►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 95210 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 15: จุมพิษ[2]

การแสร้งทำเหมือนไม่เป็นไรช่างสร้างความอึดอัดให้ซิ่นเฉิงยิ่งนัก เขาหายใจไม่สะดวกมาตั้งแต่ขึ้นจากอ่างน้ำแล้ว กระทั่งเทียนอี้ไปให้พ่อบ้านเหลียงช่วยซับน้ำออกจากขน และนำกำลังพลทหารของจวนไปลาดตระเวนในยามราตรีเนื่องจากเจ็ดราตรีต่อจากนี้เป็นเวรยามของทหารจวนเขา ซิ่นเฉิงก็ออกมานั่งรับลมบนกิ่งท้อในสวน

ถึงจะพยายามสงบจิตสงบใจเพียงใด แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้หายกระสับกระส่ายเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เทียนอี้พูดในวันนี้ช่างรบกวนจิตใจเขานัก ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนหายใจออกมา พร้อมกับคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว

เขามาทำอะไรอยู่ที่นี่กัน?

เข้าใจได้ว่าในคราแรกที่มาอยู่ที่นี่เป็นเพราะมาช่วยซิ่นจิน สวนสวยในจวนแห่งนี้หาใช่ที่ของเขา ทะเลทรายต่างหากคือแดนสวรรค์ แต่เมื่อสบโอกาสให้จากไป ไยเขาถึงเลือกที่จะไม่ไป?

คำตอบก็ชัดเจนว่าที่ไม่ไปเป็นเพราะไม่อยากห่างกายเทียนอี้ แต่...เมื่อครั้งที่ได้ยินว่าในใจของเทพอสูรผู้นั้นยังคงมีคนรักเก่าอยู่ เขาก็ต้องมาบริภาษตนเองหลายครั้งหลายคราว่าโง่เขลาสิ้นดี ยิ่งทอดสายตามองไปยังเครื่องประดับที่พี่น้องในเผ่ามอบให้ซึ่งเขาสวมอยู่ทั้งข้อมือและข้อเท้า พลันก็ทำให้สับสนในตนเองยิ่งนัก

ไป...หรือไม่ไป จะมีความหมายใดในเมื่อหัวใจของเขาเสี้ยวหนึ่งได้มอบให้เทพอสูรตนนั้นไปแล้ว

ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงจากกิ่งท้อ ไม่ใคร่จะครุ่นคิดให้ปวดหัวอีกต่อไป ราตรีนี้ช่างเย็นสบายนัก เขาควรลอบหนีไปเที่ยวให้สำราญใจจะดีกว่า

คิดดังนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงจวนไป แต่ก็หาได้มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด รู้ตัวอีกคราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าจวนของเจี้ยนสือโดยไม่รู้ตัวแล้ว จะให้เข้าไปหาก็ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดไม่ ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมา หมายจะไปที่อื่นแทน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพ่อบ้านของจวนรีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ

“ท่านแม่ทัพให้มาเชิญท่านเข้าไปด้านในขอรับ”
ซิ่นเฉิงเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ก่อนจะหายประหลาดใจด้วยตระหนักได้ว่าจังหวะการเคลื่อนไหวของเขาคงจะทำให้เจี้ยนสือสัมผัสได้เข้า ถึงได้รีบให้พ่อบ้านออกมาเรียกเช่นนี้

เท่านั้นชายหนุ่มก็ก้าวตามหลังพ่อบ้านเข้าไป ก่อนจะไปหยุดยืนที่สวนซึ่งมีร่างของเจี้ยนสืออยู่ อีกฝ่ายนั่งอยู่บนโขดหินก้อนเดิมที่เคยนั่งสนทนากับซิ่นเฉิงในหลายราตรีก่อน ครั้นเห็นคนมาใหม่ก็หยักยิ้มขึ้น

“เจ้านายของเจ้ามีหน้าที่ให้จัดการ เจ้าก็หนีออกมาเที่ยวซุกซนเชียวนะเจ้าเหมียว ดึกมากแล้วมิใช่หรือ? ไยจึงไม่กลับไปอีก”
“เจ้าเองก็ไยไม่หลับไม่นอน ดึกมากแล้วมิใช่หรือ?”
ช่างยอกย้อนนัก... เจี้ยนสือหัวเราะขัน ก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของคนตรงหน้า
“เจ้า...วันนี้ช่างดูแปลกตา เป็นเพราะเครื่องประดับของเผ่าเจ้ากระมัง”

ซิ่นเฉิงยกแขนข้างหนึ่งที่มีสร้อยข้อมือซึ่งทำจากเงินขึ้นสูง เขย่าจนเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋ง
“เทียนอี้คืนมันให้กับข้า ข้าจึงนำมาใส่”

ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นซิ่นเฉิงจะมีเครื่องประดับเหล่านี้ได้อย่างไร

“เหมาะกับเจ้าดี ดูเป็นคนทะเลทราย แล้วเหตุใดถึงได้มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าจวนข้ายามวิกาล?”
“ข้ามีเรื่องให้ขบคิดเล็กน้อย ครั้นจะมาผ่อนคลาย รู้ตัวอีกคราก็มาอยู่หน้าจวนเจ้าแล้ว”
“จิตใต้สำนักพามาอย่างนั้นหรือ?”
“คงจะเป็นเช่นนั้น”

 เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นประสาน การสนทนากับเจี้ยนสือทำให้ผ่อนคลายความกลัดกลุ้มลงไปได้บ้าง หากแต่ครั้งจะก้าวเข้าไปหา หมายจะทรุดตัวนั่งลงบนโขดหินอีกก้อนที่อยู่ข้างกันเพื่อสนทนาพาทีให้มากขึ้น สายลมก็พัดพาเอากลิ่นสาบของสุนัขป่ามาให้ได้กลิ่น

งูจงอางรับรู้กลิ่นได้ไม่ดีเท่ากับการรับรู้ถึงการเคลื่อนไหว กระทั่งซิ่นเฉิงเข้ามาใกล้ถึงได้กลิ่น ฉับพลันความรื่นเริงเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปเมื่อรับรู้ได้ว่าร่างกายของซิ่นเฉิงถูกอาบไปด้วยกลิ่นของสหายมากเพียงใด

ไม่รอให้ซิ่นเฉิงเดินเข้ามาหาด้วย เจี้ยนสือเป็นฝ่ายผุดลุกและก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าเข้าที่ข้อมือของชายหนุ่มเต็มแรง

“ตัวของเจ้า...อบอวลไปด้วยกลิ่นของเทียนอี้”

ซิ่นเฉิงชะงัก ครั้นเห็นดวงตาสีเหลืองอำพันของเจี้ยนสือที่วาวโรจน์ไปด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วก็สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ขณะที่เจี้ยนสือข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อพอจะเดาทางของสหายออกว่าคิดจะทำการใดกับมนุษย์หนุ่มผู้นี้ พลันในใจก็ร้อนวูบวาบดุจถูกเพลิงเผาผลาญ

ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก เหตุใดเขาจะต้องเดือดดาลเพราะคนตรงหน้านี้ด้วย?

คงเป็นเพราะภาพความหลังเมื่อครั้งที่วิวาทกันผุดพรายขึ้นมากระมัง เขาถึงได้โกรธาเช่นนี้ แต่...ซิ่นเฉิงหาใช่คนที่เขารักเฉกเช่นหลิวซูไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดถึงได้หัวเสียเพราะการกระทำของเทียนอี้กัน

แม้แต่ซิ่นเฉิงเองก็สงสัย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเพราะวิวาทกันมาแต่ก่อนอยู่แล้วถึงได้มีอากัปกิริยาเช่นนี้ กระนั้นก็ออกปากถาม

"เจ้าไม่พอใจด้วยเหตุผลใด"

เมื่อได้ยินคำถาม ฝ่ามือที่กอบกุมข้อมือของซิ่นเฉิงอยู่ก็ยิ่งบีบแน่นจนความเจ็บปวดแล่นพล่าน ทว่าชายหนุ่มก็หาได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นอกเสียจากรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายเท่านั้น

"ข้าไม่พอใจ" เจี้ยนสือเอ่ยปากอย่างซื่อตรง ก่อนจะแค่นเสียงต่ำออกมา "เพราะเจ้านั่นจะยึดครองเจ้าไว้เพียงผู้เดียว"

เรื่องที่เทียนอี้หมายจะยึดครองเขานั้น ซิ่นเฉิงรู้อยู่แล้วเพราะวันนี้เมื่อตอนที่ไปทะเลทราย เทียนอี้ก็ได้เอ่ยไว้ว่าจะกักขังเขา อีกทั้งท่าทางที่เทียนอี้แสดงออกก็พอจะรู้ว่าความรู้สึกที่มอบให้เข้านั้นมันมากกว่าความเอ็นดู หากแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความรักใคร่จริงแท้หรือไม่ เพราะในใจของเทียนอี้ยังคงมีหลิวซูอยู่

กับเจี้ยนสือก็เช่นกัน ในเมื่อในใจเองก็มีหลิวซู แล้วเหตุใดถึงได้แสดงอาการหวงแหนเขาออกมาเช่นนี้ หาใช่การหวงแหนเพราะห่วงใยด้วย แต่เป็นการหวงแหนดุจคนรัก...ซิ่นเฉิงคิดว่าตนคาดเดาไม่ผิดแน่

"ไม่มีผู้ใดยึดครองข้าได้ ร่างกายและชีวิตนี้เป็นของข้า"

แม้จะสงสัยกับการกระทำของเจี้ยนสือ แต่ซิ่นเฉิงเลือกที่จะตัดบทด้วยคิดว่ายามนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่แล้ว

ครั้นสะบัดมือออกจากการเกาะกุม หมายจะกลับจวนด้วยเห็นว่าป่วยการจะพูดคุยต่อ เจี้ยนสือก็รีบถลามารั้งหัวไหล่เอาไว้ ความเดือดดาลพวยพุ่งยิ่งกว่าเดิม ยิ่งคิดว่าซิ่นเฉิงต้องตกเป็นของเทียนอี้ เขาก็หวงแหนเสียจนแทบคลั่ง ก่อนจะดึงกระชากเอาร่างของมนุษย์หนุ่มมารวบไว้ในอ้อมแขน เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้หมายครอบครองริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

ซิ่นเฉิงเห็นดังนั้นก็ตระหนก เพราะยามนี้เจี้ยนสือยังอยู่ในร่างของเทพอสูร ทำเอาเขาร้องโพล่งออกมา

"เขี้ยวของเจ้ามีพิษ เจ้าหมายจะสังหารข้าหรือไร!?"
อารามนั้นทั้งหวั่นวิตก อีกทั้งโมโหขึ้นมาในคราเดียว

เจี้ยนสือแสยะยิ้มออกมา ส่งเสียงต่ำที่เจือไปด้วยโทสะ
"หากเจ้าจะต้องเป็นของผู้ใด สู้ให้เจ้าสิ้นชีพด้วยน้ำมือของข้าเสียยังดีกว่า"

ไม่คาดคิดว่าเจี้ยนสือจะพูดเช่นนี้ แต่จากแววตาที่ทอดมองมายังตนแล้ว ซิ่นเฉิงก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดไปอย่างนั้นแน่ ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แตะลงมาบนริมฝีปาก ความเรียบลื่นนั้นสร้างความรู้สึกประหลาดในพร่างพรายในใจ ขณะเดียวกันก็เกรงนักว่าตนจะถูกเขี้ยวคมของคนตรงหน้าฝังลงมายังผิวเนื้อ ปล่อยพิษให้กระจายสู่ร่างกายเพื่อปลิดชีพ

ทว่า...เจี้ยนสือหาได้ปล่อยพิษร้าย แต่จุมพิตของเขาก็กลายเป็นพิษที่เกินจะต้านทานไหวเมื่อแสงจันทร์สาดส่องต้องเรือนร่าง ร่างเทพอสูรแปรเปลี่ยนเป็นอดีตเทพ ครานั้นเองที่ได้ครอบครองเรียวปากของซิ่นเฉิงได้ถนัด บดจูบรุกรานอย่างจาบจ้วง ใช้ปลายลิ้นชำแรกเข้าไปตักตวงความหอมหวาน ไม่ใคร่ฟังเสียงหายใจกระหืดหอบที่พยายามห้ามของคนในอ้อมแขน จิตใต้สำนึกของเทพอสูรงูจงอางมีเพียงคำพูดสะท้อนประโยคเดียวเท่านั้น

หากเจ้าไม่ใช่ของข้า ผู้ใดก็มิอาจได้ครอบครองเจ้าทั้งนั้น!

ซิ่นเฉิงดิ้นรนขัดขืน ในร่างเทพอสูรนั้น เขาอาจจะสู้แรงไม่ได้ แต่ในร่างของอดีตเทพ เจี้ยนสือก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดา อีกฝ่ายจึงรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ เมื่อสบโอกาสก็กระแทกออกไปตรงหน้า ฝ่ามือปะทะกับแผ่นอกแกร่ง เจี้ยนสือส่งเสียงดังอั้กออกมา แขนที่รวบกอดซิ่นเฉิงอยู่นั้นคลายออก พลันไถลออกห่างไปสองถึงสามก้าว ความรวดร้าวแล่นพล่านไปทั่วอก ก่อนที่เขาจะสำลักเอาของเหลวข้นคลั่กออกมา...สิ่งนั้นคือโลหิต

“เจ้า...”
เจี้ยนสือมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะถูกกระทำเช่นนี้ ขณะที่ซิ่นเฉิงหัวเสียสุดกำลัง

“สมควรแล้วที่เจ้าโดนเช่นนั้น ฝ่ามือนี้ไม่ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่ก็ทำให้เจ้าช้ำในไปอีกหลายวัน”
“เจ้ามัน...อึ้ก”

ตั้งใจว่าจะบริภาษที่ซิ่นเฉิงทำเกินไป แต่แค่เอ่ยปาก ความปวดร้าวก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งหน้าอก โดยเฉพาะที่บริเวณอกข้างซ้ายที่โดนฝ่ามือนั้นเข้าไปเต็มแรง ซิ่นเฉิงที่มองอยู่อดเป็นห่วงไม่ได้ด้วยไม่คิดว่าลมปราณที่ปล่อยออกไปจะทำให้อีกฝ่ายปวดร้าวถึงเพียงนี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะกลั้นใจพูดออกมาอีกครา

“ดีแล้วที่ทำเช่นนี้ ข้าร้ายกาจดุตอสรพิษ ครั้งหน้าหากข้าล่วงเกินเจ้า ก็จงใช้มีดที่ข้ามอบให้สังหารข้าเสีย”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าว ซิ่นเฉิงไม่เข้าใจนัก แต่ก็หาได้ซักถามสิ่งใด นอกจากพ่นลมหายใจ แล้วตัดบทอีกครา

“ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่อย่าจุมพิตข้าอีกหากข้าไม่ได้เชื้อเชิญ”
สิ้นเสียงก็จากไป ทิ้งให้เจี้ยนสือทรุดตัวลงนั่งลงบนโขดหินอีกครา

โลหิตไหลหยดออกจากมุมปากสู่พื้นหินเบื้องล่าง ความจุกเสียดที่แล่นพล่านไปทั่วหาได้ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย เจี้ยนสือยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกข้างซ้ายที่ถูกกระแทก ครั้นคลายสาบเสื้อออกมาก็เห็นว่าเป็นรอยช้ำรูปฝ่ามือ หากแต่...เขาไม่ได้เจ็บปวดที่ผิวเนื้อ ความเจ็บปวดนั้นมันซึมซาบอยู่ในก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายมากกว่า

ซิ่นเฉิงไม่ใช่ซูซู... แต่ไยข้าต้องเจ็บปวดเพราะได้กลิ่นผู้อื่นจากกายเจ้า?

ประโยคนี้พร่างพรายขึ้นมาในภวังค์ความคิด เจี้ยนสือให้คำตอบตนเองไม่ได้เลย ในหัวสับสนเสียจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง เหนือสิ่งอื่นใด... เขายอมไม่ได้ที่จะเห็นซิ่นเฉิงอยู่กับเทียนอี้

ความคิดนั้น...ช่างรบกวนจิตใจยิ่งนัก

หรือจะต้องช่วงชิงมา?

ฉับพลันภาพความหลังในอดีตก็ไหลย้อน เขาเคยช่วงชิงคนผู้หนึ่งกับเทียนอี้ ชาตินี้ก็ต้องช่วงชิงอีกหรือ?

ไม่อยากจะทำเช่นนั้น แต่เมื่อยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ไออุ่นจากกายของชายหนุ่มที่จากไปยังคงหลงเหลือ ก็ทำให้เจี้ยนสือต้องเม้มปากแน่น

จุมพิตที่เขาหักหาญบังคับเอามาจากซิ่นเฉิงช่างเหมือนพิษร้ายที่กัดกินจิตใจเขาด้วยเวลาเพียงเสี้ยว...

เขาอยากครอบครองมันอีก... อยากครอบครองซิ่นเฉิง

ไม่ใช่ซูซูของข้าแท้ๆ แต่ทำไมถึงทำให้ข้าคะนึงหาได้เพียงนี้...
-----------------------------
เลือกลงเรือกันไม่ถูกเลยก็ขอให้วิ่งบนน้ำนะคะ
มันจะพลิกไปพลิกมาแบบนี้แหละ 555
ตอนหน้าคิดว่าจะเริ่มเข้ากลางเรื่องแล้วค่ะ
อะไรๆ ที่ข้องใจอยู่ก็จะค่อยๆ เริ่มเปิดเผยละ
เพราะพี่จิ้งจอกจะมาจุ้นจ้านแทนพ่อบ้านเข้แทน 555

พรุ่งนี้หนูแดงไป ตจว.นะคะ อาจจะไม่ได้อัป คงอัปได้แค่ตัวอย่างแทน
ไว้เจอกันนะ ขอกำลังใจล่วยยย XD

ป.ล.ชื่อตอนที่เขียนว่า "จุมพิษ" ไม่ได้เขียนผิดนะคะ ตั้งใจเล่นคำ แบบว่าจุมพิตจากพี่งูเป็นพิษร้ายอะไรแบบนี้น่ะค่ะ ไม่ต้องงงเน้อ


ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
เดี๋ยวจะไม่ลงทั้งเรือหมาเรืองูละ

หลิวซูกลับมาเกิดอีกจริง เฉิงเฉิงเราจะหัวเน่าอีกหรือเปล่าน่ะสิ คิดถึงใจเฉิงเฉิงบ้าง

ปล.พี่งูได้จุ๊บบ้างแล้ว  กิ้สสส

 :ling1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รอซูซูเนี่ย มาเกิดยัง ถ้ามาแล้วก็ออกมาทีค่ะ ถ้าเป็นเจ้าแมวป่านี่ก็รีบทำให้รู้ ให้มีคนเดียวจะได้ตัดสินกันไปเลย
ปล.ทีมเมียงูค่ะ ชอบแบดบอย  :hao7:

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
เกลียดความเทียนอี้ จะไม่เชียร์ไม่สงสารเทียนอี้แล้ว
ปากบอกว่ายังลืมคนเก่าไม่ได้ ไม่อยากให้สายสัมพันธ์เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน แล้วจะเริ่มทำไม  :m31:
เชียร์ให้เฉิงเฉิงหนีไป เหมือนอยู่เป็นตัวเลือกให้เค้าอะตอนนี้
จะให้ไปอยู่กับเจี้ยนสือก็ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจ หนีไปดีสุดแล้ว

เราอินมากบอกเลย แล้วเป็นเรื่องแรกที่รู้สึกว่าอยากให้นายเอกหนีไป สงสาร  :laugh:

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่ใช่แค่เจ้หมิงพูดคำถามที่อยู่ในใจพ่อบ้านเหลียง แต่เจ้หมิงพูดคำถามที่อยู่ในใจเราด้วยเช่นกัน

ลงเรือเจ้หมิง ลงเรืองพี่งู แต่จะไม่ลงเรือหมาเด็ดขาด! :serius2: :serius2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2017 06:45:42 โดย Kawaiichibi »

ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนนี้ออกจากทั้งสองเรือเทพมาลงเรือเฉิงเฉิงแล้วค่ะ โลเลทั้งคู่

ปล. พี่งูทำแบบนี้คะแนนติดลบไปค่ะ

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สองคนนี้เห็นเฉิงเฉิงเป็นตัวอะไรเป็นตัวแทนของใคร  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
มีเรือผีให้ลงมั้ยคะ5555555

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
4 เศร้าใช่ไหม ความรักของเหล่าเทพอสูรช่างซับซ้อนแท้ ๆ ถ้าซิ่นเฉิงเป็นหลิวซูก็ดีไปแต่ถ้าไม่ใช่เทียนอี้คงเลือกไม่ถูก แต่คิดอีกทีก็น่าจะดี ยกหลิวซูให้เจี้ยนสือไป เทียนอี้ก็คู่กับซิ่นเฉิง แฮปปี้สุด ๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
วิ่งบนน้ำละกัน อิอิ
รอจ้า

ออฟไลน์ cinpetals

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอออออ :3123:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เฉิงเฉิงก็คือเฉิงเฉิง ไม่ใช่ซูซูนะพี่หมาพี่งู อย่าเอามาทับกันดิ แค่มัดกล้ามเฉิงน้อยก็กินขาดแล้วววว//ผิด

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อย่าใจร้ายกับเฉิงเฉิงน้าาา :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
[ตัวอย่าง] บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์

 วันนี้ไม่ได้อัปตอนเต็มนะคะ
เพิ่งกลับมาจาก ตจว. + มัวแต่ปั่นงานอีกเรื่องเลยไม่มีเวลา
เจอกันพรุ่งนี้เย็นๆ แทนเนอะ เจิมรอกันไปก่อนนะคะ XD
----------------------------

“ซูซูหาใช่ของเจ้า และเฉิงเฉิงก็เช่นกัน” เทียนอี้ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
คนฟังแสยะยิ้มร้ายเย้ยหยัน “แต่ทั้งซูซูและเจ้าเหมียวนั่นก็หาใช่ของเจ้าเช่นกัน”
“ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า”
“เจ้าช่างใจโลเลนัก เลือกเอาสักคนว่าจะครอบครองผู้ใดกันแน่”
“ข้าใจโลเล แล้วเจ้าล่ะเจี้ยนสือ เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่ารักมั่นใจซูซู แล้วไยเจ้าถึงมายุ่งวุ่นวายกับเฉิงเฉิง”

เจี้ยนสือเถียงไม่ออกในคราวนี้ ที่เขามาวิวาทกับเทียนอี้อยู่ก็เพราะหวงแหนในตัวของซิ่นเฉิงไม่ใช่หรือ?

และเพราะไม่ยอมตอบคำถาม ก็ทำให้เทียนอี้ซึ่งยืนมองอยู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ว่าจะเป็นซูซูหรือเฉิงเฉิง หัวใจของพวกเขาก็ล้วนปฏิพัทธ์ต่อข้า หาใช่เจ้าไม่”
“เจ้าเพ้อพกไปเองแล้วเทียนอี้!”

เจี้ยนสือแผดเสียงด้วยโทสะ ก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามา ฟาดดาบเล่มเขื่องในมือใส่คนตรงหน้าด้วยโทสะที่พวยพุ่งไปทั่วร่างอีกครา เทียนอี้ยกดาบขึ้นตั้งรับไว้ทันท่วงที เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นชวนให้น่าหวาดเกรง สองแม่ทัพใหญ่ปะมือกันเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น เพราะแม้ทั้งคู่จะกลายร่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพอสูรไร้อิทธิฤทธิ์ ทว่าวรยุทธก็ยังคงล้ำเลิศไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังดำรงเป็นแม่ทัพสวรรค์เลยแม้แต่น้อย

ลมพัดหมุนก่อตัวเป็นพายุลูกขนาดย่อม ฝุ่นผงตลบอบอวลโอบล้อมร่างของแม่ทัพสุนัขป่าและแม่ทัพงูจงอาง ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้าไปห้ามการวิวาทนี้ เหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสอง แม้จะเคยร่วมศึกสงครามสวรรค์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยำเกรงแรงโทสะของทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวในเรือนด้วยหวาดกลัว เฝ้ารอให้ใครสักคนมาห้ามปรามการวิวาทนี้อย่างใจจดจ่อ

หมิงจูที่ได้ยินเรื่องรีบเร่งมายังจวนของเจี้ยนสือ เบื้องหลังมีซิ่นเฉิงควบม้าไล่ตามด้วยสีหน้าตระหนก ครั้นเห็นความพินาศของซากปรักหักพัง ใจก็หล่นวูบด้วยเกรงว่าจะก่อเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นในอดีตที่ผ่านมา

ในอดีต...เมื่อครั้งที่หลิวซูมีชีวิตอยู่

พลันรีบหันไปมองยังคนข้างหลังอย่างรวดเร็ว ออกปากปรามซิ่นเฉิงเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะได้หว่านล้อมให้สหายทั้งสองใจเย็นลง

ทว่าคงจะช้าไปสักหน่อย เพราะทันทีที่มาถึง สายตาของซิ่นเฉิงก็เหลือบไปเห็นเทียนอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ที่พลาดท่าไปก็เพราะอีกฝ่ายได้กลิ่นกายของชายหนุ่มเช่นกัน ทำเอาเจี้ยนสือที่ฟาดฟันดาบใส่ไม่ยั้งสบโอกาสฟาดฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ใส่หัวไหล่เต็มแรง มือที่ถือดาบหลุดร่วง ก่อนร่างจะกระเด็นลงไปกระแทกพื้นเมื่อถูกฝ่ามือกระแทกลงมายังแผ่นอกอีกครา

ความจุกเสียดไหลเวียนไปทั่วร่าง เทียนอี้ไอโขลกเอาโลหิตข้นคลั่กออกมา ขณะที่เจี้ยนสือส่งเสียงหัวเราะดังหึ
“หากสิ้นเจ้า เฉิงเฉิงก็จะเป็นของข้า”

ไม่เพียงแต่พูด ยังเงื้อดาบในมือขึ้นสูง หมายจะประหัตประหารสหายให้สิ้น

แม้เป็นเทพอสูรที่มีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้จะเป็นอมตะไปด้วยหากได้รับบาดเจ็บ สูญสิ้นร่างกายก็จะเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ สวรรค์ไม่เปิดฟ้า ปรโลกไม่เปิดรับ ทนทุกข์ทรมานอยู่ระหว่างสามโลกนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่าย เขาก็หันไปแย่งชิงดาบจากฝักที่อยู่ข้างเอวของทหารนายหนึ่งมากระชับในมือมั่น สองเท้าก้าวกระโดดไปอย่างว่องไวและพุ่งเข้ารับคมดาบของเจี้ยนสือที่ทิ้งลงมาด้วยดาบที่อยู่ในมือตน

เสียงโลหะกระทบดั่งสนั่นอีกครา ก่อนเสียงของเทียนอี้จะดังขึ้นเมื่อร่างของมนุษย์หนุ่มพุ่งมาคั่นกลางระหว่างเขากับดาบเล่มเขื่องนั่นไว้

“เฉิงเฉิง...”

เจี้ยนสือพลันชะงัก ครั้นปรายตามองก็เห็นซิ่นเฉิงรับดาบด้วยท่อนแขนอันสั่นเทาทั้งสองข้าง เพียงแขนข้างเดียวไม่อาจต้านกำลังของเทพอสูรได้ จึงจำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเทียนอี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะมีสีหน้าตะลึงงันไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นซิ่นเฉิงโผล่มาในเวลาเช่นนี้

“เจ้า...”
ริมฝีปากเอื้อนเอ่ย ก่อนถ้อยคำทั้งหมดจะถูกกลืนลงคอไปเมื่อเสียงของซิ่นเฉิงดังแทรก
“หากเจ้าจะสังหารเจ้าหมา เจ้าก็ต้องสังหารข้าก่อน”

‘หากเจ้าจะสังหารเทียนอี้ สู้สังหารข้าเสียยังดีกว่า’

 คำพูดของใครบางคนที่ได้เอ่ยไว้ในอดีตผุดพรายขึ้นมาทับซ้อนกับคำพูดของซิ่นเฉิงในภวังค์ของเจี้ยนสือ ความคับแน่นพร่างพรายไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกนี้...เป็นเช่นเดียวกับตอนนั้น...

สายตาของเจี้ยนสือจับจ้องไปที่ใบหน้าคร้ามของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้มีเหงื่อกาฬไหลอาบ แขนทั้งสองที่จับดาบยังสั่นเทา ก่อนที่เขาจะผละออกมาทิ้งดาบลงบนพื้น ความผิดหวังคับแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองซิ่นเฉิงด้วยผิดหวังเหลือคณานับ

ไม่ว่าจะผู้ใด...

ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็ล้วนแล้วแต่เห็นเทียนอี้สำคัญเช่นนั้นหรือ?

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
โอ้ย บีบคั้นเหลือเกิน  ทำไมต้องชอบคนเดียวกันด้วย ตอนนี้สงสารพี่งู

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
เฉิงเฉิงต้องคู่กับเจ้าหมาน่ะดีแล้ว
ส่วนเจ้างูก็จะตกเป็นของเรา คิคิคิคิคิคิคิคิ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ฉากจูบกะพี่งูน่ากลัว  และวาบหวิวไปพร้อม ๆ กัน     #ลงเรือพี่หมา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[1]

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

กับเทียนอี้แล้ว นั่นอาจเป็นเรื่องธรรมดาด้วยเขากับเทพอสูรตนนั้นสัมผัสเรือนร่างของกันและกันอยู่บ่อยครั้ง แต่กับเจี้ยนสือ มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจนัก ทั้งที่อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นงูจงอาง ไร้ซึ่งความน่าพิศวาส และการกระทำของอีกฝ่ายก็ชวนให้โมโห หากแต่ซิ่นเฉิงกลับวูบไหวในใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

สัมผัสเย็นเยียบจากผิวเนื้อเรียบลื่นก่อนจะกลายเป็นอุ่นร้อนเมื่อเจี้ยนสือกลายร่างเป็นอดีตเทพ ช่างทิ้งร่องรอยติดตรึงในในให้กับซิ่นเฉิงยิ่งนัก ทั้งที่ความรู้สึกนั้น เขามีให้กับเทียนอี้แต่เพียงผู้เดียวแท้ๆ แล้วเหตุใดถึงได้เกิดขึ้นกับเจี้ยนสือด้วยกัน?

แต่ซิ่นเฉิงก็ไม่ใคร่จะหาคำตอบแล้ว เพราะยิ่งคิดคำนึงถึงก็ยิ่งสับสน อันที่จริงเขาไม่ควรหวั่นไหวไม่ว่ากับผู้ใดทั้งสิ้น ตนเป็นบุรุษ ไม่ควรรักใคร่หรือหวั่นไหวไปกับบุรุษอื่นใด อีกทั้งยังไม่ได้คิดที่จะอยู่ในแคว้นเฟิงฝูตลอดทั้งชีวิต ไยจะต้องไปใส่ใจเรื่องเหล่านี้กัน

ชายหนุ่มรีบพาตนเองกลับเข้าจวนของเทียนอี้พร้อมกับพยายามเก็บความคิดฟุ้งซ่านนั้นไว้ในใจ ก่อนจะต้องผงะเมื่อกระโดดข้ามกำแพงจวนเข้ามาแล้วสายตาปะทะเข้ากับพ่อบ้านเหลียงที่ยืนอยู่ในชานเรือนพอดี ความรีบร้อนของซิ่นเฉิงนั้นส่งผลให้เกิดเสียง พ่อบ้านเหลียงที่ยังคงรอผู้เป็นนายกลับจวนหลังจากทำหน้าที่คุมทหาราดตระเวนเสร็จสิ้นจึงได้ยินเข้าพอดี ครั้นออกมาหมายจะเดินไปตามหาต้นเสียงก็พบเข้ากับซิ่นเฉิง เขาก็หาได้แปลกใจหรอกหากจะเห็นชายหนุ่มกลับเข้ามาหลังจากหนีออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ ...สุนัขไม่อยู่ เจ้าแมวป่าย่อมร่าเริง แต่ก็ที่จะถอนหายใจอย่างระอาไม่ได้

“รีบกลับเข้านอนก่อนที่ท่านแม่ทัพจะกลับมาเสีย” พ่อบ้านเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ

ซิ่นเฉิงไม่พูดอะไร เดินตรงไปยังเรือนใหญ่ที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ครั้นเข้ามาใกล้ สายลมเอื่อยก็พัดพากลิ่นกายของมนุษย์หนุ่มให้ได้สัมผัส พ่อบ้านเหลียงที่หมายจะไปทำหน้าที่ตนต่อถึงกับชะงัก หันมองตามแผ่นหลังของซิ่นเฉิงพลัน

“เจ้าน่ะ ประเดี๋ยวก่อน...”
ซิ่นเฉิงหันกลับมา ถามเสียงแข็ง “มีเรื่องอันใด”
“เจ้า...ไปทำสิ่งใดกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมา”

ได้ฟังเช่นนี้ คนถูกถามก็เสียวสันหลังวาบ กลิ่นของเจ้างูนั่นมันแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

หากถามพ่อบ้านเหลียง ก็คงตอบได้ว่ารุนแรงมากจริงๆ หากเป็นเพียงการใกล้ชิดกัน กลิ่นจะไม่โชยถึงเพียงนี้ เป็นเพียงกลิ่นอ่อนๆ ติดกายเท่านั้น แต่นี่...ค่อนข้างฉุนเลยทีเดียว อย่าบอกเขาเชียวนะว่า... ไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกันมา

พ่อบ้านเหลียงก็ไม่อยากคิดเช่นนั้นหรอก แต่กลิ่นมันชัดเจนราวกับกลิ่นของเทียนอี้ที่ติดกายของซิ่นเฉิงเลยทีเดียว หากแต่คำตอบที่ได้กลับเป็นการบ่ายเบี่ยง

“จะไปทำสิ่งใดก็หาใช่เรื่องของเจ้า”

ไม่ใช่เรื่องของเขา... ใช่ เขาไม่เกี่ยวข้อง แต่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปสอดด้วยเมื่อครั้งที่เทียนอี้ล่วงรู้ว่าซิ่นเฉิงหนีออกจากจวนไปครั้งแรก เขาพบกับอะไรบางอย่างในอ่างไม้ในห้องของผู้เป็นนาย สิ่งนั้น...เขาเก็บมันเอาไว้โดยที่ผู้เป็นเจ้าของก็คงยังไม่รู้ตัวว่าได้ทำหล่นหาย

ครั้นเห็นซิ่นเฉิงหมุนตัวจะเดินหนีไป พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขัดออกมา
“ข้าก็หาใช่ว่าอยากจะข้องเกี่ยว แต่การกระทำของเจ้า มันกำลังจะสร้างปัญหา”
“ข้าก็เป็นตัวปัญหาในสายตาของเจ้าตลอดแหละเจ้าจระเข้” ซิ่นเฉิงหันมาแหวใส่ด้วยรำคาญใจ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่นไปเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็หยิบเอาของบางอย่างจากสาบเสื้อออกมายื่นให้ตรงหน้า
“สิ่งนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

ดวงตาคนถูกถามเบิกโต สิ่งที่เขาเห็นในมือของพ่อบ้านเหลียงนั้นคือมีดสั้นที่เจี้ยนสือได้มอบให้ไว้ตั้งแต่ครานั้น

นี่หายไปตั้งหลายวันโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยหรือ?

“ข้าเจอมันตกอยู่ในอ่างน้ำที่ห้องนอนของท่านแม่ทัพเมื่อหลายวันก่อน” พ่อบ้านเหลียงว่าออกมาอีก
ซิ่นเฉิงอับจนคำพูดด้วยไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกไป ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงก้าวเข้ามาใกล้และยื่นมีดสั้นให้อีกครา

“เก็บของของเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้ท่านแม่ทัพล่วงรู้หากเจ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
ซิ่นเฉิงยื่นมือไปรับ กำด้ามมีดไว้ในมือ “เหตุใดถึงไม่คืนให้ข้าตั้งแต่คราแรกที่เก็บได้”
“เพราะข้าหาได้คิดว่าเจ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือถึงเพียงนี้ ข้าได้ยินท่านแม่ทัพเทียนอี้สั่งไว้ว่าห้ามเจ้าไปข้องเกี่ยวกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ จึงคิดว่าเจ้าคงไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้อีก แล้วไยตอนนี้เจ้าจึงขัดคำสั่งกัน?”

เป็นซิ่นเฉิงที่เงียบงัน พ่อบ้านเหลียงถอนหายใจอย่างระอาออกมาอีกครา เขาน่าจะเฝ้าระวังซิ่นเฉิงให้มากกว่านี้ ยิ่งเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ก็ยิ่งได้กลิ่นของเจี้ยนสืออแรงขึ้นด้วย กลิ่นกายที่ฝังแน่นเช่นนี้ คงเป็นเพราะ...

“เจ้าจุมพิตกับท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมาใช่หรือไม่?”

การถามออกไปตามตรงก็ทำให้ซิ่นเฉิงเผลอเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่ตอบรับ พ่อบ้านเหลียงก็ถือว่าความเงียบนั่นคือคำตอบแล้ว พลันสิ่งที่เขากังวลก็พร่างพรายออกมาเป็นถ้อยวจีอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้

“เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพเทียนอี้เอ็นดูเจ้าเพียงใด และก็รู้อีกด้วยว่าท่านแม่ทัพทั้งสองเคยมีเรื่องบาดหมางกับเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งมาก่อน เจ้ายังจะทำให้ทั้งสองบาดหมางกันเพราะเจ้าอีกหรือ?”

ใช่อย่างนั้นที่ไหนกัน ซิ่นเฉิงหาได้คิดเช่นนั้น การที่ถูกเจี้ยนสือหักหาญช่วงชิงจูบไปก็ใช่ว่าเป็นไปเพราะความเต็มใจ แต่การแก้ตัวไปกับเทพอสูรจระเข้ตรงหน้าก็เสมือนกับผายลม ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงไม่เปิดปากใดๆ นอกจากจ้องใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง พ่อบ้านเหลียงเองก็จนปัญญาจะดุด่าแล้วเช่นกัน ภายในใจเขามีแต่ความเหนื่อยหน่าย ออกปากเตือนไปก็ไร้ซึ่งผู้ใดรับฟัง เขาจึงทำได้แค่เก็บกวาดเศษซากที่คนอื่นๆ ทิ้งไว้ให้เท่านั้น

“เจ้าไปชำระล้างเนื้อตัวก่อน อย่างไรเสีย เรื่องนี้ท่านแม่ทัพก็ต้องรับรู้ อย่างน้อยการที่กลิ่นของท่านแม่ทัพเจี้ยนสือที่ติดกายเจ้าทุเลาลงก็อาจจะทำให้ท่านแม่ทัพของข้าไม่เดือดดาลมากนัก ข้าจะไปเตรียมน้ำให้”

พูดจบก็เดินสวนไปยังห้องนอนของเทียนอี้ เรียกคนรับใช้มาช่วยกันตระเตรียมสิ่งจำเป็นให้ซิ่นเฉิงได้ทำความสะอาดร่างกาย ขณะที่ชายหนุ่มยืนมองด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา

เทพอสูรทั้งสองมีเรื่องหมางใจกันเพราะหลิวซู แต่นั่นก็ด้วยเหตุว่ารักใคร่ชอบพอคนเดียวกัน แต่กับเขาซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไร ก็เป็นชนวนที่จะทำให้ทั้งคู่กินแหนงแคลงใจกันอีกหรือ?

ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี...
 
แต่เรื่องไร้สาระที่ซิ่นเฉิงคิดนั้นกลับเป็นจริงด้วยเมื่อเทียนอี้กลับมาและพบเจอหน้าซิ่นเฉิงภายในห้องนอน กลิ่นของเจี้ยนสือก็อบอวลคละคลุ้งไปหมด เท่านั้นก็รับรู้ได้ทันทีว่าซิ่นเฉิงหนีออกนอกจวนอีกครา แต่นั่นหาใช่เรื่องที่ทำให้เขาเดือดดาลได้เท่ากับกลิ่นที่ฝังลึกอยู่บนกายของชายหนุ่ม

ลึกเสียจน...อยากจะขัดถูออกได้ด้วยน้ำสะอาด ต่อให้ชำระล้างร่างกายมากเพียงใดก็ไม่อาจลบเลือนได้ในเร็ววัน เพราะกลิ่นนั้นมาจากจุมพิต

เทียนอี้เดือดดาลจนระงับโทสะไว้ไม่อยู่ ขาดสติยั้งคิดไปฉับพลันเมื่อนึกภาพว่าซิ่นเฉิงถูกเจี้ยนสือกระทำการอย่างใด ก่อนจะหุนหันออกจากจวนไปพร้อมกับดาบในมือ ทำเอาพ่อบ้านเหลียงที่พยายามห้ามปรามตั้งแต่เมื่อครู่ตระหนกเสียจนใบหน้าที่ถึงแม้จะเป็นจระเข้ซีดเผือด ด้วยรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้จะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะรีบมุ่งหน้าไปยังจวนของหมิงจูด้วยหมายจะให้ผู้เป็นสหายของเทียนอี้และเจี้ยนสือไปห้ามปราม เพราะนอกจากหมิงจูแล้ว ทั้งสองก็หาได้สนิทสนมกับผู้ใด แต่ต่อให้เป็นหมิงจูก็ใช่ว่าจะวางใจได้ว่าทั้งคู่จะรับฟัง ในยามที่โทสะครอบงำเช่นนี้ แม้แต่เทียนอี้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใจเย็นก็สามารถกระทำการใดๆ โดยไม่ยั้งคิดได้เช่นกัน

คราแรกพ่อบ้านเหลียงจะไปที่จวนของหมิงจูแต่เพียงผู้เดียว ทว่าซิ่นเฉิงซึ่งรู้ว่าตนเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

เป็นห่วงทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือ...

ความรู้สึกที่มีต่อเทียนอี้นั้นหาใช่เรื่องแปลกเท่าใดนักเพราะความผูกพันจากการอยู่ร่วมจวนนั้นค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน แต่ความเป็นห่วงในตัวของเจี้ยนสือ...ผุดพรายออกมาราวกับเป็นจิตสำนึกที่ฝังรากแน่นอยู่ภายในใจ

กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้ครุ่นคิดเอาคำตอบ ครั้นพ่อบ้านเหลียงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หมิงจูได้ฟัง รองแม่ทัพเทพอสูรก็คว้าอาวุธคู่กาย รีบร้อนมาขึ้นหลังม้าที่ทหารในจวนเตรียมไว้ให้และควบไปยังจวนของเจี้ยนสือในบัดดล

ขณะเดียวกันที่จวนของเจี้ยนสือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝูในร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าก้าวเข้ามาด้านใน ไม่สนใจฟังคำทัดทานของทหารยามที่ห้ามปรามด้วยเห็นอีกฝ่ายไม่แจ้งจุดประสงค์ใด ต่อให้เป็นสหายของเจี้ยนสือ แต่การบุกจวนมาอย่างอุกอาจโดยไม่แจ้งว่ามาเพื่อการใดเช่นนี้ก็หาใช่เรื่องที่สมควรกระทำ ทว่าก็ไม่กล้าที่จะตอแยอีกคราเมื่อถูกสายตาดุดันจ้องมอง ตอนนี้เองที่ได้รับรู้ว่า...เทียนอี้ไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร

ทหารนายหนึ่งหมายจะเข้าไปรายงานเรื่องนี้ให้ผู้เป็นนายรับรู้ แต่เจี้ยนสือที่ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนด้วยครุ่นคิดแต่เรื่องของซิ่นเฉิงก็พอจะเดาได้ว่าเทียนอี้จะต้องมาเยือน ครั้นสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวของฝีเท้าอีกฝ่ายที่กระแทกลงมาบนพื้น ก็รู้ได้ทันทีว่าเทียนอี้โกรธเพียงใด

เจี้ยนสือคว้าดาบ เดินออกจากห้องรับรองมายังชานเรือน ทอดสายตามองไปยังร่างใหญ่ของสหายที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรือนใหญ่

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา นานมากแล้วที่เจ้าไม่ได้มาเหยียบจวนของข้า ดูท่าวันนี้ฝนคงจะตกกลางทะเลทรายกระมัง” ว่าพลางยกยิ้มเย้ย

เทียนอี้ไม่ได้แสดงสีหน้าใด คำหยอกเย้าของเจี้ยนสือนั้นก็หาใช่จริงใจ ไยจะต้องตอบสนอง

“มาเพราะเรื่องของเจ้าเหมียวล่ะสิ” เมื่อเห็นเทียนอี้เอาแต่ยืนจ้องหน้าตนเขม็ง เจี้ยนสือก็ไร้ซึ่งการเล่นลิ้นอีกต่อไป
เทียนอี้ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงต่ำ
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเฉิงเฉิงเป็นของข้า”

คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เฉิงเฉิง?” จากนั้นก็กลั้วหัวเราะ “เรียกเสียสนิทสนมราวกับว่าเจ้านั่นเป็นของเจ้าจริงๆ”

ที่เอ่ยเช่นนี้เป็นเพราะรู้ว่าซิ่นเฉิงหาได้มอบกายให้กับอีกฝ่ายอย่างที่เทียนอี้ได้อ้างเป็นนัยไว้ ทำเอาเทียนอี้ถึงกับกัดฟันกรอด
“เขาเป็นของข้า”
“ก็เพียงสุนัขหวงชามข้าว ไม่ได้กินก็ขอให้ได้จับจอง” เจี้ยนสือหมายถึงการที่เทียนอี้มอบเขี้ยวสุนัขป่าที่ห้อยเครื่องประดับผมให้กับซิ่นเฉิง พลันยิ้มเย้ยออกมาอีก “เจ้าช่างไม่เปลี่ยนเสียจริง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด ก็ยังคงคิดไปเองเช่นเคย”

คิดไปเอง... เจี้ยนสือกำลังหมายถึงเรื่องของหลิวซูด้วย เขารู้ว่าเทียนอี้ก็อ้างว่าหลิวซูเป็นคนรักไม่ต่างจากเขา และนั่นทำให้บาดแผลในใจของคนฟังที่มีถูกสะกิดขึ้นมาอีกคราเมื่อเจี้ยนสือเอ่ยประโยคถัดมา

“เจ้าก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วหลิวซูเป็นของผู้ใด”

ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วระคายหูยิ่งนัก เลือดลมในร่างกายสูบฉีดรุนแรง เทียนอี้โกรธเสียจนมือที่จับดาบอยู่สั่นเทิ้มน้อยๆ ก่อนจะว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ซูซูหาใช่ของเจ้า เฉิงเฉิงก็เช่นกัน”
คนฟังแสยะยิ้มร้ายเย้ยหยัน “แต่ทั้งซูซูและเจ้าเหมียวนั่นก็หาใช่ของเจ้าเช่นกัน”

สิ่งนั้นเป็นความจริง... ไม่มีผู้ใดได้ครอบครองทั้งหลิวซูและซิ่นเฉิง กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่ยอมพ่ายโดยง่าย

“ไม่ใช่วันนี้ก็วันหน้า”
“เจ้าช่างใจโลเลนัก เลือกเอาสักคนว่าจะครอบครองผู้ใดกันแน่”
“ข้าใจโลเล แล้วเจ้าล่ะเจี้ยนสือ เจ้ามิใช่หรือที่บอกว่ารักมั่นใจซูซู แล้วไยเจ้าถึงมายุ่งวุ่นวายกับเฉิงเฉิง”

เจี้ยนสือเถียงไม่ออกในคราวนี้ ที่เขามาวิวาทคารมกับเทียนอี้อยู่ก็เพราะหวงแหนในตัวของซิ่นเฉิงไม่ใช่หรือ?

และเพราะไม่ยอมตอบคำถาม ก็ทำให้เทียนอี้ซึ่งยืนมองอยู่ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ว่าจะเป็นซูซูหรือเฉิงเฉิง หัวใจของพวกเขาก็ล้วนปฏิพัทธ์ต่อข้า หาใช่เจ้าไม่”
“เจ้าเพ้อพกไปเองแล้วเทียนอี้!”

เจี้ยนสือแผดเสียงด้วยโทสะ การหยอกเย้าหมายจะให้อีกฝ่ายเดือดดาลกว่าเดิมสิ้นสุดลงในครานี้ เป็นเขาเสียเองอีกด้วยที่หัวเสียจนไม่อาจอดทนได้ไหว ก่อนจะพุ่งทะยานเข้ามา ฟาดดาบเล่มเขื่องในมือใส่คนตรงหน้าด้วยโทสะที่พวยพุ่งไปทั่วร่าง เทียนอี้ยกดาบขึ้นตั้งรับไว้ทันท่วงที ออกแรงผลักให้คนตรงหน้ากระเด็นออกไป

เจี้ยนสือตั้งหลักได้ก็เหวี่ยงดาบใส่อีกครั้งอย่างไม่รีรอ ครั้นฟาดดาบลงไปพลาดเป้าหมายด้วยเทียนอี้หลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว พื้นหินที่ถูกคมดาบฟาดลงมาก็แหลกละเอียดไม่ต่างจากก้อนกรวด เทียนอี้สบโอกาส วาดอาวุธในมือเข้าใส่ เจี้ยนสือมีประสาทสัมผัสไว แค่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวก็หลบหลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เคราะห์กรรมจึงตกอยู่ที่ต้นเหมยที่อยู่ทางด้านหลังของเจี้ยนสือแทน

ลำต้นถูกฟันเสียขาดเป็นสองส่วน เสียงดังตึงสนั่นหวั่นไหว การวิวาทเริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงโลหะกระทบกันชวนให้น่าหวาดเกรงดังสนั่นไปทั่วและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหย่อน การที่สองแม่ทัพใหญ่ปะมือกันเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น เพราะแม้ทั้งคู่จะกลายร่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพอสูรไร้อิทธิฤทธิ์ ทว่าวรยุทธก็ยังคงล้ำเลิศไม่ต่างจากเมื่อครั้งยังดำรงเป็นแม่ทัพสวรรค์ ต่างฝ่ายต่างหมายประหัตประหารกันโดยหาได้คิดถึงความสัมพันธ์อันยาวนานของสหายร่วมรบในครั้งก่อนแม้แต่น้อย

ลมพัดหมุนก่อตัวเป็นพายุลูกขนาดย่อม ฝุ่นผงตลบอบอวลโอบล้อมร่างของแม่ทัพสุนัขป่าและแม่ทัพงูจงอาง ไร้ซึ่งผู้ใดอาจหาญเข้าไปห้ามการวิวาทนี้ เหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสองที่ประจำอยู่ในจวนและที่ติดตามเทียนอี้มา แม้จะเคยร่วมศึกสงครามสวรรค์ด้วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยำเกรงแรงโทสะของทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เหล่าคนรับใช้พากันวิ่งหนีไปหลบซ่อนตัวในเรือนด้วยหวาดกลัว เฝ้ารอให้ใครสักคนมาห้ามปรามการวิวาทนี้อย่างใจจดจ่อ

หมิงจูมาถึงยังที่หมาย เบื้องหลังมีซิ่นเฉิงควบม้าไล่ตามด้วยสีหน้าตระหนกด้วยได้ยินเสียงดังกัมปนาทเป็นระยะตั้งแต่เมื่อครู่ ครั้นเห็นความพินาศของซากปรักหักพังภายในจวนของเจี้ยนสือ ใจของหมิงจูก็หล่นวูบด้วยไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเหมือนในอดีต

ในอดีต...เมื่อครั้งที่หลิวซูมีชีวิตอยู่

พลันรีบหันไปมองยังคนข้างหลังอย่างรวดเร็ว หมายออกปากปรามซิ่นเฉิงเอาไว้ว่าอย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะได้หว่านล้อมให้สหายทั้งสองใจเย็นลง

ทว่าคงจะช้าไปสักหน่อย เพราะทันทีที่มาถึง สายตาของซิ่นเฉิงก็เหลือบไปเห็นเทียนอี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะการที่จู่ๆ ได้กลิ่นกายของชายหนุ่มที่เป็นสาเหตุของการวิวาท พลันก็ชะงัก เหลียวมามองด้วยเกรงว่าซิ่นเฉิงจะถูกลูกหลง ทำเอาเจี้ยนสือที่ฟาดฟันดาบใส่ไม่ยั้งสบโอกาสฟาดฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ใส่หัวไหล่เต็มแรงข้างที่ถือดาบอยู่ ดาบหลุดร่วงจากมือของเทียนอี้ ก่อนร่างจะกระเด็นลงไปกระแทกพื้นเมื่อถูกฝ่ามือกระแทกลงมายังแผ่นอกอีกครา

ความจุกเสียดไหลเวียนไปทั่วร่าง เทียนอี้ไอโขลกเอาโลหิตข้นคลั่กออกมา ขณะที่เจี้ยนสือส่งเสียงหัวเราะดังหึในลำคอ

“หากสิ้นเจ้า เจ้าเหมียวก็จะเป็นของข้า”
ไม่เพียงแต่พูด ยังเงื้อดาบในมือขึ้นสูง หมายจะประหัตประหารสหายให้สิ้น

แม้เป็นเทพอสูรที่มีชีวิตเป็นอมตะ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้จะเป็นอมตะไปด้วยหากได้รับบาดเจ็บ สูญสิ้นร่างกายก็จะเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในแดนมนุษย์ สวรรค์ไม่เปิดฟ้า ปรโลกไม่เปิดรับ ทนทุกข์ทรมานอยู่ระหว่างสามโลกนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์

หากแต่ซิ่นเฉิงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ครั้นเห็นเจี้ยนสือเงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของอีกฝ่าย เขาก็หันไปแย่งชิงดาบจากฝักที่อยู่ข้างเอวของทหารนายหนึ่งมากระชับในมือมั่น สองเท้าก้าวกระโดดไปอย่างว่องไวและพุ่งเข้ารับคมดาบของเจี้ยนสือที่ทิ้งลงมาด้วยดาบที่อยู่ในมือตน

เสียงโลหะกระทบดั่งสนั่นอีกครา ก่อนเสียงของเทียนอี้จะดังขึ้นเมื่อเห็นร่างของมนุษย์หนุ่มพุ่งมาคั่นกลางระหว่างเขากับดาบของเจี้ยนสือไว้

“เฉิงเฉิง...”

เจี้ยนสือพลันชะงัก ครั้นปรายตามองก็เห็นซิ่นเฉิงรับดาบด้วยท่อนแขนอันสั่นเทาทั้งสองข้าง เพียงแขนข้างเดียวไม่อาจต้านกำลังของเทพอสูรได้ จึงจำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องเทียนอี้ ก่อนที่เจี้ยนสือจะมีสีหน้าตะลึงงันไปด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นซิ่นเฉิงโผล่มาในเวลาเช่นนี้

“เจ้า...”
ริมฝีปากเอื้อนเอ่ย ก่อนถ้อยคำทั้งหมดจะถูกกลืนลงคอไปเมื่อเสียงของซิ่นเฉิงดังแทรก
“หากเจ้าจะสังหารเจ้าหมา เจ้าก็ต้องสังหารข้าก่อน”

‘หากเจ้าจะสังหารเทียนอี้ สู้สังหารข้าเสียยังดีกว่า’

คำพูดของใครบางคนที่ได้เอ่ยไว้ในอดีตผุดพรายขึ้นมาทับซ้อนกับคำพูดของซิ่นเฉิงในภวังค์ของเจี้ยนสือ ความคับแน่นพร่างพรายไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกนี้...เป็นเช่นเดียวกับตอนนั้น...

สายตาของเจี้ยนสือจับจ้องไปที่ใบหน้าคร้ามของซิ่นเฉิงซึ่งบัดนี้มีเหงื่อกาฬไหลอาบ แขนทั้งสองที่จับดาบยังสั่นเทา ก่อนที่เขาจะผละออกมาทิ้งดาบลงบนพื้น ความผิดหวังคับแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองซิ่นเฉิงด้วยผิดหวังเหลือคณานับ

ไม่ว่าจะผู้ใด...

ไม่ว่าจะเป็นหลิวซูหรือซิ่นเฉิง ก็ล้วนแล้วแต่เห็นเทียนอี้สำคัญเช่นนั้นหรือ?

“เจ้าปกป้องมัน” เทพอสูรงูจงอางเอ่ยเสียงเครือ ทำเอาซิ่นเฉิงแผดเสียงใส่
“ก็ต้องปกป้องสิ เจ้าจะสังหารสหายตนเองเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง!”

แต่เสียงนั้นหาได้เข้าหูของเจี้ยนสือเลย เขาพูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น
“หากเจ้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด เจ้าก็คงลืมไปแล้วว่าเคยรักใคร่ข้ามากเพียงใด”

ไม่รู้เหตุผลที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น เพียงแต่เห็นซิ่นเฉิงแล้วทำให้นึกถึงคนรักในอดีตจึงพูดออกมา แต่น้ำเสียงร้าวรานของเจี้ยนสือส่งต่อไปยังซิ่นเฉิงได้เป็นอย่างดี

‘...เจ้าก็คงลืมไปแล้วว่ารักใคร่ข้ามากเพียงใด’

ไม่เพียงแต่เจี้ยนสือเท่านั้นที่เจ็บปวดเมื่อเปล่งคำพูดนี้ คนฟังอย่างซิ่นเฉิงก็รวดร้าวในใจเช่นกัน แม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เจี้ยนสือพูด แต่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกลับบีบรัดเสียจนแทบจะขาดใจ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังและหมุนตัวจากไป ซิ่นเฉิงก็รู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

“เจี้ยนสือ...”

ด้วยลืมตัวหรือสิ่งใดก็ตาม ทำให้ชายหนุ่มผุดลุกหมายจะเดินตามไป ทว่าก็ต้องชะงักไว้เมื่อเทียนอี้เอื้อมมือมาคว้าแขน
“เฉิงเฉิง”

ครั้นหันกลับมาก็สบเข้ากับดวงตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดของเทียนอี้ เหนือสิ่งอื่นใด ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยพิษบาดแผลที่สหายมอบให้ ทำให้ซิ่นเฉิงจำต้องปล่อยให้เจี้ยนสือไป แล้วให้ความสนใจกับคนตรงหน้าแทน

“อดทนไว้ ข้าจะรีบพาเจ้ากลับจวน”

ทำเป็นพูดดีไปเช่นนั้น แม้จะมีร่างกายแข็งแกร่งสมเป็นนักรบแห่งทะเลทราย แต่ก็ไร้ซึ่งปัญญาจะแบกเทพอสูรผู้นี้กลับ เพียงแค่พยุงขึ้นจากพื้นยังทำได้ยาก ร้อนถึงหมิงจูที่ต้องสั่งการให้เหล่าทหารพาแม่ทัพใหญ่เทียนอี้กลับไปยังที่ของตน ก่อนจะปวดศีรษะหนึบเมื่อความกังวลของพ่อบ้านเหลียงที่ได้พร่ำบอกกับเขานั่นเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

มนุษย์สองคน...เป็นเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวจริงๆ ด้วย





ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 16: ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์[2]

แต่เรื่องที่หมิงจูจะปวดศีรษะจนแทบระเบิดเพียงใดหาใช่เรื่องสำคัญ การรักษาอาการของเทียนอี้สำคัญกว่า ลมปราณที่เจี้ยนสือรวบรวมใส่ฝ่ามือและกระแทกลงมาบนอกของเขาเรียกว่าฝ่ามือพิฆาต หากเป็นมนุษย์ เพียงฝ่ามือเดียวก็ปลิดชีพได้ ร่องรอยช้ำสีดำคล้ำบนอกและรอยไหม้บนเส้นขนบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจี้ยนสือหมายจะสังหารจริงๆ

การวิวาทครั้งนี้เป็นเรื่องจริงจัง...

พ่อบ้านเหลียงถึงกับมีใบหน้าดำมืดไปหลายส่วนด้วยตึงเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะพอท่านหมอตรวจอาการให้กับผู้เป็นนายเสร็จ เทียนอี้ก็ไล่ให้เขาออกไปข้างนอก

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

สิ่งที่พ่อบ้านเหลียงเป็นห่วงหาใช่แต่อาการบาดเจ็บสาหัสของเทียนอี้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะชายหนุ่มที่ยืนมองเทียนอี้อยู่ข้างๆ เตียงต่างหาก แต่เขาก็ยอมเดินออกจากห้องนอนไปแต่โดยดี ครั้นไร้ผู้คน ซิ่นเฉิงก็จะออกไปบ้าง หมายจะปล่อยให้คนเจ็บได้พักผ่อน ทว่าก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

“เจ้าอยู่กับข้า” ซิ่นเฉิงไม่ปฏิเสธ พ่นลมหายใจออกมาแล้วก้าวเข้าไปใกล้ พลันเทียนอี้ที่นอนอยู่ก็ร้องเรียกอีก “มานั่งบนเตียงกับข้าสิ”

“ในเวลาเช่นนี้ เจ้าก็ยังคิดจะทำเรื่องอย่างนั้นหรือไร”

คำพูดของซิ่นเฉิงมีแววหยอกเย้าอยู่เล็กน้อย พอจะเรียกรอยยิ้มจากเทียนอี้ได้บ้าง แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นด้วยความเจ็บปวดทำให้เขาต้องนอนนิ่งๆ ไปชั่วขณะ ซิ่นเฉิงเห็นสีหน้าเหยเกและลมหายใจกระชั้นถี่ที่มาจากการอดกลั้นความเจ็บปวดของคนตรงหน้าแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“เจ้า... สาหัสน่าดู”

“อีกไม่กี่วันก็หาย ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะเป็นเทพอสูร ร่างกายสูญสลายได้เฉกเช่นมนุษย์ แต่ก็ใช่ว่าจะใช้เวลาเยียวยานานนัก”

สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง หาใช่เรื่องที่เทียนอี้พูดให้อีกฝ่ายสบายใจ อาการบาดเจ็บของเหล่าเทพอสูรจะได้รับการฟื้นฟูรวดเร็วกว่ามนุษย์ หากร่างกายหาได้แหลกสลายไม่สมส่วนก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็กลับคืนมาได้เป็นปกติ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของซิ่นเฉิงยังดูไม่ดีขึ้น เทียนอี้ก็ว่าออกมาอีก

“แต่หากเจ้ากุมมือข้าไว้ตลอด ข้าก็อาจจะหายเร็วกว่าเดิม”
ตอนนี้เองที่ซิ่นเฉิงรู้ว่าถูกอีกฝ่ายเย้าเข้าให้แล้ว
“เจ้าคงไม่ได้ตายเพราะฝ่ามือของเจ้างูนั่นแล้วกระมัง จะตายเพราะข้านี่ล่ะ”

เทียนอี้ยกยิ้ม ไม่พูดสิ่งใด เอื้อมมือไปคว้ามือของซิ่นเฉิงมากุมไว้ อีกฝ่ายก็หาได้ขัด ก่อนที่เทียนอี้จะว่าหยอด

“หากจะต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้า ข้าก็ยินดี”
ช่างออดอ้อนได้ไม่รู้เวลานัก...

ซิ่นเฉิงอยากจะค่อนแคะไปอย่างนี้ ทว่าเมื่อเห็นเทียนอี้ปิดเปลือกตาลง เขาก็ไม่เอ่ยคำใด นั่งเงียบๆ หมายจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน พลันขบคิดไปเรื่อยเปื่อย...

คิดเรื่อยเปื่อย... ไม่หรอก เขาคิดถึงคำพูดของเจี้ยนสือที่ทิ้งท้ายไว้ต่างหาก ฝ่ายนั้นเอ่ยว่าหากเขาเป็นหลิวซูกลับมาเกิด ก็คงจะจำได้ว่าเคยรักเจี้ยนสือมากเพียงใด ที่เอ่ยเช่นนี้ เป็นเพราะเหตุใดกัน?

ยิ่งคิดก็ยิ่งใคร่รู้เรื่องราวของหลิวซูผู้นั้นและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้าหาได้สนใจแม้แต่เสี้ยวเดียว

การที่เขานั่งเงียบขบคิดไม่ตกอย่างนั้น ทำเอาเทียนอี้ที่ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนเมื่อครู่ลืมตาขึ้นมอง ครั้นเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซิ่นเฉิงก็โพล่งออกมา

“เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนี้กัน เจ้าคิดสิ่งใดอยู่”
ซิ่นเฉิงเหลียวมอง ในเมื่อถาม เขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ข้ากำลังคิดถึงคำพูดของเจ้างูนั่น ที่บอกว่าหากข้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด ก็คงจะจำได้ว่ารักเจ้านั่นเพียงใด ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่”

ไม่ถามหรอกว่าเหตุใดถึงมีความคิดประหลาดมาว่าเขาคือหลิวซูกลับมาเกิด เพราะซิ่นเฉิงคาดเดาเอาว่านั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณของความเป็นบุรุษเพศ ต่อให้เขาไม่ใช่หลิวซูกลับมาเกิด และหากไม่ใช่เขา แต่เป็นมนุษย์หรือผู้ใดก็ตามที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างเทียนอี้และเจี้ยนสือ ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองก็ต้องวิวาทกันคล้ายกับช่วงชิงความเป็นใหญ่ นั่นก็เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างสหายของพวกเขานั้นมีความเคียดแค้นแฝงอยู่ สิ่งนั้นซิ่นเฉิงซึ่งก็เป็นบุรุษและนักรบรู้ดี ต่อให้ชีวิตต้องสูญสิ้นก็ยอม แค่ขอให้อีกฝ่ายไร้ซึ่งความสุขเท่านั้น... ทั้งหมดล้วนมาจากแผลที่มีหลิวซูเป็นต้นเหตุ มันฝังลึกมายาวนานแล้ว

เมื่อได้ยินคำถาม เทียนอี้ก็เงียบงัน ใช่ว่าเขาไร้ซึ่งคำตอบของคำถาม แต่เขาไม่อยากจะพูดถึงมากกว่า
“บอกข้ามาเจ้าหมา เหตุใดเจี้ยนสือถึงพูดเช่นนั้น” เห็นว่าไม่ยอมตอบโดยง่าย ซิ่นเฉิงก็กดเสียงต่ำ
เทียนอี้ระบายลมหายใจ “หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้ มันเป็นเพียงเรื่องใดอดีต”
“เรื่องในอดีตของพวกเจ้าที่บัดนี้มีข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง เหตุใดข้าจะรู้ไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าเองก็ฝังใจอยู่กับอดีตมิใช่หรือ? คนจมปลักเช่นเจ้ายังมีหน้ามาพูดดีอีก”

คำโต้เถียงนั้นมีเหตุผล แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้อยากจะพูดอยู่ดี ซิ่นเฉิงเห็นว่าต่อให้คาดคั้นไปก็เปล่าประโยชน์ เทียนอี้คงไม่ปริปากพูด จึงดึงมือออกจากใต้ฝ่ามือใหญ่ทันควัน

“หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สิ้นเสียงก็ทำท่าจะออกจากห้องไป ทำเอาเทียนอี้รีบดันตัวขึ้นนั่ง รีบหย่อนขาลงพื้นหมายจะเดินตาม ทว่าก้าวได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องทรุดตัวลงฮวบบนพื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดเข้ารุมเร้า กระนั้นปากก็ยังจะเอ่ยเรียกชื่อของชายหนุ่มอีกคน

“เฉิงเฉิง...อึ้ก...”
ซิ่นเฉิงหันไปมองและเห็นภาพนั้นก็ตกใจ รีบเข้ามาพยุงอีกฝ่ายทันควัน
“ทำบ้าอะไรของเจ้า ท่านหมอบอกให้นอนนิ่งๆ ไว้ไม่ใช่หรือ!? ดื้อด้านนักเจ้าหมา!”

เสียงเขียวๆ ดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาอย่างเป็นห่วง หากแต่เทียนอี้กลับต่อปากต่อคำ
“ก็ไม่ได้ดื้อด้านเท่าเจ้า”
“ปากยังใช้การได้ดีเช่นนี้ ข้าปล่อยให้เจ้านอนตายอย่างเดียวดายตรงนี้เลยดีหรือไม่!?”

เป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ ก่อนที่มนุษย์หนุ่มจะยกแขนของเทียนอี้ขึ้นพาดบ่า สอดแขนไปพยุงร่างหนา ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีรั้งให้เทียนอี้ลุกขึ้น

การกระทำนั้นเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็พาเทียนอี้กลับมานอนบนเตียงได้ ซิ่นเฉิงที่นั่งทรุดตัวอยู่ข้างเตียงหอบหายใจหนัก อยากจะฟาดกำปั้นลงไปบนร่างคนตรงหน้านักที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านหมอ ทว่าก็ทำได้แค่เหลียวมองพร้อมตำหนิ

“ข้าน่าจะยุให้เจ้างูสังหารเจ้าไปเลยหากรู้ว่าเจ้าจะดื้อด้านเช่นนี้!”
“ก็ข้าไม่อยากให้เจ้าห่างจากตัวข้า”
“ไม่ต้องมาอ้อน หาใช่เวลาของเจ้า!” แผดเสียงใส่อีกแล้ว ทว่ากลับเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเทียนอี้ได้เป็นอย่างดี
“ข้าไม่อยากให้เจ้าห่างกายจริงๆ” สิ้นเสียงก็ฉวยเอามือของซิ่นเฉิงไปกุมไว้อีกครา คราวนี้หาได้กุมเพียงอย่างเดียวเช่นในตอนแรก ยังออกแรงดึงให้อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อเอามือนั้นไปแตะลงยังซีกหน้าของตน “ข้าอยากจะให้เจ้าอยู่กับข้าตลอดไป”

ซิ่นเฉิงที่บัดนี้ใบหน้าห่างจากเทียนอี้เพียงหนึ่งฝ่ามือสบสายตาของคนใต้ร่างนิ่ง แววตาของเทียนอี้เป็นดั่งคำพูด เขาต้องการซิ่นเฉิงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งโหยหาและห่วงใย แต่การที่ใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่ใกล้นั้น กลิ่นของเจี้ยนสือที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ลอยโชยเข้ามาในจมูก ทำเอาหัวคิ้วของเทียนอี้ย่นยู่ไป ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างถือวิสาสะ ครั้นซิ่นเฉิงเผยอริมฝีปาก ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็ชำแรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของอีกฝ่ายราวกับจะชำระล้างเอาสาบสางของเจี้ยนสือออกไปให้หมด อ้อมแขนกอดรัดร่างราวกับกลัวซิ่นเฉิงจะหนีไปให้ผู้ใดทิ้งกลิ่นไว้บนตัวอีก

จากที่หัวเสียก็พลันรื่นรมย์ ซิ่นเฉิงละความแข็งข้อลง จุมพิตตอบด้วยเสน่หา ลืมสิ้นไปหมดว่าก่อนหน้านั้นรู้สึกปวดร้าวกับคำพูดของเจี้ยนสือเท่าไร กระทั่งเทียนอี้เป็นที่พอใจถึงได้ผละออกมา

“เท่านี้กายเจ้าก็จะมีแต่กลิ่นของข้า”
แต่ก็หาได้หยุดแค่นั้น ปลายจมูกซุกไซ้ไปยังซอกคอ ขบกัดสร้างรอยคมเขี้ยวแดงเรื่อไว้หลายแห่ง ก่อนจะหยุดเมื่อถูกซิ่นเฉิงดึงแผงขนที่คอให้ออกห่าง

“ข้าไม่ใช่สมบัติของเจ้า อย่าริมาทิ้งกลิ่นใดไว้บนตัวข้า”
“เช่นนั้นก็ให้เจ้าทิ้งกลิ่นไว้บนตัวข้าก็ได้” เทียนอี้ยอมโดยดุษณี ทว่าคิดดีๆ แล้ว คนที่มีแต่ได้กับได้ก็คือเขาไม่ใช่ซิ่นเฉิง
“หากเจ้าหายดีเมื่อไร เจ้าจะได้ทำในสิ่งที่ประสงค์”

ซิ่นเฉิงก็หาได้ปฏิเสธ นั่นยิ่งเรียกรอยยิ้มจากเทียนอี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม พลันคิดไปว่าเขาทำถูกแล้วที่ไปวิวาทกับเจี้ยนสือ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้รับความเอ็นดูจากอีกฝ่ายเช่นนี้ ก่อนในใจจะอบอุ่นขึ้นมาด้วยรู้สึกรักใคร่ซิ่นเฉิงจนล้นปริ่มเสียจนอยากจะพรรณนาให้คนตรงหน้าได้รับรู้ แต่ก็มิอาจพูดด้วยใบหน้าของใครบางคนยังคงทับซ้อนใบหน้าของซิ่นเฉิงอยู่ เทียนอี้ได้ให้สัตย์สาบานกับตนเองแล้วว่าตราบใดที่เขาไม่อาจปล่อยวางหลิวซูได้ เขาก็จะไม่ถลำลึกไปกว่านี้ให้ซิ่นเฉิงได้เจ็บปวด

หากแต่คำสัตย์ของเขานั้น สวรรค์คงจะไม่ปรารถนาจะให้เขารับรู้แต่เพียงผู้เดียว ในขณะนั้นเอง สายตาของซิ่นเฉิงก็พลันเหลือบไปเห็น ‘บางอย่าง’ หล่นอยู่บนพื้นที่เทียนอี้ล้มทรุดไปก่อนหน้า จึงผละออกจากอ้อมแขน ตรงไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา

“นี่คือสิ่งใด” ชายหนุ่มหันมาถาม

มันคือถุงหอมที่ไร้ซึ่งกลิ่นหอมของบุปผชาติ...

ครั้นเทียนอี้เห็นก็เบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยด้วยตกใจ “นั่น...” คำพูดกลืนหายไปในลำคอ ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาจะร่วงหล่นในเวลาอย่างนี้ เขาเงียบไปครู่ใหญ่ทีเดียว กระทั่งเห็นซิ่นเฉิงทำหน้ารำคาญใจถึงได้พูดออกมาอีก “คือถุงหอมที่หลิวซูได้มอบให้ข้าไว้ก่อนจากไป”

ถุงหอม... แม้เผ่าของซิ่นเฉิงจะไม่มีค่านิยมนี้ แต่ก็รู้ดีว่าเหล่าสตรีที่มีฐิ่นอาศัยอยู่ในแว่นแคว้นอุดมสมบูรณ์มักจะปักผ้าและเย็บเป็นถุงเล็กๆ เพื่อนำดอกไม้มีกลิ่นหอมบรรจุลงไป เมื่อถูกใจคุณชายสกุลไหนก็จะนำไปมอบให้ หากคุณชายสกุลนั้นมีใจปฏิพัทธ์ด้วยก็จะพกพาเอาไว้ ...ที่เทียนอี้พกติดตัวไว้เสมอก็คงเพราะถูกใจมากเป็นอย่างยิ่งกระมัง

มือเผลอกำถุงผ้านั้นแน่น เมื่อได้สติก็เดินเข้ามาหาและส่งมันคืนให้กับเทียนอี้

“อย่าทำหล่นอีก หากหายไป เจ้าจะหาทดแทนไม่ได้”

คำพูดนั้นราวกับจะย้ำเตือนว่าเขาไม่ใช่ตัวแทนของใคร บรรยากาศหวานล้ำเมื่อครู่มลายหายไปในพริบตา ซิ่นเฉิงปวดหนึบในใจขึ้นมาทีละน้อย การที่เขาได้เห็นถุงหอมนั้นมันก็เหมือนกับการตอกย้ำว่าในใจของเทียนอี้ยังคงรักมั่นอยู่กับหลิวซู การที่เขาเข้ามานั้นก็เป็นเพราะเหตุบังเอิญโดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วในใจของเทียนอี้คิดเช่นไร

“เฉิงเฉิง...”
ครั้นแม่ทัพเทพอสูรหมายจะอธิบาย ซิ่นเฉิงก็โพล่งขัด

“พักผ่อนเสีย ข้าจะได้ไปพักผ่อนบ้าง เรื่องระหว่างพวกเจ้าที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำข้าอ่อนเพลียนัก”

ดูก็รู้ว่าไม่อยากจะฟัง ซึ่งใช่... ซิ่นเฉิงยังไม่พร้อมจะรับรู้สิ่งใดจากเทียนอี้ในตอนนี้ หากแต่เทียนอี้ดื้อดึงนัก เขาไม่ใคร่จะปล่อยให้ซิ่นเฉิงจากไปทั้งที่ยังเข้าใจเขาผิด ครั้นเห็นร่างของอีกฝ่ายเดินจากไปก็เอ่ยเอาไว้ก่อนที่ประตูจะถูกเปิด

“วันนี้เจี้ยนสือเอ่ยกับเจ้าว่าหากเจ้าเป็นหลิวซูกลับมาเกิด เจ้าคงจะจำได้ว่ารักเจ้านั่นเพียงใด หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คงจะจำได้เช่นกันว่าข้ารักเจ้าเพียงใด แต่ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ ก็ขอให้รับรู้ไว้ว่าที่ใจข้าปฏิพัทธ์ต่อเจ้าในยามนี้ นั่นก็เพราะเจ้าคือเจ้า หาใช่ผู้อื่น”

ซิ่นเฉิงนิ่ง ไม่ได้หันกลับมามอง ในใจสับสนเป็นเท่าทบทวี ก่อนจะตัดสินใจเดินจากมาโดยไม่พูดอะไรตอบไป
มนุษย์หนุ่มก้าวไปตามชานระเบียงของเรือนใหญ่อย่างเชื่องช้า ในหัวครุ่นคิดกับสิ่งที่เทียนอี้พูดไม่หยุดหย่อน

เทียนอี้...มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาเพราะมองเห็นเขาเป็นเขาอย่างนั้นจริงหรือ?

ซิ่นเฉิงไม่อาจเชื่อได้เลยด้วยสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก ทั้งเจี้ยนสือและเทียนอี้ ต่างยังคงคะนึงหาหลิวซูไม่เว้นวัน ต่อให้วิวาทกันเพราะเขาเป็นเหตุ แต่ในใจก็ยังมีหลิวซูด้วยกันอยู่ทั้งคู่ เขาต่างหากที่ควรคาดคั้นถามตนเองว่าเหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่ หาใช่ไปคาดคั้นถามเทพอสูรทั้งสองว่าไยถึงได้ปักใจรักหลิวซูนัก

แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ... จะว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อเทียนอี้มากเสียจนไม่กล้าไปไหนไกลก็ไม่ใช่เสียทีเดียว การได้เห็นสีหน้าและได้ยินคำพูดของเจี้ยนสือในวันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังไม่ตัดสินใจกลับทะเลทรายเช่นกัน

คำพูดของเจี้ยนสือ... ทำให้รู้สึกราวกับว่าเคยผูกพันกันอย่างลึกซึ้งมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ซิ่นเฉิงเหม่อมองไปบนผืนฟ้า วันนี้ท้องฟ้าช่างสดใสต่างจากอารมณ์ขุ่นมัวของเขายิ่งนัก สวรรค์ยินดีกับสิ่งใดอยู่หรือถึงได้เปิดฟ้ากระจ่างถึงเพียงนี้

หรือจะยินดีที่ได้ลิขิตชะตามนุษย์อย่างเขาให้วุ่นวายโดยไม่พึงปรารถนากัน?

ลิขิตฟ้า ชะตาสวรรค์... หากถูกกำหนดมาแล้ว เขาคงจะเลี่ยงความวุ่นวายนี้ไม่ได้กระมัง

ผู้ใดจะไปฝืนชะตาที่สวรรค์กำหนดมาแล้วได้กัน แม้แต่เหล่าเทพอสูรที่เคยเป็นเทพมาก่อนยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย...

คิดแล้วก็ระบายลมหายใจคล้ายจะปล่อยวาง วันนี้เขาคงคิดทำการใดไม่ได้แล้ว นอกจากจะไปนอนเอกเขนกบนกิ่งท้อ ปล่อยให้เวลาผันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ทว่าพอจะก้าวลงจากเรือนใหญ่ สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนยืนมองอยู่ไม่ไกล ครั้นหันไปมองเต็มๆ ตาก็พบว่าคนผู้นั้นคือหมิงจูที่ยืนกอดอกอยู่

“ข้ารอเจ้าออกมาจากห้องของเทียนอี้นานแล้ว ตอนนี้คงจะไร้ธุระสำคัญใดแล้วสินะ”
“เจ้าประสงค์สิ่งใด” ซิ่นเฉิงถามกลับ
หมิงจูจึงเข้าเรื่องทันควัน “มาที่จวนของข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเจ้า”
“เรื่อง?”

เห็นสีหน้าสงสัยของซิ่นเฉิงแล้ว แม้จะไม่อยากบอกตรงนี้แต่ก็จำต้องพูด ซิ่นเฉิงดื้อด้าน เขารู้แล้ว หากไม่มีสิ่งน่าสนใจมากพอก็คงจะไม่ตามมาโดยง่าย จึงจำเป็นต้องพูด

“ข้าจะฝืนชะตาฟ้า มากับข้า แล้วเจ้าจะรู้เอง”

สิ้นเสียงก็เดินนำออกไปนอกจวนของเทียนอี้ ทำให้ซิ่นเฉิงที่ยืนลังเลอยู่ครู่ตัดสินใจตามไปอย่างรวดเร็ว

ฝืนชะตาฟ้าอย่างนั้นหรือ? ...ฟังดูน่าสนใจไม่เลวทีเดียว
---------------------------------
พี่หมาก็จะมีความอ้อนนิดๆ ง่ะ เหมือนเห็นหางกระดิกระริกระรี้ XD
ตอนนี้ค่อนข้างยาวเนอะ แต่หมิงจูเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วเห็นมั้ย
เอ้าไหน ขอเสียงเรือจิ้งจอก 555 มีแค่เรือพี่งูกับเรือพี่หมาก็ปวดหัวแล้ว พอเต๊อะ
นอกเรื่องนิดนึง พอดีมีหลายคนถามหนูแดงเข้ามาเรื่องรูปเล่ม
คือเอาจริงๆ ตอนแรกที่เขียนเรื่องนี้ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะทำเล่มเลยค่ะ
กะว่าเขียนเล่นๆ ไปก่อนเพราะตอนแรกก็อวตารนามปากกามาแล้วโป๊ะแตก 555
ไม่งั้นก็จะเขียนให้เป็นเล่มเดียวจบแทน แต่หนูแดงก็ไปคุยกับน้องๆ ในทีม บ.ก.รักคุณแล้วค่ะ
ตอนนี้ก็หยอดปุกรอกันไปก่อนเน้อ ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนเสร็จเมื่อไหร่เหมือนกันค่ะ
เรื่องนี้อยากเขียนแบบไม่รีบ เหนื่อยกับเดดไลน์มาทั้งปีแล้ว ขอเขียนตามใจหน่อย ฮา
ฝากกำลังใจไว้ให้หน่อยนะคะ เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้ค่า


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ม่านหมอก ณ ปลายฝัน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โหย เขาขอเป็นกระบอกเสียงให้พี่งูบ้างได้มั้ยอ่ะ /ยกมือน้อยๆ
เฉิงเฉิงในตอนพี่หมาเจ็บจนอ้อน พี่งูก็เจ็บหนักอยู่เหมือนกันนะ
แถมพี่งูที่ผ่านมาคงจะเหงากว่าด้วย ก็ดูหมิงจูจะเข้าข้างพี่หมามากกว่านี่นา
ในตอนที่พี่หมาบอกว่ารักเฉิงเฉิงเพราะเฉิงเฉิงเป็นเฉิงเฉิง เฉิงเฉิงอย่าลืมนะว่ายังมีใครอีกคนที่ยังไม่ได้บอกความรู้สึกให้นายฟัง
เค้าคนนั้นก็ยังรักซูซูอยู่เหมือนพี่หมาและรักที่เฉิงเฉิงเป็นเฉิงเฉิงเช่นกัน (เจ้าแมวของพี่งูไง)
 ฮรือออออออออ สุดท้ายนี้ ฮรืออออ อีพี่งูของบ่าวจะเจ็บช้ำกระดองใจเพียงใดก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บแบบปล่าวเปลี่ยวเอกา
เราเศร้าใจจ พี่งูของบ่าวววววววว /วิ่งร้องไห้ปาดน้ำตาข้ามภูเขาสามลูก


หมิงจู! ตอนหน้าแกอย่าลืมนะเว้ย จะฝงจะฝืนลิขิตฟ้าอะไร
เอ็งก็ต้องคิดถึงใจพี่งูเค้าบ้าง
คุณนักเขียนให้บทพี่งูเป็นพระเอก(รอง)นะเง้ย!! /วิ่งปาดน้ำตาข้ามภูเขาอีกลูก

พี่งู้  :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือแบบสงสารเฉิงเฉิงมากอ่ะ :katai1:หนีเลยม่ะ :hao3:

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
รึว่าคู่ของเเม่ทัพงูจะเป็นซูซูตัวจริง   เราว่าเจ้าหมาอาจจะชอบซูซูแล้วมโนจริงๆ  ตอนแม่ทัพงูเจอลูกหลานตระกูลของหวิวซูดูรักมากคิดถึงมากหน้ามืดไปหมด   แต่เจ้าหมาดูโหยหาไม่เท่า   แต่ก็ติดตรงทั้งคู่ก็เหมือนจะคลิ๊กกับเฉิงเฉิงเหมือนกันเอ๋!!!!   ยังไงดีน้าาาา

ออฟไลน์ nutipkra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไม เฉิงเฉิง ถึงสองใจละ ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือซาติที่แล้วก็ตาม เพื่อตัดปัญหา ก็อยู่ด้วยกัน 3 คนไปเลย สุขสันต์ ดีออก  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
รักสามเส้าของเราสี่คน...เอ๊ะ?//รวมพี่เข้ผู้ต้องเก็บกวาดทุกอย่าง ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราว่าแม่ทัพหมาชอบซูซู แล้วซูซูชอบพี่งู รึเปล่า แต่ทำไมให้ถุงหอมกับหมา งง  สงสารพี่งูสุด เจ็บเหมือนกันแต่ไม่มีคนดูแล  :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด