดผมไม่ใช่เบาๆ ผมถอยหนีหลายก้าวแล้วหันหลังให้ทุกคนในห้อง...
           ต่อจากนี้ไปคือเสียงจากปากผมที่แม้แต่ตัวเองยังต้องขนลุกเมื่อได้ยิน
           “พี่ฟลุ๊ค ผมให้พี่ยืมคอมไปทำที่ห้องได้ ไปส่งไอ้เชี่ยนี่ให้ผมด้วย”
           “ลิตเติ้ล...กูขอโทษ”
           ผมไม่พูดอะไรอีก

           เงียบอยู่นานจนในที่สุดก็ได้ยินเสียงประตูปิดเบาๆข้างหลัง ผมเดินช้าๆไปล็อกลงกลอนแล้วเดินอ้อมกลับมาทรุดตัวนั่งลงที่พื้นข้างหัวเตียง น้ำตาผมเริ่มไหลอาบแก้ม รู้สึกอ่อนแอเหมือนโดนทุบตีร่างกายจนแหลกเหลว สมองมึนชาแต่ยังคงตอกย้ำความรู้สึกแย่ มีคนบอกว่าเราจะอ่อนแอถึงขีดสุดในตอนวิญญาณเราถูกทำร้าย ตอนนี้มันเป็นแบบนั้นหรือเปล่าผมไม่อาจบอกได้ แต่น้ำตาที่พรั่งพรูออกมานี้คือเสียงร่ำให้จากก้นบึ้งความรู้สึก ราวกับมันถูกจับทึ้งออกไม่มีชิ้นดี และมันไม่มีทางจะประกอบกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก


            บางอย่างในตัวผมได้เปลี่ยนไปแล้ว


******************************************************************************
Mr.SCROMAN : ลิตเติ้ลเป็นเด็กขึ้เหงา เขาเป็นคนที่ไรท์ชอบที่สุด(รองจากบุรุษเทวดา..เอ ใครน้า) แต่ไม่ต้องห่วงนะ หากใครหลายคนคิดให้กำลังใจเขาก็ไม่ต้องห่วง ลิตเติ้ลเข้มแข็งกว่าที่ใครคิด...แต่จะบอกว่าสองคนนี้ไม่หวานนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ธัน เป็นคนตัดสินใจช้า
บทเรียนแรกที่ชอบไลท์แล้วไม่แสดงออก จนไลท์ย้ายโรงเรียน

กับเกด ไม่พูด ไม่แสดงให้เพื่อนๆ หรือเกดรู้ว่า คิดกับเกดแค่เพื่อน
ไปไหนต่อไหนด้วย เขาชวนไปกินขาวก็ไป  ปฏิเสธไม่เป็น
พูดคุยตลอดเขาก็คิดว่ามีใจให้ เพราะเหมือนให้ความหวัง
เหมือนธัน อ่อนนะ  ต้องรู้จักปฏิเสธให้เด็ดขาด ชัดเจน
เป็นการปกป้องตัวเองไม่งั้นต่อไปมีปัญหาแน่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ธัน เป็นคนตัดสินใจช้า
บทเรียนแรกที่ชอบไลท์แล้วไม่แสดงออก จนไลท์ย้ายโรงเรียน

กับเกด ไม่พูด ไม่แสดงให้เพื่อนๆ หรือเกดรู้ว่า คิดกับเกดแค่เพื่อน
ไปไหนต่อไหนด้วย เขาชวนไปกินขาวก็ไป  ปฏิเสธไม่เป็น
พูดคุยตลอดเขาก็คิดว่ามีใจให้ เพราะเหมือนให้ความหวัง
เหมือนธัน อ่อนนะ  ต้องรู้จักปฏิเสธให้เด็ดขาด ชัดเจน
เป็นการปกป้องตัวเองไม่งั้นต่อไปมีปัญหาแน่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


***นั่นดิ เราคิดแบบนั้นเลย หวังว่าธันวาจะเริ่มคิดได้สักทีว่าความชัดเจนมันสำคัญขนาดไหน***
             #แต่คนอย่างธันวา ต้องการตัวกระตุ้น

ออฟไลน์ SCRO.Y.K.

  • Mr.SCROMAN - Bad Cat
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

10

ไลท์ : โต๊ะอาหารสีชมพู




               “ไอ้วิวมันเป็นเชี่ยไรของมันวะวี” พี่ธันบ่นขึ้นมาหลังจากแยกกับพี่วิวไปได้ไม่นาน ผมคิดว่าคงหมายถึงความซึมเศร้าของพี่วิว จากที่เห็น เขาดูเหมือนคนอกหักมาเลย
               “กูก็สงสัยอยู่ ปากแม่งแตกด้วย” พี่วีเสริม อันนี้ผมว่าไม่แปลก ผมกับพี่ธันนี่ก็วอนปากแตกเหมือนกัน ซักวันคงต้องได้เลือดกันบ้าง
               “มันมาถามหาไอ้ลิตเติ้ลทำไมวะ” พี่ธันถาม  ผมได้ยินแล้วก็อยากจะพูดแทนพี่วีจริง
               “กูจะรู้มั๊ย อยู่กับมึงเนี่ย” ด่าอีกพี่ ด่าอีก
               “ยิ้มอะไรหมูน้อย”
               “เปล๊า”
               “เก็บของได้แล้ว หิวข้าว”
               “เรื่องของพี่ดิ เกี่ยวไรกับผม” ที่จริงผมไม่ได้งอนนะ แค่อยากแกล้งพี่ธันเล่น หลังๆมานี่พี่แกก็ไม่ค่อยตอบโต้ ถือโอกาสเอาให้หนัก
               “งอนไรพี่เนี่ย”
               “งอนอะไร ผมมีสิทธิ์อะไรไปงอนพี่” ผมพูดความจริงนะ จะงอนได้ไง ก็เล่นตามมาหาทุกวันแบบนี้ เหมือนจะดูแลผมเป็นพิเศษรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม พอมีพี่ธันอยู่ข้างๆ ผมได้หมด
               “งั้นก็ลุกได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
               “เอ๊ะยังไง...”
               “ลุกสิ”
               “เนี่ย พอไม่ได้ดั่งใจก็จะเอาแต่สั่งๆๆ พ่อเป็นตำรวจรึไง แจกอยู่ได้ใบสั่งเนี่ย”
               “ก็...” พี่ธันอึกอักไม่มีคำพูด “พี่ขอโทษ”
               แล้วผมก็หลุดขำ คนอะไรชอบทำฟึดฟัดยังกะเด็ก ผมดีใจมากแค่ไหนพี่ธันคงไม่รู้ เรื่องที่เขาเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน เขาชอบผม แต่มันเหมือนฟองสบู่ ยังมีความรู้สึกว่ามันเป็นภาพลวง เป็นแค่...ความฝัน และไม่รู้ว่ามันจะแตกออกเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่มองหน้าพี่ธัน สิ่งเหล่านี้ก็จะคอยออกมาย้ำเตือนเสมอ ตัวพี่ธันเองก็ไม่ได้พูดอะไรให้มั่นใจเลยสักครั้ง
               สักพักก็มีกลุ่มรุ่นพี่เดินมาหาพี่ธัน เอะอะโครมครามมาแต่ไกล
               “เชี่ยธัน ไปกินข้าวที่วิทยากัน”
               “ไปกันเหอะ วันนี้ไม่อยากไปว่ะ” พี่ธันปฏิเสธ?
               “ไปเหอะน่า ไม่ได้ไปตั้งหลายวัน ดาววิทยาของมึงไม่บ่นตายห่าแล้วหรอ ชื่ออะไรนะ เปรี้ยวป่ะ...”
               ดาววิทยา??  เห็นมั๊ยล่ะครับ หน้าหม้อเรี่ยราด นี่คือคนที่ผมชอบจริงๆหรอวะ
               “เชี่ย ดาวเชี่ยไรของมึง กูไม่ได้อะไรกะเขาสักหน่อย”
               “ไม่ได้อะไรหรอ ถุย แล้วที่กดเบอร์ให้ยิกๆนี่คืออะไร คิดจะเก็บไว้สอยคนเดียวหรอวะ” เพื่อนพี่ธันพูด “ไม่แบ่งเพื่อนตลอดนะมึงน่ะ”
               พอแล้ว ผมไม่อยากฟัง
               “อุ้ม ไปกินข้าว” โต๊ะเขียนแบบอุ้มอยู่ข้างๆ วันนี้มันขมวดผมเป็นสาวเหนือ และกำลังฟังทุกคำในวงสนทนานี้แบบเขินๆ มันเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง “เก็บของสิ”
               แล้วผมก็กระชากตัวลุกออกจากเก้าอี้ ทิ้งข้าวของคาโต๊ะไว้อย่างนั้นแหละ
               “เฮ้ย รอแป๊บดิ” อุ้มบอก
               “ไลท์...” ผมไม่ยอมให้พี่ธันพูดจบ
               “งั้นกูไปรอข้างนอกนะ”
               “ธันนน....”
               เจ๊เกดมาอีกแล้ว อีกหนึ่งคู่บุญคู่กรรม ถึงตอนนี้ก็เคลียร์เอาเองเถอะ เป็นแบบนี้จะให้ผมชัดเจนด้วยก็คงจะยากหน่อย อย่าเข้าใจผิด ผมรักพี่ธัน เพียงแต่กำลังกลัว ตั้งแต่ได้รู้จักเขาแบบใกล้ชิดก็รู้ว่าพี่ธันมีหัวใจที่เย็นชาไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็งพันปี เขาไม่เคยเห็นความรู้สึกคนอื่นเลย ถ้าต้องถึงขั้นละลายน้ำแข็งให้ ก็ขอให้เป็นที่อื่น สถานการณ์อื่น ตอนนี้ถ้าเข้าไปแทรกก็มีแต่จะถูกมองเป็นตัวตลก ผมเกลียดการเป็นตัวตลกมาก
               ผมออกไปรออุ้มอยู่ที่ทางเดินหน้าสตูฯ ยืนพิงเสาก้มหน้างุด ได้ยินเสียงกลุ่มเพื่อนและเจ๊เกดเถียงกันแซ่ด ทั้งยังล้อพี่ธันไม่หยุด สุดท้ายเจ๊เกดก็คว้าแขนพี่ธันลากออกไป ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนสักนิด มองแล้วมันเจ็บกระดองใจจริงๆ จึงตัดสินใจหันหน้าหนี จะเดินออกไปรอด้านนอกตึกแทน แต่บังเอิญชนเข้ากับใครคนหนึ่ง...
               บึ้ก!!
               จากสัมผัสที่รับรู้ได้คือ คนๆนี้เป็นผู้ชายที่มีร่างกายโคตรเฟิร์ม เสื้อนักศึกษาเรียบแป้ไร้รอยยับ ต้นคอขาวๆที่มีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เมื่อเงยหน้าผมก็ถึงกับล่องลอย เขาคนนี้หล่อมาก แต่หล่อคนละแบบกับพี่ธัน รายนั้นเขาหล่อเท่หล่อคม ส่วนคนนี้ หล่ออบอุ่น หล่ออ่อนโยน แค่ดึงมุมปากขึ้นนิดเดียว ดวงตาเขาก็ยิ้มให้ผมแล้ว
               “เฮ้ยน้อง เป็นอะไรมากหรือเปล่า” นั่นไง แม้แต่คำพูดก็แตกต่าง ครั้งแรกที่ชนพี่ธัน รายนั้นแทบจะกินหัว แต่นี่กลับห่วงว่าผมจะเป็นอะไรมั๊ย
               เอาล่ะไอ้ไลท์ เอาฟอร์มกลับมาก่อน
               “ครับ อ้อ ผมไม่เป็นไร ขอโทษด้วยครับพี่ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
               “กูไม่เป็นไร มึงนี่ซุ่มซ่ามดีเนอะ อยู่สถ.หรอ” (สถ.หมายถึงสาขาวิชาสถาปัตยกรรมหลัก)
               “ครับ แล้ว...พี่ชื่ออะไรครับ”
               “พี่อยู่อินทีเรีย ปีห้า” ไม่น่าเชื่อ ปีห้าหน้าเด็กขนาดนี้เลยหรอ “เดี๋ยวก่อนนะ พี่จำเราได้แล้ว น้องไลท์ใช่มั๊ย”
               “จำผมได้??? พี่เคยเจอผมหรอครับ”
               “เรานี่เองที่อยู่ในคลิปปรับพื้น พี่เห็นสู้กับผู้หญิง”
               สู้กับผู้หญิง เวร นี่ภาพลักษณ์ผมกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย
               “เฮ้ย อย่าคิดมากดิวะ พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” พี่ทำท่าเหมือนรู้สึกผิดที่พูดถึงเรื่องนั้น แสนดีจริงๆ แต่...
               “ตกลงพี่ชื่ออะไรครับเนี่ย ผมจะได้เรียกถูก”
               “เอ้อ โทษที พี่ชื่อสิบโท”
               หา “สิบโท ...หรอครับ” อะไรดลใจให้ตั้งชื่อเช่นนี้ สำหรับคนที่โตมาในค่ายทหารอย่างผม ยังไงมันก็ฟังแปลกๆ
               “เราคิดว่าชื่อพี่แปลกใช่มั๊ยล่ะ”
               “ใช่ครับ” ตอบตรงๆอย่างจริงใจโคตรเลยผม
               “เป็นคนตรงดีนะ แล้วนี่จะไปไหนล่ะ”
               “ผมรอเพื่อนอยู่ครับ จะไปกินข้าว”
               “เออ ดีเลย พี่กำลังหาเพื่อนไปกินข้าวอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันนะ พี่เลี้ยงเอง” เย่ะ ช่วงนี้มีแต่คนเลี้ยงเว้ย ผมแม่งโคตรโชคดี
               ผมตะโกนเรียกให้อิอุ้มมันรีบอีกครั้ง มันด่าหาว่าเป็นพวกชอบบงการเหมือนพี่ธันเด๊ะ(ดูพูดเข้า) พี่ธันที่มีสัพเวสีชีปะขาวเกาะอยู่ก็เดินมาทางผมด้วย ท่าทางวันนี้จะต้องกินข้าวที่โรงอาหารเดียวกัน
               “ไอ้สิบโท มึงกลับมาแล้วหรอ” พี่ธันทัก คนในคณะนี้ดูเหมือนจะรู้จักกันหมด
               “เออ เที่ยวจนตังค์หมดเลยเนี่ย”
               “กลับมาช้ามึงจะทันส่งงานหรอ ไหนจะทีสิสมึงอีก เอาเวลาที่ไหนไปตรวจแบบ”
               “ใครเขาจะบ้านนอกแบบมึงสาดดด เดี๋ยวนี้เขาไลฟ์สดตรวจแบบกันแล้วเว้ย ไฮเทคน่ะ” ทุกบทสนทนาผมสังเกตว่าพี่ธันจะออกแนวหยาบกร้าน ส่วนพี่สิบโทนี่มาแบบเนื้อซาลาเปากันเลยทีเดียว
               “ป่ะ น้องไลท์”
               “เดี๋ยว” พี่ธันกราดเสียง ทำให้ทุกคนหยุดมอง “มึงรู้จักน้องรหัสกูได้ยังไง”
               “น้องรหัสมึงหรอ...” พี่สิบโทหันมามองผมที่ยังอึ้งอยู่ ฉิบหายแล้ว ไอ้พี่ธันเป็นพี่รหัสผมจริงๆด้วย ผมต้องดีใจ...หรือเปล่าวะ “ก็คุยกันไง ต้องนั่งทางในหรอถึงจะรู้จักได้”
               “ไม่ต้องลุ้นมันแล้วรห่งรหัส เปิดให้หมดแม่งเลย” อิอุ้มแทรกขึ้นมาเบาๆ
               “แล้วมึงจะพามันไปไหน...”
               ผมเห็นท่าจะยาวแน่จึงลากพี่สิบโทออกมาก่อน “ไปพี่ ผมหิวแล้ว” สองกลุ่มจึงแยกกันด้วยประการฉะนี้...

                            -----------------------------------------------------------------------------------------------

               ไม่จบครับคุณผู้อ่าน
               ที่โรงอาหาร ผมนั่งข้างพี่สิบโท ส่วนใหญ่จะคุยกันมากกว่าตักข้าวเข้าปาก จึงได้รู้ว่าพี่สิบโทเป็นคนดีมาก โสด แถมยังเก่งมากอีกด้วย พี่สิบโทไม่ชอบกิจกรรม แต่ทำงานอาสาบ่อย พ่อพี่สิบโทเป็นนักธุรกิจนำเข้าเครื่องมือแพทย์ขาหลักของประเทศ พี่สิบโทซึ่งเป็นลูกคนที่สองกลับเดินทางแยกออกมาใช้ชีวิตต่างจากครอบครัว ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ผมก็เล่าชีวิตผมให้ฟังบ้าง แม้ไม่หวือหวาแต่พี่สิบโทกลับชื่นชอบ
               “เนี่ย พี่ไม่เคยมีเพื่อนเป็นทหารมาก่อน พี่ว่ามันเท่ดีออก”
               “อย่าไปปลื้มมากล่ะพี่ แต่...มันก็ดีนะ” ผมหมายถึงไอ้ตะวัน
               “มิน่า มึงถึงเป็นหมัดมวย”
               “อ๋อ นั่นคนละเรื่องพี่ ป๊าผมเขาบังคับให้ฝึก นี่เพื่อนผมเก่งกว่าผมเป็นร้อยเท่าอีกนา รายนั้นฝึกตั้งแต่เด็ก”
               “ไม่แปลกหรอก ถ้าพี่มีไลท์เป็นลูก ก็คงหวงน่าดูทีเดียว”
               ผมจ้องหน้าพี่สิบโท พยายามคิดว่าเขาหมายความว่ายังไง ขณะนั้นก็มีคนทิ้งตัวลงนั่งตรงข้าม ไอ้พี่ธัน...ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าได้สมกับเป็นหัวหน้าสามนรก ฉายาราชานรกน้ำแข็งให้ได้ดูเป็นครั้งแรก(รู้ฉายาจากรุ่นพี่) พี่ธันนั่งจ้องผมนิ่ง คิดว่าจะกลัวหรอ ไม่หรอก ผมกำลังเริ่มหูแดงแล้ว
               “ไม่กินข้าวหรอวะธัน” พี่สิบโทถาม แต่พี่ธันยังคงนั่งกอดอกเป็นรูปปั้นหน้าตาดุดัน “สัด กูคิดว่ามึงจะเลิกทำหน้าแบบนี้แล้วนะเนี่ย อุตส่าห์หลงดีใจ”
               “ไม่แปลกหรอกครับพี่สิบโท คนเรามันไม่เปลี่ยนนิสัยง่ายๆหรอก เคยเป็นไงมันก็เป็นงั้นแหละ” อันนี้แขวะพี่ธันโดยเฉพาะ เพราะเจ๊เกดเดินมานั่งข้างพี่ธันแล้ว กำลังปรนนิบัติพัดวี น่าหมั่นไส้
               ถึงตอนนี้ พี่ธันก็พูดออกมา “ใช่ คนเราไม่เปลี่ยนกันง่ายๆหรอก เคยรักเคยชอบอะไรก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจ”
               อันนี้ได้แต่จ้องหน้าพี่ธันกลับ ตอนพูดเขาไม่ได้ละสายตาจากผมเลยสักนิด พี่ธันกำลังจะบอกว่าอะไร...ถ้าคิดตามความหมายคือ เคยรักเคยชอบ หมายถึงคนที่เขาเคยชอบหรอ ที่จ้องหน้าอยู่นี่เขาหมายถึงผมหรือเปล่า บางทีผมก็หงุดหงิดเหลือเกินที่พี่ธันไม่เคยพูดอะไรให้มันชัดเจนเลย
               ผมถอนหายใจก่อนจะพูด “คิดถึงใครอีกล่ะ แฟนเก่าหรือไง”
               “ยังไม่เคยเป็นแฟนกัน”
               “แล้วทำไมไม่ไปขอเขาเสียเลยเล่า” ผมประชด
               “ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาชอบพี่หรือเปล่า”
               ผมหยุดกินแล้วมองหน้าพี่ธันตรงๆ พี่เขาดูอ่อนลงมากแล้วและผมก็ไม่ได้จะคิดกวนอะไรอีก ถ้าที่พี่ธันพูดถึงหมายถึงผมจริงๆละก็ บอกเลยว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
               “เขาอาจจะกำลังกลัวอยู่” ผมตั้งใจสื่อไปให้พี่ธันโดยตรง “กลัวว่าพี่ธันจะไม่ได้รักเขาจริงๆ ทำไมไม่พยายามแสดงออกหน่อยล่ะครับ”
               “ก็กำลังจะทำอยู่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากอยู่กับพี่เลยสักนิด”
               “นั่นไม่จริงสักหน่อย”
               “นี่กำลังพูดถึงใครอยู่วะธัน” พี่สิบโทถามแทรกขึ้นมา
               “เด็กแว่น” ผมสะดุ้งเลย พูดถึงแว่น คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งหมดไม่ใส่แว่นนอกจากผม พี่สิบโทก็เล่นกับเขาด้วย มองมาทางผมอย่างสงสัยใคร่รู้
               “นี่ไม่กินข้าวแล้วรึไงไลท์ มัวแต่คุยอยู่นั่น” พี่สิบโทยีหัวผมเล่น ให้ความรู้สึกประหลาดชอบกล ออกจะเขินเสียด้วยซ้ำ “เอาน้ำอะไรดี พี่จะไปซื้อมาให้”
               น้ำหรอ...”ไวตามิ้ลครับ ขวดเดียวก็พอ”
               “มึงนี่กินอะไรน่ารักดีนะ ได้ เดี๋ยวจัดให้คร้าบเด็กน้อย” แล้วก็ยีหัวอีกรอบ ขณะมองตามแผ่นหลังอันบึกบึนนั้น สัญญาณในใจก็ดังลั่นขึ้นมา พี่สิบโทกำลังจีบผมหรอ???
               เร็วไปม๊ายยยย เราเพิ่งรู้จักกันนะพี่
               “ธันจะกินน้ำอะไรล่ะ เราไปซื้อมาให้” เจ๊เกดถามเสียงหวาน ผมงี้หันขวับ
               “เราไม่หิว”
               “งั้นเอาเป็นโค้กเหมือนเดิมแล้วกัน” อืม ไอ้พี่ธันชอบกินน้ำอัดลม ผมจะจำไว้
               ตอนนี้ทั้งโต๊ะก็เหลือแต่ผมกับพี่ธัน ฝ่ายหนึ่งจ้องหน้าอีกฝ่าย ไม่มีใครพูดอะไร ผมที่หน้าแดงพยายามไม่หลบตา ถ้าสารภาพรักไปตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ จะสมหวังรึเปล่า หรือจะพังทลายในพริบตา
               “พี่ชอบเด็กแว่นคนนั้นจริงๆหรอ” ผมค่อยๆเริ่ม...
               “ใช่”
               “ที่บอกว่าเคยน่ะ ชอบมานานแล้วหรือไง”
               “ก็นานพอจะรู้สึกสิ้นหวังได้”
               “หมายความว่ายังไง?”
               “พี่รู้จักเด็กแว่นคนหนึ่งที่ชอบอยู่ทำกิจกรรมจนดึกดื่นคนเดียว พี่รู้จักเด็กแว่นที่ชอบแอบมองอยู่นอกสนามบาส พี่รู้จักเด็กแว่นที่ออกหน้าปกป้องคนที่สำคัญกับเขา...”
               นี่มันเรื่องอะไรกัน...
               พี่ธันพูดถึงเด็กแว่นคนนั้น ราวกับมันยังอยู่ในความทรงจำของเขา เด็กแว่น ที่เฝ้าถามตัวเองว่าทำอย่างไรคนที่เขาแอบรักจะหันมามองเขา เด็กแว่นที่พี่ธันก็แอบมองมาตลอดเหมือนกัน...อย่างนั้นหรอ...
               “...เขาหายจากชีวิตพี่ไปตั้งหลายปี พี่ตามหาเขาไม่เจอ”
               ...เป็นไปได้จริงๆหรอ?
               “แต่ตอนนี้พี่เจอเขาแล้ว”
               ...พี่ธัน...
               “แค่อยากบอกให้รู้ว่าพี่มองเขามาตลอด เพียงแต่ไม่กล้าแสดงตัว”
               “ถ้าอย่างนั้นเขาคงรู้สึกแย่น่าดูนะ”
               “แย่หรอ ยังไงล่ะ”
               ผมกลืนน้ำลายไม่รู้ตั้งกี่รอบ กลืนความอัดอั้น แล้วค่อยๆเผยความรู้สึกจริงๆออกมา ผมอยากให้พี่ธันรู้ความรู้สึกทั้งหมด แม้แต่ความรู้สึกกลัว....ถ้าหากความฝันของผมมันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ผมต้องแน่ใจ
               “เขาเคยรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นแค่ความฝันลมๆแล้ง ยิ่งไม่พูด เขาก็จะยิ่งรู้สึกสิ้นหวังไง เขารู้ว่าดาวจะไม่มีทางสนใจดิน...”
               “ไม่เคยเห็นดาวตกหรอ มันตกลงมาที่ดินนะ”
               “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ด้วยสังคมแบบพี่ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยนะ”
                “หมายความว่ายังไง”
               “ก็ตัวพี่เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทอสังหายักษ์ใหญ่ อีกหน่อยก็ต้องมีหน้าตาในสังคม ถ้าพี่คบกับไอ้เด็กแว่นนั่นอนาคตของพี่ไม่ต้องพังไปด้วยหรอ ที่บ้านพี่จะว่ายังไง ไหนจะตัวพี่อีก คนเขาจะมองพี่ยังไงพี่ก็รู้”
               พี่ธันไม่พูดอะไรกับความเห็นนี้
               “...พี่ทนได้หรอ”
               “มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”
               “เกี่ยวสิ พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก”
               “แต่บนโลกนี้มีคนที่พี่รักอยู่คนเดียวนะ
               ทุกคำที่ได้ฟังทำเอาน้ำในตาคลอ มันเหมือนแสงสว่างในถ้ำมืดที่ไร้ทางหนี ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปหา แสงที่เป็นเหมือนปลายทางที่ไม่เคยหาเจอ บัดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็นทางออกที่สร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับผม มือผมเริ่มสั่นน้อยๆจากการสะกดกลั้นความอิ่มเอมใจ
               “แล้วเมื่อไหร่พี่จะบอกให้เขารู้ในสิ่งที่พี่รู้สึกล่ะ”
               “ก็พยามอยู่ ขอโอกาสให้พี่สักครั้งได้มั๊ย” พี่ธันใช้เสียงที่อ่อนโยนมาก เสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นเสียงจากหัวใจเขาจริงๆ ส่วนคำตอบของผมน่ะหรอ...
               “แล้ว...เด็กแว่นคนนั้น” ผมก้มหน้างุด “เขาชื่ออะไรหรอครับ”

               “เขาชื่อไลท์”

                                     ------------------------------------------------------------------------------

               ผมก้มหน้าจนจะจมลงไปกับโต๊ะอยู่แล้ว ไอ้พี่ธันก็เรียกผมเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่นั่น ผมแค่พยายามจะหลบสายตาไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่เจิ่งจนจะไหลออกมาอยู่แล้ว ความอบอุ่นใจที่คนที่เรารัก รักเราตอบมันช่างมีความสุขเหลือเกิน ความเศร้าและสิ้นหวังกับการแอบรักพี่ธันข้างเดียวดูช่างแจ่มชัด ทุกวินาทีที่ผมเฝ้าคิดไปต่างๆนาๆว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ บัดนี้ผมกลายเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดในโลก หากเป็นไปได้ก็อยากจะเก็บความรู้สึกนี้ใส่กล่องติดตัวไว้ตลอดเวลา บางทีอาจจะเขียนลงในสมุด ผมชอบเก็บความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ และจะกลับไปทำอีกครั้ง
               พี่สิบโทซื้อน้ำเสร็จก็กลับมานั่งที่เดิม พอเห็นหน้าผมก็ตกใจ
               “ไลท์ เป็นอะไร ไม่สบายหรอ” พี่เขาคงเห็นว่าผมหน้าแดงถึงที่สุด แถมยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “หรือไอ้ธันมันว่าไลท์...”
               “ไม่มีอะไรครับพี่สิบโท”
               ว่าไม่ว่าเปล่ายังทำหน้าเครียด ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากแตะคอ พระเจ้า... มือพี่สิบโทนิ่มที่สุด อ่อนโยนจนผมขนลุก เป็นมือที่ถ้าใครได้สัมผัสต้องหลงกันทุกคนแน่ๆ ผมที่อารมณ์กำลังเต็มแน่นกลับเจอแบบนี้ก็ยิ่งทำให้หน้าแดงเข้าไปอีก
               “ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมสบายดี แค่....” ผมเงยหน้ามองพี่ธันที่ตอนนี้ดูจะกลายเป็นยักษ์เสียให้ได้
               “มากไปละไอ้สิบโท นั่นน้องรหัสกูนะเว้ย”
               “แล้วไงวะ น้องรหัสมึงไม่ใช่แฟนมึงเสียหน่อย” เอาแล้วไง พี่ธันจะว่ายังไงล่ะทีนี้
               “เออ แค่น้องรหัสกูก็ว่ามากไปและ ถ้าเป็นแฟนเมื่อไหร่มึงโดนกูต่อยหน้าแน่” อื้อหือ เข้มเข้าไปพ่อคุณ
               “มึงพูดอะไรเนี่ยไอ้ธัน ใครแฟนมึง?” เออ ใครแฟนมึง แค่สารภาพว่ารักยังไม่ได้ขอเป็นแฟนเสียหน่อย ผมทำหน้าท้าทายใส่เลย ตอนนี้เจ๊เกดก็เดินมานั่งพอดี ไอ้พี่ธันก็คว้าโค้กหมับแล้วตั้งต้นดูดอย่างบ้าคลั่ง
               “อ้าปากดิ๊” ผมที่กำลังนั่งก้มหน้ายิ้มไม่หุบก็ไม่รู้ว่าใครยื่นให้ อ้าปากงับดูด รู้สึกตัวอีกทีก็ตกใจ พี่สิบโทกำลังถือขวดไวตามิ้ลป้อนผม ทั้งยังยิ้มหน้าบานให้ด้วย เป็นยิ้มที่เปล่งปลั่งจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมรักพี่ธัน คงเผลอใจให้พี่สิบโทอย่างไม่มีข้อสงสัยทีเดียว
               “มึงนี่น่ารักน่าแกล้งจริงๆนะไลท์” ผมชกแขนพี่สิบโท ความรู้สึกเหมือนชกกระสอบทราย เฟิร์มโคตร
               ไอ้พี่ธันตาลุกเป็นไฟ กระแทกขวดโค้กลงบนโต๊ะ
               “ธันเป็นอะไร” เจ๊เกดถาม ผมก็เห็นท่าจะไม่ดีแล้วเหมือนกัน รีบดูดน้ำให้หมดแล้วห้ามทัพ
               “พอๆ จะบ่ายแล้วครับพี่ ไปเตรียมตัวเรียนกันดีกว่า”
               “เฮ้ย พี่ไม่มีตรวจแบบ” อ้อหรอ หืมมมม พี่สิบโทนี่ก็...
               “แต่ไลท์ต้องทำงาน ห้ามใครกวนสมาธิ” พี่ธันยืนยันเสียงแข็ง
               พี่สิบโทมองพี่ธันแปลกๆ พวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน มองตากันแบบนี้คงจะเข้าใจกันได้ไม่มากก็น้อย จากที่เป็นพันธมิตรกัน ผมคิดว่าตอนนี้มีประกายไฟเล็กๆได้เกิดขึ้นแล้ว และพี่สิบโทเพิ่งจะเข้าใจ
               ผมสังหรณ์ว่าจะเกิดสงครามชิงนายกันก็คราวนี้...
               แล้ว...ทำไมกระผมต้องมาเป็นนายสีดาด้วยละครับ


                               ---------------------------------------------------------------------------------------------------

               เพราะอินทีเรียกับสถาปัตย์หลักนั้นแยกตึกกัน จึงขอให้พี่สิบโทกลับไปก่อน เหลือแค่พี่ธันที่เดินไปส่งที่สตูดิโอ พอถึงโต๊ะก็เล่นงานผมทันที
               “ชอบมันหรอ” ยังไม่ทันเป็นแฟนเลย แววขี้หึงนำมาก่อนแล้ว
               “พี่เขาก็เป็นคนดีนะ” ผมพูดด้วยความจริงใจ “เค้าดูใส่ใจผมมาก”
               “แล้วพี่ล่ะ...” พี่ธันพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจจริงๆ ผมกำลังคิดว่าใจร้ายไปหรือเปล่าที่ทำตัวไม่เป็นมิตร อย่างน้อยก็ควรเป็นห่วงความรู้สึกพี่ธันอย่างจริงจังบ้าง
               “ผมขอโทษ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สิบโทหรอกนะ”
               “ก็ไลท์ชอบหว่านเสน่ห์...พี่ก็กลัวคนอื่นจะเข้ามาหาแล้วทำให้หมูน้อยของพี่เปลี่ยนใจนะสิ”
               “เวอร์ไปละ ผมก็หวงเนื้อหวงตัวเป็น”
               “ไม่รู้แหละ พี่ไม่ไว้ใจคนอื่นๆ....” พี่ธันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปค้นกระเป๋าตัวเองแล้วล้วงสิ่งหนึ่งออกมา
               ในมือของพี่ธันเป็นแหวนเงินหน้าตาธรรมดามากเหมือนที่ขายกันตามตลาดนัด แต่ผมเห็นไวๆว่าด้านในของแหวนมีสลักชื่อไว้ จึงน่าจะเป็นแหวนที่สั่งทำพิเศษแน่ๆ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้ามือซ้ายผมไปแล้วสวมแหวนนั้นไว้ที่นิ้วนาง
               “เฮ้ย!!??...” ผมตกใจมาก ทั้งหมดนี้ปุ่บปั่บเกินไป ไอ้อุ้มที่นั่งอยู่ข้างผมก็ถึงกับอ้าปากค้าง
               “นี่เป็นสิ่งยืนยันว่า ใจของไลท์เป็นของพี่แล้ว ห้ามใครมาแย่งไปทั้งนั้น”
               พี่ธันไม่ปล่อยให้ผมค้าน พูดเสร็จปุ๊บก็เดินออกจากสตูหายวับไปเลย นี่เขาชัดเจนขนาดนี้เลยหรอ  ไม่มีลังเลอะไรเลยสักนิด ผมที่มัวแต่ตกใจ ดีใจ แปลกใจ ไม่มีคำพูดใดๆจะเอ่ยจริงๆ
               ...แต่แบบนี้เรียกว่าขี้ตู่ จอมบงการตัวพ่อเลย...
               “พวกมึงสองคนนี่ก็แปลกไปมั๊ย ไวไฟกันฉิบหาย” อุ้มตั้งข้อสังเกต “จู่ๆก็มาสวมแหวนให้ซะงั้น”
               “แต่เขายังไม่ได้ขอกูเป็นแฟนนะเว้ย”
               “แล้วยังไง ไอ้ที่ให้แหวนไว้ก่อนแบบนี้ ท้องก่อนแต่งหรอยะ”
               “เฮ้ย พูดบ้าอะไรเนี่ย” มาท้งมาท้อง บ้า... “แต่ก็ดูแปลกๆจริงนะ กูตั้งตัวไม่ทันไง เขายังไม่เห็นจะเข้ามาจีบกูเลย”
               “หรอ...” อุ้มประชด “แล้วไอ้ที่เทียวเช้าเทียวเย็นมาหาเรื่องคุยกับมึงเนี่ย ไม่เรียกว่าจีบหรอ มึงไม่รู้อะไร คนอื่นๆที่ได้คุยกับพี่ธัน เขาก็บอกทั้งนั้นแหละว่าเหมือนคุยกับก้อนหินดินทราย ไม่มีการตอบรับหืออือ มึงก็รู้ว่าฉายาพี่เขาคืออะไร ราชานรกน้ำแข็งนะเว้ย”
               อืม...มันก็จริงอย่างอุ้มว่า พี่ธัน... ตั้งแต่เจอผมครั้งแรกก็ไม่ปล่อยให้ผมนั่งคิดถึงหน้าเขาแต่ฝ่ายเดียวเลย เล่นโผล่มาทุกวัน มาด่าบ้างล่ะ แขวะบ้างล่ะ วันไหนดีๆก็ซื้อของมาให้เป็นกระบุง ถ้างั้นที่ผ่านๆมา พี่ธันเขาจีบผมมาโดยตลอดหรอ นั่นเป็นวิธีจีบที่ฮาร์ดคอร์มากๆ
               รู้สึกดี รู้สึกเป็นที่ต้องการ...
               “เอาเหอะมึง หุบยิ้มแล้วเขียนแบบให้เสร็จ เย็นนี้เขามีนัดนะเว้ย ไหนจะเชียร์ ไหนจะแก้วแรก”
               “เชี่ย นี่กูยิ้มอยู่หรอ” ผมยิ้มจริงๆหรอ? “มึงนี่ก็ชอบแซว คืนนี้กูจะมอมมึงให้หลับเลย”
               คราวนี้อิอุ้มมันหัวเราะแบบสบประมาทโคตรๆ “มึงไม่ต้องมโน กูดูทรงมึงและ ไม่เกินสองชั่วโมง มึงได้ไปเฝ้าพระอินทร์แน่”
               มันพูดจริงครับ ผมคอนเฟิร์ม


               อย่างไรก็ดี กว่างานผมจะเสร็จก็ได้เวลาเข้าห้องเชียร์พอดี เพราะผมมัวแต่นั่งจ้องแหวนเงินที่มือผมนี่แหละ



****************************************************************************************************************
Mr.SCROMAN : ไม่ได้เลยนะธันวา แบบนี้ไม่แมนเลย พอเห็นว่าจะเสียเขาไปแล้วค่อยมาหวงหรอ นิสัยเสียมาก
                       #(ความลับนะ คนที่ชื่อสิบโท ที่จริงแล้วคือคนที่สำคัญมากๆต่อชีวิตทั้งคู่ และเรื่องราวจะค่อยๆเปิดเผยออกมาเอง อีกอย่าง หมอเนี่ย สเปคไรเตอร์เด้อค่ะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด