►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 95203 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
งงกับความรักของพวกอสูรจริง ๆ ดูวนไปวนมา ใครรักใครกันแน่ หรือคิดไปเอง คงต้องไปตามหาหลิวซูแล้วหล่ะมั้งว่าเกิดเป็นใคร ทำไมเราไม่ชอบซิ่นเฉิงฟะ

ออฟไลน์ flowerloveyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อ่านรวดเดียวตามทันเลยทีเดียว5555

เรื่องนี้สนุกมากค่ะแปลกแหวกแนวดีปกติเราชอบอ่านแนวนี้อยู่แล้ว อ่านแรกๆเลยชอบมากเพราะไม่คิดว่าจะเป็นแนวความรักจ๋าขนาดนี้นึกว่าจะมีแบบบู๊ผจญภัยอะไรแบบนี้ด้วย ฮาา

เราก็ยังอ่านได้แต่เกือบเลิกอ่านตอนมีกลิ่น 3p :a5: ลอยมา พอไรท์บอกไม่ใช่แน่นอนเราเลยอ่านต่อ แต่ตอนนี้คือเราตามอารมณ์ตัวละครไม่ทัน
อย่างซิ่นเฉิงเนียเป็นตัวละครที่เราชอบเพราะตอนแรกๆหนักแน่นดีเป็นตัวของตัวเอง แน่นอนเขามีใจกับเทียงอี้และด้วยบุคลิกแบบนี้เขาไม่น่าจะโลเลอะไรกับใครง่ายๆหรือแม้กระทั่งอดีตว่าเขาเป็นใครก็น่าจะไม่มีผลอะไรต่อเขาแต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นทำให้เราค่อนข้างงงเขาเป็นแบบไหนกันแน่5555 :really2: แต่เราก็ยังชอบตัวละครตัวนี้อยู่ดีนั่นแหละ :mew1:

ติดตามรอตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 17: เทพสองสหาย[1]

เผลอไผลตามหมิงจูไปยังจวนด้วยจนได้ ซิ่นเฉิงคิดเอาเองว่าการที่เทียนอี้ยังบาดเจ็บและพักผ่อนอยู่เช่นนี้คงไม่มีอารมณ์จะมาหัวเสียเรื่องเขาออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาตสักเท่าไร อีกอย่าง คราวนี้เขาไปกับหมิงจู หาใช่เจี้ยนสือ คงไม่เป็นไร เมื่อตอนออกจากจวนมา ถ้าตาไม่ฝาดก็เหมือนจะเห็นพ่อบ้านเหลียงชำเลืองมองแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นอยู่ ท่าทางคงจะรู้เห็นกับหมิงจูเป็นแน่

ครั้นมาถึง หมิงจูก็เดินนำเข้าไปยังห้องรับรองของจวน จวนของรองแม่ทัพหาได้ใหญ่โตเท่ากับจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่านั่นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ สิ่งที่ซิ่นเฉิงต้องการรู้ก็คือ...หมิงจูจะให้เขาฝืนชะตาฟ้าเช่นไรต่างหาก

“มีสิ่งใดก็จงรีบพูด ข้าไม่มีเวลามานั่งดื่มชาสำราญใจกับเจ้านัก”

เห็นหมิงจูมัวแต่รินชาจากกาใส่ถ้วยใบเล็ก ซิ่นเฉิงก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ ไม่ยอมแม้แต่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า ยืนมองเจ้าของจวนนิ่ง ขณะที่หมิงจูวางกาน้ำชาลงแล้วเหลือบมอง
“เจ้ารู้จักน้ำอมฤตหรือไม่?” จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

ซิ่นเฉิงเงียบไปครู่ พลันพยักหน้า เขาเคยได้ยินพวกผู้อาวุโสในเผ่าเล่าขานกันมาก่อนว่ามันคือน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย หากดื่มเข้าไปก็จะมีชีวิตยืนยาวอมตะ คงความเยาว์วัยไว้ตราบชั่วนิรันทร์ ดวงวิญญาณของสิ่งใดในตรีโลกภูมิได้ดื่มและมีตบะแก่กล้าพอก็จะกลายเป็นเทพ สำหรับมนุษย์แล้ว มันมีสรรพคุณในการรักษาโรคร้ายแรงเพียงได้ดื่มแค่หยดเดียว

เมื่อเห็นซิ่นเฉิงตอบรับอย่างนั้น หมิงจูก็หายออกจากห้องรับรองไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น อึดใจหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกับหีบไม้ใบเล็กๆ ในมือ เมื่อวางลงบนโต๊ะก็พูดขึ้นอีกครา

“ในหีบนี้มีน้ำอมฤตอยู่ ข้าลักลอบเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเทพ” พูดจบก็เปิดหีบออก หยิบเอาขวดใบเล็กๆ ขนาดนิ้วก้อยออกมา “เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น ข้าจะยกมันให้เจ้า”
ซิ่นเฉิงถึงกับย่นคิ้ว “ยกให้ข้าด้วยเรื่องอันใด ข้าหาได้อยากมีชีวิตยืนยาว”
“เพียงไม่กี่หยด มันไม่ทำให้เจ้ามีชีวิตเป็นอมตะหรอก อย่าฝันเฟื่องเจ้ามนุษย์” หมิงจูมองค้อนที่ซิ่นเฉิงทำเสมือนรู้ทันว่าเขาจะยกน้ำอมฤตนี้ให้ด้วยการใด แต่นั่นหาใช่จุดประสงค์ของเขา ที่เขาต้องการยกให้เป็นเพราะ... “ข้าจะยกให้เจ้าเพราะต้องการให้เจ้าระลึกชาติได้ น้ำอมฤตที่อยู่ในขวดนี้มากพอที่จะทำให้เจ้าระลึกถึงอดีตชาติของเจ้าทุกชาติได้ทีเดียว”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วยับย่นกว่าเดิม “เพื่อการใดกัน”
“เจ้าไม่อยากรู้บ้างหรือว่าชาติก่อนตนเองเป็นใคร”
“อดีตผ่านมาแล้ว ไยข้าจะต้องไประลึกถึง”
“แล้วไม่อยากรู้หรือว่าเจ้าคือหลิวซูกลับชาติมาเกิดหรือไม่?” ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงเงียบนิ่งไป ทำให้หมิงจูต้องพูดขึ้นมาอีกที “แต่ข้าอยากรู้เสียจนแทบอยู่ไม่สุข หากเจ้าไม่ใช่หลิวซู แล้วเหตุใดสหายทั้งสองของข้าถึงได้วิวาทกันเพราะเจ้า ใบหน้าก็ไม่ใช่ อุปนิสัยก็แตกต่างอยู่โข มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คล้ายคลึง ไยทั้งสองถึงได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้ากัน สิ่งนั้นทำให้ข้าสงสัยยิ่งนัก”

ไม่ใช่ว่าซิ่นเฉิงไม่อยากรู้หรอก เขาเองก็อยากรู้เช่นกันเมื่อได้ยินหมิงจูพูดออกมาอย่างนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าของสุนัขจิ้งจอกที่ดูจะข้องใจมากเป็นพิเศษ ซิ่นเฉิงก็ยิ่งทวีความอยากรู้มากขึ้นไปอีก ขณะที่หมิงจูยกมือขึ้นลูบปลายคาง ว่าออกมาอย่างครุ่นคิด

“ข้าได้หารือกับพ่อบ้านเหลียงแล้ว ด้วยความที่ข้ากับพ่อบ้านเหลียงเป็นคนนอกและหาได้สนิทสนมกับหลิวซูมาก่อน จึงไม่เข้าใจนักว่าการต้องชะตาเป็นเช่นไร ถึงหลิวซูจะเคยอยู่ใต้การดูแลของพ่อบ้านเหลียง ทว่าก็หาได้ใกล้ชิดผูกพัน แต่ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือต่างต้องชะตากับเจ้าเพราะเคยรักใคร่ มันทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคือหลิวซูกลับมาเกิด”

“ข้าไม่ใช่” แม้จะอดคิดว่าตนเองเป็นหลิวซูกลับมาเกิด แต่ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธ เขาก็คือเขา ไยใครต่อใครต้องเปรียบเทียบเขากับหลิวซูผู้นั้น
“หากเจ้าไม่ใช่ ข้าก็ยินดียิ่ง เจ้าอยากลองพิสูจน์ไหมเล่า”
“ไยข้าต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เจ้าพูด”
“การวิวาทของสหายข้าในวันนี้ เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าร้ายแรงแค่ไหน นั่นเป็นเพราะต่างคิดว่าเจ้าคล้ายคลึงกับหลิวซูไม่ใช่หรือถึงได้วิวาทกันใหญ่โตเช่นนั้นน่ะ เจ้าอยากจะเห็นทั้งคู่ฟาดฟันกันจนดับสูญเพราะมนุษย์เช่นเจ้าหรือไร?”

ไม่อย่างแน่นอน ซิ่นเฉิงไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แค่คิดว่าเทียนอี้กับเจี้ยนสือจะต้องวิวาทกันในวันหน้าอีกเพราะตน เขาก็อึดอัดในใจเกินจะพรรณนา อีกทั้งยังไม่ใช่เพราะที่เขาเป็นเขาด้วย แต่เป็นเพราะทั้งคู่ต่างรู้สึกว่าเขาเป็นตัวแทนของหลิวซู ทำให้ซิ่นเฉิงปวดร้าวขึ้นมาในอก

เห็นมนุษย์หนุ่มนิ่งเงียบไป หมิงจูพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง

“เจ้ามีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรก...ไปจากที่นี่โดยไม่ต้องพิสูจน์สิ่งใด แต่สหายของข้าคงจะต้องไปตามตัวเจ้ากลับมาเป็นแน่ ชีวิตเจ้าจะไม่มีทางสงบสุขเลยจนกว่าความตายจะมาพลัดพราก ทางที่สอง...ดื่มน้ำอมฤตเสีย เมื่อเจ้าระลึกถึงอดีตชาติได้แล้ว หากเจ้าไม่ใช่หลิวซู เทียนอี้และเจี้ยนสือก็จะรามือไปเอง จากนั้นเจ้าก็จะเป็นอิสระดั่งที่เจ้าต้องการ เจ้าจะเลือกทางใดล่ะ”
“แล้วถ้าหากข้าคือหลิวซู...?”
“เรื่องนั้น...” หมิงจูชะงัก ลืมไปเสียสิ้นว่าไม่ได้คิดเรื่องนี้เอาไว้ “หากเจ้าใช่ เจ้าก็จงเลือกเองว่าจะทำอย่างไรต่อ ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงจะช่วยเจ้าฝืนลิขิตสวรรค์เท่านั้น แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าคงไม่เลือกทางใดก็ตามที่ทำให้สหายของข้าต้องหมางใจกันอย่างนี้อีก”

พูดเช่นนี้มันไร้ความรับผิดชอบชัดๆ!

“การทำให้ข้าระลึกชาติได้ มันเป็นการฝืนลิขิตสวรรค์อย่างไรกัน”
“การให้มนุษย์ได้ดื่มน้ำอมฤตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าแม่ซีหวังหมู่ นั่นถือว่าเป็นฝืนลิขิตสวรรค์แล้ว” หมิงจูตอบ ก่อนจะยื่นขวดน้ำอมฤตไปตรงหน้า “ว่าอย่างไร เจ้าจะดื่มหรือไม่? พิสูจน์กันให้รู้ไปเลยว่าเจ้ามีอดีตชาติเป็นอย่างไร”

ดี! เขาเองก็อยากพิสูจน์เช่นกัน หากเขาไม่ใช่หลิวซู ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือจะได้หยุดเอาเขาไปเป็นตัวแทนของหลิวซูสักที และเขาก็จะได้พูดอย่างเต็มปากด้วยว่าเขาไม่ใช่ หากแต่เป็นซิ่นเฉิง บุรุษแห่งทะเลทรายต่างหาก

ซิ่นเฉิงเอื้อมมือไปรับขวดใบเล็กมา ดึงผ้าที่ปิดปากขวดอยู่ออก กระดกของเหลวในขวดนั้นเข้าปาก อึดใจหนึ่งก็ไหลลงคอ พลันหมิงจูก็ตระหนักขึ้นมาได้

“อ้อ ข้าลืมบอกไป เจ้าจะค่อยๆ ระลึกชาติได้ในความฝัน เมื่อเจ้ารับรู้เรื่องราวในอดีตหมดทั้งสิ้นแล้ว เจ้าต้องระวังความคิดของเจ้าให้ดี เพราะการระลึกชาติได้นั้นล้วนมีผลต่อจิตใจ อย่างเบา...เจ้าอาจจะสับสนว่าแท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ใดกันแน่ อย่างร้ายก็อาจจะเสียสติ”
“ทำไมไม่บอกข้าให้ไวกว่านี้กันเจ้าจิ้งจอก!” คนฟังถึงกับอดไม่ได้ที่จะแผดเสียงออกมา

หมิงจูเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กระนั้นปากก็ไม่เอ่ยออกมาว่าเมื่อครู่นี้เขาลืมไปเสียสนิท ทว่าการที่ซิ่นเฉิงดื่มน้ำอมฤตไปก็ดีแล้ว เพราะหากซิ่นเฉิงไม่ใช่หลิวซู เขาก็คงจะจากไปเองแน่ถ้าเทียนอี้กับเจี้ยนสือยังคงนำไปแทนตัวหลิวซูเช่นนี้ หรือไม่ก็ต้องหลุดปากออกมาว่าตนไม่ใช่ ต่อให้ใช่... ก็คงจะไม่ยอมให้เทียนอี้และเจี้ยนสือวิวาทกันดั่งเช่นในชาติก่อน

“หมดธุระแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด ประเดี๋ยวเทียนอี้ตื่นขึ้นมาไม่เจอเจ้าจะเป็นห่วงเอา”
หมดเรื่องแล้ว หมิงจูก็ออกปากไล่ทันควัน ซิ่นเฉิงเองก็ไม่อยู่ให้หัวเสียเช่นกัน ก้าวออกจากจวนของรองแม่ทัพเทพอสูรโดยไม่หันหลังมาบอกลาแต่อย่างใด จะมีก็แต่เพียงหมิงจูเท่านั้นที่มองตามพลันครุ่นคิด

ฝืนชะตาที่สวรรค์กำหนดและลิขิตชีวิต... สิ่งที่เขาต้องการฝืน แท้จริงแล้วหาใช่ชะตากรรมของซิ่นเฉิง แต่เป็นชะตากรรมของเทียนอี้และเจี้ยนสือที่ถูกกำหนดให้ต้องทรมานเพราะหลิวซูจากความผิดในครั้งนั้นต่างหาก

ต่อให้กายเนื้อสูญสิ้นเป็นผุยผง วิญญาณก็ยังคงต้องทรมาน สิ่งนี้... เขาต้องการจะปลดเปลื้องให้กับเทพสองสหาย แม้จะไม่อาจช่วยได้มาก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการไม่ได้ทำสิ่งใดเลยอย่างเช่นที่ผ่านมา ในใจภาวนาขอให้ซิ่นเฉิงอย่าเป็นหลิวซูกลับมาเกิดเลย แม้ว่าลิขิตสวรรค์จะยากยิ่งต่อการฝืนก็ตาม ก่อนจะรำลึกว่าเมื่อครั้งที่เป็นเทพบนสวรรค์ชั้นสูงสุดนั้นช่างน่าอภิรมย์เพียงใดตามลำพัง...



 
ณ วังประจิมโลกันต์ อันปกครองโดยเจ้าแม่ซีหวังหมู่

วันที่หนึ่ง เดือนสามไหลเวียนมาบรรจบ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองประสูติกาลขององค์เจ้าแม่จึงถือกำเนิดขึ้นอีกครา เหล่าเทพชั้นสูงซึ่งอยู่ใต้การปกครองของพระนางต่างได้รับเชิญมาร่วมงานเพื่อดื่มกินให้สำราญ ประจวบเหมาะกับเหล่าเทพผู้รับใช้องค์เจ้าแม่เพิ่งเสร็จศึกจากการปราบปีศาจที่หมายจะถล่มสวรรค์ด้วยการก่อกวนเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นในท้องพระโรงจึงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าแม่ทัพสวรรค์ที่พากันพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นอย่างสำราญใจ

ทว่า...ผู้ที่เห็นจะถูกกล่าวถึงมากที่สุดเหมือนจะเป็นเทพรูปงามทั้งสองอันดำรงตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์มานานหลายร้อยปีที่สร้างคุณงามความดีเอนกอนันต์เป็นที่เด่นชัด ผู้หนึ่งมีนามว่าเทียนอี้ อีกผู้หนึ่งมีนามว่าเจี้ยนสือ ทั้งคู่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแม่ทัพขาวและแม่ทัพดำ ปกปักความสงบเรียบร้อยคู่บัลลังก์เจ้าแม่มาเนิ่นนานตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้รับเมตตาจากองค์เจ้าแม่ที่ทรงเนรมิตให้ดวงจิตของสุนัขป่าและดวงจิตของงูจงอางกลายร่างเป็นเทพ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าประตูสวรรค์ทิศประจิม การเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันประสูติกาลของเจ้าแม่ซีหวังหมู่นั้นเป็นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เทียนอี้และเจี้ยนสือก็จำไม่ได้ รู้แต่ทุกครั้งล้วนมีความยินดียิ่งเพราะนั่นหมายถึงพวกเขาได้รับการยอมรับในการเป็นเทพ

และยินดียิ่งในการมาร่วมงานฉลองครั้งนี้ เพราะโดยปกติแล้วทั้งสองจะได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งยังโต๊ะเบื้องหลังเหล่าเทพที่มียศศักดิ์สูงกว่า ทว่าครานี้กลับได้รับการให้เกียรติให้นั่งใกล้ชิดกับบัลลังก์เจ้าแม่หวังซีหมู่ นั่นก็เพราะเป็นการเทิดทูนวีรกรรมที่ได้สร้างไว้ พานให้รองแม่ทัพผู้ภักดีอย่างหมิงจูซึ่งในอดีตคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่บำเพ็ญเพียรตบะจนแก่กล้าและสร้างคุณงามความดีกระทั่งได้แต่งตั้งเป็นเทพได้รับเกียรติไปด้วย กระนั้นก็ยังอยู่ทางเบื้องหลังของสองแม่ทัพใหญ่ ลดหลั่นลงมาเล็กน้อย แต่หาได้เป็นปัญหาต่อหมิงจูแต่อย่างใด ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยินดีที่จะก้าวเดินตามหลังสองสหายผู้นี้เสมอ

ความอภิรมย์ยินดีมีพร่างพรายต่อเจี้ยนสือผู้ซึ่งนิยมชมชอบให้ผู้อื่นยกยอ ครั้นก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงและได้รับคำสรรเสริญ เขาก็ยิ้มกว้าง ทักทายกับเทพองค์อื่นไปทั่ว เว้นก็แต่เทียนอี้ที่ไม่ชอบความวุ่นวายนี้เท่าไรนัก มีเพียงยิ้มรับบ้างในบางครั้งเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็เท่านั้น ปลีกตัวได้อีกครั้งก็ตอนที่เดินมานั่งยังโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ ทว่าเจี้ยนสือก็หาได้หยุดรื่นเริงกับคำสรรเสริญ มิหนำซ้ำ ยังป้อยอผู้เป็นสหายที่นั่งอยู่เคียงข้างอีกด้วย

“กล้าหาญเช่นเจ้า มีผลงานมากมาย ต้องเป็นที่ต้องใจเจ้าแม่เป็นแน่ พูนบำเหน็จมากมายคงไม่พ้นเงื้อมือเจ้า”
“เจ้าก็ยกยอข้าเกินไปเจี้ยนสือ เจ้าเองก็หาได้ความดีลดหลั่นไปกว่าข้าเลยมิใช่หรือ? ตลอดทางที่เดินเข้ามาก็มีแต่ผู้สรรเสริญเจ้าจากการศึกครั้งก่อน ไยถึงได้ชื่นชมแต่เพียงข้ากันเล่า”
“ข้าก็ว่าไปตามที่พบเห็น หากเจ้าไม่สังหารเจ้าปีศาจนั่น สวรรค์ก็คงพินาศ”
“เป็นเพราะเจ้าเปิดทางให้ข้า คมดาบของเจ้าเสียบแทงกลางร่าง ข้าถึงสบโอกาสบั่นคอมัน เป็นความดีความชอบของเจ้าต่างหาก”

ครั้นได้ยินสหายว่าอย่างเจียมตัว เจี้ยนสือที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยกแขนเท้าโต๊ะ มือข้างนั้นวางรองศีรษะที่ตะแคงมองเทียนอี้ ก่อนว่าหยอกเย้า
“ช่างถ่อมตัวเสียเหลือเกินนะ ข้าฟังแล้วหมั่นไส้เสียจริง”

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่กลั้วหัวเราะในลำคอออกมา ไม่ว่าเมื่อใด เจี้ยนสือก็มีอารมณ์ขันเช่นนี้ตลอด ผู้ใดว่าเขาเป็นเทพที่มีฝีมือร้ายกาจดุจอสรพิษก็ให้พูดไป สำหรับเทียนอี้แล้ว เจี้ยนสือถือว่าเป็นสหายที่ดีเลิศเกินกว่าจะหาผู้ใดเทียบ รองลงมาก็คือหมิงจู ขณะที่รายนั้นหาได้ขบขันไปกับการหยอกล้อกันของแม่ทัพทั้งสอง ได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ จิบน้ำอมฤตที่อยู่ในจอกทีละน้อย กระทั่งเหล่าเทพธิดาในโรงครัวพากันเรียงแถวออกมาพร้อมกับผลท้อสวรรค์

ผลท้อลูกโตถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของเหล่าเทพ สิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ดูไม่ปกติก็คือหนึ่งในเทพธิดาเหล่านั้น...เป็นบุรุษ
เทพชั้นผู้น้อยในชุดสีขาวพลิ้วไสว ท่าทางทโมนเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่เล่นซนนั้นช่างดึงดูดสายตาเสียเหลือเกิน หากแต่ใช่การดึงดูดในแง่ที่ดีสักเท่าไรนัก เหล่าเทพออกจะรำคาญใจเสียมากกว่าที่ได้เห็นเทพผู้นี้ออกมาเดินเพ่นพ่าน แม้แต่เจี้ยนสือเองยังอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกสหายให้หันมอง

“ดูเจ้านั่น ข้าว่าคงจะทำลูกท้อตกระหว่างทางเป็นแน่ เจ้าพนันกับข้าไหมว่าจะทำตกหรือไม่?”

ปลายประโยคพูดกับเทียนอี้ ขณะที่เทียนอี้มองเทพผู้นั้นที่กำลังวางตะกร้าลูกท้อลงบนหน้าของเทพชั้นสูงองค์หนึ่ง ก่อนจะตอบสหายโดยไม่หันมอง

“เงียบน่าเจี้ยนสือ”
“เช่นนั้นข้าถือว่าเจ้าพนันว่าไม่ทำตกแล้วกัน” ฟังเสียที่ไหนกันล่ะ เจี้ยนสือรวบรัดไปเองแล้ว

ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจไม่ จะมีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่หัวเราะขันกับคำพูดนั้น ก่อนจะหัวเราะดังขึ้นไปอีกเมื่อเทพชั้นผู้น้อยผู้นั้นกลับเข้าไปในโรงครัวสวรรค์เพื่อยกผลท้อมาใหม่ หากแต่ครั้งนี้หาได้ยกทีละตะกร้าเช่นเดียวกับเทพธิดาองค์อื่นๆ กลับถือมาเต็มสองมือ อีกทั้งยังวางลงบนแขนที่กางอีกข้างละหลายตะกร้า ศีรษะยังมีอีกหนึ่ง ภาพนั้นช่างสร้างความน่าขบขันให้กับเจี้ยนสือนัก ไม่เว้นแม้แต่หมิงจูที่อดไม่ได้จะส่งเสียงหัวเราะ

“คราวนี้หล่นแน่นอน”
เจี้ยนสือมั่นใจ ซึ่งก็เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้เมื่อเทพชั้นผู้น้อยองค์นั้นพยายามจะวางตะกร้าท้อจากมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ก่อนที่ลูกท้อสวรรค์ในทุกตะกร้าที่นำมาจะพากันหล่นระเนระนาดใส่เทพที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“นั่นปะไร ผิดจากที่ข้าเดาไว้เสียที่ไหน เจ้าแพ้ข้าแล้วเทียนอี้ จะจ่ายข้าด้วยสิ่งใด?”

เจี้ยนสือดูจะอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง หมิงจูเองก็หลุดหัวเราะออกมาเต็มคำในตอนนี้ จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่นั่งขมวดคิ้วมุ่น มองเทพชั้นผู้น้อยที่ก้มคำนับขออภัยในความผิดพลาดจากเทพชั้นสูงผู้หนึ่งที่ไม่พอใจเขาเป็นอย่างยิ่ง

หากแต่การคุกเข่าคำนับนั้นไม่เป็นผล เทพชั้นสูงผู้นั้นโวยวายลั่น

“ไม่มีตาหรืออย่างไรเจ้าน่ะ แล้วคิดทำการใดอยู่ถึงได้ยกตะกร้าผลท้อมามากมายเช่นนี้ เห็นหรือไม่ว่ามันหล่นใส่หัวข้า!”

หล่นใส่จริงๆ เทียนอี้และเทพองค์อื่นๆ ก็เห็นเต็มสองตา ไม่ได้หล่นเพียงลูกเดียวด้วย แทบจะทุกลูกที่ถูกยกมา ก่อนเทียนอี้จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเทพชั้นสูงผู้นั้นคือหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดเกือบจะตลอดเวลาจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้ แม้แต่เจี้ยนสือที่ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์ร้ายกาจยังต้องเอ่ยปาก

“หล่นใส่ใครไม่หล่น ดันไปหล่นใส่เจ้าเทพนั่น เป็นเรื่องยาวกันหน่อยแล้วล่ะ” จากนั้นก็หาได้สนใจอีก หยิบเอาผลไม้ทิพย์เข้าปากอย่างสำราญใจ ปล่อยให้เทียนอี้นั่งมองเหตุการณ์นั้นเงียบๆ
“ข้าน้อยขออภัยด้วยขอรับ”

คนผิดคุกเข่าต่ำเสียจนหน้าผากติดพื้น ปากพร่ำพูดประโยคเดิมหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นก็หาได้ทำให้ผู้เสียหายพึงใจ หุนหันลุกขึ้น ร้องเสียงดัง

“เจ้าเทพชั้นต่ำ เป็นบุรุษแล้วไยมาทำหน้าที่นี้ พ่อบ้านสวรรค์อยู่ที่ใด! เอามันออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

ปากร้องเรียกหาพ่อบ้านสวรรค์ ก่อนที่ชายหนุ่มท่าทางสุขุมจะรีบร้อนรนออกมาจากโรงครัว เทพผู้นั้นมีอีกชื่อที่เหล่าเทพในกองทัพของเจ้าแม่ซีหวังหมู่รู้จักกันดีว่าพ่อบ้านเหลียง ด้วยเขาเป็นผู้ที่จัดการตระเตรียมเสบียงกรังอันประกอบไปด้วยน้ำอมฤตและผลไม้ทิพย์ต่างๆ ให้กับทหารในกองทัพ เมื่อเขาเห็นเทพในการดูแลคุกเข่าเสียจนใบหน้าติดพื้นและรอบข้างก็เต็มไปด้วยผลท้อที่หล่นกระจัดกระจายก็ตระหนักได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องใดขึ้น

“ท่านแม่ทัพ ใจเย็นลงก่อนเถิด เจ้านี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านหัวเสีย”
พ่อบ้านเหลียงพยายามจะไกล่เกลี่ย หากแต่ไม่เป็นไปตามประสงค์เลยเมื่ออีกฝ่ายแผดเสียงลั่น
“ข้าบอกให้เอามันไปให้พ้นหน้าข้าอย่างไร!”

ไม่เพียงแต่แผดเสียง ยังยกขาขึ้นถีบคนที่หมอบอยู่บนพื้นเสียเต็มแรง เทพหนุ่มชั้นผู้น้อยกระเด็นไปไกลจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับเสาต้นใหญ่ เพราะเป็นเทพจึงไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกาย แต่การถูกกระทำเช่นนี้เท่ากับถูกหยามเกียรติ ความเจ็บปวดมันรวดร้าวอยู่ที่ในอก ทว่าก็ไม่อาจต่อกรได้ด้วยเป็นเพียงเทพในโรงครัวสวรรค์เท่านั้น

“ข้าน้อยขออภัยเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
ก็ได้แต่ก้มศีรษะคุกเข่าขออภัยอีกครั้ง กระนั้นก็หาได้ทำให้เทพเจ้าอารมณ์หายโกรธาได้เลย
“เจ้ามันช่างไร้ค่า เป็นแค่ดวงวิญญาณชั้นต่ำแท้ๆ ริอยากเป็นเทพ!”

แผดเสียงบริภาษ ซ้ำร้ายจะตรงเข้ามาทำร้ายให้หายหัวเสียอีก แม้พ่อบ้านเหลียงจะห้ามปรามก็หาได้เป็นผล ทำเอาเทียนอี้ที่มองอยู่นานอดรนทนไม่ไหว ผุดลุกและรีบเหาะเหินเข้ามาสกัดไว้เมื่อเห็นว่าเทพแม่ทัพผู้นั้นสะบัดมือเรียกอาวุธประจำกายออกมา
เสียงดังเคร้งของโลหะดังปะทะกัน เมื่อมองไปแล้วก็เห็นว่าเทียนอี้ใช้ดาบรับคมง้าวของเทพผู้นั้นเอาไว้อยู่ เบื้องหลังเป็นร่างของเทพชั้นผู้น้อย ก่อนที่เสียงแหบห้าวของเทียนอี้จะดังขึ้น

“ใจเย็นก่อนไม่ดีกว่าหรือ? ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ไยรังแกเทพในโรงครัวเช่นนี้กันเล่า”

“เจ้านั่น... หาเรื่องใส่ตัวแล้ว” เจี้ยนสือเห็นภาพของสหายยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ครางออกมา ปากถึงกับหยุดกินผลไม้ทิพย์ทันใด

ไยถึงได้ชอบเข้าไปวุ่นวายกับเทพชั้นผู้น้อยเสียจริงนะเทียนอี้!

เจี้ยนสือไม่อยากจะใส่ใจนักหรอกเพราะคิดว่าเทียนอี้คงจะจัดการตามลำพังได้ไม่ยาก หากแต่เมื่อเทียนอี้เข้าไปขวางก็ทำให้เทพองค์นั้นไม่พอใจ พลันแผดเสียงใส่ออกมาอีก

“แล้วท่านมาข้องเกี่ยวด้วยเหตุผลใด หาใช่เรื่องของท่าน!”
“ข้าก็หาได้อยากข้องเกี่ยว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่หากท่านจะรับคำขอโทษของเทพผู้น้อยองค์นี้ไว้แล้วทำใจให้เย็นลง”
ยิ่งเทียนอี้พูดก็ยิ่งส่งผลให้คนตรงหน้าเดือดดาล
“คิดว่าสร้างคุณงามความดีไว้เมื่อการศึกที่ผ่านมา แล้วจะพูดสิ่งใดก็ได้เช่นนั้นหรือ? ข้าเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพสวรรค์เช่นเดียวกับท่าน อย่ามาสั่งสอนข้า!”

สิ้นเสียงก็เหวี่ยงง้าวลงมายังเทียนอี้ กลายเป็นว่าจากชนวนเหตุเล็กๆ ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเทพผู้นั้นไม่ยินยอมกระทำในสิ่งที่เทียนอี้เสนอแต่โดยดี อันที่จริงคงจะเป็นเพราะไม่ชอบหน้าด้วยริษยาเทพหนุ่มมาก่อนอยู่แล้ว ถึงได้เดือดดาลเพียงนี้

ในเมื่อยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว เทียนอี้ก็ถอยไม่ได้ จำต้องปะฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ทว่านั่นก็เป็นเพียงการปัดป้องอย่างเดียวเท่านั้นด้วยใจไม่ได้หมายจะวิวาท ขณะที่เทพชั้นผู้น้อยผู้เป็นชนวนเหตุตกใจเสียจนเนื้อตัวสั่นเทา เขาไม่ได้หมายจะลากให้เทพองค์อื่นเข้ามารับผิดชอบในความผิดของตน ดังนั้นจึงรีบผุดลุกขึ้นยืน ออกปากโดยพลัน

“ท่านแม่ทัพทั้งสอง ได้โปรดอย่าวิวาทกันเลย เป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้าน้อยสมควรรับผิดชอบ”
แต่ก็หาได้มีผู้ใดฟังไม่ ทำเอาเทพองค์นั้นจำต้องขยับตัวเข้าไปหมายจะแทรกระหว่างกลาง
“ท่านแม่ทัพ!”

มีเพียงเทียนอี้เท่านั้นที่ชะงักงันเมื่อเห็นเทพในโรงครัวสวรรค์โผล่เข้ามาด้วยเกรงว่าคมดาบของเขาจะไปทำให้กายทิพย์นั้นได้รับความเสียหาย ทว่าในจังหวะที่หยุดไปนั้นเอง ทำให้อีกฝ่ายสบโอกาสวาดง้าวเข้าใส่เต็มแรง

เจี้ยนสือที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ ครั้นเห็นว่าสหายของตนมีภัยก็รีบทะยานเข้ามาหา สะบัดมือเล็กน้อย ดาบเล่มเขื่องก็ปรากฏอยู่ในมือ พลันตั้งรับอย่างรวดเร็ว เทียนอี้เองก็อาศัยจังหวะนั้นคว้าตัวเทพชั้นผู้น้อยเข้าไว้ในอ้อมแขนแล้วหลบหลีกไปอีกทาง กลายเป็นว่าเจี้ยนสือเป็นผู้ปะมือกับแม่ทัพสวรรค์องค์นั้นแทน

“หากสหายของข้าเล่นด้วยไม่สนุกสมใจท่าน ข้าก็จะเป็นเพื่อนเล่นให้เอง”
เจี้ยนสือแสยะยิ้ม ดวงตาประกายระยับราวกับเจอเรื่องสนุกเข้าให้ สีหน้ามาดร้ายของเทพหนุ่มทำให้คนตรงหน้ากลืนน้ำลายเอื้อก กับเทียนอี้นั้นเขากล้าต่อกรเพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยหือค่อยอือกับผู้ใด แต่กับเจี้ยนสือ... เปรียบเสมือนเอาเท้าก้าวเข้าไปเหยียบปรโลกชัดๆ

และเจี้ยนสือก็ไม่ออมแรงเสียด้วย ได้โอกาสก็ออกวิทยายุทธโจมตีอีกฝ่ายไม่ยั้งมือ เสียงดังกัมปนาทสนั่นไปทั่วท้องพระโรง จากงานเฉลิมฉลองก่อเกิดเป็นจลาจลขนาดย่อม แม่ทัพและรองแม่ทัพเทพอีกหลายองค์ต่างเข้าช่วยห้ามปรามด้วยเกรงว่าการวิวาทนี้จะทำให้องค์เจ้าแม่พิโรธ กว่าจะยุติลงได้ก็ตอนที่เทพชั้นผู้น้อยนั้นออกปากขอร้อง

“ท่านแม่ทัพขอรับ ได้โปรดหยุดเถิด ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว”
เจี้ยนสือถึงกับชะงัก ยั้งดาบที่เกือบจะฟาดใส่เทพองค์นั้นหันมามองยังผู้พูด
“เจ้าจะสำนึกผิดด้วยเรื่องใด ข้าไม่ได้สั่งสอนอะไรเจ้าสักหน่อย”

อีกฝ่ายพูดไม่ออก อึกๆ อักๆ จนเทียนอี้ที่ยังกอดเจ้าตัวไว้ในอ้อมแขนอยู่จำต้องออกปาก
“พอเถิดเจี้ยนสือ ข้าไม่อยากให้งานเฉลิมฉลองของพระนางพินาศ”

เจี้ยนสือย่นปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมหยุดโดยดี “ได้ เห็นแก่เจ้านะเทียนอี้ ข้าจะหยุดเล่นสนุกแต่เพียงเท่านี้”

พูดจบก็เดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดี อีกทั้งยังหัวเราะกับหมิงจูอย่างสนุกสนานกับการกระทำของตนเมื่อครู่ ไร้ซึ่งความสำนึกผิดแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่รู้สึกผิดในใจขึ้นมาเมื่อเห็นองค์เทพผู้นั้นคาดโทษกับคนในอ้อมแขน อีกทั้งสีหน้าของเทพชั้นผู้น้อยยังซีดเผือดด้วยหวาดเกรงในบารมีของอีกฝ่าย จึงอดไม่ได้ที่จะปลอบไป

“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป หากเทพผู้นั้นรังแกเจ้าก็จงมาแจ้งแก่ข้า ข้าจะจัดการให้”
“ข้าน้อยขอบพระคุณมากขอรับ”

คนฟังทรุดตัวลงคุกเข่าคำนับทันใด ทำเอาเทียนอี้ต้องทรุดตัวลงนั่งยองแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน

“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ไม่ต้องเกรงใจไป ว่าแต่เจ้าเถิด เป็นผู้ใดกัน ไยถึงมาทำหน้าที่นี้ ปกติแล้วต้องเป็นเทพธิดาไม่ใช่หรือที่มีหน้าที่ยกผลท้อสวรรค์”
“ข้าน้อยเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่พ่อบ้านสวรรค์ดูแลอยู่ เหตุที่มาทำหน้าที่นี้เป็นเพราะเจ้าแม่ซีหวังหมู่เมตตาขอรับ”

เพียงอ้างพระนามขององค์เจ้าแม่ เทียนอี้ก็ไร้ซึ่งข้อกังขา หากพระนางเมตตาผู้ใด กฎใดๆ ก็ล้วนแล้วเป็นโมฆะได้ทั้งสิ้น

“แล้วเจ้ามีนามว่ากระไรกัน?”
เมื่อถามไปอย่างนั้น คนถูกถามก็เงยหน้าขึ้นมา “หลิวซูขอรับ”
“หลิวซู...” นามนี้ก็ชื่อของสตรี

เทียนอี้ทำเพียงคิดในใจ อีกฝ่ายก็ราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงรีบบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เมื่อครั้งที่ข้าน้อยยังเป็นมนุษย์ ท่านแม่ของข้าน้อยอยากได้ลูกสาว หากแต่ข้าเกิดมาเป็นบุรุษ นางจึงตั้งชื่อนี้ให้แทนขอรับ หากท่านแม่ทัพไม่ชอบใจ จะเรียกข้าน้อยว่าอย่างอื่นก็ได้ขอรับ”
“ชื่ออื่นหรือ?”
“ขอรับ ตามแต่ท่านจะประสงค์”

ยิ่งพูดก็ยิ่งยิ้มกว้าง ทั้งที่เป็นเทพบุรุษ ไร้ซึ่งความนุ่มนวลหรือน่าเสน่หาดุจเทพธิดาแท้ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเทียนอี้กระตุกวูบขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ อีกทั้งความเอ็นดูยังพร่างพรายจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบ้าง

“ซูซู... นับจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าซูซูแล้วกัน เจ้าเทพในโรงครัว”
คราวนี้หลิวซูถึงกับยิ้มยิงฟัน “ขอบพระคุณที่เมตตาข้าน้อย แล้วท่านคือ...”
“เทียนอี้”
“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ ขอบพระคุณอีกครั้งที่ช่วยเหลือข้าน้อย พระคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าน้อยจะไม่ลืม”

พูดจบก็คุกเข่าคำนับจนหน้าผากติดพื้นไปอีกครา ทำเอาเทียนอี้หัวเราะในลำคอน้อยๆ พลางครุ่นคิดไปตามลำพัง

ข้าเองก็จะไม่ลืมเช่นกัน...

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 17: เทพสองสหาย[2]

เฮือก!

เทียนอี้สะดุ้งตื่นด้วยอารามตกใจหลังจากที่ผล็อยหลับไปแล้วฝันถึงครั้งแรกที่ได้พบหน้าหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ก่อนจะดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือลูบใบหน้าอย่างสับสน

เหตุใดถึงได้ฝันถึงเจ้ากันนะ...ทั้งที่ไม่ได้ฝันถึงมานานแล้วแท้ๆ

กระนั้นเทียนอี้ก็หาได้คิดเอาคำตอบ ในเวลานี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งเพ้อพกถึงคนรักที่จากไปเหลือเกิน พลันเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง บัดนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่ายามไหน คาดการณ์ว่าคงจะดึกดื่นพอสมควร ทว่าการไม่เห็นซิ่นเฉิงภายในห้องก็ทำให้เขาเป็นกังวลขึ้นมา จำต้องกัดฟันฝืนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เจี้ยนสือมอบให้เดินออกยังชานระเบียง ทอดสายตามองไปยังสวนก็เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนอยู่ที่สระบัว

เทียนอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปหา ก่อนจะออกปากเรียกเมื่อเห็นชัดเจนว่าเจ้าของเงาดำเมื่อครู่นั้นคือซิ่นเฉิง
“เจ้าลงมาแช่สระบัวข้าทำไมหรือ? หรือราตรีนี้อากาศร้อนนัก เจ้าถึงทนไม่ไหว?”

คำพูดเชิงหยอกล้อเรียกให้ซิ่นเฉิงที่เปลื้องอาภรณ์เหลือแค่ช่วงล่างหันไปมอง ครั้นเห็นว่าเป็นเทียนอี้ในร่างของอดีตเทพที่ต้องแสงจันทร์ยืนค้ำศีรษะอยู่ เขาก็ตอบกลับเสียงเรียบ
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
“หากร้อนนัก ไยไม่แช่น้ำในห้องข้ากันเล่า” เทียนอี้ถามอีกครา
“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า เห็นเจ้าหลับลึก”
“ก็เลยมาพังสระบัวข้าเสียอย่างนั้น” คนถามยกยิ้มน้อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินข้างสระ พลางเอื้อมมือไปจับปลายผมเปียกน้ำของซิ่นเฉิงมาไว้ในมือ “แล้วเจ้าได้นอนบ้างหรือยัง?”

ซิ่นเฉิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อให้เทียนอี้ได้สัมผัสโดยง่าย จากนั้นก็ยกตัวขึ้นมานั่งยังขอบสระบัวข้างๆ กับขาเทียนอี้

“เหตุใดถึงไม่นอนกัน?”
“ข้านอนไม่หลับ”
“มีเรื่องให้เจ้าร้อนรุ่มใจหรือไร” เทียนอี้คาดเดา ซึ่งเดาได้ถูกต้อง

สาเหตุที่ซิ่นเฉิงไม่ยอมหลับเป็นเพราะมีเรื่องให้ขบคิดมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องของเทียนอี้ที่หัวเสียเพราะสหาย เรื่องน้ำอมฤตและคำบอกเล่าของหมิงจู อีกทั้งยังเรื่องความรู้สึกประหลาดที่มีต่อเจี้ยนสือโดยไม่ได้ตั้งตัวในวันนี้

“ว่าอย่างไร เหตุใดจึงนอนไม่หลับ บอกข้าได้หรือไม่?”
ครั้นหันไปมองก็สบเข้ากับแววตาเป็นห่วงเป็นใย ซิ่นเฉิงก็ลุกขึ้นยืนตรงหน้าของเทพอสูรหนุ่ม
“ข้ามีเรื่องไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ช่างเถิด อย่าได้ใส่ใจ”
“ข้าต้องใส่ใจแน่หากเป็นเรื่องของเจ้า” เทียนอี้ตอบ มือปล่อยจากปลายผมเปียกชื้นของคนตรงหน้ามาจับที่ต้นแขนและดึงให้เข้ามาหาแทน ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามที่เทียนอี้ประสงค์ จึงกลายเป็นว่าตอนนี้เขานั่งอยู่บนตักของเทพอสูรหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย
“มีสิ่งใดก็จงบอกข้า”

เมื่อได้ยินเทียนอี้พูดขึ้นมาอีกคราขณะที่กำลังคลอเคลียร่างเปลือยเปล่าช่วงบนของตนอยู่ ซิ่นเฉิงก็จำต้องถามจนได้ โดยเลือกถามในสิ่งที่คิดว่าสำคัญก่อน

“เจ้ากับเจี้ยนสือวิวาทกับรุนแรงเพราะเรื่องของหลิวซูเช่นนี้ทุกครั้งหรือ?”
“ครั้งนี้หาได้วิวาทเพราะหลิวซู แต่เป็นเพราะเจ้า” เทียนอี้แก้คำผิดให้
“นั่นล่ะ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อครั้งยังเป็นเทพ พวกเจ้ากับเจี้ยนสือรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก”

เทียนอี้ไม่แปลกใจหรอกหากซิ่นเฉิงจะถามเช่นนี้ ใครต่อใครก็พร่ำพูดกันนี่ ไม่ถามสิถึงแปลก

“ใช่ ข้ากับเจี้ยนสือถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน ผ่านเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันมานานนับหลายร้อยปีจึงสนิทสนมกันมาก”
“แต่ก็มาแตกหักกันเพราะรักคนคนเดียวกัน” เทียนอี้ไม่เถียง ทำเพียงยกยิ้มบางๆ เท่านั้น ปล่อยให้ซิ่นเฉิงถอนหายใจแล้วว่าออกมาอีก “คราวนี้ก็มาทะเลาะกันเพราะข้า เจ้าไม่คิดอยากจะยุติเรื่องนี้หรือ?”
“ข้าคิด...คิดมาตลอด แต่ข้ากับเจี้ยนสือ ไม่ว่าอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“ลิขิตสวรรค์” เป็นอีกครั้งที่ซิ่นเฉิงได้ยินคำนี้ ครั้นจะถาม เทียนอี้ก็เปิดปากอธิบายขึ้นมาก่อน “เจ้าคงเคยได้ยินว่าหลิวซูมาช่วยข้ากับเจี้ยนสือที่ต้องโทษก่อนจะถูกลงทัณฑ์ให้ลงมายังดินแดนมนุษย์แล้ว แต่เจ้ารู้ไหมว่าการกลายเป็นเทพอสูรหาใช่การลงทัณฑ์อันสาสม ข้า เจี้ยนสือ และหลิวซูต่างมีบ่วงกรรมที่ถูกลิขิตคล้องกัน เพราะนอกจากพวกข้าจะขัดบัญชาสวรรค์และกระทำการอุกอาจจนเกินให้อภัยแล้ว พวกข้ายังกระทำผิดด้วยเรื่องอื่นอีก”

“เรื่องนั้นคือ?”
“มีความรัก” เทียนอี้หยุดพูดไปครู่ สูดหายใจเข้าปอดแล้วจึงเอ่ยปากอีกครา “เทพมิอาจมีรัก เมื่อมีรัก จำต้องทุกข์ทรมาน หลิวซูมาช่วยข้าเพราะรัก ข้าเดือดดาลก็เพราะรัก เจี้ยนสือล่อหลอกคนโง่เขลานั่นก็เพราะรัก เมื่อละเมิดกฎสวรรค์ก็ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักอย่างไม่จบไม่สิ้น”
“แสดงว่าเจ้าจะต้องวนเวียนอยู่กับโทษนี้สืบไปอย่างนั้นหรือ?”
เทียนอี้พยักหน้า “ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ผู้ใดจากไป ความทรมานนั้นก็จะหวนกลับคืนมา วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าตราบนิรันดร์”

ซิ่นเฉิงพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือถึงได้ปักใจกับหลิวซูนัก แต่เขาก็อยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ทว่าพอหันไปสบสายตาของเทียนอี้ที่ดูเหนื่อยล้า เขาก็สงบปากสงบคำ เอาไว้ไปถามในยามอื่นก็ได้ ตะล่อมถามทีหลังก็ยังไม่สาย
การเงียบไปของอีกฝ่ายทำให้เทียนอี้ถามขึ้นอีก “สิ่งที่รบกวนใจเจ้าจนนอนไม่หลับมีเพียงเท่านี้หรือ?”

อันที่จริงก็มีอีก แต่ซิ่นเฉิงไม่ใคร่คิดจะถาม เกิดความสงสัยของเขาทำให้อาการของเทียนอี้ทรุดลงไปกว่าเดิมจะแย่เอา ถึงเขาจะอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดเพียงใด แต่ก็รู้ดีว่าควรเอ่ยปากถามเมื่อใด จึงนั่งนิ่งๆ พลันปฏิเสธ

“ไม่มีแล้ว”
“หากไม่มีแล้ว ข้าก็ขอกอดเจ้าหน่อย วันนี้ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกิน”

น่าตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ เทียนอี้พูดออกมาเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะคาดคิดเล่าว่าอดีตแม่ทัพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่จะออดอ้อนเก่งถึงเพียงนี้
สิ้นเสียงก็สอดมือเข้าโอบรัดรอบเอวแกร่งของซิ่นเฉิง ใบหน้าซบลงบนแผ่นหลังหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ สิ่งนั้นตอกย้ำให้เทียนอี้ตระหนักว่าซิ่นเฉิงหาใช่คนเดียวกับหลิวซู แม้ว่าจะต้องชะตาหรือจะมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกันเพียงใด แต่...ซิ่นเฉิงก็คือซิ่นเฉิง

คือซิ่นเฉิง...ที่เขาต้องชะตาตั้งแต่แรกพบและอยากให้มาอยู่ใกล้ชิด หาใช่เพราะเป็นหลิวซู

ความรู้สึกในใจชัดเจนขึ้นมากว่าเดิมในตอนนี้ว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการผู้ใดกันแน่ หลิวซูน่ะหรือ? ต่อให้ยังปักใจรักมั่นเพียงใด แต่คนที่มิอาจสูญเสียไปคือคนที่มีชีวิตอยู่และอยู่ในอ้อมกอดของเขาตอนนี้ต่างหาก

“หากข้าปล่อยวางได้ เจ้าจะมอบใจของเจ้าให้ข้าหรือไม่?”
เทียนอี้พึมพำออกมาขณะที่หลับตาพริ้ม ซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู เหลียวไปมองโดยไม่ได้ตอบใดๆ เขาก็อยากจะมีคำตอบให้อยู่หรอก แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่มีต่อเจี้ยนสือในวันนี้มันทำให้เขารู้สึกราวกับมีเรื่องบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจับฝ่ามือใหญ่บริเวณหน้าท้องตนแล้วบีบเบาๆ

เทียนอี้รู้ว่าถามไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์ในวันนี้ เพราะเขาเองก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้ซิ่นเฉิงรู้เช่นกันว่าเขาปล่อยวางหลิวซูได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ยามนี้จึงได้แต่ตระกองกอดเงียบๆ โดยไร้ซึ่งสรรพเสียงเท่านั้นใดๆ

เวลาผันผ่านไปอย่างช้าๆ ความรู้สึกมากมายอบอวลในใจของบุรุษทั้งคู่ ก่อนที่จะพากันตกใจไปทั้งคู่เมื่อจู่ๆ แผ่นดินก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง ซิ่นเฉิงผุดลุกขึ้น มือคว้าเทียนอี้ให้ห่างจากขอบสระบัวอย่างรวดเร็วด้วยเกรงว่าจะตกลงไป ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่แผ่นดินจะหยุดสั่นไหว ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะว่าด้วยสีหน้าตื่นๆ

“แผ่นดินไหวงั้นหรือ?”

ไม่...ไม่ใช่ เทียนอี้ย่นคิ้วยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นสัญญาณของอาเพศบางอย่าง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองพ่อบ้านเหลียงและเหล่าเทพอสูรตนอื่นๆ ที่พากันมารวมตัวยังด้านนอกเรือนพร้อมกับมองหน้ากันราวกับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“ท่านแม่ทัพ” เป็นพ่อบ้านเหลียงที่เอ่ยปาก เขามีประสาทสัมผัสดีกว่าผู้ใด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นหาใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หากแต่เป็นเพราะฝีมือของใครบางคน “เป็นเรื่องไม่ดีขอรับ”

เทียนอี้ก็รับรู้ได้ พลันพยักหน้ารับและออกคำสั่ง “เตรียมขบวนให้พร้อม ข้าจะออกไปดู”
สิ้นเสียง เหล่าทหารก็พากันกุลีกุจอทำตามคำสั่ง ซิ่นเฉิงได้ยินก็รีบร้องปราม

“เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ จะไปไหนกัน”
เทียนอี้หันกลับมา ไม่ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเลยแม้แต่น้อย “เจ้าไปรอข้าอยู่ในห้อง ข้าจะออกไปที่ทะเลทรายเพียงครู่ ประเดี๋ยวก็กลับมา”
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด”
“บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์” อีกฝ่ายว่า จากนั้นก็หาได้สนใจซิ่นเฉิงอีก นอกจากจะเดินอย่างทุลักทุเลไปหาพ่อบ้านเหลียงพร้อมอีกคำสั่งอีกครา “เตรียมชุดเกราะให้ข้าด้วยพ่อบ้านเหลียง ข้าจะไปดูด้วยตนเอง”

คนถูกสั่งรับคำ พลันพยุงผู้เป็นนายกลับเข้าเรือนไปเตรียมตัว ทิ้งให้ซิ่นเฉิงมองตามด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เกิดสิ่งใดขึ้นภายนอกกัน?
-------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งยาว 555
อันนี้น่าจะเข้ากลางเรื่องละ กำลังจะต่อยอดไปไคลแม็กซ์ ช่วงนี้อาจจะรำคาญความโลเลของเจ้าแมวนิดนึงว่าตกลงรักใครกันแน่ ทนอ่านผ่านไปให้ได้นะคะ มันมีสาเหตุอยู่ ไม่ตอนหน้าก็ตอนถัดไปก็น่าจะพูดถึงแล้วค่ะ ใจร่มๆ อย่าเพิ่งเกรี้ยวกราด 555
ต่อจากตอนนี้ก็จะเริ่มออกทะเล (ทราย) อันที่จริงก็ไม่คิดว่ากว่าจะได้ผจญภัยก็ลากยาวมาถึงขนาดนี้ แต่ปมดั๊นนน เยอะเหลือเกิน ยาวแน่นอน แงงง

ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ ใครยังอยู่กันมั่ง ช่วงนี้เหมือนพอเริ่มหนึบๆ คนอ่านเริ่มหาย
อย่าเพิ่งทิ้งเก๊าปายยย อยู่ด้วยกันก่อนนะ XD

ออฟไลน์ Realy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่รำคาญเจ้าแมวน่ะแต่ไม่ชอบว่าเทียนอี้จะเอาไงแน่น่ะฮือ :m16: ฉันสงสารนุ่งแมววววว :z3: :z3:

ออฟไลน์ howru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
รอตอนต่อไป..

 :katai2-1:


ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ขอให้สองเทพฝืนลิขิตสวรรค์ได้เถอะ

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ปมซับซ้อนมากกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
จะเกิดไรขึ้นอ่าาาาา

ออฟไลน์ Kawaiichibi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เจ้หมิงเราจะโดนอะไรมั้ย  :o12: :o12: ตอนนี้หลงรักเจ้หมิงที่สุด

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ลุ้นมาก เกิดอะไรกันนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[1]

เทียนอี้ในชุดเกราะแม่ทัพเต็มยศควบม้านำไพร่พลทหารสังกัดจวนตนมุ่งหน้าสู่ทะเลทราย ไม่เพียงแต่เขา เทพอสูรผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพตนอื่นๆ ต่างก็มารวมตัวกันโดยไม่ต้องให้ผู้ใดไปบอกกล่าว ในเวลาเช่นนี้ การร่วมมือร่วมใจย่อมสำคัญที่สุด ความบาดหมางใดจำต้องปล่อยวางไว้ก่อน เจี้ยนสือเองก็คิดเช่นนั้น เมื่อรับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนอันรุนแรง สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าแคว้นเฟิงฝูเกิดอาเพศ และนั่นก็หาใช่สิ่งที่เป็นไปตามวัฏจักรธรรมชาติ หากแต่เป็นเพราะฝีมือใครบางคน

ปีนี้เป็นปีที่เทียนอี้ได้รับหน้าที่ดูแลบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้นำกองทหารมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำนั้น ทว่าด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ดี แม่ทัพนายอื่นจึงมีความเห็นว่าควรมีผู้ไปด้วยเผื่อมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้น และคนผู้นั้นก็คือเจี้ยนสือ ทั้งที่แม่ทัพและกุนซือต่างรู้ดีว่าเขากับเจี้ยนสือมีเรื่องบาดหมาง แต่ด้วยเห็นว่าเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันมาแต่ในครั้งอดีต การได้เจี้ยนสือไปเป็นทัพเสริมย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไร ทว่าก็หาได้มีผู้ใดปฏิเสธ นอกจากทำตามหน้าที่เท่านั้น หมิงจูซึ่งตามออกมาในภายหลังอดเป็นห่วงไม่ได้จึงอาสาที่จะตามไปอีกคน

ไพร่พลของเทพสามสหายมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจากแคว้นเฟิงฝูไปไม่ไกลนัก บ่อน้ำนั้นคือบ่อน้ำแห่งชีวิต อันเป็นต้นกำเนิดทุกสรรพชีวิตในแคว้นเฟิงฝู ต้นไม้ใบหญ้า เหล่าสัตว์ รวมถึงเทพอสูรและมนุษย์ ต่างมีชีวิตดำรงอยู่ได้ท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งและไร้ซึ่งหยาดฝนหล่อเลี้ยงก็เพราะบ่อน้ำนี้ แม้องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จะทรงกริ้วมากเพียงใดที่เหล่าเทพอสูรขัดบัญชาสวรรค์ แต่ก็หาได้ทรงละทิ้งแต่อย่างใด เมื่อพระองค์เมตตา เทพอสูรจึงหมายจะให้พระเมตตานี้หลั่งใหลสู่มนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ด้วย จึงได้ตั้งเมืองขึ้นห่างจากบ่อน้ำไป ทว่า...ในบางครั้งก็มีบ้างเหมือนกันที่เทพอสูรใช้บ่อน้ำนี้เป็นเครื่องมือต่อรองเอาเปรียบมนุษย์ เฉกเช่นกับที่พ่อบ้านเหลียงได้กระทำต่อเผ่าของซิ่นเฉิงเพื่อหลอกล่อให้ซิ่นจินมาตบแต่งเป็นฮูหยินของผู้เป็นนาย
กระนั้นก็ไม่สำคัญที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในยามนี้ ครั้นมาถึงยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำใสสะอาดที่เต็มบ่อตลอดปีก็เหือดหายไปเกือบครึ่ง ทำเอาทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง

“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” เป็นเจี้ยนสือที่ถามทหารเวรยามภายใต้การดูแลของเทียนอี้ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ขะ...ข้าก็หาได้ทราบขอรับ ข้ากับทหารนายอื่นก็เฝ้ายามตามปกติเช่นทุกวัน จู่ๆ แผ่นดินก็ไหว จากนั้นน้ำในบ่อก็แห้งเหือดอย่างที่ท่านแม่ทัพเห็น”

ยิ่งได้ยินความจากทหารนายหนึ่ง เจี้ยนสือก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก แม้ว่าในยามนี้ร่างกายของเขาจะอยู่ในร่างของอดีตเทพด้วยถูกแสงจันทร์อาบ ทว่าสีหน้านั้นกลับดูน่ากลัวยิ่งนัก ขณะที่เทียนอี้ได้แต่นิ่วหน้าอย่างขบคิด

“เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไรเทียนอี้” ต่อให้ทะเลาะกันหนักหนาแค่ไหน ในยามนี้ก็จำต้องวางทิฐิลง หันไปถามทันควัน
“ข้าคิดว่าต้องเป็นสัญญาณของบางสิ่ง” เทียนอี้ตอบ
“สัญญาณอะไร”

คราวนี้ไร้ซึ่งคำตอบ เทียนอี้ก็ไม่รู้เช่นกัน ตั้งแต่จุติเป็นเทพอสูร เขาหาได้เคยเห็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห้งเหือดมาก่อน แม้แต่แผ่นดินไหวก็หาได้เคยเกิดขึ้น มันต้องเป็นฝีมือของผู้ใดที่จงใจให้เกิดอาเพศนี้ พลันหันไปสั่งกับหมิงจูซึ่งอยู่เยื้องไปอีกข้าง

“วางกำลังไพร่พลรอบบ่อน้ำให้แน่นหนา ส่วนเจ้ากลับเข้าเมืองแล้วเรียกประชุมแม่ทัพทุกนาย เชิญเหล่ากุนซือมาด้วย เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ต้องหารือกันอย่างเร่งด่วน”
“เข้าใจแล้ว” หมิงจูรับคำแล้วดำเนินการตามสั่ง

เจี้ยนสือก็หาได้ขัดสิ่งใด เตรียมสั่งไพร่พลของตนให้ช่วยตรึงกำลังเพิ่ม ส่วนตนก็เตรียมจะกลับเข้าเมืองไปยังจวนศักดิ์สิทธิ์ หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้ข้ามประตูแคว้น พลทหารนายหนึ่งก็ควบม้าเร็วนำความมาบอก

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ แม่ทัพเจี้ยนสือ มีคำสั่งให้พวกท่านไปที่จวนศักดิ์สิทธิ์ประเดี๋ยวนี้”
คนที่กำลังจะมุ่งหน้าไปถึงกับเหลียวมองหน้ากันเล็กน้อยด้วยรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก่อนเทียนอี้จะเป็นฝ่ายถามขึ้น
“เกิดเหตุอันใด”
“เทพธิดาฉางเอ๋อขอพบพวกท่านทุกคนขอรับ”

คราวนี้ทั้งเทียนอี้และเจี้ยนสือมีสีหน้าประหลาดใจผุดพราย เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ถึงกับเหาะลงมาเยือนยังโลกมนุษย์เป็นเพราะสาเหตุใดกัน? ทั้งสองไม่รีรอที่จะเอาคำตอบ รีบควบม้ากลับเข้าไปโดยไม่ไต่ถามถึงสิ่งใดอีก



 
เมื่อไปถึงยังจวนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าเทพอสูรซึ่งอดีตเคยเป็นเทพชั้นสูงก็มาพร้อมหน้ากันเป็นที่เรียบร้อย เหล่ากุนซืออยู่ฝั่งขวา เหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพอยู่ฝั่งซ้าย เบื้องหน้าปรากฏร่างอ่อนช้อยของเทพธิดาในชุดสีขาวพลิ้วไหว นางคือเทพธิดาฉางเอ๋อ ครั้นเทียนอี้และเจี้ยนสือมาถึงก็เป็นอันว่าครบองค์ประชุม ก่อนที่นางจะเอ่ยถึงสาส์นที่ต้องการนำมาบอก

“จากศึกที่เมืองบาดาลเมื่อครั้งนั้น เพราะพวกท่านขัดต่อบัญชาสวรรค์ ทำลายเมืองตบตาองค์เง็กเซียนฮ่องเต้และปล่อยให้เทพมังกรวารีกับโอรสหลบหนีไปได้ บัดนี้เทพมังกรวารีได้สิ้นแล้ว เหลือเพียงโอรสปีศาจ เขาระรานก่อความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เวลาที่ผันผ่านไปกว่าหลายร้อยปีทำให้ตบะกล้าแกร่งขึ้น นั่นเป็นเหตุให้แคว้นเฟิงฝูของพวกท่านเกิดอาเพศ หากพวกท่านปล่อยให้เป็นเช่นนี้ แหล่งน้ำทั้งหลายจะหมดสิ้น ทุกชีวิตจะดับสูญ ไม่เว้นแต่พวกท่านเอง”

ประจักษ์แจ้งแก่ในในตอนนี้ โอรสของเทพมังกรวารีนั้นในอดีตคือมังกรสวรรค์ เมื่อความชั่วร้ายเข้าครอบงำก็ผันตัวไปเป็นปีศาจ ที่ดูดกลืนน้ำไปนั่นเป็นเพราะต้องใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงชีวิตและตบะตน แต่ถึงขั้นมาช่วงชิงน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันเหือดแห้งไปได้ถึงเพียงนี้ แสดงว่าคงจะแก่กล้ากว่าเมื่อสงครามครั้งนั้นอยู่มากโข อิทธิฤทธิ์ถึงได้มากมี

“ดังนั้นข้าจึงนำพระบัญชาขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้มาบอกพวกท่าน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกท่านไปกำราบโอรสของเทพมังกรวารีเสียให้สิ้นซาก บัดนี้เจ้าปีศาจนั่นอยู่ทางทะเลทิศใต้ หากพวกท่านทำสำเร็จ พวกท่านจะสามารถขอพรได้คนละหนึ่งประการ”

เมื่อมีข้อแลกเปลี่ยน เหล่าเทพอสูรก็หาได้เอ่ยขัดประการใด ออกจะยินดียิ่งด้วยซ้ำที่ได้ยินเช่นนั้น

ขอพรได้หนึ่งประการ...ย่อมแน่นอนว่าต้องขอให้กลับไปดำรงตนเป็นเทพเช่นเดิม

รางวัลนั้นเย้ายวนชวนให้มุ่งมั่น แต่สำหรับเทียนอี้และเจี้ยนสือผู้ติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ทรมานเพราะเป็นเทพมีรักนั้น พวกเขาหาได้ยินดีกับเรื่องที่ได้ยินเท่าที่ควร การคิดถึงศึกในครั้งนั้นพานให้ความผิดของพวกเขาถูกตอกย้ำมากขึ้นไปอีก ทว่าเมื่อได้ยินเทพธิดาเอ่ยขึ้นอีกครา ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไป

“หากพวกท่านไม่ใคร่อยากกลับเป็นเทพ จะขออย่างอื่นก็ย่อมได้ แม้แต่ชีวิตของคนตาย ท่านก็ชุบให้ฟื้นได้เช่นกัน”
ได้ยินเพียงเท่านั้น ดวงตาของสองแม่ทัพก็เป็นประกาย
“ชุบชีวิตคนตายหรือ?” เป็นเจี้ยนสือที่ถาม ขณะที่เทียนอี้ฟังอย่างตั้งใจ
“ใช่ แต่นั่นเป็นการฝืนลิขิตสวรรค์ หากท่านขอให้คนตายฟื้น ท่านจะต้องแลกด้วยความเป็นอมตะของตน”

เทพธิดาฉางเอ๋อพูดราวกับรู้ว่าเทพอสูรตรงหน้าทั้งสองหมายจะชุบชีวิตให้หลิวซูฟื้นคืนกลับมา หากแต่เมื่อได้ยินดังนั้น ความคิดเมื่อครู่ก็เป็นอันพังทลาย หากหลิวซูกลับมา แต่พวกเขาต้องจากไป แล้วมันจะมีประโยชน์ใดกันเล่า ไม่มีผู้ใดอยากจะสละอายุขัยตนเพื่อให้อีกคนได้สุขสมกับคนที่ตนรักหรอก

เมื่อไม่เป็นดังคิด เทียนอี้และเจี้ยนสือก็พากันเงียบงัน ความผิดหวังพร่างพรายในใจชั่วครู่ ก่อนที่เทพธิดาฉางเอ๋อจะเอ่ยขึ้น
“หมดหน้าที่ข้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัว หวังว่าพวกท่านจะไม่ขัดพระบัญชาอีก ข้าเห็นพวกท่านทนทุกข์มานานแล้ว เมื่อสวรรค์มีเมตตา พวกท่านก็ควรรับไว้”

สิ้นเสียงก็เหาะจากไป ปล่อยให้เหล่าเทพอสูรพากันหารือถึงเรื่องพระบัญชาที่ได้รับมอบหมายมา จะมีก็แต่เทียนอี้และเจี้ยนสือเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าร่วมหารือในครั้งนี้ ก่อนที่เสียงของเจี้ยนสือจะดังขึ้นพอให้ได้ยินกันสองคน

"ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นปีศาจ ข้าก็ไม่ยอมยกหลิวซูให้เจ้า”
“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้วเจี้ยนสือ”

เทียนอี้ชำเลืองมอง ทำให้เจี้ยนสือแสยะยิ้มร้ายออกมา
“ทุกอย่างไม่มีวันสายตราบใดที่ใจของหลิวซูมีข้า เจ้าหยุดหลอกตนเองสักทีว่าหลิวซูมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เขารักผู้ใด เจ้าย่อมรู้ดี”

พูดจบก็ผละจากไป ทิ้งความเจ็บปวดให้พร่างพรายขึ้นในใจของเทียนอี้

ใช่ เขารู้ดีว่าหลิวซูรักผู้ใด

คนผู้นั้นก็คือ...

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 18: อาเพศแห่งแคว้นเฟิงฝู[2]

หลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองของเจ้าแม่ซีหวังหมู่สิ้นสุดลง เทียนอี้ก็กระสับกระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้สุขุมแท้ๆ แต่กลับอยู่ไม่สุขสักนิด ผ่านไปหลายวันหลายราตรีถึงได้รับรู้ว่าเหตุที่อยู่ไม่สุขนั้นเป็นเพราะคะนึงหาแต่ใบหน้าของเทพชั้นผู้น้อยที่ประจำอยู่ในโรงครัวสวรรค์ เขาจึงไม่รอช้าที่จะเหาะลงมาจากสวรรค์ชั้นสิบสองเพื่อมาเยี่ยมเยือนอีกฝ่าย
ยิ่งได้เห็นดวงหน้าของเทพหนุ่มผู้นั้น ในใจก็เต้นระส่ำหวั่นไหวยิ่งนัก ตั้งแต่จุติเป็นเทพก็หาได้หวาดเกรงผู้ใด เว้นเสียแต่ยามเจอหน้าหลิวซูด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าใจของเขาเต้นแรงเพียงใดทุกครั้งที่พบหน้า ยิ่งได้ใกล้ชิดเพราะไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ เทียนอี้ก็ยิ่งหลงใหลในตัวเทพชั้นผู้น้อยตรงหน้า

จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน... และจากเดือนคงเป็นปีหากเขายังเทียวไปมาหาสู่หลิวซูเช่นนี้

นี่ก็เป็นอีกวันที่เขาแวะเวียนมาหาหลิวซูหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ สวนท้อของเจ้าแม่ซีหวังหมู่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจชั้นเลิศ เทพชั้นผู้น้อยนอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อ ครั้นเห็นร่างใหญ่ของคนคุ้นตาปรากฏกายให้เห็นไม่ไกล ก็รีบทิ้งตัวลงจากต้นท้อ เอ่ยปากทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส

“วันนี้ก็มาหาข้าน้อยอีกแล้ว ท่านแม่ทัพคงจะเหงามากจริงๆ”

เทียนอี้ยิ้มรับ ที่หลิวซูพูดเช่นนี้เป็นเพราะเขาเคยอ้างไว้ว่าที่แวะเวียนมาพูดคุยด้วยบ่อยๆ นั่นเพราะสวรรค์ชั้นสิบสองช่างเงียบเหงา เหล่าเทพชั้นสูงต่างพากันสำเริงสำราญในตำหนักของตน หาได้ใส่ใจผู้อื่น เขาจึงลงมาหาหลิวซูที่โรงครัวสวรรค์เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย และหลิวซูเองก็เชื่อในสิ่งนั้นเสียสนิทใจโดยหารู้ไม่ว่าที่เทียนอี้มาให้เห็นทุกวันเช่นนี้เป็นเพราะเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อตนต่างหาก

แม้รู้ดีว่าเทพมิอาจมีรัก หากแต่เทียนอี้ก็ไม่อาจอดใจได้ ครั้นทรุดตัวนั่งลงบนโขดหิน ขณะที่หลิวซูทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า สายตาก็สำรวจมองซีกหน้าคร้ามของคนข้างกายอย่างลืมตัว วันนี้หลิวซูก็ยังน่าหลงใหลเช่นทุกวันที่ผ่านมา เป็นเทพบุรุษที่มีรูปร่างสูงโปร่ง หากทว่ากลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา แม้ไม่ได้งดงามเฉกเช่นสตรี กระนั้นก็ช่างดึงดูดสายตานัก ขณะที่เทพองค์อื่นๆ ต่างพากันรำคาญใจที่เห็นหลิวซูทำหน้าที่ในโรงครัวสวรรค์ แต่สำหรับเทียนอี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด

นั่นเป็นเพราะ...เทียนอี้มีรัก

“จ้องหน้าข้าน้อยเช่นนี้ มีสิ่งใดอยากพูดหรือเปล่าท่านแม่ทัพ”

ถูกทักไปอย่างนั้น เทียนอี้ก็หลุบสายตาหนีเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่านั่นก็เพียงครู่เดียวก่อนจะแย้มยิ้มออกมาเมื่อเห็นดวงตากลมของหลิวซูจับจ้อง

“ข้าเพียงครุ่นคิดว่าเหตุใดกันเจ้าถึงได้ชวนมองถึงเพียงนี้”
“เย้าข้าน้อยอีกแล้ว” หลิวซูกลั้วหัวเราะ คราแรกที่ได้รับคำชมเยี่ยงนี้ก็ขัดเขินอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเทียนอี้พร่ำบอกกับเขาทุกวันจึงกลายเป็นชาชินไปเสียแล้ว
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพองค์อื่นเชิดชูข้าว่าซื่อสัตย์และซื่อตรงเพียงใด” เทียนอี้พูดในทำนองว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

หากแต่หลิวซูกลับกลั้วหัวเราะ “ข้าน้อยรู้ขอรับ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพยิ่งที่เมตตาข้า แต่หากข้าเป็นเทพธิดาแล้วท่านพูดชมเช่นนี้ ข้าก็คงจะฝืนกฎ มีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านเป็นแน่แท้”

เพราะเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ? ถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาใดกับคำพูดของเขา เพราะไม่ใช่แค่ครั้งนี้ที่เทียนอี้หมายจะบอกความนัยของตนให้รับรู้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอ่ยโดยนัยนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แรกเริ่ม หลิวซูก็ดูจะขัดเขิน หลังๆ กลับดูชินชาและเห็นเป็นเรื่องสนุกไป หรือเพราะเขายังไม่ได้ดูจริงจังเท่าที่ควรกัน?

เทียนอี้อดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ในใจคิดอยากบอกไปตามตรงว่าหลงรักใคร่คนตรงหน้าเพียงใด แต่ก็ยับยั้งไว้ด้วยเกรงว่าหากหลิวซูไม่ได้คิดสิ่งใดด้วย การขัดต่อข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้เทพมีรักนั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเขาได้ ดังนั้นเทียนอี้จึงได้แต่เงียบ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลิวซูที่ยิ้มแย้มอยู่นั้นมีสีหน้าประหลาดขึ้นมากะทันหัน มัน...เรื่อแดงราวกับผลลูกท้อสุก

“เป็นอะไรหรือไม่ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีนัก” เทียนอี้ถามด้วยความเป็นห่วงทันควัน
“มะ...ไม่เป็นไรขอรับ”
“หรือจะไม่สบาย?” ทั้งที่หลิวซูปฏิเสธไปแล้วก็ยังจะถามอีก แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเทพมิอาจเจ็บป่วยได้เฉกเช่นมนุษย์ ยิ่งเห็นคนข้างกายส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธระรัว เขาก็ยิ่งขบคิดวุ่นไปหมด

หรือเป็นเพราะคำพูดของข้าทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าถึงแสดงออกเช่นนี้?

ในหัวสับสนวุ่นวาย หากเป็นเช่นนั้น เขาต้องรู้สึกผิดแน่เพราะหาได้ตั้งใจจะก่อกวน ก่อนที่ความคิดนั้นจะยุติลงและละสายตาจากหลิวซูไปยังคนมาใหม่เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น

“ข้ามาตั้งนานแล้ว ไยเจ้าถึงไม่รู้กัน หรือแม่ทัพเทียนอี้จะด้อยวิทยายุทธลง?”

เสียงนั้นคือเจี้ยนสือที่เหาะเหินข้ามฟากฟ้าลงมายังโรงครัวสวรรค์ เมื่อหาสหายไม่พบก็เดินมาดูที่สวนท้อ พลันตรงเข้ามาหาสหายที่นั่งอยู่กับเทพชั้นผู้น้อย เทียนอี้ไม่ได้รับรู้การมาถึงของเจี้ยนสือจริงอย่างที่ถูกเอ่ยล้อเพราะมัวแต่เป็นกังวลเรื่องของหลิวซู หากแต่เมื่อจะตอบรับกลับไป เขาก็พลันสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลิวซูแดงเรื่อขึ้นกว่าเดิม และยิ่งแดงซ่านไปหมดเมื่อถูกเจี้ยนสือล้อเลียนบ้าง

“มัวมาสนใจเจ้าเทพในโรงครัวจนลืมข้า ช่างน่าน้อยใจนัก”
“หะ...หามิได้ ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
“ไม่ต้องถ่อมตัว มาสำนึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว เจ้าทำข้าอยากจับเจ้ามาฉีกเป็นชิ้น โทษฐานแย่งสหายข้ามากักตัวไว้แต่ผู้เดียวเป็นที่เรียบร้อย” เจี้ยนสือยังคงหยอกล้ออยู่

เสียงหัวเราะของหลิวซูดังขึ้นเบาๆ ครั้นสบตาเจี้ยนสือก็ประกายวาวราวกับเห็นของมีค่า ขณะที่เทียนอี้ยิ่งนิ่งงันมากกว่าเดิม พลันตระหนักขึ้นมาได้

หรือว่า... เหตุที่เจ้ามีใบหน้าแดงเรื่อเช่นนั้นเป็นเพราะเจี้ยนสือ?

อันที่จริงเขาเคยเห็นหลิวซูมีปฏิกิริยาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว และหากสังเกตดีๆ อาการนั้นมักแสดงออกมาตอนที่มีเจี้ยนสืออยู่ด้วย แม้จะไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ในอกก็คับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

ที่แท้เจ้าก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อเจี้ยนสืออย่างนั้นหรือ?

สายตามองไปยังหลิวซูและสหายที่หยอกล้อเล่นกันอย่างสนิทสนม พลันน้อยใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม

ทั้งที่เขาเทียวแวะเวียนมาหาทุกวี่วัน แต่เมื่อเจี้ยนสือปรากฎกาย ความสนใจนั้นก็ถูกเบี่ยงเบนไปทันควัน เป็นเช่นนี้แล้ว... เขาควรจะทำอย่างไร?

แต่จะไปเรียกร้องสิ่งใดได้ เทียนอี้หาได้ครอบครองเทพชั้นผู้น้อยตรงหน้า และด้วยเป็นเทพก็มิอาจมีรัก จึงได้แต่ฝืนยิ้มเมื่อเจี้ยนสือหันมาหยอกเย้ากับตนในบางครั้ง

“ดูท่าแล้ว เจ้าคงอยู่สนทนากับเจ้าเทพในโรงครัวผู้นี้อีกนาน เช่นนั้นข้าจะกลับไปยังเบื้องบนก่อน เมื่อเจ้าเสร็จสิ้นก็แวะมาหาข้าสักหน่อย ข้ากับหมิงจูมีเรื่องจะหารือกับเจ้า”

การหารือนั้นคือการชวนไปร่ำสุราทิพย์ เทียนอี้พยักหน้ารับ ฉับพลันเจี้ยนสือก็เหาะจากไป เหลือเพียงแต่หลิวซูเท่านั้นที่ยังคงนั่งยิ้มแม้ว่าร่างของอีกฝ่ายจะหายไปจนลับสายตาแล้ว

ยิ่งเห็น...ก็ยิ่งรวดร้าวในอก ทำให้เทียนอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทัก
“ซูซู เจ้ายิ้มมากเหลือเกิน มีสิ่งใดน่ายินดีเช่นนั้นหรือ?” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกแต่ก็แสร้งถาม

หลิวซูรีบหุบยิ้มลง ปฏิเสธพลัน “ไม่มีอะไรขอรับ”
“เจ้า...แย้มยิ้มเพราะเจี้ยนสือใช่หรือไม่?” แม้จะไม่อยากถามแต่ก็เอ่ยออกไป

ใบหน้าที่กลับเป็นปกติของหลิวซูแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครา ครั้นหันไปสบตาของเทียนอี้ที่จ้องมองอยู่ก็รีบหลุบหนี ท่าทางนั้นทำให้หัวใจของเทียนอี้กระตุกวูบ

“ว่าอย่างไร บอกข้าได้หรือไม่ ไยเห็นเจี้ยนสือแล้วเจ้าถึงต้องหน้าแดง” กระนั้นก็ยังกัดฟันถามออกไป

หลิวซูนิ่งงันไปครู่ ด้วยความที่ใกล้ชิดกับเทียนอี้มาระยะหนึ่งจึงทำให้ไว้ใจและเชื่อมั่นว่าเทพชั้นสูงผู้นี้ไร้ซึ่งพิษภัย จึงยินยอมที่จะบอกไปเมื่อถูกถามอีกครา

“ข้าน้อย... มีใจปฏิพัทธ์ต่อท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอรับ”

เสมือนมีฟ้าผ่ากัมปนาทลงมาในหัวของเทียนอี้ ร่างกายชาดิกเสียจนขยับไม่ได้ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยินนัก ขณะที่หลิวซูตระหนักได้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปจึงมีท่าทีร้อนรนขึ้นมา

“ตะ...แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบนะขอรับ ข้าน้อยเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่จุติจากวิญญาณมนุษย์ต่ำต้อย บางครั้งก็ไม่อาจหักห้ามกิเลสตัณหาเช่นกัน ตบะยังหาได้แก่กล้า ขอท่านแม่ทัพอย่าได้ถือสา”

ดูก็รู้ว่าเกรงกลัวเทียนอี้จะนำความไปบอกใคร สีหน้าแดงเรื่อเมื่อครู่กลายเป็นซีดเผือดราวกับเห็นผี

กับเจี้ยนสือ...เจ้ามีสีหน้าเขินอาย แต่กับข้า...เจ้าดูราวกับคนตาย

เทียนอี้หัวเราะเย้ยตนเองในใจเพียงครู่ ก่อนจะวางมือลงบนกลางกระหม่อมของคนตรงหน้าที่ดูตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกผู้ใด”

เท่านั้นหลิวซูก็มีสีหน้าโล่งใจ รีบดันตัวขึ้นคุกเข่าแล้วคำนับคนตรงหน้าเสียจนหน้าผากติดพื้น

“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพมากขอรับ เมตตาของท่านในครั้งนี้ ข้าน้อยจะไม่ลืม”

เรื่องในวันนี้ ข้าก็จะไม่มีวันลืมเช่นกัน...

จะจดจำไว้ว่าเจ้า...รักเจี้ยนสือ



 
ซิ่นเฉิงลุกพรวดจากเตียงนอนด้วยความรวดเร็ว สายตากวาดมองไปรอบห้องอันมืดมิดอย่างตระหนก หากแต่ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักของเขาและหน้าอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะเท่านั้นที่ทำให้ภายในห้องนี้ไม่เงียบ

เทียนอี้ยังไม่กลับมา เขาออกไปตั้งแต่กลางดึก จนบัดนี้ใกล้ฟ้าสางก็ยังไร้ซึ่งเงา ทำเอาคนรออย่างซิ่นเฉิงเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ครั้นเข้าสู่ห้วงนิทราก็หลับฝันถึงสถานที่ไม่คุ้นเคย คนรอบข้างก็หาได้เคยเห็นหน้ามาก่อน จะมีก็แต่เพียงบุรุษผู้มีเรือนผมสีเงินยวงเท่านั้นที่เขารู้จักดีว่าคือผู้ใด คนผู้นั้นคือ...เทียนอี้ อีกสามคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาก็คือเจี้ยนสือ หมิงจู และพ่อบ้านเหลียง ขณะที่เขาอยู่ในร่างของใครบางคนซึ่งเป็นเทพชั้นผู้น้อยทำหน้าที่อยู่ในโรงครัวสวรรค์ และมีนามว่า...

“หลิวซู...” ริมฝีปากหนาเอ่ยนามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายยังเต้นระส่ำไม่หยุด

เขาคือหลิวซู เทพชั้นผู้น้อยอันเป็นชนวนเหตุให้เทียนอี้และเจี้ยนสือบาดหมาง!

ชายหนุ่มยกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าด้วยไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นในความฝัน เขาจะเป็นหลิวซูไปได้อย่างไรในเมื่อเขาหาได้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับหลิวซูเมื่อครั้งยังเป็นเทพเลยแม้แต่น้อย? ทว่า...ในใจก็อดเชื่อไม่ได้เพราะสิ่งที่เขาฝันเห็นนั้นมาจากอิทธิฤทธิ์ของน้ำอมฤต หากในชีวิตนี้เคยพบพานสถานที่สวยงามแห่งนั้นมาก่อน เขาคงจะคิดว่ามันคือภาพในความทรงจำไปแล้ว ทว่าตลอดมาเคยพบเห็นแต่ทะเลทราย ดังนั้นจึงไม่อาจคิดเป็นอื่นได้

และซิ่นเฉิงก็มิอาจอยู่นิ่งได้เช่นกัน เมื่อประจักษ์ว่าตนเป็นใคร เขาก็รีบทิ้งตัวลงจากเตียง กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปยังด้านนอก หมายจะไปยังจวนของหมิงจูเพื่อแจ้งเรื่องนี้ หากแต่ก็พบเข้ากับพ่อบ้านเหลียงเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเข้ม

“ฟ้ายังไม่สาง ท่านแม่ทัพก็ยังไม่กลับ แล้วเจ้าจะไปไหนกัน?”
ซิ่นเฉิงหันหน้ามองคนถาม เป็นพ่อบ้านเหลียงบ้างแล้วที่ชะงักเมื่อเห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นทั่วกรอบหน้าของชายหนุ่ม อีกทั้งใบหน้ายังซีดเผือดราวกับป่วยไข้ จากที่ตั้งใจจะดุด่าก็กลายมาเป็นกังวล
“เจ้าไม่สบายหรือไร สีหน้าดูแย่นัก”
“เจ้าจระเข้” แทนที่จะตอบ ซิ่นเฉิงกลับเรียกคนตรงหน้าออกมา ครั้นพ่อบ้านเหลียงนิ่งรอฟัง เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ข้าคือหลิวซู”
“เจ้าพูดเรื่องใด” คนฟังถึงกับงุนงงฉับพลัน แต่ขณะเดียวกันก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา

ซิ่นเฉิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะว่าออกมาอีกที “ข้าบอกว่าข้าคือหลิวซูกลับมาเกิด ”

เพียงเท่านั้น พ่อบ้านเหลียงก็อยู่ไม่สุข กระนั้นก็ยังเก็บอาการตระหนกไว้
“เจ้ารู้ได้เช่นใด”
“ข้าฝันเห็นเมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นเทพบนสวรรค์ ทำหน้าที่อยู่ในโรงครัวภายใต้การดูแลของเจ้า”

เรื่องนั้นหาได้เคยบอกซิ่นเฉิงมาก่อน ยิ่งทำให้พ่อบ้านเหลียงใจไม่ดีมากขึ้นไปอีก
“เจ้าคงจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นมามากเกินไปถึงได้เก็บไปฝันเยี่ยงนี้” แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ด้วยไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไรนัก

ทว่า...สุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจเมื่อซิ่นเฉิงเริ่มหัวเสีย พลันส่งเสียงดังออกมา
“หากไม่เป็นเพราะเจ้าจิ้งจอกเอาน้ำอมฤตให้ข้าดื่ม ข้าก็คงไม่มาตระหนกอย่างนี้หรอก ข้าเองก็อยากให้เป็นแค่ความฝันเพราะคิดไปเองเช่นกัน!”

น้ำอมฤต!? หรือว่า...

พ่อบ้านเหลียงถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ยืนนิ่งเป็นหินตระหง่าน เมื่อได้สติก็รีบตรงเข้าไปคว้าแขนของมนุษย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว

“ไปที่จวนรองแม่ทัพหมิงจูกับข้าบัดเดี๋ยวนี้เลย”

สิ้นเสียงก็กึ่งลากกึ่งจูงซิ่นเฉิงให้ตามไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของชายหนุ่มที่ไล่ตามหลังมาแม้แต่น้อย

อาเพศที่เกิดกับแคว้นเฟิงฝู... คงไม่ใช่เรื่องโอรสของเทพมังกรวารีที่เป็นปีศาจมาระรานแล้วกระมัง แต่เป็นเรื่องที่ซิ่นเฉิงคือหลิวซูกลับชาติมาเกิดนี่ล่ะ พ่อบ้านเหลียงถึงกับตัดพ้อสวรรค์ในใจเลยทีเดียว

เหตุใดสวรรค์ถึงได้ไร้เมตตาเพียงนี้!
 --------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ เฉลยมาแล้วปมนึง เย่!
คงพอเข้าใจแล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมเจ้าแมวถึงหวั่นไหวกับพี่งู อดีตเคยรักมานี่เอง
แต่...มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่านั้นไปอี๊กกกก //วางปมไรเยอะแยะนักหนา #ตบค่ะ!

ใครที่ตอนก่อนหน้านั้นสงสารพี่งู ตอนนี้จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะคะ 555
อันนี้เพิ่งชาติแรกด้วยที่ค่อยๆ เฉลยปม เจอชาติสองเมื่อไหร่ มีเลือกลงเรือกันไม่ถูกบ้างล่ะ XD
ฝากกำลังใจไว้ให้ด้วยจ้า ตอนแรกกะว่าจะไม่ได้อัปละ
วันนี้ง่วงๆ เมื่อคืนโต้รุ่ง แต่เขียนไปเขียนมาจบตอนเฉย เลยอัปให้เต็มตอนซะเลย
พรุ่งนี้เจอกันนะคะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เลือกเรือไม่ถูก ขอเกาะหลังคนเขียนดูทิศทางลมก่อนดีกว่าค่ะ   :laugh:
ปล.สงสารเฉิงเฉิงนะ สับสนน่าดูเลยยย

ออฟไลน์ Mengjie_JJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
ทำไมน้องแมวหลายใจงี้อ่ะ เสียใจ ถึงจะเชียร์พี่งู

แต่ไม่ได้อยากให้น้องแมวรักพี่งูเลย

เจ้าหมาน่าสงสารจริงๆ

 :z3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รักกับงูแล้วทำไมเจ้าแมวต้องไปสู้แย่งเขามาด้วยเนี่ย  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
เราจะอยู่หอสังเกตการณ์ทางทะเล.....

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ่านไปอ่านมาก็โลเลเลือกไม่ได้ทั้งสามนี่หว่าา ไม่เชียร์ใครละ แล้วแต่สวรรค์เลย5555

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ถ้าชาติที่แล้วรักเจี้ยนสือมากไหงชาตินี้ถึงเป็นเทียนอี้หล่ะ หรือเง็กเซียนจะลิขิตให้รักกันคนละชาติงี้เปล่า ไม่เชียร์ใครดีกว่าแม่ทัพทั้งสองควรจะหาทางตัดกรรมไม่ข้องเกี่ยวกับหลิวซูจะดีที่สุด 555+ สามคนสามทาง

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แอบคิดว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หลิวซู แบบว่าเป็นเทพชั้นผู้น้อยที่ทำงานในโรงครัวเหมือนกันงี้

ออฟไลน์ ryokijung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
เรือลำไหนไปถึงฝั่งมั่งคะ ไม่อยากลุ้นแล้ว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[1]

ครั้นได้ยินคำบอกเล่าจากซิ่นเฉิงที่ถูกพ่อบ้านเหลียงนำตัวมาหา หมิงจูที่เคร่งเครียดกับเรื่องของปีศาจอันเป็นบุตรของเทพมังกรวีรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พลันหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม เขาก็พอจะเดาออกอยู่บ้างว่าเหตุที่สหายทั้งสองของตนนั้นวิวาทด้วยเรื่องของมนุษย์หนุ่มตรงหน้า คงเป็นเพราะซิ่นเฉิงอาจเป็นหลิวซูกลับชาติมาเกิด หากแต่ก็ภาวนาและวิงวอนต่อสวรรค์ว่าขออย่าให้เป็นเช่นนั้นด้วยไม่ต้องการให้ความพินาศเดิมหวนกลับมาอีก แต่ความหวังของเขาก็พังทลายลงเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวจากปากของชายหนุ่ม

เขาเชื่อว่าซิ่นเฉิงไม่ได้โกหกเพราะน้ำอมฤตเองก็หาได้เคยโกหกผู้ใด หมิงจูถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พลันเอ่ยถาม
“แล้วเจ้าคิดจะทำการใดต่อไป”
“จะให้ข้าทำการใดกันล่ะ เจ้าเองมิใช่หรือที่อยากรู้อยากเห็นจนข้าต้องมาเดือดร้อนด้วยเช่นนี้” เป็นซิ่นเฉิงบ้างที่โวยวาย

นั่นก็ใช่ เพราะหมิงจูอยากรู้ถึงได้คะยั้นคะยอ แต่ก็หาได้คิดร้ายแต่อย่างใด เขาคิดเพียงแต่ว่าเพียงแค่หลิวซูก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว จึงไม่อยากให้มีมนุษย์คนใดเข้ามาแทรกให้เรื่องยุ่งยากไปกว่าเดิมอีก ใครจะหารู้ว่าคนตรงหน้าคือหลิวซูเอง
“ข้าว่าเจ้าทำใจให้เย็นก่อน กล่าวโทษท่านรองแม่ทัพไปก็หาได้ประโยชน์ใด ที่ท่านรองแม่ทัพทำนั้นก็ด้วยหวังดี” พ่อบ้านเหลียงแก้ตัวให้

ซิ่นเฉิงไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้นเลย อะไรไม่ว่า นอกจากความจริงที่เขาได้รับรู้ว่าตนคือหลิวซูแล้ว เขายังรู้อีกเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน... หลิวซูรักเจี้ยนสือ หาใช่รักของเทียนอี้

ถ้าเช่นนั้น... ที่ทั้งสองต่างอ้างตนว่าเป็นคนรักของหลิวซูนั้นคือเรื่องใดกัน!?

แทบจะดึงทึ้งเส้นผมตนเองให้หลุดร่วง สีหน้าไม่ได้ดูดีไปกว่าหมิงจูเลยแม้แต่น้อย ออกจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ขณะที่หมิงจูและพ่อบ้านเหลียงต่างมองหน้ากันด้วยหนักใจเพราะรู้ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“พวกเจ้าต้องบอกข้าว่าข้าควรทำสิ่งใด” สุดท้ายซิ่นเฉิงก็ถามออกมาด้วยจนปัญญา เขาไม่รู้หรอกว่าควรทำอย่างไรต่อไป ต่อให้เป็นหลิวซูกลับมาเกิด แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสามนั้นเป็นอย่างไร ต่อให้ระลึกชาติได้ ทว่านั่นก็เพียงบางส่วนเท่านั้น ยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด

“หากข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะทำตามข้าหรือไม่?” หมิงจูเอ่ยถาม
“ก็ต้องแล้วแต่ว่าข้อเสนอของเจ้าเป็นอย่างไร”

ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคนอย่างซิ่นเฉิงไม่ใช่คนที่จะกระทำตามผู้ใดโดยง่าย ดังนั้นหมิงจูจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเล่าก่อนว่าพวกเจ้ามีจุดจบอย่างไร” พูดแล้วก็เงียบไปครู่ กระทั่งซิ่นเฉิงมองหน้าอย่างสงสัยถึงได้เล่าต่อ “ใจของหลิวซูมีเจี้ยนสือ ข้อนี้เจ้ารู้ใช่ไหม”

คนฟังพยักหน้า

“แต่เทียนอี้เองก็รักหลิวซูเช่นกัน พวกเจ้าจะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความทุกข์ด้วยรักอีกครั้ง และเมื่อเจ้าชัดแจ้งแก่ใจว่าเจ้ามีรักให้แก่ผู้ใด เมื่อนั้นสหายทั้งสองของข้าก็จะฟาดฟันกัน จุดจบสุดท้ายคือชีวิตของเจ้าต้องดับสูญ จากนั้นก็จะวนเวียนกลับมาอีกครั้ง”

ได้ยินแล้ว ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน จะมีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่พูดต่อ

“ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เจ้าจะตัดสินใจอย่างไรกันล่ะ เจ้าจะอยู่ให้เทียนอี้และเจี้ยนสือได้วิวาทกันเพราะเจ้าอีกครั้ง หรือจากไปโดยไม่บอกกล่าวว่าเจ้าคือใครกลับมาเกิด”

คำพูดนั้นมีนัยยะ แน่นอนว่าหมิงจูต้องปรารถนาให้ซิ่นเฉิงเลือกที่จะจากไป พ่อบ้านเหลียงเองก็เช่นกัน ขณะที่ในใจของซิ่นเฉิงวูบไหวขึ้นมา

เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงได้หวั่นไหวกับเจี้ยนสือและเจ็บปวดเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยบางคำ นั่นเพราะในส่วนลึกของจิตใจนั้น เขายังเป็นหลิวซูอยู่และยังคงรักในตัวของเทพอสูรผู้นั้น ทว่า...สิ่งที่ทำให้ใจเขาวูบไหวเมื่อครู่หาได้เป็นเจี้ยนสือ หากแต่เป็นเทียนอี้
หากเลือกที่จะจากไป ก็คงจะไม่ได้พบเจอกับเทียนอี้อีกเลยตลอดช่วงชีวิตที่ยังหายใจ แต่นั่น...น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ข้าจะไป” ใช้เวลาเพียงครู่เท่านั้นในการตัดสินใจ
“ดี ข้ายินดียิ่งที่เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการยกไพร่พลลงใต้ เทียนอี้จำต้องนำทัพ เจ้าจงใช้โอกาสยามเทียนอี้ไม่อยู่หลบหนีกลับไปเสีย และจงเก็บเรื่องราวชาติก่อนของเจ้าให้เป็นความลับ อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดนอกจากข้าและพ่อบ้านเหลียงได้รับรู้อีก” หมิงจูวางแผนให้เสร็จสรรพ

แม้จะไม่ชอบใจกับการถูกสั่งเป็นนัย แต่ซิ่นเฉิงก็หาได้ตอบโต้อะไรนอกจากพยักหน้าเท่านั้น
“หมดธุระแล้ว เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวเทียนอี้กลับจวนมาแล้วไม่เห็นเจ้า จะพานให้เป็นพิรุธเอา ข้าเองก็มีเรื่องที่จะต้องสะสาง พ่อบ้านเหลียง พากลับไปได้”

ยังคงมีแต่หมิงจู่เท่านั้นที่เอ่ยปาก เมื่อได้ยิน ซิ่นเฉิงก็เดินออกไปยังหน้าจวน ใบหน้าเคร่งเครียดขบคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่พ่อบ้านเหลียงซึ่งกำลังจะก้าวออกจากห้องรับรองไม่สบายใจขึ้นมา หันไปมองเจ้าของจวนอีกครั้งด้วยไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง

“ท่านรองแม่ทัพ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดีแล้ว?”
“เจ้ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรือไร?” หมิงจูถามเสียงต่ำ เมื่อไม่ได้รับซึ่งคำตอบก็ว่าออกมาอีก “ข้าไม่ได้อยากจุ้นจ้าน แต่หากมันเป็นการดีที่จะทำให้เทียนอี้และเจี้ยนสือหยุดวิวาทกันได้ ก็ควรให้เป็นเช่นนั้น แม้เพียงชาติเดียวก็ยังดี ส่วนเจ้า...ก็จงเก็บเรื่องนี้ไว้ให้สนิทแล้วกัน อย่าให้ทั้งสองรับรู้ว่าซิ่นเฉิงคือผู้ใด ให้เข้าใจว่าเป็นคนละคนกันจะเป็นผลดีกว่า”

พ่อบ้านเหลียงจำต้องตอบรับ แม้ทั้งคู่จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิวซูถึงได้เกิดมาเป็นซิ่นเฉิงที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้คล้ายคลึงกับชาติก่อนสักนิด แต่ก็ไม่ใคร่คิดจะถามอีกต่อไป

ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้แหละดีแล้ว เส้นทางที่สวรรค์ลิขิตให้เป็นไป...ควรจะสิ้นสุดลงเสียที



 
ชายหนุ่มกลับมาก่อนที่เทียนอี้จะมาถึงจวน ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย โดยส่วนมากเป็นการสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เทียนอี้หาได้เห็นว่าเป็นความลับใดจึงเล่าให้ฟังทุกรายละเอียด อันที่จริงควรเป็นเรื่องที่ทำให้ซิ่นเฉิงกังวลใจ ทว่าเขากลับกังวลใจในเรื่องจิตใจของเทียนอี้มากกว่า

หากเขาจากไปแล้ว... เทียนอี้จะเป็นเช่นใด?

คล้ายกับว่าไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงเป็นห่วงความรู้สึกของเทียนอี้ แต่แท้จริงซิ่นเฉิงมีเหตุผลของตนเอง นั่นก็เพราะ...เขาคือซิ่นเฉิง

เป็นซิ่นเฉิงที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพอสูรตรงหน้า ไม่ใช่หลิวซูที่มีใจรักมั่นแต่เพียงเจี้ยนสือผู้นั้น!

เพราะอย่างนั้นจึงไม่เชื่อฟังคำของหมิงจูที่บอกให้เขาหนีไป การจะจากไปนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้เทียนอี้รับรู้ว่าเขาจะจากไปด้วยเหตุผลใด หาใช่หลบหนีให้อีกฝ่ายได้ใจเสียเมื่อกลับมาจากศึกแล้วไม่เห็นตนอยู่ที่จวน อีกอย่าง หากเขาจากไปโดยไม่บอกกล่าว เทียนอี้จะต้องตามหาเขาสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างแน่นอน ในเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าเทพอสูรตนนี้มีใจปฏิพัทธ์ต่อเขา ไม่ว่าอย่างไรก็จะตามหาเขาเป็นแน่ แม้ว่าจะยังคิดถึงหลิวซูอยู่ก็ตาม

เมื่อเทียนอี้เข้าไปหลับพักผ่อนในห้องนอนด้วยร่างกายยังคงเหนื่อยล้าจากอาการบาดเจ็บ ซิ่นเฉิงก็ตามเข้าไปในอีกไม่กี่ชั่วยามให้หลังครั้นตัดสินใจได้ว่าควรทำสิ่งใด

ชายหนุ่มลงดาลประตู ก้าวมายืนอยู่ข้างเตียง ทอดมองร่างใหญ่ของเทพอสูรสุนัขป่าที่กำลังหลับใหลก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสยังเส้นขนบริเวณแผงคอ เพียงสัมผัสแผ่วเบาก็ปลุกให้อีกฝ่ายตื่นจากนิทรา ดวงตาปรือมองซิ่นเฉิงที่ยืนค้ำศีรษะอยู่พลันเอ่ยถาม
“มีสิ่งใดหรือ?”

ซิ่นเฉิงเงียบไปครู่ ไม่ใช่จะไม่ตอบ แต่เพราะรู้สึกราวกับว่ามีก้อนเหนียวหนืดบางอย่างขวางกั้นในลำคอ ทำให้เขาพูดไม่ออกว่าเขาจะจากไป
“มีสิ่งใดกันเฉิงเฉิง?” เห็นท่าทางแปลกไปของคนตรงหน้า เทียนอี้ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
“ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”

แค่ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เทียนอี้รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ กระนั้นก็แสร้งทำตัวเป็นปกติ ดันตัวขึ้นนั่งทีละน้อย
“มีเรื่องใดรบกวนจิตใจเจ้ากัน?”

ยิ่งได้ยินเสียงก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากเทียนอี้ ซิ่นเฉิงยิ่งใจไม่ดีมากกว่าเดิม เงียบไปอึดใจหนึ่งทีเดียวกว่าจะเอ่ยปากออกมาได้

“ข้าจะกลับทะเลทราย”
เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ภายในใจวูบไหว
“กลับทะเลทรายอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไร” ที่สงสัยเป็นเพราะครานั้นที่ให้โอกาสซิ่นเฉิงกลับไป อีกฝ่ายไม่ยอมกลับ ทำให้เขาตัดสินใจจะกักขังซิ่นเฉิงไว้ในจวนเพื่อเชยชม พอได้ยินอย่างนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
“บ้านของข้าไม่ใช่ที่นี่” ซิ่นเฉิงตอบเสียงเรียบ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ พานให้เทียนอี้ได้ใจเสียมากขึ้นไปอีก
“จวนของข้าก็คือของเจ้า เจ้าอาจจะยังไม่คุ้นชิน อีกหน่อยก็ชินไปเอง” ฟังดูก็รู้ว่าไม่อยากให้ไป

ทว่า...ซิ่นเฉิงได้ตัดสินใจแล้ว

“ข้าไม่ชินและจะไม่มีวันชิน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแผ่นดินมาตุภูมิของข้าคือทะเลทราย ข้าเป็นคนจากทะเลทราย ไม่ว่าอย่างไรก็จะกลับไป”

น้ำเสียงที่หลุดลอดจากริมฝีปากนั้นหนักแน่น เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเกรงว่าเทียนอี้จะไม่ยอมปล่อยเขาไปดังที่เคยลั่นวาจาไว้ เห็นเทียนอี้นิ่งงันก็ให้เหตุผลขึ้นมาอีก

“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ที่มาเจอเจ้าก็เป็นเพราะข้ามาช่วยซิ่นจินและถูกเจ้าเหนี่ยวรั้งไว้ เจ้าคงจะหลงลืมไปแล้วว่าข้าเองก็เป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่า บิดาของข้ามีศักดิ์ไม่ต่างจากอ๋อง ข้าเองก็เช่นกัน เมื่อสิ้นบิดา ข้าจะต้องรับตำแหน่งนี้ แม้จะเป็นเผ่าเล็กๆ มีคนเพียงไม่กี่ร้อย แต่หน้าที่ของข้าคือการดูแลชีวิตของคนพวกนั้น จะให้ข้ามาอยู่ในจวน เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าได้อย่างไรกัน”

“แต่เจ้าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้” เทียนอี้ว่าอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะพอรู้ว่าอารมณ์ของซิ่นเฉิงแปรปรวนเปลี่ยนผันรวดเร็ว ทว่าก็ไม่คิดว่าจะออกมาในรูปแบบนี้
“ข้าไม่เคยพูด แต่ข้าคิดมาตลอด และตอนนี้ก็พูดแล้ว” ซิ่นเฉิงตอบรับ “ข้าจะกลับไปยังที่ซึ่งจากมา” จากนั้นก็เน้นย้ำคำอีก
“เฉิงเฉิง...อยู่กับข้าไม่ได้หรือ?” แววตาของเทพอสูรเว้าวอน

ซิ่นเฉิงเกือบจะใจอ่อนอยู่แล้ว ทว่าเขากลับพูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

“ข้าจะกลับไป ต่อให้เจ้าไม่ให้ข้าไปตอนนี้ เมื่อเจ้าไปทำศึก ข้าก็จะหลบหนีออกไป”

มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เทียนอี้ก็รู้ เขาจ้องมองดวงตามุ่งมั่นของคนตรงหน้านิ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างยอมแพ้

“ได้ แต่ข้าจะไปส่งเจ้าเอง ป่านนี้เผ่าของเจ้าคงจะอพยพไปที่อื่นแล้ว ให้เจ้าตระเวนไปแต่ผู้เดียวคงไม่เป็นการดี”
“ไปส่งข้าที่เผ่าอื่นก็เพียงพอ ข้าจะไปสืบหาร่องรอยของเผ่าข้าที่นั่นเอง”

ซิ่นเฉิงไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะเป็นคนทะเลทรายมาตั้งแต่กำเนิด การสืบเสาะร่องรอยหาเผ่าของตนที่เร่ร่อนไปเรื่อยอยู่ในทะเลทรายนั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก ทุกๆ ปีก็จะอพยพไปตามถิ่นฐานที่เคยเดินทางผ่าน เพียงดูฤดูกาลก็พอจะคาดเดาได้ว่าไปที่ใด
สำหรับเทียนอี้แล้ว สิ่งนั้นหาใช่เรื่องน่ายินดี มันเหมือนกับกำหนดเวลาที่เขายังมีซิ่นเฉิงอยู่ข้างกายต่างหาก แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ต่อให้อยากเหนี่ยวรั้งไว้เท่าไร เขาก็เข้าใจธรรมชาติของซิ่นเฉิง เป็นทั้งเจ้าแมวของเขา เป็นทั้งคนทะเลทราย ไม่ว่าจะอย่างไรก็รักอิสระ ให้เขาคุกเข่าก้มศีรษะวิงวอนขอร้องให้ตาย ซิ่นเฉิงก็ไม่ยอมเป็นแน่ สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษณี

“อีกไม่กี่วัน ข้าจะต้องนำทัพเคลื่อนผ่านทะเลทราย ได้ยินว่าห่างไปไม่กี่ร้อยลี้มีเผ่าทะเลทรายปักหลักอยู่ ข้าจะไปส่งเจ้าที่นั่น”
คนฟังพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงสนทนาอีก

แทนที่จะสบายใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนปรารถนา ซิ่นเฉิงกลับร้อนรุ่มใจขึ้นมาที่เทียนอี้ยินยอมปล่อยตนไปโดยง่ายเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องเหนี่ยวรั้งเขาไว้ทุกทางมิใช่หรือ? ไหนเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะกักขัง ไม่ปล่อยให้เขาไปไหนอีกอย่างไรเล่า ต้องดื้อด้านไม่ยอมให้เขาไปสิ!

พลันก็หงุดหงิดขึ้นมา อีกทั้งในใจก็ปวดร้าวเสียจนแทบหายใจไม่ออก อาการนี้รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเพราะมีใจให้กับเทียนอี้อย่างแรงกล้า ถึงจะเคยสับสนหรือหรือหวั่นไหวไปกับเจี้ยนสือด้วยจิตใต้สำนึกของหลิวซูยังหลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขา แต่ ณ เวลานี้ ในใจของเขามีแต่เทียนอี้เท่านั้น ตระหนักได้ก็เมื่อจะจากไปว่าแท้จริงแล้วในใจรักใคร่คนตรงหน้าเพียงใด ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ทำเอาเทียนอี้ที่นั่งซึมเซาอยู่เหลือบมอง

“ไม่ต้องเหลือบมองข้าเลยเจ้าหมา ไม่ต้องทำหูลู่ด้วย!”

เทียนอี้เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ...นี่ใบหูเขาลู่ลงอย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นรู้สึกตัว

แต่ก็ยังไม่ได้แสดงอาการใดออกไป นั่งนิ่งดังเดิมและแสร้งทำหูลู่ลงกว่าเดิม
“ข้าบอกว่าให้เลิกทำหูลู่อย่างไรเล่า” น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเกินทน

ทว่า...เทียนอี้กลับดึงใบหูลงต่ำ

“เจ้าหมา!”
“ข้าหาได้ทำการใด”

ไม่เพียงใบหูเท่านั้นที่ยังคงหลุบต่ำ น้ำเสียงก็หงอยเหงาเสียจนทำคนฟังรวดร้าวในอกขึ้นมา พลันความอดทนของซิ่นเฉิงก็สิ้นสุดลง ขณะนี้เขาคือซิ่นเฉิง ในใจซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เทพอสูรผู้นี้ แค่ต้องพูดว่าจะจากไปก็กัดฟันเต็มกลืนแล้ว ยิ่งมาเห็นใบหูนั่นกับแววตาเว้าวอน ความอดทนของเขาก็สิ้นสุดลงฉับพลัน

เจ้ามัน... น่ากอดเกินไปแล้ว!

ชายหนุ่มก้าวขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าถมึงทึง ครั้นเทียนอี้ซึ่งเลิกคิ้วสูงอยู่จะเอ่ยถามก็ไร้ซึ่งโอกาสเมื่ออีกฝ่ายแหวออกมาก่อน

“ไม่ต้องคิดจะถามใดๆ ข้าเพียงจะหาเรื่องจดจำเจ้าไว้ก่อนไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิตเท่านั้น”

เป็นคำที่ฟังดูช่างน่าเศร้านัก แต่เมื่อถูกสองมือของซิ่นเฉิงสอดเข้ามาที่ขนบริเวณแผงคอ ก่อนอีกฝ่ายจะกำมือแน่นและออกแรงขยับไปมาให้ใบหน้าของเทียนอี้ขยับไปด้วย เท่านั้นเทพอสูรก็รับรู้ได้ทันทีว่า... เขากำลังถูกเจ้าแมวป่าตัวนี้ฟัดด้วยความมันเขี้ยว
แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้กระทำตามใจ ออกจะชอบใจเสียด้วยซ้ำที่เห็นซิ่นเฉิงซุกไซ้ใบหน้าลงมาบนขนนุ่มช่วงหน้าอกแล้วถูไถ ดูท่าคงอยากจะทำเช่นนี้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที เพราะก่อนหน้านั้น เป็นเขาที่หยอกเย้าเรือนร่างของชายหนุ่ม และการที่ซิ่นเฉิงทำอย่างนั้นก็ทำให้เทียนอี้อดรนทนไม่ไหวขึ้นมา จากที่นั่งนิ่งอยู่ มือก็พลันอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปที่ต้นแขนเต็มไปด้วยมัดกล้าม จากนั้นจึงสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อ ทว่าก็โดนซิ่นเฉิงปัดออก

“อยู่เฉยๆ ข้าอนุญาตให้เจ้าแตะต้องข้างั้นหรือ?”

ปกติก็เป็นเทียนอี้ไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายแตะต้อง?

เทียนอี้ขมวดคิ้ว ดูจะขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมนั่งนิ่ง มองหน้าคนที่เอาใบหน้าถูไถหน้าอกเขาเมื่อครู่ที่แหงนมอง จากนั้นก็ผละออกไป พลันก็ต้องเบิกตาโตขึ้นมาเมื่อเห็นว่าที่ผละออกไปนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงหมายจะเปลื้องอาภรณ์ตนเองต่างหาก

มือถึงรั้งเสื้อออกจากกาย แผ่นอกเต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็นและกล้ามเนื้อปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าเทียนอี้จะมองคราใดก็ล้วนแล้วแต่ยั่วเย้าให้เขาสัมผัสนัก ถึงแม้จะไม่เรียบลื่นฝ่ามือ กระนั้นก็กระตุ้นอารมณ์กำหนัดได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เทียนอี้จะเอื้อมมือมาหมายจะหยอกเย้าเรือนร่างตรงหน้า ทว่าก็ถูกซิ่นเฉิงปรามเสียก่อน

“เจ้าอยู่เฉยๆ ยังบาดเจ็บอยู่ ข้าจะเป็นคนปรนเปรอเจ้าเอง”

ฟังแล้วก็ชวนให้น่าหรรษาไม่น้อย เทียนอี้จึงยอมนิ่งไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงได้กระทำตามใจชอบ

เมื่ออีกฝ่ายยอมนิ่งเป็นหุ่นไม้ให้กระทำโดยปรารถนา ซิ่นเฉิงก็เลือกที่จะมอบจุมพิตยังริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ปากของเทพอสูรในร่างสุนัขป่าหาได้จุมพิตถนัดนัก แต่ก็ดูดดื่มร้อนแรงตามแรงเสน่หาที่พวยพุ่งขึ้นมา ปลายลิ้นพยายามแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นใหญ่ของคนตรงหน้า

ถูกรุกเร้าอย่างนั้น เทียนอี้ก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ไหว ต่อให้ร่างกายบาดเจ็บไม่สมบูรณ์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบไล้ยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ผละริมฝีปากออกมาว่าเสียงแข็ง

“ข้าบอกให้เจ้าอยู่เฉยๆ อย่างไรเล่า”

ถูกยั่วยวนเช่นนี้แล้ว ผู้ใดจะอยู่เฉยได้กัน

เทียนอี้เถียงในใจ ขณะที่ซิ่นเฉิงบ่นว่าเขาอีกสองสามคำก็ถอยออกไปปลดเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก ความเป็นบุรุษเพศปรากฎสู่สายตา เทียนอี้หมายจะลูบคลำยิ่งนัก ทว่าก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่ออาภรณ์ของเขาในช่วงล่างก็ถูกซิ่นเฉิงปลดเปลื้องเช่นกัน

“เจ้าช่างเกิดกำหนัดง่ายนัก” ซิ่นเฉิงเอ่ยเมื่อเห็นความแข็งขืนของแก่นกายคนตรงหน้า

เป็นใครจะไม่เกิดบ้างเล่า ในเมื่อเจ้ามายั่วยวนข้ากะทันหันอย่างนี้น่ะ

เทพอสูรได้แต่เถียงในใจอีกแล้ว ก่อนจะเปิดปาก “เจ้าคิดทำการใดอยู่กันแน่”

ซิ่นเฉิงยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกใบหน้า หัวคิ้วย่นยู่นั้นบ่งบอกถึงความหน่ายใจ
“ข้าเปลื้องผ้าตัวเองและเปลื้องผ้าเจ้า ยังไม่รู้อีกหรือว่าจะทำการใด”

รู้แล้ว...เทียนอี้รู้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วอย่างนี้ พลันก็ต้องชะงักงันไปเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านของมนุษย์หนุ่มแตะลงมายังกลางของอวัยวะส่วนนั้นและกอบกุมเอาไว้ในมือ เมื่อจะเอ่ยปาก ก็พลันต้องเก็บคำพูดไว้เพราะซิ่นเฉิงจัดการปิดปากเขาด้วยการรูดรั้งแก่นกายเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกระถดถอยตัวลงต่ำ โน้มใบหน้าเข้าหา มอบจุมพิตร้อนเร่าให้อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์

สิ่งนั้น...ทำให้เทียนอี้ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง คราแรกเขาคิดว่าซิ่นเฉิงจะหลงใหลภาพลักษณ์อันงดงามของเขาเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ถึงได้ยินยอมปรนเปรอส่วนนั้นด้วยปาก ทว่าในยามนี้ เห็นทีคงจะไม่ใช่แล้ว ในใจของซิ่นเฉิงอาจจะมีความรู้สึกบางอย่างถูกปกปิดไว้อยู่ แม้จะไม่บอกเขา แต่เทียนอี้ก็รับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงนั้น... มีใจให้กับเขา

เรื่องของเจี้ยนสือและหลิวซูมลายหายไปสิ้น เบื้องหน้าที่แต่ภาพอันงดงามของซิ่นเฉิงเท่านั้น เขาได้ยินเสียงหายใจกระเส่าของตน ขณะเดียวกันก็มีเสียงครางอย่างพึงใจในลำคอของซิ่นเฉิงระคนมาให้ได้ยินด้วย

มือยื่นไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีหยาดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาพิศ แววตาและสีหน้าของเจ้าแมวป่าในยามนี้ช่างน่าพิศวาสยิ่งนัก แต่เหนือกว่านั้น เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าซิ่นเฉิงจะงดงามถึงเพียงนี้ ไม่ได้อ้อนแอ้นอรชร ไม่ได้น่าทะนุถนอมเช่นหลิวซู หากทว่าน่าหลงใหลเพราะเป็นซิ่นเฉิง...คนที่ใจเขารักใคร่จนไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูด

“เฉิงเฉิง... ข้ารักเจ้า”

ถึงไม่อาจพรรณนา แต่สุดท้ายก็จำต้องเอ่ยบอก เป็นเพียงคำบอกความในใจอย่างเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน เขาทนเก็บงำความรู้สึกนี้อีกต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

ซิ่นเฉิงสบสายตา ดวงตาสีทองอำพันเต็มไปด้วยความซื่อตรง ในแววตานั้นมีเพียงภาพของบุรุษทะเลทราย ปราศจากเงาสะท้อนของคนรักในอดีตอย่างหลิวซูโดยสิ้นเชิง ซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ พลันก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็พลันชุ่นฉ่ำขึ้นมา ริมฝีปากหนาสั่นระริกเล็กน้อย เขาเองก็อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าในยามนี้ปรารถนาจะที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับเทียนอี้เพียงใด แต่คำพูดของหมิงจูก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว

หากเขาถลำลึก... เทียนอี้ก็จะต้องประสบกับเคราะห์กรรมอันน่าเวทนา ส่วนเขาก็ต้องถูกพรากจากไปเพื่อที่จะมาบรรจบใหม่ในชาติหน้า อีกอย่าง...เขาคือหลิวซูกลับมาเกิด ต่อให้รักเทียนอี้ไปในยามนี้ ภายภาคหน้าเขาก็จะต้องรักเจี้ยนสือ และต้องวนเวียนอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์นี้อีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น การไม่เอ่ยปากบอกสิ่งใดออกไปนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แค่ในตอนนี้ เขาขอให้ได้เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น

ขอให้เขาได้มีความรู้สึกนี้ต่อเทียนอี้เมื่อครั้งที่ยังเป็นซิ่นเฉิงอย่างสมบูรณ์...

ริมฝีปากของเทียนอี้ประกบมอบจุมพิตโดยมิอาจทัดทานต่อเสน่หา ฝ่ามือลูบไล้ไปตามผิวกายของมนุษย์หนุ่ม กระตุ้นเร้าไปทุกส่วนอ่อนไหว ความกำหนัดพร่างพรายจนซิ่นเฉิงไม่อาจทนกักเก็บไว้ได้ ปลดปล่อยออกมาเป็นน้ำเสียงกระเส่าที่เทียนอี้ฟังอย่างไรก็ไพเราะเสนาะหูนัก

ยิ่งได้ยินเสียงก็ยิ่งได้ใจด้วยซ้ำ เทียนอี้ยกสะโพกของซิ่นเฉิงขึ้นให้อยู่ในท่าคุกเข่า ส่งปลายนิ้วชำแรกเข้าไปยังช่องทางคับแคบทางด้านหลัง ควานไปทั่วจนแตะลงไปบนจุดชีพจรที่เชื่อมต่อกับความวาบหวาม

ธาตุไฟเข้าแทรกไปทั่ว ร่างกายร้อนรุ่มจนแทบมอดไหม้ ซิ่นเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เหลือบมองเทพอสูรที่หยอกเย้าร่างกายตน
“เทียนอี้ จงเป็นหนึ่งเดียวกับข้า”

สิ่งนั้น...เทียนอี้ก็อยากจะทำเช่นกัน การได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับซิ่นเฉิงคือความปรารถนาอันสูงสุดของเขาในยามนี้ แต่การเป็นหนึ่งเดียวกันคือการผูกมัด ในเมื่อซิ่นเฉิงต้องการจะไปจากเขา เหตุใดเขาจะต้องรั้งเอาไว้ด้วยความสัมพันธ์ทางกายกัน

“ข้าจะไม่กักขังเจ้าไว้ด้วยวิธีการนั้น”

มือก็พลันเปลี่ยนทิศทางมากอบกุมยังส่วนแข็งขืนของซิ่นเฉิงแทน ก่อนดึงรั้งให้แนบชิด ใช้มือข้างเดียวกันกอบกุมความเป็นบุรุษของตน โน้มใบหน้าลงมากระซิบยังข้างใบหู

“แต่ข้าก็ปรารถนาในตัวเจ้า... ปรารถนาทุกสิ่งที่เป็นเจ้า”

สิ้นเสียง มือก็ขยับไหว รูดรั้งแก่นกายทีละน้อยและทวีมากขึ้น เสียงหอบหายใจกระเส่าดังประสาน ไม่นานนัก ความสุขสมก็มาเยือนทั้งสองราวกับลมพายุที่พัดผ่านมาและสงบลงในไม่กี่อึดใจให้หลัง

ซิ่นเฉิงทิ้งตัวซบกับแผงอกของคนตรงหน้า ฝ่ามือลูบไปยังลำคอแกร่ง ดึงรั้งเส้นขนนุ่มเอาไว้ ปล่อยให้เทียนอี้ตระกองกอดเขาไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น เอนกายลงนอนราบอย่างช้าๆ โดยไม่ยอมปล่อยให้ร่างของชายหนุ่มออกห่าง จึงกลายเป็นว่าซิ่นเฉิงนอนอยู่บนหน้าอกของเขาในตอนนี้

บาดแผลใดก็หาได้สร้างความเจ็บปวดเท่ากับการที่คนในอ้อมแขนจะจากไป เทียนอี้โอบกอดคลอเคลียไว้มั่น กระนั้นก็เป็นไปอย่างทนุถนอมราวกับชายหนุ่มฉกรรจ์ผู้นี้เป็นลูกแก้วน้ำงาม

แม้จะอยากเอ่ยปากบอกให้เทียนอี้หยุดกระทำเช่นนี้ แต่ความรู้สึกดีที่แผ่ซ่านออกมาจากเจ้าของอ้อมแขนนั้นก็ทำให้ซิ่นเฉิงยอมนอนอิงแอบไปแต่โดยดี พลันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าอ้อมกอดนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาปิดเปลือกตาลงก่อนค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ไม่ขบคิดเรื่องราวใดๆ อีก ปล่อยให้เทียนอี้ขับกล่อมให้หลับใหลด้วยเสียงลมหายใจเบาบาง

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 19: อ้อมกอดของเทียนอี้[2]

“ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!”

เสียงโวยวายดังลั่นประหนึ่งจะพังสวรรค์ให้เป็นจุณดังออกมาจากปากของแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือ ดวงตาคมประกายวาวมองคนที่นั่งหมอบบนพื้นเบื้องหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ขณะที่เทพชั้นผู้น้อยอันเป็นชนวนเหตุของความกราดเกรี้ยวตัวสั่นเทา มือคว้าเอาเศษซากมวลบุปผชาติที่ตั้งใจจัดใส่ตะกร้ามารวมกันเป็นกองเดียวพัลวัน ก่อนที่น้ำเสียงสั่นระริกจะดังขึ้น

“ขะ...ข้าน้อยขออภัย หลิวซูผู้นี้หาได้ตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพขุ่นเคืองไม่”

ท่าทางหวาดกลัวนั่นดูน่าสงสารยิ่งนัก กระนั้นก็หาได้ทำให้เจี้ยนสืออารมณ์เย็นลงได้เลย กลับกัน... ทำให้เขาเดือดดาลมากขึ้นไปอีก

“หึ! ไม่ตั้งใจทำให้ข้าขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันช่างไม่เจียมตัว เป็นเพียงเทพในโรงครัว ริอ่านจะเทียบเคียงแม่ทัพสวรรค์อย่างข้า จะกำแหงไปหน่อยแล้ว!”
“ข้า...ข้าน้อยขออภัยขอรับ ข้าน้อยช่างโง่เขลานัก ไม่เจียมตัวถึงได้ทำให้ท่านแม่ทัพระคายใจ”

ยิ่งถูกก่นด่าก็ยิ่งก้มหน้ารับความผิด ทั้งที่ความผิดของเขานั้นน้อยนิดยิ่งนัก สิ่งนั้นเริ่มจากการที่หลิวซูหลงรักใคร่แม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือจนไม่อาจกักเก็บความปรารถนาไว้ได้ ในใจของเขานั้นใคร่จะบอกความนัยไป จึงไปเก็บดอกไม้สวรรค์มาร้อยเรียงลงในตะกร้าสานเพื่อนำไปมอบให้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหล่าเทพธิดากระทำเมื่อมีใจเสน่หาเทพหนุ่มองค์ใด นั่นก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎสวรรค์ ทว่าก็มีการลักลอบทำกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ หลิวซูกระทำเช่นนั้นเพราะเผลอไผลคิดไปเองว่าเจี้ยนสือคงจะใจดีดังเช่นเทียนอี้ แม้ไม่มีใจปฏิพัทธ์แต่ก็คงจะรับตะกร้าบุปผชาติไว้ด้วยความยินดี ดังนั้นถึงเหาะมาถึงสวรรค์ชั้นสิบสอง นำมามอบให้ถึงตำหนัก เพราะเหตุนี้ เจี้ยนสือถึงได้บรรลุแก่โทสะ คว้าตะกร้านั่นมาขว้างทิ้ง อีกทั้งสบถด่าทออย่างไม่ไว้หน้า

“ไม่เพียงแต่เจ้าจะทำให้ข้าระคายใจ ยังทำให้ข้าอยากจะดับดวงจิตของเจ้าให้เป็นเถ้าธุลีอีกด้วย เจ้าเทพไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! เทพนั้นมิอาจมีรัก เจ้าลืมไปแล้วหรือไร แล้วนี่เจ้ายังเป็นบุรุษ อีกทั้งยังต่างชั้นต่างบารมีจากข้าอยู่โข กล้าดีอย่างไรกัน!”

ไม่แปลกหากเจี้ยนสือจะโกรธเกรี้ยว เขาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสวรรค์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทหารเทพองค์ใดในการดูแลละเมิดกฎเพียงเล็กน้อย เขาก็หาได้ปรานีทั้งสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ถูกเปรียบเทียบดั่งอสรพิษร้าย

“ขะ...ข้าน้อยขออภัย” หลิวซูทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคุกเข่าคำนับจนหน้าผากติดพื้น พร่ำพูดคำเดิมไม่หยุดหย่อน
ทว่าก็หาได้ทำให้เจี้ยนสือระงับโทสะได้เลยแม้แต่น้อย
“กล้าละเมิดกฎสวรรค์ถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังทำให้ข้าอับอาย ข้าคงจะปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้”

อับอายที่ว่านั้นหมายถึงเพราะหลิวซูเป็นเทพบุรุษ การถูกอีกฝ่ายรักใคร่หาใช่เรื่องยินดี ขนาดเหล่าเทพธิดาที่เคยหลงใหลกับรูปโฉมของเขา เจี้ยนสือยังไม่ไว้หน้า ประสาอะไรกับหลิวซูกันเล่า

พูดจบก็สะบัดมือ อาวุธประจำกายก็ปรากฏขึ้นมา หลิวซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาไม่ได้คาดหวังให้เป็นเช่นนี้ เห็นทีการเป็นเทพของเขาคงดับสูญแต่เพียงเท่านี้แน่

แต่สวรรค์ก็หาได้ไร้เมตตาขนาดนั้น เทียนอี้ที่แวะเวียนลงไปยังโรงครัวสวรรค์ไม่พบเจอหลิวซูจึงกลับมายังเบื้องบนและแวะเวียนไปหาเจี้ยนสือ หมายจะร่ำสุราทิพย์เป็นการแก้เบื่อเข้ามาเห็นสหายกำลังบันดาลโทสะใส่หลิวซูพอดีก็รีบปรี่เข้าไปห้ามปราม
ดาบของเจี้ยนสือสะบัดลงมา ดาบของเทียนอี้ก็เข้าสกัด เสียงของโลหะกระทบดังกัมปนาท ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เทียนอี้ก็เปิดปากออกมาพลัน

“เกิดเหตุอันใดขึ้น ไยเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับซูซูถึงเพียงนี้!”
ฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจ แต่คนที่ไม่พอใจยิ่งกว่าคือเจี้ยนสือ
“เจ้านั่นนำตะกร้าบุปผชาติมามอบให้กับข้า เจ้าคิดว่าข้าเดือดดาลด้วยเหตุผลใดกันเล่า!”
เพียงเท่านั้น เทียนอี้ก็เข้าใจได้โดยพลัน ชำเลืองไปมองหลิวซูที่ยังคงตัวสั่นงันงก คุกเข่าอยู่ทางด้านหลังอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่เจ้าบอกไปหรือ?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากหลิวซู มีเพียงใบหน้าซีดเผือดเท่านั้น

“หึ! ที่แท้เจ้าก็รู้กัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าหลิวซูละเมิดกฎสวรรค์ เหตุใดจึงไม่ห้ามปราม!” กลายเป็นว่าเจี้ยนสือเอาผิดกับสหายตนแล้ว
เทียนอี้ออกแรงผลักให้อีกฝ่ายออกห่าง จากนั้นถึงได้ลดดาบในมือลง
“เพราะข้าหาได้เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่ได้บอกไป”
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างนั้นหรือ? มันทำให้ข้าอับอาย เจ้าเข้าใจหรือไม่!? หากเทพองค์อื่นรู้ มีหวังข้าคงถูกนำไปเล่าขานเป็นเรื่องขบขันว่ามีเทพบุรุษมามีใจปฏิพัทธ์ด้วยเป็นแน่!”

ที่แท้ที่เจี้ยนสือโกรธนั้นหาใช่เรื่องการละเมิดกฎสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขาห่วงชื่อเสียงของตนมากกว่า หลิวซูชะงักงันในตอนนี้ ในใจเจ็บปวดพร่างพราย เทียนอี้เข้าใจในสิ่งที่เจี้ยนสือพูดและเข้าใจอุปนิสัยหลงระเริงในบารมีของสหายเป็นอย่างดี แต่ทว่า...ใจของเขากลับเข้าข้างหลิวซูที่บัดนี้ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา

“ข้าก็เห็นว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องหัวเสียถึงเพียงนี้แต่อย่างใด เจ้าใจเย็นลงก่อนเถิด ซูซูไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าขุ่นเคือง” ไม่เพียงแต่เข้าข้าง ยังแก้ตัวให้อีกด้วย

หากแต่เจี้ยนสือไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว เขาหงุดหงิดเสียจนทนไม่ไหว ออกปากไล่อย่างไม่ไว้หน้า

“ข้าจะใจเย็นลงแน่เมื่อเจ้าลากเจ้าเทพนั่นออกไปจากตำหนักข้า และเก็บมวลบุปผชาติที่นำมาไปให้หมดสิ้น อย่าให้เหลือเศษซากด้วย!”

ยิ่งฟังก็เหมือนมีหนามทิ่มแทงลงมากลางใจ หลิวซูได้แต่ขานรับเสียงพร่าว่า ‘ขอรับ’ ขณะที่เทียนอี้ได้แต่เหลือบมองและพยายามจะพูดกับเจี้ยนสืออีกครั้ง

“เจี้ยนสือ เจ้าน่ะ...”
“ข้าจะออกไปข้างนอก หากกลับมาแล้วยังเห็นเจ้าอยู่ในตำหนักข้า อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”

พูดยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือก็เอ่ยแทรกขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นการพูดกับหลิวซู พลันก้าวเท้าเหยียบย้ำดอกไม้ทิพย์สีสดและบดขยี้มันเสียพินาศ เช่นเดียวกับใจของหลิวซูที่ถูกบดขยี้จนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แต่นั่นยังไม่ทำให้เจี้ยนสือพอใจ ครั้นเห็นเทพชั้นผู้น้อยมองมายังเท้าของตน เขาก็พูดออกมา

“และจงจำไว้ให้ขึ้นใจ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี ข้าก็จะไม่มีวันรักเจ้า เทพอย่างข้าจะไม่ลดตัวลงไปชายตาเทพชั้นต่ำเช่นเจ้าเป็นอันขาด ข้าจะไม่ละเมิดกฎสวรรค์เพื่อเจ้า”

สิ้นเสียงก็เดินจากไป ปล่อยให้หลิวซูนั่งจมจ่อมอยู่กับความผิดหวัง

ในคราแรกที่พบเจอเจี้ยนสือ เขาหาได้มีอุปนิสัยเช่นนี้มิใช่หรือ?

หยาดน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้า ก่อนจะหยดลงสู่พื้น หลิวซูใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาเศษซากของดอกไม้ทิพย์ใส่ในตะกร้าที่คว่ำอยู่ตรงหน้า พยายามที่จะสะกดกลั้นความเสียใจไว้แล้ว แต่ไม่อาจทนได้ไหว

เทียนอี้เห็นแล้วก็เวทนายิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดมากกว่า พลันทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าหลิวซู หมายจะช่วยเก็บกวาดเศษซาก ทว่าก็ถูกอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน

“ท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ต้องช่วยข้าน้อยหรอกขอรับ ประเดี๋ยวมือของท่านจะเปรอะเปื้อน”
“ไม่เป็นไร” เขาว่าเสียงแผ่ว นั่นยิ่งทำให้หลิวซูร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก
“เพราะข้าจุติจากวิญญาณชั้นต่ำ เมื่อเป็นเทพก็มีตบะไม่แก้กล้า กิเลสตัณหายังคงหลงเหลือ ทำให้มิอาจหักห้ามใจได้ จึงเป็นที่ระคายใจให้แก่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือ ความผิดของข้าในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก”

ถึงจะร้องไห้เสียจนใบหน้าดูไม่ได้ แต่ก็ยังงดงามในสายตาของเทียนอี้เสมอ เขาใคร่อยากจะซับน้ำตาให้อีกฝ่ายนัก และก็ต้องรวดร้าวในอกเสียจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงเมื่อหลิวซูเอาแต่โทษตนเอง
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าไม่ดีเอง เพราะข้าไม่เจียมตัว ต่อให้คนที่ข้ารักหาใช่ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือแต่เป็นเทพองค์อื่น ผลก็คงจะเป็นเช่นนี้”
“หากคนที่เจ้ารักเป็นข้า ข้าคงจะไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้” เทียนอี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

คำที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรียกให้หลิวซูเหลือบมองใบหน้าของเทพตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อีกองค์ สีหน้าของเทียนอี้บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดไปอย่างนั้น ...สิ่งที่เขาพูดนั้นสัตย์จริง ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมากุมมือของหลิวซูที่อยู่บนพื้น
“หากคนที่ใจของเจ้าปรารถนาเป็นข้า ข้ายินดีที่จะสละทุกสิ่งเพื่อทำให้เจ้ามีความสุข”

หลิวซูมองคนพูดอย่างตะลึงงัน ก่อนที่เทียนอี้ดึงร่างนั้นเข้ามากอด เสียงร่ำไห้ของเทพชั้นผู้น้อยดังก้องไปทั่วตำหนักของเจี้ยนสือราวกับจะขาดใจ เขาช่างโง่เขลานัก ไยไม่เคยมองเห็นเทียนอี้อยู่ในสายตามาก่อน หากเขามีใจปฏิพัทธ์ต่อเทพผู้นี้ ดวงใจของเขาคงไม่ย่อยยับป่นปี้เป็นแน่ แต่ตอนนี้สายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในใจก็มีแต่เจี้ยนสือ

ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ออกจากปากของเทียนอี้ เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทนจากการกระทำนี้ มีเพียงอยากจะปลอบประโลมคนในอ้อมแขนด้วยใจจริงเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แขนทั้งสองข้างนี้ก็ยินดีที่จะโอบกอดยอดดวงใจไว้ตราบนิรันดร์...
------------------------
เต็มตอนมาแล้วค่ะ เมื่อวานแอบอู้ไปนิด 555
ตอนนี้พี่หมาน่าน้วยมากเลยโดนนุ้งแมวน้อยซะหนำใจ
ตอนหน้าน่าจะเฉลยปมชาติแรกทั้งหมดค่ะ ตอนที่ 21 เริ่มปมชาติที่สอง ปมซับปมซ้อนมากๆ 555



ตอนใหม่เจอกันพรุ่งนี้นะคะ
ป.ล.หนูแดงกำลังเริ่มเขียนเรื่องใหม่อีกเรื่อง เป็นแนวพีเรียดเกาหลี พระเอกเป็นท่านหมอ
ส่วนนายเอกเป็นแม่ทัพค่ะ เรื่องนี้จะเป็นแนวอิงประวัติศาสตร์หน่อย ใครชอบแนวนี้ไปตามอ่านกันได้ที่นี่นะคะ
เรื่องนี้หวานจนตัวแตกตาย เอาให้เบาหวานขึ้นตากันไปข้าง 55 >> 우리 영원히✶สวรรค์มิอาจพราก

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด