►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 95176 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โอ้โห ท่านช่างเสน่ห์แรงเหลือเกินนะหลิวซู
ทำไมสองเทพนี่เข้าใจกันไปคนละทาง เข้าใจแบบเข้าข้างตัวเองเช่นนี้ไปได้

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ทะเลาะกันแตกหักกันเพราะหลินซู สรุปซูซูของใครกันแน่ ของทั้งคู่ หรือไม่ใช่ของใครเลย

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
รู้สึกเหมือนจะมีเงื่อนงำ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ซูซูเป็นของใครไม่รู้นะ แต่ชอบพี่งูมากๆเลย

ชอบนิสัยแบบนี้ น่าร้ากกกก แม้จะรู้ว่าเป็นพระรอง
แต่เราดันลงเรือลำนี้ตั้งแต่พวกเขาไปทะเลทรายด้วยกันแล้ว ฮือออออ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เรื่องนี้ 3p เหรอ นายเอกแลดูสองใจ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอลา  :katai3:

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รักคนเขียนเว่ออออออออ ได้อ่านทุกวันโลยจุ๊บแหม่งสามที :man1: :man1:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เรื่องนี้ 3p เหรอ นายเอกแลดูสองใจ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอลา  :katai3:

พระเอกคนเดียวค่า ไม่ 3P นะ

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
พี่งูพระรองแน่นอน เพราะเฉิงเฉิงใจเต้นกับเจ้าหมา

แต่ก็อยากเชียร์พี่งู พี่งูร่างเทพเท่มากแน่ๆ งื้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 
บทที่ 14: หวงแหน[1]

ใจของเทียนอี้ไม่เป็นสุขเลยแม้แต่น้อย...

ที่เขาสั่งให้ซิ่นเฉิงไปรออยู่ที่ห้องนอนของตน ก็เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปกับเจี้ยนสือให้เขาได้วูบไหวในใจอีก ทว่าการทำเช่นนั้นก็หาได้ช่วยอะไรเมื่อเขาแวะกลับมาที่ห้อง แล้วพบว่าร่างของชายหนุ่มที่ควรจะอยู่ในห้องของเขาอันตรธานหายไป ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าซิ่นเฉิงลอบหนีไปที่ไหนหากไม่ใช่จวนของเจี้ยนสือ แต่จะให้ไปตามตัวกลับมาในตอนนี้ก็ทำได้ยากยิ่งด้วยเขาต้องดูแลความเรียบร้อยในการส่งตัวธิดาสกุลหลิวกลับสู่แคว้น อีกอย่าง...หากให้บุกไปตามตัวซิ่นเฉิงกลับมา ถ้าได้เห็นอีกฝ่ายอยู่กับเจี้ยนสือดั่งการคาดการณ์ เขาคงระงับโทสะตนไม่อยู่แน่ ซึ่งนั่นไม่ส่งผลดีทั้งสิ้น

ประการแรก... เขาคงได้วิวาทกับเจี้ยนสือ
ประการที่สอง... ซิ่นเฉิงคงชิงชังเขาหากไปฉุดกระชากให้กลับจวน
และประการที่สาม... เขาไม่ต้องการให้มนุษย์หนุ่มผู้นั้นตราหน้าเขาว่ากักขังอีกฝ่ายไว้เยี่ยงสัตว์เลี้ยง เพราะเขาหาได้มองว่าซิ่นเฉิงเป็นสัตว์เลี้ยงหรือแม้แต่ทาส เพียงแต่อยากเก็บไว้ใกล้ตัวก็เท่านั้น

ดังนั้นจึงได้ไหว้วานให้หมิงจูซึ่งตามมายังจวนของเขาหลังจากที่รู้ว่าเจี้ยนสือมาก่อเรื่องไว้ ให้ไปตามตัวซิ่นเฉิงกลับแทน
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เทียนอี้ก็กระสับกระส่ายราวกับเวลาผันผ่านเป็นแรมปี สายตาทอดมองไปยังทุกขอบกำแพงรั้วของจวน เฝ้ารอการกลับมาของเจ้าแมวป่าที่หนีออกไปเที่ยวเล่นอย่างใจจดจ่อโดยหาสาเหตุไม่ได้เลยว่าเหตุใดถึงได้ร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ ครั้นเห็นเงาดำของบุรุษกระโดดผ่านเข้ามายังสวนด้านใน เทียนอี้ก็หายใจโล่งอกขึ้นมาบ้าง ทว่าก็หาได้สบายใจนักด้วยตระหนักดีว่าเนื้อตัวของซิ่นเฉิงจะต้องมีกลิ่นของเจี้ยนสือติดมา

มันเป็นกลิ่นที่เขารังเกียจยิ่งนัก...

กระนั้นก็หาได้ทำสิ่งใดโฉ่งฉ่าง หมุนตัวกลับเข้าไปรอยังห้องหนังสือ แสร้งทำทีเหมือนยังไม่เสร็จธุระสำคัญ นิ่งฟังเสียงของซิ่นเฉิงที่ปีนหน้าต่างกลับเข้ามายังห้องนอนเป็นที่เสร็จสิ้น ถึงลุกออกจากเก้าอี้ ตรงไปยังห้องนอนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ก็เห็นซิ่นเฉิงนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ก่อนเสียงของเจ้าตัวจะดังขึ้น
“เสร็จสิ้นแล้วหรือเจ้าหมา ข้ารอจนเกือบจะหลับอยู่แล้ว”

สีหน้าของซิ่นเฉิงดูปกติเป็นอย่างยิ่ง ช่างแสร้งทำทีเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้หน้าตายนัก หารู้ไม่ว่าต่อให้เทียนอี้ไม่เข้ามาเห็นว่าซิ่นเฉิงลอบหนีออกไป แต่กลิ่นสาบงูที่ติดตัวมาก็ทำให้เขารู้อยู่ดี

ทว่าเทียนอี้ก็หาได้พูดสิ่งใด นอกจากปิดประตูลงดาลและเดินมาหยุดยังขอบเตียง ซิ่นเฉิงเหลือบมองหน้า ถามเสียงขุ่นเมื่อเห็นว่าเทพอสูรตรงหน้าจ้องมองตนนิ่ง

“มีอะไร ไยมายืนจ้องหน้าข้าเช่นนี้”
“เฉิงเฉิง” แทนที่จะตอบ กลับเรียกชื่อออกมา

ทันทีที่มนุษย์หนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พลันก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ เทียนอี้ก็ทิ้งตัวลงมาคร่อมร่างตนเอาไว้
“เป็นบ้าอันใดของเจ้า!”

เสียงโวยวายดังตามมาทันที ทว่าก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลยแม้แต่น้อย สองแขนตระกองกอดร่างแกร่งมั่นราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะมลายหายไป ปลายจมูกซุกไซ้ไปที่ซอกคอ สูดกลิ่นกายของคนตรงหน้า พลันก็ต้องขัดใจเมื่อกลิ่นสาบงูลอยคละคลุ้งเจือปนมาให้ได้สัมผัส

อยากจะจับชำระล้างร่างกายเสียให้กลิ่นสาบนั้นหมดสิ้น...

เป็นความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวของเทียนอี้ แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้นด้วยตระหนักได้ว่าในราตรีก่อนที่เขาล้างเนื้อตัวของซิ่นเฉิง ผิวกายที่ถูกขัดถูแดงเถือกเพราะเขาหมายจะขจัดกลิ่นสาบนั้นออกเพียงใด เขาไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงเจ็บปวดแม้แต่เพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน...เขาก็ไม่ได้ต้องการให้กลิ่นของเจี้ยนสือหายไปเพราะถูกน้ำชำระล้าง หากแต่อยากให้กลิ่นกายของเขากลบทับจนกลิ่นของเจ้างูนั่นหายไปมากกว่า

เมื่อคิดเช่นนั้น ความปรารถนาก็พวยพุ่ง ไม่เพียงกอดรัด ยังใช้จมูกลากลูบไปตามผิวหนังบนลำคอ

ซิ่นเฉิงขนลุกชันเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของจมูกสุนัขป่า ครั้นเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่น...

“อะไรของเจ้ากัน”
...เทียนอี้ก็พึมพำออกมา
“ข้ารังเกียจกลิ่นนี้นัก”

กลิ่นนี้... กลิ่นตัวข้า?

เรียวคิ้วกระบี่ขมวดมุ่น เข้าใจผิดว่าเทียนอี้หมายถึงกลิ่นกายของตน แต่...เขาก็หาได้มีกลิ่นน่าชิงขังขนาดนั้นเสียหน่อย ราตรีก่อนก็ชำระล้างร่างกายไปแล้ว เมื่อเช้าก็อีกระลอก มีกลิ่นใดกัน

ทว่า... ก็เข้าใจได้ในอีกอึดใจต่อมาว่ากลิ่นที่เทียนอี้ว่านั้นหมายถึงกลิ่นใด

“กลิ่นของเจ้างูนั่น...ข้าไม่อยากให้ติดกายของเจ้า”
เทียนอี้ว่าออกไปอย่างซื่อตรง ในอกอัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่มดั่งธาตุไฟแตกซ่าน นึกหวงแหนคนในอ้อมแขนขึ้นมาเสียจนไม่อาจหักห้าม ขณะที่ซิ่นเฉิงยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เทียนอี้พูด กระนั้นก็รับรู้แล้วว่าเจ้าสุนัขป่าตรงหน้ารู้แล้วว่าเขาหนีออกไปข้างนอกมา

“หากเจ้าไม่อยากให้ตัวข้ามีกลิ่นของเจี้ยนสือ ข้าจะไปล้างออก”

เพราะกระทำความผิดมา จึงไม่ได้แสดงอาการดื้อดึงใดๆ ออกจะว่าง่ายด้วยซ้ำเมื่อได้ยินว่าเทียนอี้ไม่พึงใจกับกลิ่นของสหายเก่า คล้ายกับว่าจะชดเชยความผิดที่ได้ก่อ

หากแต่เมื่อขยับตัว เทียนอี้ก็กอดเอาไว้แน่น
“ไม่ต้อง”
ได้ยินดังนั้น ซิ่นเฉิงก็ชะงัก ถามกลับเสียงขุ่น ในใจก็ฉงนกับท่าทางของเทียนอี้อยู่ไม่น้อย

ราวกับว่าออดอ้อนอย่างไรอย่างนั้น...

“เจ้าไม่ปล่อยข้า แล้วข้าจะล้างตัวได้เช่นไร”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น เทียนอี้ก็กระซิบเสียงพร่าข้างใบหูอีกฝ่าย
“เพราะข้าจะล้างกลิ่นนั้นให้เจ้าเอง”
สิ้นเสียงก็จรดริมฝีปากจูบลงบนกกหู ก่อนจะลากไล้ปลายลิ้นไล่ต่ำลงมายังลำคอ สัมผัสเปียกชื้นและอุ่นร้อนทำให้ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าการชำระล้างของเทียนอี้หมายถึงสิ่งใด ก่อนที่เขาจะผลักไสอีกฝ่ายออก
“ปล่อยข้า ข้าจะจัดการเอง”

แต่ไร้ประโยชน์เมื่อเทียนอี้ออกแรงกดอีกฝ่ายลงบนฟูก แทรกตัวเข้ามาระหว่างกลางขาทั้งสองข้าง ทั้งที่ซิ่นเฉิงดิ้นรนหนีแล้ว ทว่าก็ไม่อาจต่อกรกับเรี่ยวแรงของเทพอสูรได้ จนสุดท้ายก็ดิ้นขลุกขลักจนแทบหมดแรง จังหวะที่หยุดดิ้นไปนั้น หูก็ได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้น

“ร่างกายของเจ้า...จะอบอวลไปด้วยกลิ่นของข้า”

พูดจบก็ประทับจูบลงบนปลายคาง ไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ด้วยปลายจมูกเย็นชื้นราวกับว่าจะตรวตราว่าส่วนใดของซิ่นเฉิงมีกลิ่นของเจี้ยนสือบ้าง

แม้จะไม่ต้องการให้เทียนอี้ได้สัมผัสร่างกายด้วยรู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนี้ แต่ซิ่นเฉิงก็ไม่อาจต่อต้านได้เมื่อความวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ธาตุในกายปั่นป่วน สติสัมปชัญญะลดน้อยถอยลงราวกับต้องพิษ ทั้งที่เทียนอี้หาได้กระทำการใดไปนอกเหนือกว่าการดอมดม หากแต่กลับทำให้ซิ่นเฉิงแทบประคองสติตนไว้ไม่อยู่

เขาหลงใหลกับสัมผัสของเทียนอี้นัก...

นั่นเป็นความจริงที่เพิ่งรับรู้ แม้ในคราก่อนๆ จะคิดว่าเป็นการเผลอไผล หากแต่เมื่อถูกสัมผัสในคราวนี้ เขากลับไม่ปัดป้องใดๆ แม้ว่าปากจะเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา

“อย่า...”

นั่นเป็นเพียงถ้อยคำ ทว่าทันทีที่ถูกฝ่ามืออุ่นร้อนลากลูบไปยังหน้าท้องแกร่ง ไล่ระดับขึ้นมายังตุ่มไตเล็กๆ หยอกเย้าจนชูชัน ซิ่นเฉิงก็แอ่นอกรับการสัมผัสนั้นอย่างโหยหา

เทียนอี้เองก็หน้ามืดไปชั่วครู่ ปกติแล้วเขาจะครองสติได้ดีกว่านี้นัก กระทำการใดก็ย่อมต้องไตร่ตรองคิดเสียจนรอบครอบ ทว่าพอจิตใต้สำนึกร้องย้ำว่าซิ่นเฉิงไปหาเจี้ยนสือ เขาก็ไม่อาจหักห้ามความหวงแหนที่ผุดพรายขึ้นในใจได้เลยแม้แต่น้อย

มันหาใช่ความหวงแหนประดุจดั่งนายหวงทาส... หากแต่เป็นความหวงแหนของสุนัขหวงนาย

ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ใคร่ให้เจ้านายของตนมีกลิ่นของสุนัขหรือสัตว์อื่นติดกายมาทั้งนั้น...

ร่างกายของเจ้านาย... สมควรมีแต่กลิ่นของเขา

เทียนอี้หลงลืมไปแล้วว่าตนเป็นเทพอสูรในคราบของสุนัขป่า หาใช่สุนัขเลี้ยงดั่งสัตว์เดรัจฉานแต่อย่างใด ทว่าต่อให้เขาตระหนักได้ เขาก็หาสนใจทั้งสิ้น ด้วยในใจเขาตอนนี้อบอวลไปด้วยความหวาดกลัว

หวาดกลัว...ว่าจะต้องสูญเสียคนรักไปดั่งเช่นในชาติก่อนๆ เพราะเจี้ยนสือ

แม้ว่าซิ่นเฉิงจะไม่ใช่คนเดียวกับหลิวซู แต่ความรู้สึกภายในใจของเทียนอี้นั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร ความหวงแหน ความรักใคร่...

รักใคร่...

คงจะเป็นเช่นนั้น ถึงจะไม่มีคำตอบว่าเหตุใดถึงได้เกิดความรู้สึกนี้กับซิ่นเฉิงทั้งที่ความรักของเขาควรมีต่อหลิวซูผู้จากไปเพียงผู้เดียว แต่เทียนอี้ก็ไม่ใคร่หาคำตอบในเวลานี้ นอกจากจะทำให้ซิ่นเฉิงมีแต่กลิ่นของเขาเท่านั้น

อาภรณ์ซึ่งเป็นปราการขวางกั้นช่างน่ารำคาญใจนัก เทียนอี้กระชากออกจากกันจนขาดวิ่นเป็นเศษซาก ครั้นผิวเนื้อสีน้ำตาลอ่อนปรากฏให้เห็น ก็ไม่รอช้าที่จะประทับปลายจมูกลงไปสูดดมกลิ่น ใช้ปากขบเม้มยอดอกเล็กๆ ที่ตั้งชันยั่วเย้า ใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามรูปทรงเมื่อซิ่นเฉิงส่งเสียงคำรามต่ำออกมาจากลำคอ

หยอกเย้าเม็ดบัวสีเข้มจนเป็นที่พอใจ ฝ่ามือก็ลากลูบไปยังแก่นกลางของลำตัว ครั้นรู้สึกถึงเนินนูนภายใต้เนื้อผ้า เทียนอี้ก็ปลดปมเชือกรัดเอวของอีกฝ่ายออก อาภรณ์ชิ้นล่างคลายออกจากกัน มือหนาก็คืบคลานเข้าไปลูบไล้สัมผัสความเป็นบุรุษที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ส่วนปลายมีของเหลวไหลซึม ผิวเนื้ออุ่นร้อนมากกว่าบริเวณอื่น ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับว่าร่างกายนั้นไม่ใช่ของตนอีกต่อไป ครั้นฝ่ามือของเทียนอี้ที่กอบกุมแก่นกายอยู่เคลื่อนไหว บั้นเอวหนาก็ขยับไปตามการนำพาอย่างไม่อาจควบคุม

ฝ่ามือนั้นเร่งเร้าเร็วขึ้น สะโพกของซิ่นเฉิงก็ขยับมากกว่าเดิมเช่นกัน เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเสียสิ้น กระนั้นปากก็ยังจะร้องห้าม

“เทียนอี้...อย่า...”

เป็นครั้งแรกที่เทพอสูรได้ยินอีกฝ่ายร้องเรียกชื่อของตน และนั่นเป็นความผิดพลาดของซิ่นเฉิง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เทียนอี้หยุดแล้ว ยังจะทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทพผู้นี้เต้นระรัวเร็วอีกด้วย ในอกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด คล้ายกับว่าเขาพึงปรารถนาจะได้ยินการเอ่ยนามของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยกลีบปากนุ่มของมนุษย์หนุ่มตรงหน้า

“เทียนอี้...”

ซิ่นเฉิงหายใจหอบหนัก ปากยังคงเปล่งเสียง การเอ่ยนามนั้นเป็นครั้งที่สอง เทียนอี้ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาใคร่อยากได้ยินอีก ดังนั้นจึงปราดเลียไปทั่วร่างของซิ่นเฉิงด้วยปลายลิ้นร้อนอย่างกระหาย ลิ้นนั้นลากไล้เข้าสำรวจลงต่ำ ครั้นถึงอวัยวะความเป็นบุรุษเพศกลางลำตัว เทียนอี้ก็เลียไล้อย่างไม่นึกรังเกียจ

ความเสียวซ่านสร้างความกำหนัดทวีคูณ ซิ่นเฉิงหายใจหอบหนัก ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อสะโพกขึ้นยกขึ้นสูง พลันดอกบุปผชาติตูมก็ถูกปลุกเร้าด้วยความอุ่นร้อนจากปลายลิ้น

ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก...

สองมือของซิ่นเฉิงกำเส้นขนนุ่มบนแผงคอของเทพอสูรมั่น ใบหน้าคร้ามส่ายไปมาด้วยไม่อาจทานทนกับสัมผัสซาบซ่านได้ไหว เส้นผมสีนิลกระจายไปทั่วฟูกนุ่ม ครั้นเทียนอี้เหลือบขึ้นมองก็ส่งผลให้ความร้อนรุ่มในกายของเขาทวีคูณ จนเขาไม่อาจทานทน ผละริมฝีปากออกมาจรดจูบเรียวปากนุ่ม

จากคราแรกที่หมายจะกำจัดกลิ่นสาบของเจี้ยนสือ ครานี้กลายเป็นว่าเขาอยากจะกลืนกินมนุษย์หนุ่มตรงหน้าเสียให้ไม่เหลือแม้แต่ขนสักเส้น ซิ่นเฉิงดันตัวขึ้นนั่งหมายจะหนี ทว่าก็ถูกเทียนอี้คว้ามากอด มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยของชายหนุ่ม ริมฝีปากบดจูบราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างกาย

แสงจันทร์สาดส่องผ่านวงกบหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียงนอน ร่างอสูรแปรเปลี่ยนเป็นร่างอดีตเทพ จากที่จุมพิตไม่ถนัดด้วยรูปปากของสุนัขป่า ครานี้ประกบจูบเรียวปากของอีกฝ่ายแนบแน่น ดูดกลืนความหอมหวานคล้ายกับจะสูบวิญญาณของซิ่นเฉิงให้ดับสิ้น สอดปลายลิ้นเข้าไปตักตวงความหอมหวานราวกับไม่เคยลิ้มมธุรสแห่งกามารมย์เช่นนี้มาก่อน

มนุษย์หนุ่มหายใจกระหืดหอบ สะดุ้งขึ้นมาอีกคราเมื่อเทียนอี้ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนจนเปลือยเปล่า ผลักให้เขาล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะใช้แก่นกายที่แข็งขืนเข้าถูไถบริเวณรอยจีบทางด้านหลังของเขาคล้ายกับจะหลอมรวมให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเล็กน้อย มือของซิ่นเฉิงก็ผลักไสคนตรงหน้าให้ออกห่าง ปากเปล่งเสียงแหบแห้ง

"หยุด..."
เทียนอี้ปรายตามอง ใบหน้าคร้ามคมปรากฏรอยย่นที่หว่างคิ้ว
“หยุดได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะจับเจ้าถอนขนทีละเส้น”

ซิ่นเฉิงว่าขู่ทั้งที่ลมหายใจยังกระเส่า แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย โน้มศีรษะลงมาพรมจูบไปทั่วลำคอ ฝ่ามือรูดรั้งแก่นกายของอีกฝ่าย มืออีกข้างชำแรกเข้าไปในปากทางเล็กๆ หมายจะให้ซิ่นเฉิงคุ้นชินก่อนที่จะรับเอาความเป็นบุรุษของเขาเข้าไป จนความสุขล้นทะลักออกมาเป็นสายธารก่อนที่เทียนอี้จะได้กระทำไปถึงขั้นสุดท้าย

เสียงหอบหายใจของซิ่นเฉิงดังขึ้น ครั้นพอจะทุเลาลงก็อ้าปากหมายจะบริภาษ

“เจ้าจะบ้าหรือไร ข้ายอมให้เจ้าแตะต้องกายก็หาใช่ว่าข้าจะยอมให้เจ้าครอบครองเยี่ยงสตรี!”

แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเขาสบตาเข้ากับดวงตาสีอำพันของเทียนอี้ซึ่งในขณะนี้ประกายความเจ็บปวดออกมาอย่างท้วมท้นหลังจากที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าคิดจะทำการใด

เขาต้องการจะครอบครองซิ่นเฉิง...เพราะเป็นกังวลว่าจะถูกเจี้ยนสือช่วงชิงไป

จากนั้นก็ระงับความกำหนัดของตนในทันที พลันเอ่ยออกมาราวกับหมดสิ้นหนทางอีกต่อไป
“เจ้า...จะมองแต่ข้าได้หรือไม่...”

แม้ไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ก็ทำให้หัวใจของซิ่นเฉิงบีบรัดจนปวดแปลบราวกับว่าเคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน

“เฉิงเฉิง...” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เทียนอี้ก็เอ่ยชื่อคนในอ้อมแขน “ได้โปรดมองแต่ข้า” จากนั้นก็เปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
ไม่เพียงแต่ในดวงตาเท่านั้นที่มีร่องรอยของความเจ็บปวด ในน้ำเสียงก็มีความรู้สึกนั้นเจือปน ซิ่นเฉิงสัมผัสได้แต่ก็หาได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงสิ่งใด

“ในตอนนี้...สายตาของข้าก็มีแต่เจ้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” แต่กระนั้นก็ตอบออกไปด้วยไม่อยากเห็นเทียนอี้มีสีหน้าเช่นนั้น ความหัวเสียก่อนหน้ามลายหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

คำพูดซื่อตรงเรียกรอยยิ้มมุมปากของเทพอสูรให้เผยออกมา แม้ความหมายของซิ่นเฉิงจะหมายถึงเขามองหน้าเทียนอี้อยู่ ดังนั้นจึงมีภาพของเขาในประกายแววตา แต่นั่นก็ทำให้คนฟังชุ่มฉ่ำขึ้นมาในใจได้ ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าลงซุกที่ซอกคอ พึมพำเสียงเบาราวกับพูดคนเดียว

“ขอให้เจ้ามองแต่ข้าผู้เดียวตลอดไป”

ซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจ แต่การแสดงออกของเทียนอี้นั้นทำให้เขาใจเต้นระส่ำขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ขบขันด้วยท่าทางของเทพอสูรผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับสุนัขเหลือเกิน ยิ่งแสงจันทร์ถูกกลุ่มเมฆบดบัง ร่างกายกลับคืนสู่ร่างของเทพอสูรด้วยแล้ว ซิ่นเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูเจ้าสุนัขป่าขี้อ้อนผู้นี้จนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปขยำเส้นขนบริเวณแผงคอเล่น

“หากเจ้าเป็นสุนัขจริงๆ ข้าคงคิดว่าเจ้าออดอ้อนข้าไปแล้ว”

ออดอ้อนหรือ? เทียนอี้คิด... ก็ออดอ้อนจริงๆ นั่นล่ะ

“แต่นี่เจ้าคงหมายจะทำการใดอยู่ล่ะสิ ถึงได้เสแสร้งเช่นนี้” ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพูดออกมาอย่างสบายๆ แท้ๆ แต่คราวนี้กลับแฝงไปด้วยความหวาดระแวง

เทียนอี้ก็ไม่ได้โต้เถียงใดๆ ทำเพียงกอดก่ายอีกฝ่ายแล้วซุกใบหน้าอยู่อย่างนั้น การไม่ไหวติงของเทียนอี้ทำให้ซิ่นเฉิงทอดถอนหายใจ ยอมแพ้ที่จะต่อกรด้วยเป็นครั้งแรก พลันทุบเข้าที่บ่าแกร่งสองสามครั้งไม่แรงนัก

“หากเจ้าใคร่จะคลุกคลีกับข้ามากถึงเพียงนี้ ข้าจะยอมให้เจ้ากอดก่ายก็ได้ แต่ลงมานอนข้างๆ ทับข้าเช่นนี้ ข้าอึดอัด”

เทียนอี้ยอมขยับตัวมานอนข้างๆ ทว่าแขนก็ยังพาดอยู่บนลำตัวของซิ่นเฉิงไม่ห่าง ปลายจมูกก็ซุกไซ้ซอกคอบ้าง หัวไหล่บ้าง เส้นผมบ้าง อีกทั้งยังจรดจูบส่วนนั้นส่วนนี้ ช่างชวนให้ซิ่นเฉิงรำคาญยิ่งนัก แต่ก็หาได้ปริปากใดๆ ออกไปเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ปิดเปลือกตาลง กระทำการเหล่านั้นราวกับละเมอ ทำเอาใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่มแต่งแต้มรอยยิ้มขบขันออกมา

เป็นนายของข้าอย่างนั้นหรือ? ดูที่เจ้ากระทำสิ อย่างกับว่าข้าเป็นนาย ส่วนเจ้าเป็นสุนัขเลี้ยงของข้าอย่างนั้นล่ะ

กระทั่งซิ่นเฉิงยังคิดเช่นนั้นเลย แต่เขากลับพึงใจที่ได้เห็นเทียนอี้เป็นเช่นนี้ ดีเสียกว่าตอนที่อีกฝ่ายวางท่าเป็นแม่ทัพใหญ่เสียอีก ราวกับว่าเขาได้ล่วงรู้อีกด้านหนึ่งที่เทียนอี้หาได้เปิดเผยให้ผู้ใดได้เห็น แม้แต่คนสนิทอย่างพ่อบ้านเหลียงก็หาได้เคยพบเจอผู้เป็นนายในด้านนี้

มีเพียงซิ่นเฉิงเท่านั้นที่รับรู้...

ซิ่นเฉิงยิ้มกริ่ม ถึงจะไม่สบายตัวจากคราบของเหลวที่เปรอะเปื้อนบนหน้าท้องตน กระนั้นก็หาได้คิดจะผุดลุกในชำระล้างในยามนี้ เมื่อเห็นเทียนอี้หลับตาพริ้ม มือก็เอื้อมไปขยำเส้นขนสีเงินยวงมั่น หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่นานนักก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ สวนทางกับเทียนอี้ที่เปิดเปลือกตาขึ้น ครั้นเห็นอีกฝ่ายหลับใหลก็ดึงมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ในใจครุ่นคิดเป็นพัลวันด้วยสับสนยิ่ง

หรือหัวใจของข้าจะถูกเจ้าช่วงชิงไปแล้ว...

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 14: หวงแหน[2]
 
ความพิศวาสรักใคร่ในตัวของซิ่นเฉิงไม่ควรเกิดขึ้น เทียนอี้ได้ให้สัตย์สาบานกับหลิวซูไปเมื่อครั้งพลัดพรากจากกันแล้วว่าจะรักและรอคอยอีกฝ่ายหวนคืนกลับมาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หากแต่ในยามนี้ เขากลับมีใจปฏิพัทธ์ต่อซิ่นเฉิงเพียงเพราะหวาดเกรงว่าอีกฝ่ายจะไปสนิทสนอมกับเจี้ยนสือ

นั่นหาใช่หวงแหนเพราะอยากแก้แค้นเจี้ยนสือที่พรากคนรักของเขาไป หากแต่หวงแหนเพราะเกรงซิ่นเฉิงจะมอบดวงใจให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่เขามากกว่า การที่เก็บชายหนุ่มไว้กับตัวเช่นนี้เป็นความปรารถนาของเขาตั้งแต่แรกพบอยู่แล้ว หากมีผู้ใดช่วงชิงไป เทียนอี้คงคลั่งตายเป็นแน่ แม้แต่ความเป็นอมตะของเทพอสูรที่ดำรงอยู่นี้ก็คงไม่ช่วยอะไร เขาคงต้องขาดใจตายหากข้างกายไร้ซิ่นเฉิงเคียงข้าง

ช่างน่าอดสูเหลือเกินที่จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว การเก็บซิ่นเฉิงไว้กับตัว กักขังไว้ในจวน ย่อมไม่เป็นผลดีกับเขาเลยแม้แต่น้อยในเมื่ออีกฝ่ายมีเจี้ยนสือเป็นผู้นำพากลับสู่ทะเลทราย แม้จะเป็นเพียงชั่วครั้งคราว แต่นั่นก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีก

เหตุการณ์ที่เขาถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย...

หากซิ่นเฉิงจะต้องเป็นของผู้ใด... สู้ปล่อยให้เป็นอิสระและไปจากเขาตลอดกาลเสียจะดีกว่า

ฉะนั้นเมื่ออรุณรุ่งมาถึงและได้ให้มนุษย์หนุ่มไปจัดการชำระล้างคราบไคล อีกทั้งกินอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เทียนอี้ก็เรียกให้อีกฝ่ายไปหายังหน้าเรือนใหญ่โดยไม่บอกว่ามีธุระใด

ออกจะน่าหงุดหงิดเสียหน่อยที่ถามผู้ใดก็หาได้มีใครรู้ว่าเทียนอี้เรียกเขาไปด้วยการใด แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ขัดคำสั่ง ยอมเดินมาหาแต่โดยดี และก็ต้องขมวดคิ้วจนแทบเป็นเส้นเดียวกันเมื่อเห็นเทียนอี้ยืนสนทนาอยู่กับทหารอีกสองสามนาย เบื้องหน้ามีอาชาตัวเขื่องอยู่สองตัว

ครั้นใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าของคนมาใหม่ เทียนอี้ก็หันไป พอเห็นว่าเป็นซิ่นเฉิงก็ออกปากเรียก
“มานี่สิ”

ซิ่นเฉิงก้าวเข้าไปหา ก่อนที่จะถูกถาม
“เจ้าชอบม้าตัวไหน”

ซิ่นเฉิงหันมองหน้าทันควัน “ถามเพื่อการใด ในเมื่อถามไป ข้าก็หาได้ขี่มัน”
“เพราะข้าจะให้เจ้าขี่ ข้าถึงได้ถาม” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบ ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับชะงักค้าง
“ประเดี๋ยวก่อนนะ เจ้าว่าเช่นนั้นหมายความอย่างไร”

สีหน้าของคนถามในยามนี้ชวนให้ขบขันนัก หากแต่เทียนอี้เพียงยกยิ้มแล้วตอบเสียงเรียบอีกครา
“ข้าจะให้เจ้าได้ขี่มัน เพราะเจ้าจะออกไปนอกจวนกับข้า”

แทบไม่เชื่อหูตนเลยทีเดียว เพราะเมื่อราตรีที่แล้ว เขายอมให้เทียนอี้กกกอดจนถึงวันใหม่อย่างนั้นหรือ? เทียนอี้ถึงได้ใจดีกับเขานัก?

แต่ก็ไม่ใคร่จะเค้นหาคำตอบ แค่ได้ยินว่าจะได้ออกนอกจวน ซิ่นเฉิงก็ดีใจเสียจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ สายตาปรายมองสำรวจอาชาตรงหน้า เลือกพาหนะคู่ใจทันควัน

“ข้าชอบเจ้านี่ ข้าจะขี่มัน” ปลายนิ้วชี้ไปยังม้าเพศผู้ตัวเขื่องสีดำมะเมื่อม

เทียนอี้ไม่ขัดอันใด ม้าตัวนั้นก็เหมาะสมกับซิ่นเฉิงดี รูปลักษณ์น่าหลงใหล แข็งแกร่ง เรี่ยวแรงมาก บางคราก็พยศเสียจนชวนให้ปวดหัว... เรียกได้ว่าคล้ายกับราวกับแกะ

“ตามที่เจ้าปรารถนา” เทียนอี้ว่า ไม่ขัดใดๆ ก่อนจะหันไปบอกกับทหารที่ดูแลม้าเหล่านั้นอยู่สั้นๆ “ข้าจะออกไปนอกแคว้นกับซิ่นเฉิง พวกเจ้าไม่ต้องตามไป ประเดี๋ยวจะกลับมาอีกไม่กี่ชั่วยาม”

สิ้นเสียงก็เป็นฝ่ายปีนขึ้นนั่งบนหลังม้าเป็นคนแรก ทำเอาซิ่นเฉิงที่มัวแต่ลูบคลำเจ้าม้าเพื่อสร้างความคุ้นเคยต้องปีนขึ้นตาม ก่อนที่จะควบออกไปเมื่อเห็นว่าเจ้าของจวนควบนำออกไปแล้ว

ภาพเทพอสูรผู้เป็นนายและมนุษย์หนุ่มที่เลี้ยงไม่เชื่องควบม้าออกไปนอกจวนอยู่ในสายตาของพ่อบ้านเหลียงตลอด เขาไม่ได้เข้ามาห้ามปรามใดๆ แม้ว่าตอนแรกจะไม่เห็นด้วยเมื่อได้ยินเทียนอี้บอกว่าจะพาซิ่นเฉิงออกนอกจวนในวันนี้ หากแต่เมื่อได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ คำทัดทานทุกอย่างก็อันตรธานหายไป เกิดเป็นความหวังขึ้นมาว่าซิ่นเฉิงจะเลือกทำในสิ่งที่เขาคาดหมายไว้

อย่ากลับมา... ขอให้ไปจากจวนแห่งนี้

นั่นเป็นสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงคาดหวัง แต่ก็สุดจะคาดการณ์ได้ เขาจึงทำได้เพียงภาวนาต่อสวรรค์ ขอให้เมตตา อย่าได้ชักพาความเจ็บปวดมาให้กับเทียนอี้อีกเลย

ขอให้ความทุกข์ทรมานนั้นสิ้นสุดลงเสียที...



 
“เจ้าจะพาข้าไปไหน”

ซิ่นเฉิงพร่ำถามคำถามนี้ตลอดทางที่ควบม้าขนาบข้างเทียนอี้ แต่ก็หาได้รับคำตอบ นอกจากความเฉยเมยของเทียนอี้เท่านั้น จนความดีใจที่จะได้ออกจากจวนในตอนแรกกลับกลายเป็นความหัวเสียเมื่อเทียนอี้ไม่เอ่ยคำใดๆ

“หากเจ้าไปตอบ ข้าจะไม่กลับไปที่จวนกับเจ้า!”
เมื่อถูกขัดใจก็ร้องขู่ เทียนอี้เหลือบมามองเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมปริปาก
“เมื่อผ่านพ้นประตูแคว้นเฟิงฝูไป เจ้าก็จะได้รู้”
จากนั้นก็ควบม้านำออกไป ทิ้งให้ซิ่นเฉิงขุ่นข้องใจเล็กน้อย

ผ่านพ้นประตูแคว้นเฟิงฝู... หรือนั่น... จะหมายถึงทะเลทราย?

เป็นจริงดั่งเช่นที่ซิ่นเฉิงคิด ครั้นผ่านพ้นประตูแคว้นไป ภาพทะเลทรายสีเหลืองทองก็ปรากฏสู่สายตา ไอร้อนจากสายลมพัดผ่านปะทะผิวกาย ทะเลทรายในยามดวงอาทิตย์ส่องสว่างนั้นช่างแตกต่างจากยามกลางคืนนัก เมื่อได้เห็น ความโหยหาในดินแดนที่ตนจากมาก็พวยพุ่ง ซิ่นเฉิงควบม้าเหยียบย่ำไปบนผืนทรายอย่างช้าๆ เขามองไปยังผืนทรายสุดลูกหูลูกตาด้วยความคิดถึงอย่างเปี่ยมล้น

“ทะเลทราย... เจ้าคงจะโหยหานัก”

เทียนอี้เปรยออกมา สายตาทอดมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ ไม่ตอบรับคำพูดใดๆ ของเขา สังเกตจากสีหน้าของซิ่นเฉิงแล้ว ดูท่าคงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งก็จริงอย่างที่เทียนอี้คิดไว้ บัดนี้ซิ่นเฉิงกำลังพิจารณา... เขามีม้า และเขาก็อยู่นอกแคว้นเฟิงฝู หากสบโอกาสตอนที่เทียนอี้เผลอและควบม้าหนีไป ก็คงจะรอดกลับสู่แผ่นดินเกิดโดยง่าย

แต่ความคิดนั้นก็ต้องมลายไปเมื่อเทียนอี้ว่าออกมาอย่างรู้ทัน
“ส่วนยามนี้ เจ้าก็คงคิดว่าเมื่อไรข้าจะเผลอ เจ้าจะได้ควบม้าหนีไปกระมัง”

ซิ่นเฉิงหันมองทันใด ก่อนจะสบตากับเทียนอี้ซึ่งยกยิ้มน้อยๆ อยู่ ไร้ซึ่งสรรพเสียงไปชั่วครู่ ไม่นาน เทียนอี้ก็เป็นฝ่ายควบม้าเข้ามาใกล้ พลันยื่นห่อผ้าออกไปตรงหน้า

ซิ่นเฉิงจำห่อผ้านี้ได้ดี มันเป็นของที่ซิ่นจินได้ฝากเอาไว้ให้ ครั้นรับมาก็มองหน้าเทียนอี้อย่างไม่เข้าใจนัก
“สิ่งนี้เป็นของเจ้า เครื่องประดับเหล่านั้น เจ้าควรได้รับมันคืน”

ยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม เหตุใดกัน จู่ๆ เทียนอี้ถึงได้มอบพวกมันคืนให้โดยง่ายดายเช่นนี้?
“เจ้าคิดทำการใดอยู่” เพราะสงสัยจึงเอ่ยถาม

เทียนอี้ไม่ตอบ แต่กลับพูดสิ่งที่อยู่ในใจตนออกมา
“ข้าจะให้เจ้าโอกาสเจ้าเพียงหนึ่งถ้วยชา จงควบม้าออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ฝีเท้าของม้าตัวนี้จะทำได้ เมื่อข้าหันกลับมา หากข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

การที่พาเขากลับมายังทะเลทราย หมายถึงจะปล่อยเขาไปหรือ!?

ซิ่นเฉิงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน แต่คนอย่างเทียนอี้หาใช่คนที่ถนัดพูดเล่นหัวนัก ยิ่งสบสายตาจริงจังคู่นั้นก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่หลุดออกจากปากของเทพอสูรผู้นี้คือเรื่องจริง

“หากทว่า...เมื่อข้าหันกลับมาแล้วเห็นเจ้ายังอยู่ที่เดิม เจ้าจะไม่ได้รับโอกาสนี้อีก”

เทียนอี้ว่าออกมาอีกครั้ง ที่เอ่ยอย่างนั้นเป็นเพราะไม่ต้องการกำหนดชีวิตของคนตรงหน้า แค่สวรรค์ลิขิตชะตาชีวิตเขา มันก็น่าเวทนาพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงมาหลงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรอันน่าอดสูนี้อีกคน

หากแต่เมื่อซิ่นเฉิงได้ยินคำพูดนั้น ฉับพลันใจของเขาสับสนอย่างรุนแรง

ใจปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะได้หวนคืนสู่ทะเลทราย แต่ทว่า...เมื่อมีโอกาส เขากลับลังเล

หากกลับไปก็ต้องพลัดพรากจากคนตรงหน้าตลอดกาล มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ซิ่นเฉิงกลับไม่อยากให้มันเกิดขึ้น จะด้วยเพราะเหตุผลใดก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีก ซิ่นเฉิงก็ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เขาไม่อยากไป เขาอยากกลับคืนทะเลทรายใจจะขาด แต่...จะขาดใจหากพลัดพรากจากเทียนอี้

เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะหลงใหลในรูปลักษณ์อดีตเทพ หรือเผลอไผลพึงใจไปกับรสกามารมย์ที่อีกฝ่ายมอบให้ หรือจะเป็นสิ่งใดก็ตาม กระนั้นซิ่นเฉิงก็ไม่อยากพลัดพรากจาก จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าเช่นนั้น ขณะที่เทียนอี้พูดส่งท้าย

“เพียงเวลาแค่ถ้วยชาเดียว”
เท่านั้นก็หันหน้าไปอีกทาง รอให้ซิ่นเฉิงได้ควบม้าออกไป

สายลมพัดผ่าน โอบเอาความร้อนมาปะทะร่างของทั้งคู่ แต่สรรพเสียงรอบข้างก็หาได้เกิดขึ้นนอกเสียจากเสียงหวีดหวิวของลมที่ผ่านมาและจากไปเท่านั้น ครั้นเทียนอี้หันกลับมา ก็ยังเห็นซิ่นเฉิงอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองเขานิ่ง พลันใจของแม่ทัพใหญ่ก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด

เหตุใดกัน...เหตุใดถึงไม่ไป?

ครั้นคิดจะเอ่ยปากถาม ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“เจ้าเคยขอร้องข้าไว้ไม่ใช่หรือว่าให้อยู่กับเจ้า แล้วไยตอนนี้ถึงให้ข้าไปกัน?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากเทียนอี้ มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายยากจะพรรณนาเท่านั้น ซิ่นเฉิงเองก็ไม่คิดจะถามด้วย นอกจากถอนหายใจออกมาแล้วว่าด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

“ข้าก็หาได้เป็นคนโหดร้ายนัก ในเมื่อเจ้าร้องขอ ข้าก็จะอยู่ต่อ จะไปก็ต่อเมื่อต้องการเท่านั้น หาใช่ให้เจ้ามาไล่ข้าไป”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเทียนอี้ก็มีรอยยิ้มพราย แม้กระทั่งดวงตาก็ยังมีรอยยิ้ม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในดวงตานั้น...เต็มไปด้วยความรักใคร่

ซิ่นเฉิงคิดว่าตนมองไม่ผิด แต่ก่อนที่จะได้ประจักษ์จนแน่ใจ หูก็ได้ยินเสียงของเทียนอี้ดังขึ้น
“ข้าจะกักขังเจ้าไว้และจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้เป็นอิสระอีก”
เป็นคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดนัก ช่างเจ้าบงการและน่าหมั่นไส้ในครั้งเดียว ทว่าซิ่นเฉิงกลับทำเพียงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะว่าเสียงแข็ง
“คิดว่าจะสั่งข้าได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือเจ้าหมา?”

สั่งได้หรือไม่หาใช่เรื่องสำคัญ สำคัญก็เพียงว่า...เทียนอี้ตั้งใจไว้แล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะไม่ปล่อยให้ซิ่นเฉิงจากไป

แม้ว่าหลิวซูจะกลับมา เขาก็จะเก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกาย... ชั่วนิรันดร์
-------------------------------------
ใจเย็นๆ นะคะซิส ใครไม่ใช่เรือพี่หมาก็ใจร่มๆ ว่า เอ๊ะ ทำไมอีพี่หมาสองใจจัง เดี๋ยวซูซู เดี๋ยวเจ้าแมว มันมีเหตุผลอยู่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้พี่หมาหลงรักเจ้าแมวหัวปักหัวปำแล้วล่ะค่ะ เผลอใจจนได้ 555

นอกเรื่องนิดนึง คือ...ก็ยังมีนักอ่านหลายคนคิดว่าเรื่องนี้คือ 3P อะ แล้วก็พานจะไม่อ่านอีกเพราะนึกว่ามันเป็นแนวนั้น 555 ยืนยันกันตรงนี้เลยว่าไม่ใช่เด้อ พี่งูมันเป็นพระรองงง (โดนแม่ยกเรือพี่งูตบ!) แต่เป็นพระรองก็ไม่เป็นไร เพราะหนูแดงแพลนไว้แล้วค่ะว่ามีตอนพิเศษของพี่งูที่โคตรจะยาวเสมือนเป็นสปินออฟงอกออกมาอีกเรื่องนึงมาดามใจพี่งู แต่นายเอกของพี่งูไม่ใช่จิ้งจอกนะ ใครหลงคิดว่าเป็นพ่อบ้านเข้ก็ไม่ใช่เหมือนกัน นั่นก็เรือผีเกิ๊นนน 555

เรือพี่หมามาแล้ว ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยนะคะ พรุ่งนี้มาต่อให้ค่ะ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ๊ยๆ แอบเทใจกลับไปให้พี่หมาเลย มีการตามใจจะให้กลับทะเลทรายด้วย

ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ขออย่างเดียวเลย ไม่อยากให้นายเอกคือซูซูกลับชาติมาเกิด ไม่งั้นสงสารพี่งูตาย อกหักสองรอบ

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เหยียบสองเรืออยู่ไปได้เรื่อยๆค่ะ5555555 :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เรารักพี่หมา แพ้ความปุกปุย แต่ก็อยากให้พี่งูมีคู่ของตัวเอง

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ล่าม!!!! พี่หมา แบบนี้ต้องล่ามไว้!!!!!

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
น่าหมั่นไส้ทั้งหมาทั้งแมว 555+ สามวันดีสี่วันร้ายจริง ๆ คู่นี้ รอขยายปมเชือก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้ามไปเรื่องพี่งูเลยได้มั้ยคะ 55555 จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
พ่ายแพ้ต่อเจ้าหมาจริงๆเลย

ออฟไลน์ ม่านหมอก ณ ปลายฝัน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เง้อออ ฟาดไม้พายที่หัวเรือพี่หมา
ก็ว่าทำไมฟาดเท่าไหร่ก็ไม่จม! ฟาดคุณนักเขียนแทนดีมั้ยเนี่ย ฮรืออออ
ง่ะ แต่เรือเราเป็นเจ้าแมวกับพี่งูง่ะ จะพยายามพายต่อสุดแรง
จนกว่าพี่งูจะมีฟามสุขจายยยย

ฮึกฮัก....

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
อ๊า! พี่หมาตะลั๊กจริงๆ :-[ แต่ว่านะ...ตอนนี้หางพี่งูเกี่ยวเราไว้อยู่อ่ะนะ ขอโทษด้วยจริงๆ (ถ้า)แกะออกแล้วจะไปหานะหมานะ :hao7:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ทิ้งเรืองูไว้กลางทางแล้วโดดขึ้นเรือหมาก่อนได้มั้ย555555

ออฟไลน์ Daramin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ฟินมว๊ากกกกก ฟินตัวแตก
เขินเลยอ่ะ

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ภาวนาให้เฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซูกลับชาติมาเกิดไม่งั้นก็จะเป็นเรื่องอีกกับเจี้ยนสือ
แต่ถ้าเฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซู แล้วหลิวซูดันโผล่มาเทียนอี้จะเกิดสับสนลังเลอีกมั้ยเนี่ย

คุณคนแต่งเคยแต่งเรื่องไหนอีกมั้ยคับ อยากติดตามนิยายเรื่องอื่นๆด้วย
ชอบภาษา และการดำเนินเรื่องมากเลย  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2017 20:49:51 โดย G-NaF »

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ภาวนาให้เฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซูกลับชาติมาเกิดไม่งั้นก็จะเป็นเรื่องอีกกับเจี้ยนสือ
แต่ถ้าเฉิงเฉิงไม่ใช่หลิวซู แล้วหลิวซูดันโผล่มาเทียนอี้จะเกิดสับสนลังเลอีกมั้ยเนี่ย

คุณคนแต่งเคยแต่งเรื่องไหนอีกมั้ยคับ อยากติดตามนิยายเรื่องอื่นๆด้วย
ชอบภาษา และการดำเนินเรื่องมากเลย  :L2:

แต่งเยอะเลยค่ะ นามปากกา หนูแดงตัวน้อย
ในเล้าเป็ดนี่รวบรวมค่อนข้างยาก ลองไปดูที่นี่นะคะ
สนใจเรื่องไหนแล้วลองเสิร์ชหาอีกทีได้ค่ะ https://writer.dek-d.com/noodang/writer/

ส่วนอันนี้แฟนเพจเอาไว้ติดตามข่าวสารค่า https://www.facebook.com/NooDangzzz/

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 15: จุมพิษ[1]

ความคาดหวังของพ่อบ้านเหลียงต้องเป็นอันพังทลายทันทีที่เห็นผู้เป็นนายควบม้ากลับมาพร้อมกับมนุษย์หนุ่มที่เขาภาวนาหนักหนาว่าให้ไปจากจวนนี้เสียที

สวรรค์... ทำไมกัน?

สีหน้าไม่แสดงอาการ แต่แววตานั้นส่อชัดเจนว่าผิดหวังเพียงใด อีกทั้งยังมีร่องรอยของการตัดพ้อต่อว่าสวรรค์อีกด้วย ขณะที่หมิงจูซึ่งแวะมาเยี่ยมเยือนเทียนอี้ด้วยได้ข่าวจากคนรับใช้ผู้หนึ่งของจวนนี้ว่าสหายจะปล่อยสัตว์เลี้ยงกลับสู่ทะเลทราย เขาจึงใคร่อยากจะดูให้เห็นกับตาว่ามนุษย์ผู้นั้นถูกปล่อยกลับยังถิ่นที่จากมาจริง เพราะในใจเขานั้นหาได้เชื่อว่าเทียนอี้จะยอมปล่อยให้ซิ่นเฉิงไปโดยง่าย และเมื่อเห็นร่างของสหายกับชายหนุ่มกลับเข้ามาในจวน เสียงกลั้วหัวเราะในลำคอก็ดังขึ้น

“เจ้าแพ้พนันข้าแล้วพ่อบ้านเหลียง จ่ายมา”
มือที่กอดอกอยู่ข้างหนึ่งเอื้อมไปแบอยู่ตรงหน้าพ่อบ้านจระเข้ ทำเอาคนถูกทวงถามค่าพนันมองด้วยสายตาระอา
“ข้าหาได้พนันกับท่านเลยนะขอรับ”

หมิงจูถึงกับหัวเราะร่วน จริงอย่างที่พ่อบ้านเหลียงว่า เขาไม่ได้พนันกันเป็นเรื่องราว แต่ก็เดากันอยู่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แน่นอนว่าพ่อบ้านเหลียงหวังให้ซิ่นเฉิงจากไป ด้วยท่าทีรักอิสระและดื้อแพ่งไม่ยอมก้มให้ใครของซิ่นเฉิง ทำให้เข้าใจไปว่าเมื่อมีโอกาส ก็คงจะหนีไปโดยไม่สนใจสิ่งใด ทว่าหมิงจูกลับคิดว่าสิ่งนั้นจะตรงกันข้าม

ทำไมถึงคิดเช่นนั้นน่ะหรือ? ...ไม่ได้กลิ่นกายของคนทั้งสองฟุ้งขจายบนร่างกายของกันและกันหรือไร เขาได้กลิ่นนั้นมาตั้งแต่เมื่อคราที่พบกับซิ่นเฉิงครั้งแรก แค่นั้นก็รู้แล้วว่าระหว่างสหายของเขากับชายหนุ่มจากทะเลทรายนั้นเป็นมากกว่านายและทาส หากแต่ไม่คิดว่าเทียนอี้จะถลำลึกถึงเพียงนี้

“เจ้าไปพักผ่อนก่อน ข้ามีเรื่องสำคัญจะสะสาง”

เมื่อเข้ามาในจวนแล้วสัมผัสได้ถึงสายตากดดันจากพ่อบ้านและสหายที่ลอบมองอยู่ไม่ไกล เทียนอี้ก็หันไปบอกกับซิ่นเฉิงทันทีที่มาถึงยังหน้าเรือนใหญ่ ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ทิ้งตัวลงจากหลังม้า ก่อนจะต้องชะงักขาเมื่อทำท่าจะเดินไปเมื่อเทียนอี้คว้าต้นแขนเอาไว้

“ไปพักที่ห้องข้า ไม่ต้องกลับเรือนนอน ต่อจากนี้ห้องของข้าคือห้องนอนของเจ้า”
ความอุ่นร้อนแผ่ซ่านทั่วใบหน้า ซิ่นเฉิงไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะร่างกายยังคงสั่งสมความร้อนจากแสงอาทิตย์ในทะเลทรายหรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของเทียนอี้กันแน่ ทว่าเมื่อจะสวนกลับ เทียนอี้ก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้ แตะปลายจมูกเย็นชื้นลงบนปลายหูแผ่วเบา
“แล้วชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสีย เนื้อตัวเจ้ามีฝุ่นผงติดมา หากเจ้าไม่ชำระล้างด้วยตนเอง ข้าจัดการธุระเสร็จเมื่อใด จะล้างให้เจ้าไปทุกซอกมุม”
“เจ้ามันช่างเหมือนสุนัขในฤดูผสมพันธุ์” ซิ่นเฉิงค่อนแคะ

ช่างหยาบคายนัก แต่เมื่อเทียนอี้เห็นใบหน้าบึ้งตึงของซิ่นเฉิงที่คล้ายจะกักเก็บความเขินอายไว้ภายใน เขาก็หาได้ต่อว่าใดๆ นอกจากจะยกยิ้มรับและคลายฝ่ามือจากคนตรงหน้า รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในเรือนใหญ่ถึงได้เดินไปยังห้องรับรอง ทันทีที่เข้ามาถึงก็เห็นหมิงจูนั่งรออยู่ในนั้นแล้ว หมิงจูเหลือบมองขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะเปรยออกมาหลังจากคนมาใหม่ทรุดตัวนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“พ่อบ้านเหลียงผิดหวังในการตัดสินใจของมนุษย์นั่นน่าดู”
จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังพ่อบ้านเหลียงที่ไม่แสดงท่าทีใดๆ นอกจากจะพูดเสียงเรียบ
“ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้ท่านแม่ทัพเทียนอี้ประสบปัญหาดังเช่นในอดีตอีก”

เทียนอี้รู้ดีว่าพ่อบ้านเหลียงคิดอย่างไร สำหรับข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ผู้นี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่การกระทำของเขาไม่เป็นเพราะหวังดี แม้กระทั่งการหาฮูหยินให้ตบแต่ง ถึงจะดูจุ้นจ้านชวนให้น่ารำคาญ แต่นั่นก็เพราะต้องการให้เขาลืมเลือนคนรักในอดีตอย่างหลิวซู หาใช่การมีทายาทเพื่อสืบปณิธานในกองทัพแต่อย่างใด เหตุใดเทียนอี้จึงจะไม่รู้

แต่ชีวิตนี้คือของเขา... เขาจะรักใคร่เอ็นดูผู้ใดคือสิทธิของเขา
“ขอบน้ำใจเจ้าที่เป็นห่วง แต่ข้าไม่เป็นไร”

ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ถอนหายใจออกมายาว

แค่มนุษย์ผู้นั้นคนเดียวยังไม่พออีกหรือ? เหตุใดจึงต้องลิขิตชะตาของเทียนอี้ให้ได้ประสบผูกพันกับซิ่นเฉิงด้วยอีกคนกัน?

หากแต่ก็หาได้พูดอะไร ในเมื่อซิ่นเฉิงเลือกที่จะกลับมา และเทียนอี้ก็มีความยินดียิ่ง พ่อบ้านอย่างเขาก็ได้แต่สงบปากและทำหน้าที่ของตนต่อไปเท่านั้น ขณะที่หมิงจูเหล่มองแล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง
“ดูท่าทางเจ้าจะเอ็นดูเจ้าแมวป่านั่นยิ่งนัก”
เทียนอี้เงียบ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ปล่อยให้สหายพูดต่อ
“รักใคร่ราวกับว่าเจ้านั่นคือหลิวซูกลับมาเกิด”

คราวนี้เทียนอี้ถึงกับมองหน้าคนพูด วางถ้วยน้ำชาลงพลัน
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น”
“ข้าก็สังเกตดูจากท่าทางของเจ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่หลิวซูจากไป มีครั้งใดบ้างที่เจ้าสนใจมนุษย์ผู้อื่นเยี่ยงนี้”

การสันนิษฐานของหมิงจูช่างเที่ยงตรง เทียนอี้ก็ตระหนักได้ในครานี้ว่าการกระทำของตนนั้นผิดแผกไปจากเดิมมากเพียงใด จากตอนแรกที่เพียงต้องชะตา ตอนนี้กลับกลายเป็นรักใคร่ และอาจจะทบทวีไปมากกว่าเดิมด้วยถ้าเวลาผันผ่าน
เห็นสหายไม่ตอบโต้ใดๆ หมิงจูก็ระบายลมหายใจ

“เจ้านี่น้า ข้าเตือนแล้วไม่ใช่หรือไรว่าอย่ายุ่งกับมนุษย์ การข้องเกี่ยวกับมนุษย์นั้นไม่เป็นผลดี เจ้าจำไม่ได้หรือไรว่าเทพไม่อาจมีรัก”
“แต่ข้าไม่ได้เป็นเทพ” เทียนอี้เถียง แล้วก็ต้องสงบปากสงบคำไปทันทีที่หมิงจูว่าออกมา
“ถึงจะไม่ได้เป็นเทพ แต่การข้องเกี่ยวกับมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องดีใช่หรือไม่ล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วไม่ใช่หรือ? มีผู้ใดบ้างที่มีความสุขกัน มีแต่ความทุกข์ระทมเนิ่นนานจวบวันนี้” จากนั้นก็พ่นลมหายใจเล็กน้อย “แม้แต่ข้องเกี่ยวกับเทพด้วยกันยังไม่ส่งผลดีเลย”

สิ่งที่หมิงจูพูดทำให้ภาพในอดีตหวนคืนสู่ภวังค์ความทรงจำของคนฟัง การสูญสิ้นของหลิวซูในสองภพชาตินั้นช่างนำพาความเจ็บปวดมากมายนัก หากเป็นไปได้ เทียนอี้ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่จะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่อเขาได้เคยให้สัตย์สาบานไว้ อีกทั้งหลิวซูเองก็ได้มอบสัญญาให้เขาเช่นกัน คนที่ผิดนั้นคือเจี้ยนสือต่างหากที่พลัดพรากทุกอย่างจากเขาไป

“ข้าไม่อยากให้สหายของข้าวิวาทกันเพียงเพราะมีรักหรอกนะ ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องปล่อยวางกันได้แล้ว” หมิงจูว่าออกมาอีก เทียนอี้รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเจี้ยนสือ
“ข้าจะปล่อยก็ต่อเมื่อได้พบซูซูอีกครั้ง”

หมิงจูหน่ายใจหนัก กลอกตาแล้วว่ากลับทันใด
“ใจเจ้ายังคงมีหลิวซู แต่ในยามนี้ เจ้าก็มีใจปฏิพัทธ์กับเจ้าแมวป่านั่น ข้าไม่คิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่ที่เคยเกรียงไกรเช่นเจ้าจะมีใจโลเลได้ถึงเพียงนี้”

นับได้ว่าหมิงจูพูดในสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงคิดไว้ในใจออกมาเลยทีเดียว และนั่นก็ทำให้คนถูกตอกกลับเงียบนิ่งไปทันควัน
“ถือเสียว่าเห็นแก่ข้ากับพ่อบ้านเหลียงที่เป็นห่วงเจ้า เจ้าเลือกสักทางเถิดว่าจะปักใจรักมั่นผู้ใดกันแน่ แค่ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ก็แย่พออยู่แล้ว ยังจะลากมาถึงสองชีวิต ปัญหาวุ่นวายจะตามมาไม่จบสิ้นนะข้าขอเตือนไว้”

เทียนอี้รู้ว่าครั้งที่หลิวซูยังมีชีวิตอยู่ ระหว่างพวกเขาเกิดเรื่องอลหม่านเพียงใด แต่ว่า...
“เจ้าไม่คิดว่าเฉิงเฉิงจะเป็นซูซูกลับมาเกิดบ้างหรือ?”

พอเทียนอี้ถามไปเช่นนี้ ทั้งหมิงจู ทั้งพ่อบ้านเหลียงก็พากันชะงักงัน
“เจ้าหมายถึง...”
“บางทีเฉิงเฉิงอาจจะเป็นซูซูกลับชาติมาหาข้าก็เป็นได้”

ได้ยินสหายเอ่ย หมิงจูก็ย่นคิ้วหนัก
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”

ที่ถามเพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะต่อให้มากำเนิดใหม่เป็นมนุษย์หรือปีศาจใด ใบหน้าของหลิวซูย่อมจะต้องเหมือนดังเดิมด้วยรูปวิญญาณเป็นเช่นนั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่สวรรค์อนุญาตให้มีรูปลักษณ์อื่นนอกจากรูปวิญญาณเดิมของตน แม้แต่เขาเองที่ถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นเทพอสูรก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมเมื่อครั้งยังเป็นเทพ หากแต่เมื่อได้ยินคำตอบของเทียนอี้แล้ว เขาก็นิ่งงันไป

“ข้าต้องชะตากับเฉิงเฉิงนัก... ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ความรู้สึกนี้เป็นเช่นเดียวกับยามที่ข้าได้พบเจอหลิวซูในงานประทานผลท้อ”

ภาพความทรงจำไหลเวียนมาสู่หมิงจู เขาจำได้ดีว่าสายตาของเทียนอี้ยามได้ประสบพบหน้ากับหลิวซูในยามนั้นฉายชัดเจนว่าหลงใหลอีกฝ่ายเพียงใด อันที่จริงแล้ว หลิวซูเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อยที่หาได้มีรูปลักษณ์โดดเด่นหรือน่าดึงดูดใดๆ ออกจะค่อนไปทางเลือนรางเสียด้วยซ้ำ เขาต้องใช้เวลานานอยู่ทีเดียวกว่าจะจำใบหน้าของหลิวซูได้ แต่แล้วทำไม...

ไม่อยากจะครุ่นคิดให้ปวดหัวหรอก จึงได้แต่พ่นลมหายใจแรงๆ

“เจ้าก็เลยคิดจะใช้ซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนหลิวซูเช่นนั้นสิ?”
เป็นคำถามที่อยู่ในใจของพ่อบ้านเหลียงเช่นนั้น สิ่งนั้นทำให้เทียนอี้ต้องครุ่นคิดไป

เขาคิดว่าซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนของหลิวซูหรือ? ...เกิดสับสนในใจไปชั่วครู่ ผ่านไปหนึ่งเค่อก็ได้คำตอบ

“ไม่ หากข้าจะมีใจปฏิพัทธ์ใด นั่นก็เพราะเฉิงเฉิงคือเฉิงเฉิง หาใช่ตัวแทนของซูซู”
“ถ้าเจ้ารักใคร่เจ้านั่น แล้วหลิวซูล่ะ เจ้าจะปล่อยวางเช่นนั้นหรือ?”

ไร้คำตอบจากเทียนอี้ เขาไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ หลิวซูก็ยังรักมั่น ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็แทรกซึมเข้ามาในใจของเขาทีละน้อย ...ไม่อาจตัดสินใจเลือก

“ก็แสดงว่าเจ้าจะรักใคร่ทั้งสองคน” หมิงจูว่าเมื่อไม่ได้รับคำตอบ พลันปวดศีรษะหนึบขึ้นมาด้วยรู้สึกถึงปัญหาที่ก่อเค้ารางๆ ในเบื้องหน้าทีละน้อย และทำได้แค่หัวเสียเท่านั้น “เจ้านี่นะ... เอาเป็นว่าข้าเตือนเจ้าแล้วก็ละกัน อย่าปล่อยใจให้ถลำลึก หากเจ้ามิอาจหักห้ามใจไม่ให้รักใคร่ ก็จงเลือกเอาสักคน คิดถึงเบื้องหน้าด้วยว่าหากหลิวซูกลับมาเกิด แล้วเจ้าจะเอาซิ่นเฉิงไปไว้ที่ไหน ทางที่ดี...อย่าข้องเกี่ยวทั้งสองคน ปล่อยวางเสียบ้าง หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

พูดออกมาเสียยาวแล้วก็ตัดบทเอาดื้อๆ จากตอนแรกที่หมายจะได้พบเจอเรื่องสนุก กลายเป็นว่าหมิงจูต้องกลับจวนด้วยความหัวเสียเล็กน้อยที่สหายดูจะทำสายสัมพันธ์บางๆ ระหว่างพวกเขาให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก

คล้อยหลังของหมิงจู เทียนอี้ก็เหม่อมองไปยังพื้นตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย ขบคิดถึงคำพูดที่หมิงจูกล่าวไว้

...เขาไม่ควรรักใคร่ทั้งสองคนในเวลาเดียวกันอย่างที่หมิงจูว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง เขาก็ไม่อาจขาดได้ทั้งนั้น
สีหน้าเคร่งเครียดของแม่ทัพใหญ่ทำให้พ่อบ้านเหลียงไม่รบกวนใดๆ แม้ในใจจะมีเรื่องมากมายอยากพูดก็ตาม ได้แต่ถามไปด้วยหน้าที่

“ท่านแม่ทัพจะให้ข้าน้อยทำสิ่งใดให้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปพักเถิด ข้าจะกลับไปหาเฉิงเฉิงที่ห้อง”

พูดจบก็ลุกออกไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก สายตาของพ่อบ้านจระเข้มองตามอย่างเป็นห่วง

หากท่านคิดจะรักใคร่มนุษย์น่ารำคาญผู้นั้นจริง ก็ขอให้คราวนี้อย่าได้มีเหตุใดมาทำให้ท่านเป็นทุกข์อีกเลย...



 
ครั้นกลับมาถึงห้องนอน เทียนอี้ก็เห็นซิ่นเฉิงแช่ตัวอยู่ในอ่างไม้ซึ่งมีน้ำอุ่นอยู่เต็มอ่างในมุมหนึ่งของห้อง การเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เพื่อบอกให้รับรู้ล่วงหน้าทำเอาคนที่แช่น้ำอยู่นั้นสะดุ้งเฮือก พอหันไปเห็นว่าเป็นเจ้าของห้องก็ชักสีหน้าด้วยหงุดหงิด

“เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงก่อนเล่า เจ้าเกือบทำข้าตกใจตายแล้วเห็นไหม”
“ขออภัย”
เทียนอี้ว่าเสียงเบา ก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าอ่าง มองใบหน้าของซิ่นเฉิงที่มีหยดน้ำเกาะพราวนิ่งโดยไม่พูดอะไร จนอีกฝ่ายต้องถามเสียงขุ่น
“มีสิ่งใดอยากพูดก็จงพูดมา”
“ข้าแช่น้ำกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?” จู่ๆ ก็ถามเรื่องน่าอาย
คนถูกถามย่นคิ้ว “อยากจะอาบน้ำกับข้า?”

เทียนอี้พยักหน้า และไม่รอให้ได้รับอนุญาตใดๆ เอื้อมมือไปปลดสายคาดเอว เปลื้องอาภรณ์ออกจนเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนจะก้าวลงมาในอ่าง ซิ่นเฉิงไม่ทันได้หลบเพื่อแบ่งพื้นที่ให้ก็หาได้สนใจ คว้าเอาอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างถือวิสาสะขณะที่ตนนั่งพิงขอบอ่าง

เส้นขนสีเงินยวงเปียกน้ำจนลู่ลง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้น้ำในอ่างกระฉอกเลอะพื้น ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจสิ่งนั้น นอกจากจะซุกใบหน้าลงบนซอกคอของคนในอ้อมแขนจากทางด้านหลัง ขณะที่ซิ่นเฉิงโวยวาย
“เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจนัก ข้ายังไม่ทันได้ขยับก็ลงมาแล้ว น้ำหายไปเกือบครึ่ง!”

หายไปเกือบครึ่งอ่างจริงอย่างที่ซิ่นเฉิงว่า แต่เทียนอี้จะสนใจสิ่งใดกัน หัวเราะขบขันกับการโวยวายของชายหนุ่ม พลางว่าเสียงเบา
“ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงเอาน้ำมาเติมให้”
“หากจะต้องเจอหน้าเจ้าจระเข้นั่น ข้าแช่น้ำเท่านี้ก็ได้”

ความไม่อยากเจอพ่อบ้านเหลียงมีมากกว่าเพราะไม่อยากถูกสายตาระอาใจคู่นั้นทิ่มแทง ดังนั้นจึงยอมนั่งนิ่งๆ ก่อนที่ใจจะเต้นระส่ำขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าการมานั่งแช่น้ำกับเทียนอี้เช่นนี้ ร่างกายของเขานั้นเปล่าเปลือย... ไม่เพียงแต่ร่างกายเขาด้วย ร่างกายเทียนอี้ก็เช่นกัน แม้จะเคยเห็นเทียนอี้ในร่างเทพอสูรมาบ่อยครั้ง แต่ก็หาได้เคยเห็นในสภาพไร้อาภรณ์สักครั้ง เมื่อครู่...เพิ่งจะเป็นครั้งแรก

ถึงจะมีศีรษะ หาง รวมถึงท่อนขาเป็นสุนัขป่า แต่ส่วนบนตั้งแต่ลำคอลงไป...ล้วนแล้วคล้ายคลึงกับร่างกายมนุษย์ รวมถึง ‘สิ่งนั้น’
มันคือความเป็นบุรุษเพศ ซึ่งบัดนี้ได้ดุนดันที่อยู่บั้นท้ายของเขาซึ่งนั่งอยู่ในหว่างขาของแม่ทัพใหญ่ และดูเหมือนจะแข็งขืนขึ้นมาด้วยแล้วเพราะหลังจากที่ได้ตระกองกอดเขาไว้ในอ้อมแขน เทียนอี้ก็เอาแต่ดอมดมจุมพิตอยู่ที่ใบหน้าและซอกคอซิ่นเฉิงไม่ห่าง

“เจ้าคิดจะกระทำการใดอยู่กันแน่เจ้าหมา” ออกปากถามไปจนได้

เทียนอี้ที่อ้าปากงับไปตามหัวไหล่แกร่ง ซุกไซ้จมูกลงบนเส้นผมเปียกน้ำของซิ่นเฉิงผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสบกับสายตาจับผิดของคนตรงหน้าก็ตอบเสียงเรียบ
“หาได้คิดทำสิ่งใด”
“ไม่ได้คิดทำสิ่งใด แล้วเจ้าจะมีกำหนัดทำไม”

เทียนอี้นิ่งเงียบ ไร้ซึ่งคำแก้ตัว... เขามีกำหนัดจริงอย่างที่ซิ่นเฉิงว่า แต่จะไปทำสิ่งใดกันได้ล่ะนอกจากเชยชมเรือนร่างบุรุษตรงหน้าอย่างละเลียดเท่านั้น

ไม่ตอบไม่พอ ยังจะหยอกเย้าส่วนต่างๆ ของร่างกายซิ่นเฉิงมากขึ้นไปอีก ซิ่นเฉิงเองก็เป็นบุรุษ ครั้นถูกกระตุ้นเร้ามากๆ เข้าก็ย่อมเกิดกำหนัดเช่นกัน ส่วนกลางของลำตัวชูชัน แต่นั่นหาใช่สิ่งที่ต้องกังวลด้วยเทียนอี้ตั้งใจจะปลดเปลื้องเพลิงกามารมณ์ให้อยู่แล้ว
ทว่า...เมื่อมือหนาเข้ากอบกุมแก่นกายและรูดรั้ง ซิ่นเฉิงที่หอบหายใจหนักก็ยับยั้งมือนั้นไว้ หันไปมองอีกฝ่ายพลางออกคำสั่ง

“หยุดก่อน” ทันทีที่เทียนอี้มองหน้าเป็นเชิงถาม ซิ่นเฉิงก็พูดขึ้นมาอีก “เจ้าไม่ต้องช่วยข้าเช่นนี้แล้ว”
“ทำไม ในเมื่อเจ้าก็เป็นถึงเพียงนี้” ว่าพลางพยักเพยิดไปยังแกนกลางลำตัวของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้ผงาดง้ำเต็มที่
“ใช่ ไม่ต้องทำแล้ว” ซิ่นเฉิงย้ำคำ สร้างความประหลาดใจให้เทียนอี้ยิ่งนัก ก่อนจะเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดก็เมื่อชายหนุ่มเอ่ยตามมา “เจ้าเองก็เป็นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ปลดเปลื้องตนเองบ้างเล่า”

ช่างเป็นเรื่องน่าอายที่พูดออกไปตามตรง ทว่าตั้งแต่ที่เผลอไผลกับเทียนอี้มา ก็แทบนับครั้งที่เทพอสูรผู้นี้จะปลดเปลื้องอารมณ์กำหนัดของตนเองได้เลย ส่วนมากเป็นการกระทำให้ซิ่นเฉิงเท่านั้น

เมื่อประจักษ์ดังนี้ เทียนอี้ก็ยกยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าทำการใดล่ะ” ช่างเป็นคำพูดที่หยอกเย้านัก หูตาก็พลันแพรวพราวขึ้นมา
“เจ้าอยากกระทำไปถึงที่สุดหรือไม่?”

ไม่ต้องอธิบาย คนฟังก็เข้าใจดีว่าซิ่นเฉิงหมายถึงสิ่งใด

กระทำถึงที่สุด... คือการที่ซิ่นเฉิงยอมมอบกายให้เฉกเช่นอิสตรี อันที่จริง เทียนอี้ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินคำนั้น คนเช่นซิ่นเฉิงหาได้ยินยอมผู้ใดโดยง่าย การที่เป็นฝ่ายเอ่ยปาก นั่นหมายถึงเขาเองก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้เช่นกัน

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา”
ซิ่นเฉิงแหงนหน้ามอง เสยเส้นผมเปียกน้ำที่ปรกใบหน้าขึ้น เผยให้เห็นรูปหน้าคร้ามสมส่วน
“หากไม่รู้ ข้าจะพูดหรือ? ว่าแต่เจ้าเถิด จะทำหรือไม่ เป็นบุรุษด้วยกัน ยอมให้เจ้าสักคราคงไม่เป็นไร”

น่าดีใจจริงๆ หากทว่า...เทียนอี้กลับรู้สึกผิดขึ้นมา

เขาไม่อาจร่วมรักอย่างลึกซึ้งกับซิ่นเฉิงได้ตราบใดที่เขายังมีหลิวซูอยู่ในใจ... ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น
“เฉิงเฉิง... ข้าร่วมรักกับเจ้าไม่ได้”

หัวคิ้วเรียวของคนฟังขมวดมุ่นทันใด “เพราะเหตุใด”
“เจ้า...อยากให้ข้าได้ร่วมรักกับเจ้าโดยที่ใจของข้ายังคะนึงหาผู้อื่นอยู่เช่นนั้นหรือ?”

ใจของซิ่นเฉิงชาวูบในทันใด ...ผู้อื่น หมายถึงหลิวซูล่ะสินะ

เข้าใจในยามนั้นอย่างถ่องแท้ พลันดวงตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มก็วูบไหวเล็กน้อย ขณะที่แววตาของเทียนอี้ที่มองมาช่างดูเจ็บปวดยิ่งนัก

“ข้าไม่อยากให้สายสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าเป็นเพียงสายลมพัดผ่านไป”

สิ่งนั้นสัตย์จริง... เขามีใจปฏิพัทธ์กับซิ่นเฉิงและอยากผูกสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่ต้องไม่ใช่ในยามที่ใจของเขายังคงมีใครอีกคนอยู่ อย่างที่หมิงจูว่า เขาต้องเลือกสักคน และหากเขาเลือกที่จะมีซิ่นเฉิงข้างกาย เขาก็ต้องปล่อยวางหลิวซูให้ได้... ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานแค่ไหน เขาก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้น คนที่เจ็บปวดจะต้องเป็นคนตรงหน้าเขาในยามนี้ เขาไม่ควรลากให้ซิ่นเฉิงมาวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความร้าวรานอีกคน

“ข้าไม่ใคร่ทำร้ายเจ้า” เทียนอี้ย้ำออกมาอีกครั้ง

แต่...คงสายไปแล้ว หัวใจของซิ่นเฉิงบีบรัด แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยปากว่ารู้สึกกับเทพอสูรตนนี้เช่นไร แต่ข้างในจิตใต้สำนึกนั้นบอกเขาชัดเจนดีว่ารักใคร่เทียนอี้เพียงใด...ถึงนั่นจะเป็นเพราะความเผลอไผลก็ตาม

ซิ่นเฉิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปรับสีหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ดี! ในเมื่อเจ้าไม่ใคร่ร่วมรักกับข้า ข้าก็จะได้ไม่ต้องเปลืองตัว เท่านี้ก็เผลอไผลไปกับเจ้ามากโข แล้วนี่จะแช่น้ำอีกนานไหม น้ำเย็นหมดแล้ว ข้าจะขึ้นละ”

สิ้นเสียงก็ลุกพรวด ก้าวออกจากอ่างน้ำ ปล่อยให้เทียนอี้นั่งแช่อยู่ดังเดิม คว้าเอาผ้ามาซับเรือนกาย กระทำทุกอย่างด้วยท่าทางปกติ ซึ่งนั่นคือการเสแสร้ง เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทว่าไม่พูดสิ่งใดออกไป ทำเพียงพร่ำบอกกับตนเองในใจเท่านั้น

ข้าจะรักเจ้าให้เต็มหัวใจสักวัน...




 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด