► ท ร ม า น บั น เ ทิ ง } บทส่งท้าย [จบเนื้อเรื่องหลัก] (26/11/60 - หน้า 5)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► ท ร ม า น บั น เ ทิ ง } บทส่งท้าย [จบเนื้อเรื่องหลัก] (26/11/60 - หน้า 5)  (อ่าน 74958 ครั้ง)

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
มาต่อเร็วว อ่านเพลินมาก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เต้  โต๋น นอนด้วยกัน เอ้ย.....นอนห้องเดียวกัน  o18
แต่โต๋น ก็ทรมานการนอนอีกและ
ไม่ใช่เพราะนอนกับหนุ่ม
ก็เพราะเต้ นอนกรนน่ะสิ  :z3: :z3: :z3:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ขอเดียร์ เข้ เต้ ให้น้องโต๋นโตยเน้อ

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
มาเวยยยยยๆ

ออฟไลน์ mutyamania

  • สามารถติดตามงานติดเรทที่ลงเล้าไม่ได้ที่ ReadAWrite ในชื่อมัสยากลับมาจากป่าช้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1898
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +794/-139
    • https://mutyawhocamebackfromthedead.readawrite.com
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วมีความสุขมาก น้องโต๋นน่ารัก (ตัวจริงๆของโต๋นแตร๋ที่เป็นคาแรคเตอร์ก็น่ารักดี ติ๋มๆแต่แอบกวนตรีนน่ากลั่นแกล้งรังแก)
เราเชียร์โปเต้นะ แต่ก็แอบปันใจให้น้องเดียร์ น้องเดียร์ดูแสบๆไปอีกฟีลหนึ่ง คนที่ไม่เชียร์เลยคือไอ้จระเข้ หมั่นไส้ความอัธยาศัยดีของมัน 5555+

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ทรมานบันเทิงจริงๆ  :-[ :o8: :ling2:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
6
ฝันวันศุกร์




“อือออออ” ผมครางออกมาเพราะความงัวเงีย อืม…รู้สึกนอนสบายจัง ทำไมคืนนี้หมอนนุ่มขนาดนี้ล่ะ มีความสุขจนอยากจะขอบคุณอีเกียอย่างแรง

   “ตื่นแล้วเหรอ…” เสียงหนึ่งพึมพำขึ้นอยู่เหนือหัว

   หืม… ใครวะ

   ผมบิดตัวและเอนหัวขึ้นไปมองให้ชัดๆ พบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้โปเต้นั่นเอง

   เฮ้ยยยย แล้วกูมานอนอยู่บนตัวมันได้ยังไงกัน!?

   “อือ ตื่นแล้ว” เอ๊า ทำไมพูดออกไปแบบนั้น สมองผมไม่ได้สั่งการแบบนี้น้า!!

   “เมื่อคืนมึงร้อนแรงมากเลยนะ” อีกฝ่ายกระซิบต่อ ทำหน้ากรุ้มกริ่มจนอยากถีบ

   “ก็เพราะใครกันล่ะ ยั่วอยู่ได้” หืมมมม กูกำลังพูดถึงอะไร คุยไรกันผมไม่รู้เรื่องงงงง

   “ใครกันแน่ที่ยั่ว เดี๋ยวก็โดนอีกทีหรอก”

   “ยั่วแบบไหน แบบนี้ปะ” แล้วผมก็เอื้อมแขนขึ้นไปเกี่ยวคอคนที่นอนสูงกว่าโน้มลงมาให้จมอยู่ตรงซอกคอ

   ไอ้เหี้ย อีโรติกสัส

   “ไปอาบน้ำเลยมึง ปากเหม็นแล้ว” พอพูดจบไอ้โปเต้ก็ขยี้หัวจนผมของผมยุ่งไปหมด

   เฮ้ย อะไรวะไปกันใหญ่ เป็นเรื่องเป็นราว

   และก็แปลกมากที่ผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย จัดการลุกพาร่างเปลือยเปล่าไปคว้ากางเกงขาสั้นที่ตกอยู่ข้างเตียงใส่โดยมีคนอย่างไอ้โปเต้นอนหนุนแขนโชว์วงกล้ามมองอยู่

   ทำไมกูถึงไปตามน้ำได้แบบนี้เนี่ย ไม่ดี ไม่ดีแน่ๆ

   ผมเปิดประตูห้องนอนออก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีใครรออยู่บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นอยู่ก่อนแล้ว

   พี่เข้ก้มหน้าเล่นกับนิ้วมือตัวเองอยู่ พอเห็นผมเขาก็ทำท่าจะร้องไห้

   ฮือออ เป็นอะไรอีกคนละ ว่าแต่มาได้ไงวะเนี่ยย

   “ไหนบอกว่าชอบพี่คนเดียวไง” เสียงนั้นแฝงความเศร้า

   “ผมขี้เกียจรอแล้ว” เดี๋ยวๆๆๆๆ ทำไมเอ็งอู้ไปอย่างนั้นอ้ายโต๋นนนน บ่ถูกต้อง!

   “นั่นสินะ พี่ขอโทษ พี่ผิดเอง …แค่อยากจะรอเวลาให้เหมาะสมที่สุด”

   “พี่ช้าไปแล้วครับ” โอ้โห ทำไมอยู่ดีๆ มึงใจเด็ดขนาดนี้วะ

   ติ๊งหน่อง!

   เสียงกริ่งประตูทำให้ผมเลิกใจพี่เข้เพื่อจะเดินไปดูว่าใครมาหา

   “ไง” เสียงนั้นทักทายตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดดี มันคือไอ้เดียร์ที่ยิ้มมุมปากมองลอดแว่นตามสไตล์มัน

   บ้าเอ๊ย! มาทั้งบริษัทเลยมั้งเนี่ย แน่จริงเจ้าของช่องก็มาด้วยสิ

   “มีอะไร” เสียงของผมดูห้าวหาญเหมือนพร้อมบวก

   “เฮ้อไอ้โต๋น พอได้จังหวะมึงก็ถูกรุมสองเลยเหรอวะ”

   “แล้วทำไม?” น่ะ พูดกับมันดีๆ ไม่ได้เหรอกู

   “ก็เปล่าหรอก อยากมีคนที่สามมั้ยล่ะ” อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จนหน้าชิดกันแค่ปลายจมูก “กูอาสาเอง”

   RRRRRRRRR

   เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นวางรองเท้าทำให้บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้น

   เอ๋…ทำไมมือถือผมมาอยู่ตรงนี้ได้

   “สวัสดีครับ” ผมพูดทักทายหลังจากกดรับ น้ำเสียงหยิ่งผยองสไตล์เบ่งๆ

   [คุณโต๋นคะ เลิกยุ่งเรื่องรักแล้วมาทำงานทีเนอะ] เสียงพี่ป่านช่างแหลมบาดหู

   “ผมขอลาออก ผมเบื่อ” เดี๋ยวๆ ไปกันใหญ่แล้ว พูดไรของมึงโต๋น นี่เจ้านายมึงนะ

   [เออดี! ฉันจะได้ไปจ้างคนใหม่! กลับบ้านไปขายไส้อั่วกับพ่อแม่แกเถอะ!” พี่ป่านวางสายไปด้วยความหงุดหงิด

   “โต๋น…”

   ผมหันหลังไปตามเสียงเรียก พบว่าโปเต้ เดียร์ และพี่เข้ยืนเรียงหน้ากระดานกันอยู่

   “กูว่ามึงจบเรื่องนี้สักทีเถอะว่ะ” ไอ้โปเต้พูดคนแรก

   “มึงว่าไงวะกับเรื่องที่กูพูด?” ไอ้เดียร์ตามมา

   “พี่…ขอโทษ” พี่เข้ปิดท้าย

   โอ๊ยยยยยยย เกิดบ้าอะไรขึ้นกับโลกวะเนี่ยยยยยย

   “ไม่” ผมพูดพลางกอดอก “ออกไปกันได้แล้ว เห็นหน้าแล้วจะอ้วก”

   ผมเตรียมจะกลับเข้าห้องนอนอย่างเท่ๆ อยู่แล้ว ถ้าหัวไม่โขกบานประตูตอนกระชากออกซะก่อน

   โป๊กกก!





โป๊กกก!

   “โอ๊ยยยยย” ผมร้องลั่นเมื่อรู้ตัวว่าหัวกระแทกเข้ากับขอบเตียง มันส่งผลให้ผมตื่นเต็มตาเพื่อจะรวบรวมสติตรวจสอบดูว่ากำลังนอนบนตัวใครหรือเปล่า

   ไม่มี…

   หันไปดูข้างๆ… ก็ไม่มี

   ข้างนอกห้อง?

   ผมวิ่งออกไปที่โซฟาด้านนอก

   ไม่มีใครนั่ง…

   ประตูห้องล่ะ!?

   แอดดดดดด

   ผมโผล่หัวออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ มองซ้ายขวาไปตามทางเดิน

   ไม่มีใคร…

   โอเค กูฝันไปนี่เอง…

   ฮึ่ยยยยยยย ฝันบ้าอะหยังวะ

   ระหว่างที่กำลังทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตที่แปะอยู่บนเค้าท์เตอร์ซึ่งกั้นด้านหลังโซฟาเพื่อใช้แยกห้องนั่งเล่นกับส่วนที่เป็นห้องครัว


   ‘กูเห็นมึงตัวร้อนมากเลยไม่อยากปลุก แถมตอนนี้ก็สายมากแล้วกูเลยให้มึงนอนต่อดีกว่า
   กินข้าว กินยา แล้วก็นอนพัก

   โทรไปลาพี่ป่านด้วย

   อย่าลืมกินยา!
   Ps. ขอบคุณที่ให้ยืมเตียง’




   ผมเอามืออังคอตัวเอง…

   โอ้ ร้อนจี๋เลย แถมพอรู้ตัวก็ปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ อาการดัดจริตจริงๆ เลยเนอะไอ้โต๋น

   ผมเห็นจานที่มีฝาครอบแบบพลาสติกคว่ำปิดไว้อยู่ พบว่ามันคือข้าวไข่เจียวที่เหี่ยวและอมน้ำมัน

   อี๋ เอาไปให้หมาแดกเถอะ

   ผมทำท่าจะทิ้งแต่นึกขึ้นได้… ถ้าปฏิเสธน้ำใจไอ้หนวดนั่นมันก็แปลกๆ อยู่ อุตส่าห์ขับรถมาส่งขนาดนั้น

   ผมจัดการตักไข่เจียวเข้าปาก เคี้ยวแม่งทั้งน้ำตา

   ฮือออออ คิดผิดคิดถูกวะเนี่ย




“ไม่สบายเหรอจ๊ะ” เสียงทักทายจากพี่ป่านเล่นเอาผมชะงัก

   เชี่ย…เจ๊แกรู้ได้ไงอะ

   “มีคนบอกแล้วเหรอครับ” ผมลองถาม

   เจ้านายผมทำหน้างงๆ “ไม่มีหรอกจ้า พี่เดา เห็นโต๋นไม่เคยมาสายพี่เลยคิดว่าคงจะป่วย แถมวันนี้หน้าดูซีดๆ ด้วย”

   “อ่า… ครับ ไม่ค่อยสบายนิดหน่อย” ผมนั่งลงกับเก้าอี้โต๊ะตัวเอง

   “ทำไมจ๊ะ” คุณบอสยังถามต่อ “คิดว่าใครจะบอกพี่เหรอ”

   “นั่นสิ” บุคคลที่สามลุกขึ้นมาแจม ไอ้เดียร์ยืนยิ้มเท้าคางมองลงมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   “เปล่าครับ ผมเบลอไข้นิดหน่อย แค่กๆ” นี่แหนะ แกล้งไอมันซะเลย

   “อย่าหักโหมมากล่ะจ๊ะ จริงๆ ก็ลาได้นะ ทีหลังไม่ไหวอย่าฝืน พี่ไม่ได้เป็นเจ้านายใจร้าย” พี่ป่านว่า

   “ครับ ขอบคุณมากเลย” ผมยกมือไหว้ พี่ป่านเลยหันไปสนใจกับงานตัวเองต่อ

   “เป็นไรวะ” ไอ้เดียร์เป็นคนเปิดประเด็นถามต่อ

   “โดนฝน”

   “นั่งมอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อกแบบนั้นยังทำให้ป่วยได้อีกเหรอ”

   ผมเงยหน้าพร้อมกับหรี่ตามองคนถามด้วยความสงสัย

   “มึงรู้ได้ไงวะ”

   ไอ้เดียร์ยกตัวขึ้น เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา

   “เปล่า”

   “เมื่อวานมึงเห็นกู?”

   ไอ้ตัดต่อเกาท้ายทอยตัวเอง “ก็…”

   “เดียร์… ความจริง” นี่…ใช้วิธีที่มันเคยเค้นผมซะเลย

   “ก็ตอนกูแกล้งมึง กูรอมึงอยู่หน้าตึกนึกว่ามึงจะลงมา…”

   “แล้ว…”

   “สักพักกูได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์ จำได้ว่าของพี่เต้เลยคิดว่าจะหันไปทักทาย” มันพูดต่อ “แต่เห็นมึงนั่งใส่หมวกซ้อนท้ายอยู่”

   “อ้าว? เมื่อวานมึงรอกู?”

   “เออ”

   “แล้วทำไมไม่ไลน์มาบอกวะ”

   ไอ้เดียร์ส่ายหัว “ช่างแม่ง มึงกลับกับพี่เต้ก็ดีแล้ว ได้นั่งมอไซด์ราคาหลายแสนเลยนะเว้ย”

   เดี๋ยว…ทำไมมึงเปลี่ยนเรื่องล่ะ

   ช่างมันแล้วกัน

   “ราคาแพงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

   “เออดิ” ไอ้เดียร์ดูยินดีปรีดาที่ผมเปลี่ยนเรื่อง “เขารวยนะเว้ย เป็นลูกเจ้าของรีสอร์ตเกาะแถวๆ สุราษเลยนะ"

   “ดูไม่ยักรู้ว่าเป็นลูกคนรวย” ผมบ่น ดูสภาพมันแล้ว ถ้ารวยคงเป็นพวกหัวขบถหนีออกจากบ้าน รักหญิงสาวบ้านป่าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ระหกระเหินมาตามความฝันในเมืองกรุงด้วยลำแข้งตัวเองแน่ๆ …นี่แหนะ ขอวิเคราะห์ตัวละครหน่อย

   “แล้วมึงรวยปะ” ไอ้เดียร์ถามผมกลับ

   “กูอะนะ?” ผมลองนึก “ไม่น่าจะนะ ก็ทำไร่ทำสวนตามปกติ”

   “ทำไร่อะไรวะ?”

   “ก็พวกชา …กาแฟบ้าง แล้วก็ผลไม้ตามฤดูกาล”

   “ดูไม่ใช่สวนธรรมดาๆ นะ” ไอ้เดียร์บ่นงุบงิบ “ที่ดินเยอะมั้ย”

   “ก็…” ผมนึกอีกที ป้อเกยบอกว่ามีเต้าใดวะ “ประมาณสามร้อยไร่ล่ะมั้ง”

   พรวด!

   ไอ้เดียร์พ่นลูกอมที่อยู่ในปากจนหลุดกระเด็นออมาติดหน้าจอคอมพ์ฯ ของผม

   “อี๋ สกปรกจังวะ” ผมดึงทิชชู่ออกมาหยิบมันทิ้ง

   “ไอ้เหี้ย สามร้อยไร่ กูเกิดสิบชาติยังไม่มีปัญญาครอบครองเท่ามึงเลย”

   “ของพ่อแม่กู ไม่ใช่ของกูสักหน่อย คนที่รวยคือพวกเขานู่น”

   “ของพ่อแม่ก็คือของลูกเปล่าวะ รวยก็คือรวยคิดไรเยอะแยะ”

   “กูขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว ลูกอมที่หลุดออกจากปากมึงทำกูเสียอารมณ์” ผมบ่นด้วยความหงุดหงิด “กลับไปทำงานได้แล้วไป”

   ผมหันหน้าหนีตอนจังหวะที่อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้พอดี จัดการเปิดคอมระหว่างรอมันบู้ตก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

   เอ๋… เบอร์โทรล่าสุดคือใครวะ ทำไมไม่คุ้นเลย

   ผมลองนึกจากตัวเลขสิบหลักนั้น นึกเท่าไหร่ก็ไม่คุ้น จะเบอร์ลูกค้าหรือคนในตึกก็คงไม่ใช่เพราะเบอร์สำคัญๆ ผมเมมตลอด ก็เลยตัดสินใจลองโทรกลับไปดู

   [ค่อยยังชั่วแล้วเหรอ] คู่สนทนาเริ่มต้นประโยค

   “ฮะ?” ผมขมวดคิ้ว “นี่ใครเหรอครับ”

   [กูเอง… โปเต้]

   “เอ๊า… มึงแอบเอาเครื่องกูโทรหาตัวเองเหรอ”

   [ไม่ได้แอบ ตั้งใจ] อีกฝ่ายว่า [จะได้เมมเบอร์ไว้]

   “หลอกขอเบอร์กูปะเนี่ย” ผมแซว

   [ถ้ากูจะทำแบบนั้นนะ มึงไม่มีทางรู้ตัวด้วยซ้ำครับจะบอกให้]

   “โอเค กูก็นึกว่าใคร เออ...นี่กูมาทำงานแล้วนะ แค่นี้แหละ”

   [เดี๋ยว]

   “หืม?” ผมชะงักมือไว้ได้ทัน “ว่าไงครับ”

   [กระโถน เสาร์นี้ว่างปะมีเรื่องให้ช่วย]

   “พรุ่งนี้อะเหรอ?”

   [พรุ่งนี้วันจันทร์หรือไงล่ะ]

   “อย่าพูด กูหลอน” โคตรเกลียดวันจันทร์เลย “ก็…ว่างนะ มีอะไรอะ”

   [ถามแค่นั้นก็ตอบแค่นั้น ถ้าว่างก็เดี๋ยวว่ากัน แค่นี้แหละ]

   “เอ๊า ประสาท เออๆ”

   [วันนี้ไม่ต้องเดินกลับบ้านเองนะ]

   “ทำไมอะ จะไป…” ผมมองซ้ายมองขวา พูดเสียงดังไปไม่ได้เดี๋ยวไอ้หูดีแถวนี้ได้ยิน “จะไปส่งอีกหรือไง”

   [กระซิบทำไมวะ]

   “เออ เรื่องของกูน่ะ”

   [อืม จะไปส่ง] โปเต้ว่า [บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะเอาหมวกกันน็อกมาสองอัน]

   “มึงนี่ดีกว่าที่กูคิดนะ แต่ทำดีกับกูแบบนี้ไม่มีน้องสาวจะยกให้นะโว้ย”

   [หึ] ตากล้องหัวเราะ [กูไม่ได้อยากได้น้องสาวมึงซะหน่อย]

   “อ้าว จะเอาไรอะ”

   [เพ้อเจ้อไอ้เตี้ย แค่นี้แหละ]

   ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะตลกที่แซวมันไปรัวๆ แบบนั้น แต่กลายเป็นว่าพอวางสายก็เห็นไอ้เดียร์ยืนจ้องอย่างจับผิด เล่นเอาหุบยิ้มแทบไม่ทัน

   “อะไร?” ผมเอียงคอถาม

   “หัวเราะคิกคัก” มันว่า “คุยกับแฟนเหรอครับ”

   “ถ้ามึงเกิดช่วงสงครามโลก มึงต้องเป็นนักสืบที่ดีมากแน่ๆ เลยไอ้เดียร์”

   ผมหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบกับคอมแล้วจัดการเปิดเพลง

   “แต่ตอนนี้โลกสงบ ไม่มีใครต้องการมึงแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าเสือก” ผมยิ้มปิดท้าย




“น้อง”

   “…”

   “น้องครับ!”

   “หา!?” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อโดนนิ้วจิ้มเข้าให้ที่แก้ม  พี่เข้ยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่ข้างๆ เล่นเอาเคลิ้มไปเลย นี่ผมฝันเหมือนเมื่อเช้าอีกหรือเปล่าเนี่ย

   “ง่วงเหรอ ทำไมไม่กลับบ้าน”

   “ก็ยังไม่ถึงเวลา…” ผมมองนาฬิกา อ้าวเวร นี่มันจะทุ่มแล้วนี่ มองซ้ายมองขวารอบตัว นอกจากเราก็ไม่มีใครแล้ว

   “หึๆ” พี่เข้หัวเราะที่ผมดูลนลานแบบนั้น “พี่โทรหาพี่ป่านเขาบอกว่าให้คุยเรื่องนี้กับน้องอะ”

   “เรื่องอะไรครับ” ผมเอนตัวให้ตรง พยายามทำให้กระปรี้กระเปร่ามากที่สุด

   “พอดีพี่จะขอลา อาจจะต้องย้ายวันถ่ายหน่อยนะครับ” พี่เข้ว่า

   “อ๋อได้ครับ” ผมหยิบปฏิทินขึ้นมาดู “พี่จะลาวันไหนมั่งนะ”

   “สัปดาห์สุดท้ายของเดือนหน้าครับ จะขอกลับแพร่สักหน่อย”

   หืม… หูผึ่งเลย

   “กลับบ้านเหรอครับ?”

   “อือ” พี่เข้ยิ้ม “ทำไมเหรอ อยากได้ของฝากใช่มั้ย”

   “เปล่าครับๆ” ผมโบกมือ แหม เห็นผมตะกละเหรอครับพี่ “แค่ถามดู”

   “ใช่แล้ว ไม่ได้กลับมานานก็ว่าจะไปสักหน่อย”

   “ดีจังนะครับ”

   “ไปด้วยกันมั้ย เคยไปแพร่หรือยัง”

   พอเขาพูดแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ดีเลย รู้สึกแย่ที่ต้องมาปกปิดแบบนี้

   “ยังไม่เคยเลยครับ จะลองไปดู”

   “ลองดูนะ พี่ว่าเราน่าจะชอบ”

   โอ๊ยยยยย เศร้า นึกถึงวันเก่าๆ พี่เข็มขัดของผมมมมมม

   “พี่เข้ครับ”

   “หือ?” พี่เข้จ้องหน้าผมเพื่อรอคำถาม

   “ตอนนี้… พี่มีใครหรือยัง”

   อ๊ากกกกกก กูใจกล้าแบบนี้ได้ยังไงโว้ยยยย

   “หืมมม ถามอะไรเนี่ย” พี่เข้เท้าแขนลงกับโต๊ะทำงานของผม ตัวเขาสั่นตามจังหวะหัวเราะ

   “ผมขอโทษพี่ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ” ผมแทบจะยกมือไหว้ ฮือออ เขาต้องโกรธแน่ๆ เลย

   “ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่ซีเรียส” พิธีกรหนุ่มยิ้มกว้างเช่นเคย “หมายถึงแฟนใช่มั้ย?”

   ผมพยักหน้า

   “ไม่มี” เขาตอบ “พี่ตอบแล้ว งั้นพี่ขอถามเรากลับบ้างนะ”

   ผมพยักหน้าอีกรอบ

   “ตอนนี้เรามีแฟนหรือยัง?”

   โอ๊ยยยยยยย เย็นวาบ ไม่รู้เพราะแรงไข้หรือแอร์ หรือลมจากคำถามอันเย็นยะเยือกของเขา

   ผมส่ายหน้า ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื้อก

   “ไม่มีครับ” ผมตอบ

   “ตอนนี้ไม่มี?”

   “ผมไม่เคย…” โอ๊ยยย สถานการณ์กระอักระอ่วน “ไม่เคยมีแฟนเลยครับ”

   อีกฝ่ายยิ้มออกมา จากนั้นก็นั่งยองๆ มองช้อนผมขึ้นมาจากด้านล่างเพราะเขาอยู่ต่ำกว่า

   “น่ารักขนาดนี้อะนะ?”

   หืมมมมมมมมมมมมมม

   โอเค คืนจะไปอาบน้ำแบบไม่แก้ผ้าแน่ๆ เรียกสติตัวเองแบบเอ็มวีต่างๆ ซึ่งตอนนี้หลุดลอยไปไกลแล้วววว

   “พี่คิดว่างั้นเหรอครับ”

   “อือ” พี่เข้พยักหน้า “ทำงานเจอคนเยอะเดี๋ยวก็มีนะ ไม่ต้องคิดมาก”

   “โอเคครับ พี่ก็เหมือนกันนะ”

   “หึๆ สั่งสอนพี่กลับเหรอ”

   เยี่ยมไอ้โต๋น เอ็งอู้อะหยังออกไปปปป โรแมนติกซะไม่มี

   “ขอโทษครับ”

   “ไม่เป็นไรๆ” พี่เข้โบกมือ “เออน้อง มีเบอร์มั้ยพี่จะขอหน่อยเผื่อมีอะไรจะได้คุยกัน”

   เวรแล้ว….

   “เอ่อ…”

   จะให้ไลน์แทนก็ไม่ได้ ทั้งชื่อไอดีชื่อไลน์ใช้โต๋นหมด เอาไงดีวะ จะสร้างแอคเค้าท์ใหม่ก็คงไม่เสร็จในห้านาทีนี้แน่ๆๆๆ

   “มีมั้ยเอ่ย…”

   โอ๊ยยย อย่าเร่งเซ่

   “เอ่อ… ศูนย์แปดหนึ่ง”

   เอาวะบอกก็บอก…

   “โอเค… เรียบร้อย” พี่เข้ว่า

   ฮือออ ช่วงไคลแมกซ์แล้วสินะ

   “พี่เมมชื่อเราว่ากระโถนแล้วกันเนอะ”

   …

   ฮะ!?

   กระโถน…

   “ทำไมทำหน้าแปลกๆ แบบนั้นอะ” พี่เข้เริ่มสงสัย “หรือพี่เรียกชื่อผิด”

   “เปล่าครับๆ” ผมยิ้มแห้งๆ “ใครบอกชื่อผมกับพี่เข้เหรอครับ”

   “เต้ไง วันก่อนพี่เจอเต้เลยถามว่าเราชื่ออะไร มันบอกกระโถน”

   “อ๋อ นั่นสินะ…”

   ไอ้สัสเต้ กูอยากจะจูบตูดมึงสักร้อยที โว้ยยยยยยย ขอบคุณที่สวรรค์ส่งมึงมา

   กูไม่เคยรักชื่อกระโถนเท่านี้เลยยยยย

   “ครับ เมมลงไปเลยครับ กระโถนๆ”

    “โอเค ชื่อแปลกดี เป็นคนที่สองในชีวิตที่พี่รู้จักเลยนะ ชื่อแปลกแบบนี้…”

   “ครับ…”

   พอจะเดาออกฮะว่าอีกคนชื่อไร

   ชื่อกูไง!

   “ยังไม่กลับอีกเหรอ?”

   “ว่าจะกลับแล้วครับ หายไปกันหมดแล้ว”

   “งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปส่ง”

   “เฮ้ย ไม่ดีมั้งครับ” ผมใจเต้น คือปฏิเสธไปงั้นแหละ ชวนอีกทีสิๆๆๆ

   “งั้นก็ตามใจ”

   อ้าว เวร อย่าปล่อยให้หน้าแหกแบบนี้ ถามใหม่ก่อนพี่ๆๆๆ

   “เอาไง พี่ให้คิดอีกที”

   เย่ส!! วันนี้ฟ้าฝนเป็นใจ

   แต่เอ๊ะ วันนี้นัดกับไอ้เต้ไว้นี่ว่า มันบอกจะให้กลับด้วยนี่ใช่มั้ย

   “งั้นเดี๋ยวผมโทรหาเพื่อนแปบนะครับ”

   ผมจัดการโทรออกไปหาคนที่นึกถึง

   ‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

   เอ๊าสายไม่ว่าง… โทรใหม่

   ‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

   ก็ยังไม่ว่าง สงสัยปิดเครื่องแฮะ

   “ว่าไง” พี่เข้ช้อนตาเค้นเอาคำตอบ

   “ก็ได้ครับ ขอผมเก็บของแปบนึงนะ”

   “มาพี่ช่วย” พูดจบพี่เข้ก็หยิบของต่างๆ ยื่นมาให้ผม

   ขอโทษนะไอ้เต้ เดี๋ยวกูจะรีบติดต่อมึงไปอธิบายทีหลัง โอ๊ยยย รู้สึกผิดโว้ย



จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ว่าจะลงเมื่อวาน แต่พอดีกลับจาก Full Moon ที่พงัน หลับเป็นตายเลยฮะ
เดินทางนานอย่างกับไปอังกฤษ ฮือออออ ฝากด้วยนะครับ  <3 #ทรมานบันเทิง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2017 00:56:49 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เชียร์ตากล้องค่ะ แฮ่
เรายังค้างๆคาๆว่าเพื่อนโต๋นหายไปไหน ที่ชื่อภูมิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
งานดีทั้งนั้น

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
นักเขียนหาแรงบันดาลใจที่ full moon

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ยิ่งสนุกขึ้นอีก

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
7
ปุยๆ




RRRRRRRRR

   ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด

   ไอ้เต้ตัดสายอีกแล้ว…

   ขอลองอีกทีแล้วกัน

   RRRRRRRRR

   ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด

   โอ๊ยยยย รับสายหน่อยเถอะวะ กูเครียดดดดด

   ตั้งแต่ตื่นเช้ามา ผมโทรหาไอ้เต้เท่าไหร่มันก็ไม่รับเลยครับ เพราะผมจำได้ว่าเมื่อวานมันถามว่าวันนี้ว่างหรือเปล่า ผมก็คิดว่ามันคงมีเรื่องอะไรสำคัญ แต่จะโทรถามมันก็ไม่รับเลยเนี่ย แม่งโกรธที่เมื่อวานหนีกลับก่อนแน่ๆ เลย

   เอาไงดีวะ

   ผมเลื่อนเบอร์ไปหาพี่ป่าน จัดการโทรหาทันที

   [ว่าไงโต๋น โทรมาวันหยุดมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ] ไม่นานพี่ป่านก็รับสาย

   “พี่ป่านครับ พอดีมีเรื่องงานจะคุยกับโปเต้ แต่ผมไม่มีเบอร์ติดต่อ ไม่รู้ว่าพี่ป่านมีมั้ยครับ”

   [อ๋อ มีจ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่โทรหามันให้ แล้วให้มันโทรหาโต๋นแล้วกันเนอะ]

   เย่ส! นั่นแหละครับที่ผมต้องการ ฮือออออ

   “ขอบคุณนะครับพี่ป่าน”

   [จ้า แค่นี้นะจ๊ะ]

   ฮึ่ยยย ขอโทษนะครับหัวหน้า แต่มันไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ อะ

   เวลาผ่านไปไม่นาน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

   RRRRRRRR.

   เย่ ไอ้เต้โทรกลับมาแล้ว

   “ฮัลโหลมึง โกรธกูเหรอ” ผมยิงคำถามแรก

   [ไหนเรื่องงานวะ… แค่นี้นะ!]

   “โอ๊ยยย อย่าเพิ่ง!”

   […]

   “มึงกูขอโทษ”

   [มีอะไรอีกมั้ย]

   “ก็เห็นมึงถามกูว่าวันนี้ว่างมั้ย กูเลยอยากรู้ว่าจะให้กูทำอะไร”

   [ไม่มีอะไรแล้ว]

   “โปเต้ มึงคุยดีๆ กับกูก่อน!”

   […]

   “คือกูก็ไม่เคยคุยอย่างนี้กับเพื่อนผู้ชายอะ” ผมว่า “แต่กูขอโทษ”

   [อาบน้ำหรือยัง]

   “หา!?” ผมแปลกใจเมื่ออยู่ๆ มันก็ยิงคำถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “อาบแล้ว”

   [เดี๋ยวไปหา อย่าชักช้า ไม่อยากรอ]

   “เดี๋ยว”

   ตู๊ดดดด ตู๊ดดดดด ตู๊ดดดดด

   เอ๊า วางสายไปซะดื้อๆ อะไรของเขา

   โอเค รีบแต่งตัวไปนั่งรอมันข้างล่างดีกว่า ถ้าชักช้ามีหวังแม่งแดกหัวเอา คนอะไรวะดุอย่างกับหมา




ผมนั่งเท้าคางรอไอ้โปเต้อยู่ที่หน้าคอนโด สักพักได้ยินเสียงท่อมอเตอร์ไซด์อันเป็นเอกลักษณ์ของมันเลี้ยวเข้ามาในนี้ เจ้าของไม่ได้ดับเครื่องยนต์เมื่อถึงจุดจอด เพียงแต่ใช้เท้ายันพื้นไว้และเปิดฝาหมวกมองผมมาเท่านั้น

   สายตายังกับหมาบ้าของมันทำให้ผมสะดุ้งได้สติและรีบวิ่งแจ้นไปหาเพราะกลัวโดนด่า และแน่นอนผมก็ต้องขอโทษมันอีกครั้ง

   “เมื่อวานกูผิดเอง ขอโทษนะ”

   “ขึ้นรถ” มันว่า ไม่สนใจสิ่งที่ผมบอกไปทั้งสิ้น ในมือยังยื่นหมวกกันน๊อกอันใหม่มาให้อีก

   “มึงหายโกรธกูก่อนดิ”

   “จะขึ้นรถได้หรือยัง ไม่งั้นกูจะขับหนีแล้วนะ”

   โอ๊ยยย มันโกรธผมแบบฝังเลือดมากเลย

   ผมจัดการกระโดดไปเขย่าแขนมัน

   “ไม่เอาน่ามึง คุยกันดีๆ เด่ะ”

   “โว้ย!” มันสบถออกมาลั่น เล่นเอาผมถอยกรูด โอเคดูจากองศาแล้ว ระยะนี้มันคงเตะไม่ได้

   “มึง…”

   “เป็นใครวะ ทำไมกูต้องมาหงุดหงิดแบบนี้ด้วย” มันเหมือนจะพูดกับตัวเอง ผมผิดเองที่หูดีเกินไป

   “กูเอง กูโต๋นไง กระโถนของมึงอะ” ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดอย่างกล้าหาญ “เมื่อวานแม่งมีเหตุจำเป็นจริงๆ โทรหาก็ไม่ติด”

   “เมื่อวานกูไปออกกองแบตหมด อุตส่าห์รีบกลับมาตึกคิดว่ามึงจะรอ”

   โห… แม่งรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมอีก

   “…”

   “ไม่ขอโทษแล้วไง!?”

   “ขอโทษไปมึงก็ไม่หายโกรธอยู่ดี” ผมเศร้า…

   “เป็นเหี้ยอะไรอีกล่ะ” อีกฝ่ายตัดสินใจถอดหมวก จ้องผมไม่วางตา “ต้องให้กูทำไง”

   “ไม่ต้องทำอะไรก็ได้” ผมยื่นหมวกคืน “กูไม่ไปแล้ว ขอโทษที่ทำให้หงุดหงิดนะ”

   “พอเลยไอ้โต๋น” แขนผมกระตุกเล็กน้อยเมื่อมันเรียกชื่อจริง “กูต้องโกรธมึง ไม่ใช่มึงมาน้อยใจกู”

   “กูไม่ได้น้อยใจ”

   “กูเจอมาเยอะ” มันแยกเขี้ยว “แบบนี้เขาเรียกว่าน้อยใจ”

   “จะพูดอะไรก็พูด กูไม่ไปแล้วจริงๆ”

   “ไอ้โต๋น!” เสียงนั้นตวาดลั่น “อย่าให้กูเสียเวลา”

   “มึงพูดแบบนี้กับกูตลอดอะ งั้นก็อย่ามาเสียเวลาเลย”

   “อะไรของมึงวะ กูงงไปหมดแล้ว!”

   “เอาหมวกคืนไป”

   ไอ้โปเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จัดการดับเครื่องและลงมาจากรถ

   “แปบนึง” มันกอดอก หลับตาเหมือนกำลังสงบจิตสงบใจ “โอเคกูอารมณ์ดีแล้ว”

   “ฮะ!?”

   “พอใจมั้ย?”

   แต่ทำไมมึงหายเร็วแบบนี้ล่ะ

   “เอ่อ…”

   “ขึ้นรถ อย่าให้พูดอีกครั้ง กูเหนื่อย” ไอ้ตากล้องกระโดดคร่อมมอเตอร์ไซด์อีกที พร้อมกับมองหน้าผมเพื่อสังเกตว่าจะทำตามที่สั่งหรือเปล่า

   ถึงจะงงๆ ก็เออ… ไหนๆ มันก็หายโกรธละ ขึ้นรถก็ได้วะ

   “กระเป๋ามึงใหญ่อะ ตูดกูจะหลุดออกจากเบาะอยู่แล้ว” ผมบ่นเมื่อทันทีที่ขึ้นไปซ้อนท้ายเป้สีดำของคนหน้าก็กินพื้นที่ไปเกินครึ่งแล้ว ไม่มีที่จับด้านหลังแบบนี้กูตกลงไปกลิ้งง่ายๆ เลยนะเนี่ย

   “งั้นเอาไปสะพายให้หน่อย”

   ผมทำตามอย่างมันว่า จัดการดึงเป้ออกมาและสวมแทนมัน

   “เขยิบมาชิดๆ กูหน่อย กระเป๋ามันหนักเดี๋ยวถ่วง”

   “เหงื่อมึงออกเยอะเลย” ผมมองเห็นคราบเปียกเป็นวงกว้างที่เสื้อยืดสีขาวของมัน ตอนนี้สามารถมองทะลุไปเห็นเนื้อหนังด้านในได้ชัดเจน

   “ก็มันร้อน”

   “เออ”

   “ขี้บ่นจังนะมึงน่ะ” มันว่า จากนั้นก็สตาร์ตรถ

   “สรุปจะพาไปไหนวะ”

   “เดี๋ยวก็รู้”

   และมันก็ไม่บอกคำตอบ เพียงแต่กระชากตัวออกไปจนผมดึงเสื้อมันไว้แทบไม่ทัน




“พากูมาสวนสัตว์เนี่ยนะ!?” ผมงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อรู้ตัวว่ามันพาผมเลี้ยวเข้ามาในเขาดิน

   “ทำไมอะ ตื่นเต้นเหรอ”

   “ตื่นเต้นห่าอะไรล่ะ กูสงสัย” ผมรับบัตรที่มันไปซื้อมาให้

   “เอากระเป๋ามา” ไอ้โปเต้ดึงเป้ของตัวเองกลับไป จากนั้นก็หยิบถุงสีดำออกมาจากในนั้น “กูอยากลองของใหม่”

   มันหยิบของออกมาจากในถุง มันคือกล้องมิลเลอร์เลสสีดำด้านตัวใหญ่ที่โคตรสวย

   “จะถ่ายรูปสัตว์เหรอ” ผมถามมัน

   “เปล่า” มันตอบ “จะถ่ายรูปมึง”

   “ฮะ!?” ผมแทบจะหยุดเดินในทันที “ถ่ายรูปกู?”

   “เออ” อีกฝ่ายจัดการหยิบอุปกรณ์มาตั้งค่า “ซื้อกล้องมาถ่ายสัตว์คงคุ้มหรอกมั้ง”

   “อ่า…”

   “หรือมึงเป็นสัตว์”

   “เมี๊ยวเมี๊ยว” ผมตั้งใจกวนอีก อีกฝ่ายเหมือนจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยแหละ อิๆ ได้ผลโว้ยยยย

   “อย่างมึงเป็นแมวไม่ได้หรอก เหมือนไฮยีน่า ผอมๆ”

   “แหม มึงก็เหมือนแพะภูเขาเหมือนกันนั่นแหละวะไอ้เคราดก” ผมเดินหนี

   เราสองคนเดินเข้ามาด้านใน เดินดูนั่นดูนี่ด้วยความตื่นเต้น อันที่จริงคนที่ตื่นเต้นดูเหมือนจะเป็นผมคนเดียว เพราะอีกฝ่ายแม่งยังกะคนตายด้าน แฮะๆ อยู่กรุงเทพมาเกือบห้าปีไม่เคยมาเขาดินเลยนี่ครับ มันก็ต้องสนุกเป็นธรรมดา

   ผมขมวดคิ้วเมื่อเริ่มคิดได้ว่าไม่เห็นไอ้เต้จะเรียกให้ผมถ่ายอะไรเลย

   “ไหนอะ”

   “อะไร?” ไอ้เต้เลิกคิ้วมอง

   “ไม่เห็นมึงถ่ายอะไรเลย”

   “ใครบอก กูถ่ายไปเยอะแยะแล้ว”

   “ฮะ!? ไหน?” ผมแย่งกล้องมันมาดู

   ทันทีที่เลื่อนภาพต่างๆ ก็เห็นว่ามันเต็มไปด้วยรูปผมที่อยู่ในอิริยาบถทุเรศๆ เช่น อ้าปากตามเมื่อเห็นฮิปโป ยื่นแครอทให้ยีราฟอย่างกล้าๆ กลัวๆ รวมถึงเซลฟี่กับแกะด้วย

   “อี๋ แม่งเนิร์ดว่ะ ลบๆๆๆ”

   “ทำไมอะ ไม่ชอบอะไรธรรมชาติๆ ว่างั้น”

   “ธรรมชาติเกิ๊นนน มึงก็บอกให้กูทำหน้าหล่อๆ หน่อยสิวะ”

   “งั้นไม่ได้หรอก ยาก”

   “ไอ้สัส” ผมเตะมันไปที่หน้าแข้ง คอยดูว่ามันจะทำอะไรกลับหรือเปล่า แต่ไม่ มันหยิบกล้องไปจับต่อ

   ทำไมไม่โวยวายวะ

   เราเดินมาเรื่อยๆ โดยมีผมเดินนำมันมาไกล เห็นข้างหน้ามีคนมุงดูอะไรสักอย่างเยอะแยะไปหมด ส่วนมากเป็นเด็ก ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเชียว ไหนขอเข้าไปดูหน่อยสิ

   เฮ้ยย กระต่ายยยย น่าฮักขนาดดดดดด ผมชอบกระต่ายมากๆๆๆ

   “มึง!” ผมเรียกไอ้โปเต้ที่เดินเอ้อระเหยอยู่ไกลๆ

   “อะไร?”

   “ถ่ายรูปให้หน่อย” ผมกวักมือเรียกอีกฝ่ายให้มาตรงนี้

   “กระต่ายเนี่ยนะ” มันทำหน้าเอือมๆ เมื่อเห็นน้องๆ วิ่งไปมาในคอก

   “เออ กูชอบกระต่ายมาก” ผมหันไปถามคนขายอาหาร “อุ้มถ่ายรูปได้ใช่มั้ยครับ?”

   “ได้ค่ะ ระวังด้วยนะ”

   “สบายมากครับ” ผมเร่งคนข้างๆ ต่อ “เร็วๆ สิ”

   “เออๆ” ไอ้โปเต้ตั้งท่าเตรียมจะถ่าย “หยิบขึ้นมาสักตัว”

   “ตัวไหนดีวะ” ผมมองไปรอบๆ เห็นตัวสีขาวแซมดำวิ่งซนไปมา รู้สึกสะดุดตาเลยคว้ามาไว้ในมือ

   “จะเอายัง”

   “เดี๋ยวกูจะทำท่ากินมันนะ”

   “ทุเรศ ใจร้ายฉิบหาย”

   “ทำท่า ไม่ได้จะแดกจริงๆ ไอ้วอกนิ” ผมมองค้อน “เอาล่ะ ถ่ายเลยๆ”

   ผมได้ยินเสียงชัตเตอร์รัวๆ ตอนที่แอคท่าจะงับๆ จมูกของไอ้ขนปุย รู้สึกว่าพอใจแล้วก็เลยสั่งให้คนถ่ายหยุด แต่ผมก็ยังเล่นกับเจ้าตัวเล็กในมือต่อไป

   “ปล่อยมันได้แล้ว” ไอ้โปเต้เท้าเอวมอง

   “แปบนึง” ผมบอกมัน “ทำไมคิงน่าฮักขนาดนี้ก่ะ”

   “คิดว่ามันเป็นคนเหนือเหมือนมึงเหรอ” เสียงนั้นฟังดูเบื่อหน่าย “ปัญญาอ่อนแล้ว คุยกับสัตว์”

   “อย่าไปสนใจปี้เขาเลยลูก คนมันใจร้าย” ผมจับน้องปุยๆ ให้มองคนข้างๆ

   “เดี๋ยวมึงจะโดน”

   “อิๆ มึงรู้ปะ แถวบ้านกูนะไม่มีสวนสัตว์ แต่มึงจะเห็นสัตว์ทุกตัวเลย โดยเฉพาะไอ้ตัวนี้” ผมชี้ไปที่กระต่ายในมือ “พวกกระต่ายป่าแม่งชอบลงมากินแครอท แม่กูก็ชอบให้คนงานไล่ แต่กูเหี้ยมากเพราะดึงแครอทกับพวกหัวไชเท้ามาให้พวกมันกินซะเอง เลวจริงๆ อิๆ”

   “เหรอ” เสียงไอ้โปเต้นั้นผิดปกติ รู้สึกเบาและนุ่มขึ้นจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นมันกำลังส่งสายตานิ่งๆ เดายากมาให้ก่อนแล้ว

   “อือ” ผมพยักหน้า “น่าสงสารพวกนี้เหมือนกันน้าที่ต้องมาอยู่ในนี้ ถ้าให้เลือกได้มันคงอยากเป็นกระต่ายป่าเหมือนกันแหละ”

   “…”

   “กูเพ้อและ งี้แหละ ใครๆ ก็บอกว่ากูเป็นปู้ชายฮักสัตว์” ผมหัวเราะ จัดการวางน้องปุกปุยกลับลงไปในคอก จากนั้นก็เดินกลับไปหาตากล้องที่ตอนนี้มันยืนนิ่งจนน่าสงสัย

   “เป็นอะไรวะ?” ผมถามด้วยความสงสัย

   “เปล่า…”

   “มึงโอเคนะ” ขอถามอีกครั้งเมื่อความแน่ใจ

   “มึง” อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีแปลกๆ “เรากลับกันมั้ย”

   ตอนแรกผมก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่พอเห็นสายตามันแล้ว โอเคไม่ถามต่อก็ได้…

   เป็นอะไรของมันวะ

   “เอาดิ กลับก็กลับ”





   รถมอเตอร์ไซด์เลี้ยวเข้าคอนโดก็เวลาเย็นแล้ว ทันทีที่รถจอดและผมก็ลงและถอดหมวกกันน็อกคืนคนขับไป

   “มึงโอเคนะ” ผมถามอีกรอบ

   ไอ้โปเต้กระตุกริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามจากผม

   “โอเคดิ ไม่โอเคได้ไง”

   “มึงไม่ได้ยังโกรธกูอยู่ใช่ปะ”

   “อืม ไม่ได้โกรธ”

   รอยยิ้มเหนื่อยๆ แบบนั้นมันคืออะไรวะ?

   โอเค ไม่อยากถามต่อ สงสัยจะเป็นเรื่องส่วนตัว ไว้รอมันพร้อมแล้วกัน

   “ขอบใจนะมึง สนุกมาก”

   “โต๋น กูขอถามอะไรอย่างนึงดิวะ”

   ผมขมวดคิ้ว “ได้ดิ อะไรอะ”

   “ถ้า…” ไอ้เต้เหมือนกำลังต้องการจะรวบรวมประโยคให้ออกมาดีที่สุด “ถ้ามึงมีเพื่อน หรือคนที่มึงคิดว่าเป็นเพื่อนเกิด…”

   “…”

   “เกิดทำอะไรให้มึงไม่สบายใจขึ้นมา และเรื่องใหญ่มาก” ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย “มึงว่าไงวะ”

   “เรื่องแบบไหนอะ”

   “เอาแค่เรื่องใหญ่มากก็พอ…”

   “อ่า…” อะไรของมัน แต่คำถามนั้นผมต้องตอบใช่มั้ย?

   ผมพยายามใช้ความคิด

   “สำหรับกูนะ เพื่อนสำคัญว่ะ ก็คงจะเฟลแต่ก็จะถามเหตุผลนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

   อีกฝ่ายพยักหน้า “แล้วมึงจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ปะ”

   “ได้ดิ ไม่มีปัญหา ใช่ว่ากูจะมีเพื่อนเยอะ”

   “…”

   “แต่มึงเป็นหนึ่งในนั้นน้า” ผมเดินเข้าไปตบไหล่คนตรงหน้า “มีอะไรบอกกูได้ ถึงกูจะต่อนยอนไปหน่อยแต่ช่วยได้ก็จะช่วยนะรู้เปล่า”

   “เหอะ” อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอ “เดี๋ยวส่งรูปให้”

   “เออ ขอเซ็ตกระต่ายก่อนนะ”

   “หึ เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าเกลียดกระต่ายฉิบเป๋ง” ไอ้โปเต้บ่นอุบอิบ จากนั้นก็บิดคันเร่งออกจากคอนโดไป


จบตอน



 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

เอ๊า เกิดอะไรขึ้นกับตากล้องปากหมา ไม่น้าาาาาา อย่าหลงมัน มึงกำลังโดนของไอ้เต้!
เห็นมีคนเชียร์คนนั้นคนนี้เยอะจัง อยากรู้ว่าอยู่ทีมไหนกันบ้างหว่า บอกได้น้า
ใส่ #ทีมตากล้อง #ทีมตัดต่อ #ทีมรักแรก แล้วตามด้วย #ทรมานบันเทิง ก็ได้นะครับ อยากอ่านความเห็นในทวิตมาก555

รักนะครับ ฝนตกและ เหงาๆๆๆๆ  <3 #ทรมานบันเทิง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหมือนเต้ จะหลงเสน่ห์โต๋นต้อนย่อน ซะแล้ว  o18

โต๋น ฝันดีมากกกก
ใครต่อใครมารุมชอบ  :hao3: :hao3: :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
เชียร์ตากล้องค่ะ แฮ่
เรายังค้างๆคาๆว่าเพื่อนโต๋นหายไปไหน ที่ชื่อภูมิ

อิอิ เดี๋ยวมีเฉลยน้า

นักเขียนหาแรงบันดาลใจที่ full moon

ก็มันสนุกกกก และโรแมนติก อีเว้นท์นิยายวายมากกก 555

เหมือนเต้ จะหลงเสน่ห์โต๋นต้อนย่อน ซะแล้ว  o18

โต๋น ฝันดีมากกกก
ใครต่อใครมารุมชอบ  :hao3: :hao3: :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

อยากให้ฝันอีโรติกกว่านี้ แต่กลัวเสียมู้ด ฮ่าๆ

สนุกจังครับ ดูเป็นออฟฟิศที่มีสีสันมาก แต่ท่าทางมีคนนิสัยไม่ดีอยู่เยอะจัง
รอลุ้นกับความรักของโต๋นในตอนต่อไป จะเป็นเข้หรือเต้กันแน่

เอาจริง เอาาอีเว้นท์แบบที่เจอในออฟฟิสมาใส่ทั้งนั้นเลย
ชีวิตจริงแม่งโหดร้ายยยยย

ขอซับไตเติ้ลค่ะ ศัพย์เทคนิคคำเมืองเยอะนะ เดาไม่ค่อยออก ฮ่าฮ่า

ฮ่าๆ เยอะมากจริงๆ แต่ใช้แต่คำง่ายๆ น้า ถ้ายากเดี๋ยวจะวงเล็บไว้ครับ ขอบคุณน้าาา


ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
โปเต้หึงกระต่าย ก๊ากๆ โอ้ยขำแรง

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
โปเต้ไปแอบทำอะไรไว้ ท่าทางจะเรื่องใหญ่ด้วย

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
8
ฉุนเฉียวๆ




“โต๋นจ๊ะ” พี่ป่านเดินเข้ามาคุยกับผม

   “ครับ?”

   “ไม่รู้ว่าเต้ได้บอกหรือยัง แต่อาทิตย์นี้มันไม่มาถ่ายให้นะ”

   “หา? ทำไมล่ะครับ”

   “เห็นว่าผู้ใหญ่บ้านอื่นจะให้มันไปช่วยถ่ายเทปไพลอตให้ เขามาขอร้องพี่พี่เลยให้ไป พรุ่งนี้โต๋นอาจจะต้องอยู่กับพวกตากล้องเยอะหน่อยนะ คอยแนะนำเขา”

   “อ่า…ได้ครับ” ผมพยักหน้า

   ไอ้เต้นะไอ้เต้ ไปไหนทำไมไม่บอกกูก่อนล่ะ

   เออ…แต่บอกหัวหน้าแบบนี้ก็ถูกแล้ว มันจะมาบอกกูทำไม

   แต่มันก็น่าน้อยใจมั้ยล่ะแบบนี้ ฮึ่ยยยย

   “เป็นไรทำหน้ามุ่ย” ไอ้เดียร์โผล่หัวออกมาหลังจากที่พี่ป่านเดินไปแล้ว

   “ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มั้ยวะ” ผมหันมาสนใจคอมต่อ

   “อย่าน้อยใจไปเลย พี่เต้เขาเก่ง ใครๆ ก็อยากได้ตัว”

   “คิดแทนกูไปเรื่อย” ผมบ่น

   “เอ้า แค่พูดให้ฟัง” ไอ้เดียร์เท้าคางกับคอกที่กั้นโต๊ะของเรา “กินข้าวยัง”

   “ยัง”

   “กินขนมมั้ย”

   “ทำไม มีอะไรมาให้กินเหรอวันนี้”

   ยังไม่ทันได้ถามจบดี ไอ้เดียร์ก็ยื่นคิตแคตมาให้

   “จะได้อารมณ์ดี เห็นช่วงนี้ดูหงุดหงิด”

   หืม? มันสังเกตด้วยเหรอวะ

   แต่เอาจริง ช่วงนี้ผมก็เหม็นเบื่อบ่อยๆ จริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะหลังๆ ผมไม่เจอไอ้เต้ในลิฟต์ตอนกลับบ้านอีกเลยตั้งแต่วันจันทร์ นี่ก็จะครบอาทิตย์ละ แถมพรุ่งนี้มันก็ไม่มาถ่ายให้อีกต่างหาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับคำถามงงๆ ที่มันพูดตอนวันเสาร์หรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงคงเป็นเพราะผมเคยตัวอยากติดรถมันกลับบ้านด้วยแน่ๆ เห็นมั้ย เวลามีคนตามใจนิสัยก็เสียแบบนี้ เขาก็มีเวลาของเขาสิวะไอ้โต๋น

   “ขอบใจ” ผมรับมันมา

   “อย่าเครียดนะมึง”

   “ทำไมดีกับกูจัง ไม่มีแฟนให้ดูแลเหรอ” ผมแซว

   “เคยมี แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว”

   “ฮ่าๆ ไอ้สัสมาเป็นเพลง” ผมหัวเราะ

   “เออ หัวเราะหน่อย เห็นหน้ามึงแล้วกูเซ็งโลกแทน”

   “เดียร์ กูกลัวว่ะ”

   “ฮะ? กลัวไร” ไอ้ตัดต่อจ้องหน้าผม

   “พวกตากล้องอะ มันชอบด่าตอนที่ไอ้เต้ไม่อยู่”

   “มึงก็อย่าไปสนใจดิ”

   “ก็อยากนะ แต่เวลามีคนมาพูดไม่ดีใส่มันก็หงุดหงิดปะวะ กูนี่อยากจะยกมือไหว้บอกว่าให้คุยกันดีๆ ได้มั้ย”

   “งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขา”

   “จะพยายามแล้วกัน” ผมพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก

   “หรือให้กูลงไปด้วยปะพรุ่งนี้”

   “ไม่มีงานทำหรือไง?”

   “ก็มี แต่อยากช่วย”

   “ไม่เป็นไร ทำงานไปเหอะ นี่หน้าที่กู”

   อืม…หน้าที่ของผม มันต้องผ่านไปได้สิวะ แถมพรุ่งนี้จะได้เจอกับพี่เข้ด้วย อารมณ์ดีๆๆๆๆ นึกถึงรอยยิ้มนั้นไว้ โอ๊ยเห็นมะ ใจเต้นแรงเชียว หลอกตัวเองแบบนี้แม่งได้ผลเว้ย





“คัท!” ผมตะโกนลั่นเมื่อเราถ่ายจบไปหนึ่งเบรก จากนั้นก็เดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปยังตากล้องที่เคยมีปากเสียงกันเมื่อคราวก่อน

   “อะไร?” เขาจ้องมองผมอย่างกับสัตว์ประหลาดแหนะ

   “ผมขอเช็คไฟล์หน่อยได้มั้ยอะครับ”

   “จะเช็คทำไม ก็ถ่ายไปพร้อมกัน”

   “ผมกลัวมัน…”

   “ไร้สาระ เอาเวลาไปทำงานตัวเองดีกว่ามั้ย?”

   ผมกำมือแน่น…

   โอเค หายใจเข้าลึกๆ ไม่มีอะไรๆ เขาเป็นแบบนี้ เขาเป็นแบบนี้… ต้องรับให้ได้

   “เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้า ตามด้วยยิ้มหวานไปอีกชุดใหญ่

   “พี่เปลี่ยนชุดเลยนะ” พี่เข้เดินมากระซิบข้างๆ ทำให้ผมเลิกสนใจเรื่องหงุดหงิดนี้ได้ไปชั่วขณะ

   “ได้ครับพี่”

   “วันนี้ดูกังวลจัง เป็นอะไรหรือเปล่า” พิธีกรหนุ่มพูดขณะที่ถอดสูทด้านนอกออก

   “เปล่าฮะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก”

   กลัวตากล้องมันจะกินหัวไงครับพี่…

   “จริงเหรอ พี่ว่าพี่ดูคนออกนะ”

   “…”

   “อย่าเครียด เดี๋ยวไม่หล่อนะรู้เปล่า” พี่เข้ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

   ฮือออออ น้ำตาจะไหล ซาบซึ้ง เหมือนตอนกราบผู้ปกครองในงานโรงเรียน

   “เหลืออีกเบรกนึงใช่มั้ย!” พี่ตากล้องทำลายความหวั่นไหวของผมด้วยเสียงตะโกนอย่างกับทหารในกองพัน เล่นเอาผมลนลานวิ่งไปหาเลยทีเดียว

   “ใช่ครับ เบรกปิด” ผมพยักหน้า “ขอบคุณสปอนเซอร์ กับพูดส่งให้ชมกันต่ออาทิตย์หน้าครับ”

   “เออ”

   ไหนลองพูด ‘ครับ’ หรือ ‘ได้เลย’ หรือ ‘โอเค’ ซิ มันจะยากอะไรวะ ทำตัวเถื่อนอยู่ได้

   ผมก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองด้วยความเซ็ง

   เฮ้อ ไม่อยากยอมรับเลย ทำไมอยู่ดีๆ คิดถึงไอ้เต้แบบนี้วะ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์คนที่ว่า

   ซึ่งไม่มีใครรับ…

   อะไรของเขาวะ นี่ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง จะคิดว่ามันกำลังหนีผมแล้วนะเนี่ย




“คัท!” ผมตะโกนลั่น “จบแล้วครับ!”

   “เย่” พี่เข้ยกมือขึ้นมาเหมือนพวกนักฟุตบอลเวลายิงลูกเข้าประตู “วันนี้ทำเวลาดีนะครับ”

   “แฮะๆ ก็พี่เข้โปรขนาดนี้”

   น่อวววววว มีชงมีชมพี่เข้ยิ้มแป้นเชียว อยากปรบมือให้ตัวเองจริงๆ ที่เป็นงาน

   “เจอกันอีกทีสัปดาห์หน้าเลยนะ” พี่เข้พูดขณะถอดเสื้อคลุมออก

   “โอเคครับ กลับดีๆ นะ”

   “อยากอยู่คุยด้วยแต่มีธุระวะ ไว้วันหลังเนอะ”

   “อ่อ…” รู้สึกหวิวๆ แบบตื่นเต้นอีกแล้ว เขาพูดดีด้วยหน่อยแค่เนี้ย “ได้เลยครับพี่”

   ผมมองพี่เข้เดินกลับห้องแต่งตัวจนลับสายตาไป แต่ระหว่างทอดมองไปนั้นดวงตาของผมเองดันไปเห็นหน้าดุๆ ของตากล้องเข้า แม่งเสียอารมณ์ไปหมดเลย

   “เรียบร้อยนะครับพี่” ผมยิ้มฝืนๆ

   “อืม ไม่เรียบร้อยจะทำไรได้ล่ะ”

   โอ๊ยยยย

   ไอ้เชี่ยเอ๊ย อยากจะเข้าไปจับเสื้อมันแล้วเขย่าๆๆๆๆๆๆๆ วุ้ย คุยดีๆ กับกูบ้างเซ่

   “อะ” ตากล้องหน้าดุหนวดเฟิ้มหยิบการ์ดมาให้

   “ขอบคุณนะครับ”

   “เออ”

   พอมันตอบแบบนั้นแล้วเดินไป ผมได้แต่กลั้นหายใจ ฮึกๆๆๆๆๆๆ

   รอสักวันหนึ่งเถอะ กูจะเอากิ่งมะขามฟาดหน้า ดุนักก็จะตีเป็นหมาเลยคอยดู




   ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก

   นาฬิกาบนเพดานเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นเองผมก็ได้แต่กดโทรศัพท์ดูไอจีไปเรื่อย เห็นพวกเพื่อนๆ สมัยเรียนชีวิตดีแล้วมันก็อิจฉา บางคนไปต่างประเทศ บางคนไปเรียนโทต่อ ยิ่งทำงานมันยิ่งโหยหาชีวิตไร้กรอบช่วงวัยรุ่นจริงๆ นะ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนปีเตอร์แพนจัง เด็กไม่รู้จักโต

   “เชี่ย!!!!”
   เสียงอุทานไม่มีปี่มีขลุ่ยของไอ้เดียร์ที่คอกข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งจนเกือบลื่นจากเก้าอี้ ผมตกใจถึงขนาดโผล่หัวไปหามันในเวลาอันรวดเร็ว

   “เป็นอะไรมึง!?”

   ใบหน้าของไอ้ตัดต่อซีดมาก เริ่มรู้สึกได้ว่ามีลางไม่ดี

   “มึง…” ไอ้เดียร์เงยหน้ามา ปากสั่นแทบจะเหมือนปีนนกที่กำลังกระพือ “ซวยแล้ว”

   “อะไรละไอ้บ้า กูลุ้น”

   “ไฟล์ที่ถ่ายมา” เสียงนั้นพูดติดๆ ขัดๆ “อันสุดท้าย ไม่มีเสียง”

   ตึง!

   วินาทีนั้นเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตัดด้ายที่ผูกแขนขาผมไว้ขาดสะบั้น อยากจะทรุดลงกับพื้นเหมือนหน้าปกหนังเรื่องเสียดาย 2
   
เวรแล้วไง…

   “เราทำอะไรได้มั้ยอะ แก้ได้มั้ย” ผมวิ่งไปยืนข้างๆ มัน

   “มึง นี่กูไม่ได้ล้อเล่น ไม่มีคือไม่มี จะเอาเสียงตอนเทปที่แล้วก็พูดไม่เหมือนกันอีก” ไอ้เดียร์คลิกนู่นคลิกนี้ให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าที่พูดนั้นคือเรื่องจริง

   “เวรแล้ว…”

   “พี่ป่านกลับยังวะ” ไอ้เดียร์กับผมมองหน้ากัน

   เราทั้งคู่โผล่หัวออกมาจากคอก เห็นเจ้านายสาวกำลังเคร่งเครียดกับแฟ้มเอกสารตรงหน้าแล้วรู้สึกใจไม่ดี ฮือออ พี่ป่านนะพี่ป่าน ร้อยวันพันปียิ้มแย้มแจ่มใส พอกำลังจะมีเรื่องทำไมซีเรียสจังวะ

   “กำลังเดือดเลยมึง” ผมพูดเบาๆ

   “เชี่ยเอ๊ย แบบนี้โดยบอสใหญ่ดุเรื่องงบมาชัวร์” ไอ้เดียร์ยืนขึ้นเต็มตัว ผมเลยทำบ้าง

   จังหวะนั้นเองที่พี่ป่านเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มพวกนั้นและมองนิ่งๆ มาทางพวกเรา

   และแม่งโคตรตลกที่ผมกับไอ้เดียร์สะดุ้งกับสายตานั้น

   “เป็นอะไรกันจ๊ะสองคนนี้” พี่ป่านเปลี่ยนมาเป็นมอบรอยยิ้มสดใส “ดูแปลกๆ ชอบกล”

   “คือ…” ผมกำลังจะพูดแต่อยู่ๆ ไอ้เดียร์ก็คว้าข้อมือผมไว้เป็นการห้าม

   “ใจเย็นๆ” ไอ้คนตัวสูงกว่ากระซิบกับผม จากนั้นก็หันไปมองเจ้านาย “พี่ป่าน พวกผมมีเรื่องอะไรจะบอก”

   “หืม?” พี่ป่านวางปากกาลง “อะไรเอ่ย?”

   เราทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง จากนั้นก็พากันเดินออกมาหาคนที่คุยด้วยใกล้ๆ

   “เกิดเรื่องแล้วพี่” ไอ้เดียร์เป็นคนเริ่ม

   “มีอะไรก็บอกมาสิ ฉันกลัวแล้วนะเนี่ย” พี่ป่านเริ่มขมวดคิ้วแล้วววววววว

   “เทปสุดท้ายไม่มีเสียงเลยครับ” ผมได้ยินเสียงหายใจถี่ๆ ของไอ้เดียร์ด้วยแหละ “เหมือนไม่ได้อัดมา หรืออัดไม่ติด”

   “เอ๋” คราวนี้พี่ป่านหันมาถามผมบ้าง “เป็นตอนเบรกไหน”

   “เบรกสุดท้ายครับ” ผมตอบ ไอ้ห่าตื่นเต้นยังกะให้ปากคำกับตำรวจ

   “แต่พี่กำชับโต๋นให้เฝ้าพวกตากล้องแล้วนะ” พี่ป่านกอดอก ดูออกเลยว่ากำลังเริ่มโกรธแล้ว

   “ครับ แต่…” ไอ้ห่าเอ๊ย รู้สึกแย่เหมือนทำให้แม่ผิดหวัง “ผมไม่ได้จะอ้างนะพี่ พวกตากล้องอะมันชอบดุ”

   “ฮะ!?” โอ๊ยยย พี่ป่านเริ่มเดือดกว่าเดิมแล้ว เหตุผลบ้าอะไรของกูวะเนี่ย

   “คือ… พวกเขาชอบพูดไม่ดีกับผม พอผมจะขอตรวจไฟล์ เขาก็ด่า”

   “พี่ว่ามันไร้สาระมากเลย ลองฟังเหตุผลที่พูดสิ มันไม่ตลกไปเหรอ”

   สะอึก…

   พี่ป่านด่าได้เจ็บเหี้ยๆ

   “ผมขอโทษครับพี่” ผมไม่พูดอะไรต่อแค่ยกมือไหว้เท่านั้น ตอนนี้พยายามก้มหน้าหนีสายตาเจ้านายเต็มที่เพราะเริ่มอ่อนไหวแล้วครับ

   “เราถ่ายวันพฤหัสออนแอร์วันเสาร์นะโต๋น แค่นี้มันก็เป็นข้อจำกัดอยู่แล้ว อย่าทำให้มันยากขึ้นไปอีก”

   “ครับ” ผมพยักหน้า…

   “ปัญหานี้มันแก้ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เรียกเข้เข้ามาใหม่พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ที่พี่ดุเนี่ยเพราะว่าอยากให้โต๋นจำปัญหานี้จะได้ไม่กลับมาอีก”

   “ครับ” ผมพยักหน้าอีกรอบ ยังหลบสายตาพี่ป่านอยู่

   “อย่าว่าน้องเลยพี่” เสียงนี้มาจากไอ้เดียร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

   มันเรียกผมว่าน้องเหรอ…

   “ผมสะเพร่าเองแหละที่ไม่เช็คไฟล์ตั้งแต่ได้มาใหม่ๆ”

   “นั่นก็ด้วย แต่แกไม่ต้องปกป้องน้อง เพราะนี่คือความจริง” พี่ป่านถอนหายใจ “โต๋น”

   “ครับ” ผมขานรับตามเรียก

   “มองหน้าพี่”

   ผมเงยหน้า ความรู้สึกเหมือนเด็กๆ ตอนกำลังจะโดนแม่ตีเลย

   “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”

   “สาบานเลยครับ” ผมตอบรับแน่วแน่

   พี่ป่านพยักหน้ารับ ดูท่าจะเย็นลงมาหน่อยแล้ว “กลับบ้านมั้ย ค่อยเริ่มกันใหม่พรุ่งนี้ ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่”

   ผมยืนนิ่ง อันนี้คือการโดนไล่ออกหรือเปล่าวะ

   “เดี๋ยวผมขอตัดนู่นนี่ไว้ก่อน” ไอ้เดียร์ส่งเสียง จากนั้นก็หันมาพูดกับผม “มึงกลับก่อนเหอะ”

   “เอางั้นเหรอครับ” ผมถามทั้งสองคน ซึ่งก็เงียบ มีเพียงไอ้เดียร์เท่านั้นที่พยักหน้ามาให้

   เมื่อรู้ตัวแล้วผมก็ยกมือไหว้ลาพี่ป่าน จากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะ คว้ากระเป๋าและเดินออกไปจากออฟฟิศ เป็นอีกหนึ่งวันที่เฟลเหี้ยๆ เลยจริงๆ

   ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาบ้าๆ ที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมา ซึ่งมันเกิดจากการผิดหวังในตัวเอง ที่พี่ป่านพูดก็ถูกทุกอย่าง มัน
เกิดขึ้นจากความไม่มืออาชีพของผมเอง

   ตึง!

   ประตูลิฟต์เปิดออก ในนั้นไม่มีใคร ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกผิดหวังอย่างกับว่าอยากให้ใครสักคนยืนคอยอยู่ในนั้นและกลับบ้านเป็นเพื่อน

   แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมจึงเหงากว่าทุกวัน




‘พี่ป่านโทรมาบอกพี่แล้ว
ไม่ต้องคิดมากนะ พี่โอเค ยินดีช่วย
เราทีมเดียวกันอยู่แล้ว สบายใจได้นะกระโถน

   - พี่เข้’



ผมนอนอ่านข้อความจากพี่เข้นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยเขาก็ทำให้คืนนี้ยังมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง นึกอยากจะขอบคุณที่พี่คนนี้ยังแสนดีเสมอต้นเสมอปลาย อยากให้เขาอยู่ตรงหน้าและคุยกันแบบเอ็นดูเหมือนเดิม แต่ทำไงได้ล่ะ เขายังไม่รู้ว่าผมเป็นเด็กโต๋นโดดน้ำคนนั้นนี่นะ
   
RRRRRRR

   ผมตกใจที่อยู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นคามือ และชื่อคนโทรเข้ามันก็ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

   ‘โปเต้ ตากล้อง’

   ผมเด้งขึ้นมานั่งขัตสมาธิ จ้องมองจอนั้นอย่างชั่งใจว่าจะรับดีมั้ย

   ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไอ้ตัวการ ถ้ามึงอยู่เรื่องวันนี้ต้องไม่เกิดขึ้นแน่ๆ

   เฮ้ยยย อย่าเพิ่งเพ้อเจ้อ ตัดสินใจก่อนว่าจะรับไม่รับ

   จากนั้นอีกฝั่งก็ตัดสายไป

   ฮึ่ยย ผมโทรหามันตั้งหลายทีไม่มีกระดิก จะรีบรับได้ยังไง เอางี้ ถ้ามันโทรมาอีกทีผมจะรับเลย แน่จริงโทรมาดิ

   …

   โทรมาดิวะ

   …

   โอ๊ยไอ้เต้โทรหากูใหม่หน่อย!

   RRRRRRRRR

   เย่สสส เป็นไปตามคำร้องขอ

   “มีอะไร” ผมรับสายตั้งแต่สั่นครั้งแรก น้ำเสียงดูเย่อหยิ่งคล้ายเจ้าชายเมืองเหนืออยู่หน่อยๆ

   [ลงมาหาหน่อย]

   “หา!?” ผมเริ่มงง “ลงไปหาที่ไหน”

   [หน้าคอนโดมึงเนี่ย]

   “มึงอยู่ข้างล่างเหรอ!?”

   [เออ!] อีกฝ่ายกระแทกเสียง [เพิ่งกลับมาจากสระบุรีเลยเนี่ย เร็วๆ เอากะหรี่มาฝาก]

   “มึง…”

   ตู๊ด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

   เอ๊า อยู่ดีๆ ก็ตัดสาย ยังไม่ได้แสดงอภินิหารเทศนาใส่เลย มึงนะมึง โอเคเจอกันด้านล่าง เสร็จกูแน่ไอ้วอก พ่อจะจัดให้ชุดใหญ่
   
ผมวิ่งปราดไปยังลิฟต์และกดมันไปชั้นล็อบบี้ทันที
   
เมื่อประตูเปิดออก ผมก็มองเห็นรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จอดอยู่ จัดการวิ่งผ่านคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เข้าไปหา แต่ทว่าไร้วี่แววเจ้าของ …หายไปไหนของมันวะ

   “หาแมลงแดกอยู่หรือไง” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง ผมเลยต้องหันควับไปมอง
   
ผมตกใจเล็กน้อยเพราะนั่นคือคนเล่นโทรศัพท์ที่ผมเพิ่งวิ่งผ่านมา ตอนแรกคิดว่าคนแปลกหน้ากำลังหาเรื่อง แต่เปล่า…นั่นไม่ใช่คนแปลกหน้า
   
ไอ้สัสโปเต้ในลุคใหม่ที่ดูสะอาดขึ้นสิบเลเวล ผมเผ้าที่เคยรุงรังตัดสั้นทำให้หัวมันไม่โตอีกต่อไป ไฮไลท์เด็ดเลยคือแม่งโกนหนวดด้วยครับ ทำให้รู้ว่ามันเป็นคนกรามชัด และสัดส่วนคมสันไปหมด ผมอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติได้และเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ
   อีกฝ่ายเท้าคางมองผมพร้อมกับยิ้มๆ

   “เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย” ไอ้เต้พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก

   “มึงตัดผมเหรอ”

   “เออ” โปเต้พยักหน้า “ชอบปะ”

   เห็นมันทำหน้ากรุ่มกริ่มแบบนั้นแล้วหมั่นไส้ ผมไม่รอช้า จัดการพุ่งตัวไป จับคอเสื้อและเขย่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างแรง อยากทำกับไอ้ตากล้องเหี้ยวันนี้มานานแล้ว ลงกับหัวหน้าแม่งนี่แหละ ไอ้ตัวต้นเหตุ มึงหายไปไหนม้า!!!!!

   “โอ๊ยยย คอกูจะหัก”

   “เออ ตายเลยไอ้สัส”

   “เดี๋ยวๆ เป็นเหี้ยไรเนี่ย” มือใหญ่ๆ ของมันพยายามแกะนิ้วผมออก

   “เพราะมึงเลยกูถึงโดนพี่ป่านด่า เพราะมึงเลยไอ้เต้!!!”

   “หยุดสิวะ อย่าอาละวาด ไอ้สัสหมาใน”

   ผมเกือบจะเดือดกว่าเดิมแล้วตอนที่มันเรียกผมว่าหมาใน ไอ้เหี้ย สัตว์โลกมีเป็นร้อย

   ในที่สุดไอ้ตากล้องก็แกะนิ้วผมสำเร็จ มันยกตีนขึ้นมายันอากาศไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผมเข้าใกล้เกินจำเป็น

   “ก็ตากล้องมึงอะแม่งอัดเทปภาษาไรไม่รู้ ไฟล์ไม่มีเสียง กูโดนพี่ป่านด่าเลยเนี่ย” ผมโวยวาย

   “ฮะ” ไอ้เต้กุมขมับตัวเองเหมือนนี่เป็นเรื่องที่ชวนเขาหงุดหงิดมาก “อีกแล้วเหรอวะ กูจะทำยังไงดีวะเนี่ย”

   “ไม่ต้องมาทำอีโมชั่นนอลเลย มึงผิดเต็มๆ”

   “ผิดยังไง?”

   “ก็มึงไม่ยอมมาถ่าย”

   “กูก็ต้องไปออกกองมั้ย”

   “ถ้าไม่ไปมันก็ไม่เกิดเรื่องนี้ไงล่ะ”

   “โอ๊ย” อีกฝ่ายแทบจะทึ้งหัวตัวเอง “กู…กูขอโทษว่ะ”

   “ไม่มีมึงแม่งมีแต่คนดุกู” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มัน บนบันไดหน้าคอนโดนั่นแหละ “เฟลฉิบหาย”

   “ถ่ายแก้วันไหน พรุ่งนี้ใช่มั้ย เดี๋ยวกูคุมเอง” เสียงนั้นดูรู้สึกผิดมากๆ จนผมเริ่มเห็นใจนิดๆ แล้ว

   “เออดิ จะมาช่วยจริงปะ ถ้ามีมึงกูก็สบายใจอะ”

   “จริงเหรอ…”

   “เออ” ผมเท้าคางมองมันบ้าง “อย่าทิ้งกันดิวะ”

   “อืม กูจะไม่รับงานชนอีกแล้ว” ไอ้เต้พยักหน้า โอ๊ย ไม่ชินกับใบหน้าเกลี้ยงๆ ของมันเลยจริงๆ “ขอโทษอีกทีแล้วกัน”

   “ตัวมึงมึงเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเริ่มคุยกับมันบ้าง “หายหน้าหายตาติดต่อไม่ได้ จนกูคิดแล้วนะว่ามึงหนีหน้ากูเนี่ย”

   “ก็มาหาแล้วนี่ไง”

   “ไม่ดิ วันอื่นอะ หลังกลับจากสวนสัตว์มึงก็เพี้ยนเลย สรุปมึงมีเรื่องเนี่ย”

   “บอกไม่ได้โว้ย”

   “งั้นก็เลิกคิดสิ แม่งทำให้มึงโลเล”

   “เลิกไม่ได้ เลิกก็แย่” ไอ้ตากล้องยักไหล่

   “บอกได้ปะเรื่องอะไร”

   “ไม่บอก”

   “งั้นก็ประสาทแดกต่อไปแล้วกัน” ผมยอมแพ้ “แต่มึงอย่าทิ้งกูไปอีกนะ”

   “เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย อ้อนตีนกูจัง”

   “มึงแม่งเหมือนพี่ใหญ่อะ ปกป้องกูได้”

   “จะให้กูปกป้องว่างั้น?” ไอ้เต้เลิกคิ้ว “กูคิดค่าคุ้มครองนะครับ”

   “เท่าไหร่ว่ามาเลยดีกว่า” ผมก็เล่นกับมันด้วย

   อีกชวนผมหัวเราะ

   “โดนพี่ป่านด่าด้วยเหรอวะ มิน่าถึงเฟล” ไอ้เต้ทำสีหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง

   “เออดิ กูนี่ผิดหวังในตัวเองมาก เหมือนทำแม่ร้องไห้” ผมอธิบายให้มันฟัง

   “แล้วมึงโอเคขึ้นยัง”

   ผมพยายามนึก ก่อนจะตอบตามสิ่งที่คิด “เออว่ะ ก็ดีขึ้นนะ กูเจอมึงแล้วรู้สึกสบายใจอะ โล่งๆ แบบเซฟๆ ดีสัส”

   “แหม ก็เล่นกระชากเสื้อกูแทบขาดขนาดนั้น คงระบายอารมณ์มึงได้แหละ”

   “อิอิ” ผมแอบมองมันยิ้มแล้วก็สบายใจ จริงๆ นะครับ เหมือนมันได้เพื่อนคืนอะ ดีใจฉิบหายเลยที่มันมาหาได้

   “ไหนอะของฝาก” ผมแบบมือไปตรงหน้ามัน

   “โอ้โห ตะกละแดกของจริง” ไอ้เต้กลอกตาก่อนจะหยิบถุงใหญ่ๆ ข้างตัวยื่นมาให้ “อะ… ใครไม่ปั๊บ กะหรี่ปั๊บ”

   “หยี… เก็บมุกไว้เล่นกับหมาหน้าเซเว่นนะ”

   “ก็เล่นกับหมาในหน้าคอนโดอยู่นี่ไง”

   “ไอ้วอก! ด่ากู!” ผมง้างมือจะชกมันแต่อีกฝ่ายไหวตัวทัน ลุกขึ้นหนีซะก่อน

   “ช้าไปหลายขุมไอ้หนู” ไอ้เต้ยิ้มแบบมีชัย “กูไปแล้วดีกว่า แดกให้อร่อยนะมึง”

   “อ้าว ไม่นอนกับกูหรือไง” ผมแกล้งแซวมัน

   “ตลกแล้ว คราวก่อนเจ็บตูดด้วย เป็นเพราะมึงแน่ๆ”

   “ทะลึ่งแล้วไอ้สัส” ผมวิ่งไล่มันอีกรอบ แต่แม่งก็หนีเก่งจริงๆ “เอาจริงนอนก็ได้นะ นั่งรถมาจากสระบุรียังต้องขับรถกลับบ้านอีก”

   “ไม่เอาอะ แค่นี้สบายมาก กูคนเหล็กไง อาโนลด์ๆ”

   “มันตายทุกภาคนะมึง” ผมดับฝันมัน “เอาไง นอนก็ได้นะ ตามึงบวมๆ แล้วเนี่ย”

   “ไม่อะ รบกวน”

   “เกรงใจเป็นซะด้วย”

   “เอ๊า กูคนดีนะครับ” ไอ้เต้หยิบหมวกกันน็อกขึ้นมา

   “เอาดีๆ ขับกลับได้ใช่มั้ย?”

   “เออออออ” ไอ้เต้ตอบแบบ ‘ไม่ต้องถามแล้วอีเหี้ย!’ “วันนี้เป็นไร ห่วงกูจังนะ”

   “สงสัยคิดถึงแน่เลยว่ะ” ผมยิ้มกวนตีนมันเล่นๆ พร้อมทำท่ามินิฮาร์ต

   “เออ คิดถึงเหมือนกัน”

   สัส เล่นเอายิ้มตึงทำอะไรไม่ถูก มินิฮาร์ตในมือกูสั่นไปหมดแล้ว

   “กระโถน มึงขึ้นไปนอนเหอะ ชุดมึงพร้อมขนาดนี้” มันส่งสายตาขบขันมาที่เสื้อยืดกับกางเกงลายดาวล้านดวงของผม

   “เออ ถ้างั้นขับดีๆ แล้วกัน อย่าลืมมาช่วยกูนะ” ผมเตรียมจะขึ้นคอนโด แต่ทว่าสุดท้ายก็หันกลับมามองคนที่กำลังสตาร์ทรถอีกครั้ง

   RRRRRRRRR

   อีกฝ่ายทำหน้างงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ผมที่โชว์อยู่หน้าจอ

   อิอิ ใช่ครับ ผมโทรเข้าไปหามัน

   “อะไรเนี่ย” ไอ้เต้ชูโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา

   “รับสิ เร็ว!”

   ไอ้ตากล้องถอนหายใจก่อนจะกดรับตามคำสั่ง

   [ฮัลโหล]

   “เดี๋ยวคุยด้วยจนกว่าจะถึงบ้าน เคปะ?”

   [มึงตลกปะเนี่ย] มันพูดพร้อมกับมองเซ็งๆ มองทางผม

   “เออน่ะ มึงจะได้ไม่หลับ เดี๋ยวตายไปไม่มีคนถ่ายงานให้กูพรุ่งนี้นะ”

   [เออ เดี๋ยวกูหยิบต่อบูธูตแปบ]

   ผมเห็นมันยุ่งๆ กับหมวกกันน็อกก่อนที่สุดท้ายจะเรียบร้อยและขับออกไป ผมยืนอยู่หน้าคอนโดสักครู่และอัพเดทระยะทางกับอีกฝ่ายเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็หันหลังเตรียมจะกลับเข้าคอนโด

   เฮ้อ สบายใจจัง ขอดีของการมีเพื่อนดี เอาจริงเจอไอ้โปเต้แค่แปบเดียวแม่งทำให้ลืมเรื่องเฟลๆ ที่เกิดขึ้นทั้งวันได้เลยนะเนี่ย สงสัยเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวต้องลองกราบไหว้ดู ฮ่าๆ

   อ้าวไอ้บ้าเอ๊ยพล่ามจนลืมกะหรี่ปั๊บ เดินกลับไปเอาแปบ

   ใครไม่ปั๊บ กะหรี่ปั๊บ


จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

เกิดเรื่องเศร้า ลืมเอาไฟล์มาจากที่ทำงาน อุตส่าห์แอบเขียนไปตั้งเยอะ
ตอนหน้า อาจจะขอลงพรุ่งนี้แทนนะครับ ขอรื้อฟื้นแปบนึง ไม่อยากให้รอนานกันอะ

เคยสบายใจเวลาที่ใครอยู่ข้างๆ ปะฮะ
เนี่ยโต๋นเค้ากำลังเป็นแบบนั้น เจอใครที่คอยปกป้องได้
ธรรมชาติของเขาแหละ เพราะแต่ก่อนก็มีพี่ชายคอยดูตลอดแฮะ

ฝากติชมกันได้นะฮะ เดี๋ยวจะมีตัวละครใหม่อีกน่าจะสักตัวสองตัว

แต่โต๋นน่าจะไม่เอาหรอก 555555

ขอหนีไปเที่ยวคืนนี้แปบบครับ รักนะ  <3 #ทรมานบันเทิง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โต๋น เป็นคนขี้กลัว
แต่กลัวจนลืมไปว่า เกรงใจเขา เราถูกด่า
เขาดุมา โต๋นคงต้องแข็งสู้เสียที
งานเป็นงาน มาดุเรื่องไร ไม่ใช่กวนเรื่องอื่นซักหน่อย

เต้ คงอยากห่างโต๋น กลัวไม่เวิร์ก
แต่กลับทำให้โต๋น คิดถึงแต่เต้ แทนเข้ไปแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โต๋นต้องไฟต์นะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เงาะแปลงร่างคงหล่อน่าดู

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
โปเต้หล่อขึ้น น้องโต๋นตะลึงอ่ะ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โต๋นแตร์น่ารักมวากกก สมัครเป็น FC ด้วยคน
ชูป้ายไฟ  เชียร์ทีมตากล้องอย่างเป็นทางการ

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3

9
ปิ๊กบ้านกันน้า




   “คัท!” ผมสั่งลั่นสตูด้วยความดีใจ เย่ๆ ในที่สุดก็ถ่ายแก้เสร็จแล้วโว้ยยยย

   ด้วยความช่วยเหลือจากไอ้เต้ เพื่อนสุดหล่อของผมเอง (อ้าว ก็งานมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ)

   “เรียบร้อยนะน้อง” โว๊ะ มัวแต่ร่าเริงกับไอ้เต้ ลืมพี่เข้ได้ยังไง ผมยังไม่นอกใจปี้เน้อออ

   ผมหันไปตอบพิธีกรหนุ่ม

   “เรียบร้อยแล้วพี่ ขอบคุณมากนะครับ”

   “เช็คไฟล์หรือยังโปเต้” พี่เข้หันไปถามไอ้ตากล้องต่อ

   “โอเคพี่ ไม่มีปัญหา!” ซึ่งไอ้คนที่ถูกถามก็ตอบอย่างเต็มใจ วันนี้มันมาถ่ายซ่อมด้วยกล้องตัวเดียว เก่งมากๆ

   “กินไรยัง”

   ผมหันมาทางพี่เข้ “หืม? ถามผมเหรอฮะ?”

   “เอ๊า พี่คุยอยู่กับเทวดาที่ไหนละ”

   โอ๊ยยยยยยย เทวดาไปอีก

   “แฮะๆ ยังเลยพี่ ว่าจะลงไปกินที่ตลาดฝั่งตรงข้ามตึก ไปปะ?”

   “มีงานต่ออะดิ แต่ถ้าน้องยังไม่กินพี่ได้กิ๊ฟวอยเชอร์จากร้านอาหารมา เดี๋ยวพี่สั่งไปส่งให้ที่ชั้นดีมั้ย”

   “โอ๊ยยย ดีสิพี่ ของฟรีดีหมดแหละ”

   “โอ้โห ไม่ปฏิเสธเลยนะเรา” พี่เข้ยิ้มขณะเดียวกันก็หยิบมือถือออกมา คงเตรียมจะโทรละมั้ง แต่ก็เงยหน้าพูดกับผมก่อน “งั้นพี่ไปเลยนะ ไว้เจออาทิตย์หน้านะน้องกระโถน”

   “ดะ…”

   “ฮะแฮ่ม!”

   ยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงกระแอมมาจากด้านหลัง ผมขมวดคิ้วไปทางไอ้เต้ เห็นมันจ้องด้วยหน้านิ่งๆ อยู่

   อะไรของมัน…

   “ได้เลยพี่ ไว้เจอกันนะ” ผมสนใจพี่เข้ต่อ

   “ไว้เจอกันครับ อย่าลืมรอกินข้าวนะ”

   “โอเคพี่ รีบกลับเถอะ แถวนี้จะมีคนอ้วก”

   พี่เข้ไม่ได้สนใจคำประชดของผมที่มีต่อไอ้เต้ หลังจากพิธีกรหนุ่มจากไปด้วยรอยยิ้ม ผมก็หันมามองไอ้ตากล้องตาขวาง พร้อมกอดอกถามทันที

   “อะไรของมึง”

   “แรดนักนะมึง” มันเดินกอดอกเข้ามาหา

   “ฮะ!?” ผมชี้ที่ตัวเอง “กูอะนะ? แรด?”

   “เออ” มันยืนประจันหน้ากับผม “พี่เข้เรียกมึงว่ากระโถนได้ไง”

   “หาาาาา ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เดือดไรวะ”

   “ไม่รู้ไงว่าคำนี้กูเรียกมึงได้คนเดียวอะ”

   “อะไรมึงเนี่ย ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

   “พี่เข้แม่งไม่มีปัญญาคิดคำเองเหรอวะ”

   เดี๋ยว…กูเริ่มงงๆ ละนะ

   “มึงอย่าว่าพี่เข้นะ”

   อยู่ๆ อีกฝ่ายก็จ้องลงมาตาแทบจะหลุดจากเบ้า ไอ้เหี้ย ไมมึงยักษ์จังวะ

   “กูว่าที่กูพูดไม่ได้ว่าพี่เขาเลยนะ” ไอ้ตากล้องหรี่ตา “ทำไม ปกป้องแบบนี้ชอบเขาเหรอ?”

   ผมเงียบ…

   มะกี้เกือบจะอ้าปากตอบ ‘เอออ!’ ไปแล้ว แต่คิดอีกที…ไม่เอาดีกว่า

   “ไร้สาระว่ะ เอาการ์ดมาได้แล้ว”

   “ไม่” มันชูมือที่ถือการ์ดให้สูงขึ้น ไอ้เชี่ย จะให้ตะกายขึ้นไปเหรอ ยังไม่ถึงประเพณีชิงเปรตว้อยยย

   “เร็วๆ ไอ้เต้กูต้องไปทำงานต่อ เอามาๆๆๆ” ผมกระโดดตะปบมือมันเหมือนแมวโดนเจ้าของหลอกด้วยของเล่น โถเอ๊ยยย สมเพชตัวเองที่แพ้นมวัวจริงๆ

   “อย่าชอบพี่เข้เข้าใจมั้ย!” มันเอานิ้วจิ้มหน้าผากผม เรียกว่ากดดีกว่า โอ๊ยยยจะทะลุ “ไปชอบคนอื่นแทน”

   “พูดซะเหมือนเป็นมึงเองที่ชอบพี่เข้เลยอะ”

   ไม่เอานะ… ลองจินตนาการดูแล้วแบบ…. หืยยยยยยย

   “บ้านมึงสิ หมายถึงให้มึงไปชอบคนอื่นต่างหาก”

   “กูจะชอบใครมันก็เรื่องของกูเน้อ” ผมยักคิ้วกวนๆ ใส่มัน “ทำไมอะ จะให้กูชอบมึงหรือไง”

   “ชอบได้ปะละ”

   “ไม่ได้!”

   “ทำไม?”

   “ก็มึงขนเยอะ” ผมมองหน้าแข้งมัน วันนี้แม่งใส่กางเกงขาสามส่วนเห็นสาหร่ายเป็นแนวเลย ผมจั๊กจี้เวลาเห็นขนมากๆๆ ดีนะที่แม่งโกนหนวดเคราแล้ว นึกอยากขอบคุณป้อแม่จริงๆ ที่ทำให้น้องโต๋นตัวเกลี้ยงเนียนแบบนี้

   “เพ้อเจ้ออะไรวะ”

   “มึงแหละเพ้อเจ้อ เอาการ์ดมาเซ่” ในที่สุดผมก็ดึงมันออกมาจากมืออีกฝ่ายได้สักที

   “ยังไม่ได้กินข้าวรึไง?” มันคุยกับผมอีกครั้ง

   “อือ” ผมพยักหน้า “ทำไมอะ”

   “รอแปบ” ไอ้ตากล้องที่ตอนนี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาเดินไปยังมุมเสาของสตูฯ หยิบเป้ใบใหญ่ของมันที่วางพิงไว้ขึ้นมา หลังจากควานหาอยู่นานมันก็เดินมาพร้อมกับอะไรสีดำๆ จนเมื่อเห็นผมถึงกับต้องถอยกรูดหนี ไอ้ห่านึกว่าสิ่งปฏิกูล

   “อะไรอะ?”

   “แซนวิช”

   “ทำไมดำเป็นขี้แบบนั้นวะ”

   “โอ๊ยไอ้บ้า มันคือขนมปังชาร์โคล เขากำลังฮิตกันไม่รู้เลยไง”

   “ดำขนาดนี้ฮิตได้ไงอะ” ผมทำหน้าหยะแหยงเต็มที่

   “เอาไปกิน มีประโยชน์ กูทำเองปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์” ไอ้ตากล้องว่า

   “อี๋ คราวก่อนไข่เจียวที่มึงทำไว้ก็รสชาติหมาไม่แดกเลย มึงยังมีหน้ามาเสนอเมนูใหม่ให้กูพิจารณาอีกเหรอ”

   “หึ แต่มึงก็กินปะ”

   ผมมองรอยยิ้มกวนตีนของอีกฝ่ายด้วยความอารมณ์เสีย แต่ถ้ามันจะคะยั้นคะยอแบบนี้ก็เอาวะ สักหน่อยก็ไม่เป็นไร ฮืออ เห็นแก่กินอีกแล้วกู

   “เออก็ได้วะ”

   “ไปได้แล้ว กูต้องอยู่ถ่ายรายการต่อไป”

   ผมพยักหน้าหลังจากรับแซนวิชของมันมา

   “สู้ๆ นะมึง”

   “ฮะ? พูดอีกทีดิ”

   ผมทำหน้าฉงน อะไรวะ

   “สู้ๆ นะมึง” ทำไมต้องพูดใหม่อะ

   “โอเค”

   ผมนี่เอียงคอมองเลย “มึงเป็นบ้าเหรอ กูงงกะไปหมดแล้วเนี่ย”

   “เออ สงสัยจะบ้า”

   “ประสาท”

   “ไปๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวกูจะใช้เวลาคิดว่าจะเรียกมึงยังไงดี ไม่อยากใช้กระโถน”

   “สุดหล่อดิ”

   “ยาก เพราะมันไม่ใช่ความจริง”

   “ไอ้เท่ละกัน”

   “ห่างไกลคำนั้นมาก…”

   “งั้นจะเรียกห่าไรก็เรียกเหอะ” ผมเก็บของทุกอย่างขึ้นมาในมือ “เจอกัน อย่าลืมไปขอยาระงับประสาทที่ห้องพยาบาลล่ะ”

   ผมเดินหนีไอ้โปเต้จนถึงหน้าลิฟต์ ระหว่างยืนรอก็มองแซนวิสสีดำในมือพร้อมกับกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ หิวจังโว้ยยยย

   ผมมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ก็เลยขอลองหยิบมันออกมาชิมหน่อย

   …เฮ้ย! อร่อย

   ห่างไกลกับไข่เจียวมึงหลายขุมไอ้เต้เอ๊ย






“โต๋นจ๊ะ” พี่ป่านเรียกผมให้เข้าไปหา ผมก็ทำอย่างว่าด้วยความเต็มใจพร้อมรอยยิ้มสดใสเพราะผมกับเจ้านายเราดีกันแล้วครับ อิอิ

   “ว่าไงฮะพี่”

   “อยากมีน้องฝึกงานมั้ยจ๊ะ”

   “หา?” ผมงง “ไหนตอนแรกพี่ป่านบอกว่าเราจะไม่มีไงครับ”

   ใช่ครับ เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว และทีมเราทุกคนเห็นตรงกันว่าสามารถทำกันเองได้ ตอนนี้เด็กฝึกงานที่เดินขวักไขว่กันเต็มตึก แต่ไม่มีคนไหนที่ผมใช้งานได้สักคน

   “ลองถามอีกทีไง”

   “อืม…ผมไม่แน่ใจนะพี่ ผมน่ะจริงๆ ก็ทำงานคนเดียวได้ หรือเอามาช่วยไอ้เดียร์ดีกว่ามั้ยครับ”

   “พวกเด็กฝึกงานตัดต่อหายาก ส่วนมากต้องเป็นสายอาชีพ ตอนนี้ยังไม่มีซะด้วยสิ” พี่ป่านกัดกระพุ้งแก้ม “คือไม่ใช่อะไรหรอก ผู้ใหญ่ฝากหลานมา”

   แหงะ ถ้างั้นก็ไม่ต้องถามสิครับบอส งานเส้นแบบนี้

   “แล้วพี่ป่านว่าไงล่ะครับ”

   “ลองดูเรซูเม่ก็โอเคนะ อยากดูมั้ยล่ะ?”

   “ไม่เป็นไรครับ พี่ป่านตัดสินใจตามสมควรเลย”

   “งั้นเอามาแล้วกันเนอะ อย่างน้อยก็ใช้ซื้อข้าวซื้อน้ำ”

   แหม…เจ้านายกู

   “ได้เลยครับ แล้วน้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหว่า”

   “ผู้ชายน่ะสิ จริงๆ อยากได้ผู้หญิงนะเนี่ย”

   “ผู้ชายดีแล้วล่ะครับ ถ้าน้องเป็นผู้หญิงคงอึดอัดเวลาอยู่กับผมกะเดียร์ คำหยาบกันทั้งนั้น” ผมอธิบาย “อีกอย่าง พี่ป่านจะได้สวยที่สุดในทีมไงครับ”

   พอได้ยินอย่างนั้นคุณบอสแกก็เขินตัวม้วนใหญ่

   “เออ พูดได้ดีมากเลยจ้า งั้นรับมาเลยเนอะ”

   เราทั้งคู่หัวเราะร่า แหม่ ดีกันแล้วก็สบายใจจัง เห็นบอสมีความสุข

   แต่ว่าตอนผมกำลังจะหันหลังกลับพี่ป่านก็รั้งผมไว้อีกรอบ

   “โต๋นจ๊ะ… อาทิตย์สิ้นเดือนมีวันหยุดยาว จะกลับบ้านหรือเปล่าเอ่ย”

   “สิ้นเดือนเหรอครับ…” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปฏิทิน ส่วนพี่ป่านก็หยิบปฏิทินตั้งโต๊ะจริงๆ ขึ้นมาดูเหมือนกัน นี่มันความแตกต่างของเจเนอเรชั่นโดยแท้

   “น่าสนใจเหมือนกันนะครับ อาจจะกลับก็ได้” ผมตอบ “พี่ป่านมีอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่ใช่อะไรหรอก เดือนที่แล้วเพิ่งตัดงบรอบปีไป รายการเรายังมีเหลือก้อนนึงแต่ไม่เยอะเท่าไหร่ พี่กำลังคิดว่าจะให้ทั้งทีมไปแพร่ดีมั้ย”

   “ฮะ? ไปบ้านผมเหรอครับ”

   “ใช่จ้า แต่ไม่รบกวนบ้านหรอก คงไปนอนโรงแรม”

   “ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวให้ที่บ้านเตรียมที่นอนให้” ผมดีใจยกใหญ่ โอ๊ยยย จะมีเพื่อนๆ ไปแอ่วบ้านเชียวนะ “ไปนะๆๆๆ ผมอยากให้ทุกคนไป เดี๋ยวผมนำเที่ยวเอง”

   “คือจริงๆ มันก็ประจวบเหมาะกับของกำนัลจากลูกค้าที่เป็นสายการบินเมื่อต้นปีน่ะ เขาให้ตั๋วบินฟรีตั้งสี่ใบแหนะ พอดีเลย” พี่ป่านยิ้ม บอสผมคงอยากเที่ยวจริงๆ สินะ

   “ก็พี่ป่าน ผม ไอ้เดียร์…แล้วใครอีกคนนึงล่ะครับ แฟนพี่เหรอ”

   “บ้า! พี่มีแฟนที่ไหนละจ๊ะ”

   โอ๊ย อย่ากลับมาวีนตอนนี้น้า

   “ขอโทษฮะพี่ผมไม่รู้ …แล้วพี่จะเอาใครไปดีอ่ะ”

   “ไอ้เต้ไง ดีมั้ย มันช่วยเรามาหลายปี ให้มันไปเที่ยวบ้าง”

   เออจริงสิ… ไอ้เต้ก็น่าชวน

   “มันจะไปเหรอพี่…”

   เอาจริงลึกๆ ทำไมรู้สึกไม่อยากให้มันไปวะ แต่เอาจริงมันก็ควรไป โอ๊ย สับสน

   “ถามสิ สนิทกันนี่ช่วงนี้” พี่ป่านปรายตามองมา

   เดี๋ยว สายตาแบบนั้นมันคืออะไรครับบอส

   “งั้นผมขอถามมันก่อนนะฮะ”

   ผมหยิบมือถือกดเบอร์มันทันที อยากถามต้องถามเลย

   [มีอะไร] รับโทรศัพท์ยังทำน้ำเสียงเย็นชาเลย ผับผ่าสิ

   “มึงๆ พี่ป่านชวนไปแพร่ด้วยกัน พอดีมีบัตรฟรี…”

   [ไป] อีกฝ่ายตอบทันทีเหมือนไม่ต้องคิด

   “หา? ง่ายจังวะ”

   [เออ ไม่มีไรแล้วใช่มั้ย แค่นี้นะ]

   แล้วมันก็ตัดสายไป…

   เออ มาเร็วเคลมเร็วดี นึกว่าประกันชั้นหนึ่งอะ

   “มันไปครับพี่” ผมบอกหัวหน้า

   “งั้นก็ตามนี้เนอะ ตื่นเต้นจัง โต๋นอย่าลืมพาพี่เที่ยวด้วยนะ”

   “แน่นอนครับ รับรองคุ้มค่าสุดๆ ทัวร์โต๋นแตร์ซะอย่าง”

   ผมเดินกลับไปโต๊ะทำงานอย่างมีความสุข เย่ จะได้ปิ๊กบ้านแล้วโว้ยยยย คิดถึงกระต่ายป่าทุกตัวเลยยย






   [มากันกี่คนล่ะลูก] เสียงคุณแม่เจื้อยแจ้วจากปลายสาย ดูท่าจะตื่นเต้นพอๆ กัน นานๆ ทีลูกชายคนเล็กจะกลับบ้านเนอะ

   “สี่คนอะแม่ ห้องพอดีก่อ”

   [พอดีๆ แหม …แล้วลูกจะยะอะหยังบ้าง เดี๋ยวให้พวกคนงานมันพาไป]

   “ยังบ่ฮู้เลยแม่ ขอไปกึ๊ดแปบ”

   [เออดีๆ โอ๊ย บุญกรรม…เจ้านายลูกใจดีแท้ มาๆ กันเลย อยากเจอลูกเหลือเกิน]

   “อยากเจอแม่เหมือนกัน ป้อโต้ย …ป้อเป็นหยังบ้างอะ”

   [ก็สบายดี บ่นเยอะเหมือนเกย]

   “โอเคแม่ ไว้ป๊ะกันเน่อ จะนอนแล้วพรุ่งนี้ทำงาน”

   [ตั้งใจๆ นะลูก เจ้านายใจดีแบบนี้ก็ตั้งใจทำงานก๊ะ]

   ดูแม่ผมจะเทิดทูนพี่ป่านมากเลยนะเนี่ย เชื่อได้เลยว่าเดี๋ยวเจอกันได้เม้าท์แตกแน่นอน

   ตื๊ดดดดด

   เสียงข้อความเข้าทำเอาผมต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง มันเป็นข้อความจากเครือข่ายที่ส่งมาว่ามีคนโทรมาให้ติดต่อกลับ สงสัยจะยิงเข้ามาตอนวางสายพอดีแน่ๆ

   อ้าว เบอร์ไอ้เต้ซะด้วย

   “ไงมึง” ผมทักทายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับแล้ว

   [จะนอนยัง] เสียงเหวี่ยงของมันแว่วถาม

   “ยังงงง ว่ามาเลย”

   [วันจันทร์ตอนบ่ายๆ ว่างปะ จะเอากล้องฟิล์มไปเล่น]

   “จะให้กูเป็นนายแบบอีกเหรอ”

   [แต่งหญิงมั้ยล่ะ จะได้เป็นนางแบบแทน]

   “ตลกแล้วไอ้สัด” ผมด่ามัน “เออ ว่าง มึงถ่ายรูปสวยดีอะกูชอบ”

   คราวก่อนเซ็ตสวนสัตว์แทบจะใช้ได้เกือบทุกรูป ต้องยอมรับเลยฮะว่ามันมีฝีมือ

   [ขอบคุณที่เห็นค่ากู]

   แหมะ ดึงดราม่าทำไมวะ

   “แค่นี้ใช่มั้ยวะ กูง่วงแล้วอ่ะ ขอนอนก่อนได้ปะ”

   [เฮ้ย งั้นไปนอนเถอะ ขอโทษที ฝันดีๆ]

   “ฮะ!?”

   [ฮะอะไรวะ…]

   “เมื่อกี้มึงบอกกูว่าฝันดีเหรอ”

   [บ้า จริงอะ…]

   “เออ กูไม่ได้หูตึงได้ยินไปเองแน่ๆ”

   [สงสัยติดตอนที่โทรบอกสาวคนก่อน]

   ผมได้ยินแล้วเบะปากทันที

   ซึ่ง…กูจะเบะทำไมอ่า

   “จ้า ไปคุยกับสาวคนต่อไปได้เลย กูขอนอนก่อน”

   [ล้อเล่นนะ ไม่มีสาวที่ไหนหรอก มีแต่มึงเนี่ย]

   “มึงก็ชอบพูดห่ามๆ อยู่เรื่อย พอแล้วกูจะวางสาย แค่นี้แหละ”

   ตี๊ด!

   ผมโยนมือถือไว้บนโต๊ะหัวเตียงและมองมันด้วยความหงุดหงิด

   หลังจากที่นั่งกอดอกสักพักก็รู้ได้ว่าหน้าผากตึงเปรี๊ยะเพราะคิ้วที่ย่นชิดกัน ลองเอามือขึ้นไปนวดค่อยผ่อนคลายลงบ้าง

   เอ…แล้วกูจะหงุดหงิดทำไมอะ






โอย…ง่วงชิบเป๋ง

   ไม่น่าเล่นเกมเมื่อคืนถึงตีสามเลย ฮือ แต่กว่าจะผ่านด่านนั้นได้ก็เล่นเอาเกือบท้อ มันเลยต้องฮึดสู้ เลยต้องแลกกับความงัวเงียเป็นซอมบี้แบบนี้แหละ

   “หวัดดีมึง” ผมทักทายเมื่อเดินผ่านโต๊ะไอ้เดียร์ อีกฝ่ายหันมามองผมพร้อมกับเบิกตากว้างคล้ายกับจะตกใจ

   “ไอ้เหี้ย นึกว่าผี”

   “กูแค่นอนน้อย”

   “ไปๆ ไปนั่งโต๊ะมึงเลย เด็กฝึกงานคนใหม่มาแย่งตำแหน่งความหล่อที่สุดในแผนกของมึงแล้ว”

   “หือ?” ผมเอียงคอ “เด็กฝึกงานมาแล้วเหรอ?”

   “เออ กูให้ไปนั่งที่โต๊ะมึงก่อน เดี๋ยวค่อยให้พี่ป่านจัดการเรื่องที่ทางให้”

   “ได้ๆ” ผมพยักหน้าให้ไอ้ตัดต่อ ก่อนจะเดินผ่านไปยังคอกที่ทำงานของผมบ้าง เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษากำลังหันหลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่

   “สวัสดีน้อง” ผมกล่าวทักทาย วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะจนไอ้เด็กที่นั่งอยู่ต้องเถิบให้ด้วยความเกรงใจ

   และในที่สุดมันก็มองผมจนได้

   ชึ้งงงงง!

   เมื่อแววตาเราทั้งคู่ปะทะกัน ก็เป็นไอ้เด็กฝึกงานที่อ้าปากค้างก่อน จากนั้นก็ตามด้วยผม ที่นอกจะทำแบบเดียวกับคนตรงหน้าแล้ว ยังเซจนเกือบจะชนคอกที่กั้นพังเป็นดอมิโน

   “โต๋นเหรอ?” เสียงนั้นยิ่งตอกย้ำความคุ้นเคยเข้าไปอีก

   มันต้องคุ้นสิครับ อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนกันแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม …สตอรี่เยอะขนาดนั้นลืมไม่ลงแน่ๆ

   เพราะนี่น่ะคือ…

   “ภูมิ…”



 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ขอแนะนำน้องภูมิสู่ครอบครัวทรมานบันเทิง
/งานเข้าแล้วจ้า

#ทรมานบันเทิง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คิดถึงน้องโดดน้ำ หายไปนานนะจ๊ะ

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
10
ยินดีต้อนรับเด็กฝึกงาน




   “ไอ้ห่าเอ๊ยยย มึงจริงๆ ด้วย” ไอ้ภูมิยิ้มร่าก่อนจะโผเข้ามากอดคอผมแน่น

   เดี๋ยวนะ ทำไมมึงทำตัวสนิทสนมจังวะเนี่ย ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนกันไม่ถึงเทอมเลยไม่ใช่เหรอ แง

   “เออ กูเอง” ผมทำอะไรไม่ถูกก็เลยยิ้มรับอ้อมกอดนั้นไปโดยดี

   แต่เอาเถอะ เรื่องในอดีตไม่อยากพูดถึง ยังไงมันก็เคยเป็นเพื่อนที่เคยหวังดีมากๆ คนนึงนะ

   “รู้จักกันมาก่อนเหรอ” ไอ้เดียร์ส่งเสียงเฉื่อยๆ มาถาม

   “ครับ โต๋นเป็นเพื่อนตอนเรียนมหาลัย พอดีผมซิ่วก่อนเลยไม่ได้จบพร้อมกัน”

   อ่า…ตามนั้น

   “โลกกลมจังนะ” ไอ้เดียร์มองลอดแว่น

   ไม่ได้การและ มันอยากจะระบาย

   “ไอ้เดียร์ ไปดูดบุหรี่กัน” ผมเอ่ยปากชวน

   “ฮะ?”

   ผมส่งซิกบอกมันประมาณว่าให้ไปก็ไปเถอะอีห่า

   “เออไปดิ”

   “เดี๋ยวมานะมึง นั่งรอแปบเดี๋ยวนายกูก็มาแล้ว” ผมยิ้มบอกเพื่อน

   “เออได้ กูเปิดคอมได้ปะ เหงาว่ะ” ไอ้ภูมิยิ้มร่าเริงเปล่งรังสีความหล่อจนแสบตา

   “ได้เลย ตามสบายนะ”

   แล้วผมก็จัดการลากแขนไอ้เดียร์ออกมาจากออฟฟิศ พุ่งตรงไปที่ลิฟต์ทันที

   “เร็วมึง มีเรื่องแล้ว”






“ภูมิ…พี่ฝากเอาเอกสารไปให้พี่ที่สตูฯ เซ็นต์หน่อยสิจ๊ะ” พี่ป่านเรียกใช้เด็กฝึกงาน

   ไอ้ภูมิที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมลุกขึ้นและเดินไปหาอย่างว่าง่าย ไม่ลืมที่จะหว่านรอยยิ้มสดใสไปตามทางด้วย ขณะนี้มันเป็นขวัญใจแม่ยกทั้งชั้นแล้วครับ ฮือออ รู้สึกตกกระป๋องจริงๆ ใช่สิ พวกเขาคงลืมไอ้โต๋นกันหมดแล้ว

   จะว่าไปก็อิจฉามันไม่ได้หรอก ก็ภาษีหน้าตาแม่งเป็นต่อขนาดนั้น สูงยาวเข่าดี ผิวขาว (แต่ไม่เท่าผม) รูปร่างดีพอมีมัดกล้ามใส่เสื้อผ้าแล้วสวย ทุกอย่างแม่งเข้าขั้นเกือบเพอร์เฟ็กต์ ยังไม่นับหน้าตาตี๋ๆ พิมพ์นิยมอย่างกับหลุดมาจากซีรีส์เกาหลีอีก ไอ้บ้านนอกอย่างผมยอมแพ้

   แต่…ไม่รู้ทำไมเหมือนกันครับ ผมชักหงุดหงิดเมื่อรู้ว่ามันกำลังจะลงไปสตูฯ ไอ้นี่ยิ่งอัธยาศัยดีอยู่ด้วย

   “เป็นไรวะ ระแวงอะไรอยู่” ไอ้เดียร์ส่งเสียงมาถาม มันเดินแวะมาหลังจากที่ไปกดน้ำในห้องครัว

   “เปล่า”

   “กูมองออก มองจากราชบุรีก็มองออก” ผมกระดกแก้วดื่นน้ำ “ทำไม กลัวมันสนิทกับพี่เต้เหมือนพี่เข้หรือไง”

   โอ๊ย ไอ้นี่พูดความคิดผมออกมาจนได้

   แต่…เออ! ยอมรับก็ได้ กลัว!

   ไม่ใช่กลัวแบบหึงหวงนะ แค่ไม่ชอบใจอะ คนเราจะสนิทกับคนทั้งโลกได้เลยหรือไงวะ

   “ช่างแม่งเหอะ”

   “กูว่ามึงระวังพี่เข้ดีกว่า เดี๋ยวเจอกันอาทิตย์หน้าไม่รู้ว่าจะยังไง”

   นั่นสิ กูควรระวังพี่เข้ไม่ใช่เหรอวะ…

   แต่ไม่อะ ขอพับเรื่องพี่เข้ไว้ก่อน ตอนนี้แค่อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำตามที่ผมระแวงมั้ย

   “มึงเดี๋ยวกูมา”

   ผมไม่ล่ำลาใครและพุ่งตรงไปยังสตูฯ ชั้นล่างทันทีด้วยการเดินลงบันไดหนีไฟ ไม่ง้อลิฟต์หรืออะไรทั้งสิ้น ใช้เท้าแม่งนี่แหละ

   ผมพุ่งตัวเข้ามาด้านในและก็เห็นในสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่แล้วไม่มีผิด

   ไอ้โปเต้กำลังถือกล้องถ่ายรูปไอ้ภูมิที่ยืนอยู่ในแบ็คดร็อปสีขาว ซึ่งไอ้ฝ่ายนายแบบก็ยิ้มเริงร่าอย่างเต็มที่ ไอ้ตากล้องก็สั่งแอ็คท่าพร้อมกับลั่นชัตเตอร์อย่างมันมือ

   โอ๊ยยย หงุดหงิด

   “อ้าวโต๋น” ภูมิเห็นผมจนได้

   ไอ้โปเต้วางกล้องในมือพร้อมกับมองมาทางนี้เช่นกัน

   ตอนนี้ทั้งคู่คือไอ้สองคนที่ผมหงุดหงิดมากที่สุดในจักรวาล

   “ภูมิพี่ป่านเรียกอะ” ผมพูดเสียงเรียบ พยายามข่มความไม่พอใจไว้เต็มที่

   “อ๋อ ได้เลย” ภูมิพยักหน้าก่อนจะล่ำลาตากล้อง “ไปก่อนนะพี่ คุยกับพี่แม่งสนุกดีอะ”

   “เออ ไว้ลงมาเล่นใหม่มึง”

   หึ หมั่นไส้ว่ะ…

   อ๊ากกกกกก หมั่นไส้ๆๆๆๆ

   ไอ้ภูมิเดินนำผมออกไป ผมที่กอดอกอยู่เห็นอย่างนั้นก็หันหลังเตรียมจะเดินตาม

   “เดี๋ยว จะไปไหนอะ” ไอ้เต้วิ่งเข้ามาหา

   “กลับไปทำงานต่อดิ ไม่ได้ว่าง”

   “อ้าวไหนบอกว่าว่างไง จะถ่ายรูป” ไอ้ตากล้องทำหน้างง

   โอ๊ยยย เห็นแล้วของขึ้นว่ะ

   “ก็มึงถ่ายกับเด็กฝึกงานกูแล้วไง!” ผมระเบิดอารมณ์ออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ มันทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย

   “เดี๋ยวๆ โต๋น…”

   นั่นไง เวลามันรู้ว่าผมตะบะแตก แม่งชอบเรียกชื่อเล่นจริงๆ ตลอดเลย

   “กูบอกมึงว่ายังไง”

   “ถ่ายรูปไง!?” ผมกอดอกอีกครั้ง

   “เฮ้อ” อีกฝ่ายถอนหายใจ “รออยู่ตรงนี้ อย่าให้กูต้องวิ่งตาม”

   แล้วไอ้โปเต้ก็เดินกลับไปยังกระเป๋าเป้ที่วางพิงเสาไว้ หยิบกล้องอีกตัวออกมา คราวนี้มันมีขนาดเล็กกว่าตัวที่มันถืออยู่

   “กูบอกมึงว่ากูจะเอากล้องฟิล์มมาเล่นไม่ใช่เหรอ?” ไอ้เต้พูดอย่างใจเย็น

   เออว่ะ… กล้องที่มันถ่ายไอ้ภูมิก่อนหน้านี้มันเป็นกล้องของสตูดิโอนี่หว่า

   ได้…งั้นเย็นลงหน่อยนึง

   “แต่กูไม่มีอารมณ์ถ่ายแล้ว”

   “โต๋น อย่าดื้อ เข้ามาในเฟรม”

   “ทำไมมึงชอบสั่งกูจังฮะ” ผมกอดอกอยู่เหมือนเดิม อีกฝ่ายยังใจเย็นยอมคุยกับผมดีๆ

   “เร็วๆ อย่าให้พูดซ้ำ”

   ผมกลอกตาใส่มันแต่ก็ก้าวขาเข้าไปยังแบ็คดร็อปที่ขึงไว้ สาบานได้เลยว่าตอนนี้หน้าเหมือนตูดลิงแน่ๆ

   “ทำหน้าตาให้มันดีๆ ดิ” ไอ้เต้เท้าเอว เริ่มขมวดคิ้วใส่แล้ว “เป็นอะไรเนี่ย”

   “กูไม่มีอารมณ์ กูหงุดหงิด”

   “แล้วหงุดหงิดเรื่องอะไรอะ?”

   ผมเงียบ…

   นั่นดิ กูจะไปหงุดหงิดทำไมวะ

   “จะถ่ายก็ถ่ายเลย”

   “ตอบก่อนเร็วๆ ที่ถามเพราะแคร์นะ”

   “เหอะ มึงไม่ได้แคร์จริงๆ หรอก”

   เพราะถ้ามึงแคร์ มึงจะไม่ทำอย่างนั้นตั้งแต่แรก…

   โอ๊ยยย กูเป็นอะไรวะเนี่ย

   “โต๋น…” ไอ้เต้เดินเข้ามา ใกล้จนผมต้องเงยหน้ามอง “บอกหน่อยเป็นอะไร”

   “ไม่รู้” ผมหลบตามัน “ไม่รู้เหมือนกัน”

   “โต๋น…”

   “วันนี้เรียกชื่อกูบ่อยนะ” ผมตั้งใจกวน แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยังจ้องผมนิ่งแม้ผมจะพยายามหันหนีก็ตาม

   “บอกหน่อย”

   “ก็นึกว่ามึงจะแกล้งกูเล่นละมั้ง”

   “เรื่อง?”

   “ที่บอกจะถ่ายรูป แต่เห็นถ่ายไอ้ภูมิใหญ่เลย”

   “หึ” ไอ้เต้ยิ้มมุมปาก “หวงกูนั่นเอง”

   “เดี๋ยวๆ ยังไม่ได้พูดเลยนะ”

   “ดูท่าทางมึงก็รู้” ไอ้เต้ยักไหล่ “แล้วไงอะ ก็รู้แล้วนี่ว่ากูไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น”

   “เออ”

   “รู้ไว้นะ กูไม่ใช่คนขี้ลืม พูดอะไรไว้กูจำได้” มันว่า “ขอโทษด้วยแล้วกันที่ไม่ชอบ ขอโทษที่ทำให้คิดแบบนั้น”

   อ้าวววว ไหงกลายเป็นมันที่งอนแทนได้อะ

   “เฮ้ย ไม่เอาน่า” ผมดึงแขนมันไว้

   “ถ่ายวันอื่นแล้วกัน” มันทำท่าจะเดินไป ผมก็ดึงมันไว้อีกรอบ

   มองหน้ามันแล้วหมั่นไส้อะ ดีนะที่หน้าบูดๆ ของมันเวลานี้ไม่มีหนวดเคราเหมือนแต่ก่อน เห็นแล้วน่าสงสารขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย จะทำยังไงให้มันหายโกรธอะ

   “เต้” ผมเรียกเพื่อหวังจะให้มันหันกลับมา

   “กูก็ไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจใครเหมือนกันว่ะ”

   โอ๊ยยยไปกันใหญ่แล้ว

   ผมไม่รอช้าเขย่งขากึ่งกระโดดขึ้นไปหามันแล้ว…

   จุ๊บ!

   เวร!

   เวรแล้วววววววววววววววววววววว

   ตั้งใจจะทำเป็นจุ๊บๆๆๆ แบบกวนตีนมันข้างๆ แก้ม แต่มันเสือกหันมาพอดีเลยโดนหูมันเต็มๆ

   ถึงแม้มันจะไม่โดนจุดยุทธศาสตร์แต่เรื่องนี้แม่งซีเรียสนะเว้ย

   ไอ้เต้หันขวับมามามองผมทันทีพร้อมกับถอยออกไปประมาณสามก้าว เราทั้งคู่ทำหน้าอึ้ง ไม่มีใครพูดอะไรต่างคนต่างทำตัวไม่ถูก

   คือแล้วทำไม…ทำไมมันถึงนิ่งไม่แม้จะกระพริบตาแบบนั้นด้วยวะ

   และอยู่ๆ ไอ้เต้ก็เดินพรวดพราดเข้ามาใกล้ผมยกมือขึ้นมาเตรียมจะจับคางไว้ ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะทำเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ผมรีบถอยหนีเหมือนกับมันในตอนแรก

   แต่ดูเหมือนที่ผมทำทำให้มันได้สติ ไอ้เต้สะบัดหัวเหมือนไม่พอใจตัวเองอยู่สองสามที ก่อนจะทำหน้าซีเรียสอีกครั้ง

   “มึงทำอะไร” มันถาม

   “กูขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงนิ่ง เอ๋อไปหมดแล้ว “กูขอโทษจริงๆ”

   “อย่าทำแบบนี้อีก”

   “กูแค่จะแหย่เล่น มันเลยไปโดน”

   “อย่าทำแบบนี้อีก!” ไอ้เต้พูดคำเดิมแต่เสียงดังลั่น เล่นเอาผมกระตุกมือด้วยความตกใจ

   “มึงกูขอโทษจริงๆ”

   มันจะเตะผมหรือเปล่าวะ

   เหี้ย…อยากจะร้องไห้

   ตอนนี้มิตรภาพของผมกับมันคงขาดสะบั้นแล้ว ผู้ชายไม่ควรเล่นกันจนเลยเถิดแบบนี้!

   “มึงแม่ง…” ไอ้เต้สบถคำหยาบมากๆ ออกมาตามจากคำพูดนั้น เล่นเอาผมสะเทือนใจ

   ใช่แล้วครับ คงกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว

   แต่ผมเข้าใจทุกอย่าง ผมแม่งล้ำเส้นเกินไปจริงๆ

   “ขอโทษจริงๆ นะเต้…” เสียงผมแผ่วเบา แต่มันก็ทำให้อีกฝ่ายได้ยินจนมอบดวงตาดุร้ายเหมือนสัตว์ป่ามาให้ มันจ้องผมอยู่แบบนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายหันหลังพร้อมกับจัดการคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองเดินออกไป






“คัท!” ผมสั่งเสียงลั่นสตูดิโอเช่นเคย เทปนี้เราย้ายกันมาถ่ายวันพุธเพราะว่าศุกร์เสาร์อาทิตย์นี้เป็นวันหยุดยาว และเราต้องไปเที่ยวกันนั่นเองครับ

   “โอเคมั้ยมึง…”

   ผมหันไปถามไอ้โปเต้ด้วยความลืมตัวว่ากำลังมีปัญหากันอยู่ มันไม่ได้หันมามองเพียงแค่ส่งเสียงแบบห่างเหินแค่นั้น

   “อือ”

   ผมเม้มปากและตัดสินใจเลือกจะหันหนีมันดีกว่า

   “เรียบร้อยนะน้อง” พี่เข้เดินเข้ามา

   “เหมือนทุกครั้งเลยพี่”

   “หยุดยาวไปไหนอะ…”

   “อ๋อ ไป…” เชี่ยเกือบหลุดปาก

   “เขาไปแพร่กันทั้งทีมเลยพี่เข้” ไอ้ภูมิเดินเข้ามาแทน หนำซ้ำยังเข้าไปถอดไวร์เลสจากพิธีกรหนุ่มด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด ขนาดผมยังไม่เคยทำขนาดนี้เลย

   แต่น่าแปลกมาก สองคนนี้เจอกันอีกครั้งกลับทำทุกอย่างเหมือนปกติ คล้ายกับว่าไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน ไม่แน่บางทีระหว่างที่ผมหลุดจากวงโคจรไป พวกเขากลับมาปรับความเข้าใจกันอีกครั้งหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบได้ ผมมันเป็นพวกรู้ทีหลังอยู่แล้วล่ะ

   ช่างแม่ง ต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน ไอ้ปากมากภูมิเอ๊ยยย

   “แพร่?” พี่เข้ขมวดคิ้ว “บ้านพี่เลยนะนั่น”

   “ใช่พี่… ก็พวกพี่ๆ เขาไปบ้านของ…”

   ผมดึงเสื้อไอ้ภูมิที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็นเด็กฝึกงานของผมให้เงียบปาก มันทำหน้างงๆ แต่ก็หยุดพูดโดยดี

   “แล้วพี่ล่ะไปไหน” ผมขอเป็นคนเปลี่ยนคำถามเอง

   “น่าจะฮ่องกงนะ ไปกับที่บ้านน่ะ คงกลับมาอีกทีวันจันทร์เลย” พี่เข้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

   “ขอให้สนุกนะครับ” ผมพูดพร้อมกับโบกมือลา

   “เช่นกันน้อง ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าไปโดนตำหนิที่ไหนเชียว”

   หลังจากที่พิธีกรหนุ่มจากไปแล้ว ผมก็ลากไอ้เพื่อนตัวดีไปที่ระเบียงต่อ

   “มึงอย่าพูดอะไรให้พี่เข้รู้ว่ากูคือโต๋นได้มั้ย ถือว่ากูขอล่ะ” ผมเริ่มเปิดประเด็น

   “ทำไมอะ” ไอ้ภูมิทำหน้างงๆ อยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง “อ๋อ กูว่าแล้วทำไมเขาทำเหมือนกับไม่รู้จักมึง เขาจำมึงไม่ได้เหรอ”

   “เออ”

   “ก็มึงหล่อขึ้นผอมขึ้นแบบนี้นี่นะ แต่กูเป็นเพื่อนมึง ถึงจะอ้วนจะผอมกูจำได้ เก่งปะละ” มันตบไหล่ผมเบาๆ

   “ขอบใจ” เกือบหลุดยิ้มตอนที่มันชมแล้วเชียว “แต่ถือว่ากูขอนะ และก็ห้ามเรียกชื่อกูตอนอยู่กับเขาด้วย”

   “เออๆ” ไอ้ภูมิยอมรับปากทั้งๆ ที่ยังไม่ค่อยได้ใจความ “ทำไมวะ”

   “นะ…”

   “เออก็ได้… นี่มึงโอเคใช่มั้ย”

   “อือ” ผมพยักหน้า

   “งั้นกูไม่ถามและ” มันยังเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่สมัยเป็นเพื่อนกันเลย แคร์ความรู้สึกคนอื่น ผมเองแหละที่แม่งปากแข็งเกินไป

   “ขอบใจมาก”

   “กูเล่าให้แม่ฟังด้วยว่าเจอมึง เขาบอกให้ว่างๆ ไปหาที่บ้านด้วย”

   “ได้เลย”

   “งั้นกูเข้าไปข้างในก่อนนะ”

   ผมมองไอ้ภูมิเดินหายเข้าไปในสตูดิโอทว่าผมไม่ได้ตามเข้าไป ผมตั้งใจจะไปยืนรับลมที่ริมระเบียงนิดหน่อย เรื่องหน่วงๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้อยากโดนลมตีหน้าแบบพระเอกเอ็มวีเหลือเกิน

   แต่แล้วสายตาผมก็เห็นคนยืนดูดบุหรี่อยู่ ไอ้เต้มองมาขณะที่ยืนพิงท่อน้ำข้างๆ พัดลมระบายอากาศพร้อมกับคีบแท่งเผาปอดอยู่ในมือ และที่สำคัญมันมองมาอยู่ก่อนแล้ว

   เรามองหน้ากัน อีกฝ่ายเป็นคนแรกที่หลบตา ทำอย่างกับว่ามันไม่อยากคุยกับผม

   “กินข้าวยัง” ผมลองชวนคุย

   ไอ้เต้เหลือบมองผมอีกครั้ง ครั้งนี้นิ่งๆ เหมือนกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง

   “กินแล้ว” มันตอบ

   และบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นั้น เพราะเมื่อมันทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นและขยี้ด้วยรองเท้าไนกี้ มันก็เดินออกไปโดยไม่ลา





จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

อริ (ทางใจ) กลับมาก็ทำเขาป่วยไปหมดเลย

ไอ้น้องโต๋นก็ไม่รักดี ทำไมไปจุ้บเขาอย่างนั้นล่ะ

เรื่องนี้ได้อินสไปร์มาจากเพื่อนชายสองคนที่เคยสนิทกันมาก แล้วเหมือนแกล้งหอมแก้มกันแล้วไม่คุยกันอีกเลย
กว่าจะกลับมาดีกันได้ก็ร่วมปี หวังว่าน้องโต๋นจะไม่นานถึงขนาดนั้นน้า

ตอนหน้าไปแพร่กันครับ ยังไงฝากติชม แชร์ หรือบอกต่อยังไงก็ได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ
บางทีคอมเม้นตลกๆ ของคนอ่านทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขอบคุณจริงๆ ครับ

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้อัพถี่ๆ (เหมือนสมัยเรื่องเก่า)
เพราะผมเป็นพนักงานออฟฟิศ ทุกวันนี้ก็แอบเขียนในเวลาจนเกือบจะโดนจับได้แล้ว แฮะๆๆ

ขอบคุณทุกคนนะครับ #ทรมานบันเทิง

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ภูมินี่ถ่านไฟเก่าพี่เข้ป่าว
รัวกลอง ทีมตากล้องลุย ฮุย เล้ ฮุย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภูมิ เพื่อนโต๋นตอนเรียนด้วยกัน
แล้วพี่เข้ จีบภูมิใช่ป่ะ
ตอนนั้นโต๋นผอม เอ้ย......อ้วนปุ๊กลุ๊ก ไม่เข้าตาพี่เข้ซะเลย
อ้าวๆ.....งั้นเจอกันครบหน้า ความลับของโต๋นก็เปิดล่ะสิ

เต้ ออกอาการหึงโต๋นนะ ตอนคุยกับพี่เข้
กลางคืนยังโทรมาบอกฝันดีซะด้วย  :hao3:
คราวนี้พี่เข้ ก็คงจีบภูมิอีกแน่ๆ
ยิ่งมีเส้นเป็นลูกหลานผู้ใหญ่ซะด้วย
เด๋าว่าโต๋นผิดหวังอีกรอบแหละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด