►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 95187 ครั้ง)

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
มายา การแสดงงงงงง อย่ามาหงิงๆ :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
55555 ใช้การอ้อนเข้าแทนเลยหรอเทียนอี้ รอติดตามค่า

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[1]

ความผิดหวังถาโถมกัดกินใจของเทพอสูรหนุ่ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พลัดพราก เทียนอี้หวังมาโดยตลอดว่าจะได้พบยอดดวงใจอีกครั้งไม่ว่าจะผ่านพ้นไปนานเท่าไร หากแต่เมื่อได้พบพานหญิงสาวผู้มีนามว่า ‘หลิวซู’ ความปรารถนาของเขาก็เป็นอันต้องพังทลายเมื่อเขารู้สึกได้ว่านางหาใช่หลิวซูคนเดียวกับคนรักในอดีตของตน

นางเพียงแค่มีชื่อเดียวกัน มีใบหน้าคล้ายคลึง และเกิดในตระกูลหลิวอันเป็นตระกูลเดิมของยอดดวงใจเขาก็เท่านั้น

นางเป็นเพียงลูกหลานซึ่งมีสายกำเนิดจากน้องชายของหลิวซูผู้นั้น

หลิวซู...ไม่ได้มาเกิดใหม่

แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าสตรีนางนั้นไม่ใช่หลิวซูของเขาอย่างแน่แท้ เพราะเพียงพูดคุยด้วยไม่มีวันนั้นไม่อาจชี้ชัดได้ว่านางไม่ใช่ ด้วยการกำเนิดในชาติใหม่ วิญญาณของหลิวซูจำต้องดื่มน้ำแกงของยายเมิ่ง[1]เพื่อลบเลือนความทรงจำในอดีตชาติ การที่นางจะแสดงท่าทางว่าไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้จักเทียนอี้มาก่อน ย่อมเป็นเรื่องปกติ ทว่าต่อให้มีใบหน้าไม่เหมือนอดีตชาติ หรืออุปนิสัยเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ก็ต้องมีความรู้สึกต้องชะตากัน ทว่า...กับนางแล้ว เขาไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น

คราแรกเขานึกว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้พบพานกันหลายเป็นร้อยปี ความรู้สึกนั้นถึงได้จางหายไป หากแต่เมื่อได้เสวนาใกล้ชิดกันอยู่หลายวัน เขาก็มั่นใจขึ้นมาว่านางไม่ใช่

เมื่อไร้ซึ่งความรู้สึกต้องชะตา เทียนอี้ก็หาได้สนในนางอีกต่อไป ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงคอยดูแลหญิงสาวแทน ขณะที่เขาออกมานั่งรับลมที่ศาลาในสวนยามวิกาลด้วยนอนไม่หลับ สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย เขาเกือบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ากี่ปีที่ไม่ได้พบหน้าคนรัก แต่กระนั้นในใจของเขาก็ยังจดจำเรื่องราวทุกข์และสุข อีกทั้งใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี รวมถึง...คำรักมั่นที่เขาได้เอ่ยไว้ว่าจะรักอีกฝ่ายตราบนิจนิรันดร์ ...แต่หลิวซูของเขาก็ยังไม่กลับมา

เขาต้องทุกข์ทนกับการรอคอยเช่นนี้อีกนานเท่าไรกัน สวรรค์ถึงจะเมตตาเสียที

ความทุกข์ทรมานในการเป็นเทพอสูรหาได้ทุกข์ทนเท่ากับการถูกพรากจากคนรักแม้แต่น้อย ก่อนที่เทียนอี้จะบอกกับตนเอง
ในเมื่อสตรีนางนั้นไม่ใช่ซูซู ก็คงจะต้องส่งนางกลับไป

เขากลับมาสู่ความจริงอย่างจำนนต่อลิขิตสวรรค์ พลางทอดถอนลมหายใจ มองไปยังสวนบุปผชาติ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดหลายวันมานี้ที่สตรีนางนั้นมาเยือนจวน เขาก็หาได้เห็นเจ้าแมวป่าเลยแม้แต่วันเดียว พลันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด

โดยปกติแล้ว หากซิ่นเฉิงทำการใด ก็ย่อมต้องเป็นปัญหาให้พ่อบ้านเหลียงมาฟ้องเขาทุกครั้งไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่หายเงียบไป เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน?

ความฉงนทำให้แม่ทัพใหญ่หมายจะไปตามตัวพ่อบ้านเหลียงมาสอบถามให้รู้แจ้ง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ขยับตัวไปไหน ใบหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าเดินย่องเข้ามาใกล้จวน คราแรกคิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าอาชาของทหารเวรยามที่มีหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อยในคืนนี้ หากแต่กลิ่นสาบสางคุ้นจมูกลอยโชยเข้ามา เขาก็ขมวดคิ้วเสียจนใบหน้าย่นยู่

กลิ่นสาบงู... และกลิ่นทะเลทราย...

เจี้ยนสือ!

ใบหน้าหันขวับไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ก่อนสายตาจะปราดไปเห็นเงาดำตะคุ่มของใครบางคนปีนป่ายลงมาจากรั้วกำแพงจวน จากนั้นก็กระโดดลงมาแอบหลังพุ่มไม้ ทำท่าทีลับๆ ล่อๆ ก่อนจะรีบมุ่งตรงไปยังเรือนนอนของคนรับใช้

เทียนอี้ได้กลิ่นของอีกฝ่ายชัดเจน พลันก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของกลิ่นนั้นคือซิ่นเฉิง แต่การที่มีกลิ่นของเจี้ยนสือปะปนมาด้วย ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ทำให้เขารีบสาวเท้าไปยังจุดหมายเดียวกับที่ซิ่นเฉิงมุ่งหน้าไป ครั้นไปถึงเรือนนอนของคนรับใช้ที่ซิ่นเฉิงเพิ่งจะแอบย่องเข้าไปเมื่อครู่ เขาก็เดือดดาลขึ้นมาเมื่อมั่นใจว่าซิ่นเฉิงลอบออกไปพบกับเจี้ยนสือโดยที่เขาไม่รู้เพราะกลิ่นสาบงูนั้นคละคลุ้งชัดเจน

“ซิ่นเฉิง!”

น้ำเสียงดุดันร้องเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มข้างคนรับใช้คนหนึ่ง ทำเอาทุกชีวิตในเรือนนอนนั้นสะดุ้งตื่นกันเป็นทิวแถว ครั้นมองมายังประตูก็เห็นเงาดำของเจ้าของจวนยืนจังก้าอยู่ คนรับใช้คนหนึ่งก็รีบกุลีกุจอมาจุดเทียน ครั้นมีแสงไฟสว่างขึ้นพอให้มองเห็นด้านใน คนรับใช้ทั้งหมดก็ต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย

เทียนอี้กรุ่นโกรธเสียจนขนตั้งชัน...

จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาก้าวเท้าเข้ามาหายังซิ่นเฉิงที่ผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคว้าต้นแขนของอีกฝ่ายไป

“เจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”

คราวนี้หาได้เสียงดัง แต่น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นกลับชวนให้น่าเกรงขามไม่น้อย หากเป็นคนรับใช้คนอื่นคงได้ขวัญหนีดีฝ่อกันไปแล้ว ทว่านี่คือซิ่นเฉิง เมื่อถูกจับได้ก็หาได้สำนึก เชิดใบหน้าขึ้น ถามยอกย้อนกลับ

“เจ้าจระเข้นำความไปฟ้องเจ้าแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ไยถึงเพิ่งมาหัวเสียในตอนนี้”

ฟ้องผายลมอันใดกัน! แสดงว่าคงจะทำเช่นนี้หลายครั้งแล้วสินะถึงได้พูดออกมาอย่างนี้!

เทียนอี้กัดฟันกรอด คาดเดาได้ตรงเผงทุกประการ พลันคาดโทษพ่อบ้านเหลียงที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่มารายงานต่อเขา จนเขามาจับได้เองอย่างนี้

“ข้าถามเจ้าว่าเจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”
เทียนอี้ไม่ตอบคำถาม ทว่าถามกลับแทน

ซิ่นเฉิงแสยะยิ้มออกมา ว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ไปเที่ยวทะเลทราย ข้าอยากกลับไป เจ้างูนั่นเลยอาสาพาข้าไปเยือน”

ได้ยินแค่กลับไปยังทะเลทราย หัวใจของเทียนอี้ก็วูบไหวแล้ว ยิ่งได้ยินว่าเจี้ยนสือเป็นผู้พาไป เขาก็ยิ่งกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีกจนเผลอออกแรงบีบต้นแขนแกร่งของซิ่นเฉิงโดยไม่รู้ตัว

“เจ้ามันช่าง...”
“ข้าทำไม”

แม้จะเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกบีบรัด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่แสดงอาการใด นอกเสียจากท้าทาย หากเป็นช่วงเวลาปกติ เทียนอี้คงหาได้ใส่ใจ แต่ในยามนี้มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้เขาเดือดดาลมากกว่าเดิม

“ตอบคำถามข้า ไยเจ้าถึงไปกับเจี้ยนสือได้”
“แล้วเจ้าจะใส่ใจทำไม ไปสนใจว่าที่ฮูหยินของเจ้าสิ!”

ซิ่นเฉิงเผลอประชดประชันออกมาโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะความน้อยใจที่กักเก็บไว้ ตอนเขาหลบหนีออกไปราตรีแรกไม่เห็นจะมาสน แล้วไยคราวนี้ถึงมาเดือดดาลกัน?

เป็นการจุดไฟโทสะให้เทียนอี้มากขึ้นไปอีก เขากัดฟันกรอด แยกเขี้ยวขู่คำรามเมื่อกลิ่นสาบสางของเจี้ยนสือที่ติดตัวคนตรงหน้าลอยเข้าจมูกอีกครา

“ช่างน่ารำคาญใจนัก”
หาได้หมายถึงซิ่นเฉิงแต่อย่างใด แต่หมายถึงกลิ่นของสหายเก่าต่างหาก หากแต่ซิ่นเฉิงเข้าใจเป็นอีกอย่าง

“หากข้าน่ารำคาญนักก็ปล่อยข้าไปเสีย จะกักขังข้าให้ได้อะไรขึ้นมา!”

คำแรกก็อยากกลับทะเลทราย คำต่อมาก็บอกให้ปล่อยไป จวนของเขามันไม่น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?

หงุดหงิดเสียจนปั้นสีหน้าไม่ถูก เทียนอี้จึงตอบสนองด้วยการฉุดกระชากชายหนุ่มลงจากฟูกนอน แม้ซิ่นเฉิงจะมีรูปร่างสูงโปร่งไม่แพ้ชายหนุ่มฉกรรจ์ทั่วไป ออกจะร่างใหญ่กว่าด้วยซ้ำด้วยเขาเป็นถึงนักรบแห่งชนเผ่าทะเลทราย แต่การถูกเทพอสูรซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าออกแรงดึงนั้น ร่างที่หนาก็ดูจะปลิวไปง่ายๆ ดุจกลีบดอกไม้ต้องพายุ

เมื่อได้ซิ่นเฉิงมาไว้ในมือ เทียนอี้ก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องชำระล้างร่างกายอีกฝ่ายให้กลิ่นสาบงูออกไปจนหมดสิ้น ในใจของเขาร้อนรุ่มอย่างไม่อาจพรรณา ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงได้หัวเสียถึงเพียงนี้ ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็ไม่ยอมให้ตนถูกนำตัวไปโดยง่าย ร้องโวยวายเสียงดัง ปลุกทุกชีวิตในจวนให้ตื่นจากหลับใหล

“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้! เจ้าหมา! ข้าบอกให้ปล่อย!”

ไม่ได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย เมื่อดิ้นมากๆ เข้า แม่ทัพใหญ่ก็อุ้มอีกฝ่ายขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ กลับเรือนใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ในจวนที่มองมาอย่างเป็นห่วงระคนหวาดเกรงแม้แต่น้อย

พ่อบ้านเหลียงที่สะดุ้งตื่นจากนิทราเพราะคนรับใช้คนหนึ่งไปปลุกกึ่งวิ่งกึ่งเดินมายังที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นผู้เป็นนายแบกมนุษย์หนุ่มไว้บนบ่าเดินมายังเรือนใหญ่ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เขาก็รีบเข้าไปหา
“ท่านแม่ทัพ...”
“ข้าจะสะสางกับเจ้าคราวหลัง โทษฐานที่ละเลยหน้าที่ ไม่แจ้งเรื่องการหลบหนีออกจากจวนของซิ่นเฉิงแก่ข้า”

ยังไม่ทันที่พ่อบ้านเหลียงจะพูดจบด้วยซ้ำ เทียนอี้ก็สวนออกมาแล้ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ใช่...เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่แจ้งเรื่องนี้แก่เทียนอี้ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าซิ่นเฉิงแอบลอบไปเที่ยวที่ไหนกับผู้ใด นั่นก็เพราะเขาอยากให้เทียนอี้ได้ตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเสียที เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายให้ความสนใจกับดรุณีน้อยผู้นั้น ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยไม่อยากให้เรื่องของซิ่นเฉิงไปแทรกกลางรบกวนใจของเทียนอี้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นสร้างความขุ่นใจให้กับเทียนอี้เป็นอย่างมาก

ทั้งที่เขาหาได้เคยขุ่นเคืองพ่อบ้านเหลียงผู้ซึ่งเป็นคนสนิทมาตลอดหลายร้อยปีแม้แต่ครั้งเดียวแท้ๆ แต่เพราะบุรุษทะเลทรายผู้นั้น ถึงกับคาดโทษอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้...

“ไปจัดเตรียมน้ำอุ่นให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้าเพียงถ้วยชาเดียวเท่านั้น”

คาดโทษเสร็จก็ออกคำสั่ง ทำเอาพ่อบ้านเหลียงกุลีกุจอไปสั่งการกับคนรับใช้โดยพลัน

เทียนอี้ยืนรออยู่หน้าห้องนอนตนชั่วครู่หนึ่ง ขณะที่แขนก็ยังอุ้มซิ่นเฉิงพาดบ่า ส่วนอีกฝ่ายก็ร้องโวยวายทุบตีแผ่นหลังกว้างเป็นพัลวัน แต่เหมือนกับว่าความเจ็บปวดนั้นหาได้สะกิดผิวกายของเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย

พริบตาเดียว การตระเตรียมของพ่อบ้านเหลียงและคนรับใช้ก็เสร็จสิ้น เทียนอี้ก้าวเข้าไป ก่อนออกคำสั่งอีกครั้ง

“หากข้าไม่เรียก ก็อย่าให้ผู้ใดก้าวเข้ามาเป็นอันขาด”

แม้จะเป็นห่วงเพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเทียนอี้ต้องการจะทำสิ่งใด แต่พ่อบ้านเหลียงก็จำใจต้องรับคำสั่ง ก่อนปิดประตูให้
ซิ่นเฉิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มือข้างหนึ่งทุบลงไปที่แผ่นหลัง อีกข้างดึงใบหูที่ตั้งของเทียนอี้เต็มแรง

“ปล่อยข้าลงประเดี๋ยวนี้!”

ออกแรงถีบอีกด้วยเมื่อสบโอกาส แต่ก็ไร้ประโยชน์อีกเช่นเคยเมื่อเทียนอี้ไม่สะทกสะท้าน เดินดุ่มๆ มาหยุดตรงหน้าอ่างไม้ใบใหญ่แล้วจัดการทิ้งร่างของชายหนุ่มบนบ่าลงไปในนั้นทั้งตัว

เสียงดังตูมพร้อมหยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่โดยรอบ ซิ่นเฉิงที่ถูกจับโยนลงมาโดยไม่ทันตั้งตัวตะเกียกตะกายผุดใบหน้าขึ้นเหนือน้ำ ก่อนไอโขลกด้วยน้ำไหลลงคอจนสำลัก เมื่อพอจะหยุดไอได้ก็อ้าปากบริภาษดังลั่น

“บัดซบนัก! คิดว่าทำอะไรของเจ้าอยู่กัน!”

แต่เทียนอี้หรือจะสน แม้ลำตัวของซิ่นเฉิงจะถูกน้ำจนเปียกปอน แต่กลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือก็หาได้หายไป เขาจึงคว้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้และใช้มือถูไปตามท่อนแขนอย่างแรง

ถูเสียจนผิวหนังสีน้ำตาลอ่อนมีรอยแดงเป็นปื้นขึ้นมา ซิ่นเฉิงพยายามที่จะดึงกลับด้วยรู้สึกปวดแปลบเล็กๆ

“ปล่อยข้า!”

ทว่าก็ไม่เป็นผล ขณะที่เทียนอี้ครุ่นคิด

กลิ่นนั้นคงติดเสื้อผ้า...

เท่านั้นก็ละมือออกจากท่อนแขน ไปคว้าคอเสื้อของซิ่นเฉิงแล้วหมายจะถอดออก หากแต่การที่ซิ่นเฉิงดิ้นหนีจนน้ำกระฉอกออกจากอ่าง ทำให้เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะกระชากเสื้อนั้นขาดวิ่นเป็นเศษซาก

ถอดไม่ได้จึงทำลายอย่างนั้นหรือ!?

ซิ่นเฉิงคิด ยังคงดิ้นพล่านอยู่ ไม่ยอมลงให้เทียนอี้ง่ายๆ เมื่อสบโอกาสก็อ้าปากกัดเข้าที่แขนของแม่ทัพใหญ่ที่พยายามจะขัดเนื้อตัวเขา

เทียนอี้อุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่าน กระนั้นก็ไม่ยอมละฝ่ามือออก ใช้ปลายนิ้วพุ่งเข้าหมายจะสกัดจุดให้ซิ่นเฉิงหยุดดิ้น หากแต่อีกฝ่ายรู้ทันจึงหลบหลีกก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะต้องมายังบริเวณจุดชีพจรที่ช่วงไหปลาร้า ก่อนจะถอยกรูดไปจนแผ่นหลังติดกับขอบถังไม้เย็นเยียบ เทียนอี้คว้าข้อมือเอาไว้ได้ กระชากกลับมา คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงหมดความอดทน ตะเบ็งสุดเสียง

“เป็นอันใดของเจ้า มาขัดเนื้อตัวข้าเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด!”

อันที่จริง ซิ่นเฉิงคาดหมายการลงโทษของเทียนอี้เป็นการต่อสู้หรือการกักขังมากกว่า หาใช่การจับมาชำระล้างเนื้อตัวอย่างนี้ ขณะที่เทียนอี้จ้องใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“กลิ่นของเจี้ยนสือติดกายของเจ้า ข้าจะขจัดมันทิ้ง”

กลิ่นของเจี้ยนสือ?

แล้วมันเป็นอย่างไร กลิ่นของเจ้างูนั่นติดตัวเขามามันเป็นปัญหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เทียนอี้ถึงต้องจับเขาโยนลงอ่างน้ำเช่นนี้

“จะกลิ่นผู้ใดติดตัวข้า มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

แม้จะสงสัย ทว่าซิ่นเฉิงกลับเลือกที่จะแข็งข้อกลับไป ทำเอาเทียนอี้ต้องสวนกลับ

“เจ้าเป็นคนในจวนข้า ไยจะไม่ใช่เรื่องของข้ากัน”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพราะนี่มันเป็นร่างกายของข้า จะกลิ่นผู้ใดติดมาก็หาใช่ปัญหาของเจ้าไม่!”

ดูท่าแล้ว พูดไปก็คงจะเสียแรงเปล่า ซิ่นเฉิงในยามนี้ไม่ฟังแน่ เทียนอี้จึงได้แต่ใช้มือขัดถูไปที่ผิวเนื้อของอีกฝ่ายพลางว่าเสียงเรียบเท่านั้น

“อย่ายุ่งกับเจี้ยนสือ”

มันเป็นคำสั่ง... ซึ่งในยามนี้ เจ้าแมวป่าแสนดื้ออย่างซิ่นเฉิงไม่ใคร่ที่จะเชื่อฟัง เวลาปกติก็หาได้เชื่อฟังอยู่แล้ว ในยามนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ออกแรงดึงแขนที่ถูกเทียนอี้จับอยู่กลับคืน พลางยอกย้อน

“ข้าจะยุ่ง แล้วเจ้าจะทำไม”
“อย่าข้องเกี่ยวกับเจี้ยนสืออีก!”

ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น เทียนอี้ขึ้นเสียงด้วยลืมตัว ทำเอาซิ่นเฉิงตีหน้าไม่พอใจ มากกว่าเดิม ตะคอกกลับทันควัน

“ชีวิตข้าเป็นของข้า ข้าจะข้องเกี่ยวกับผู้ใด หาใช่เรื่องของเจ้า! อย่ามากำหนดชะตาชีวิตข้า!”

คำพูดนั้นบันดาลโทสะของเทพอสูรสุนัขป่าที่พยายามกักเก็บไว้ให้พลุ่งพล่านมากขึ้นไปอีก แค่รู้ว่าคนตรงหน้าหนีออกจากจวนไปยังทะเลทรายกับเจ้างูจงอางนั่น เขาก็สุดจะทนแล้ว ไหนยังจะกลับมาพร้อมกลิ่นสาบงูอีก แล้วซิ่นเฉิงยังจะดื้อด้านใส่ เป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ชักจะทนไม่ไหว

กลิ่นของเจ้างูนั่น...ช่างน่าคลื่นเหียนนัก!

มือขัดถูไม่หยุดจนผิวหนังของซิ่นเฉิงแทบจะหลุดออกมา ชายหนุ่มหมดความอดทนในคราวนี้เช่นกัน ออกแรงกระชากแขนตนกลับ จังหวะเดียวกับที่เทียนอี้คลายฝ่ามือพอดี การเกาะกุมนั้นจึงหลุดโดยง่าย ครั้นเทียนอี้ขยับเข้าไปหมายจะคว้าแขนของซิ่นเฉิงมาไว้ในมือเพื่อเอากลิ่นสาบน่าสะอิดสะเอียนนั้นออก เขาก็ถูกปัดซิ่นเฉิงปัดมือเข้าเต็มแรง อีกทั้งยังกระโดดหนีขึ้นจากอ่างน้ำ

“ซิ่นเฉิง... อย่าดื้อกับข้า”

เสียงต่ำร้องขู่เมื่อเห็นมนุษย์หนุ่มมีท่าทางดื้อแพ่งประหนึ่งแมวพองขนขู่ฟ่อ กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงเชื่อฟังได้เลยแม้แต่น้อย

“หากคิดว่าข้าจะยอมเจ้าง่ายๆ ล่ะก็ เจ้าคงคิดผิด!”

เทียนอี้เหมือนจะหมดความอดทนจริงๆ แล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรู้ว่าซิ่นเฉิงหนีออกไปพบผู้ใดได้ขนาดนี้ รู้เพียงแต่ว่าในใจร้อนรุ่มเสียจนอยากจะมุ่งหน้าไปยังจวนของเจี้ยนสือแล้วสังหารสหายเก่าเสียให้สิ้นซาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องจัดการกับเจ้าแมวของเขาเสียก่อน

“หากเจ้าไม่ยอม เห็นทีข้าคงต้องใช้กำลัง”
“ก็ลองดู ข้าจะไม่ยอมเจ้าอีกต่อไป!”

เคยมีครั้งใดที่ยอมด้วยหรือ?

เทียนอี้คิด มองภาพบุรุษตรงหน้าที่พร้อมจะสู้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากใช้กำลังกับมนุษย์ผู้นี้ ถึงจะรู้ว่าซิ่นเฉิงมีวรยุทธเก่งกาจพอตัว แต่เมื่อปะมือกับเทพอสูรอย่างเขาแล้วก็กลับสู้ไม่ได้ หากต้องสู้กัน มีหวังซิ่นเฉิงต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่

“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ซิ่นเฉิง...เลิกดื้อดึงกับข้าเสียที ตลอดมา เจ้าดื้อดึงมามากพอแล้ว”

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความระอาใจ ซิ่นเฉิงเองก็สัมผัสได้ แต่สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเทียนอี้หรอกหรือ?

“ข้าดื้อดึงแล้วอย่างไร หากไม่พอใจ ก็จงปล่อยข้ากลับคืนสู่ทะเลทรายสิ!”
“ซิ่นเฉิง...” เทียนอี้เรียกคล้ายกับจะบอกให้สงบอารมณ์แล้วหยุดพูดไร้สาระเสีย

ทว่าก็ไม่ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดได้เลย

“เจ้าต่างหากที่ดื้อดึง เคยย้อนมองดูตนหรือไม่ว่าที่ข้าเป็นเช่นนี้นั้นสาเหตุมาจากผู้ใด หากไม่เป็นเพราะเจ้าที่ฉุดคร่าน้องสาวของข้าไป อีกทั้งกักขังข้าไว้โดยไม่ยินยอม มีหรือที่ข้าจะไปข้องเกี่ยวกับเจ้างูนั่นเพราะต้องการกลับไปที่ทะเลทราย! จวนของเจ้าไม่เหมาะกับข้า สวนบุปผชาติของเจ้าก็ไม่ใช่ที่ของข้า บ้านของข้าคือทะเลทราย!”

ตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสุดจะกลั้น การที่เขาไม่เชื่อฟังเทียนอี้ก็เป็นความผิดของเขา การที่เขาหนีออกจากจวนไปพบเจี้ยนสือที่เป็นผู้พาเขากลับทะเลทราย นั่นก็เป็นความผิดของเขาอีก แล้วเทียนอี้ล่ะ ความผิดของเขาคือสิ่งใด ...ริดรอนอิสระของเขาไปเช่นนั้น อีกทั้งยังละเลย ทำราวกับว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น นั่นหาใช่ความผิดหรือ?


ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[2]

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ อารามน้อยใจยามนึกถึงภาพรอยยิ้มของเทียนอี้ที่มอบให้กับสตรีนางนั้นในวันที่พบพานกันผุดพราย ตอกย้ำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายบีบรัด ซิ่นเฉิงพยายามจะข่มความคิดว่าที่เขาโกรธเคืองเช่นนี้หาใช่เพราะเทียนอี้เบนความสนใจไปยังหลิวซู แต่เป็นเพราะเขาอยากกลับไปยังทะเลทรายมากกว่า

มนุษย์หนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ หากแต่เนื้อตัวที่เปียกม่อล่อม่อแล่กนั่นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยเหน็บหนาว เทียนอี้มองแล้วก็เป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ด้วยเกรงว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายยืนหนาวสั่นอยู่เช่นนี้ จะทำให้ป่วยไข้

“หากข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าก็ต้องขออภัย แต่ตอนนี้เจ้าซับตัวเสียก่อนเถิด”
ทว่าเมื่อก้าวเข้าหาและยื่นมือออกไป ซิ่นเฉิงก็ปัดมือออกเต็มแรง
“อย่าแตะต้องข้า!”

กลายร่างเป็นเจ้าแมวป่าแสนร้ายกาจ พองขนขู่ฟ่อ พร้อมจะวาดกรงเล็บใส่คนตรงหน้าได้ทุกเสี้ยวนาทีไปเสียแล้ว

เทียนอี้ตระหนักได้ว่าเขาต้องสงบใจให้เย็นลงให้มากกว่านี้ การใช้อารมณ์กับคนที่เดือดดาลกว่าไม่ใช่ผลดีนัก ดังนั้นจึงระบายลมหายใจออกมา จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เฉิงเฉิง... เจ้าจะก่นด่าข้าเช่นใดก็ได้ แต่เจ้าซับหยดน้ำจากตัวก่อนเถิด สายลมในราตรีนี้เย็นเยียบนัก ประเดี๋ยวธาตุในร่างกายของเจ้าจะไม่สมดุล”

ไม่ใช่แค่ใจเย็นลงเท่านั้น ยังเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม น้ำเสียงก็เย็นลงอีกด้วย เขาหาได้เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับซิ่นเฉิงมาก่อน ทว่ามนุษย์หนุ่มหาได้ตระหนักเรื่องนี้ไม่ แค่นเสียงหัวเราะดังหึออกมา มองอีกฝ่ายตาเขียว พลันยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำปรกหน้าขึ้น

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่จับข้าโยนลงมาจนเปียกปอนเช่นนี้ หากข้าจะป่วยตาย นั่นก็เป็นความผิดของเจ้า!”

สิ้นเสียงก็ถลาเข้าไปเตะถังน้ำเต็มแรง ด้วยเรี่ยวแรงและวรยุทธที่มีทำให้ผิวน้ำกระฉอกสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของเทียนอี้จนขนเปียก หากแต่เขาก็ไม่หลบหนี

“นั่น...เป็นความผิดของข้า ข้าจะชดใช้ให้ แต่ตอนนี้เจ้ามาเช็ดตัวเสียก่อน”
คล้ายกับจะแฝงไปด้วยคำสั่งกลายๆ ทำเอาซิ่นเฉิงที่ไม่ได้ใจเย็นลงเลยกดเสียงต่ำ
“ข้าอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปต่อหน้าเจ้านัก”

แค้นใจ...แค้นจนไม่รู้จะหาหนทางใดมาบรรเทาความขุ่นเคืองในใจนี้ ขณะที่เทียนอี้ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแล้วก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

ตายไปต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ? กล้ามาทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบได้อย่างไรกัน!

แม้จะไม่พอใจกว่าเดิมเป็นทบทวีด้วยคำพูดนั้น หากแต่เทียนอี้ก็หาได้แสดงท่าทีรุ่มร้อนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะมองซิ่นเฉิงที่ยังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ แล้วจึงเอ่ยออกมา

“เจ้าตายไม่ได้หรอก เพราะเจ้าจะต้องอยู่กับข้า”
“ข้าไม่อยู่กับเจ้า!” อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงสวนทันใด
“อยู่กับข้า”
“ข้าไม่!”

หากยังต่อล้อต่อเถียงกันเช่นนี้ มีหวังคงได้เถียงกันจนถึงรุ่งสางแน่ และเทียนอี้ก็หาใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้ใดด้วย แต่สำหรับซิ่นเฉิงในยามนี้ที่แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องฝืนอุปนิสัยตน แสร้งดื้อด้านเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนให้

“เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่!”
“ได้โปรด...อยู่กับข้า”

ในเมื่อสั่งแล้วไม่ได้ผลจึงกลายเป็นคำขอร้อง

ซิ่นเฉิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีทองอำพันประกายเว้าวอน คราแรกก็คิดว่าตาฝาด หากแต่เมื่อตะคอกกลับไปอีกคราก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความเข้าใจผิด

“ข้าไม่ใคร่อยู่กับเจ้า!”
“เฉิงเฉิง...” ไม่เพียงแววตาเว้าวอน หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าใบหูที่ตั้งชันของเทียนอี้ลู่ลงไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เจ้าจะก่นด่า จะทุบตีข้าเช่นไรก็ได้ แต่จงอยู่กับข้า”

ซิ่นเฉิงนิ่งชะงัก... ท่าทางนั้น... เสมือนดั่งสุนัขอ้อนผู้เป็นนาย

เมื่อเงียบไป เอาแต่จ้องเทียนอี้ ใบหูของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าจะลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย สีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้ยังคงนิ่งเรียบ ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับรู้สึกประหนึ่งคนตรงหน้ากำลังส่งเสียง ‘หงิงๆ’ ออกมาให้ได้ยิน

นี่เจ้าหมาคิดจะใช้ใบหน้าเต็มไปด้วยขนปุกปุยนั่นช่วยให้ข้าใจอ่อนอย่างนั้นหรือ!?

เป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อเห็นเขาเงียบไป เทียนอี้ก็เอ่ยออกมาอีก
“เฉิงเฉิง... เจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะนำมาให้ เพียงแต่เจ้าต้องอยู่กับข้า”

ใบหูลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ไม่แน่ใจนักว่าสีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้เรียกว่าสลดหรือเปล่า แต่นั่นก็ทำให้ในอกของซิ่นเฉิงอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่ซิ่นเฉิงก็คือเจ้าแมวดื้อด้าน ปากไม่ตรงกับใจเพียงใดก็สื่อออกมาเป็นคำพูด

“ข้าไม่อยากอยู่กับเจ้า”
เทียนอี้ไม่พูดพร่ำอีกต่อไป สิ้นเสียงของซิ่นเฉิง ก็ถลาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนตวัดวงแขนโอบรัดแน่น
“ในเมื่อยืนกรานว่าไม่อยากอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะหน่วงเหนี่ยวเจ้าไว้ด้วยอ้อมแขนนี้”

ซิ่นเฉิงชะงักค้าง จากที่ดื้อด้านก็นิ่งดั่งหิน ในอกอุ่นขึ้นมาอีกทบทวี รู้สึกดีกับอ้อมกอดนั้นจนลืมสิ้นว่าก่อนหน้านี้โมโหอีกฝ่ายเพียงใด ขณะที่เทียนอี้เองก็รู้สึกวูบวาบในใจอย่างประหลาด นอกจากยอดดวงใจของเขาแล้ว เขาก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนลมหายใจจะขาดห้วงเมื่อคิดว่าจะต้องพรากจากผู้ใดไปเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้

รู้สึกอย่างเดียวกับเมื่อคราวที่สูญเสียหลิวซูไป...

ยิ่งคิดถึงภาพในอดีต อ้อมกอดของเทียนอี้ก็ยิ่งแนบแน่นขึ้น ปลายจมูกซุกลงมาที่ซอกคอ พึมพำออกมาแผ่วเบา
“ได้โปรดอย่าไปจากข้า...”

สูญสิ้นทุกความโกรธา ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงปลายจมูกเย็นเยียบ ขณะที่ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นระส่ำ เขากำลังรู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้จนปริ่มสุข จนเผลอยกมือขึ้นกำเส้นขนนุ่มที่แผงคอด้านหลังของเทียนอี้ไว้

“เฉิงเฉิง... อยู่กับข้า”
เมื่อได้ยินคำเอ่ยขอร้องอีกครา ซิ่นเฉิงก็ใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งต้องไฟ
“ข้าจะยังไม่ไปวันนี้ สบโอกาสอีกเมื่อไร ข้าไปแน่”

กระนั้นก็ยังมีความดื้อด้านเจือปนอยู่เล็กน้อยในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเทียนอี้ในยามนี้ เขายอมคลายอ้อมกอดเมื่ออีกฝ่ายดิ้นขลุกขลักด้วยอึดอัด ครั้นซิ่นเฉิงเห็นใบหูที่ยังลู่ลงของเทียนอี้ ก็ทุบเข้าไปที่ต้นแขนคนตรงหน้าอย่างจัง

“เลิกทำหูตกเสียที เจ้าเป็นเทพอสูรหรือเป็นหมาจริงๆ กันแน่!”

ไม่เพียงแต่ใบหูตก หางก็ตกเช่นกัน ออกอาการสลดอย่างเห็นได้ชัด แต่คำพูดของซิ่นเฉิงก็ทำให้ใบหูแหลมๆ นั้นกลับมาตั้งชันดังเดิมได้ในคราวนี้

“ในเมื่อเจ้าคลายโทสะแล้ว ก็เช็ดตัวเถิด เปียกปอนนานๆ จะไม่เป็นการดี”

เทียนอี้ทำท่าคล้ายจะออกไปเรียกให้คนรับใช้มาดูแลซิ่นเฉิงต่อ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าว

“เจ้าใคร่จะกำจัดกลิ่นของเจ้างูนั่นออกจากกายข้ามิใช่หรือ? กลิ่นหมดไปแล้วหรือไรถึงจะให้ข้าเช็ดตัว”

ยังหรอก... กลิ่นยังติดตัวอยู่อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

เทียนอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย ทำเอาซิ่นเฉิงส่งเสียงจึ๊ในลำคอ

“เช่นนั้นก็มาปรนนิบัติข้าเสีย! อย่ามัวชักช้า!”

เป็นชายหนุ่มเองที่ทิ้งตัวลงไปในอ่างไม้อีกระลอก เทียนอี้มองตามแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ

หรือนี่จะเป็นการปลอบโยนที่ทำให้เขาสลดไปเมื่อครู่?

นิสัยช่างคล้ายคลึงกันจริงๆ...

ใบหน้าของยอดดวงใจผุดพรายขึ้นมาในภวังค์ความคิด ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขาถูกชะตาซิ่นเฉิงตั้งแต่แรกพบ ถึงได้ออกอุบายให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย บ่อน้ำที่บิดาของซิ่นเฉิงได้บุกรุกเข้ามานั้น เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการดูแลของเขาก็จริง แต่หากมีมนุษย์คนใดต้องการดื่มดับกระหายโดยไม่ขออนุญาต เขาก็หาได้ถือสาเฉกเช่นพ่อบ้านเหลียงที่ใช้บ่อน้ำนี้เป็นอุบายในการหาฮูหยินให้นายของตน และพร้อมจะยกโทษให้กับมนุษย์เหล่านั้นด้วย

...จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงที่เขาไม่อยากยกโทษให้ตั้งแต่เจอหน้า

หาใช่เพราะโกรธเคือง แต่เป็นเพราะต้องชะตาเป็นอย่างมากต่างหาก

เทียนอี้ก้าวมาหยุดที่ข้างอ่าง ชำระล้างร่างกายให้อีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ขณะที่ซิ่นเฉิงเงียบ ไม่พูดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ปรนนิบัติรับใช้เสมือนตนเป็นนาย ส่วนเทียนอี้เป็นคนรับใช้ กระทั่งการชำระล้างนั้นเสร็จสิ้น




 
กว่าจะขจัดกลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือออกไปได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น เส้นขนของแม่ทัพสุนัขป่าก็เปียกปอนเสียจนชวนให้ไม่สบายตัว เขาจึงต้องไปร้องเรียกพ่อบ้านเหลียงให้มาช่วยซับน้ำออกจากขนให้แห้ง โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้ซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้อยู่ในอาภรณ์ของมนุษย์ในแคว้นเฟิงฝูอยู่แต่ในห้อง พูดง่ายๆ ก็คือบังคับให้นอนที่นี่ในราตรีนี้

ซิ่นเฉิงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรแม้ว่าจะบ่นพึมพำไปตามประสา นอนที่ห้องของเทียนอี้ก็ดีเหมือนกัน เป็นส่วนตัว ไม่ต้องฟังเสียงกรนของผู้ใดดั่งเช่นในเรือนนอนของคนรับใช้

นอนเอกเขนกอยู่นานก็นอนไม่หลับ หาใช่เพราะแปลกที่ แต่เป็นเพราะรอการกลับมาของเจ้าของห้อง ผ่านไปเกือบชั่วยาม เทียนอี้ก็กลับมาในอาภรณ์ชุดใหม่และเส้นขนที่ได้รับการซับน้ำจนแห้ง

ซิ่นเฉิงที่นอนตะแคงเท้าศีรษะ ขาข้างหนึ่งตั้งชันขึ้นปราดมองไปยังแม่ทัพสุนัขป่าแล้วก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าขนสีเงินยวงนั้นฟูฟ่องกว่าก่อนหน้านั้นโข

สุนัขที่ขนเพิ่งแห้งมักมีขนฟูเช่นนั้น...

โดยเฉพาะขนที่แผงคอและที่หาง ฟูฟ่องราวกับปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น พลันชายหนุ่มก็นึกสนุกขึ้นมา
“นี่เจ้าหมา”

ครั้นเทียนอี้หันมอง ซิ่นเฉิงก็กระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้เข้ามาหา

ท่าทางนั้นช่างหยาบคาย แต่เห็นว่าซิ่นเฉิงดูอารมณ์ดี เทียนอี้จึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย เมื่อมาหยุดยังเตียงนอนของตนที่บัดนี้ถูกเจ้าแมวยึดไป อีกฝ่ายก็ออกปาก

“นั่งลงแล้วหันหลังให้ข้า”
เทียนอี้ทำตามแต่โดยดี จากนั้นก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าหางถูกฉกฉวยไป เมื่อหันไปมองก็เห็นซิ่นเฉิงกำลังเล่นหางของตนอยู่
“มองอันใด หรือเจ้าจะมีปัญหา”

แค่มองเฉยๆ ยังถูกซิ่นเฉิงแยกเขี้ยวใส่ เทียนอี้จึงไม่ตอบรับใดๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้จับหางของเขาเล่นตามใจปรารถนา
และเพราะตามใจไปเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงได้ใจ เอาขามากอดก่าย มือลูบขนไปมาจนยุ่งเหยิงฟูฟ่องยิ่งกว่าเดิม มันก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ดังตามมา เทียนอี้ก็หยุดความคิดนั้นพลัน

“เจ้าปุกปุย”

กลายเป็นเจ้าของหางบ้างแล้วที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ พลันหันไปมองเจ้าแมวที่เล่นซนอยู่ทางด้านหลัง

“เจ้าจะเล่นหางของข้าอีกเท่าใดก็ได้ ตราบใดที่เจ้าอยู่กับข้า”
“อย่ามาหลอกล่อข้าเสียให้ยาก คิดว่าข้าจะยอมทิ้งอิสระตนเพื่อมานอนเล่นหางของเจ้าอย่างนั้นหรือ? มีโอกาสเมื่อใด ข้าไปและจะไปหันกลับมาอย่างแน่นอน”

อยากจะเถียงอยู่หรอก แต่ไม่พูดอะไรจะเป็นการดีกว่า ทว่าเมื่อเทียนอี้เงียบไม่ตอบโต้ ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมา
“แต่ถ้าเจ้าเล่าให้ข้าฟังว่านางผู้นั้นเป็นใคร ข้าก็อาจจะอยู่รอฟังเรื่องราวของเจ้าต่ออีกสักสองสามราตรี”

สตรีผู้นั้น?

“เจ้าหมายถึงแม่นางหลิวซู?”

พอถูกถาม ซิ่นเฉิงก็ปั้นหน้ายู่
“มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ข้าจะไปรู้หรือ!? ว่าที่ฮูหยินของเจ้าคือผู้ใดกันล่ะ ข้าหมายถึงนางผู้นั้น”

หมายถึงหลิวซูจริงๆ

“ข้าไม่ได้จะตบแต่งนางเป็นฮูหยินหรอก” เมื่อเข้าใจว่าซิ่นเฉิงหมายถึงผู้ใดก็อธิบายออกมา
“แล้วเจ้า...ให้พ่อบ้านเหลียงดูตัวกับนางทำไม” คนถามมีสีหน้าฉงนขึ้นมาทันใด
“พ่อบ้านเหลียงดำเนินการตามอำเภอใจ” อีกฝ่ายว่าราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
“สู่รู้นัก เจ้าจระเข้นั่น!” เป็นซิ่นเฉิงที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ทำเอาคนมองถึงกับหัวเราะออกมา จากนั้นก็ถูกซิ่นเฉิงถามอีก “แล้วเจ้าดูตัวกับนางเพื่อการใดในเมื่อไม่คิดจะตบแต่งนางเป็นฮูหยินเข้าจวน”

เทียนอี้นิ่งไปครู่ ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ

“ราตรีนี้ล่วงเลยมามากแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ตื่นเมื่อใด ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”

คล้ายกับว่ายังไม่อยากจะเล่าในตอนนี้ ซิ่นเฉิงเองก็หาใช่คนตอแยเก่งนัก จึงยอมแต่โดยดี

“หากเจ้าบิดพลิ้วล่ะก็ ข้าจะถอนเขี้ยวของเจ้าทิ้ง” ทิ้งท้ายด้วยการขู่ฟ่อ

เทียนอี้ส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงต่ำ แตะปลายจมูกเย็นๆ ลงบนหน้าผากมนของคนข้างกาย

“ข้าไม่บิดพลิ้วกับเจ้าแน่นอน... ข้าสัญญา”

จากนั้นก็ถอยกลับไป ปล่อยให้เทียนอี้ใจเต้นระส่ำด้วยถูกเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว ครั้นรู้สึกว่าซีกหน้าอุ่นร้อนก็ยกขาขึ้นถีบแผ่นหลังของเจ้าของห้องเสียอย่างนั้น

“ข้านอนเตียง เจ้านอนพื้น ดับเทียนเสีย!”

ได้รับคำสั่ง เทียนอี้ก็เดินดุ่มๆ ไปดับเทียนอย่างว่าง่าย แต่ไม่ได้ทิ้งตัวนอนลงบนพื้น ไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วทอดสายตามองร่างของซิ่นเฉิงผ่านความมืด เฝ้ารอให้อีกฝ่ายดำดิ่งอยู่นิทรารมย์ตลอดทั้งคืน
 

[1] น้ำแกงยายเมิ่ง เป็นน้ำแกงที่ยายเมิ่งจะมอบให้ดวงวิญญาณของคนตายที่จะไปเกิดใหม่ได้ดื่มเพื่อลบเลือนความทรงจำในอดีตชาติ



พี่หมามาแว้ววว เอาความหูลู่ หางตก ขนฟูฟ่องเข้าสู้ เรือพี่หมาพอจะแล่นเร็วขึ้นมั้ย? 555

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้นะคะ ถ้าเขียนทันก็จะมาอัปเต็มตอนให้

ตอนที่แล้วมีงูออกมา ตอนนี้มีหมา ตอนหน้ามีทั้งงู ทั้งหมา

เรือนี่แล่นฉิวจ้ำพรวดๆ อย่างกับแข่งเรือหางยาวประเพณี

จะลงเรือไหนก็ได้ แต่อย่าลงเรือพี่เข้ อันนั้นเรือผีเกิ๊นนน 555

ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ เดี๋ยวเจอกันค่า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พอน้องนีหน้าเหมือนเมียเก่ามาหา หูตั้งหางกระดิก พอรู้ว่าไม่ใช่เมียเก่า ก็ถีบน้องนีหัวส่ง หันกลับมาหานายเอกของเรา สำหรับเราติดลบยิ่งไปอีกกก  :m16: :m16:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2017 20:29:30 โดย cheezett »

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ระ รุนแรงมาก!! :mew2: :mew2:
อิแมวจะใจง่ายเกินไปแล้วนะ ไม่ต้องมาอยู่กับพี่งูเลย
อย่างนี้ต้องส่งพี่งูไปจัดการพ่อบ้านเข้ อร๊ายยยย
รอค่าาาา :-[ :-[

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ยังตามไม่ทัน คะแนนยังไม่ค่อยตีตื้นเท่าไหร่

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ยังคงเป็นแม่ทัพเรืองูอยู่ ถึงเจ้าแมวจะเป็นคนเดียวกับแม่นางนั้นเราก็ยังไม่ยกให้ ต้องรักเฉิงเฉิงเพราะเป็นเฉิงเฉิงนะเจ้าหมา จัมมม !  :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Zyse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: พี่หมากลับมาได้อย่างสวยงามค่ะ เรีือหมาวิ่งฉิวลำใหญ่มากมาย แต่

เรายังคงยืนบนพี่เข้ค่ะ ไหลไปกับสายน้ำ ไม่ว่าเรือลำใดก็ไม่สามารถแล่นนำ พี่เข้เราไปได้  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
แมวเอาใหญ่ถือว่าตัวเองเป็นต่อนะ สงสารทั้งงู ทั้งหมา หวังว่าอดีตคนรักของทั้งคู่คงไม่ได้เกิดมาเป็นซิ่นเฉิงนะ  เจ้าแมวคงรู้สึกแย่ เหมือนเป็นตัวแทน

#ไม่ลงเรือใครดีกว่า เพราะดูท่าทั้งงู ทั้งหมา ก็ยังฝังใจกับคนรักเก่าทั้งคู่ แถมยังคอยเปรียบเทียบซิ่นเฉิงกับอดีตคนรักอีก ซิ่นเฉิงควรจะจับกดพ่อบ้านเหลียงซะ 555+ กลั่นแกล้งดีนัก หุหุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-09-2017 16:36:17 โดย kinjikung »

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
รักคนเดียวกันหรอ??

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ G_G

  • ไม่รู้วะ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรืองูยุดี
ยังไงก็เถอะหาคู่ให้งูด้วยพรีสสสสสสสสสสสส :mew2: :ling3:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เข้เป็นเรือผีรึ5555555 มีใครจะลงไหมๆ :katai5:  :katai5: ปล.ลงเรือพี่งูไปแล้วอะดิคึคึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
ไม่โอเค ชอบพี่งู หึ พอรู้ว่าชะนีไม่ใช่ก็นึกถึงนายเอก

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขอลงเรื่อพี่งู เจ้าหมาใจร้ายอยากให้เจ็บปวดที่เจ้าแมวไปกะพี่งูจริงๆ

 :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
รู้สึกหลงรักพี่งู555

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[1]

เมื่ออรุณรุ่งมาถึง เทียนอี้รอให้ซิ่นเฉิงได้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของเผ่าและกินอาหาร ก่อนจะพาออกมาดื่มชายามสายในสวน สิ่งนั้นเป็นงานอดิเรกที่เทียนอี้มักกระทำเป็นประจำยามมีเวลาว่าง หากแต่วันนี้แปลกออกไปเสียหน่อยด้วยเขาหาได้จิบยาเพียงลำพัง แต่มีเจ้าแมวที่นั่งปั้นปึ่งมาร่วมวงด้วย แต่ที่ยอมนั่งนิ่งโดยไม่ขัดใจใดๆ เป็นเพราะเทียนอี้ได้สัญญาไว้ว่าจะเล่าเรื่องของสตรีผู้นั้นให้ฟัง ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงนั่งรออย่างอดทน

ครั้นพ่อบ้านเหลียงและคนรับใช้อื่นๆ ทิ้งให้ทั้งคู่ได้อยู่ตามลำพัง ซิ่นเฉิงก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้น

“เอ้า เจ้าจะเล่าได้หรือยังว่าเจ้าดูตัวกับนางเพราะเหตุใดหากไม่คิดจะตบแต่ง”
เทียนอี้ที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเมื่อครู่เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะว่า
“เพราะนางมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนรักของข้า”
บอกออกไปอย่างสัตย์ซื่อ ทำให้คนฟังใจกระตุกวูบทันควัน

คนรักอย่างนั้นหรือ?

อีกทั้งในใจยังบีบรัดแน่น พานคิดไปว่าเหล่าเทพอสูรนั้นช่างไร้สาระนัก ทั้งพ่อบ้านเหลียงที่เอาแต่ยุยงให้ผู้เป็นนายตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเสียที ทั้งเจี้ยนสือที่เอาแต่คิดคะนึงถึงคนรัก แล้วนี่ยังจะมีเทียนอี้ด้วยอีกหรือ?

กับผู้อื่นนั้น ซิ่นเฉิงหาได้สนใจใดๆ ไม่ ทว่ากับเทียนอี้ เมื่อรู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วก็พลันหงุดหงิดใจขึ้นมา

หากมีคนรักอยู่แล้วจะมาข้องเกี่ยวกับข้าด้วยเหตุผลกลใด?

คิดอย่างนั้น แต่หาได้ปริปาก ปล่อยให้เทียนอี้ได้พูด

“ไม่เพียงใบหน้า นางยังมีชื่อเดียวกันอีกด้วย แต่นั่นเป็นเพราะนางเป็นธิดาของสกุลหลิว สืบสายโลหิตมาจากน้องชายของหลิวซูซึ่งเป็นคนรักข้า จึงไม่แปลกหากนางจะมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึง อีกทั้งยังชื่อแซ่ เพราะคนสกุลหลิวมักเอาชื่อของบรรพบุรุษมาตั้งให้ลูกหลานเมื่อผ่านไปหลายรุ่น”

เทียนอี้เล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีนั้นค่อนไปทางไม่ยี่หระใดๆ ขณะที่ซิ่นเฉิงเอาแต่ขมวดคิ้ว
“เพราะเหตุนั้น เจ้าถึงไม่ตบแต่งนาง?”
“หาใช่เรื่องนั้น หากแต่นางไม่ใช่หลิวซูของข้า” เทพอสูรว่า “คราแรกข้าหลงคิดไปว่านางคือหลิวซูกลับชาติมาเกิด เพราะในอดีต หลิวซูก็เคยกลับชาติมาเกิดแล้วครั้งหนึ่ง หากแต่เมื่อได้เสวนากับนาง จึงรู้ว่าไม่ใช่”
“หากใช่ เจ้าคงจะตบแต่งกับนางสินะ”
“คงเป็นเช่นนั้น”

เมื่อได้ยิน ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงหึออกมาด้วยอารามเย้ยหยัน นึกหัวเสียขึ้นมาในบัดดล ขณะที่เทียนอี้รับรู้ความรู้สึกนั้นได้จากไอความร้อนที่แผ่ขยายออกจากร่างของคนตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยโดยไม่พูดสิ่งใดด้วยเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายหัวเสียไปมากกว่านี้

“แล้วเจ้ามั่นใจเช่นนั้นหรือว่านางไม่ใช่ ในเมื่อเจ้าบอกว่านางมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึง” เป็นซิ่นเฉิงที่ทำลายความเงียบ
“กับหลิวซูแล้ว หากเป็นคนผู้นั้นกลับมาเกิดจริง ข้าจะต้องสัมผัสได้ตั้งแต่คราแรกที่เจอหน้า ต้องรู้สึกผูกพันหรือไม่ก็ต้องรู้สึกถูกชะตา แต่กับนางแล้ว...ข้าไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น”
“ไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น แต่เจ้ากลับอยู่พูดคุยกับนางถึงสองสามวันอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็แค่อยากให้แน่ใจ”
“เฮอะ” ซิ่นเฉิงยกแขนขึ้นกอดอก ส่งเสียงออกมา “เจ้าคนโลเล”

ฉับพลันเทียนอี้ก็สวนขึ้น
“หากยามข้าเห็นนางแล้วต้องชะตาเป็นอย่างมากเช่นตอนเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าคงไม่กลายเป็นคนโลเลอย่างที่เจ้าบริภาษ”

ซิ่นเฉิงถึงกับขมวดคิ้วยู่กว่าเดิม “ต้องชะตาข้า?”

“เมื่อครั้งที่ข้าประสบกับแววตาของเจ้า ทำเอาข้าหลงคิดไปว่าเจ้าเป็นคนรักของข้ามาเกิดเลยทีเดียว”

เทียนอี้ว่าออกมาอีก นั่นเป็นความสัตย์จริงที่เขาหาได้เคยเอ่ยกับผู้ใด ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียง ด้วยเห็นว่าใบหน้าของซิ่นเฉิงไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับหลิวซูสักนิด เว้นก็แต่อุปนิสัยและแววตาคู่นั้น ที่แม้จะเป็นคนละสี อีกทั้งยังคนละรูปทรง แต่เมื่อมองสีหน้าของซิ่นเฉิงแล้ว ทำให้เขาหวนคิดคะนึงถึงยอดดวงใจไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่เขาเอ็นดูซิ่นเฉิงเป็นอย่างมากแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยศกับเขาเพียงใดก็ตาม... พยศประหนึ่งหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพ

ไม่สิ... พยศกว่าอีกด้วยกระมัง...

“ข้าเนี่ยน่ะหรือเป็นคนรักของเจ้า เจ้าคงละเมอกระมัง” เป็นซิ่นเฉิงอีกที่ยอกย้อน หากแต่ในใจของเขากลับเต้นระส่ำทั้งที่เมื่อคู่บีบรัดแน่น เพียงเพราะได้ยินเทียนอี้กล่าวว่า ‘เจ้าเป็นคนรักของข้า’ เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการหลงคิดไปก็ตาม พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเจี้ยนสือเองก็เคยพูดเช่นนี้ เคยบอกว่าเขามีอุปนิสัยคล้ายกับหลิวซู

ทว่า...นั่นคือหลิวซู เขาก็คือเขา ต่อให้มีอุปนิสัยคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่ก็ยังเป็นคนละคนอยู่ดี ที่สำคัญ...เขาหาใช่คนที่เทียนอี้รัก

หงุดหงิดขึ้นมาอีกคราเมื่อตระหนักได้ ก่อนจะระบายลมหายใจเต็มแรง

“เจ้าจะละเมอหรืออะไรก็เอาเถิด แต่เล่าให้ข้าฟังประเดี๋ยวนี้ว่าคนรักเจ้าที่มีนามว่าหลิวซูเป็นผู้ใดกันแน่ ข้าหน่ายเต็มกลืนกับการถูกเปรียบเทียบแล้ว”

เทียนอี้มองนิ่งๆ ซิ่นเฉิงได้พบเจอกับเจี้ยนสือแล้ว อีกฝ่ายคงคิดเหมือนกันว่าเขาคลับคล้ายคลับคลากับหลิวซู แม้แต่หมิงจูเองที่ไม่ค่อยสนิทสนมนักยังรู้สึกได้ และได้เปรยกับเขาไว้แล้วเมื่อครั้งแวะเวียนมาหาตอนได้ยินข่าวเรื่องลูกหลานของหลิวซูมาดูตัวกับเขาเช่นกัน จึงไม่แปลกหากซิ่นเฉิงจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ขนาดพ่อบ้านเหลียงก็คิดเช่นนั้น...ถึงจะไม่ยอมรับเท่าไรก็ตาม

“หลิวซูเป็นเทพชั้นผู้น้อย เป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ที่บำเพ็ญตบะตนได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพ”
เทียนอี้เริ่มเล่า พลันซิ่นเฉิงก็ตั้งใจฟังในทันที

“สวรรค์มีสิบสองชั้น ข้า เจี้ยนสือ และหมิงจูเป็นเทพชั้นสูงอยู่ชั้นฟ้าเบื้องบน หลิวซูอยู่ในโรงครัวของสวรรค์ หาได้เคยพบพานกับหลิวซูมาก่อน จะมีก็แต่พ่อบ้านเหลียงเท่านั้นที่เคยพบพานด้วยพ่อบ้านเหลียงมีหน้าที่ดูแลเทพชั้นสูง กระทั่งเมื่อครั้งที่ข้าและสหายได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เมื่อนั้นเจ้าแม่ซีหวังหมู่[1] ผู้ดูแลสวนท้อสวรรค์แห่งประจิมได้จัดงานประทานผลท้อให้กับเหล่าเทพ พวกข้าจึงเข้าร่วมเฉลิมฉลอง ครานั้นเองที่ข้าได้พบกับหลิวซู เขาเป็นผู้ยกผลท้อมาให้ข้า”

เขา... เป็นบุรุษ...

เทียนอี้คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา รอให้เทียนอี้ได้เล่าต่อ

“ตั้งแต่พบพานกันครานั้น ข้าก็มิอาจลืมเลือนดวงหน้าพิสุทธิ์ของหลิวซูได้เลย จำต้องแวะเวียนมาหาด้วยหลงใหล หากแต่เทพไม่อาจมีรัก ข้าจึงทำได้เพียงเก็บความเสน่หานั้นไว้ในใจ แต่กระนั้นข้าก็รับรู้ได้ว่าหลิวซูเองก็คิดเช่นเดียวกันกับข้า ยามนั้นเพียงแค่ได้เห็นหน้า จิตใจข้าก็ชุ่มฉ่ำดั่งเม็ดฝนโปรย กระทั่งข้าได้รับพระบัญชาจากองค์เง็กเซียนให้ไปปราบกบฏสวรรค์...” เทียนอี้หยุดเล่าไปชั่วขณะ ดวงตาหม่นแสงลง ท่าทางคล้ายกับว่าไม่อยากพูดต่อ

ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในนัยน์ตาคู่สวยนั้น หากแต่ความใคร่รู้มีมากกว่า จึงจำต้องถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงัน
“แล้วเป็นเช่นไร?”

“ข้ากับเจี้ยนสือไม่ได้ปราบกบฏสวรรค์ หากแต่วางกลอุบายลวงองค์เง็กเซียนว่าทำลายเมืองบาดาลและสังหารกบฎแล้วสิ้น พวกข้าจึงต้องโทษ แม่ทัพและรองแม่ทัพนายอื่นๆ ทหารในกองทัพ เหล่ากุนซือ รวมถึงพ่อบ้านเหลียงซึ่งมีหน้าที่คุมเสบียงทัพต่างถูกลงทัณฑ์ร้ายแรง ส่วนข้ากับเจี้ยนสือต้องโทษคุมขังตราบนิรันดร์”

ตรงกับที่เจี้ยนสือได้เล่าให้ฟังทุกประการ พลันเอะใจขึ้นมา
“ที่พวกเจ้ารอดจากการจองจำ ลงมาจุติยังแดนมนุษย์ได้เป็นเพราะ...”
“หลิวซูช่วยข้าและเจี้ยนสือออกมา”

ว่าอย่างไรนะ!?

ได้ฟังแล้ว ซิ่นเฉิงก็ฉงน อีกทั้งยังสับสนอย่างรุนแรง ได้ยินว่าเทียนอี้มีคนรักเป็นบุรุษ เขาก็ประหลาดใจแล้ว แต่นี่...อย่าบอกเขานะว่าคนรักของเขาคือคนเดียวกับคนรักของเจี้ยนสือ?

ไม่ต้องถามออกไปก็ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ จะมีผู้ใดกันนอกเหนือจากหลิวซูผู้นี้ช่วยเทพทั้งสองออกมาได้อีกกัน

กระนั้นก็ถามเพื่อให้แน่ใจ...
“นอกจากหลิวซูแล้ว มีผู้ใดช่วยพวกเจ้าอีกหรือไม่?”
“ไม่... เขากระทำโดยผู้เดียว”

ได้ยินคำตอบ ซิ่นเฉิงก็ใจเต้นระรัว นี่เทียนอี้รู้หรือไม่ว่าคนรักของตนก็เป็นคนรักของเจี้ยนสือเช่นกัน หากแต่เขาไม่พูดออกไป ได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เทียนอี้ได้ถามขึ้น

“ทำไมหรือ?”
“ไม่มีสิ่งใด เล่าต่อสิ” ปฏิเสธและเปิดทางให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ

แม้จะสงสัยในสีหน้าของซิ่นเฉิง แต่เทียนอี้ก็ยอมเปิดปากเล่าต่อจนจบด้วยได้ให้สัตย์สัญญาไว้แล้ว

“การช่วยเหลือเป็นผลแค่เพียงครึ่ง ระหว่างหลบหนี พวกข้าถูกทหารกองทัพอื่นจับกุมตัวไว้ได้ หลิวซูสละชีวิตแลกกับการให้พวกข้าไม่ต้องดับสูญ องค์เง็กเซียนจึงทำลายดวงจิตของเขาสิ้น และให้ข้ากับเจี้ยนสือลงมาอยู่ในแดนมนุษย์ นั่นจึงเป็นที่มาที่ข้ากลายเป็นเทพอสูร”
“จากนั้นหลิวซูของเจ้า... ก็มาเกิดใหม่?”

สิ่งนี้หาใช่การเดา ซิ่นเฉิงพอจะผูกเรื่องได้จากคำบอกเล่าคร่าวๆ จากเจี้ยนสือต่างหาก ส่วนเทียนอี้ก็พยักหน้ารับกับคำถามนั้น
“เมื่อร้อยปีก่อน หลิวซูได้ถือกำเนิดเป็นบุตรชายในสกุลหลิวอันเป็นสกุลพ่อค้าจากแคว้นข้างเคียง แคว้นเฟิงฝูได้แลกเปลี่ยนน้ำกับโอสถจากแคว้นนั้น สกุลหลิวเป็นสกุลใหญ่ พวกข้าจึงสมาคมกัน เมื่อนั้นเองที่ข้าได้พบหลิวซูอีกครา หากแต่คราวนี้หาได้เป็นเทพ ดังนั้นการมีรักจึงไม่ผิด”

ยิ่งฟังก็ยิ่งแน่นในอก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับมีไออุ่นลอบอบอวลอยู่ข้างใน ซิ่นเฉิงหาได้เข้าใจปฏิกิริยานี้ และไม่ใคร่ใส่ใจในยามนี้เช่นกัน ทำเพียงตั้งใจฟังเท่านั้น

“เช่นนั้น... เจ้าก็ได้ครองคู่กับหลิวซู?”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบ มุมปากมีรอยยกยิ้ม แต่นัยน์ตากลับหมองหม่นลงกว่าเดิม “หลิวซูสิ้นใจเพราะถูกเจี้ยนสือสังหาร”

สิ้นประโยคนี้ ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่ว อันที่จริง ซิ่นเฉิงยังอยากรู้อีกว่าเพราะเหตุใดหลิวซูถึงถูกเจี้ยนสือสังหาร ทว่าก็ไม่เอ่ยปากถามออกมาด้วยแลเห็นว่าเทียนอี้เริ่มเผยความเจ็บปวดที่กักเก็บอยู่ข้างในออกมาให้ได้รับรู้ แม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้ม กระนั้นดวงตากลับไร้แสงลงเรื่อยๆ

คนหนึ่งเป็นสหาย คนหนึ่งเป็นคนรัก เทียนอี้คงทำใจได้ยากยิ่ง...

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงยุติการซักถามแต่เพียงเท่านี้ พลางขบคิดไปว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นเช่นที่เจี้ยนสือเล่า แต่แทนที่จะคลายข้อข้องใจ กลับกลายเป็นว่าสงสัยกว่าเดิมด้วยพบความจริงว่า...เทียนอี้และเจี้ยนสือมีคนรักคนเดียวกัน

เรื่องมันเป็นอย่างไรกัน?

ครั้นจะให้ไปถามพ่อบ้านเหลียงก็ยาก จะไปถามหมิงจู เจ้านั่นก็ดูจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไร มีอีกคนที่ถามได้ นั่นก็คือ...เจี้ยนสือ
คิดได้ดังนั้นจึงทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้

“ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้กระดิกหางยามเห็นหน้าแม่นางผู้นั้น”
ค่อนข้างหยาบคายทีเดียว หากแต่เทียนอี้กลับยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธ พลันว่าสั้นๆ ออกมา
“ข้ายังเฝ้ารอหลิวซูเสมอ”

เป็นคำพูดที่ชวนหัวเสีย ทว่าซิ่นเฉิงกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดครั้นได้ยินอีกฝ่ายว่าอย่างหนักแน่น แต่กลับอุ่นวาบในอกขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งได้สบตาของเทียนอี้ ก็ยิ่งอบอุ่นข้างในใจขึ้นมา

ความรู้สึกนี้...นอกจากซิ่นจินแล้วก็หาได้เคยรู้สึกกับผู้ใด กับเทียนอี้เองก็เคยรู้สึกเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แต่หาได้ชัดเจนเท่ากับครั้งนี้

อบอุ่นราวกับเคยรับความรู้สึกนี้มาก่อน...

“หมดข้อสงสัยแล้วก็กินขนมเถิด เย็นชืดหมดแล้วกระมัง” เทพอสูรสุนัขป่าเอ่ยขึ้น หมายจะคลายบรรยากาศให้กลับมาเป็นเช่นเดิม
ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ทว่าครั้นเอื้อมมือไปหมายจะหยิบขนมตรงหน้ามาลิ้มรส เสียงร้องโหวกเหวกของคนรับใช้ก็ดังลอยมาให้ได้ยิน เสียงนั้น...รับรู้ได้ว่าดังมาจากทางเรือนใหญ่ ทำเอาทั้งเขาและเทียนอี้ชะงักงัน หันไปมองตามต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง

“เกิดเรื่องอันใดกัน” ซิ่นเฉิงพึมพำ พยายามจับใจความของเสียงโวยวายที่ฟังไม่ได้ศัพท์

ทว่าหูมนุษย์หรือจะสู้หูสุนัขป่า เมื่อได้ยินเสียงของพ่อบ้านเหลียงร้องเรียกชื่อของใครบางคนเพื่อห้ามปราม เขาก็ลุกพรวดแล้วเดินออกจากศาลาทันใด ทำเอามนุษย์หนุ่มที่เห็นเทียนอี้พรวดพราดเดินไปรีบกระโดดก้าวตามอย่างรวดเร็ว

เดินราวกับเหาะเหิน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าจวน พลันความสงสัยในเสียงโหวกเหวกนั้นก็ได้รับการคลี่คลายเมื่อเห็นว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากหญิงสาวผู้มีนามว่าหลิวซูที่กรีดร้องเสียงหลงด้วยตกใจสุดกำลัง เบื้องหน้านั้นมีพ่อบ้านเหลียงคั่นกลางระหว่างนางกับเทพอสรูร่างใหญ่ผู้หนึ่ง

นั่นคือ...

“เจี้ยนสือ?” ซิ่นเฉิงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเมื่อเห็นว่าเจี้ยนสือพยายามจะเข้าหาสตรีนางนั้นโดยไม่สนใจผู้ใดที่ห้ามปรามอยู่ทั้งสิ้น
แม่ทัพงูจงอางในเวลานี้หูหนวกตาบอดสิ้น ครั้นเขาได้ยินความจากหมิงจูที่แวะเวียนไปหายังจวนเพื่อนำความไปบอกว่าเทียนอี้ดูตัวกับสตรีนางหนึ่งซึ่งมีนามว่าหลิวซู เขาก็รีบเร่งมาดูหน้านางด้วยใจหมายว่าจะเป็นผู้นั้น และทันทีที่ได้เห็นดวงหน้างามพิลาศ เขาก็ใจเต้นระส่ำด้วยคิดไปว่านางคือหลิวซูผู้นั้นกลับมาเกิด

หลิวซู...ผู้เป็นดั่งยอดดวงใจของเขา

“หลิวซู มาหาข้า ให้ข้าได้ยลหน้าเจ้า”
เจี้ยนสือพยายามเข้าหา เอ่ยปากออกมาอีกครั้งหลังจากที่นางวิ่งหนีไปหลบหลังพ่อบ้านเหลียง
“ไม่! ฮือ... ออกไปนะ ข้ากลัวแล้ว!” นางยังคงพร่ำประโยคเดิมไม่หยุด จับมือหญิงรับใช้ที่ตามมาจากสกุลหลิวเพื่อดูแลนางมั่นด้วยอารามตกใจ

“ซูซู... นี่ข้าเอง เจี้ยนสือ... เจ้าคงรอมาเกิดนานไปหน่อยกระมัง ถึงได้จำข้าไม่ได้เช่นนี้” เจี้ยนสือยังทำใจดีด้วยคิดว่าเป็นเพราะน้ำแกงยายเมิ่ง นางถึงได้แสดงออกอย่างนี้

หากแต่พ่อบ้านเหลียงไม่คิดเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเข้ามาใกล้ก็เข้ามาขวางไว้อีกครา
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ นางยังไม่พร้อมจะพบหน้าท่าน ได้โปรด...ท่านกลับไปก่อนเถิด”

คนถูกไล่เพียงเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงต่ำออกมา
“ถอยไป ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

ไม่เพียงแต่ไล่เท่านั้น เพียงสะบัดมือเล็กน้อย ร่างของพ่อบ้านจระเข้ก็กระเด็นไปอีกทาง ก่อนเขาจะตรงเข้าไปหาสตรีผู้นั้นที่หวีดร้องเสียงดังโดยไม่สนใจเสียงห้ามของผู้ใด ครั้นเข้าใกล้ได้ก็เอ่ยเรียก

“ซูซู ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน”
จากนั้นก็ดึงนางมารวบกอดไว้แนบอกอย่างโหยหา ทว่า...หญิงสาวกลับดิ้นหนีสุดแรง กู่ก้องร้องตะโกนลั่น

“ปล่อยข้า! ปล่อย!”
“ซูซู...”
“ข้ากลัวแล้ว ได้โปรด...ปล่อยข้า ฮือ...”

จากตอนแรกที่ร้องสุดเสียงก็กลายเป็นสั่นสะอื้นจนตัวโยน เจี้ยนสือจำต้องคลายอ้อมแขนออกมาด้วยไม่ใคร่ให้นางหวาดกลัวไปมากกว่านี้ เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของนาง เขาก็เจ็บแปลบในใจขึ้นมา

ไม่เพียงแต่นางจำเขาไม่ได้ นางยังหวาดกลัวเขาจนตัวสั่นเทิ้มอีกด้วย
 “ข้ากลัวแล้ว...ฮือ...”
“ซูซู...”
“ได้โปรด...อย่าสัมผัสข้าอีกเลย...ฮึก...”

ยิ่งเรียกนาง นางก็ยิ่งสะอื้นไห้ เจี้ยนสือหายใจติดขัด

หรือเป็นเพราะเมื่อชาติก่อน เขาพลั้งมือสังหาร หลิวซูจึงปฏิเสธเขาในชาตินี้ด้วยการแสร้งว่าจำไม่ได้?

เจี้ยนสือไม่อาจยอมรับได้เลย หากแต่เมื่อเอื้อมมือไปตรงหน้า นางก็หวีดร้องอีกครา ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือใหญ่จำต้องลดลงต่ำ ความผิดหวังถาโถม ความเจ็บปวดท้นทวี เจี้ยนสือไม่อาจพรรณนาความร้าวรานในใจออกมาได้แม้แต่น้อย ได้แต่ยืนยิ่งเช่นนั้นกระทั่งเทียนอี้ซึ่งมองดูเหตุการณ์อยู่นานต้องเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อนางไม่ใคร่สนทนากับเจ้า เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด”

ครั้นหันไปก็เห็นเจ้าของจวนยืนอยู่กับซิ่นเฉิง ในยามนี้เจี้ยนสือไม่มีอารมณ์จะมาทักทายเจ้าแมวหรอก ได้แต่หันหลังและหมายจะกลับไปยังที่ของตน หากแต่เมื่อเดินผ่านเทียนอี้แล้วก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
“เจ้าอย่าหวังจะได้ครอบครองซูซูของข้า มันไม่มีวันเกิดขึ้น”

พูดจบก็จ้ำพรวดออกไปยังหน้าจวน ไม่ใคร่หันกลับมามองอีก

เสียงฝีเท้าม้าควบออกไป เทียนอี้ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่อยากจะรื้อฟื้นความหลังสักเท่าไร อีกทั้งไม่อยากจะวิวาทกับสหายด้วยเรื่องเดิมๆ อีกด้วย

แต่...ซูซูของเจี้ยนสือเช่นนั้นหรือ? เจ้านั่นกล้าดีอย่างไรถึงพูดเช่นนี้

เทพอสูรสุนัขป่าเผลอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนเหลือบไปเห็นซิ่นเฉิงที่มองตามเจี้ยนสือไป พลันก็รีบคว้าข้อมือไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อซิ่นเฉิงหันไปมองหน้า เขาจึงพูดขึ้น
“อย่าคิดไปข้องเกี่ยวกับเจี้ยนสือเชียว”
“อะไรของเจ้า”
“ให้สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้น”

ไม่ตอบคำถามไม่ว่า ยังมาออกคำสั่ง ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้า แต่ดูแล้ว หากไม่รับปาก ข้อมือของเขาคงถูกบีบจนกระดูกแตกละเอียดแน่
“เออๆ ข้ารู้แล้ว ปล่อยเสียที”

ไม่อยากจะปล่อยสักเท่าไร แต่ด้วยเห็นว่าความวุ่นวายในจวนยังหาได้สิ้นสุดด้วยสตรีนางนั้นเสียขวัญเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงต้องจัดการให้เรียบร้อย เตรียมการส่งนางกลับไปยังแคว้นที่จากมา

สุดท้ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี พลันออกคำสั่งอีกครา
“ไปรอข้าที่ห้อง เสร็จธุระแล้ว ข้าจะไปหา”

ซิ่นเฉิงที่จับข้อมือตนถูไปมาเหลือบมอง
“มาสั่งข้าให้ไปที่ห้องของเจ้า คิดการใดอยู่”
เทียนอี้ไปตอบ ทำเพียงย้ำคำ “ไปรอข้า ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”

จบประโยคก็เดินไปหาแขกของจวน พร้อมกับออกคำสั่งให้พ่อบ้านเหลียงจัดการตระเตรียมขบวนเกี้ยวส่งหญิงสาวกลับ พลางปลอบใจนางที่เสียขวัญเป็นอย่างยิ่ง ทิ้งให้ซิ่นเฉิงมองตามอย่างหงุดหงิด

“สั่งได้สั่งดีนะเจ้าหมา”

แต่กระนั้นก็ยอมทำตามคำสั่ง กลับไปรอที่ห้องนอนของเทียนอี้แต่โดยดี





 

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 13: อดีตต้องไม่ซ้ำรอย[2]

การส่งตัวหลิวซูในร่างสตรีชาตินี้กลับสู่แคว้นหาใช่เรื่องที่กระทำได้โดยเร็ว จำต้องตระเตรียมเสบียงและความพร้อมอื่นๆ ด้วยการเดินทางข้ามทะเลทรายนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวัน การจัดการธุระของเทียนอี้จึงไม่เสร็จสิ้นเสียที ทำเอาซิ่นเฉิงที่รออยู่ในห้องนอนจนเบื่อชักกระสับกระส่าย อีกทั้งยังรำคาญใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้ตนรออย่างไร้จุดหมายเช่นนี้

สายตาทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นว่าฟ้ามืดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดใจ

จะให้ข้ารอไปอีกเมื่อไรกันเจ้าหมา...

รอต่อไปอีกหนึ่งเค่อ[2] ความอดทนก็สิ้นสุดลง ซิ่นเฉิงออกจากห้องนอนของแม่ทัพใหญ่ เห็นด้านหน้าจวนยังคงวุ่นวายกับการเตรียมขบวนเกี้ยว เขาก็ใช้โอกาสนี้ลอบออกจากจวน หากแต่ใช่เพื่อการเล่นสนุกหรือหนีกลับสู่ทะเลทรายแต่อย่างใด ทว่าจุดหมายกลับเป็นจวนของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ

ไม่นานนักก็มาถึงยังที่หมาย ซิ่นเฉิงลอบปีนเข้ากำแพงจวนมาหย่อนตัวลงในสวน จวนของเจี้ยนสือลักลอบเข้ามาได้ง่ายดายนักด้วยเจ้าของจวนไม่ชอบให้ทหารยามรักษาการณ์หนาแน่น เหตุเพราะเขารักสันโดษและอึดอัดทุกครั้งที่เห็นผู้คนมากมาย นับว่าอุปนิสัยนี้เป็นผลดีต่อซิ่นเฉิง ครั้นเท้าเหยียบยังพื้นหญ้า ก็มองซ้ายขวาหมายจะตามหาเจี้ยนสือ ทว่าสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างใหญ่อันคุ้นตานั่งอยู่บนโขดหินในสวนบุปผชาติ

ร่างนั้นเป็นของเจี้ยนสือในร่างเทพอสูร...

เทพอสูรงูจงอางรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของซิ่นเฉิงได้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วจากการสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้น ที่เขานั่งนิ่งอยู่นั้นก็เพราะรอคอย เมื่ออีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหา เขาถึงได้หันไป

“หนีออกจากกรงอีกแล้วนะเจ้าเหมียว ไม่กลัวเจ้านายของเจ้าจะทำโทษหรือไร”
“เจ้าหมานั่นหาใช่ผู้กุมชะตาชีวิตข้า” คนมาใหม่ว่า ก่อนจะก้าวขึ้นไปยังโขดหินอีกก้อนข้างๆ กันแล้วนั่งลงยองๆ

ความเงียบลอยเข้ามาปกคลุม ซิ่นเฉิงไม่พูดอะไรหลังจากนั้น หาใช่เพราะไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำให้เจี้ยนสือแค่นหัวเราะในลำคอแล้วเป็นฝ่ายทำลายความเงียบแทน

“มาหาข้าเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด”
“เจ้า... เป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินคำถามนั้น เจี้ยนสือถึงกับต้องเบือนหน้ามามอง
“ที่เจ้าลักลอบมาหาข้า เพียงเพราะจะถามแค่นี้น่ะหรือ?”

ซิ่นเฉิงไม่ตอบ ยกมือขึ้นชันเข่าเพื่อเท้าศีรษะ ตะแคงมองอีกฝ่าย ท่าทางประหนึ่งเด็กอยากรู้อยากเห็นเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่มีผิด ทำเอาเจี้ยนสือต้องตอบออกมา

“ข้าไม่ถือโทษโกรธนาง กาลเวลาผันผ่านเนิ่นนาน น้ำแกงยายเมิ่งลบเลือนความทรงจำ ไม่แปลกหากนางจะจำข้าไม่ได้”
คนฟังพยักหน้าราวกับตอบรับ ก่อนที่เจี้ยนสือจะเอ่ยอีกครา
“แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว นางคงจะไม่เพียงจำข้าไม่ได้อย่างเดียว ยังชิงชังความอัปลักษณ์ของข้าด้วย”

พูดถึงตอนนี้ ดวงตาก็ประกายความเจ็บปวดออกมา ซิ่นเฉิงรู้ว่าเจี้ยนสือมีใจปฏิพัทธ์ต่อหลิวซูเฉกเช่นเดียวกับเทียนอี้ จึงไม่แปลกหากเขาจะเผยความรู้สึกนี้ออกมา

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น”
“แต่ก็น่ารังเกียจใช่หรือไม่?”
แม่ทัพใหญ่รู้ว่าซิ่นเฉิงพยายามปลอบใจ แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อเจี้ยนสือเอ่ยไปอย่างนั้น ซิ่นเฉิงก็ย่นคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยหงุดหงิดใจ

“เจ้าช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยผิดกับรูปลักษณ์นัก รูปลักษณ์ของเจ้าองอาจน่าเกรงขาม ไยจิตใจถึงได้บอบบางอ่อนไหวเสียจริง”
หูได้ยินเสียงดังฟ่อเบาๆ คล้ายกับเป็นเสียงหัวเราะที่หลุดออกจากปากของเจ้างูตรงหน้า
“หากข้าไม่น่ารังเกียจ แล้วไยแม่นางหลิวซูผู้นั้นถึงได้วิ่งหนีข้า อีกทั้งยังกรีดร้องราวกับเห็นผีเช่นนั้นเล่า ถึงข้าจะรู้ว่าเป็นเพราะนางดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงจำข้าไม่ได้ แต่เมื่อชาติที่แล้ว นางหาได้แสดงท่าทางชิงชังข้าเช่นนี้”

ว่าพลางคิดถึงความหลัง เมื่อชาติก่อนนั้น ต่อให้เกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของเขา ยอดดวงใจก็หาได้แสดงท่าทางรังเกียจ อีกทั้งยังมีไมตรีอย่างที่คาดไม่ถึงอีก หากแต่ชาตินี้กลับตรงกันข้าม คิดแล้วก็น่าน้อยใจนัก เขาเฝ้ารออีกฝ่ายมานานกว่าจะได้พบพาน ไยถึงได้รับการตอบแทนเช่นนี้

“เจ้าจะเอาความใดกับสตรีกันสตรีก็คือสตรี ยิ่งเป็นคุณหนูคนสำคัญของตระกูลหลิวเช่นนั้นก็ย่อมได้รับการทนุถนอม จะกลัวงูอย่างเจ้าก็หาใช่เรื่องแปลก” ซิ่นเฉิงว่าหน้ามุ่ย

คำพูดของซิ่นเฉิงมีเหตุผล ชาติก่อนนั้น อีกฝ่ายเป็นบุรุษ ทว่าชาตินี้เป็นสตรี นี่กระมังที่ทำให้นางหวาดกลัวเขานัก

“แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดจึงไม่กลัวข้า” เมื่อพอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง เจี้ยนสือก็ถามย้อนกลับ
“พ่อบ้านเหลียงน่ากลัวกว่าเจ้าอีก ตั้งแต่เกิดมา ข้าหาได้เคยเห็นจระเข้มาก่อน นอกจากภาพจารึกบนหนังสัตว์ที่พ่อค้าแดนไกลนำติดตัวมา แต่งูเช่นเจ้า ข้าเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน จับด้วยมือก็นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน บางครั้งก็กินหากเป็นงูไม่มีพิษ จึงไม่จำเป็นต้องกลัวเจ้า”

นั่นก็เรื่องจริงอีกเช่นกัน ซิ่นเฉิงเกิดและเติบโตในทะเลทราย จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเจออสรพิษร้ายซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทรายได้ ส่วนกินนั้น...บางครั้งก็จำเป็น เพราะในทะเลทรายไม่ได้มีอาหารให้ได้เลือกมากมายนัก แม้คราแรกที่เห็นเจี้ยนสือแล้วจะขนลุกชันบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังหรือรังเกียจอย่างใด

“ข้าต้องกลัวเจ้าไหม” เจี้ยนสือสัพยอกเมื่อได้ยินคำว่า ‘กิน’ ทำเอาอีกฝ่ายเหลียวมองหน้าพลางกลั้วหัวเราะ
“เจ้าเป็นงูมีพิษ ข้าไม่กินหรอก”
“รู้ได้เช่นไรว่าข้ามีพิษหรือไม่ ไม่แน่ว่างูจงอางเช่นข้าอาจจะไร้พิษสงก็เป็นได้ จะลองลิ้มรสดูหน่อยไหมเล่า”

พอถูกหยอกเย้าเช่นนี้ ซิ่นเฉิงก็มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนที่เจี้ยนสือจะว่าออกมาอีกครั้ง
“หรือเจ้า...จะไม่กล้าสัมผัสข้า?”
“ข้าสัมผัสเจ้าด้วยมือไปแล้ว เจ้าก็เห็นในราตรีนั้น”
“หากเป็นสิ่งอื่นนอกจากมือล่ะ”

ซิ่นเฉิงนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่เป็นเพราะเข้าใจดีต่างหากว่าเจี้ยนสือหมายความเช่นไร และไม่ใช่ว่าเขารังเกียจอีกฝ่ายหรอกนะถึงได้ไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ ทว่าใบหน้าของเทียนอี้ผุดพรายขึ้นมาในภวังค์เมื่อครู่นี้ต่างหากที่ทำให้เขาไม่อาจตอบรับได้

“รังเกียจข้าหรือไม่?”
แต่แล้วก็ต้องมีปฏิกิริยาเมื่อเจี้ยนสือถามและค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้

ใบหน้าของเจี้ยนสือ...ยังคงเป็นงูจงอางในร่างของเทพอสูร แม้จะสร้างความหวาดหวั่นในใจ แต่กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้หลบหนี เขาสงสารอีกฝ่ายเกินกว่าจะบ่ายเบี่ยงได้ จึงได้แต่นั่งนิ่งกระทั่งเจี้ยนสือเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม

“ว่าอย่างไร รังเกียจข้าหรือไม่?”
“ไม่...”
เพียงคำเดียวที่หลุดออกมา เรียวปากของเขาก็ห่างจากริมฝีปากของเจี้ยนสือเพียงปลายนิ้วสัมผัส
“หากข้าจะจุมพิตเจ้า เจ้าก็คงไม่รังเกียจสินะ”

ไร้สรรพเสียงตอบรับ ซิ่นเฉิงกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ก่อนที่ก้อนเมฆจะเคลื่อนคล้อย เปิดฟ้าให้แสงจันทร์สาดส่องลงมา ใบหน้าของเจี้ยนสือก็แปรเปลี่ยนเป็นอดีตเทพที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ พลันน้ำเสียงแหบห้าวก็ดังเข้ามาในหู

“แต่ข้ามีพิษ เจ้าก็รู้ใช่ไหม”
ซิ่นเฉิงก็ยังไม่ตอบอยู่ดี สายตาจับจ้องยังดวงตาสีเหลืองอำพันนิ่ง ขณะที่เจี้ยนสือหยักยิ้มร้าย
“หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะไม่เกรงใจนะ”

พลันขยับใบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ จนริมฝีปากเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ทว่าเจี้ยนสือก็ตัดสินใจผละออกในห้วงสุดท้าย พลันว่าเสียงระรื่น

“แต่ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้า จะจุมพิตเจ้าไปเพื่อการใด”

ซิ่นเฉิงถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กระนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาที่อีกฝ่ายทำให้สับสนไปชั่วครู่
“เจ้าคงอยากถูกข้าถลกหนังมาตากแห้งกระมัง”

เสียงกลั้วหัวเราะของเจี้ยนสือดังตามมา ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดหัวเสียไปชั่วครู่

นั่น...คงสบายใจขึ้นแล้วกระมัง?

“หากเจ้าประสงค์ ข้าก็จะยินดี ตอบแทนที่เจ้าอุตส่าห์เวทนาข้า”
“หาได้เวทนาอะไรนัก เพียงแต่ไม่ใคร่เห็นคนไร้สหายคบค้าเช่นเจ้าสลดเท่าไร”

คำพูดเล่นหัวนั้นทำให้เจี้ยนสืออารมณ์ดีทันตาเห็น พลันยื่นมือไปจับปลายคางของอีกฝ่ายมั่น
“ปากคอเจ้าช่างเราะร้ายนัก” จากนั้นก็เลื่อนปลายนิ้วหัวแม่มือไปแตะยังริมฝีปาก “หากเจ้าเป็นซูซูของข้า ข้าจะลงโทษเสียให้สมกับความโอหังของเจ้าเลยทีเดียว”

ซูซูอีกแล้ว...

ซิ่นเฉิงสะบัดหน้าหนี ครั้นหลุดจากการเกาะกุมก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่อยากรู้

“ข้าได้ยินพวกเจ้าเอ่ยชื่อนี้มารับครั้งไม่ถ้วน ข้าจึงใคร่จะถาม...ซูซูของเจ้า ใช่ซูซูคนเดียวกับเทียนอี้หรือไม่?”
จากที่ยิ้มระรื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉย เจี้ยนสือไม่อยากตอบ แต่เมื่อเห็นซิ่นเฉิงมองด้วยสายตาคาดคั้นก็จำต้องพยักหน้า

“คนเดียวกัน... แต่ซูซูเป็นของข้า”
ประโยคแรกคือการตอบ ประโยคต่อมาคือการย้ำ

ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจหรอกว่าทั้งสามมีความสัมพันธ์กันเช่นไร และไม่ใคร่จะถามในตอนนี้ด้วยเพราะสีหน้าของเจี้ยนสือที่ราบเรียบเมื่อครู่ดูขุ่นแค้นขึ้นมา การสงบปากสงบคำไว้จะเป็นการดีกว่า ท่าทางแล้วอีกฝ่ายกับเทียนอี้คงมีเรื่องบาดหมางให้ไม่ลงรอยกันเท่าไร แม้ว่าถึงตอนนี้จะยังเรียกกันและกันว่าสหายก็ตาม

แต่บรรยากาศนั้นช่างน่าอึดอัด... ซิ่นเฉิงจึงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ตัดบทเอาเสียดื้อๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นราตรีนี้ข้าไม่กวนเจ้าแล้วก็แล้วกัน รีบกลับก่อนที่เจ้าหมานั่นจะจับได้ว่าข้าลอบหนีออกจากจวนดีกว่า ไว้เจอกัน”

ว่าจบก็ตบบ่าแกร่งของเทพอสูรในร่างเดิมสองสามครั้ง เจี้ยนสือเผยอยิ้มขึ้นมาได้อีกครา เอื้อมือไปกุมมือหยาบกร้านที่แตะอยู่บนบ่าของตนมั่น ครั้นซิ่นเฉิงหันมอง อีกฝ่ายก็เอ่ยปาก

“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่เป็นห่วงข้า”
“เพราะเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า หากไม่ได้เจ้า ข้าก็คงไม่ได้เหยียบย่างทะเลทราย”

สิ้นเสียงก็ดึงมือออกจากฝ่ามือใหญ่ เดินกลับไปยังทางเดิมและปีนป่ายหายออกไปนอกกำแพงจวน ทิ้งให้เจี้ยนสือมองตามเงียบๆ

ผู้มีพระคุณอย่างนั้นหรือ? ซูซูก็เคยพูดไว้เช่นนั้น...

ครู่หนึ่งก็มีภาพใบหน้าของหลิวซูทับซ้อนซิ่นเฉิงขึ้นมา ช่างน่าประหลาดนัก แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบตนเองได้ว่าเหตุใดถึงคิดเช่นนั้น ทว่าการได้สัมผัสมือของซิ่นเฉิงเมื่อครู่ มันทำให้เขาอบอุ่นในใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

คิดได้ครู่เดียวก็ต้องชะงักไว้เมื่อเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“เจ้านี่ช่างวุ่นวายนัก เจ้ามนุษย์นั่นเป็นของเทียนอี้ ประเดี๋ยวก็ได้วิวาทกันอีก”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นหมิงจูในร่างอดีตเทพยืนกอดอกมองอยู่

“เจ้ามีเรื่องใดกับข้า หมิงจู” เจี้ยนสือไม่ตอบคำถามนั้น แต่ถามออกไปแทน
“เทียนอี้ส่งข้ามาดูว่าเจ้าคิดจะทำการใดกับเจ้าแมวป่านั่น”
“เพราะไม่อยากมาเหยียบย่างจวนของข้า จึงส่งเจ้ามาเช่นนั้นสิ?”
“เป็นเช่นนั้น” หมิงจูไม่ปฏิเสธ ครั้นเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันผุดพรายบนใบหน้าคร้ามของสหาย ก็ถอนหายใจออกมาด้วยระอา “พวกเจ้านี่นะ เมื่อไรถึงจะเลิกคะนึงหาเจ้านั่นกัน ข้าเหนื่อยที่จะเห็นพวกเจ้าต้องแตกหักกันเพราะเทพชั้นผู้น้อยนั่นแล้ว”

“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่นำความมาบอกข้า ข้าถึงได้หุนหันไปที่จวนของเทียนอี้อย่างนั้น” เจี้ยนสือเหลือมอง ว่าเสียงเรียบ
เป็นความผิดของหมิงจูเอง เขาไม่ปฏิเสธ และก็ยิ่งหน่ายใจหนักมากขึ้นเมื่อเจี้ยนสือว่าออกมา
“และข้าก็จะไม่หยุดตราบใดที่ซูซูยังไม่กลับคืนสู่อ้อมอกข้า ซูซูเป็นของข้า ไม่ใช่ของเทียนอี้”

หมิงจูยักไหล่ เขาไม่พูดเรื่องนี้ต่อไปก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าจะพูดกี่ครา คำตอบของสหายทั้งสองก็ไม่เปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าหลิวซูผู้นั้นเป็นของตน และต่อให้ผ่านไปเนิ่นนานกว่านี้ ทั้งสองก็ยังคงวิวาทกันด้วยเรื่องนี้อยู่ดี ต่อให้หลิวซูกลับมาเกิดหรือไม่ มันก็จะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป

“เรื่องนั้นข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก แต่เจ้าก็ระวังไว้บ้างแล้วกัน เจ้าอาจจะกล่าว่าหลิวซูเป็นของเจ้า แต่เจ้าแมวนั่นเป็นของเทียนอี้ อย่าเผลอถลำลึกไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“เจ้าพูดถึงสิ่งใด”
“อย่าแสร้งเฉไฉ ไยข้าจะไม่เห็นว่าเจ้าคิดจะทำอะไรกับมนุษย์ผู้นั้น”

ปิดบังต่อไปไม่ได้แล้วกระมัง ที่เขาชะงักงัน ไม่ได้จุมพิตซิ่นเฉิงก็เป็นเพราะรับรู้ได้ถึงการมาของหมิงจูนั่นเอง ถึงได้ไม่กระทำเกินกว่านี้ หากหมิงจูไม่มาล่ะก็ คงได้ลิ้มรสริมฝีปากมนุษย์ผู้นั้นเป็นแน่

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เมื่อถูกจับได้ ก็อ้างไปเช่นนั้น

หมิงจูเห็นแล้วก็แค่นหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ข้าก็ต้องพูดและย้ำอีกคราว่ามนุษย์นั่นเป็นของเทียนอี้ เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าเครื่องประดับผมของเจ้านั่นมีสิ่งใดอยู่”

เห็นสิ...เขี้ยวสุนัขป่านั่นน่ะ

“อย่าได้ถลำไปมากกว่านี้”
“เจ้าไปบอกสหายสนิทของเจ้าเถิด เจ้านั่นต่างหากที่ถลำลึก”
 “เพราะเทียนอี้ถลำไปแล้ว ข้าเตือนไม่ทัน จึงมาเตือนเจ้าแทน” หมิงจูถอนหายใจ “ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เกินเลยไปกว่านี้ ข้าไม่ต้องการให้เรื่องอัปมงคลนั่นเกิดขึ้นอีก เข้าใจหรือไม่?”

เรื่องอัปมงคลอย่างนั้นหรือ?

เจี้ยนสือไม่พอใจกับคำพูดนี้ แต่เทพอสูรจิ้งจอกจะไปสนใจสิ่งใด เทียนอี้และเจี้ยนสือเป็นสหายร่วมรบมาตั้งแต่กาลก่อน เขาจึงไม่ต้องการให้ทั้งคู่มาแตกหักกันเพราะผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นหลิวซู หรือแม้แต่ซิ่นเฉิง เขาจึงจำต้องพูดออกไปตามตรง ไม่ใช่แค่กับเจี้ยนสือหรอกที่เขาพูดอย่างนี้ กับเทียนอี้เองก็พูดแล้วเช่นกัน แต่ทว่าเทียนอี้ดูเหมือนจะเตือนช้าไปสักนิดจึงไม่ทันการ จะมีก็แต่เจี้ยนสือนี่แหละที่ยังยับยั้งได้ทัน

“อย่ายุ่งกับเจ้านั่นหากไม่อยากให้พินาศกันไปมากกว่านี้ แค่หลิวซูคนเดียว พวกเจ้าก็ทำข้าปวดหัวมากพอแล้ว อย่าให้ได้มีอีก เจ้ายังอยากกลับสวรรค์อยู่ไม่ใช่หรือ?”

ไร้สรรพเสียงตอบรับจากเทพอสูรงูจงอาง หมิงจูจึงพูดขึ้นอีก
“หากความปรารถนาของเจ้ายังเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องระวัง การข้องเกี่ยวกับมนุษย์ไม่เป็นการดีไม่ว่ากับผู้ใด หากเจ้าอยากข้องเกี่ยวก็ขอให้เป็นไปเพื่อการให้กำเนิดทายาทเท่านั้น”

สิ้นเสียง หมิงจูก็ไร้ธุระจะพูดคุยอีก หน้าที่ของเขาที่เทียนอี้ไหว้วานมาก็สิ้นสุดแล้ว เขาจึงหมุนตัวหมายจะกลับออกไปทางเดิมที่เดินเข้ามา ก่อนจะเปรยขึ้นทิ้งท้ายเป็นคำบอกลา

“ข้าไม่ได้อยากจะล่วงเกินเรื่องของพวกเจ้าหรอก แต่อดีตต้องไม่ซ้ำรอย... ข้าจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้น”
พูดจบก็หายออกไปนอกจวน เจี้ยนสือมองตามหลังพลางขบคิด

อดีตต้องไม่ซ้ำรอย...

ใช่ จะไม่ซ้ำรอยอย่างแน่นอน เพราะเมื่อหลิวซูกลับมา จะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครอง...




[1] เจ้าแม่ซีหวังหมู่ เป็นฮองเฮาสวรรค์ซึ่งประทับอยู่ ณ วังทิศประจิม (ตะวันตก) บนเทือกเขาคุนหลุน ทำหน้าที่ปกครองคณะเทพฝ่ายหญิงทั้งหมด และทรงมีบทบาทในการส่งเทพไปยังโลกมนุษย์เพื่อชี้แนะมนุษย์ให้สั่งสมบุญบารมีให้มากพอที่จะได้เป็นเซียนต่อไป พระนางประสูติในวันที่ 1 เดือน 3 ดังนั้นในวันนี้ของทุกปีจะมีการจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โต มีการมอบท้อวิเศษให้กับเหล่าทวยเทพในวันนั้น และพระนางเป็นผู้ครอบครองยาทิพย์ที่ทำให้เป็นอมตะไว้มาที่สุดในสามโลก

[2] 1 เค่อ ประมาณ 15 นาที

--------------------------------------

เต็มตอนมาแล้วค่า
ชุ้นรู้นะว่าพวกเธอหวังอะไรอยู่ ว้ายยย นก #โดนตบ
งงเลย เอ๊ะ นี่พี่งูหรือพี่นก 555

ใครที่รอความกิ๊บก๊าว เจอกันตอนหน้าค่า XD

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็ดี แตะนิดแตะหน่อยเรือก็แล่นแล้ว พี่งูทำไมดีแบบนี้ อยากถูกพิษงูค่าาา  :mew1: :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อ๊าา ถึงจะชอบน้องหมาแต่น้องงูพี่ก็ชอบเหมือนกัน เลือกใครดีน้า~ :hao6:

ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :m20: ขอพิษให้เราเถิด 555

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
กิ๊บกิ้วกับตัวไหนอ่ะคะ เดาทางไม่ออก  :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด